24 กรกฎาคม 2554

นักวิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบทฤษฎี อธิบายการเจริญและเสื่อมของสรรพสิ่ง



ทุกๆ ครั้งที่ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวชมโบราณสถานต่างๆ แถวๆ สุโขทัย หรืออารยธรรมโบราณอย่างนครศรีเทพ คำถามที่มักจะเกิดขึ้นในใจผมก็คือ เมืองโบราณที่เคยเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในอดีตเหล่านี้ เสื่อมถอยจนเหลือแต่เศษซากไปได้อย่างไร กรุงสุโขทัยซึ่งถือเป็นราชธานีแห่งแรกสำหรับประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย กลายเป็นเมืองร้างโบราณได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้ถูกรุกรานเผาทำลายโดยน้ำมือข้าศึกเหมือนอยุธยา

การเจริญและความเสื่อมถอยของอารยธรรม เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ตอนสมัยผมเป็นเด็ก เราเคยเรียนเรื่องความเจริญรุ่งเรืองและเสื่อมถอยของอารยธรรมอียิปต์ กรีก โรมัน มองโกล ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่ย้อนกลับไปไกลพอควร แต่ที่ใกล้ๆ และยังพอเห็นอยู่ก็คือ สหราชอาณาจักร หรือ อังกฤษ นี่เองครับ อังกฤษเคยเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่มากๆ เคยครอบครองพื้นที่ที่เป็นประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน อินเดีย จีน มาเลเซียและสิงคโปร์ ออสเตรเลีย จนถึงกับถูกตั้งฉายาให้เป็นอาณาจักรที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน แต่ทุกวันนี้ อังกฤษเสื่อมถอยลงทุกด้าน แม้กระทั่งฟุตบอลซึ่งตัวเองเป็นต้นตำหรับ แต่กลับได้เป็นแชมป์โลกเพียงครั้งเดียว แล้วก็เป็นครั้งที่ถูกกล่าวหาว่าปล้นชัยชนะมา จากความได้เปรียบในการเป็นเจ้าภาพ

วงจรแห่งความเจริญและเสื่อมถอยของสรรพสิ่งนี้ เรามักจะรู้จักกันในชื่อที่เรียกว่า S-curve เพราะเหตุที่ว่ามันมีรูปร่างคล้ายๆ ตัว S นั่นเองครับ กล่าวคือ ช่วงแรกๆ การเจริญเติบโตหรือรุ่งเรื่องนี้จะเป็นไปด้วยความเชื่องช้าก่อน สักพักมันจะเริ่มชันขึ้น ชันขึ้นเรื่อยๆ เกิดอัตราการเจริญเติบโตที่สูงมากไปสักพัก จากนั้นมันจะเริ่มอืด อัตราการเติบโตจะช้าลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดนิ่ง

วงจรรูปตัว S ที่ว่านี้ ถ้าสังเกตให้ดี มันเกิดขึ้นสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวเราทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น การเจริญเติบโตของเราเอง การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยีต่างๆ ปฏิกริยาเคมี การขยายประชากรของสิ่งมีชีวิต และอื่นๆอีกมากมาย ไม่เว้นแม้กระทั่งความรัก ที่มักจะเบ่งบานในช่วงแรก แล้วกลายมาเป็นความเบื่อหน่ายชาเย็นในที่สุด การเกิดวงจรรูปตัว S เป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของเรา แต่วิทยาศาสตร์กลับยังไม่เคยให้คำตอบว่า เพราะอะไรมันถึงต้องเป็นเช่นนั้น

และแล้ว ... เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง ได้มีการเปิดเผยคณิตศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับวงจรรูปตัว S ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Applied Physics (รายละเอียดฉบับเต็มคือ A. Bejan, S. Lorente. The constructal law origin of the logistics S curve. Journal of Applied Physics, 2011; 110: 024901 DOI: 10.1063/1.3606555) โดยศาสตราจารย์ เบจาน (Professor Adrian Bejan) แห่งภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยดุค (Duke University) ท่านเป็นผู้ตั้งทฤษฎีที่เรียกว่า Constructal Theory ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยการไหลของสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติอันนำไปสู่การสร้าง หรือรังสรรสิ่งต่างๆ ทั้งที่เป็นสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต กฏของการไหลของข้อมูล วัสดุ ปัจจัยต่างๆ นั้นบังคับให้การเกิดขึ้นของสิ่งต่างๆ มีรูปแบบออกมา เช่น รูปร่างของต้นไม้ การไหลของแม่น้ำ รูปร่างของปอด การจราจร ระบบการไหลเวียนของโลหิต เป็นต้น

เมื่อนำทฤษฎีและโมเดลทางคณิตศาสตร์ของ Constructal Theory มาพิจารณาสิ่งต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ จะพบว่าเมื่อเทคโนโลยีเกิดขึ้นใหม่ๆ คนยังไม่รู้จัก มันก็จะเหมือนของไหลที่ต้องผ่านทางแคบๆ และค่อยๆ เจาะเข้าไปในดินแดนที่ยังไม่มีการไหลเข้าไป ซึ่งเหมือนช่วงต้นของ S-curve ที่จะมีการเติบโตค่อนข้างช้า เมื่อคนเริ่มรู้จักเทคโนโลยีนั้นแล้ว จะมีการใช้กันอย่างกว้างขวาง มีการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาด เปรียบเสมือนการไหลผ่านแม่น้ำสายหลัก ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีนั้นเริ่มอิ่มตัว และต้องการเข้าไปสู่ผู้ใช้อื่นๆ ที่ยังไม่ได้ใช้เทคโนโลยีนี้ มันก็จะเริ่มเจาะเข้าไปในตลาดได้ช้าลง ซึ่งก็คือช่วงปลาย S-curve นั่นเอง เสมือนน้ำในแม่น้ำสายหลักที่พยายามไหลเข้าไปในคลองเล็กคลองน้อย ซึ่งปลายก็จะค่อยๆ ตีบลงเรื่อยๆ ซึ่งเป็นจุดที่เทคโนโลยีอิ่มตัวไม่สามารถสร้างตลาดใหม่ได้อีก และอีกไม่นาน ก็จะมีสิ่งใหม่มาแทนที่

เมื่อ 2,600 ปีที่แล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงธรรมที่มีชื่อว่าอนัตตลักขณสูตรแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ซึ่งเนื้อหาเป็นเรื่องเกี่ยวกับการไม่มีตัวตนของสรรพสิ่ง ทำให้เกิดสภาวะไม่เที่ยง ไม่สามารถตั้งอยู่ได้ อันทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ย่อมดับไปเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อฟังธรรมนี้จบ ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์พร้อมกันในครานั้นเอง ......

21 กรกฎาคม 2554

Quantum Biology - ชีววิทยาควอนตัม (ตอนที่ 3)



กลศาสตร์ควอนตัม เป็นศาสตร์ประหลาดที่เริ่มพัฒนาขึ้นเมื่อร้อยปีที่แล้ว เนื้อหาบางส่วนที่แปลกพิกลถึงกับทำให้นักวิทยาศาสตร์เอกอย่างไอน์สไตน์แทบจะไม่เชื่อ ถึงกับพูดออกมาว่า "พระเจ้าท่านไม่ทอดลูกเต๋า" ... น่าเสียดาย หากไอน์สไตน์ได้ศึกษาพระไตรปิฎกในพุทธศาสนาสักนิด เขาอาจจะไขความลับความประหลาดของทฤษฎีควอนตัมได้ เพราะหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ในเรื่องของการเกิด-ดับ ของสิ่งต่างๆ รวมไปถึงความว่างเปล่าไม่มีตัวตนของสรรพสิ่ง เป็นเรื่องปกติในศาสนาพุทธและทฤษฎีควอนตัม แต่เป็นเรื่องที่หลักปรัชญาในศาสนาอื่นๆ คาดไม่ถึง ...

เมื่อไม่นานมานี้เอง นักวิทยาศาสตร์เริ่มค้นพบหลักฐานใหม่ๆ ที่ว่า สิ่งมีชีวิตทั้งหลายได้หยิบยืมศาสตร์แห่งควอนตัมไปใช้ประโยชน์ ซึ่งเป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์รุ่นเก่าๆ ที่ค้นพบกลศาสตร์ควอนตัมแทบจะไม่คาดคิดมาก่อน ดูเหมือนธรรมชาติจะหยั่งรู้ความสามารถพิเศษของกลศาสตร์ควอนตัม และนำไปประยุกต์ใช้นานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการสังเคราะห์แสงของพืช (ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงมากเสียจนยังไม่มีเทคโนโลยีไหนของมนุษย์มาเทียบเคียงได้เลย) การมองเห็นของสัตว์ การเปลี่ยนพลังงานเคมีให้เป็นพลังงานกลเพื่อใช้ในการเคลื่อนไหว ระบบนำทางด้วยแม่เหล็ก ทั้งนี้ยังไม่นับรวมปรากฏการณ์อื่นๆ ที่อาจจะใช้หลักการควอนตัม เช่น การประมวลผลในสมอง และอาจจะไปถึงเรื่องของจิตเสียด้วยซ้ำ

เรื่องหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ให้ความสนใจค่อนข้างมาก คือระบบนำทางโดยอาศัยสนามแม่เหล็ก ซึ่งทำให้สัตว์หลายๆ ชนิด เช่น ผึ้ง จระเข้ วัว กวาง กุ้งล็อปสเตอร์ นกหลายๆชนิด หรือแม้กระทั่งมนุษย์เอง สามารถรู้ทิศทาง ตำแหน่ง และความสูง โดยอาศัยประสาทสัมผัสทางด้านสนามแม่เหล็ก

หลักฐานหลายๆ ชิ้นบ่งชี้ว่าในดวงตาของสัตว์เหล่านี้ เช่น นก จะมีเซลล์รับแสงซึ่งประกอบด้วยโปรตีนที่มีชื่อว่า คริปโตโครม (Cryptochrome) ซึ่งเมื่อมันได้รับแสง จะทำให้อิเล็กตรอนคู่หนึ่งถูกกระตุ้นไปอยู่ในสภาวะเร้า (Excited State) เนื่องจากอิเล็กตรอนที่เข้าคู่กันอยู่นี้ อยู่ในสภาวะที่เป็น "เนื้อคู่" กัน (Quantum Entanglement) กล่าวคือ หากมันแยกจากกันไป ไม่ว่าอยู่ห่างไกลกันเพียงใดก็ตาม หากอิเล็กตรอนตัวใดตัวหนึ่งถูกกระทบให้เปลี่ยนสถานะการหมุน (Spin) อิเล็กตรอนอีกตัวที่เป็นคู่กันจะสามารถรับรู้ได้ แล้วจะเปลี่ยนการหมุนตามโดยทันที

ดังนั้นเมื่ออิเล็กตรอนถูกเร้าให้แยกจากกันด้วยแสง อิเล็กตรอนตัวหนึ่งจะออกไปห่างจากโมเลกุลมากขึ้น ทำให้มันสามารถรับรู้ถึงสนามแม่เหล็กได้ และเมื่อนกบินเปลี่ยนทิศทางไป อิเล็กตรอนนี้จะรับรู้การเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็ก ซึ่งจะมีผลทำให้คู่ของมันที่ยังติดอยู่ในโมเลกุลโปรตีนคริปโตโครมนั้น รับรู้สนามแม่เหล็กด้วยเช่นกัน การเปลี่ยนสปินของอิเล็กตรอนที่ยังติดอยู่ในโมเลกุล จะทำให้การเกิดปฏิกริยาเคมีเปลี่ยนแปลงไป เช่น อาจมีอัตราการเกิดปฏิกริยาไม่เหมือนเดิม ซึ่งก็มีผลต่อการสร้างภาพในลูกตาของสัตว์ ซึ่งสัตว์ก็จะมองเห็นเป็นภาพที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น อาจมีจุดขึ้นในภาพที่บอกว่าตรงไหนเป็นทิศเหนือ หรืออาจมองเห็นเป็นเส้นคล้ายเข็มทิศก็ได้ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่แน่ใจในรายละเอียดตรงนี้ คงต้องรอการศึกษาวิจัยต่อไปครับ

ในกรณีของมนุษย์เรา นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าก็น่าจะมีสัมผัสด้านสนามแม่เหล็กในดวงตาเช่นกัน เพราะในดวงตาของมนุษย์ก็มีโปรตีนชนิดนี้เช่นกัน แต่พวกเราอาจจะลืมวิธีใช้เข็มทิศแม่เหล็กในดวงตาของเราไปนานแล้ว ......

13 กรกฎาคม 2554

Smart Environment - สภาพแวดล้อมอัจฉริยะ (ตอนที่ 2)


เมื่อตอนผมยังเล็ก คุณยายของผมที่อยู่ต่างจังหวัดจะมาอยู่ที่บ้านผมปีละครั้ง ครั้งหนึ่งเป็นเดือน ท่านจะเรียกผมใส่บาตรตอนเช้าเสมอ ตอนกลางวันท่านก็จะนั่งทำต้นไม้เงินต้นไม้ทองเพื่อนำไปถวายพระ หลายๆ ครั้งผมก็จะช่วยท่านทำ ท่านก็จะเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้ฟัง หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของเทวดา คุณยายเล่าให้ฟังว่า เทวดามีที่อยู่เป็นวิมานที่มีความสวยงามมาก เป็นวิมานแก้วที่สวยระยิบระยับ ที่อยู่ของเทวดามีความสุขสบายไม่ร้อนไม่หนาว อยากให้สว่างก็สว่าง มืดก็มืด เวลาหิวก็นึกเอา อาหารทิพย์ก็จะมาเอง อยากทานอะไรก็นึกเอา ผมฟังแล้วก็จินตนาการไป เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ไม่เคยขัดท่าน เพราะฟังแล้วนึกตามก็เพลินใจสนุกดี

ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องที่คุณยายเล่าเกี่ยวกับวิมานเทวดา กับจินตนาการในวัยเด็กของผมนั้นกำลังจะกลายมาเป็นหัวข้อวิจัยที่เป็นที่สนใจของกลุ่มวิจัยทั่วโลก ทั้งเรื่องของสภาพล้อมรอบอัจฉริยะ (Ambient Intelligence) สภาพแวดล้อมที่ตอบสนอง (Responsive Environment) สถาปัตยกรรมแบบอันตรกริยา (Interactive Architecture) ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการทำให้สิ่งแวดล้อม ที่อยู่อาศัย อาคารบ้านช่อง มีความฉลาด ทำงานตอบสนองต่อผู้อยู่อาศัย ทั้งในเชิงกายภาพและเชิงจิตใจและอารมณ์ สิ่งแวดล้อมที่เราอาศัยอยู่นี้จะรับรู้ด้วยสัมผัสของมันว่า เราใช้ชีวิตอยู่อย่างไร กำลังทำอะไร มีความสุขหรือหงุดหงิดไหม นอนหลับดีหรือว่ากระสับกระส่าย ใช้เวลาอยู่กับสิ่งไหนมากน้อยอย่างไร แล้วมันก็จะพยายามเอาใจใส่เรา ทำในสิ่งที่เราต้องการ ไม่ต่างจากวิมานเทวดาที่เป็นภพภูมิที่แสนน่ารื่นรมย์

เมื่อเราสตาร์ทรถออกจากบ้าน รถจะทำการเชื่อมโยงเข้ากับเครือข่ายไร้สาย เพื่อประเมินสถานการณ์จราจรและหาเส้นทางที่สะดวกที่สุดให้เรา ขณะที่เราขับรถบนทางหลวงนั้น รถของเราจะสนทนากับรถคันอื่นๆ บนถนน เพื่อสอบถามข้อมูลต่างๆ จากรถคันอื่นว่าวิ่งมีจากไหน มีอะไรที่ควรสนใจหรือไม่ หากเส้นทางข้างหน้าที่เรากำลังจะไปมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น รถที่วิ่งสวนทางกับเรามาก็จะสนทนากับรถของเราว่าให้ระวังนะ ข้างหน้ามีอุบัติเหตุ การขับขี่รถในถนนจะมีความปลอดภัยมาก ทุกครั้งที่เราจะเปลี่ยนเลน เซ็นเซอร์ในรถของเราจะตรวจสอบว่าด้านข้างนั้นปลอดภัยในการเปลี่ยนเลนหรือไม่ และเมื่อเรากำลังขับรถเข้าทางแยก รถของเราจะสนทนากับรถคันอื่นๆ ที่กำลังจะเข้าทางแยก ให้ระมัดระวังกันและกัน ทางหลวงที่มีความฉลาด (Intelligent Highway) นี้จะทำให้เราไปไหนมาไหนได้อุ่นใจกว่าปัจจุบันมากเลยครับ

ถ้าเกิดวันไหน เราขี้เกียจออกจากบ้าน เราสามารถที่จะใช้หุ่นยนต์อวตาร (Robot Avatar) เพื่อทำหน้าที่แทนเราได้ เพียงแค่นั่งหน้าจอโปรเจ็คเตอร์ แล้วสั่งให้เจ้าหุ่นเดินไปมาในที่ทำงาน เพื่อไปทักทายคนโน้นคนนี้ ไปตรวจเยี่ยมจุดต่างๆ ของที่ทำงาน หรือแม้แต่เข้าประชุมร่วมกับลูกน้อง เจ้าหุ่นยนต์ตัวนี้จะมีจอภาพที่แสดงหน้าตาของเราที่บ้าน มีแขนกลที่สามารถยื่นออกไปจับสิ่งของได้ หรือแม้แต่สัมผัสพื้นผิวต่างๆ แล้วส่งข้อมูลมาแสดงออกที่อุปกรณ์ฝั่งรับเพื่อให้เรารู้สึกถึงสัมผัสของสิ่งนั้นก็ได้

วันนี้ผมขอแค่นี้ก่อนนะครับ ก่อนที่จินตนาการจะพาท่านผู้อ่านเตลิดไปไกลกว่านี้ ... แต่ทุกอย่างที่ผมเล่ามานั้น เป็นหัวข้อวิจัยที่มีการทำกันอยู่ทั้งสิ้นครับ ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันเลย .....

05 กรกฎาคม 2554

Quantum Biology - ชีววิทยาควอนตัม (ตอนที่ 2)


ถึงแม้ผมจะทำงานวิจัยค่อนไปทางแนววิศวกรรม ไม่ว่าจะเป็นโครงการไร่องุ่นอัจฉริยะ (Smart Vineyard) โครงการเทคโนโลยีระบบตรวจวัดสุขภาพอัจฉริยะ (Smart Healthcare) จมูกอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Nose) วิศวกรรมอารมณ์ (Affective Engineering) แต่โดยพื้นฐานการศึกษาของผมเองนั้น จริงๆ แล้วผมจบมาทางด้านกลศาสตร์ควอนตัม (Quantum Mechanics) ครับ

กลศาสตร์ควอนตัมเป็นทฤษฎีประหลาดที่ขัดกับสามัญสำนึกในหลายๆ ด้าน อย่างเช่น แสงเป็นได้ทั้งคลื่นและอนุภาคในเวลาเดียวกัน วัตถุสามารถที่จะหายตัวข้ามสิ่งกีดขวางไปโผล่ฝั่งตรงข้ามได้ หรือแม้แต่ การที่อนุภาคหนึ่งจะสามารถมีที่อยู่พร้อมๆ กันได้หลายๆ ที่ในเวลาเดียวกัน และที่น่าประหลาดที่สุดก็คือ เราไม่สามารถใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อทำการวัด หรือหาความจริงในระบบควอนตัมได้ เพราะการเข้าไปสังเกตหรือทำการวัด จะทำให้ระบบถูกกระทบกระเทือน และเกิดการเปลี่ยนแปลงไป จนทำให้เราไม่อาจรู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ระบบเป็นอย่างไร เหมือนกับว่า มันไม่ยอมให้เรารู้ ถ้าเราอยากรู้มันจะแกล้งเรา (ทั้งนี้ เพราะนักวิทยาศาสตร์ชาติตะวันตกไม่ทราบว่า ยังมีอีกวิธีการหนึ่งในการเข้าหาความจริง โดยที่ไม่ต้องไปกระทบกระเทือนระบบ วิธีการนี้เรียกว่า "กระบวนการตรัสรู้" ซึ่งเป็นกระบวนการหยั่งรู้ความจริงโดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกๆ พระองค์)

ที่ผู้คนรู้สึกว่ากลศาสตร์ควอนตัมประหลาด ขัดกับสามัญสำนึก ก็เพราะว่าส่วนใหญ่แล้ว กลศาสตร์ควอนตัมจะทำงานอย่างชัดเจนในระดับที่เล็กมากๆ หรือที่เราเรียกว่าระดับจุลภาค ทำให้เราไม่ค่อยรู้สึกว่ามันได้ถูกใช้งานเท่าไร แต่จริงๆแล้วอย่างนี้คิดผิดครับ เพราะว่า เทคโนโลยีแห่งความสุขสบายทุกวันนี้ล้วนมาจากหลักการของกลศาสตร์ควอนตัมครับ ไม่ว่าจะเป็น เตาไมโครเวฟ GPS การสื่อสารไร้สาย จอภาพแบบ OLED เครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด โดยที่เราไม่รู้ตัว ทั้งนี้เพราะโดยมากหลักการของกลศาสตร์ควอนตัม มักจะยุ่งอยู่กับอะตอมและโมเลกุล ทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่สัมผัสไม่ได้

ที่ผ่านมา เราคิดว่าเราเป็นผู้ค้นพบหลักการของกลศาสตร์ควอนตัม และนำมาใช้งานเป็นเทคโนโลยีด้านต่างๆ แต่ไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์เริ่มพบหลักฐานใหม่ๆ ว่าธรรมชาติได้นำหลักการอันเป็นความลับของกลศาสตร์ควอนตัม มาใช้งานในหลายๆ ด้าน ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสังเคราะห์แสง โรงงานผลิตพลังงานในร่างกายของสิ่งมีชีวิต ระบบนำทางของนกพิราบ ไปจนกระทั่งความคิดในสมอง ผมจะทยอยนำมาเล่าให้ฟังนะครับ .... แถมในขณะนี้ได้มีความพยายามในการเชื่อมโยงกลศาสตร์ควอนตัมกับมิติลี้ลับที่ยังอธิบายไม่ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ .... คอยติดตามเรื่องราวเหล่านี้ในบทความซีรีย์นี้ครับ ....