31 ธันวาคม 2551

Bionic Contact Lens - จอแสดงผลแบบคอนแท็คเลนส์


สวัสดีปีใหม่ 2552 ครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ขออำนาจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โปรดดลบันดาลให้ท่านผู้อ่านมีความสุขตลอดปีและตลอดไปนะครับ ผมก็จะทำหน้าที่นำเรื่องราว ข่าวคราวความก้าวหน้าในวงการวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ที่ล้ำๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชีวิตอนาคตของพวกเรา มาเล่าให้ฟังเรื่อยๆครับ

วันนี้ผมขอต่อเนื่องเรื่องราวของ Bionics หรือ ศาสตร์แห่งอวัยวะกลมาเล่าต่ออีกครับ คราวนี้เป็นเรื่องของ Bionic Contact Lens หรือ จอแสดงผลแบบคอนแท็คเลนส์ ซึ่งเป็นคอนแท็คเลนส์ที่มีวงจรอิเล็กทรอนิกส์ภายใน เมื่อสวมใส่แล้วจะแสดงผลออกมาให้ผู้สวมใส่มองเห็นภาพที่สร้างขึ้นมา ลอยผสมอยู่กับภาพของวัตถุจริง ซึ่งเราอาจจะให้จอภาพเล็กๆนี้แสดงผลข้อมูลต่างๆ เช่น ขณะขับรถก็มีข้อมูลทิศทางต่างๆขึ้นมาช่วยเหลือ ทหารสามารถรับข้อมูลการรบต่างๆ เช่น เป้าหมาย กับระเบิด ทิศทางการยิง เป็นต้น ต้นแบบแรกที่ University of Washington สร้างขึ้นมานี้ใช้วิธีการทางนาโนในการประกอบเลนส์ที่มีวงจรอิเล็กทรอนิกส์ของ LED (Light Emitting Diode) เพื่อใช้เปล่งแสงออกมาแสดงผล บนฐานรองพลาสติกซึ่งยืดหยุ่นได้ และมีความเข้ากันได้ทางชีวภาพเพื่อไม่ให้ดวงตาของผู้สวมใส่เกิดการต่อต้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ Babak Parviz ผู้ประดิษฐ์คอนแท็คเลนส์อัจฉริยะนี้กล่าวว่า "ต่อไปเราจะเพิ่มวงจรเพื่อทำให้มันสามารถส่งและรับข้อมูลไร้สายได้ครับ ผมหวังด้วยว่าเราจะสามารถทำให้เลนส์นี้ทำงานโดยการเก็บเกี่ยวพลังงานจากคลื่นวิทยุ และเซลล์สุริยะบนผิวเลนส์"

เรื่องเกี่ยวกับ Bionics เจ๋งๆ ยังมีอีกครับ ปีหน้าผมจะนำมาเล่าให้ฟังอีกเรื่อยๆ สลับกับเรื่องอื่นๆที่เป็นแนวโน้มใหม่ของโลกครับ ... สุขสันต์วันปีใหม่ครับ ................

30 ธันวาคม 2551

Bionic Hand - มือกล


หายไปหลายวันครับ เพิ่งกลับมาจากไปทำงานภาคสนามที่ไร่องุ่นครับ เลยกลับมาอัพเดตข่าวต่างๆ ช่วงนี้ผู้คนเดินทางออกต่างจังหวัดเยอะมากครับ เป็นเทศกาลแห่งความสุขจริงๆ ผมอยู่ที่ไร่ก็เห็นคนเข้ามาเที่ยวตลอดทั้งวัน ขนาดเป็นวันธรรมดา ไม่เหมือนหน้าฝนที่ค่อนข้างเงียบ ทั้งๆที่หน้าฝน เขาใหญ่สวยกว่าหน้าหนาวอีกครับ


ไม่ได้พูดถึงศาสตร์ของอวัยวะกล หรือ Bionics มานานเหมือนกัน ศาสตร์นี้กำลังเป็นที่สนใจทั่วโลกครับ เพราะจะเป็นการเชื่อมต่อจักรกลและอุปกรณ์ต่างๆ ให้ทำงานเข้ากันได้กับร่างกายของมนุษย์ ในอนาคตไม่นานนับจากนี้ มนุษย์จะเป็นสิ่งมีชีวิตแบบ Hybrid ครับ คือ ร่างกายของเราจะมีทั้งสิ่งที่เป็นชีวภาพและสิ่งที่ไม่ใช่ชีวภาพ มาทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน นั่นคือมนุษย์เราจะมีสิ่งที่เป็นหุ่นยนต์เข้ามาช่วยทำงานในบางอวัยวะ ในขณะเดียวกันหุ่นยนต์เองก็จะมีอวัยวะของสิ่งมีชีวิตบางอวัยวะเข้าไปช่วยทำงานให้ด้วย ดังที่ผมเคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ว่ามีนักวิจัยได้เลี้ยงเซลล์สมองบนซิลิกอน แล้วให้เซลล์สมองสั่งการหุ่นยนต์ให้สามารถหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้ เห็นไหมครับว่า โลกของเรา กับ โลกของหุ่นยนต์ เขยิบเข้ามาเป็นสิ่งเดียวกันทุกที ๆ

ล่าสุด นิตยสาร Time Magazine ได้ประกาศรายชื่อของสิ่งประดิษฐ์ที่เป็น The Best Inventions of the Year 2008 จำนวนทั้งหมด 50 รายชื่อครับ ผมคงไม่สามารถนำมาลงได้ทั้งหมด แต่ก็คัดเลือกเทคโนโลยีที่น่าสนใจเอาไว้หลายรายการ คือผมจะเน้นเอาของที่แปลกๆ ที่ท่านผู้อ่านอาจจะไม่ค่อยได้เห็นจากที่อื่น หรือของอะไรที่ล้ำๆหน่อย หรือเป็นสิ่งที่คาดว่าจะส่งผลกระทบในอนาคต แล้วจะทยอยนำมาเล่าให้ฟังครับ

วันนี้ผมขอพูดถึง มือกล หรือ Bionic Hand ซึ่งตอนนี้นำออกมาขายและสามารถหาซื้อได้แล้ว บริษัทผู้ผลิตมีชื่อว่าบริษัท Touch Bionics ได้ออกสินค้าตัวใหม่ที่เป็นมือกลที่มีชื่อว่า i-LIMB Hand ซึ่งเป็นมือกลที่ทำจากพลาสติกที่มีความแข็งแรงสูง นิ้วทั้ง 5 สามารถทำงานได้อย่างอิสระโดยมีมอเตอร์ไฟฟ้าควบคุมซึ่งจะรับคำสั่งจากระบบประสาทของมนุษย์ที่เรียกว่า myoelectric โดยแขนที่ยังเหลืออยู่ของคนไข้นั้นจะมีปลายประสาทเหลืออยู่ เราก็เพียงเชื่อมต่อปลายประสาทเหล่านั้นให้เข้ากับสินค้าตัวนี้ ว่ากันว่าคนไข้ที่เคยใช้อวัยวะมือกลมาก่อนในรุ่นที่ใช้ยากๆ พอมาสวมใส่ i-LIMB Hand เข้าก็สามารถใช้งานคล่องแคล่วได้ในเวลาไม่กี่นาที โดยไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย (ภาษาอุตสาหกรรมเขาเรียกว่า Downward Compatible ครับ) เจ้า i-LIMB Hand ยังซ่อมแซมง่ายมาก เพราะชิ้นส่วนของมันเป็นโมดุล สามารถถอดเปลี่ยนนิ้วใหม่ได้หากมีปัญหาในการใช้งาน ต่างจากมือกลรุ่นเก่าๆที่ต้องส่งโรงงานซ่อม ทำให้ผู้ป่วยไม่มีมือกลใช้หลายสัปดาห์

24 ธันวาคม 2551

I, Nanny - หุ่นยนต์พี่เลี้ยงเด็ก (ตอนที่ 1)


เดี๋ยวนี้คนไทยแต่งงานน้อยลง ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะผู้หญิงสมัยนี้ไม่ค่อยง้อผู้ชายแล้ว พอเราไปจีบก็จะเล่นตัวอย่างนั้นอย่างนี้ ส่วนผู้ชายก็ชอบอิสระมากขึ้น มีชีวิตแบบ Metrosexual ก็ไม่ค่อยอยากตามตื้อผู้หญิง ชอบอยู่แบบแวดล้อมด้วยเพื่อนฝูงมากกว่า ท่านผู้อ่านคิดอย่างนั้นใช่ไหมครับ แต่ความจริงก็คือ คนเราแต่งงานน้อยลงเพราะการเลี้ยงดูลูกสมัยนี้มันทำได้ยากขึ้นต่างหาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องการเลี้ยงดูเขาก่อนวัยเรียน พี่เลี้ยงเด็กนั้นเป็นอะไรที่เป็นเรื่องปวดหัวของทุกบ้าน ลูกของผมคนโตเคยมีพี่เลี้ยงเด็กถึง 14 คน (ครั้งละคนนะครับ) คนเล็กเคยเปลี่ยนไป 12 คนงานเลี้ยงเด็กนี่เป็น List ท้ายๆ ของ Job ที่คนอยากจะทำครับ พ่อแม่เองก็ไม่มีทางเลือก ส่วนใหญ่สมัยนี้ให้แต่คนต่างชาติเลี้ยง ลูกของญาติผมพูดไทยไม่เป็น พูดเป็นแต่พม่า ลูกผมคนเล็กดีหน่อย แค่พูดคำว่า "ควาย" ไม่ได้ ออกเป็นอย่างอื่น แต่ที่โรงเรียนเขาแก้ให้แล้ว


ทุกปัญหาย่อมมีทางแก้ครับ นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรจึงมีความคิดจะพัฒนา หุ่นยนต์พี่เลี้ยงเด็ก ซึ่งต่อไปในอนาคตมันจะเข้าทำหน้าที่เลี้ยงดูลูกแทนพี่เลี้ยงต่างชาติ ตอนผมไปญี่ปุ่นผมได้เห็นเจ้าหุ่นพี่เลี้ยงเด็ก 2 ยี่ห้อ ซึ่งจะนำมาฝากในวันนี้ จริงๆ แล้ว น่าจะเรียกว่าหุ่นเพื่อนเล่นเด็กมากกว่า เพราะมันยังได้แค่เล่นกับเด็ก ยังดูแลขนาดเปลี่ยนผ้าอ้อมไม่ได้ ป้อนข้าวป้อนน้ำไม่ได้ แต่หุ่นยนต์นี้ก็มีความสามารถมากกว่าเล่นกับเด็กนะครับ เพราะเขาก็ดูแลเด็กได้ระดับหนึ่ง ตัวแรกคือ Hello Kitty Robo ซึ่งเราสามารถตั้งหน้าที่ให้มันอยู่ใน Friend Mode, Parent Mode ก็ได้ พ่อแม่มักจะเซ็ตให้เครื่องทำหน้าที่ Parent Mode เพื่อแบ่งเบาภาระการพูดคุยกับลูก เจ้าหุ่นจะจ้อได้ทั้งวันโดยไม่บ่นเลย มันมีความสามารถในการกล่อมเด็กให้หลับ แถมสอนภาษาได้หลายภาษาอีกด้วย อีกตัวคือ Papero ของบริษัท NEC เจ้าตัวนี้ฉลาดขึ้นมาอีก เพราะมันมีความสามารถในการจดจำใบหน้าเด็ก จดจำเสียง มันสามารถเรียนรู้อารมณ์ของเด็กๆ ได้ มันร้องเพลงร่วมกับเด็กๆได้ เล่านิทาน เล่าเรื่องตลก เล่นเกมส์ทายใจ ส่งรูปเด็กๆทาง SMS ไปให้พ่อแม่ดูเป็นระยะๆ ทั้งนี้ หากใช้ร่วมกับ RFID microchip ก็จะทำให้มันติดตามการเคลื่อนที่ของเด็กได้


วันหลังผมจะมาเล่าต่อนะครับ .... ผมจะไปทำงานที่ไร่องุ่น 3 วัน คงจะกลับมาเล่าต่อช่วง weekend .... Merry X'mas ครับ .......

22 ธันวาคม 2551

นักฟิสิกส์คิดค้นยาปฏิชีวนะ



อย่างที่ผมมักพูดอยู่บ่อยๆล่ะครับว่า ศตวรรษ 21 เป็นช่วงเวลาแห่งการปฏิวัติวิธีคิดค้นของมนุษยชาติ วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ ศิลปศาสตร์ จะเข้ามาหลอมรวมกัน บรรจบกัน อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ในวงการวิทยาศาสตร์เองนั้น การค้นพบใหม่ๆ จะอยู่ระหว่างเส้นแบ่งเขตแดนของศาสตร์เก่า ใครที่ยังทำงานอยู่ในศาสตร์เก่าๆ หากอยากจะพบอะไรใหม่ ก็ต้องออกมานอกบ้านของตน เพื่อมาหาอะไรทำที่ริมรั้วของสาขาตัวเอง หรือ ข้ามรั้วไปทำอีกศาสตร์ครับ และในวันนี้ผมขอแนะนำนักฟิสิกส์หนุ่ม Gerard Wong ท่านเป็นศาสตราจารย์ในภาควิชา Materials Science and Engineering (สาขา MSE นี้มีที่เดียวในประเทศไทยคือที่ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล) แห่ง University of Illinois ท่านจบมาทาง Solid State Physics แต่ไม่อยากทำงานทางด้านฟิสิกส์แนวเก่า ท่านเลยหันมาศึกษาสิ่งมีชัวิตขนาดเล็ก หรือ จุลชีววิทยา นั่นเอง ซึ่งทำให้ท่านสามารถค้นพบในสิ่งที่นักจุลชีววิทยาไม่ค้นพบ นั่นคือ ยาปฏิชีวนะที่สามารถหลอกแบคทีเรียให้ฆ่าตัวตายได้


ในความรู้เดิมของจุลชีววิทยานั้น ร่างกายของสิ่งมีชีวิตจะมีภูมิคุ้มกันหลายชนิด เป็ปไตด์ก็เป็นภูมิคุ้มกันอย่างหนึ่งที่ถูกใช้เพื่อโจมตีแบคทีเรีย โดยมันจะแทรกซึมเข้าไปที่เยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane) ของแบคทีเรีย เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเยื่อหุ้มเซลล์ เมื่อมันเข้ามามากพอ มันก็จะมารวมตัวกันเอง (Self Assembly) ก่อให้เกิดรูรั่วบนผนังเยื่อหุ้ม ทีนี้เมื่อเยื่อหุ้มเป็นรูโหว่ อะไรต่ออะไรก็ผ่านเข้าออกเซลล์แบคทีเรียได้สบาย เซลล์แบคทีเรียก็เลยตาย จริงๆ แล้วกลไกเหล่านี้ในทางจุลชีววิทยา ยังรู้กันน้อยครับ ศาสตราจารย์ Gerard Wong ท่านได้ใช้เครื่องมือที่นักชีววิทยาไม่ค่อยมีใช้ เช่น Synchrotron XRD และ Molecular Dynamics Simulation จนเข้าใจกระบวนการนี้ ซึ่งนำมาสู่การสังเคราะห์เป็บไตด์ที่สามารถควบคุมความสามารถในการฆ่าแบคทีเรียได้


ยาปฏิชีวนะที่ท่านคิดค้นนี้มีความสามารถในการหลอกแบคทีเรียให้ฆ่าตัวตาย ด้วยการที่มันจะจำเพาะกับไขมันบางชนิดที่มีอยู่บนเยื่อหุ้มเซลล์ พอยาตัวนี้มันไปเกาะบนแบคทีเรีย แล้วฆ่าแบคทีเรียได้ แบคทีเรียจะพยายาม mutate หรือ กลายพันธุ์ เพื่อไม่ให้มีไขมันตัวนี้ ยาจะได้ไม่มาเกาะ ผลก็คือเมื่อแบคทีเรียขาดไขมันตัวนี้ มันก็จะตาย อยู่ไม่ได้ เพราะเยื่อหุ้มเซลล์ไม่เสถียรนั่นเอง

นี่คือตัวอย่างของนักฟิสิกส์ที่บุกเข้าไปทำงานของนักชีววิทยาครับ จึงไม่น่าแปลกอะไรที่อาจจะมีนักฟิสิกส์บุกเข้าไปทำงานทางด้านเกษตรอย่างที่ผมทำอยู่ ปีนี้เป็นปีทองของนักฟิสิกส์ของสหรัฐอเมริกา เพราะนักฟิสิกส์รางวัลโนเบลได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีพลังงานของสหรัฐฯ มีนักฟิสิกส์อีก 3-4 คน ได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของ Barack Obama เพราะสหรัฐฯ เตรียมพร้อมทุ่มเพื่อผลักดันโครงการวิทยาศาสตร์ขนาดใหญ่ ในช่วง 4 ปีข้างหน้าครับ .......
งานวิจัยแบบ Biophysics เพื่อศึกษาพื้นผิวเซลล์ ของไทยเองก็มีครับ หากใครสนใจลองติดต่อ ดร. ธีรพร ที่ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลดูครับ

21 ธันวาคม 2551

Killer Drone - ยานพิฆาตไร้คนขับ


ไม่ได้คุยเรื่องเทคโนโลยีทางการทหารมาพักนึงแล้วใช่ไหมครับ แต่ผมก็ติดตามความคืบหน้าศาสตร์ใหม่ๆทางกลาโหมมาตลอดครับ เพียงแต่ไม่ได้นำมาเล่าบ่อยเหมือนประเด็นอื่นๆ จากการที่ผมสังเกตความคืบหน้าทางด้านนี้ ทำให้ทราบว่าแนวโน้มของเทคโนโลยีจะไปทางด้าน Autonomous System หรือ ระบบดำเนินการได้เอง ซึ่งมาแรงมากทางการทหารครับ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบิน เรือรบ หุ่นรบ รถถัง หุ่นยนต์สืบข่าว ล้วนเน้นระบบที่สามารถดำเนินการเองได้ โดยอาศัยพึ่งพามนุษย์น้อยมาก ยิ่งนานวัน ระบบเหล่านี้ก็ยิ่งฉลาดมากขึ้น จนสามารถตัดสินใจเองได้ในเรื่องที่ซับซ้อน ประหนึ่งสิ่งเหล่านี้ก็มีชีวิตครับ

ล่าสุดทางราชนาวีสหรัฐฯ ได้เปิดตัวยานไร้คนขับรุ่นใหม่ที่มีความสามารถในการดำเนินการเอง ยานรบไร้คนขับ X-47B ลำนี้สามารถบินขึ้นจากดาดฟ้าเรือบรรทุกเครื่องบินเพื่อออกปฏิบัติการรบได้ มีความสามารถในการเติมน้ำมันกลางอากาศได้เอง ในทางการทหาร ยานรบแบบนี้ถูกเรียกว่า Robocraft (หรือ หุ่นยนต์เวหา) เจ้า X-47B ตัวใหม่นี้จะมีความสามารถเหนืออากาศยานไร้คนขับ หรือ ที่มักเรียกว่า UAV (Unmanned Aerial Vehicle) ที่เคยสร้างมาตรงที่มันคือเครื่องบินจริง มีขนาดใหญ่บรรทุกระเบิดออกไปถล่มที่หมายได้ มันสามารถบินขึ้นและลงจอดเองบนดาดฟ้าเรือบรรทุกเครื่องบิน โดยไม่ต้องไม่ยุ่งอะไรกับมันเลย เห็นไหมล่ะครับว่า นับวันเรื่องของ Intelligent Systems ยิ่งสำคัญขึ้นเรื่อยๆ .......

19 ธันวาคม 2551

The International Conference For Nanotechnology Industries 2009


มี conference ทางด้านนาโนเทคโนโลยีมากฝากแบบด่วนๆ ครับ เพราะกำหนดส่ง abstract ใกล้เข้ามาแล้วครับ นั่นคือ The International Conference For Nanotechnology Industries 2009 ซึ่งจัดโดย King Saud University ที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดิอารเบีย ระหว่างวันที่ 5-7 เมษายน 2552 กำหนดส่ง abstract นั้นเป็นวันที่ 7 มกราคม 2552 ครับ หัวข้อของการประชุมก็มีดังต่อไปนี้ครับ

  • Nanoparticles and Quantum dots.
  • Nanowires , Nanotubes and Carbon Nanotubes.
  • Thin film. Nanocomposite. Nanocoating.
  • Nanobiotechnology (drug delivery , nanomedicine , nanobioimaging , DNA-based nanotechnology).
  • Nanoscale; computation & modeling.
  • Nanolithography and Nanofabrication.
  • Educational & Training Aspects of Nanoscience.
  • Role of nanotechnology in advancing knowledge-based economy.
  • Application of Nanotechnology in :
  1. Water treatment.
  2. Environment.
  3. Energy.
  4. Electronics and Optoelectronics.

การประชุมครั้งนี้น่าสนใจตรงที่ ผู้จัดยกเว้นค่าลงทะเบียนให้ผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมดครับ ดังนั้นก็เสียค่าค่าเดินทาง กับโรงแรม ก็สามารถไปเข้าร่วมงานนี้ได้แล้วครับ ก็ถือว่าเศรษฐีน้ำมันเขาจัดแบบไม่หวังกำไรเลย ซาอุดิอาระเบียเองนั้นก็เป็นประเทศล่าสุดที่ทุ่มทุนมหาศาล เพื่อเข้าร่วมขบวนรถไฟเพื่อเป็นมหาอำนาจทางด้านนาโนเทคโนโลยี มีการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางนาโนเทคโนโลยี โดยศูนย์นี้จะดำเนินการวิจัยมุ่งเป้าในศาสตร์แนวหน้าของโลก ได้แก่ การพัฒนาเซลล์สุริยะ การเปลี่ยนน้ำทะเลเป็นน้ำจืด และปิโตรเคมียุคนาโน (ประเทศอาหรับมีแผนจะเป็นศูนย์กลางปิโตรเคมีของโลก ดังนั้นในอนาคตอันใกล้ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีของไทย ไม่ว่าจะเป็น เครือซีเมนต์ไทย ปตท. ทีพีไอ จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะต้นทุนแพงกว่า) อีกทั้งตอนนี้ซาอุดิอาระเบียกำลังให้ความสนใจเป็นอย่างมากกับ Precision Agriculture หรือ เกษตรความแม่นยำสูง ซึ่งปัจจุบันนั้นมีมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นผู้นำในศาสตร์ด้านนี้ครับ และเราต้องรีบทำงานเพื่อแข่งกับการเข้ามาของประเทศอาหรับครับ เพื่อให้ประเทศไทยยังรักษาความเป็นครัวของโลกอยู่ได้

Nano Road - ถนนนาโน (ตอนที่ 3)


วันนี้ ผมกลับมาเล่าต่อนะครับในเรื่องของนาโนเทคโนโลยี ที่จะเข้ามาช่วยทำให้ถนนในศตวรรษที่ 21 มีความน่าขับมากยิ่งขึ้น ในช่วงปีใหม่ที่จะถึงนี้ หากท่านผู้อ่านจะต้องออกไปเที่ยวต่างจังหวัด ก็ลองสังเกตดูนะครับ ว่าทางหลวงเมืองไทยนั้น พื้นถนนจะมีอยู่ 2 ประเภท คือที่เป็นคอนกรีต กับลาดยางมะตอย เวลารถวิ่งบนถนนคอนกรีตจะรู้สึกว่ามีเสียงดังเข้ามาและรู้สึกถึงการสั่นสะเทือน แต่พอรถผ่านเข้าไปสู่ถนนที่ลาดยางมะตอย ก็จะรู้สึกว่ารถวิ่งนิ่มดี ถนนเมืองไทยเมื่อก่อนก็มีแต่ลาดยางครับ แต่เดี๋ยวนี้ก็นิยมเทคอนกรีตมากขึ้น แต่พอรถบรรทุกวิ่งบดขยี้จนพังจะซ่อมยากมาก สุดท้ายพอทำใหม่ก็จะเปลี่ยนกลับมาเป็นยางมะตอยเหมือนเดิม วันนี้ผมจะขอพูดถึงนาโนเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยทำให้เกิดคอนกรีตแบบใหม่ ที่มีคุณสมบัติดีขึ้นครับ


คอนกรีต ประกอบด้วยวัสดุที่มีขนาดต่างๆ ผสมผสานกัน ตั้งแต่ในระดับที่มองเห็นด้วยตาเปล่า เล็กลงไปจนถึงระดับนาโน คอนกรีตเป็นวัสดุที่มีรูพรุนมากมาย ทั้งที่มีขนาดใหญ่และเล็กลงไปจนถึงระดับนาโน องค์ประกอบสำคัญที่ทำหน้าที่คล้ายกาวเกิดจากปฏิกริยาระหว่างซีเมนต์กับน้ำ ทำให้ได้โครงสร้างของแคลเซียม-ซิลิเกต-ไฮเดรต (C-S-H) ที่จะเป็นตัวประสานวัสดุผสมทั้งหลายแหล่ในคอนกรีตให้ยึดเกาะกัน หากมองลึกลงไปถึงระดับนาโน ก็จะพบว่าวัสดุประสานนั้นได้สร้างพันธะเคมีเข้ายึดเกาะกับวัสดุอื่นๆในคอนกรีต จำนวนและความแข็งแรงของพันธะเคมีเหล่านั้นเอง ที่สะท้อนความแข็งแรงของโครงสร้างคอนกรีตทั้งหมด ดังนั้นคำตอบของการทำให้คอนกรีตมีความแข็งแกร่ง จึงอยู่ที่จะต้องทำให้กาว C-S-H มีโครงสร้างนาโนที่ดี และทำหน้าที่ยึดเกาะประสานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในวงการวิจัยคอนกรีตได้พยายามหาคำตอบโดยใช้หลักการของนาโนศาสตร์เข้าไปทำความเข้าใจในพันธะเคมีเหล่านั้นว่าอยู่กันอย่างไร จะทำให้พันธะเคมีเหล่านั้นแข็งแกร่งขึ้นได้หรือไม่ ได้มีการทดลองใส่ผงนาโนซิลิกา (Silica Fume) ซึ่งเป็น วัสดุเหลือทิ้งจากโรงงานกระจกเข้าไปในคอนกรีตแล้วพบว่าสามารถเพิ่มกำลังของคอนกรีตได้ ทั้งนี้หากใส่มากเกินไปก็จะไปลดความแข็งแรงของโครงสร้างได้ด้วยเช่นกันโดยอัตราส่วนที่ใส่เข้าไปแล้วได้กำลังอัดมากที่สุดนั้น ยังคงเป็นปริศนาอยู่ว่าเกิดจากอะไร ดังนั้นการศึกษาเพื่อให้เข้าใจการทำงานของคอนกรีตในระดับนาโนจึงมีความจำเป็น หากคิดจะพัฒนาคอนกรีตให้กลายเป็นซูเปอร์คอนกรีต คอนกรีตและซีเมนต์ในยุคต่อไปจะเป็นวัสดุผสมที่แท้จริง โดยมีการผสมผสานกับวัสดุอื่นๆ ได้หลากหลายนอกจากอนุภาคนาโนที่กล่าวมา เราสามารถนำคอนกรีตไปผสมกับเส้นใยนาโนของเหล็กเพื่อเพิ่มกำลังอัดและต้านทานการแตกร้าว ผสมกับอนุภาคดินนาโนและพอลิเมอร์ (Nanoclay-polymer) เพื่อเพิ่มความต้านทานต่อสารเคมีและลดการซึมของน้ำ เป็นต้น

17 ธันวาคม 2551

Mixed Reality - เมื่อความฝัน ผสมพันธุ์กับ ความเป็นจริง (ตอนที่ 3)


วันนี้มาคุยกันต่ออีกนิดนะครับ เกี่ยวกับศาสตร์ที่จะทำให้นามธรรมมาร่วมอยู่อาศัยกับรูปธรรม หรือ ความฝันมาอยู่ด้วยกันกับความจริง ศาสตร์ที่เรียกว่า Mixed Reality นี้จะทำให้สิ่งของที่มีตัวตนอยู่จริงๆ จะอยู่ร่วมกับสิ่งของที่สร้างขึ้นมา (Digital Object) โดยสิ่งของทั้ง 2 ประเภทเหล่านั้นจะอยู่ร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์กัน เหมือนประหนึ่งว่าสิ่งของที่เป็นของเสมือนนั้นมีตัวตนจริงๆ (ในทางกลับกัน สิ่งของที่อยู่ในโลกแห่งความจริง ก็จะเสมือนกับว่าเป็นสิ่งของที่อยู่ในโลกแห่งความฝันไปด้วยเช่นกัน เพราะสิ่งของดิจิตอลก็จะรับรู้สภาพหรือความเป็นดิจิตอลของสิ่งนั้น


เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีการจัดการแข่งขันทางการบินที่ประเทศสเปน เป็นการแข่งขันระหว่างเครื่องบินจริง นักบินจริง กับเครื่องบินที่สร้างขึ้นมาในคอมพิวเตอร์ ควบคุมโดยนักบินที่เป็นเด็กวัยรุ่นคอเกมส์ ซึ่งไม่เคยขึ้นบินจริงๆมาก่อนเลย การแข่งขันพิเรน ๆ แบบนี้จัดขึ้นโดยบริษัท Air Sports Ltd. ของนิวซีแลนด์ ร่วมกับ Geospatial Research Center ของประเทศนิวซีแลนด์ ผลการแข่งขันนั้นถึงแม้เครื่องบินเสมือนจะเข้าเส้นชัยทีหลัง แต่ก็ตามห่างเครื่องบินจริงที่ได้รับชัยชนะเพียงแค่ 1.5 วินาที เท่านั้น แถมนักบินจริงท่านนั้นก็เป็นมือวางอันดับ 4 ของโลกอีกต่างหาก

ในการแข่งขันการบินระหว่างเครื่องบินจริงกับเครื่องบินเสมือนนี้ นักบินจริงจะนั่งขับอยู่ในเครื่องบินจริงบนฟ้า นักบินปลอมจะนั่งขับเครื่องบินเสมือนบนพื้นดิน นักบินของเครื่องบินเสมือนจะเห็นตำแหน่งของเครื่องบินจริงบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเขา นักบินจริงจะมีหน้าจอบนเครื่องของเขาที่บอกตำแหน่งต่างๆ และเป้าหมายเสมือนบนท้องฟ้า ที่เขาจะต้องบินผ่านแข่งกับเครื่องบินปลอม

นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความจริงผสมความฝันที่กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนโลก วันหลังผมจะมาเล่าต่อถึงตัวอย่างอื่นๆ ของ Mixed Reality อีกนะครับ ......

15 ธันวาคม 2551

The Post-American World - โลกยุคใหม่ที่ไม่คลั่งไคล้อเมริกา (ตอน 3)


เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2551 ที่ผ่านมานั้น เป็นวันประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาที่คนผิวสีได้ถูกรับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดี แต่ในมุมมองของผมนั้น ตรงนั้นกลับไม่สำคัญเท่าไหร่นัก สิ่งที่ผมมองคือ ชาวอเมริกันเลือกที่จะเปลี่ยนตัวเองหรือไม่ เลือกที่จะออกจากความเสื่อมถอยที่ประเทศสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญอยู่หรือไม่ ถ้าชาวอเมริกันยังเลือกพรรครีพับบลิกันอยู่ นั่นคงจะเป็นการเสื่อมถาวรของประเทศนี้ แต่ในที่สุดสหรัฐอเมริกาก็เลือกทางเดินที่จะเปลี่ยนตัวเอง ให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ......

ในแง่ของวิทยาศาสตร์นั้น ประเทศสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับความเสื่อมถอยครั้งใหญ่ ทุกๆเดือนตุลาคมของทุกๆ ปี เรามักจะได้เห็นนักวิทยาศาสตร์อเมริกัน เข้ารับรางวัลเชิดชูเกียรติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก นั่นคือรางวัลโนเบล แต่เดือนตุลาคม 2008 นี้ช่างเงียบเหงาสำหรับวงการวิทยาศาสตร์อเมริกัน ว่ากันว่า ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมานั้น เป็นเหมือนฝันร้ายของวงการนี้ โดยเฉพาะในเรื่องของ Alternative Energy ซึ่งประธานาธิบดีบุช ไม่ได้ให้ความสำคัญเลยครับ Professor Steven Chu นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล ค.ศ. 1997 จากผลงานการหยุดและกักขังหน่วงเหนี่ยวอะตอม (Laser Cooling and Trapping of Atoms) กล่าวว่า "ยังมีโอกาสที่รัฐบาลใหม่จะทำอะไรได้ เพื่อไม่ให้อเมริกาตกต่ำไปกว่านี้ รัฐบาลกลางต้องลงทุนหนักๆ ให้แก่ มหาวิทยาลัยบางแห่ง ห้องปฏิบัติการแห่งชาติสัก 2-3 แห่ง ให้เงินไปถึงคนเจ๋งๆ ที่ทำงานได้จริงๆ" ศาสตราจารย์ Chu เป็นผู้ออกโรงเตือนรัฐบาลของบุชอยู่บ่อยๆ ว่า หากขืนยังปล่อยให้งานวิจัยแบบ Short-term Research ที่มุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มากลืนกินงานวิจัยแบบ Long-term fundamental research ที่มุ่งสร้างองค์ความรู้ใหม่ไว้เก็บกินยาวๆ ประเทศสหรัฐอเมริกาจะเสื่อมถอยไปเรื่อยๆ ท่านบ่นอย่างเศร้าๆ แถมทำตาปริบๆ เมื่อประเทศกลุ่ม EU ออกมาประกาศความสำเร็จของเครื่องเร่งอนุภาคเครื่องใหม่ ที่กำลังจะไขความลับของจักรวาล

ความมีวิสัยทัศน์ ความกระตือรือร้น และ ความเก่งของ Steven Chu ทำให้เขาเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่จะได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของอเมริกา ในรัฐบาลของ Barack Omaba นี้ ปัจจุบันท่านศาสตราจารย์ Chu ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ Lawrence Berkeley National Laboratory อยู่ครับ ห้องทำงานของท่านสวยมาก เห็นสะพาน Golden Gate ด้วยครับ ซึ่งจริงๆผมก็เคยไปนั่งเล่นในห้องนั้นมาแล้วครับ ก็รู้สึกเสียดายแทนท่านที่จะต้องย้ายไปอยู่วอชิงตันแทน หากได้รับตำแหน่งใหม่นี้


หาก Professor Steven Chu ได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรีพลังงานจริง ท่านจะเป็นคนแรกที่เป็นรัฐมนตรีพลังงานที่เคยได้รับรางวัลโนเบล รวมทั้งยังเป็นคนผิวสีอีกด้วย (Asian American)

12 ธันวาคม 2551

ห้องปฏิบัติการบนชิพ - Lab on a Chip (ตอนที่ 2)


ห้องปฏิบัติการจิ๋วหรือ LOC นี้สามารถนำไปใช้แทนที่ห้องปฏิบัติการจริงในหลายๆ ด้าน ซึ่งก็จะทำให้การตรวจวินิจฉัยต่างทำได้รวดเร็วขึ้น เช่น โรคฉี่หนู มาลาเรีย ไข้เลือดออก ไข้หวัดนก สามารถตรวจสอบได้ในพื้นที่เลย ไม่ต้องมีการเคลื่อนย้ายตัวอย่างโรคออกมา หน่วยทหารของสหรัฐอเมริกาได้เริ่มนำห้องปฏิบัติการจิ๋วไปใช้ในสนามรบ ทำให้ลดความเสี่ยงของหน่วยแพทย์ไม่ต้องไปอยู่ใกล้แนวข้าศึกมากเกินไป องค์การนาซาก็เริ่มมีการพัฒนาเพื่อนำไปใช้ในกิจการอวกาศ เพราะสะดวกสามารถนำห้องปฏิบัติการไปอยู่ในอวกาศได้หลายๆห้อง ไม่ต้องกังวลเรื่องพื้นที่และน้ำหนักบรรทุก


ถามว่าในเมืองไทยเริ่มมีคนทำเรื่องนี้ไหม คำตอบคือก็พอมีบ้างคือที่ ห้องปฏิบัติการนาโนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องกลจุลภาค หรือ MEMS Lab ของศูนย์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) จริงๆ แล้วห้องปฏิบัติการบนชิพนี่จะใช้โครงสร้างพื้นฐานเดียวกันกับไมโครชิพ นั่นคือแทนที่ลายวงจรของไมโครชิพซึ่งเป็นที่วิ่งของกระแสไฟฟ้า ก็กลายมาเป็นลู่วิ่งของๆ เหลว พวกอุปกรณ์เช่นตัวต้านทาน ไดโอด ทรานซิสเตอร์ ที่อยู่บนไมโครชิพ ก็เปลี่ยนมาเป็นปั๊ม คอลัมน์แยก ถังบรรจุสาร คอนเทนเนอร์สำหรับทำปฏิกริยา เป็นต้น บางคนก็จะเรียกเทคโนโลยีนี้ว่า Micro Total Analysis System หรือ u-TAS ดังนั้นผู้ที่สามารถจะทำงานวิจัยในเรื่องนี้ได้จึงกลายเป็นวิศวกรไฟฟ้าที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกอบชิพ ซึ่งก็ต้องทำงานร่วมกับนักเคมีและนักชีววิทยาโมเลกุลหรือนักเทคนิคการแพทย์ในการชิพไปใช้ประโยชน์ เจ้าห้องปฏิบัติการจิ๋วนี้ นอกจากมันจะมีประโยชน์ในตัวมันเองแล้ว หากมีการนำมันไปบูรณาการกับเทคโนโลยีก่อกำเนิดตัวอื่นๆที่กล่าวมาแล้ว เช่น เซ็นเซอร์ใยแมงมุม หรือ หุ่นยนต์จิ๋ว ก็จะเป็นการเพิ่มสมรรถนะของอุปกรณ์เหล่านั้นขึ้นไปอีก โดยผู้ที่จะถูกตรวจไม่จำเป็นต้องเคลื่อนที่มาที่โรงพยาบาล การเข้ามาของเทคโนโลยี LOC ทำให้ในอนาคต การตรวจวินิจฉัยโรคจะเขยิบออกจากโรงพยาบาลไปสู่ที่ๆ โรคนั้น หรือ คนเป็นโรคนั้น หรือ สิ่งมีชีวิตอื่นๆที่เป็นโรคนั้นใช้ชีวิตอยู่ หรือที่เรียกว่า Point of Care นั่นเอง เทคโนโลยี LOC จึงมีส่วนช่วยให้ Personal Medicine หรือ การแพทย์ส่วนบุคคลเป็นเรื่องที่ใกล้ความเป็นจริงขึ้นทุกทีๆ ความสำคัญของแพทย์ในอนาคตจะค่อยๆ ลดลงมาสู่ Intelligent Systems แทน ในอนาคตนักชีววิทยาเชิงโมเลกุล หรือ Molecular Biologist จะเข้ามาแบ่งตลาดสุขภาพจากคุณหมอไปแล้วล่ะครับ .......

11 ธันวาคม 2551

ห้องปฏิบัติการบนชิพ - Lab on a Chip (ตอนที่ 1)


จริงๆแล้ว เรื่องของห้องปฏิบัติการบนชิพ หรือ Lab on a Chip นั้น เป็นศาสตร์ที่ฮ็อตฮิตแรงมากในช่วง 4-5 ปีที่แล้ว และปัจจุบันก็ออกมาขายเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว แต่ผมก็ยังไม่ค่อยได้นำมาเขียนใน Blog เลยครับ


ห้องปฏิบัติการจิ๋วเป็นการย่อส่วนห้องปฏิบัติการทดลองจากห้องขนาด 50 ตารางเมตรลงไปอยู่ในชิพที่ปัจจุบันมีขนาดประมาณเล็บของนิ้วโป้ง และมีทีท่าว่าต่อไปขนาดของมันจะเล็กลงไปได้อีก ในวงการเคมีและวงการแพทย์ ห้องปฏิบัติการจิ๋วคือการปฏิวัติครั้งใหญ่ นึกถึงว่าเมื่อก่อนเวลานักเคมีจะสังเคราะห์สารสักตัว เขาต้องใช้พื้นที่ห้องปฏิบัติการเพื่อเป็นที่สำหรับตั้งชุดเครื่องแก้วเพื่อการผสมสาร แล้วอาจมีชุดกลั่นเพื่อแยกสาร มีเครื่องมือสำหรับวิเคราะห์องค์ประกอบ ในการสังเคราะห์สารอาจจะประกอบด้วยขั้นตอนที่ต้องมีการนำสารมาผสมกัน กรอง กลั่น แยกส่วน แล้วนำมาผสมกับสารตัวอื่นๆอีก แต่ว่าขั้นตอนเหล่านั้นกำลังจะหดลงไปอยู่ในชิพตัวเดียว สำหรับวงการแพทย์แล้วเรื่องนี้กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้ตนเลยทีเดียว ลองนึกดูนะครับว่าขณะนี้การตรวจสุขภาพประจำปีของเรานั้นเป็นกิจกรรมที่น่าเบื่อเพียงใด เราจะต้องไปเจาะเลือดและให้ตัวอย่างน้ำปัสสาวะแต่เช้า ถ้าอยากทราบผลก็ต้องรอนานหลายชั่วโมง ผลการตรวจเลือดอาจต้องรอข้ามวันข้ามสัปดาห์ แต่ขณะนี้ บริษัทหลายแห่ง กำลังพัฒนาห้องปฏิบัติการจิ๋วที่สามารถซื้อมาใช้ที่บ้านแล้วรอดูผลได้เลย ขั้นตอนการทำงานของห้องปฏิบัติการบนชิพนี้ก็เลียนแบบการทำงานของห้องปฏิบัติการจริงๆนั่นเอง ตัวอย่างเช่น เมื่อใส่ตัวอย่างเข้าไปที่ช่องที่เตรียมให้ ก็จะมีปั๊มซึ่งอาจอาศัยพลังงานจากแบตเตอรีก้อนเล็ก (เทคโนโลยีแบตเตอรีจิ๋วจึงมีส่วนสำคัญสำหรับเทคโนโลยีตัวนี้ด้วย) ดูดสารตัวอย่างให้ไหลมาตามท่อจิ๋วเพื่อมาผสมกับสารเคมีที่เตรียมไว้ในชิพ เมื่อผสมกันแล้วก็จะผ่านท่อไปยังส่วนแยก (โดยการย่อส่วนคอลัมน์แยกให้เล็กลงไปอยู่บนชิพ) ที่ปลายของคอลัมน์แยกก็จะมีท่อของสารเคมีอีกชนิดหนึ่งเพื่อปลดปล่อยสารให้เข้ามาผสมกัน แล้วเกิดเป็นสีให้ผู้ใช้สามารถดูว่าเป็นโรคอะไร โดยอาจมีท่อแยกออกไปหลายทางเพื่อให้ผลในลักษณะต่างๆ กัน ห้องปฏิบัติการจิ๋วที่มีความซับซ้อนขึ้นไปอีกก็อาจมีเซ็นเซอร์จิ๋วเอาไว้ตรวจสอบผลบางอย่างเพิ่มเติมได้


พรุ่งนี้ผมจะมาเล่าต่อเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้ต่อนะครับ ........

08 ธันวาคม 2551

The World without Us - ถ้าโลกนี้ไม่มีเรา (ตอนที่ 3)


โลกใบนี้หากไม่มีมนุษย์ซะอย่าง ภายในเวลาเพียง 20 ปีเท่านั้น ทุกอย่างที่มนุษย์เคยก่อร่างสร้างไว้ก็จะถูกธรรมชาติกลืนกินไปอย่างรวดเร็วครับ เพลงรักโรแมนติกทั้งหลายที่วาดฝันเอาไว้ว่า ถ้าหากโลกนี้เหลือเราเพียง 2 คน ก็คงจะมีความสุขอย่างล้นเหลือ เป็นเพียงแค่การวาดฝันที่เว่อร์ๆ ครับ เพราะในความเป็นจริง ชาย-หญิงคู่นี้จะอาศัยอยู่บนซากปรักหักพังที่รอวันถูกทำลายโดยธรรมชาติ


Alan Weisman ได้ค้นคว้าเพื่อตอบคำถามนี้ครับว่า หากมนุษย์หายไปจากโลกนี้ จะเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งต่างๆที่มนุษย์สร้างทิ้งเอาไว้ อาคารบ้านเรือน ถนนหนทาง โครงสร้างต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ชีวิตอื่นๆ ที่เหลืออยู่จะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไปบ้าง เขาได้เดินทางไปทั่วโลกเพื่อไปสัมภาษณ์นักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนักฟิสิกส์ นักธรณีวิทยา นักปฐพีวิทยา วิศวกร ศิลปิน นักสัตววิทยา นักชีววิทยา นักสมุทรศาสตร์ นักฟิสิกส์อวกาศ รวมไปถึงนักธรรมต่างๆ แม้แต่องค์ดาไล ลามะ ผู้นำจิตวิญญาณในพุทธศาสนามหายาน เนื่องจาก Weisman เป็นศาสตราจารย์สาขา Journalism and Latin American Studies อยู่ที่ University of Arizona ซึ่งเขาต้องสอนเพียงแค่ 1 วิชาในช่วงฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น เวลาที่เหลือเขาจึงว่างและสามารถเดินทางท่องเที่ยว เพื่อไปทำงานวิจัยในต่างแดนได้ทั่วโลก เขาได้เดินทางไปศึกษา DMZ หรือเขตปลอดทหาร ที่กั้นอยู่ระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ ซึ่งดินแดนนั้นเป็นที่ซึ่งมนุษย์ไม่ได้เข้าไปอยู่นานแล้ว โดยเขาได้ใช้ตัวอย่างของอารยธรรมมายา ที่หายสาบสูญไปทั้งๆที่เคยเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองที่สุดยุคหนึ่ง เมือง Chernobyl ในประเทศยูเครนหลังถูกทอดทิ้งเพียง 20 ปี Weisman ได้ข้อสรุปว่าหากมนุษย์เราหายไป โลกจะกลับกลายไปเป็นป่าที่สมบูรณ์ ภายในระยะเวลาไม่เกิน 500 ปี เหลือเพียงแต่พวกกากกัมมันตภาพรังสี พลาสติก กับรูปปั้นหน้าประธานาธิบดีสหรัฐ 4 ท่านที่แกะสลักจากหน้าผาหินแกรนิตที่ Mount Rushmore เท่านั้นที่จะเหลือเป็นหลักฐานความมีอยู่ของมนุษย์ไปอีกนาน

ยอดเทคโนโลยีในอีก 10 ปีข้างหน้า (ตอนที่ 4) - Autonomous Robot


ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2551 ที่ผ่านมานี้ เป็นเวลาที่บริษัท Google ครบรอบ 10 ปี ซึ่งบริษัทมูลค่าหลายแสนล้านบาท ที่เริ่มจากการมีสำนักงานตั้งอยู่ในโรงรถของเด็กชาย ที่ยังเรียนหนังสืออยู่ในระดับปริญญาตรี 2 คนนี้สามารถผงาดมาเทียบชั้นบริษัทไมโครซอฟต์ได้ในเวลาเพียงแค่ 10 ปีเท่านั้น ทำให้วารสาร Nature ฉบับวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551 ต้องตั้งคำถามว่า ถ้าเกิดต้องมองไปข้างหน้าอีกสัก 10 ปี หากจะมีบริษัทหรือเทคโนโลยีเด่นๆ เกิดขึ้นอีกสัก 10 อย่าง สิ่งนั้นน่าจะเป็นอะไร วันนี้ผมจะมาเล่าต่อถึงเทคโนโลยีที่ถูกมองๆ เอาไว้ว่าจะกลายมาเป็นสิ่งฮ็อตฮิตในอีก 10 ปีข้างหน้าครับ

ครับ .... เทคโนโลยีตัวต่อไปที่คาดว่าจะกลายมาเป็นของเล่น ของใช้กันทั่วไปคือ หุ่นยนต์ที่ดูแลตัวเองได้ หรือ Autonomous Robot การดูแลตัวเองได้หมายถึง มันจะทำงานตามหน้าที่ของมันโดยที่มนุษย์ไม่ต้องมานั่งเสียเวลาควบคุมอีกต่อไป การที่มันจะมีความสามารถแบบนั้น เจ้าหุ่นนี้จะต้องมีทักษะในความเข้าใจถึงสภาพล้อมรอบที่ตัวมันกำลังอาศัยอยู่ มันจะต้องสามารถเคลื่อนที่ไปทำกิจกรรมโดยไม่ต้องให้คนช่วย หากเจอสิ่งกีดขวาง หรือสภาพพื้นที่ที่ทำให้มันไปไม่ได้ มันจะต้องรู้จักหลบหลีก หาทางไปยังตำแหน่งที่มันอยากไปโดยอาศัยเส้นทางอื่น มันจะต้องมีซอฟต์แวร์ที่ฉลาดพอที่จะทำให้มันเรียนรู้ และเข้าใจสภาพล้อมรอบที่มันอาศัยอยู่ และต้องมีกึ๋นพอที่จะแก้ปัญหาที่มันไม่เคยเจอมาก่อนด้วย เมื่อพลังงานใกล้หมด เจ้าหุ่นแบบนี้ต้องรีบมาชาร์จพลังงานเองจากไฟบ้าน หรือต้องรีบจำศิลรอเติมไฟจาก solar cell ของมันเองให้มีไฟพอที่จำทำงานต่อ หุ่นยนต์ที่สามารถดูแลตัวเองได้นี้ อีกหน่อยจะเดินทำงานกันขวักไขว่ในไร่นา โดยมันจะมีความสามารถทำงานเป็นฝูงที่เรียกว่า Swarm Robots นอกจากนั้นแล้ว ที่ทำงานของมันก็อยู่ได้ทั้งในโรงงาน ไซต์ก่อสร้าง ออฟฟิศ ทำงานบ้าน รวมทั้ง สนามรบ ท่านผู้อ่านที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่อง WALL-E ก็จะเห็นภาพ Autonomous Robot ได้ไม่ยากเลยครับ เจ้าหุ่นกระป๋องที่มีรูปทรงเหมือนลูกบาศก์นี้ ทำงานเก็บและอัดขยะให้เป็นรูปสี่เหลี่ยม มันทำงานทุกวันโดยไม่มีมนุษย์ดูแล ตลอดระยะเวลากว่า 700 ปีที่ผ่านไปโดยไม่มีมนุษย์อยู่บนโลก มันทำงานเก็บขยะทุกวัน โดยเหลือมันเพียงตัวเดียวที่สามารถเอาตัวรอด ด้วยการเรียนรู้ที่จะหาบ้านอยู่ หาอะไหล่เปลี่ยนเอง หาพลังงานใช้เอง


ภาพบน - อีกหน่อย หุ่นยนต์จะออกมาทำงานกันเป็นกองทัพ

05 ธันวาคม 2551

เครือข่ายกายสัมผัส - Body Area Network (ตอนที่ 2)


อีกไม่นานร่างกายของมนุษย์ ก็จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายข้อมูลแล้วครับ ด้วยเทคโนโลยีเครือข่ายกายสัมผัส Body Area Network หรือ BAN นั้นจะทำให้เราสามารถส่งถ่ายข้อมูลไปให้ผู้อื่น หรือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ด้วยการสัมผัส นักวิจัยทั่วโลกกำลังก้มหน้าก้มตากันพัฒนาอุปกรณ์บนร่างกายมนุษย์ หรือ ฝังลงไปในร่างกายมนุษย์ เซ็นเซอร์ตรวจวัดต่างๆ เช่น การหายใจ จังหวะหัวใจ ปริมาณกลูโคส ความดันเลือด การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ ซึ่งเซ็นเซอร์เหล่านี้จะอยู่บนเครือข่าย BAN โดยส่งข้อมูลคุยกันผ่านผิวหนังของมนุษย์นั่นเอง เซ็นเซอร์อาจนำไปติดบนเสื้อผ้า นาฬิกา รองเท้า หรือฝังไว้ใต้ผิวหนัง และอื่นๆ แล้วส่งข้อมูลมาที่อุปกรณ์มือถือ เพื่อส่งให้ Server ของโรงพยาบาล

งานประยุกต์ของ BAN มีได้มากมายครับ ไม่ใช่แค่ในเรื่องสุขภาพหรือการแพทย์เท่านั้น ยักษ์ใหญ่แห่งวงการอิเล็กทรอนิกส์อย่าง Philips กำลังทำการวิจัยอย่างเข้มข้นในเรื่องของการให้มนุษย์เข้าไปอยู่เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายข้อมูล BAN สามารถทำแบบไร้สายเรียกว่า Wireless Body Area Networks ซึ่งจะทำให้อุปกรณ์บนร่างกายของเรา สามารถที่จะคุยกับอุปกรณ์อื่นๆ บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้ ที่ผมชอบมากๆ คือรูปทางซ้ายมือครับ Philips เขาคิดไอเดียที่จะสร้างเครือข่ายอารมณ์ หรือ Emotion Networks ต้นแบบที่เขานำมาสาธิตนั้นเป็นสร้อยคออารมณ์ ซึ่งจะเปลี่ยนสีตามอารมณ์ของผู้สวมใส่ มันจะตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการหายใจ อุณหภูมิร่างกาย และอื่นๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถส่งไปยังอุปกรณ์อื่นๆ รวมทั้งเจ้าสร้อยคออารมณ์สามารถคุยกันเองกับสร้อยคอที่คนอื่นใส่ ทำให้คนอื่นสามารถรับรู้สภาพอารมณ์ของเราได้ ก่อนหน้านี้ถ้ายังจำกันได้ ผมเคยนำเรื่องหมอนบอกรักได้มานำเสนอครั้งหนึ่งแล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นรูปแบบหนึ่งของเครือข่ายอารมณ์ ที่เราสามารถส่งข้อมูลอารมณ์ ความรู้สึกของเราผ่านหมอนของเรา ไปยังหมอนใบอื่นๆ

03 ธันวาคม 2551

เครือข่ายกายสัมผัส - Body Area Network (ตอนที่ 1)


ผมเชื่อว่าทุกคนเคยได้ยินวลีที่ว่า "มองตาก็รู้ใจ" นั่นแสดงว่ามนุษย์เรารู้จักการส่งข้อมูล ผ่านทางสายตามานานแล้ว นอกจากนั้นเรายังใช้การส่งข้อมูลด้วยการสัมผัสกายกัน เราจับมือเพื่อนที่กำลังร้องไห้เสียใจเพราะความรัก เพื่อส่งความรู้สึกแสดงความเห็นใจไปสู่เขา การปลอบโยนผู้อื่นด้วยการตบหลัง หรือลูบหลังเบาๆ ก็เป็นการส่งข้อมูลความรู้สึกเห็นอกเห็นใจให้แก่ผู้อื่น คนที่พึ่งจีบกันหรือแม้แต่สามีภรรยาที่อยู่ด้วยกันมานาน ก็ชอบที่จะจับมือกันเพื่อส่งความรู้สึกดีๆให้แก่กัน จะเห็นได้ว่าข้อมูลที่ส่งให้แก่กันและกันผ่านการสัมผัสทางกายเหล่านี้ เป็นข้อมูลเชิงความรู้สึก ไม่สามารถประเมินเชิงตัวเลขหรือเชิงปริมาณได้ แต่ต่อนี้ไปด้วยเทคโนโลยีเครือข่ายกายสัมผัส Body Area Network หรือ BAN จะปฏิวัติโลก เพื่อทำให้เราสามารถส่งข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไฟล์ power point รูปภาพถ่ายจากกล้องดิจิตัล เพลง MP3 ต่างๆ ไฟล์ MS Word ไปให้คนอื่นๆ ผ่านการแตะมือกัน ผมจะทยอยมาเล่าความก้าวหน้าของศาสตร์ทางด้านนี้ในตอนต่อๆ ไป รวมไปถึงระบบนี้ทำงานอย่างไรด้วย แต่ตอนที่ 1 นี้เพื่อเรียกน้ำย่อย ผมจะขอยกตัวอย่างความก้าวหน้าในเรื่อง Body Area Network ที่นำออกมาสาธิตโดย Electronics and Telecommunications Research Institute (ETRI) แห่งประเทศเกาหลีครับ

ต้นแบบที่ ETRI นำมาสาธิตนั้นจะทำให้เราสามารถส่งไฟล์ที่เราต้องการพิมพ์ จากโทรศัพท์มือถือ โน๊ตบุ๊ค หรือ PDA ไปยังเครื่องพิมพ์ด้วยการแตะที่เครื่องพิมพ์ครับ ต้นแบบแรกของ ETRI นี้เป็นถุงมือส่งข้อมูลครับ ปัจจุบันเครือข่ายกายสัมผัสของ ETRI ทำความเร็วในการส่งข้อมูลที่ 1 เมกะไบต์ต่อวินาที ซึ่งก็ยังมีโอกาสเร่งความเร็วในต้นแบบรุ่นต่อๆไปได้อีก รวมทั้งอีกหน่อยอาจจะไม่จะเป็นต้องมีถุงมือส่งข้อมูลก็ได้ โดยติดตั้งอุปกรณ์รับส่งที่ตัวอุปกรณ์มือถือ โน๊ตบุ๊ค โดยตรง ต่อไปเราจะเวลาไปเที่ยวเป็นหมู่คณะ ก็ไม่จำเป็นต้องยืนตากแดดนานๆ เพื่อถ่ายรูปหมู่ ซึ่งต้องเอากล้องคนนู้น กล้องคนนี้ เวียนกันไปจนครบ ถ่ายแค่กล้องเดียว แล้วแตะมือกัน ข้อมูลจากกล้องเราก็จะไปอยู่ในกล้องเพื่อนต่อๆ กันไป

(รูปข้างบน: ต่อแต่นี้ไป การแตะมือกันไม่ใช่เพียงถ่ายทอดความรู้สึกหรืออารมณ์เท่านั้น แต่ยังสามารถส่งข้อมูลติจิตัลได้ด้วย)


01 ธันวาคม 2551

108-1009 (ร้อยแปด พันเก้า)


วันนี้ขอเก็บตกจากงานประชุมชานานาชาติเรื่องชาที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ต่ออีกนิดนะครับ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมอยู่ต่างจังหวัดทางภาคเหนือเกือบทั้งสัปดาห์เลยครับ เข้าร่วมงานประชุมแค่ 2 วันเท่านั้น ที่เหลือก็ตระเวณตามดอยต่างๆ ทั้งดอยสุเทพ สะเมิง ดอยตุง ดอยช้าง ดอยอินทนนท์ ในรูปทางด้านซ้ายนั้น เป็นรูปที่ผมถ่ายกับป้ายจราจร เป็นเส้นทางที่นำเราไปจุดสูงสุดของประเทศไทย ซึ่งก็คือดอยอินทนนท์ไงล่ะครับ หลายๆคนที่เคยขึ้นดอยแห่งนี้ อาจจะลืมสังเกตป้ายจราจรที่ผมถ่ายมาให้ดูนี้ เค้าตั้งอยู่ที่สามแยกทางขึ้นดอยอินทนนท์ก่อนถึงไฟแดง พอผมไปถึงผมขอให้คนขับรถจอดเพื่อลงไปถ่ายรูป คนขับยังถามงงๆ ว่าถ่ายไปทำไม ผมบอกเค้าว่าป้ายแบบนี้มีแห่งเดียวในประเทศไทย เพราะมันอ่านว่า "ร้อยแปด พันเก้า" ไงครับ ผมจึงมักจะเรียกเส้นทางขึ้นดอยอิน (ขอเรียกสั้นๆนะครับ) ว่า เส้นทาง "ร้อยแปด พันเก้า" เพราะเราต้องใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 108 ก่อน จากนั้นจะแยกเข้าทางขวาเพื่อใช้ทางหลวงหมายเลข 1009 ต่อ จริงๆ เส้นทางนี้น่าเที่ยวมากๆ สมกับเป็นเส้นทางร้อยแปดพันเก้า ที่มีทั้งน้ำตกสวย ป่าดิบ โครงการหลวง พระธาตุ ชุมชนชาวเขาเผ่าต่างๆ มหาวิทยาลัย สถาบันดาราศาสตร์แห่งชาติ สถานีเรดาห์ รีสอร์ทต่างๆ ไปจนถึงสถานีตรวจวัดนิวตรอน โอ้โฮ ครบรสเลยครับ ด้วยความน่าเสน่หาของดอยอิน ผมมักจะแวะมาที่แห่งนี้ทุกๆปี ทั้งฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว (แล้วก็ฤดูอกหักด้วย)


ด้วยการที่ภูมิประเทศของภาคเหนือเป็นภูเขาน้อยใหญ่ สลับซับซ้อน สภาพภูมิอากาศท้องถิ่น หรือ micro-climate จะแตกต่างกันไปได้ค่อนข้างมาก ไม่เหมือนทางภาคกลาง หรือ ภาคอีสาน ที่ภูมิอากาศจะคล้ายๆกัน แต่ในภาคเหนือนี้ ดอยที่อยู่ถัดไปใกล้ๆกัน ก็จะมี micro-climate แตกต่างกันได้มาก หรือแม้แต่ไร่เดียวกัน อย่างไร่ชาอาจมีบริเวณที่ slope แตกต่างกัน มีทิศทางแตกต่างกัน ทำให้ได้แสงแดดไม่เท่ากัน อุณหภูมิและความชื้นในอากาศ ที่ผิวดิน หรือในดิน อาจมีความแตกต่างกันได้ สภาพการรับน้ำก็แตกต่างกันได้มาก การทำไร่ชาของชาวเขาจึงเกิดสภาพที่ว่า บางไร่มีผลผลิตดี บางไร่ผลผลิตแย่ ทำให้การควบคุมคุณภาพของชาในบริเวณเดียวกันเพื่อที่จะสร้างแบรนด์ท้องถิ่นทำได้ยาก ด้วยความที่ลักษณะของ micro-environment ในพื้นที่เกษตรมีได้ "ร้อยแปด พันเก้า" นี่เอง ทีมงาน Smart Farm ของเราจึงตัดสินใจจะนำเทคโนโลยี Precision Agriculture ไปติดตั้งและทดลองภาคสนามที่ ไร่ชาดอยช้าง จ.เชียงราย เริ่มตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปครับ

30 พฤศจิกายน 2551

Thailand Tea 2008 - Conference Report


สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ผมเพิ่งกลับมาจากเชียงใหม่ด้วยรถไฟมาถึงกรุงเทพฯ เมื่อเช้านี้เองครับ ทางเหนืออากาศค่อนข้างหนาวทั้งที่ดอยตุง แม่สาย เชียงราย เชียงแสน และดอยอินทนนท์ อากาศดี สูดหายใจสบายสุดปอดสุดๆ ลืมเรื่องร้ายๆในกรุงเทพฯไปหมดเลยครับ ผู้คนต่างจังหวัดก็ยังมีความสุขกันปกติ ไม่เห็นมีใครอยากดูข่าวเลย งงมากๆครับ


ในช่วงวันที่ 26-28 พฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมานั้น ผมและคณะวิจัยได้มีโอกาสเข้าร่วมงานประชุมวิชาการ International Conference on Tea Production and Tea Products ซึ่งจัดโดย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ. เชียงราย ร่วมกับ หน่วยงานต่างๆ งานประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมวิชาการระดับนานาชาติครั้งแรกของเมืองไทย ที่เกี่ยวกับชา มีผลงานเสนอทั้งในภาคบรรยายและโปสเตอร์จำนวน 23 เรื่อง ซึ่งถือว่าไม่มากครับ ผมเลยมีโอกาสได้ฟังและเข้าร่วมเกือบจะทุกผลงาน นอกจากผลงานทางวิชาการที่เป็นงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับเรื่องชาแล้ว ที่ผมชอบมากก็คือมีสิ่งที่เรียกว่า Country Reports ซึ่งเป็นการเชิญผู้รู้เรื่องวงการชาของประเทศต่างๆ มาบรรยายสถานภาพการผลิตชา และตลาดชาในประเทศของตนเอง ได้แก่ จีน อินเดีย ไต้หวัน ญี่ปุ่น เวียดนาม ศรีลังกา อินโดนีเซีย มาเลเซีย ทำให้ได้เห็นว่าประเทศไทยมีส่วนร่วมในตลาดชาของโลกน้อยมากๆครับ เจ้าใหญ่ที่ส่งออกมากที่สุดเป็น จีน และ อินเดีย แต่ที่น่ากลัวและกำลังมาแรงคือ เวียดนาม เกจิจากอินเดียที่มาพูดในงานนี้เขาฟันธงว่าอีกไม่เกิน 5 ปี ประเทศเวียดนามจะเป็นผู้ผลิตชารายใหญ่ของโลกแซงหน้าอินเดีย ซึ่งผมค่อนข้างเชื่อครับ เพราะตลอดปีที่ผ่านมาผมได้นั่งเฝ้าดูสภาพภูมิอากาศของอินเดีย พบว่าได้รับผลกระทบจาก Climate Change เป็นอย่างมาก มีสภาพฝนแล้งทั้งปีที่ผ่านมา


ในช่วงการประชุมทางผู้จัดได้มีการนำผู้เข้าร่วมประชุมไปดูงานบริษัทผลิตชาที่ดอยแม่สลอง และดอยช้าง ผมเองก็ได้เดินทางไปดูพื้นที่ปลูกชาของบริษัทชาดอยช้าง ซึ่งเท่าที่ทราบมานั้น ที่นี่เป็นเจ้าเดียวหรือไม่กี่เจ้าที่ทำการเพาะปลูกแบบไม่ใช้สารเคมี ทำให้ผมเกิดความสนใจที่จะนำระบบเกษตรแม่นยำสูง (Precision Agriculture) ไปทดลองใช้ในไร่ชาแห่งนี้ครับ ซึ่งทางเจ้าของสถานที่มีความสนใจในเทคโนโลยี Smart Farm มาก พวกเรากะว่าจะเดินทางขึ้นไปอีกทีในช่วงกลางเดือนธันวาคม เพื่อไปทำแผนที่ไร่และติดตั้งระบบครับ

27 พฤศจิกายน 2551

Nano Road - ถนนนาโน (ตอนที่ 2)


ตอนนี้ผมยังอยู่ที่เชียงรายครับ จะอยู่ต่ออีกสัก 2-3 วัน เพื่อหลบความวุ่นวายจากพวกพันธมิตรที่ก่อเหตุรุนแรงในกรุงเทพฯ อากาศทางเหนือตอนนี้หนาวครับ ปีนี้มีแนวโน้มว่าจะหนาวยาวหน่อยครับ วันนี้ผมมาพูดเรื่องถนนนาโนต่อจากวันก่อนครับ .....

งานวิจัยที่กรมทางหลวงสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนงบประมาณ เพื่อพัฒนาถนนหนทางให้มีความฉลาดขึ้นนี้ มีตั้งแต่ การศึกษาโครงสร้างระดับนาโนในคอนกรีต ความเข้าใจในเรื่องของการผุกร่อนของโครงสร้างลงไปถึงระดับนาโน การพัฒนาคอนกรีตที่ใช้วัสดุทางเลือกอื่นๆ เช่น เถ้าลอย จีโอพอลิเมอร์ (Geopolymer) เป็นต้น การพัฒนาวัสดุผสมเพื่อเสริมโครงสร้างให้แข็งแกร่งมากขึ้น รวมไปถึงเหล็กกล้าที่มีโครงสร้างนาโน สำหรับทำโครงสร้างสะพาน แอสฟัลต์ (Asphalt) ชนิดใหม่ที่ใช้วัสดุทางเลือกเช่น ยางรถยนต์ที่ใช้แล้ว เป็นต้น ในการที่จะทำให้ทางหลวงกลายมาเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ฉลาด กรมทางหลวงสหรัฐฯ ได้ฝากความหวังไว้กับ วัสดุที่สามารถรักษา-ซ่อมแซม-ทำความสะอาดตัวเองได้ (Self-Healing/Self-Repair/Self-Healing) ซึ่งเป็นหัวข้อลำดับต้นๆ ที่ได้รับความสำคัญ เครือข่ายเซ็นเซอร์ไร้สายที่สามารถติดตามสภาพการใช้งานตลอดจนสามารถรายงานข้อมูลไปที่ศูนย์ข้อมูลได้ ซึ่งปัจจุบันมีการทดลองติดตั้งที่สะพานโกลเด้นเกตอันลือชื่อของ ซาน ฟรานซิสโก ในอนาคตเซ็นเซอร์ไร้สายเหล่านี้อาจทำให้เล็กลงไปจนถึงสิ่งที่เรียกว่า ฝุ่นหรือผงอัจฉริยะ (Smart Dust หรือ Smart Aggregate) ซึ่งสามารถโรยลงไปในคอนกรีตขณะที่ทำการก่อสร้างถนนหรือสะพานได้เลย โดยทางหลวงทั้งหมดจะมีลักษณะเหมือนระบบประสาท ที่มีความสามารถในการรับรู้ เก็บข้อมูล รายงานผล รับการสั่งการ ตอบสนองต่อสิ่งเร้าหรืออันตรายต่างๆ ลองจินตนาการถึงระบบทางหลวงที่สามารถเชื่อมโยงโดยตรงกับเซ็นเซอร์ต่างๆ สามารถเตือนภัยผู้ขับขี่ล่วงหน้าในเรื่องของ หมอก ควัน ลม ฝน รวมไปถึงการสั่งการให้โครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ทำงานเพื่อตอบสนองกับสิ่งเร้า ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณจราจร สัญญาณฉุกเฉิน ไฟส่องสว่าง ทางหลวงที่สามารถเปิดระบบทำความร้อนได้เองเพื่อละลายหิมะ สะพานที่สามารถปรับรูปร่างเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวขณะเกิดพายุรุนแรง

24 พฤศจิกายน 2551

Nano Road - ถนนนาโน


สวัสดีครับ หายไปหลายวันครับ ตอนนี้ผมอยู่เชียงใหม่ครับ พรุ่งนี้ผมจะเดินทางไปประชุมที่เชียงรายครับ พอมีเวลาเข้ามาอัพเดตนิดหน่อยนะครับ วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องการนำนาโนเทคโนโลยีมาใช้กับถนนหนทางครับ

ตลอดช่วงสหัสวรรษที่ผ่านมานั้น มนุษย์ได้นำเอาวัสดุก่อสร้างที่มีอยู่ในธรรมชาติมาใช้เป็นตัวต่อ (Building Blocks) เพื่อก่อร่างสร้างสถาปัตยกรรมและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อการดำรงอยู่ของอาณาจักร ไม่ว่าจะเป็น ถนน สะพาน เทวสถาน พระราชวัง ชาวอียิปต์โบราณนำหินหลายล้านก้อนมาก่อปิระมิดได้อย่างน่าอัศจรรย์ อาณาจักรขอมขนก้อนหินจากแหล่งกำเนิดที่อยู่ห่างออกไปนับร้อยกิโลเมตรเพื่อมาสลักและก่อสร้างนครวัดอันวิจิตรงดงามโดยไม่ต้องใช้วัสดุแต่งเติมใดๆเลย ชาวจีนสร้างกำแพงเมืองจีนจากก้อนหินยาวกว่า 6,000 กิโลเมตร ผ่านเทือกเขาสูงชันไปจนถึงทะเลทรายที่แห้งแล้ง ถึงแม้สิ่งก่อสร้างต่างๆที่กล่าวมานี้จะได้รับการยอมรับให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่เกิดขึ้นจากความอุตสาหะวิริยะและเทคโนโลยีที่เยี่ยมยอดของบรรพชนเหล่านั้น แต่สิ่งมหัศจรรย์เหล่านั้นก็ยังใช้วัสดุที่มาจากธรรมชาติ เป็นวัสดุที่ไม่ฉลาด ไม่มีหัวคิดไม่สามารถปรับตัวตามสภาพแวดล้อม ไม่สามารถมีฟังก์ชันหน้าที่มากไปกว่าการดำรงรักษาโครงสร้างซึ่งจะมีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา เทียบไม่ได้กับวัสดุยุคนาโน ที่มีความสามารถในการทำหน้าที่ต่างๆ จนมีคำเรียกวัสดุนาโนออกมาใช้กันมากมาย ไม่ว่าจะเป็น วัสดุออกแบบขึ้นมา (Designer Materials) วัสดุก้าวหน้า (Advanced Materials) วัสดุฉลาด (Smart Materials) วัสดุอัจฉริยะ (Intelligent Materials) วัสดุทำหน้าที่ (Functional Materials) วัสดุรับคำสั่งได้ (Programmable Materials) วัสดุมีโครงสร้างลำดับชั้น (Hierarchical Materials) ไปจนถึงวัสดุที่เป็นซอฟต์แวร์ (Matters as Software)

หลังจากที่ประธานาธิบดีคลินตันได้เดินหน้าโครงการนาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (National Nanotechnology Initiative หรือ NNI) เมื่อปี ค.ศ. 2001 ซึ่งได้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ตื่นตัวในการลงทุนวิจัยทางนาโนเทคโนโลยีไปทั่วโลกอย่างไม่เคยมีมาก่อน ศาสตร์ของนาโนเทคโนโลยีและนาโนวัสดุได้เข้าไปแทรกซึมและสร้างสีสันให้วงการต่างๆ ทั้ง ฟิสิกส์ เคมี เภสัชศาสตร์ การแพทย์ อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ ยานยนตร์ อาหาร-เกษตร วัสดุก่อสร้าง ซึ่งทุกๆวงการต่างต้อนรับเทคโนโลยีน้องใหม่นี้อย่างอบอุ่น ตอนนี้ก็เป็นคิวของอุตสาหกรรมก่อสร้างถนนหนทาง ที่เริ่มจะเกิดการตื่นตัวในการนำเทคโนโลยีจิ๋วมาใช้บ้าง โดยสหรัฐอเมริกาเป็นตัวตั้งตัวตีที่จะไปอยู่แถวหน้า ทั้งนี้เพราะสหรัฐอเมริกามีทางหลวงรวมกันแล้วเป็นระยะทางถึง 3.6 ล้านกิโลเมตร เฉพาะแค่การบำรุงรักษาและซ่อมแซมเส้นทางก็ต้องใช้งบประมาณเกือบ 2 ล้านล้านบาทต่อปี ดังนั้นทางกรมทางหลวงสหรัฐฯ (Federation Highway Administration) จึงได้ริเริ่มโครงการวิจัยขนาดใหญ่เพื่อพัฒนาทางหลวงให้กลายมาเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ล้ำยุคที่สุดในศตวรรษที่ 21



ภาพบน - ยางมะตอยชนิดใหม่ที่มีส่วนผสมของอนุภาคยาง กำลังได้รับความนิยม เพราะทำให้การขับขี่นุ่มสบาย

20 พฤศจิกายน 2551

Geoengineering - อภิมหาโปรเจคต์ เปลี่ยนฟ้าแปลงโลก (ตอนที่ 8)

เรื่องของวิศวกรรมดาวเคราะห์ยังไม่จบนะครับ วันนี้ผมขอมาเล่าต่อ วิศวกรรมดาวเคราะห์เป็นศาสตร์ในการนำเอาเทคโนโลยีต่างๆ หลากหลายชนิดทั้ง ฟิสิกส์ โยธา อวกาศวิศวกรรมธรณี เคมี นาโนเทคโนโลยี พันธุวิศวกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ และอื่นๆ เข้ามาปรับเปลี่ยนคุณสมบัติของดาวเคราะห์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อจะทำให้ดาวเคราะห์เป้าหมายเหมาะที่สิ่งมีชีวิตจะอยู่ได้ โดยเฉพาะ ณ ขณะนี้เรากำลังประสบกับภาวะภูมิอากาศของโลกเปลี่ยนแปลง นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรจึงค้นหาเทคโนโลยีที่จะทำให้มนุษย์ใช้ชีวิตในโลกที่เปลี่ยนแปลงใบนี้ต่อไป


เมื่อตอนเด็กๆ ผมจำได้ว่าในการ์ตูนญี่ปุ่นมีการพูดถึงเมืองที่อยู่ในโดมกระจกที่สร้างขึ้นมา เพื่อปกป้องผู้อยู่อาศัยภายในให้รอดพ้นจากมลภาวะที่เลวร้าย โดมกระจกนี้ใหญ่มากจนสามารถบรรจุเมืองทั้งเมืองเข้าไปได้เลย มีผู้คนอยู่อาศัยในนั้นหลายแสนคนหรืออาจเป็นล้านๆ เลย ในสมัยนั้นถึงแม้เรื่องภาวะโลกร้อนยังไม่เป็นที่รู้จักกันเลยก็ตาม แต่ความคิดเกี่ยวกับเรื่องสภาพบรรยากาศที่ถูกทำลายจากสารพิษต่างๆ รวมทั้งฝุ่นนิวเคลียร์ ทำให้สถาปนิกเริ่มมีไอเดียในเรื่องดังกล่าว


ผ่านมาเกือบ 30 ปีนับตั้งแต่ผมได้เห็นจินตนาการเหล่านั้นในการ์ตูน สิ่งก่อสร้างใหญ่โตเหล่านั้นกำลังจะถูกทำให้เป็นความจริงขึ้นมาแล้วครับ
ที่สำคัญมันจะไม่เกิดเพียงหนึ่งหรือสองแห่ง แต่มันกำลังจะกลายเป็นกระแสที่บูมฮ็อตฮิต เพราะว่าด้วยสภาพภูมิอากาศของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้มนุษย์ไม่อยากทนทุกข์กับ ภาวะโลกร้อน วิธีการหนึ่งก็คือ การไปควบคุมสภาพภูมิอากาศให้เหมาะกับการอยู่อาศัยเสียเลย ด้วยการสร้างโดมใหญ่ๆ มาครอบคลุมตัวเอง คราวนี้อยากให้ฤดูกาลข้างในเป็นอย่างไรก็สามารถทำได้เลย ไม่ต้องไปรอหน้าร้อน หน้าหนาวเหมือนสมัยก่อน ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีการสร้างเมืองใหม่ที่มีชื่อว่า มาสดาร์ (Masdar City) ซึ่งเป็นเมืองพลังงานสะอาดที่สร้างขึ้นในทะเลทราย ทั้งๆ ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมัน แต่กลับอยากทำให้เมืองนี้ทั้งเมืองไม่ใช้น้ำมันเลย ในเดือนมกราคมปี พ.ศ. 2551 ประเทศนี้ได้ออกมาประกาศที่จะสร้างเมืองในฝันที่สามารถควบคุมสภาพภูมิอากาศได้ โดยมีที่ตั้งกลางทะเลทรายซึ่งจะใช้พื้นที่ขนาด 6 ตารางกิโลเมตร สามารถบรรจุประชากรได้ 50,000 คน และธุรกิจ 1,500 แห่ง เมืองนี้จะไม่ใช้น้ำมัน แต่เป็นพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากเซลล์สุริยะ โครงการในฝันที่กำลังเร่งสร้างให้ทันเปิดใช้ในปี พ.ศ. 2553 นี้ออกแบบโดยท่านลอร์ด นอร์แมน ฟอสเตอร์ (Norman Foster) นักออกแบบชาวอังกฤษที่เคยฝากผลงานการออกแบบสถาปัตยกรรมเลื่องชื่อ มากมายมาแล้วทั่วโลก เมืองนี้จะไม่มีรถราที่ใช้น้ำมันมาวิ่งให้กวนใจ ประชากรจะใช้รถไฟฟ้าแบบรางเบาที่เชื่อมโยงทั้งเมือง หรืออาจจะใช้สิ่งที่เรียกว่ากระสวยขับเอง (Automated Transport Pod) ที่วิ่งอัตโนมัติจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง ทุกๆจุดในเมืองจะถูกออกแบบให้อยู่ห่างจากจุดขึ้นรถสาธารณะไม่เกิน 200 เมตร เมืองนี้จะถูกเชื่อมโยงกับอาบูดาบี ซึ่งเป็นเมืองหลวงด้วยรถไฟความเร็วสูง ในเรื่องของการกำจัดขยะนั้น เมืองจะถูกออกแบบให้ 99% ของขยะถูกจัดการให้นำกลับมาใช้ใหม่ รวมไปถึงน้ำด้วย ความเจ๋งของเมืองนี้ทำให้ผู้ออกแบบถึงกับบ่นออกมาว่า "ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็พึ่งพาน้ำมันเต็มๆตัว ไม่คิดถึงการทำอะไรแบบนี้ ทำไมประเทศยุโรปที่มีทั้งพื้นฐานทางปัญญาและทรัพยากรที่แข็งแกร่งไม่สามารถที่จะริเริ่มเมืองแบบนี้ ผมถามตัวเองอยู่บ่อยๆว่า ทำไมโครงการแบบนี้ที่พร้อมจะเกิดขึ้นที่ไหนในโลกก็ได้ที่มีความก้าวหน้าสูง กลับมาเกิดขึ้นที่นี่ ........"



อีกโครงการยิ่งใหญ่ก็คือ Kazakhstan's Pleasure Dome หรืออีกชื่อหนึ่งว่า Khan Shatyry Entertainment Center ในประเทศคาซัคสถาน ซึ่งมีรูปร่างเหมือนเต้นท์สูงครอบคลุมอาณาบริเวณ 100,000 ตารางเมตร โดมกระจกแห่งนี้จริงๆ ก็ไม่ได้ทำด้วยกระจกหรอกครับ แต่เป็นพลาสติกชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Ethylene tetrafluoroethylene (ETFE) เป็นพลาสติกใสที่ทนทานต่อการกัดกร่อน และการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ภายในโดมมีทั้งสนามกอล์ฟ สระว่ายน้ำ ชายหาด สวนน้ำเล่นคลื่น ร้านค้ากว่า 250 ร้าน โรงภาพยนตร์ โดมอันยิ่งใหญ่แห่งนี้จะทำให้ประชากรของคาซัคสถาน สามารถมาเที่ยวชมเพื่อรับบรรยากาศทะเลของภูเก็ตแบบไม่ต้องบินมาจริงๆ ได้ตลอดปี ทั้งๆที่อากาศข้างนอกอาจหนาวถึง -35 องศาเซลเซียส


โครงการที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันอีกโครงการหนึ่งก็คือ รีสอร์ทสกีในร่ม (Indoor Ski Resort) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจะทำให้การเล่นสกีสามารถทำได้ทุกฤดูกาล ไม่ต้องกังวลกับความหนาของหิมะที่ลดลงทุกปีๆ ของถิ่นสกีในเทือกเขาแอลป์อีกต่อไป ภูเขาสกีเทียมลูกนี้มีความสูงเท่ากับตึก 35 ชั้น และจะสร้างขึ้นที่ Long Island ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะใช้เงินลงทุนประมาณ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในบริเวณใกล้กันจะมีกลุ่มของโรงแรมและรีสอร์ท สวนน้ำ ศูนย์ประชุม โรงไวน์ สวนแคมปิ้ง สปา ทะเลสาบ และสวนพฤกษศาสตร์ คาดว่าโครงการนี้จะทยอยเปิดใช้บางส่วนในปี ค.ศ. 2013 โดยโครงการเต็มรูปแบบจะใช้เวลาก่อสร้างทั้งหมด 10 ปี

18 พฤศจิกายน 2551

The World without Us - ถ้าโลกนี้ไม่มีเรา (ตอนที่ 2)


ท่านผู้อ่านหลายๆท่าน อาจเคยได้ฟังเพลงที่แจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์ ร้องเอาไว้เมื่อสัก 20 ปีที่แล้ว เพลงหวานๆ ที่มีชื่อว่า "โลกที่ไม่เท่ากัน" นี้มีเนื้อดังนี้ครับ

..... หากโลกนี้มีเราเพียงสองคน รักคงหลุดพ้นความวุ่นวาย ไม่มีกฏหมายมาตราใดลงโทษลงทัณฑ์รักสองเรา หากโลกนี้มีเราเพียงสองคน เริ่มต้นลงท้ายคงด้วยดี แผ่นดินทุกที่ย่อมมีเสรีเพาะปลูกวิญญาณรักสองเรา แต่โลกใช่มีเพียงรักสองเรา ผู้คนยังมัวเมาและงมงาย ถือเผ่าถือพันธ์กันต่อไป กีดกั้นทำลายคนด้วยกัน หากโลกนี้มีเราเพียงสองคน คงไม่ถูกโค่นต้นไม้รักของเรา ชีวิตเธอและฉันไม่ยืนยาว โลกเป็นของเราแต่ไม่เท่ากัน

ส่วนอีกเพลงหนึ่ง เป็นของวงเฉลียง ร้องไว้ประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว เป็นเพลงแจ๊สแต่มีชื่อที่แสนโรแมนติกว่า "ถ้าโลกนี้มีเราเพียงสองคน" มีเนื้อร้องดังนี้ครับ

.... ถ้าโลกนี้มีเราเพียงสองคน มองไปทางไหนก็สวยงาม มีเพียงเราสองเท่านั้นเองกับหวานใจ ดู ดู ดู ภูเขาทะเลกว้างฟ้าไกล ต่อให้ไกลแสนไกล จะไกลแสนไกล เราเป็นเจ้าของ เราคงจะรักกันทั้งวัน คงมีสวรรค์กันทั้งเดือนและทั้งปี ดู ดู ดู จะหันทางใดไม่เห็นมี ไม่มีผู้ใดไม่มีเลยแม้ใคร ขวางทางรักเรา สองเราชิด สองเราไม่เคยห่าง สองใจชิด สองใจไม่เคยต่าง สองเราเท่านั้นฉันเธอไม่มีใครอื่น ทั้งวันทั้งคืน ฝนพรำฟ้าครืน แดดใส ไม่มีใครเลย เวลาเราหิวก็สองคน จะกินข้าวเหนียวก๋วยเตี๋ยวไก่จะซื้อใคร ดู ดู ดู ตัดเย็บกางเกงเล่าร้านใด จัดงานฉลองเลี้ยงใคร ไม่มีมาสักราย ก็เลี้ยงกันสองคน มองไปทางไหนไม่เห็นใคร มีเพียงเราสองคนเท่านั้นเอง เท่านั้นเอง ฮือ ..ฮือ..ฮือ.. จะร้องจะรำให้ครื้นเครง ดนตรีต้องเล่นเอง ฟังกันร้องเอง ประสานเสียงเองฮือ..ไม่มีใครเลย ไม่มีใครเลย ไม่มีใครเลย ไม่มีใครเลย ไม่มีใครเลย ไม่มีใครเลย ไม่มีใครเลย ไม่มีใครเลย

นั่นเป็นจินตนาการของศิลปินครับ ที่มองว่าหากโลกนี้เหลือเพียงตัวเราและคนรัก มันก็คงมีความสุขดี คุณผู้อ่านหล่ะครับ เคยคิดแบบนี้ไหมครับ มนุษย์เราเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีอิทธิพลต่อโลกใบนี้สูงมาก อารยธรรมเราครองโลกเพียงแค่ 1 หมื่นปี ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้ ไดโนเสาร์ครองโลกมากกว่าร้อยล้านปี ยังทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไม่ได้เท่านี้ แต่ถ้าหากวันนี้มนุษย์หายไปทั้งหมดล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่าเพียงเวลาไม่ถึง 20 ปี โลกก็จะกลับมาเป็นเหมือนเก่าได้ไม่ยากครับ ตอนหน้ามาคุยกันต่อครับ .......
(ภาพบน - จินตนาการของกรุงวอซอร์ ประเทศโปแลนด์ ในสภาพที่ถูกธรรมชาติกลืนกิน เพียงไม่กี่ปีหลังจากมนุษย์หายไปจากโลกนี้)

15 พฤศจิกายน 2551

Wearable Farming Robot - ชุดหุ่นยนต์สวมใส่สำหรับชาวนา


อย่างที่ผมชอบพูดบ่อยๆ ล่ะครับว่านับวัน ศาสตร์ต่างๆจะเขยิบเข้ามาใกล้กัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันมากขึ้น การนำเอาหุ่นยนต์ไปเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายคนนั้นเกิดเป็นศาสตร์ที่เรียกว่า Bionics ซึ่งจะช่วยทำให้คนที่มีความบกพร่องทางกายภาพ สามารถใช้อวัยวะกลทดแทนอวัยวะที่ขาดหายไปได้ ส่วนอีกศาสตร์หนึ่งที่มีชื่อว่า หุ่นยนต์แบบสวมใส่ได้ (Wearable Robot) หรืออีกชื่อว่า Exoskeleton เป็นการนำหุ่นยนต์มาสวมใส่ให้แก่ผู้ที่มีร่างกายปกติ แต่ต้องการเพิ่มสมรรถนะทางร่างกายให้มากขึ้น ศาสตราจารย์ Shigeki Toyama แห่ง Tokyo University of Agriculture and Technology ได้พัฒนาหุ่นยนต์สวมใส่ได้สำหรับชาวนา เขาออกแบบมันขึ้นมาเพื่อให้ชาวนาญี่ปุ่นสูงอายุ สามารถทำงานต่างๆได้โดยไม่รู้สึกว่าตัวเองแก่ เจ้าหุ่นสวมได้นี้จะมีเซ็นเซอร์ที่ติดไว้ถี่ยิบเพื่อตรวจวัดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ เมื่อมันรู้สึกว่าคนทำท่าจะยกของ มอเตอร์ของมันก็จะทำงานสอดคล้องไปกับทิศทางการเคลื่อนที่ของร่างกาย เพื่อที่จะช่วยยกของให้คนที่สวมใส่มัน นักศึกษาผู้หนึ่งที่ได้ลองสวมใส่เจ้าหุ่นนี้บอกว่า "เมื่อผมใส่เจ้าหุ่นนี้แล้วก็รู้สึกว่ามีพละกำลังเพิ่มขึ้นมาเป็นกองเลยครับ อย่างถุงข้าวหนัก 20 กิโลกรัมเนี่ย ผมยกขึ้นสบายๆ โดยแทบไม่รู้สึกว่าหนักเลย" หุ่นยนต์สวมได้นี้เป็นที่ชื่นชอบของชาวนา เพราะว่านอกจากมันจะช่วยเรื่องของการยกข้าวของแล้ว งานที่ต้องยกแขนนานๆ อย่างการตัดต่อกิ่ง หรือ สอยผลไม้ มันก็จะช่วยพยุงแขนให้อยู่ในท่านั้นได้นานๆ หรือหากเราต้องการดึงหัวมันออกจากดิน ก็ใช้แรงน้อยมากเพื่อทำงานดังกล่าว

14 พฤศจิกายน 2551

Agrobot - เมื่อหุ่นยนต์หัดทำไร่ทำนา


สวัสดีครับ ช่วงนี้คนที่มีบ้านอยู่ชานเมือง อาจจะเริ่มรู้สึกมีลมหนาวโชยๆมาสัมผัสผิวกาย ยามเช้ากันแล้วนะครับ ในเมืองเอง ช่วงเช้ากับเย็นก็เริ่มรู้สึกเย็นๆกันแล้ว หน้าหนาวส่วนใหญ่คนกรุงที่นิยมไปท่องเที่ยวใกล้ๆ ก็คงจะนึกถึงเขาใหญ่กันใช่ไหมครับ ช่วงนี้ที่เขาใหญ่ อ.ปากช่อง อากาศเริ่มเย็น ที่ไร่องุ่นกรานมอนเต้ตอนเช้าอุณหภูมิ 20 เซลเซียสเองครับ เริ่มเทศกาลท่องเที่ยวในเขตเขาใหญ่กันแล้ว แต่ปีนี้ฝนลาฟ้าใสค่อนข้าง late คงจะได้เห็นทุ่งทานตะวันกันช้า อาจจะเริ่มธันวาคมนู่นหล่ะครับถึงจะเห็นดอกทานตะวันกัน

ในช่วงหน้าหนาวนี้ ผมไปทำงานภาคสนามที่ไร่องุ่นที่เขาใหญ่เกือบจะทุกอาฑิตย์ งานในไร่องุ่นนี่ใช้แรงงานค่อนข้างมากครับ ผมพอจะทราบมาว่าแรงงานภาคเกษตรของเราค่อนข้างจะมีปัญหาเริ่มขาดแคลนแล้วครับ ดังนั้นการนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์เข้ามาใช้ในอนาคตอันใกล้ เริ่มมีความเป็นไปได้มากขึ้นทุกทีๆ ตอนนี้ในต่างประเทศเริ่มมีการพัฒนาหุ่นยนต์เพื่อการเกษตร หรือ Agrobot เช่น หุ่นยนต์เก็บเห็ด โดยใช้เทคโนโลยีกล้อง CCD เพื่อตรวจหาเห็ดแล้วทำการจำแนกขนาดว่าเก็บได้หรือยัง ถ้าเก็บได้มันก็จะใช้แขนกลดึงออกมา ซึ่งฝีมือในการจำแนกนั้นดีกว่ามนุษย์แล้ว แต่ความเร็วในการเก็บยังช้ากว่ามนุษย์เกือบเท่าตัว นอกจากนั้นยังมีหุ่นยนต์ที่มีความสามารถในการค้นหาและทำลายแมลงศัตรูพืช มันสามารถถอนวัชพืชได้ และทดสอบตัวอย่างดิน ซึ่งผลงานนี้พัฒนาขึ้นโดย Tony Grift แห่ง University of Illinois หุ่นยนต์ตัวนี้สามารถเดินตามแถวข้าวโพด จากแถวหนึ่งไปอีกแถวหนึ่งได้ด้วยตัวของมันเอง Grift บอกว่าเขาจะพยายามทำหุ่นยนต์ให้มีราคาถูก แต่ทำออกมาเยอะๆ แล้วให้หุ่นเหล่านี้ทำงานกับเป็นทีม โดยคุยกันผ่านเครือข่ายไร้สาย Grift บอกว่า "ผมกะว่าจะสร้างหุ่นยนต์แบบนี้ขึ้นมาสัก 10 ตัวหรือมากกว่านั้นครับ เอาให้เป็นระบบนิเวศน์ของหุ่นยนต์เลย ถ้าคุณลองมองไปที่ผึ้ง เวลาที่มันออกไปหาน้ำหวาน แล้วผึ้งตัวหนึ่งก็กลับมาบอกพวกเดียวกันว่าตามฉันมาสิ น้ำหวานอยู่ตรงโน้น แล้วมันก็ยกโขยงกันไป หุ่นยนต์ก็เหมือนกันครับ ถ้าตัวหนึ่งเดินไปเจอศัตรูพืชเข้าล่ะก็ มันจะตะโกนบอกตัวอื่นให้มาช่วยรุมทึ้งเลย"

13 พฤศจิกายน 2551

ECTI-CON 2009


อีกงานประชุมหนึ่งที่ใกล้กำหนดส่งผลงานก็คือ ECTI-CON 2009 หรือชื่อเต็มว่า 6th Annual International Conference of the Electrical Engineering/Electronics, Computer, Telecommunications and Information Technology (ECTI) Association of Thailand ซึ่งจะจัดขึ้นที่พัทยา ระหว่างวันที่ 6-9 พฤษภาคม 2552 งานประชุมนี้เมื่อก่อนก็เคบจัดที่พัทยาครับ แล้วก็เดินทางรอนแรมไปที่เชียงราย ลงใต้ไปกระบี่ ปีนี้จึงวนกลับมาที่พัทยาอีก กำหนดส่ง Full Paper วันที่ 15 ธันวาคม 2551 (เน้นว่าเป็น Full Paper นะครับ ไม่ใช่ abstract เฉยๆ) อัตราการรับบทความปีที่แล้วเพียง 60-70% เท่านั้นครับ เพราะมีการนำ proceeding ไปเข้าสู่ฐานข้อมูล IEEE-Explore ทำให้การควบคุมคุณภาพมีความเข้มงวดขึ้น
เนื้อหาของการประชุมมีดังนี้ครับ

Area 1) Circuits and Systems:

  • Analog Circuits
  • Digital Circuits
  • Mixed Signal Circuits

  • Nonlinear Circuits and Systems
  • Sensing and Sensor Networks
  • Filters and Data Conversion
  • CircuitsRF and Wireless Circuits
  • Photonic and Optoelectronic Circuits
  • Low Power Design and VLSI Physical Design
  • Biomedical Circuits
  • Assembly and Packaging
  • Test and Reliability
  • Advanced Technologies (i.e. MEMS and Nano-electronic Devices)Other Related to Circuits & Systems
Area 2) Computers and Information Technology:

  • Computer Architecture
  • Computational Biology and Bioinformatics
  • Knowledge and Data Engineering
  • Learning Technologies
  • Multimedia Services and Technologies
  • Mobile Computing
  • Parallel/Distributed Computing and Grid Computing
  • Pattern Analysis and Machine Intelligence
  • Software Engineering
  • Visualization and Computer GraphicsOther Related to Computer & Information Technology

Area 3) Communication Systems:


  • Communication Theory and Information Theory
  • Antenna and Propagation
  • Microwave Theory and Techniques
  • Modulation, Coding, and Channel Analysis
  • Networks Design, Network Protocols and Network Management
  • Optical CommunicationsWireless/Mobile Communications & Technologies
  • Other Related to Communications

Area 4) Controls:

  • Control Theory and Applications
  • Adaptive and Learning Control System
  • Fuzzy and Neural ControlMechatronics
  • Manufacturing Control Systems and Applications
  • Process Control Systems
  • Robotics and Automation
  • Other Related to Control

Area 5) Electrical Power Systems:

  • Power Engineering and Power Systems
  • Electromagnetic Compatibility
  • Energy Conversion
  • High Voltage Engineering and Insulation
  • Power Delivery
  • Power Electronics
  • Illumination
  • Other Related to Electrical Power Systems

Area 6) Signal Processing:

  • Signal Processing Theory
  • Digital Signal Processing Algorithms
  • Digital Filter Design & Implementation
  • Array Processing
  • Adaptive Signal Processing
  • Audio, Speech and Language ProcessingImage Processing
  • Video Processing
  • Medical Signal Processing & Medical ImagingOther Related to Signal Processing

Area 7) Other Related Fields:

  • ECTI Educations
  • ECTI Policy and LawECTI Management
  • Others

Microscopy of Thailand - Chiang Mai 2009


หายไปหลายวันนะครับ วันนี้ผมขอนำการประชุมต่างๆ ที่ใกล้กำหนดส่ง abstract งานหนึ่งที่อยากนำมาบอกกล่าวก็คือ การประชุมวิชาการจุลทรรศน์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 26 (26th Annual Conference of the Microscopy Society of Thailand) ซึ่งเป็นงานประชุมประจำปีของสมาคมจุลทรรศน์แห่งประเทศไทย ซึ่งจัดมาเป็นปีที่ 26 แล้วครับ การประชุมนี้จะจัดขึ้นระหว่าางวันที่ 28-30 มกราคม 2552 ที่โรงแรมดิเอ็มเพรส จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นเวลาที่อากาศดีของเชียงใหม่เลยทีเดียว นึกถึงร้านอาหารริมแม่น้ำปิง แล้วยิ่งพาให้อยากส่ง abstract เลยใช่ไหมครับ จริงๆ วันสุดท้ายที่จะส่ง abstract ได้คือวันที่ 31 ตุลาคม 2551 แต่เขาเลื่อนให้แล้วครับ ไปจนถึงวันที่ 30 พ.ย. 2551 ยังพอมีเวลากันครับ ผมได้ยินมาว่าปีนี้จะมีการเชิญนักวิทยาศาสตร์ต่างประเทศมาพูดถึง 6-10 คน ใครที่ทำงานวิจัยโดยใช้เครื่องมือ Microscopy ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กล้องจุลทรรศน์ที่ใช้แสงทั้ง Optical หรือ Confocal กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน TEM, SEM หรือ กล้องนาโนทรรศน์อย่าง AFM, STM งานนี้ยิ่งน่าไปที่สุดครับ

07 พฤศจิกายน 2551

Emotional Robot - หุ่นยนต์เจ้าอารมณ์


ศาสตร์แห่งการใส่ความคิดจิตใจเข้าไปในจักรกล ยิ่งนับวันยิ่งมาแรงขึ้นเรื่อยๆ ครับ ก่อนหน้านี้ผมเคยพูดถึงการนำเอาเซลล์สมองมาปลูกบนชิพ เพื่อนำไปใช้ควบคุมหุ่นยนต์ หรือ การนำเอาส่วนของหุ่นยนต์มาใส่แทนอวัยวะของคน เพื่อทำให้คนนั้นมีอวัยวะกลมาทำงานทดแทนอวัยวะที่หายไป ยุคนี้จึงเป็นยุค Hybrid ซึ่งเป็นทั้ง Hybrid Organic-Inorganic และ Hybrid Life-Machine ครับ


ในเมื่อเราสามารถผสมผสานชีวิตกับจักรกลในระดับวัสดุได้แล้ว ต่อไปก็คงจะเป็นเรื่องของการผสมผสานระบบของใจ กับกาย ด้วยการสร้างใจให้กับจักรกล นักวิทยาศาสตร์ทราบดีว่าเรื่องของจิตใจเป็นเรื่องซับซ้อนมาก และวิทยาศาสตร์เพิ่งเริ่มเข้าไปสัมผัสดินแดนที่เป็นความรู้ใหม่นี้เอง ขั้นตอนแรกของการทำให้หุ่นยนต์มีใจก็คงจะเป็นการสร้างอารมณ์ให้กับหุ่นยนต์ครับ กลุ่มวิจัยแรกๆที่ทำการพัฒนาหุ่นยนต์เจ้าอารมณ์ก็คือ MIT ครับ โครงการนี้มีชื่อว่า Kismet ซึ่งแต่เดิมนั้นมีความต้องการพัฒนาหุ่นยนต์ที่ทำงานได้เองโดยไม่ต้องใช้มนุษย์ควบคุม (Autonomous Robot) แนวคิดใหม่ที่ใส่เข้าไปในหุ่นยนต์ก็คือ การทำให้หุ่นยนต์สามารถแสดงออก หรือแลกเปลี่ยนภาวะทางอารมณ์กับมนุษย์ได้ โดยทาง MIT ได้พัฒนาการแสดงออกทางใบหน้า ท่าทาง ลักษณะการมอง รวมไปถึงการใช้เสียง โดยหุ่นยนต์ของ MIT นี้สามารถเรียนรู้และพัฒนาอารมณ์โดยการสอนจากมนุษย์ได้ เจ้าหุ่นต์ Kismet นี้จะทำตัวเหมือนเด็กที่กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ภาษาหน้าตา ท่าทาง ของพี่เลี้ยง เหมือนกับเด็กทารกที่เรียนรู้จากพ่อแม่ พี่เลี้ยงจะสอนเจ้า Kismet ด้วยการดูการแสดงออกของมัน โดยบทเรียนที่จะสอนก็จะสอดคล้องกลมกลืนไปตามระดับการเรียนรู้ของมันด้วย Kismet จึงมีพัฒนาการไปตามการสอนของคน ซึ่งทำให้มันกลายเป็นหุ่นยนต์เจ้าของอารมณ์ได้ ......

04 พฤศจิกายน 2551

The World without Us - ถ้าโลกนี้ไม่มีเรา (ตอนที่ 1)


ผมเคยขับรถไปเที่ยวที่ภูหินร่องกล้า จ.พิษณุโลก โดยไต่เขาขึ้นไปจาก อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งเส้นทางค่อนข้างลาดชัน ตอนที่ไต่เขาขึ้นไปนั้นแสงแดดดี อากาศก็แจ่มใสมากๆ ครับ แต่พอผ่านด่านเก็บเงินของอุทยานเข้าไปแล้ว เส้นทางที่เข้าไปนั้นร่มครึ้ม ปกคลุมไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ แม้ว่าถนนจะสามารถวิ่งได้ 2 เลน แต่ผมก็ต้องขับกลางๆ ถนน เหมือนกับจะขับได้แค่เลนเดียวเท่านั้น เพราะต้นไม้ใบหญ้าได้รุกเข้ามาเกาะกินพื้นถนน เนื่องจากทางขึ้นฝั่งหล่มสักนี้ไม่ใคร่จะมีใครอยากขับขึ้นเท่าไรนัก เส้นทางสายนี้จึงค่อนข้างเงียบเหงาวังเวงยิ่ง



ท่านผู้อ่านที่เคยได้ชมภาพยนตร์ I Am Legend ซึ่งนำแสดงโดยพระเอกยอดนิยม Will Smith ผมค่อนข้างเชื่อว่าหากได้ชม DVD ภาพยนตร์เรื่องนี้ก่อนนอน คืนนั้นถ้านอนไม่หลับ ก็ต้องอดไม่ได้ที่จะนอนคิดถึงความเป็นไปได้ในเรื่อง จะเกิดอะไรขึ้นหากโลกที่เราอยู่อาศัยนี้ วันดีคืนดีมนุษย์ได้หายไปทั้งหมด เส้นทางหล่มสัก-ภูหินร่องกล้า ที่ผมขับรถเข้าไปนั้น ก็ยังมีรถวิ่งผ่านไปมาบ้าง แต่ถ้าเส้นทางนี้ถูกปิดตายไปเลย ในเวลาเพียงไม่กี่ปี ผมเชื่อว่าจะไม่เหลือร่องรอยของทางหลวงสายนั้น ตามท้องเรื่องของ I Am Legend นั้น หลังจากไวรัสได้ระบาดคร่าชีวิตผู้คนไปเกือบทั้งโลก นครนิวยอร์คเหลือมนุษย์ปกติเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นคือ พันเอก Robert Neville (นำแสดงโดย Will Smith) กับ สุนัขพันธุ์อาเซเชียนที่ชื่อเจ้าแซม ผู้พันเนวิลล์ต้องใช้ชีวิตอย่างเปลี่ยวเหงากับสุนัขตัวเดียว ท่ามกลางซากปรักหักพังในมหานครนิวยอร์ค มหานครที่ไม่เคยหลับใหลแห่งนี้ เมื่อไร้ซึ่งมนุษย์มาคอยดูแล มันก็ผุพังเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา โดยมีสัตว์ป่าเข้ามาอยู่อาศัย พืชพรรณต่างๆก็ขึ้นเกะกะ กัดกร่อนโครงสร้างคอนกรีตต่างๆ ไปเรื่อยๆ สิ่งก่อสร้างของมนุษย์เมื่อขาดคนคอยดูแล ใช้เวลาเพียง 3 ปีเท่านั้นก็เสื่อมโทรมไปเกือบจะจำสภาพเดิมไม่ได้ บ้านเมืองที่ไม่มีผู้คนอยู่ ก็ย่อมขาดการซ่อมแซมในสิ่งที่เสื่อมถอยไป ขาดการทำความสะอาด ขาดการ maintenance ขาดการทาสีใหม่ ขาดการหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านของวัสดุ เวลาเพียง 3 ปีก็ทำให้เมืองเปลี่ยนสภาพไปอย่างสิ้นเชิงครับ

Brain-on-a-Chip เมื่อสมองถูกนำไปอยู่บนชิพ


ในช่วง 4-5 ปีมานี้ เกิดกระแสบูมเป็นอย่างมากในเรื่องของ Lab-on-a-Chip หรือห้องปฏิบัติการบนชิพ ซึ่งได้ย่อส่วนของงานการตรวจวิเคราะห์โรค จากที่ต้องทำในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ขนาดใหญ่ ใช้เวลาหลายๆ วัน ให้มาอยู่บนชิพเล็กๆ ที่ย่อส่วนของเครื่องไม้เครื่องมือมาอยู่บนนั้น การตรวจบนชิพจะใช้เวลาระดับนาทีเท่านั้นเอง ในเมืองไทยก็มีการเห่อมาทำวิจัยเรื่องนี้กันเยอะครับ Lab-on-a-Chip เป็นศาสตร์ที่ทำให้เกิดการแต่งงานข้ามสาขากัน ระหว่าง วิศวกรรมไฟฟ้า (Electrical Engineering) กับ เคมี และ เทคนิคการแพทย์ แต่เรื่องที่ผมกำลังจะเล่าให้ฟังนี้จะเป็นกระแสที่ยิ่งใหญ่กว่าอีกครับ เพราะมันจะทำให้เกิดการข้ามสาขาระหว่างศาสตร์ของวิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรมเครื่องกล ชีวฟิสิกส์ ประสาทวิทยา และจิตวิทยา ครับ ศาสตร์ใหม่นี้เรียกว่า Brain-on-a-Chip ครับ


กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้เสนอของบประมาณในปี 2009 เพื่อดำเนินโครงการที่จะเพิ่มศักยภาพหุ่นยนต์ หรือ จักรกลรบต่างๆ ด้วยการนำเซลล์สมองมาทำงานร่วมกับไมโครชิพ เป็น Hybrid Electronics ที่มีส่วนของวงจรที่ไม่มีชิวิตกับวงจรของสิ่งมีชีวิตครับ โครงการนี้มีชื่อว่า SyNAPSE - Systems of Neuromorphic Adaptive Plastic Scalable Electronics เขาได้จัด workshop เพื่อรวบรวมข้อเสนอโครงการต่างๆ จากนักวิจัยทั่วสหรัฐ โดยจะแจกทุนวิจัยให้แก่โครงการที่เข้าตาทหาร แล้วบริหารจัดการโครงการย่อยๆเหล่านั้น เพื่อนำไปสู่ "ชิพสมอง" ที่จะใช้ควบคุมหุ่นยนต์รบต่างๆ เพนตากอนต้องการนำชิพสมองนี้ไปใช้ในเพื่อทำการบินเครื่องบินสอดแนม หรือ หุ่นยนต์รบที่บินได้ แบบที่ไม่ต้องใช้มนุษย์ควบคุมอีกต่อไป หรือ เรือดำน้ำไร้มนุษย์ที่สามารถปฏิบัติภารกิจได้เองโดยไม่ต้องมีมนุษย์มาแทรกแซง ซึ่งถ้าจะทำเช่นนั้นได้ ไมโครชิพปัจจุบันก็ต้องมีฟังก์ชัน หรือ ความสามารถเหมือนสมองมนุษย์ ดังนั้นการปลูกเซลล์สมองบนไมโครชิพ เป็นอะไรที่จะช่วยทำให้วิสัยทัศน์ของเพนทากอนเป็นจริงได้ เห็นมั้ยครับว่าเรื่องราวใน ภาพยนตร์ Terminator นั้นกำลังจะเป็นจริงแล้วครับ .......

เนื่องจากงานวิจัยเหล่านี้เป็นของกลาโหม จึงไม่จำเป็นต้องมีการตรวจสอบหลักจริยธรรมแต่อย่างใด อีกทั้งพวก NGO ก็ไม่กล้ามายุ่ง นักวิจัยเก่งๆ ที่กลัวเรื่องหลักจริยธรรมในการทำงานวิจัยด้านนี้จึงเข้าร่วมโครงการนี้เป็นจำนวนมากครับ วันหลังผมจะมาเล่าให้ฟังว่าโครงการย่อยๆ ต่างๆเหล่านั้นมีอะไรบ้างที่น่าสนใจ ......................

02 พฤศจิกายน 2551

Mixed Reality - เมื่อความฝัน ผสมพันธุ์กับ ความเป็นจริง (ตอนที่ 2)


วันนี้กลับมาคุยกันถึงเรื่อง Mixed Reality ครับ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่จะทำให้โลกความฝัน มาอยู่ร่วมกับโลกความจริง Mixed Reality เป็นเทคโนโลยีในการสร้างสภาพแวดล้อมใหม่ขึ้นมา ซึ่งสิ่งของที่มีตัวตนอยู่จริงๆ จะอยู่ร่วมกับสิ่งของที่สร้างขึ้นมา (Digital Object) โดยสิ่งของทั้ง 2 ประเภทเหล่านั้นจะอยู่ร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์กัน เหมือนประหนึ่งว่าสิ่งของที่เป็นของเสมือนนั้นมีตัวตนจริงๆ (ในทางกลับกัน สิ่งของที่อยู่ในโลกแห่งความจริง ก็จะเสมือนกับว่าเป็นสิ่งของที่อยู่ในโลกแห่งความฝันไปด้วยเช่นกัน เพราะสิ่งของดิจิตอลก็จะรับรู้สภาพหรือความเป็นดิจิตอลของสิ่งที่มีอยู่จริงด้วย วันนี้ผมจะมายกตัวอย่างสินค้าที่ทำออกขายในญี่ปุ่น เป็นตัวการ์ตูน หรือ Manga ที่มีชื่อว่า Dennou Figure ARis หรืออีกชื่อคือ Cyber Figure Aris เขาทำออกมาเพื่อคุณผู้ชายขี้เหงาที่ยังไม่มีแฟน แต่ต้องการมีแฟนไว้เป็นเพื่อนใจ ผลิตภัณฑ์นี้ประกอบด้วย ลูกบาศก์ 1 ลูก กับ ไม้ถือเล็กๆ 1 อันที่เป็นรูปมือที่กำลังชี้นิ้ว การทำงานจะเริ่มขึ้น เมื่อเราหัน Web Cam ไปที่ลูกบาศก์ที่ให้มา ภาพของหนู Alice จะปรากฏขึ้นบนจอคอมพิวเตอร์ เราสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับ Alice ได้ด้วยการเอาไม้ถือเล็กๆ ที่ให้มาไปแตะตัว Alice ที่ยืนอยู่บนลูกบาศก์ ภาพของ Alice ที่ปรากฏในจอก็จะตอบสนองต่อการกระทำของเรา เสมือนกับว่ามี Alice อยู่นอกจอจริงๆ ซึ่งเราสามารถแหย่เล่นจั๊กจี๋ Alice ได้ หรือจะจับ Alice หันซ้ายหันขวา แกล้งเล่นแก้เหงา ซึ่ง Alice ก็จะมีเสื้อผ้าให้ใส่ได้หลากหลายแบบ เราสามารถเอาใจใส่ดูแล Alice ด้วยการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้บ้างในแต่ละวันที่ผ่านไป

วันหลังผมจะมายกตัวอย่างของ Mixed Reality นี้อีกนะครับ ........

01 พฤศจิกายน 2551

Robotic Flower - หุ่นยนต์ดอกไม้


ในอีก 10 ปีข้างหน้า เราจะเริ่มเห็นโลกแห่งอนาคตที่สิ่งมีชีวิต กับ สิ่งไม่มีชีวิต (นิยาม ณ วันที่ 1 พ.ย. 2551 แต่อนาคตกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างเร็วครับ !!!) เริ่มมีปฏิสัมพันธ์กันมากกว่าแค่สัมผัสทางกาย แต่เราจะเริ่มเห็นสัมผัสทางใจระหว่างเรากับสิ่งของมากขึ้น ก่อนหน้านี้ผมได้นำเสนอเรื่องราวของปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับจักรกล ไม่ว่าจะเป็น หมอนบอกรักได้ การผสมพันธุ์ระหว่างโลกจริงกับโลกเสมือน หุ่นยนต์ควบคุมด้วยสมองชีวะ เป็นต้น ทั้งหลายเหล่านี้เป็นสัญญาณบอกว่า โลกในอนาคตจะผสมผสาน กลมกลืน แยกแยะได้ยาก ระหว่างคน สัตว์ สิ่งของ จักรกลอาจจะกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตพันธุ์ใหม่ก็ได้


วันนี้ผมจะพาท่านผู้อ่านไปพบกับหุ่นยนต์ดอกไม้ ซึ่งวิจัยและพัฒนาโดย Professor Park Jong-Oh นักวิจัยเกาหลี แห่ง Chonnam National University ซึ่งเจ้าดอกไม้จักรกลต้นนี้มีความสามารถเลียนแบบสิ่งมีชีวิต กล่าวคือ มันคายน้ำเพื่อสร้างความชุ่มชื้นแก่สภาพล้อมรอบได้ มันผลิตอ๊อกซิเจนได้ ปล่อยกลิ่นหอมเย้ายวนใจของดอกไม้ได้ เมื่อผู้คนเข้าใกล้มัน มันจะแสดงอาการดีใจ โน้มดอกเข้าหา และยืดกลีบดอกออกเพื่อบานเบ่งอย่างเต็มที่ แถมยังเต้นตามเสียงดนตรีที่มันชอบได้ด้วย เมื่อคนเดินออกไป มันจะกลับมาอยู่ในสถานะเดิม เจ้าดอกไม้หุ่นยนต์นี้ตอบสนองต่อเสียงและแสงที่อยู่ล้อมรอบมัน น่าสนใจไหมครับ แต่เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะทำออกขายเมื่อไหร่ คณะวิจัยบอกว่ายังไม่ทราบเพราะตอนนี้กำลังสนุกอยู่กับการตีพิมพ์บทความวิชาการ เกี่ยวกับเรื่องนี้ในวารสารต่างๆ เพราะเทคโนโลยีที่ใช้ทำเจ้าดอกไม้นี้มีการใช้งานนาโนวัสดุหลายชนิด รวมทั้ง mechanism ที่เลียนแบบธรรมชาติ ก็เป็นความรู้ใหม่ทางด้านวิศวกรรมเครื่องกล

30 ตุลาคม 2551

The Post-American World - โลกยุคใหม่ที่ไม่คลั่งไคล้อเมริกา (ตอน 2)


หน้าที่ผมในบล็อกนี้คือนำแนวโน้ม และ กระบวนทัศน์ใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นมาสู่ท่านผู้อ่าน และ สิ่งที่ผมคิดว่ากำลังจะเกิดขึ้นในวันนี้ คือ การล่มสลายของลัทธิอเมริกันนิยมครับ แม้แต่ในวงการวิทยาศาสตร์เอง อเมริกากำลังจะเสียความเป็นเบอร์หนึ่งไปแล้วครับ รางวัลโนเบลในปีนี้แทบจะไม่มีคนอเมริกันเข้ารับรางวัลเลย ถึงเวลาที่กระบวนยุทธ์ของไทยต้องเลิกตามก้นอเมริกาแล้วครับ เราต้องหาพันธมิตรอื่นที่มีศักยภาพจะมาแทนที่อเมริกาเช่น ยุโรป จีน เกาหลี



เมื่อตอนผมเป็นเด็ก จำได้ว่าผมเคยคลั่งไคล้ประเทศสหรัฐอเมริกาเอามากๆ ตอนเรียนอยู่ประถมศึกษาปีที่ 5 ผมได้เขียนจดหมายถึงท่านเอกอัครราชฑูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย แสดงความชื่นชมในประเทศของท่าน และขอข้อมูลประเทศของท่านมาศึกษา เพราะที่โรงเรียนไม่ค่อยมีให้อ่าน ท่านก็ใจดี ตอบจดหมายกลับและยังส่งแผนที่ฉบับใหญ่แบบโปสเตอร์ของอเมริกามาให้ แถมด้วยหนังสือเกี่ยวกับประเทศนี้อีกกอง ยิ่งทำให้ความฝันและลุ่มหลงประเทศที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้เพิ่มเป็นทวีคูณ

ในยุคนั้น เด็กๆในรุ่นผมล้วนฝันที่จะได้ไปเยี่ยมชม ฝันที่จะได้ไปเรียนต่อที่อเมริกา ผมได้ไปอเมริกาครั้งแรกหลังจากจบปริญญาเอกที่ยุโรป รู้สึกตื่นตาตื่นใจมาก แต่ในช่วงที่ผมเดินทางไปอเมริกานั้น กลับเป็นช่วงไม่กี่เดือนก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งเวลา ณ จุดนั้น อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการเสื่อมถอยของประเทศนี้ ประเทศที่ผมเคยรักและเคยชื่นชมเมื่อครั้งยังเด็ก

ม.จ.สิทธิพร กฤษดากร บิดาของวงการเกษตรแผนใหม่ เคยกล่าวไว้ว่า "เงินทองคือมายา ข้าวปลาเป็นของจริง" ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นแม่แบบของระบบทุนนิยมก้าวหน้า มีนวัตกรรมทางการเงินมากมาย ที่ช่วยให้ประเทศนี้สร้างความมั่งคั่งจากมายาทางการเงิน อเมริกามีวิธีการเงินต่อเงินที่เรียกว่าอนุพันธ์ (Derivatives) ทำให้เกิด Layer ของเงินหลายๆชั้นเหนือการผลิตที่เป็นของจริง แต่ด้วยความโลภของระบบทุนนิยมแบบสหรัฐอเมริกา ภายในวันเดียวมูลค่าของตลาดหุ้น Wall Street หายไป 35,000,000,000,000 บาท ครับ เทียบเท่ากับงบประมาณรัฐบาลไทย 20 ปี ระบบการเงินที่เป็นมายาตอนนี้กำลังจะถูกปฏิรูปแล้วครับ ทุนนิยมแบบสหรัฐอเมริกาที่อิงอยู่กับอิสรภาพทางการเงิน และ ตลาดเสรี จะถูกแทนที่ด้วยทุนนิยมแบบสร้างสรรค์ (Creative Capitalism) มีจริยธรรม มีระเบียบ มีความเป็นอยู่ที่ดีของสังคมก่อนผลกำไร ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นทุนนิยมแบบยุโรป หรือ อาจเป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบไทย (Sufficiency Economy) ที่มีความเป็นสังคมนิยมปะปนนิดๆ พวกเราต้องเตรียมตัวรับเผาจริงในปี 2552 ที่จะถึงนี้นะครับ วิกฤตครั้งนี้ เชื่อกันว่าจะอยู่นานถึงปี ค.ศ. 2013 เลยครับ แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว ยังไงๆ เราก็มีข้าวปลาที่เป็นของจริง !!!!!

25 ตุลาคม 2551

ต้นไม้ไม่ได้โง่ (ตอนที่ 5) - ดอกไม้ใช่ไร้หัวใจ


กลับมาเล่าต่อถึงความรู้ใหม่ๆ ที่นักวิจัยเพิ่งจะมาตื่นตัวเมื่อไม่กี่ปีมานี้นะครับว่า ต้นไม้นั้นก็มีระดับของการรับรู้มากกว่าที่เคยคิดกัน มันไม่ใช่เพียงสิ่งมีชีวิตเฉื่อยๆ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในช่วง 10 ปีหลังนี้เริ่มไขปริศนาเรื่องนี้แล้วครับ ทั้งๆที่พระพุทธองค์ท่านอาจเคยค้นพบความลับข้อนี้กว่า 2,500 ปีมาแล้ว ตลอดชีวิตของพระตถาคต พระองค์ทรงประสูติ ตรัสรู้ และ ปรินิพพาน โดยอาศัยโคนต้นไม้ ทรงให้ความเคารพแก่ต้นไม้โดยมีพระวินัยข้อห้ามไม่ให้ภิกษุรื้อถอน ตัด ต้นไม้ โดยปราศจากเหตุอันควร


ล่าสุดก็มีข่าวใน Science Daily ฉบับวันที่ 24 ตุลาคม 2551 (รายงานในวารสาร Journal of Biological Chemistry) เกี่ยวกับดอก Red hibiscus หรือ ชบาแดง ที่สามารถจะเลือกคู่ครอง ด้วยการรับ หรือ ปฏิเสธเกสรตัวผู้ที่ล่องลอยมาตามลม หรือ มากับแมลง ซึ่งค้นพบโดยทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยมิสซูรี่ Bruce McClure หัวหน้าทีมวิจัยกล่าวว่า "ต้นไม้ไม่ได้ใช้การมองเห็นเพื่อเลือกคู่ครองหรอกครับ มันใช้การสัมผัสระดับโมเลกุล เพื่อบอกว่า คู่ของมันเหมาะกับมันไหม" เขากล่าวต่อว่า "และคู่ที่มันอยากได้ มันก็ประกาศติดไว้บนเกสรตัวเมียนั่นแหล่ะครับ ซึ่งเป็นโปรตีนที่จะเกิดอันตรกริยาเฉพาะกับโปรตีนของเกสรตัวผู้ที่มันอยากได้เป็นคู่ครอง" เมื่อโปรตีนที่เป็นคู่ที่ถูกต้องได้รับการยอมรับ กระบวนการปฏิสนธิจึงจะเริ่มขึ้น ความรู้ครั้งนี้มีประโยชน์มากครับ เพราะว่าหากเรามีองค์ความรู้ในเรื่องของการผสมเกสร เราก็สามารถที่จะออกแบบพืช GMO ที่ไม่เกิดการปนเปื้อนในธรรมชาติได้ โดยการทำให้มันเป็นหมัน หรือ เกสรตัวผู้ของมันถูกปฏิเสธโดยเกสรตัวเมียของพืชตามธรรมชาติ ตอนนี้พืช GMO ถูกรังเกียจโดยสาธารณะก็เพราะความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพืชของเรานั้น จริงๆยังมีน้อยครับ เมื่อเรารู้น้อยเราก็ควรจะรอให้เข้าใจก่อน เพราะว่า .... ต้นไม้ไม่ได้โง่ เราควรจะปฏิบัติต่อเขาให้ถูกต้องครับ .......

24 ตุลาคม 2551

Games Science - วิทยาศาสตร์ของเกมส์ (ตอนที่ 3)

















เล่าต่อนะครับ เรื่องที่ผมได้ไปดูงานทางด้าน Entertainment Science ที่ Department of Games Science ของ Tokyo Polytechnic University (TPU) หลังจากได้แวะดูสตูดิโอ ห้องเล่นเกมส์บอร์ด ห้องเล่นเกมส์ตู้ ห้องเล่นวิดีโอเกมส์ เขาก็พาไปดูห้องเขียนโปรแกรมเกมส์ ซึ่งก็เหมือนห้องคอมพิวเตอร์ทั่วๆไป เพียงแต่จะมีระบบคอมพิวเตอร์กริดความเร็วสูง เพื่อทำงานซิมูเลชั่นที่ต้องการคอมพิวเตอร์ความสมรรถะสูง นักศึกษาในปีสูงๆ จะมานั่งโปรแกรมเพื่อสร้างเกมส์ในห้องนี้ครับ จากนั้นเขาก็พาไปดู Human Product Design Center ซึ่งเป็นที่ออกแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่นี่มีห้องสำหรับทำงานสร้าง prototype ซึ่งนักศึกษาจะใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น เครื่องกลึง เครื่องตัด และพวก Rapid Prototyping Machine หรือ CNC ผลิตสิ่งของต้นแบบที่พวกเขาคิดไว้ สถาบันหรือภาควิชาเกมส์ของที่นี่จึงมีครบถ้วนตั้งแต่ต้นนำ ไปจนถึงปลายน้ำเลยครับ ซึ่งจริงๆ แล้วก็ยังมีอีกหลายส่วนที่ผมไม่ได้มีโอกาสไปดู เช่น เรื่องของ Manga หรือ การออกแบบการ์ตูน จะเห็นได้ว่า Games Science เป็นการผสมผสานความรู้ทางด้าน คอมพิวเตอร์ ฟิสิกส์ ศิลปกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ และ วิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งทำให้ที่นี่มีจุดเด่นในฐานะตักศิลาของการผลิตบุคลากรด้านเกมส์ของโลกเลยครับ การได้ไปเยี่ยมชมภาควิชาที่มีคนออกแบบเกมส์ Pac-Man อันโด่งดังทำงานเป็นศาสตราจารย์อยู่ที่นี่ จึงนับเป็นความภาคภูมิใจจริงๆ

อุตสาหกรรมเกมส์วิดิโอของโลกนั้นมีมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านบาท มากกว่างบประมาณแผ่นดินของประเทศไทยเกือบ 2 เท่าครับ นักวิเคราะห์เชื่อว่าอุตสาหกรรมนี้มีความเข้มแข็งมาก และไม่สะทกสะท้านต่อปัญหาเศรษฐกิจ หรือ พิษแฮมเบอร์เกอร์ ถึงแม้จะเกิดอะไรขึ้น ผู้คนก็ยังเล่นเกมส์ แต่ปัญหาที่ท้าทายนักออกแบบเกมส์ก็คือ ทำยังไงถึงจะทำให้ผู้หญิงเล่นและจ่ายเงินเพื่อเล่นเกมส์ เพราะคอเกมส์ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นผู้ชาย ปัญหานี้มีมูลค่านับแสนล้านบาทเลยครับ ถ้าใครแก้ได้ และนี่เองครับคืองานของ Games Science หรือ วิทยาศาสตร์ของเกมส์ !!!!!

23 ตุลาคม 2551

Mixed Reality - เมื่อความฝัน ผสมพันธุ์กับ ความเป็นจริง (ตอนที่ 1)

ในช่วงหลังๆ ผมได้พยายามบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับแนวโน้มใหม่ๆ ที่แสดงถึงการหลอมรวมกันระหว่างวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ กับ ศิลปศาสตร์ ซึ่งแนวโน้มนี้กำลังเกิดขึ้นมาเป็นกระแสที่แรงมาก ทั้งในวงการอุตสาหกรรม วงการมหาวิทยาลัย วงการการเมืองและการทหาร ในทศวรรษต่อไป ใครก็ตามที่ยังเผลอคิดว่าสายวิทย์กับสายศิลป์ยังต้องแยกกันอยู่ แยกกันเรียน แยกกันทำงาน จะกลายเป็นคนโลกเก่าไปแล้วครับ


วันนี้ผมจะมาพูดถึงศาสตร์ของการผสมผสานวิทยาศาสตร์ (โลกแห่งความจริง) กับศิลปศาสตร์ (โลกแห่งความฝัน) เข้าด้วยกันศาสตร์หนึ่ง ศาสตร์นั้นมีชื่อว่า Mixed Reality ครับ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีในการสร้างสภาพแวดล้อมใหม่ขึ้นมา ซึ่งสิ่งของที่มีตัวตนอยู่จริงๆ จะอยู่ร่วมกับสิ่งของที่สร้างขึ้นมา (Digital Object) โดยสิ่งของทั้ง 2 ประเภทเหล่านั้นจะอยู่ร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์กัน เหมือนประหนึ่งว่าสิ่งของที่เป็นของเสมือนนั้นมีตัวตนจริงๆ (ในทางกลับกัน สิ่งของที่อยู่ในโลกแห่งความจริง ก็จะเสมือนกับว่าเป็นสิ่งของที่อยู่ในโลกแห่งความฝันไปด้วยเช่นกัน เพราะสิ่งของดิจิตอลก็จะรับรู้สภาพหรือความเป็นดิจิตอลของสิ่งนั้น งง... ไหมครับ .... ถ้าใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง The Matrix ก็จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยาก เพราะโลกของความเป็นจริง ที่เราคิดว่าเป็นจริงนั้น แท้ที่จริงแล้วมันถูกสร้างขึ้นในสมองของมนุษย์ (ในภาพยนตร์ The Matrix) ในขณะที่ตัวจริงของคนผู้นั้นยังนอนอยู่ใน capsule ที่เรียงรายกันเป็นชั้นๆ ในห้องโถงขนาดมโหฬาร และคนที่นอนฝันเหล่านั้น สมองของเขาก็ถูกหลอกให้หลงคิดไปว่าเขากำลังอาศัยในโลกที่มีตัวตนจริงๆ


ผมเคยได้ยินมาว่า คนเราก่อนจะตาย จะเกิดนิมิตรขึ้นมา ซึ่งจะพาเราไปจุติในโลกใหม่ตามนิมีตรที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาของลมหายใจสุดท้าย ผู้รู้บางท่านกล่าวว่า ตัวนิมิตรนี้จะคล้ายความฝัน เราควบคุมไม่ได้ มันจะเกิดขึ้นเองตามแต่กรรมที่เราทำในชาตินี้ แล้วตัวมันนี่แหล่ะจะเป็นผู้สร้างภพต่อไปของเรา ผมฟังดูแล้วก็ โอ้โฮ ..... ไม่น่าเชื่อว่าในเรื่องของ Mixed Reality ที่ผมกำลังศึกษาวิจัยอยู่นี้มันจะมาสอดคล้องกับความเชื่อทางพุทธได้อย่างเหมาะเหมง เพราะเทคโนโลยี Mixed Reality นั้น จะต้องทำให้ผู้ใช้แยกไม่ออกครับว่า ในสภาพแวดล้อมที่ถูกสร้างขึ้นมานั้น อะไรคือของหลอก อะไรคือของจริง นั้นคือไปหลอกอายตนะของคนเราให้คล้อยหลงไปเลย


ผมจะมายกตัวอย่างในตอนต่อไปครับ เพื่อให้เห็นภาพชัดของงานประยุกต์ของ Mixed Reality ................

21 ตุลาคม 2551

ยอดเทคโนโลยีในอีก 10 ปีข้างหน้า (ตอนที่ 3) - เมื่อพันธุกรรรมกลายเป็นสินค้าออนไลน์


วันนี้มาเล่าให้ฟังต่อนะครับ ถึงยอดเทคโนโลยีที่วารสาร Nature ขึ้นลิสต์ไว้ว่าจะเป็นที่กล่าวขานถึง หรือ มีผลกระทบสูงในอีก 10 ปีข้างหน้า .......

Personal Genomics กำลังจะเป็นเทคโนโลยีใหม่มาแรงที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ โดยผู้ที่กำลังจะนำเทคโนโลยีนี้มาสู่เรากลับไม่ใช่บริษัททางด้านเทคโนโลยีชีวภาพ หรือ การแพทย์ ครับ แต่กลับเป็นบริษัท Google ครับ นี่แหล่ะครับผมถึงพูดบ่อยๆว่า การทำงานข้ามศาสตร์มีความสำคัญ นักเทคโนโลยีชีวภาพส่วนใหญ่ชอบมุดตัวใน Lab ไม่ค่อยได้คุยกับชาวบ้าน ต่างจากนัก IT ที่คุยเก่ง ทำงานเป็นทีมเก่ง และทำงานข้ามศาสตร์ข้ามสาขาเก่ง ในที่สุดก็เป็นนัก IT ที่นำเอาเทคโนโลยีเกิดใหม่นี้ไปเผยแพร่ และกำลังจะทำเงินทำทองในอีก 10 ปีข้างหน้าครับ ......

เมื่อเดือนธันวาคม 2550 บริษัท 23andMe ซึ่งถือหุ้นใหญ่โดย Google ได้เปิดตัวสินค้าใหม่ที่จะนำโลกของจีโนมสารสนเทศแบบส่วนตัว มาสู่สาธารณชน เป็นชุด Kit ที่ลูกค้าที่สนใจจะถุยน้ำลายลงไปในหลอด แล้วส่ง FedEx กลับไปที่บริษัท จากนั้นบริษัทจะทำการตรวจวิเคราะห์ DNA ของลูกค้าผู้นั้น ในเวลา 2-3 สัปดาห์ ผลการตรวจ DNA จะถูกส่งมาทาง e-mail สินค้าตัวนี้ตอนเปิดตัวมีราคาสูงถึง 1000 เหรียญสหรัฐ แต่เพราะคงามฮิตติดตลาด ทำให้ราคาได้ลดลงมาอยู่ที่ 399 เหรียญเมื่อเดือนกันยายน 2551 นี้เองครับ

สิ่งที่ Personal Genomics ของ Google จะบอกเราก็เช่น เรามีขี้หูแบบเปียกหรือแห้ง เรามียีนที่ช่วยให้หน้าไม่แดงเวลาดื่มไวน์ไหม จมูกของเราดมกลิ่นได้ดีหรือไม่ค่อยได้เรื่อง เรามียีนเป็นคนตัวสูงหรือเปล่า สีของตาเป็นสีอะไร แล้วตอนแก่ๆ เราจะเป็นโรคปวดหลังหรือเปล่า จะมีโอกาสเป็นเบาหวานมากน้อยแค่ไหน มีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งชนิดใดได้บ้าง มียีนต้านทานโรคเอดส์บ้างมั้ย แล้วมาลาเรียล่ะมีโอกาสเป็นมั้ย มียีนที่ช่วยทางด้านความจำหรือเปล่า สำหรับผมแล้ว สนนราคา 399 เหรียญสหรัฐเพื่อรู้เกี่ยวกับตัวเราได้มากมายเช่นนี้ คุ้มค่ามากทีเดียวเชียวครับ ยิ่งกว่านั้นเรายังจะได้ข้อมูลย้อนกลับไปดูบรรพบุรุษว่ามาจากเชื้อชาติใด เช่น ทางแม่มาจากยุโรปหรือเอเชียเหนือ ทางพ่อมียีนทางชนชาติใด ยิ่งถ้าเราแชร์แลกเปลี่ยนข้อมูลส่วนนี้เทียบกับญาติๆ ของเราดู ก็จะยิ่งสนุก เพราะเหมือนวิ่งย้อนไปในกาลเวลา ตามหาญาติกาในอตีตา ได้เลยครับ

ที่สำคัญทาง Google ได้เปิดชุมชนคนแชร์พันธุกรรมขึ้นใน Web ด้วย ลูกค้าที่ใช้บริการนี้สามารถที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลของตนเอง ที่พอใจจะให้คนอื่นๆได้ใช้ ทำให้ข้อมูล Genetics กลายเป็นสื่อทางสังคมออนไลน์ไปแล้วครับ ผู้คนแวะเข้ามาทักทายพูดคุยแลกเปลี่ยนในเรื่องที่เกี่ยวกับพันธุกรรมของตน บางคนก็มาหาญาติในอดีต บางคนก็มาหาข้อมูลใครเป็นโรคนู้นโรคนี้บ้าง หมดยุคที่หมอมากำหนดชีวิตผู้คนแล้วครับ คนธรรมดาอย่างเราก็มีสิทธิ์รู้ว่าจะเกิดโรคอะไรแล้วหาทางรักษาเองได้
ก่อนจบผมขอเฉลยความลับในความสำเร็จของ Google ครับ เพราะทั้ง Larry Page และ Sergey Brin เจ้าของ Google นั้นมีเมียเป็นนักชีววิทยา นี่แหล่ะครับเรียกว่าแต่งงานข้ามศาสตร์จริงๆ ใครอยากประสบความสำเร็จแบบเขาทั้งคู่ ก็ลองๆ จีบนักชีววิทยาใกล้ๆตัวดูสิครับ .......
(ภาพบน: Larry Page ผู้ร่วมก่อตั้ง Google สวมเสื้อ Lab เปิดตัวสินค้าที่จะนำโลกของ Genomics มาสู่ชาวบ้านร้านตลาด อย่างที่เคยนำเทคโนโลยีดาวเทียมมาสู่คนเดินถนนอย่างเรา ผ่าน Google Earth)