23 กุมภาพันธ์ 2552

Neurotheology - ประสาทเทววิทยา (ตอนที่ 3)


ศาสตร์ใหม่ทางด้าน Neurotheology นั้นกำลังจะเผยให้เห็นว่า DNA ของเราถูกเข้ารหัสให้เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้า เทพ เทวดา โลกนี้โลกหน้า วิญญาณ เพื่อให้มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เอาตัวรอดได้เหนือสิ่งมีชีวิตอื่นบนโลก คนไทยเราเองก็ค่อนข้างมียีนเด่นทางด้านนี้ในสมอง ทำให้คนไทยค่อนข้างจะงมงายในเรื่องเหนือธรรมชาติกันมาก Lewis Wolpert ศาสตราจารย์ทางด้านชีววิทยา สังกัด University College London ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงมากในเรื่องของการใช้เหตุและใช้ผล ในการตัดสินสิ่งต่างๆในธรรมชาติว่ามีจริงหรือไม่ ท่านเชื่อว่าวิทยาศาสตร์เท่านั้นที่ตอบปัญหาได้ว่าอะไรมีอยู่หรือไม่มี ท่านเชื่อว่าวิทยาศาสตร์พิสูจน์ความจริงด้วยการสังเกตการณ์ และหาข้อสรุปอย่างตรงไปตรงมา

ศาสตราจารย์ Wolpert เชื่อว่ามนุษย์ถูกโปรแกรมโดยยีน สมองคนเราทำงานเหมือน Belief Engine หรือ เครื่องจักรแห่งความเชื่อ มนุษย์จึงมีจินตนาการสูง และชอบเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ คนที่สมองทำงานด้านนี้เยอะๆ ก็มักจะมีประสบการณ์ทางวิญญาณ มีเรื่องเข้าเจ้าเข้าทรง Wolpert มักจะกล่าวอยู่เรื่อยๆว่า "ผมเชื่อว่าความเชื่อทางศาสนานั้นน่าจะฝังอยู่ในพันธุกรรมของเรานี่แหล่ะครับ คุณจะอธิบายยังไงล่ะครับกับเรื่องที่ว่า ไม่มีชนชาติใดในโลกเลยที่ไม่มีความเชื่อทางศาสนา" ศาสตราจารย์ Wolpert สรุปว่าสิ่งที่ทำให้มนุษยชาติมีอยู่คือ เทคโนโลยี เพราะเราเป็นสัตว์ไม่กี่ชนิดที่รู้จักการสร้างเครื่องมือใช้สอย และความสามารถในการสร้างเครื่องไม้เครื่องมือเหล่านี้ได้ ก็ทำให้เราเป็นสัตว์ขี้สงสัยขึ้นไปอีก สงสัยในเรื่องการมีอยู่ของสิ่งอื่นๆ ที่ซับซ้อนกว่า รวมไปถึงจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราตายไปแล้ว

19 กุมภาพันธ์ 2552

Smart Grid - ระบบส่งไฟฟ้าอัจฉริยะ (ตอนที่ 2)


เมื่อสักต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ที่ผ่านมานั้น บริษัท IBM ได้สร้างความฮือฮาด้วยการประกาศผลกำไรดีเกินคาด ในขณะที่บริษัทดังๆ ในสหรัฐอเมริกา ถ้าไม่ประกาศขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล หรือประสบภาวะขาดทุน ก็ต้องมีภาวะผลกำไรติดลบกันทั้งนั้น แต่ IBM กลับมีผลประกอบการดีกว่าเดิม มีการจ่ายเงินปันผลต่อหุ้นที่เพิ่มขึ้น 3% น่าแปลกใจไหมครับว่า IBM ทำอะไร ทำไมถึงสวนกระแสชาวบ้าน ฟังข่าวต่อไปนี้แล้วจะเข้าใจยิ่งขึ้นครับ ......

IBM ซึ่งเป็นบริษัทที่รู้จักกันดีว่าขายคอมพิวเตอร์ (อดีตนายก ดร. ทักษิณ ชินวัตร ก็เคยทำธุรกิจคอมพิวเตอร์ก่อนจะมาร่ำรวยจากโทรศัพท์มือถือ) IBM เคยรุ่งเรืองมากกับการขายคอมพิวเตอร์ ในภายหลังได้ค่อยๆ ขยับไปดำเนินการเกี่ยวกับระบบสารสนเทศทางด้านการเงิน การธนาคาร โครงสร้างพื้นฐานด้านไอที แต่ตอนนี้ IBM กำลังจะเข้ามาดำเนินการในด้านพลังงานแล้วครับ IBM ทำการวิจัยเกี่ยวกับ Solar Cell แบบใหม่ที่เรียกว่า Copper-Indium-Gallium-Selenide (CIGS) อยู่ ซึ่งจะทำให้แผงเซลล์สุริยะถูกลง

ล่าสุด IBM ได้รับสัมปทานจากประเทศมอลต้า ให้ทำระบบ Smart Grid สำหรับไฟฟ้าและน้ำประปา โดยจะต้องทำการเปลี่ยนมิเตอร์ไฟทั้งหมด 250,000 หน่วยให้เป็น Smart Meter ซึ่งจะทำให้ผู้จ่ายไฟฟ้า สามารถที่จะรู้การใช้ไฟฟ้าของบ้านแต่ละหลัง โดยไม่ต้องส่งพนักงานออกไปดู สามารถดูได้จากหน้าจอแบบเรียลไทม์ ซึ่งหากผู้ใช้ค้างชำระเกินกำหนด ผู้จ่ายไฟสามารถสั่งระงับการจ่ายไฟฟ้าจากระยะไกลได้ หรือสั่งให้มีการจ่ายไฟตามปกติได้ โดยไม่ต้องเดินทางไปหน้าบ้านของผู้ใช้เลย การใช้ Smart Meter ทำให้ผู้จ่ายไฟรู้ภาวะความต้องการไฟฟ้าอย่างเรียลไทม์ มีการจัดการกระแสไฟฟ้าที่เกิดโอกาสล้มเหลวของโหลด หรือ หม้อแปลงระเบิดได้น้อยลงมาก ผู้ใช้สามารถรู้ค่าไฟฟ้าสะสมที่เกิดขึ้น การคิดค่าไฟฟ้าสามารถทำแบบฉลาดได้ คือค่าไฟฟ้าในช่วงเวลาต่างกันให้มีราคาที่ต่างกันได้ เช่นช่วงหัวค่ำก็คิดแพงๆ หน่อย ดึกๆถึงเช้ามืดก็คิดแบบถูกๆ คนใช้ก็รู้ราคาและสามารถเช็คได้โดยตรงจาก web site เลย นอกจากนั้นอาจจะใช้ระบบ Pre-paid คล้ายๆ การเติมเงินของโทรศัพท์มือถือก็ย่อมได้ ลูกค้าอาจอาศัยช่วง Promotion ไปซื้อบัตรเติมเงิน เพื่อใช้ไฟฟ้าในช่วงที่ราคาถูกๆ เช่น ช่วงหน้าฝนน้ำในเขื่อนเยอะก็ใช้เยอะได้ แต่ช่วงน้ำน้อยก็มี Promotion แบบอื่นๆ เช่น ให้ใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่คนใช้น้อย

ระบบ Smart Grid นี่ยังมีอะไรๆให้เล่นอีกเยอะครับ ต้องติดตามตอนต่อไป .......

17 กุมภาพันธ์ 2552

Braille Interpreter - อ่านหนังสือจากสัมผัสกาย

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อขยายให้ใหญ่ขึ้น)

เรื่องของการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น Robotics, Nanotechnology, Intelligent Materials, Bionics, Biomedical Engineering มาเพิ่มศักยภาพของมนุษย์ให้สูงขึ้น หรือ มาช่วยชดเชยผู้ที่ด้อยสมรรถภาพทางร่างกาย กำลังเป็นกระแสที่มาแรงมากๆ ครับ ก่อนหน้านี้ผมได้นำเสนอเรื่องราวต่างๆทางด้านนี้ ไม่ว่าจะเป็น หุ่นยนต์สวมใส่สำหรับชาวนา คอนแท็คเลนส์ที่แสดงผลได้ มือกล จมูกอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น วันนี้ผมนำอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่สามารถอ่านตัวอักษร Braille แล้วเปลี่ยนเป็นเสียงให้ผู้พิการทางสายตา ที่ไม่มีความสามารถในการอ่านตัวหนังสือเบรลล์ สามารถอ่านหนังสือได้ด้วยการใส่ถุงมือเซ็นเซอร์ แล้วนำมาสัมผัสกับตัวอักษรเบรลล์ เจ้าถุงมือเซ็นเซอร์นี้จะเปลี่ยนสัมผัสทางกาย ให้เป็นเสียงซึ่งส่งไปที่หูฟังผ่านสัญญาณบลูทูธ


เรื่องของ Smart Object กำลังมาแรงครับ วันหลังจะนำมาเล่าให้ฟังอีกนะครับ .....

14 กุมภาพันธ์ 2552

How Love Works - นี่หรือที่เรียกว่ารัก (ตอนที่ 1)


สวัสดีวันวาเลนไทน์นะครับ เมื่อวานรถติดมากๆ แต่ผมได้ยินมาว่าปีนี้แม่ค้าขายดอกกุหลาบบ่นกันมากว่า ดอกไม้ขายไม่ค่อยออกเท่าไหร่ เมื่อวานผมก็ได้ของเหมือนกันแต่ไม่ใช่ดอกไม้ ก็เลยเข้าใจว่าปีนี้คนไม่ค่อยให้ดอกไม้กัน ให้เป็นของอย่างอื่นกันมากกว่าแล้วล่ะครับ ......


สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อนของผมหลายคนรวมทั้งตัวผมเองนั้น เคยมีอาการที่เรียกว่า "ติดสาว" คือแทบจะไม่ได้เป็นอันเรียน ต้องเทียวไปตามดู ตามตื้อสาว เรื่องอะไรก็ไม่สนใจ ไม่อยากกิน ไม่อยากนอน ต้องการไปเห็นหน้าก็พอแล้อาการ "ติด" ความรักที่ว่านี้นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามค้นหาว่ามันเกิดจากอะไร และดูเหมือนว่าเราเริ่มเข้าใจกลไกที่เกี่ยวข้องกับความรักมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วครับ พระพุทธองค์ทรงค้นพบเมื่อ 2500 ปีที่แล้วว่าความทุกข์ของมนุษย์เกิดจาก "ตัณหา" และเจ้าตัวตัณหานี้เองก็เกิดจาก "อวิชชา" หรือ "ความไม่รู้" ตอนนี้ วิทยาศาสตร์กำลังเปิดเผยให้เรารู้แล้วครับว่า อะไรคือรัก เมื่อเรารู้แล้ว ต่อไปเราจะได้ไม่ทุกข์กับมันอีก


นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าความรักประกอบด้วยกระบวนการทางเคมีหลายขั้นตอน พวกเราถูกกำหนดมาจากพันธุกรรมให้มีเรื่องรักๆใคร่ๆ มาตั้งแต่เกิดโดยการรักพ่อแม่ที่เลี้ยงเรามา เพื่อที่จะทำให้เรารู้จักความรัก จากนั้นพอโต กระบวนการทางฮอร์โมนจะทำงานเพื่อให้เราสิเน่หาเพศตรงข้าม ทำให้เราพยายามหาคู่ครองและสืบพันธุ์ จากนั้นเราก็จะเกิดความรักกับทารกที่เกิดจากเรา กลไกเหล่านี้หลอกเราให้สืบทอดเผ่าพันธุ์ของเรา โดยเราไม่รู้ตัว สำหรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแล้ว มีเพียง 3% เท่านั้นเองครับที่มีพฤติกรรมเชิงสังคมให้สร้างครอบครัว "ความรัก" จึงเป็นกลไกทางชีววิทยาที่ซับซ้อนมาก ซับซ้อนจนตัวเราถูกหลอกมานานแสนนานโดยไม่รู้ตัว

วันหลังผมจะมาเล่าต่อนะครับ ..... ทำไมผมถึงต้องเล่าเรื่องนี้ครับ ??? ก็เพราะว่าความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องความรัก จะทำให้เราเกิดความก้าวหน้าในศาสตร์หลายๆศาสตร์ ที่จะพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่า Robotics, Entertainment Science หรือแม้แต่การรักษาโรค ไงครับ ......


(ภาพบน - ในภาพยนตร์ Wall-E หุ่นยนต์ก็สามารถเรียนรู้ที่จะรักได้ หรือว่า ความรักเป็นได้ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ .....)

12 กุมภาพันธ์ 2552

Transformers 2 - มหาวิบัติจักรกลสังหารถล่มจักรวาล


วันก่อนรู้สึกคิดถึงภาพยนตร์เรื่อง Transformers เลยหยิบ DVD กลับมาดูอีกที ปีที่แล้วดูไปเกือบ 10 รอบได้ครับ แต่ปีนี้ยังไม่ได้เปิดดูเลย ลองติดตามความคืบหน้าของภาค 2 พบว่าทางฮอลลีวู้ดเตรียมนำภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายในวันที่ 26 มิถุยายน 2009 นี้แล้วครับ ซึ่งตอน 2 นี้จะมีชื่อว่าตอนว่า Revenge of the Fallen ซึ่งตอนนี้ตัวละครที่เป็นมนุษย์ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นคนเดิม ส่วนหุ่นยนต์นั้นได้ยินว่ามีเพิ่มมาอีกเพียบเลยครับ ภาคนี้ยังไปถ่ายทำในอียิปต์ จอร์แดน และปารีส ใครที่เคยดูภาค 1 แล้วเขาบอกว่าดูภาคนี้แล้วจะรู้สึกว่าอลังการขึ้นเยอะมาก เพราะแต่ละวินาทีที่เจ้าหุ่น Transformers โผล่ออกมาให้เห็นนั้นต้องใช้งบถึง 1 ล้านเหรียญกันเลยทีเดียว ในภาคแรกนั้น เนื่องจากความจำกัดของงบประมาณ เจ้า Transformers จะโผล่ออกมาน้อยกว่าภาค 2 เยอะครับ เรียกว่าดูแล้วไปแล้วเข้าห้องน้ำไม่ได้ ต้องนั่งดูจนจบ เนื้อหาภาค 2 นี้เขาว่าจะมีหลักวิทยาศาสตร์มากขึ้น ซึ่งจะเริ่มเปิดเผยถึงที่ไปที่มาของ Autobots และ Decepticons ซึ่งย้อนหลังกลับไปก่อนที่ปิระมิดจะถูกสร้างเสียอีก ส่วนเรื่องจะเป็นอย่างไรในรายละเอียด ผมก็ไม่อยากค้นคว้าไปกว่านี้แล้วครับ เพราะอยากรอดูมากกว่า ไม่อยากรู้ลึกเกินไปเดี๋ยวจะไม่สนุก


เรื่อง Transformers ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์ดูสนุกๆ เท่านั้นนะครับ หากยังจำได้ ก่อนหน้านี้ผมเคยนำเรื่อง ChemBot หรือหุ่นยนต์เปลี่ยนรูปได้ มาเล่าให้ฟังแล้ว ซึ่งทางกองทัพสหรัฐฯ ได้ว่าจ้างให้บริษัท iRobot ไปพัฒนาต้นแบบหุ่นยนต์ที่เปลี่ยนรูปร่างได้ หุ่นยนต์แบบนี้จะมีความอ่อนนุ่ม ยืดหยุ่น และสามารถที่จะปรับเปลี่ยนรูปร่าง เพื่อแทรกตัวเข้าไปในสถานที่ที่มนุษย์ไม่อาจเข้าถึงได้ง่าย (เข้าใจว่าจะเป็นพวกซอกเล็ก ซอกน้อย ถ้ำ หรือ รอยแตกต่างๆ เพื่อทำการสปาย หรือ ค้นหา) หุ่นยนต์นี้นอกจากเปลี่ยนรูปร่างได้แล้ว ยังสามารถบรรทุกน้ำหนักอุปกรณ์เพื่อไปปฏิบัติการทางทหารได้ด้วย

ผมนำวิดีโอ What I've Done ซึ่งเป็น Theme Song ของ Transformers ภาคแรกมาให้ชมข้างล่างนี้ครับ จะได้คลายความคิดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ ......


Nanotube 2009 - The 10th International Conference on the Science and Application of Nanotubes


ถึงแม้ช่วงนี้บรรยากาศการเดินทางไปประชุมวิชาการต่างประเทศจะดูซบเซา เพราะพิษเศรษฐกิจเล่นงาน อีกทั้งหน่วยงานต่างๆ ก็อยากให้ใช้เงินในประเทศ ให้ผู้ประกอบการในไทยได้มีรายได้มากกว่า เท่าที่ผมคุยกับเพื่อนๆหลายคน ก็ทำคล้ายๆกันกับผม ก็คือตัดทริปเมืองนอกออกไปหมดเลยจนถึงกลางปีนี้ แล้วหันมาส่งงานไปประชุมวิชาการนานาชาติที่จัดขึ้นในเมืองไทยแทน อย่างไรก็ตามผมก็ยังจะทำหน้าที่นำการประชุมที่น่าสนใจมาแนะนำกันเช่นเคยครับ

วันนี้ผมขอแนะนำการประชุมทางด้านนาโนเทคโนโลยีที่จัดกันมาเป็นปีที่ 10 แล้ว การประชุมนี้มีมาก่อนที่เรื่องของนาโน จะเข้ามาบูมในบ้านเราอีกครับ งานนี้มีชื่อว่า Nanotube 2009 - The 10th International Conference on the Science and Application of Nanotubes ซึ่งจะจัดขึ้นที่มหานครปักกิ่ง ระหว่างวันที่ 21-26 มิถุนายน 2009 เป็นงานใหญ่ที่จัดตั้งหลายวันแหน่ะครับ ปกติเราไปประชุมวิชาการ 3 วันก็สุก (หรือ สุข?) แล้ว กำหนดส่ง abstract ภายในวันที่ 12 เมษายน 2009 ยังมีเวลามากพอสมควรครับ ถ้าคิดจะไป .... จริงๆ แล้วบ้านเราเองก็มีคนทำวิจัยเกี่ยวกับ nanotube ค่อนข้างเยอะพอสมควรแล้ว
สำหรับหัวข้อประชุมที่เป็นที่สนใจเป็นพิเศษในปีนี้ก็มี

  • Mechanical properties of nanotubes and composite materials
  • Electronic and optical properties
  • Progress in nanotube synthesis and purification
  • Chemical modification and tailoring of nanotube properties
  • Large-scale production
  • Applications

(ภาพด้านบน - 40 Playboy bunnies made of carbon nanotube forests: By Anastasios John Hart - MIT)

09 กุมภาพันธ์ 2552

Smart Grid - ระบบส่งไฟฟ้าอัจฉริยะ (ตอนที่ 1)


ช่วงที่น้ำมันถูกอย่างนี้ ทำเอาหลายๆคนที่ทำงานเกี่ยวกับพลังงานทางเลือกเหี่ยวไปตามๆกัน แถมเจอลูกพ่วงจากพิษเศรษฐกิจโลก ทำให้หน่วยงานสนับสนุนทั้งหลายชะลอการให้ทุนวิจัยทางด้านนี้ไปกันหมดเลยครับ โดยเฉพาะประเทศไทยที่กระแสเรื่องนี้มันขึ้นๆ ลงๆ ตามราคาของน้ำมัน คนที่ทำงานด้านพลังงานทางเลือกต่างก็หวังว่าน้ำมันจะถูกอยู่ไม่นาน แต่ดูเหมือนว่าความคิดเช่นนั้นจะเป็นการมองโลกในแง่ดีมากกว่าครับ เพราะตอนนี้กำลังผลิตน้ำมันของโลกนั้นมากเกินความต้องการ อีกทั้งประเทศยักษ์ใหญ่ที่บริโภคน้ำมันกำลังหันหนีการพึ่งพิงน้ำมัน วันก่อนหน้านี้ผมได้กล่าวถึงแผนการใหญ่ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่จะนำถ่านหินมาใช้เป็นเชื่อเพลิงสังเคราะห์สำหรับอากาศยาน ซึ่งอีกไม่กี่ปีต่อไปนี้ อเมริกาจะลดการใช้น้ำมันอากาศยานนำเข้าไปครึ่งหนึ่งเลยครับ มากพอที่จะทำให้ราคาน้ำมันตกต่ำลงไปอีกหลายปี


แผนการที่จะปลดแอกตัวเองออกจากน้ำมันของสหรัฐอเมริกาไม่ได้มีแค่นี้ครับ การใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ หรือ การใช้พลังงานอย่างฉลาดเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดการใช้พลังงานลง เพียงไม่กี่วันที่ Barack Obama เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี เขาได้ออกมาแถลงแผนการที่จะใช้งบประมาณมูลค่า 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อดำเนินโครงการประหยัดพลังงาน และสนับสนุนพลังงานทางเลือกอื่นๆ ที่ไม่ใช่น้ำมัน แผนการนี้ยังรวมไปถึงการปฏิวัติระบบสายส่งกระแสไฟฟ้าให้ทันสมัย ติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Meter) ในบ้านทั้งหมด 40 ล้านหลังคาเรือน โครงการนี้จะช่วยทำให้การลงทุนในแหล่งพลังงานทางเลือกสามารถดำเนินต่อไปได้ ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจขณะนี้


วันหลังผมจะมาเล่าต่อนะครับว่า Smart Grid คืออะไร มีเทคโนโลยีอะไรที่เจ๋งๆ บ้าง ......

08 กุมภาพันธ์ 2552

Coal for Aviation - เชื้อเพลิงถ่านหินสำหรับอากาศยาน (ตอนที่ 3)


การนำเชื้อเพลิงโบราณอย่างถ่านหินมาใช้งานในยุคนี้ได้รับการต่อต้านอย่างหนัก เพราะนอกจากเชื้อเพลิงนี้จะมีชื่อเสียงไม่ดีในเรื่องของมลพิษต่างๆแล้ว การใช้เชื้อเพลิงชนิดนี้ยังส่งผลกระทบทางลบต่อปัญหาโลกร้อน แต่เพราะความจำเป็นของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีความต้องการจะหลุดพ้นจากการพึ่งพาน้ำมันจากต่างประเทศ ทำให้การนำถ่านหินมาใช้แบบใหม่ที่เรียกว่า Clean Coal กำลังจะเป็นกระแสใหม่ของพลังงานทางเลือก (Alternative Energy) ไม่ใช่พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ที่อเมริกาให้ความสนใจ

จริงๆ แล้ว พลังงานทางเลือกในรูปแบบอื่นๆ นอกเหนือไปจาก Clean Coal ก็กำลังเป็นที่สนใจของสหรัฐฯ เช่น การนำเอาคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงไฟฟ้าไปป้อนให้แก่สาหร่าย เพื่อให้สาหร่ายผลิตน้ำมัน Biodiesel หรือการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อัดลงไปใต้พื้นโลกในบริเวณที่มีบ่อน้ำมันที่กำลังจะแห้ง เพื่อดันน้ำมันที่เหลือซึ่งสูบขึ้นมายาก ให้สามารถยกตัวขึ้นมาได้ แต่กองทัพอากาศสหรัฐฯ เห็นว่าทางเลือกต่างๆเหล่านั้น ยังต้องอาศัยเวลากว่าจะสามารถใช้งานในระดับมหภาคได้ ไม่เหมือนกับการนำถ่านหินมาผลิตเชื้อเพลิงสังเคราะห์ ซึ่งตอนนี้สามารถนำไปเติมให้เครื่องบินรบได้หลายชนิดแล้ว แม้ทางกองทัพอากาศสหรัฐฯ จะตระหนักถึงผลกระทบที่เชื้อเพลิงสังเคราะห์จากถ่านหิน จะปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าน้ำมันเชื้อเพลิงปรกติ แต่ความจำเป็นในเรื่องความมั่นคงนั้นอาจต้องมาก่อน Tyson Slocum ผู้อำนวยการหน่วยงานมหาชนที่มีชื่อว่า Public Citizen's Energy Program กล่าวว่า "แน่นอนครับว่า เรื่องนี้คงต้องทะเลาะกันอีกยาว เพราะทางออกสำหรับเชื้อเพลิงอากาศยานนั้นมีไม่มาก ก็เราไม่สามารถใช้โซลาร์เซลล์ผลิตพลังงานให้เครื่องบินได้นี่ครับ" อย่างไรก็ดี นักสิ่งแวดล้อมยังมีความหวังว่า หากในอนาคตเชื้อเพลิงชีวภาพมีความก้าวหน้า และสามารถนำมาเติมให้อากาศยานได้ กองทัพอากาศสหรัฐฯอาจจะยอมถอยออกจากเชื้อเพลิงโบราณอย่างถ่านหิน ............

07 กุมภาพันธ์ 2552

Neurotheology - ประสาทเทววิทยา (ตอนที่ 2)


วันนี้มาคุยกันต่อนะครับ วันก่อนผมพอเกริ่นๆไปบ้างแล้วว่า Neurotheology หรือ ประสาทเทววิทยา เป็นศาสตร์ที่มีสมมติฐานว่า ความเชื่อทางศาสนานั้นเกิดจากสมองของเรา โดยความคิดเรื่องพระเจ้า หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ สิ่งเหนือธรรมชาติ นั้นเป็นเรื่องของสมองสร้างขึ้นมา โดยสามารถที่จะอธิบายได้ด้วยหลักของชีววิทยา ประสาทวิทยา และพันธุศาสตร์เชิงโมเลกุล หลักฐานง่ายๆว่าความคิดในเรื่องสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติอยู่ในยีนของเราก็คือ ไม่มีอารยธรรมใด หรือชนชาติใด เผ่าพันธุ์ใดในโลก ที่ดำรงอยู่ได้โดยไม่มีเรื่องเกี่ยวกับศาสนาหรือจิตวิญญาณ แม้แต่ชนเผ่าเดียว มนุษย์ทุกคนตั้งแต่เกิดมาแล้ว มีวาล์วเปิดรับเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไม่ยากเย็นอะไรเลย


ดร. แอนดรู นิวเบิร์ก (Andrew Newberg) อาจารย์สังกัดมหาวิทยาลัยแห่งเพนซิลวาเนีย ในสหรัฐฯ ผู้แต่งหนังสือ "Why We Believe What We Believe" ซึ่งเป็นหนังสือที่อธิบายว่าทำไมคนเราถึงยังงมงายในเรื่องเหนือธรรมชาติต่างๆกันอยู่ อาจารย์ท่านนี้มีประสบการณ์ในการรักษาและศึกษาสมองของคนไข้ที่เป็นโรคที่เกี่ยวกับสมองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Alzheimer's โรค Parkinson's โรคซึมเศร้า และโรคประสาท เขาพบว่า Frontal Lobe หรือสมองส่วนหน้า ซึ่งอยู่ติดกับกระโหลกหน้าผากนั้น ช่วยทำให้เราสามารถทำสมาธิในการสวดมนต์ หรือทำกรรมฐาน ส่วน Parietal Lobe ซึ่งอยู่ข้างหลังนั้นทำหน้าที่เก็บรวบรวมสัมผัสต่างๆที่เข้ามา มันเกี่ยวข้องในการทำให้เราเกิดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของ สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเราเอง ซึ่งสมองส่วนที่มีชื่อว่า Limbic System ซึ่งซ่อนตัวอยู่ใจกลางสมองนั้น จะทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์ และความรู้สึกสุขที่ได้รับจากการปฏิบัติธรรม จากการสแกนสมองทำให้อาจารย์ท่านนี้พบว่า สมองส่วนเดิมๆ จะทำงานเมื่อสวดมนต์หรือทำกรรมฐาน ดร. นิวเบิร์กเสนอว่าการสแกนสมองสามารถใช้เป็นหลักฐานในการสรุปว่า สมองมนุษย์นั้นถูกสร้างขึ้นมาให้มีความเชื่อในเทพเจ้า หรือสิ่งเหนือธรรมชาติ สำหรับคนที่ไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้าแล้ว ความรู้สึกต่างๆว่าพระเจ้ามีจริงนั้น เป็นเพียงการทำงานของวงจรต่างๆในสมองของเราเท่านั้นเอง

วันหลังผมจะมาคุยเรื่องนี้ต่อนะครับ .......

06 กุมภาพันธ์ 2552

Neurotheology - ประสาทเทววิทยา (ตอนที่ 1)


หายไปหลายวันเลยครับ ผมเพิ่งกลับมาจากทำงานภาคสนามในไร่องุ่น ช่วงนี้อากาศร้อนกับอากาศเย็นเริ่มเข้าปะทะกันแล้ว เราจะเริ่มเห็นฝนตกกันบ้างแล้ว

ก่อนหน้านี้ผมเคยกล่าวเอาไว้เรื่อยๆ นะครับว่าศตวรรษที่ 21 จะมีศาสตร์ใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย ในขณะเดียวกันศาสตร์เก่าๆ หลายๆศาสตร์จะเริ่มหันเข้าหากัน มาคุยกันมากขึ้นๆ วิทยาศาสตร์ของจิตใจ (Mind Sciences) จะถือกำเนิดขึ้นในศตวรรษนี้เพื่อแสวงหาความเข้าใจในเรื่องของจิตใจ เรื่องของความคิด วันนี้ผมจะขอแนะนำศาสตร์หนึ่งที่กำลังมีความสนใจศึกษากันมากขึ้น นั่นคือ Neurotheology หรือ ประสาทเทววิทยา ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงประสาทวิทยา (Neuroscience) กับ ศาสนวิทยา หรือ เทววิทยา (Theology) โดยพื้นฐานของ Neurotheology นั้นอยู่บนสมมติฐานที่ว่า ความเชื่อทางศาสนานั้นเกิดจากสมองของเรา ซึ่งเข้ารหัสพันธุกรรมเอาไว้เพื่อทำให้มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถเอาตัวรอดได้เหนือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ โดยความคิดเรื่องพระเจ้า หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ สิ่งเหนือธรรมชาติ นั้นเป็นเรื่องของสมองเพียวๆครับ สิ่งนั้นไม่ได้มีจริงแต่อย่างใด เป็นเพียงความคิดที่สร้างขึ้นมาทั้งนั้น นักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานวิจัยในสาขานี้ มีเป้าหมายจะหาหลักฐานต่างๆ มาพิสูจน์สมมติฐานนี้ โดยการศึกษาสมองและพฤติกรรมที่เกี่ยวกับศาสนาของมนุษย์ ถ้าหากสมมติฐานนี้เป็นจริง แสดงว่าความคิดเรื่องพระเจ้าหรือความเชื่อทางศาสนาเนี่ย สามารถที่จะปลูกใส่ในหุ่นยนต์ได้เช่นกัน ถ้าใครเคยดูหนังเรื่อง I, Robot คงจะจำตอนจบได้ว่าหุ่นยนต์ก็มีความเชื่อหรือศรัทธาในสิ่งต่างๆได้เช่นกัน

ดร. แอนดรู นิวเบิร์ก (Andrew Newberg) อาจารย์ทางด้านประสาทวิทยาสังกัดมหาวิทยาลัยแห่งเพนซิลวาเนีย ในสหรัฐฯ เป็นผู้หนึ่งที่วิจัยในศาสตร์ทางด้านนี้อย่างเอาจริงเอาจัง ท่านได้แต่งหนังสือ "Why We Believe What We Believe" ซึ่งเป็นหนังสือที่โด่งดัง ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ได้อธิบายว่าทำไมคนเราถึงยังงมงายในเรื่องเหนือธรรมชาติต่างๆกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพระเจ้า UFO เรื่องของออรา เรื่องของการรักษาด้วยพลังจักรวาล ถึงแม้จะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ทดสอบได้อย่างชัดเจนแล้วว่าเรื่องพรรค์นั้นไม่มีจริง อาจารย์ Newberg ได้ศึกษากลไกทางชีววิทยาที่ควบคุมความรู้สึกเชิงวิญญาณ ความคิดเชิงสังคม และความเชื่อความศรัทธาต่างๆ ของมนุษย์ โดยเขาได้เสนอว่ามนุษย์เรานั้นถูกกลไกทางชีววิทยาขับดันให้พยายามค้นหาความหมายของชีวิตตลอดการมีชีวิตอยู่ เพื่อที่จะได้อยู่รอดและสืบเผ่าพันธุ์สืบลูกสืบหลานให้คงอยู่ ความเชื่อทางศาสนาช่วยให้มนุษย์อยู่เป็นกลุ่มก้อนได้โดยไม่ทำลายกันเอง แต่ต้องช่วยเหลือพวกเดียวกัน แต่ในขณะเดียวกันสมองของคนเราก็มีศักยภาพให้สร้างความเชื่อมากกว่าที่เราต้องการใช้เพื่อความอยู่รอด เราสามารถใช้มันเพื่อจูงใจผู้อื่น สร้างสังคมที่มีกฎระเบียบ รักษาโรคภัยไข้เจ็บของเราเอง สร้างความสัมพันธ์เชิงวิญญาณกับผู้อื่นได้

วันหลังจะมาเล่าต่อนะครับ ........

01 กุมภาพันธ์ 2552

Nano Road - ถนนนาโน (ตอนที่ 4)


สวัสดีครับ หายไปหลายวันเลยครับ ตอนนี้ผมทำงานภาคสนามอยู่ที่สวนชาดอยช้าง จ.เชียงราย มาสัก 3-4 วันแล้วครับ มาพัฒนาระบบ Digitized Tea Orchard ที่ดอยช้าง อีก 2 วันก็จะกลับกรุงเทพฯครับ อีกเดือนครึ่งจะกลับมาอีกที ตอนนี้ที่เชียงรายก็ยังคงหนาวอยู่ครับ ตอนกลางคืนก็ยังอยู่แถวๆ 16-19 องศาเซลเซียส สวนชาที่ผมมาทำงานอยู่นี้ไม่ได้อยู่เชิงดอยช้างครับ ความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 510 เมตรเท่านั้น ซึ่งก็เพียงพอสำหรับการปลูกชาแล้วครับ

วันนี้กลับมาคุยเกี่ยวกับนาโนเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับถนนหนทางกันต่อ จากคราวที่แล้วที่ผมเคยกล่าวไปก่อนหน้านี้ว่า ทางหลวงโดยทั่วไปจะราดผิวถนนได้ 2 แบบคือ คอนกรีต กับ ยางมะตอย สำหรับทางหลวงในสหรัฐอเมริกาที่ยาวเกือบ 3.6 ล้านกิโลเมตรนั้น กว่า 90% ราดผิวจราจรด้วยแอสฟัลต์หรือยางมะตอย ซึ่งเป็นวัสดุไฮโดรคาร์บอน น้ำหนักโมเลกุลสูงที่ได้จากอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยมีการใช้งานถึง 30 ล้านตันต่อปีทั้งเพื่อสร้างทางใหม่และซ่อมบำรุงทาง ว่ากันว่าทุกวินาทีจะมียางมะตอย 1 ตันถูกราดบนผิวทางในสหรัฐฯ การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อปรับปรุงยางมะตอยจึงเป็นเรื่องที่คุ้มค่าเหนื่อย ในประเทศไทยก็เช่นเดียวกันครับ ยางมะตอยครอบครองส่วนแบ่งของผิวถนนไปอย่างน้อย 90% ทั่วประเทศครับ ยางมะตอยที่ใช้ราดผิวถนนนั้นประกอบด้วยหินและทรายจำนวนกว่า 95% ที่เหลือนั้นคือแอสฟัลต์ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่า โดยมีการใส่สารเติมแต่งเช่นพอลิเมอร์ และสารเคมีอื่นๆเข้าไปด้วย ยางมะตอยที่นำมาใช้ไม่มีระบบควบคุมคุณภาพ และไม่มีมาตรฐานของผู้ผลิตต้นทาง ดังนั้นคุณภาพของมันจึงผันแปรได้มาก ทำให้ถนนที่ใช้ยางมะตอยนั้น ยากที่จะคาดคะเนได้ว่าจะมีความทนทานเพียงใด ไม่เหมือนถนนที่ปูผิวด้วยคอนกรีต แต่เพราะความที่มันซ่อมแซมได้ง่าย ค่าก่อสร้างก็ถูกกว่า รวมทั้งกำเนิดเสียงที่เงียบกว่า ทำให้ถนนที่ปูผิวด้วยยางมะตอยยังครองเบอร์ 1 ได้อีกนาน นาโนเทคโนโลยีสามารถที่จะนำไปใช้เพื่อเพิ่มคุณสมบัติแอสฟัลต์ก็เช่น การเติมวัสดุอื่นๆลงไปเพื่อให้เกิดวัสดุผสม ได้แก่ อนุภาคนาโนของยาง หรือที่เรียกว่า Asphalt Rubber ซึ่งจะทำให้เกิดผิวจราจรที่ขับขี่ได้เงียบขึ้นมาก (หากใครเคยไปทัวร์เกาหลี ก็คงเคยเดินทางบนรถโค้ชที่นุ่มและเงียบมาก) อนุภาคนาโนซิลิกา และ เถ้าลอยก็สามารถเติมแต่งลงไปเช่นเดียวกับคอนกรีต เพราะแอสฟัลต์ก็ทำหน้าที่เป็นกาวเชื่อมวัสดุต่างๆ เข้าด้วยกันเหมือนซีเมนต์นั่นเอง นอกจากนั้นยังสามารถเติมนาโนไฟเบอร์เข้าไปเพื่อให้ยางมะตอยมีคุณสมบัติยึดเกาะกันได้ดีขึ้น ไม่หลุดง่าย