แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Malaysia แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Malaysia แสดงบทความทั้งหมด

25 ตุลาคม 2556

Malaysia Smart Paddy - โครงการนาข้าวอัจฉริยะ มาเลเซีย



(Credit - Picture from Malaysian National Paddy Precision Farming Project)

"ประเทศไทย ปลูกอะไรก็ขึ้น จะทำ smart farm ไปทำไม" เป็นคำพูดที่ผมมักจะได้ยินนักวิชาการทางด้านเกษตรพูดดูหมิ่นแนวคิดของ smart farm ทำให้เมื่อ 5 ปีก่อน แทนที่ผมจะได้นำแนวคิดของเกษตรอัจฉริยะมาใช้กับนาข้าว ซึ่งเป็นพืชหลักของไทย แต่ผมกลับต้องไปทำ smart farm กับองุ่น พืชที่ปลูกและดูแลยากกว่ามากๆ เพราะนักวิชาการเหล่านั้น "ไม่อนุญาต" ให้เราทำกับสิ่งที่ "ปลูกอะไรก็ขึ้น"

แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ศักยภาพในการ "ปลูกอะไรก็ขึ้น" กำลังจะสูญเสียไป ประเทศไทยกำลังผจญกับการแข่งขันรอบด้าน เวียดนามกำลังพัฒนาข้าวหอมเพื่อมาแข่งขันกับเรา รวมไปถึงกาแฟที่ทุกวันนี้ ทั้งกาแฟของลาวและเวียดนาม บุกถล่มร้านกาแฟในเมืองไทยกันเต็มบ้านเต็มเมือง เมื่อไม่นานมานี้ อินโดนีเซียออกกฎเหล็กเพื่อมาควบคุมทุเรียนไทย อินโดนีเซียตั้งเป้าจะเอาทุเรียนมาแข่งกับไทยให้ได้

จะเห็นว่า ถ้าเรายังอยู่กับที่ ... มีแต่ ตาย กับ ตาย ครับพี่น้อง !!!

วันนี้ผมจะพาไปดูโครงการนาข้าวอัจฉริยะในประเทศมาเลเซียครับ ไปดูกันครับว่า เพื่อนบ้านเค้าทำนาแบบใหม่กันอย่างไร โครงการนี้เป็นการนำเอาเทคโนโลยีหลายอย่าง มาช่วยในการทำนา ผมขออธิบายตามรูปภาพนะครับ ทีนี้ขอให้มองไปที่มุมขวาบนของภาพก่อนครับ

- Soil Sampling ก่อนการทำนาในรอบต่อไป จะมีการตรวจสอบตัวอย่างดินกันก่อนครับ ค่าที่ตรวจสอบจะมี pH, ค่าการนำไฟฟ้า (เพื่อรู้ปริมาณไอออนต่างๆ) ค่าปริมาณของอินทรีย์วัตถุในดิน โดยการใช้รถไถที่ดัดแปลงให้สามารถอ่านค่าตัวอย่างดินได้แบบ ณ ตำแหน่งและเวลาจริงกันเลยทีเดียวครับ ไม่ต้องนำตัวอย่างดินกลับไปทำที่แล็ป

- Soil Mapping จากข้างบน เมื่อเราสามารถตรวจสอบตัวอย่างดินได้ ณ สถานที่และเวลาจริง แบบขับรถไถไปตรวจสอบไป (On-the-go Measurement) เราก็สามารถได้ค่าพารามิเตอร์ของดิน ณ ตำแหน่งต่างๆ ซึ่งก็จะกลายเป็น แผนที่ดินดิจิตอล ที่ทำให้เราทราบว่า ดินในไร่นาของเรามันเหมือนกัน หรือ ต่างกันอย่างไร

- แผนที่ดินดิจิตอลนี้เองครับ จะทำให้เราสามารถดูแลดินแบบแตกต่างกันได้ ตรงไหนไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์ก็ใส่ปุ๋ยเยอะๆ หน่อย ตรงไหนดินมันดีกว่าที่อื่น ก็ใส่น้อยหน่อย โดยเราสามารถโปรแกรมใส่รถไถที่จะออกไปรถปุ๋ยครับ เจ้ารถไถนี้จะนำเอาแผนที่เหล่านี้มาใช้อย่างอัตโนมัติ

- Plant Growth Monitoring ในระหว่างที่พืชเติบโต เราจะมีการตรวจวัดด้วยเทคโนโลยีต่างๆ กัน เช่น ใช้เซ็นเซอร์ตรวจวัดการเติบโต หรือใช้ภาพถ่ายทางอากาศจาก UAV ทำให้เราทราบว่า ตกลงที่เราให้ปุ๋ยแก่ดินไปแตกต่างกันตามตำแหน่งต่างๆ กันนั้น มันเป็นไปอย่างที่เราคิดมั้ย

- Variation Rate Application คือการที่เมื่อเรารู้แล้วว่าสิ่งที่เราทำไป หากมันยังไม่เป็นอย่างที่เราคิด เราก็ยังสามารถดูแลให้ปุ๋ย น้ำ ตามความแตกต่างที่เราวัดได้ ซึ่งก็อาจจะมีการติดตั้งเซ็นเซอร์ติดตามในไร่นา เช่น เซ็นเซอร์ตรวจวัดความชื้นในดิน เซ็นเซอร์ตรวจวัดความสูงของต้นข้าว เซ็นเซอร์ตรวจวัดคลอโรฟิล เป็นต้น เรายังสามารถดูแลการกำจัดศัตรูพืช ตามสภาพที่เราตรวจวัดได้อีกด้วย

- Yield Mapping ท้ายสุด เมื่อมาถึงการเก็บเกี่ยว เราจะไม่เก็บเกี่ยวแบบธรรมดาอีกต่อไป แต่เราจะตรวจวัดว่า แปลงไหน ตรงไหน พิกัดที่เท่าไหร่ ให้ผลผลิตมากน้อยอย่างไร แล้วนำค่าผลผลิตที่ตรวจวัดได้นั้นมาทำแผนที่ผลผลิตแบบดิจิตอล เพื่อที่จะได้นำไปปรับปรุงโมเดล และ สมมติฐานต่างๆ ที่จะทำให้การเพาะปลูกในฤดูกาลต่อไปนั้นดีขึ้นครับ

ตอนนี้ ผมเองก็เสนอโครงการนาข้าวอัจฉริยะไปที่สภาวิจัยแห่งชาติอยู่ครับ ถ้าได้รับการสนับสนุน จะนำมาเล่าให้ฟังเพิ่มเติมนะครับ หวังว่า เรายังไม่ได้ตามหลังมาเลเซียไกลเกินไป เผื่อจะได้ไล่ทันบ้างครับ


22 มีนาคม 2555

Robotics Asia 2012


เมื่ออาเซียนเชื่อมโยงถึงกันหมดในปี พ.ศ. 2558 ประเทศที่ถูกมองว่าจะแข่งกันในเรื่องของเทคโนโลยีมี 3 ประเทศคือ สิงคโปร์ มาเลเซีย และ เมืองไทยของเรา ในระยะหลังๆ จะสังเกตได้ว่ามาเลเซียเริ่มจัดงานประชุม นิทรรศการ และเทรดแฟร์ทางด้านเทคโนโลยีมากขึ้น อย่างเห็นได้ชัด (สำหรับสิงคโปร์นั้นไม่ต้องพูดถึง เขาจัดของเขาตลอดอยู่แล้วครับ) มาเลเซียต้องการเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียนทางด้านนาโนเทคโนโลยี และ ระบบออโตเมชั่น ล่าสุด มาเลเซียต้องการจะเป็นศูนย์กลางทางด้านหุ่นยนต์ศาสตร์ในภูมิภาคอาเซียน ในปีนี้มาเลเซียจึงดึงนิทรรศการทางด้านหุ่นยนต์มาจัดที่กัวลาลัมเปอร์ คืองาน Robotics Asia ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-12 กรกฎาคม 2555 ที่อาคาร Putra World Trade Center กรุงกัวลาลัมเปอร์ งานนี้จะมีเทคโนโลยีหุ่นยนต์ที่ใช้ในงานประยุกต์ในด้านต่างๆ มาแสดง ทั้งด้านเกษตร การบิน อวกาศ การแพทย์และสุขภาพ การศึกษา โดยมี Theme ของงานเป็น "Robotics at Home, Work and Play" โดยผู้จัดหวังว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานจากในภูมิภาคประมาณ 20,000 คน

05 มกราคม 2554

NANO-SCITECH 2011 - 3rd International Conference on Nanoscience & Nanotechnology 2011




หมู่นี้ ... เรื่องนาโนในบ้านเราค่อนข้างจะเงียบเหงา ... แบบว่า มันเงียบจริงๆ ว่ามั้ยครับ เรื่องตื่นเต้นๆ ในวงการวิจัยนาโนเทคโนโลยีของเมืองไทยเรา ก็แทบจะไม่ได้ยินเลย ซบเซาหงอยเหงาเกินไปหรือเปล่าคร้าบ ...

วันนี้ผมจะพาไปดูข้างบ้านเรานะครับ ในขณะที่เมืองไทยของเราเรื่องนาโนค่อยๆ หงอยๆ ลงไป แต่ในมาเลเซีย เรื่องนี้กลับแรงขึ้น แรงขึ้นครับ ก่อนหน้านี้ผมเคยวิเคราะห์ว่าประเทศมาเลเซียนี่แหล่ะครับ เป็นคู่แข่งทางด้านนาโนเทคโนโลยีที่แท้จริงของเรา เพราะจำนวนผลงานตีพิมพ์ จำนวนนักวิจัย และจำนวนของเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาล อยู่ในระดับสูสีกับประเทศไทยมาหลายปี ถึงแม้ในระยะหลังๆ ประเทศเขาจะเริ่มทิ้งห่างเราไปในเรื่องของทุนวิจัยก็ตาม

ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะริเริ่มการตั้งศูนย์แห่งชาติทางด้านนาโนเทคโนโลยีก่อนประเทศมาเลเซียก็ตาม แต่จะว่าไปแล้ว ในระดับสากล ประเทศมาเลเซียดูเหมือนจะเป็นที่รับรู้ในเรื่องของการวิจัยทางด้านนาโนเทคโนโลยีมากกว่าเราเสียอีกครับ โดยเฉพาะในเรื่องของการจัดประชุมวิชาการระดับสากลทางด้านนี้ ประเทศไทยกลับไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าไหร่ ส่วนมาเลเซียนั้นเขาจัดงานประชุมนาโนเทคโนโลยีทุกปีเลยครับ แต่ละปีบางทีก็มีหลายงานด้วยซ้ำ วันนี้ผมขอแนะนำการประชุมทางด้านนาโนเทคโนโลยีที่จะจัดที่เซรังงอ ประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 2-4 มีนาคม 2554 งานนี้มีชื่อว่า NANO-SCITECH 2011 - The 3rd International Conference on Nanoscience & Nanotechnology 2011 ซึ่งเจ้าภาพที่จัดงานนี้ก็คือ Universiti Technologi MARA (UiTM) ร่วมกับ Nagoya Institute of Technology กำหนดส่งบทคัดย่อวันที่ 15 มกราคม 2554 นี้เองครับ เนื้อหาที่เป็นที่สนใจของการประชุมนี้ได้แก่

[1]. Nanoscience and Nanotechnology
[2]. Nanobiotechnology
[3]. Nano Carbon-Based Material
[4]. Nano Oxide-Based Material
[5]. Nano Composite-Based Material
[6]. Nano Coating and Corrosion
[7]. Piezo and Ferro-Electric Materials
[8]. Electronic and Optoelectronic Nano-Devices
[9]. Nanomedicine and Pharmaceutical Material
[10]. Nano Porous Silicon
[11]. Others

ถ้าสนใจ ก็ลองส่งไปดูนะครับ ...

07 สิงหาคม 2551

มาเลเซียจับมือบริษัทซอฟต์แวร์ยักษ์ ดัน Precision Agriculture


MIMOS ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยระดับชาติของมาเลเซีย ซึ่งมีลักษณะงานคล้ายๆ NECTEC ของเรานี่แหล่ะครับ เขาได้ออก มาประกาศเมื่อช่วงต้นปีนี้ว่า เขาจะลุยงานทางด้านเกษตรแม่นยำสูง หรือ Precision Agriculture อย่างจริงจัง โดยจะนำนวัตกรรมทางด้านจักรกลจิ๋ว (MEMS) ที่เขากำลังซุ่มพัฒนาอยู่ไปใช้ในฟาร์มและไร่นา ไมโครชิพเกษตรที่เขาพัฒนาขึ้นมานี้ สามารถตรวจน้ำในดิน ค่าความเป็นกรด-ด่าง อุณหภูมิ เป็นต้น แต่เขารู้ดีว่าหัวใจของเกษตรแม่นยำสูงนั้นอยู่ที่การ ประมวลผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ เขาจึงจับมือกับบริษัท Oracle ภายใต้โครงสร้างพื้นฐานที่เรียกว่า KnowledgeGrid Malaysia Initiatives โดยจะเชื่อมโยงข้อมูลจากเซ็นเซอร์เข้ามาอยู่ในระบบฐานความรู้ เพื่อใช้ในการประมวลผลความรู้ เจ้ากริดความรู้ตัวนี้จะปล่อยให้ชาวนา ชาวไร่ ได้เข้ามาใช้ เหมือนระบบกริดน้ำ ไฟ ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของสาธารณะ Dr. Datuk Abdul Wahab ซึ่งเป็นประธาน MIMOS (ซึ่งเทียบได้กับ ท่านอาจารย์พันธ์ศักดิ์ ผอ. NECTEC ของเรา) ได้กล่าว ว่า "ศักยภาพเชิงพาณิชย์ของระบบเซ็นเซอร์กริดทางการเกษตร ในมาเลเซียนี่มีสูงมากครับ เพราะจริงๆแล้ว เศรษฐกิจพื้น ฐานของมาเลเซียก็ยังพึ่งเกษตรอยู่มากเลยครับ" เมื่อถามว่าจะทำตลาดระบบเซ็นเซอร์กริดอย่างไร เขาตอบว่าจะนำเอาระบบนี้ไปใช้กับอุทยานเกษตรใหญ่ๆ ก่อน เช่น สวนยางขนาดใหญ่ และสวนปาล์มขนาดใหญ่ จากนั้นก็จะค่อยๆ นำไปใช้ในไร่นาขนาดเล็กลง

20 มิถุนายน 2551

มาเลเซียผงาด แซงไทยสู่อันดับ 1 ด้านนาโนเทคโนโลยีในอาเซียนแล้ว


กลับมาแล้วครับ หายไปหลายวัน ผมได้ไปเข้าร่วมประชุม The 2nd International Conference on Functional Materials and Devices หรือ ICFMD2008 ระหว่างวันที่ 16-19 มิถุนายน 2551 นี้ ซึ่งจัดที่กัวลาลัมเปอร์ครับ มาบอกข่าวคราวกันว่า มาเลเซียเขานำหน้าไทยทางด้านนาโนเทคโนโลยีไปเรียบร้อยแล้วครับ ในการประชุมนี้ผมได้พบว่า มาเลเซียเขาตั้งอกตั้งใจโฟกัสในเรื่องไม่กี่เรื่อง แล้วทำกันเป็นล่ำเป็นสัน หลายมหาวิทยาลัย นั่นคือเรื่องของพลังงานครับ เขาทำเรื่อง Li-ion Battery ค่อนข้างมาก ซึ่งก็เน้นพวก Thin-Film Battery อย่าไปคิดว่าเขาว่าทำไปทำไมนะครับ เพราะ Battery เป็นหัวใจของอุปกรณ์เครื่องใช้ทุกอย่างที่เคลื่อนที่ได้ รวมทั้งรถยนต์นะครับ อีกไม่กี่ปีเราอาจจะเห็นโรงงานผลิตแบตเตอรีย้ายมาอยู่ที่มาเลเซีย อีกเรื่องคือ Solar Cell ครับ ทำกันเยอะมากๆ แล้วก็เรื่อง Alternative Energy โดยเฉพาะจาก Palm เพราะเขาปลูกเยอะ รอบๆ สนามบิน KLIA ซึ่งถูกโหวตให้เป็นหนึ่งในสนามบินที่ดีที่สุดในโลกนั้น ก็มีแต่ปาล์ม เป็นอาณาบริเวณนับแสนไร่นับล้านไร่ มาเลเซียเขาสนับสนุนเรื่องของพลังงานอย่างจริงจัง ให้เงินสนับสนุนการวิจัยทางด้านนี้มากกว่าไทยหลายเท่าตัว งานที่เขาทำก็ดูจะไปไกลกว่าบ้านเรา เขาทำงานที่เทคโนโลยีสูง มีการสนับสนุนให้อาคารธุรกิจต่างๆ ติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อใช้ระบบ Hybrid Energy ในการประชุมครั้งนี้เขาสามารถเชิญ Journal มาคัดเลือกบทความดีๆ ไปตีพิมพ์ได้ถึง 5 Journal ซึ่งก็ไม่เคยมีการประชุมทางด้านนาโนเทคโนโลยีที่ไหนในเมืองไทย ทำได้ใกล้เคียงแบบนี้เลยครับ

18 กุมภาพันธ์ 2551

ศักยภาพ Biodiesel ของไทย


เมื่อไม่นานมานี้ นักวิจัยที่มหาวิทยาลัย Wisconsin-Madison ได้ทำการศึกษาจัดอันดับประเทศที่มีศักยภาพในการผลิต Biodiesel จำนวน 226 ประเทศทั่วโลก ผลปรากฏว่าประเทศไทยขณะนี้มีผลผลิต Biodiesel ห่างจากประเทศมาเลเซียหลายเท่า โดยประเทศมาเลเซียอยู่ในกลุ่มผู้ผลิต Biodiesel อันดับต้นๆ ของโลก ร่วมกับประเทศอินโดนีเซีย อาร์เจนตินา สหรัฐอเมริกา และ บราซิล ซึ่งกำลังผลิตของ 5 ประเทศนี้รวมกันนั้น คิดเป็นผลผลิตถึง 80% ของทั้งโลกเลยทีเดียว ทั้งนี้ผลผลิต Biodiesel ของทั้งโลกในขณะนี้อยู่ที่ 51 พันล้านลิตร ซึ่งเท่ากับ 5% ของความต้องการใช้น้ำมันดีเซลของทั้งโลก

น่าเสียดายที่ประเทศไทยเองเป็นประเทศเกษตรกรรมที่สำคัญ เพราะส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารหลักหลายชนิดสู่ตลาดโลก แต่กลับพ่ายแพ้มาเลเซียทางด้านนี้ เป็นที่รู้กันว่าประเทศมาเลเซียได้ทุ่มเทการวิจัยปาล์มน้ำมันมานานนับสิบปี มีการนำเอา Precision Agriculture มาใช้ดูแลจัดการสวนปาล์ม จนทันสมัยอันดับโลก แม้ประเทศไทยจะมีการนำเอา Precision Agriculture มาใช้ในการเกษตรเพื่อดูแลไร่ไวน์แล้ว (GranMonte Smart Vineyard) แต่ก็ยังไม่มีการใช้งานในสวนปาล์ม นักวิจัยที่ทำการศึกษาเรื่องนี้ได้จัดอันดับให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับต้นๆ ในเรื่องของศักยภาพในอนาคตที่จะผลิต Biodiesel ถึงแม้ในปัจจุบันประเทศไทยจะยังล้าหลังประเทศมาเลเซียอยู่ก็ตาม โดยเฉพาะในเรื่องต้นทุนที่ประเทศไทยสามารถทำให้ถูกได้

13 พฤศจิกายน 2550

จับตาดูประเทศเพื่อนบ้าน เทียบศักยภาพนาโนกับไทย


การวิจัยทางนาโนศาสตร์ (Nanoscience) สามารถแบ่งออกเป็น สาขาการสังเคราะห์และเตรียมนาโนวัสดุ การประกอบอุปกรณ์ การบูรณาการระบบ และการโมเดลและออกแบบโครงสร้างนาโน ส่วนด้านนาโนเทคโนโลยี แบ่งเป็นสาขานาโนอิเล็กทรอนิกส์ นาโนวัสดุ และ นาโนชีววิทยา เมื่อเทียบสถานภาพกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม จีน มาเลเซีย และ สิงคโปร์ โดยประเมินจากการประชุมวิชาการที่เป็นงานใหญ่ประจำปีของแต่ละประเทศ พบว่าในเรื่องของการสังเคราะห์และเตรียมนาโนวัสดุนั้น ประเทศไทยไม่ได้ด้อยไปกว่าประเทศใดในย่านนี้ โดยเฉพาะวัสดุจำพวกเซรามิกส์และพอลิเมอร์ สำหรับเวียดนามนั้นค่อนข้างเก่งในเรื่องของวัสดุนาโนจำพวกเซรามิกส์ ที่ใช้ทางด้านอิเล็กทรอนิกส์และแม่เหล็ก ในเรื่องของการประกอบอุปกรณ์นั้น แม้ประเทศไทยจะตามหลังประเทศทางตะวันตกทั้งหลาย รวมทั้งประเทศเอเชียที่มีความก้าวหน้า อย่าง เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน แต่เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านก็ถือว่าเราไม่แพ้ใคร สำหรับเรื่อง MEMS (Micro-electromechanical system) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของนาโนอิเล็กทรอนิกส์นั้น ประเทศไทยกับมาเลเซียถือว่าเป็นคู่แข่งกัน โดยเวียดนามยังห่างชั้นกับไทยอยู่ สาขาที่ประเทศไทยยังมีความอ่อนแออยู่ค่อนข้างชัดคือ สาขานาโนชีววิทยา ซึ่งยังมีการทำวิจัยค่อนข้างน้อย ทำให้ประเทศไทยตามหลังสิงคโปร์อยู่ห่างๆ

อนาคตของอุตสาหกรรมไทย ขึ้นกับความสามารถในการแข่งขันด้านนาโนเทคโนโลยีของประเทศ โดยปัจจัยหลักมาจากงานวิจัยพื้นฐานที่ต้องมีกลไกที่แข็งแรงมาเชื่อมโยงเพื่อนำไปสู่ปลายทางให้ได้ โดยหากเราไม่คิดเริ่มจะทำอะไรในวันนี้ เราจะแพ้ประเทศที่พัฒนาเรื่องนี้หลังเราในไม่ช้านี้ จริงๆ แล้วประเทศไทยมีกลไกในการเชื่อมโยงงานวิจัยพื้นฐานและประยุกต์ให้ไปสู่การใช้ประโยชน์ในระดับดีทีเดียว เช่น โครงการวิจัยและพัฒนาร่วมรัฐและเอกชน โครงการหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา (University Business Incubator - UBI) โครงการหน่วยจัดการทรัพย์สินทางปัญญา (Technology Licensing Office – TLO) โครงการสร้างผู้ประกอบการใหม่ เป็นต้น โดยโครงการเหล่านั้นเน้นการสนับสนุนงานวิจัยที่มีความพร้อมสู่การประยุกต์ใช้ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการจดสิทธิบัตร การถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ผู้ใช้ หรือ แม้กระทั่งการตั้งบริษัท Start-Up ขึ้นมาเองเพื่อดำเนินการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือเทคโนโลยี สิ่งที่ประเทศไทยต้องทำก็คือพยายามต่อท่อโครงการวิจัยพื้นฐานที่มีศักยภาพ ให้ไปสู่โครงการเหล่านั้นให้ได้ มิฉะนั้น เมื่อหน่วยงานให้ทุนที่เน้นปลายทางเหล่านี้เดินต่อไปได้สักระยะหนึ่งก็จะขาดน้ำเลี้ยง เพราะได้ทำการ shopping โครงการวิจัยดีๆไปหมดแล้ว นี่คือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ เราจะได้เห็นหน่วยงานต่างๆ แย่งกันสนับสนุนโครงการที่มีศักยภาพปลายทางเพื่อเก็บผล แต่งานรดน้ำ พรวนดิน ให้ปุ๋ย จะมีคนทำน้อยลง


(ภาพด้านบน - ตุ๊กตาแต่งกายชุดประจำชาติของเวียดนาม ประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังผงาดมาแข่งไทยทุกๆ ด้าน)

08 ตุลาคม 2550

ยุครุ่งเรืองของ Biomedical Engineering ไทยต้องขี่กระแสก่อนจะสาย


ปีหน้านี้เป็นปีทองของ Biomedical Engineering ซึ่งกลายมาเป็น Global Phenomenon ไปแล้ว มีการจัดประชุมในทุกทวีปตั้งแต่อเมริกา ยุโรปตะวันออก ยุโรปตะวันตก มาจนถึงเอเชียเรา โดยเฉพาะ ประเทศทางเอเชียจะมีงานประชุมใหญ่ๆ หลายงาน ตั้งแต่ก่อนสิ้นปีพ.ศ. 2550 นี้ ก็จะมีการจัดประชุม The 1st Symposium on Thai Biomedical Engineering (ThaiBME2007) ซึ่งมีมหาวิทยาลัยรังสิตเป็นเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 18-19 ธันวาคม 2550 ถึงแม้จะเป็นแค่การประชุมระดับชาติ แต่ได้ยินมาว่ายิ่งใหญ่แน่นอน เพราะจะเป็นจุดเริ่มในการรวมตัวของกลุ่ม Biomedical Engineering ใหญ่ๆ 3 กลุ่ม ซึ่งนับแต่นี้ต่อไปก็จะรวมตัวกันทำกิจกรรมด้วยกัน

พอเริ่มปี 2008 ก็จะมีการประชุม Iranian Conference on Biomedical Engineering จัดวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ 2550 ซึ่งเป็นครั้งที่ 14 แล้ว ฟังดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าประเทศสุดโต่งอย่างอิหร่านนี้จะมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านนี้เหมือนกัน จากนั้นก็ตามมาด้วย Biosensors 2008 - The 10th World Congress on Biosensors ซึ่งจะจัดที่นครเซี่ยงไฮ้ ระหว่างวันที่ 14-16 พฤษภาคม 2550 งานนี้เป็นงานใหญ่ระดับโลกเลยทีเดียว ยังไม่ทันที่งานนี้จะจบ ก็จะมีงาน The 2nd International Conference on Bioinformatics and Biomedical Engineering ระหว่างวันที่ 16-18 พฤษภาคม 2550 ซึ่งก็จัดที่นครเซี่ยงไฮ้เหมือนกัน เสน่ห์ของเซี่ยงไฮ้ทำให้ได้รับความไว้วางใจในการจัดประชุมวิชาการ ในสาขาใหม่ๆ ฮ็อตฮิต หลายต่อหลายงานแล้ว แต่ทำไมคนก็ยังไม่เบื่อที่จะไปจัดที่เมืองนี้ และก่อนจะออกจากเมืองจีนก็จะมีอีกงานคือ The International Conference on BioMedical Engineering and Informatics (BMEI2008) จัดที่เมือง Sanya บนเกาะไหหนาน ระหว่างวันที่ 27-30 พฤษภาคม 2550


จากนั้นระหว่างวันที่ 25-28 มิถุนายน 2550 ก็จะมีงาน BioMed 2008 ที่กัวลาลัมเปอร์ ฟังแล้วจะหนาวว่าเขาจัดงานนี้มาตั้งแต่ปี 2000 ปีนี้เป็นครั้งที่ 4 แล้ว มาเลเซียเขากะว่าจะให้การประชุมนี้เป็นตัวแทนของกิจกรรมในภูมิภาคนี้เลย แต่สิงคโปร์จะยอมหรือเปล่างานนี้ เพราะเขาได้ตระเตรียมงานยิ่งใหญ่ปิดท้ายปี 2008 ที่มีชื่อว่า 13th International Conference on Biomedical Engineering (ICBME2008) โดยจะจัดในช่วงที่ประเทศสิงคโปร์สวยที่สุด คือในเดือนธันวาคม (3-6 ธันวาคม) อันเป็นเวลาที่ถนนออร์ชาดจะประดับประดาไฟ และต้นคริสต์มาสตลอดทั้งสาย สร้างสีสันให้แก่การประชุมมากๆ เรียกว่าไปแล้วคุ้มค่า

(ภาพข้างบน - คืนข้ามปีของถนน Orchard ในสิงคโปร์ ที่ประดับประดาไฟอย่างสวยงาม ทำให้หลายต่อหลายคน อยากไปเยือนสิงคโปร์ในช่วงเดือนธันวาคม งานประชุมวิชาการหลายๆ งานของสิงคโปร์ก็เลยต้องสนองความต้องการนักวิจัยที่มีหัวใจ romance ทั้งหลาย)

25 กันยายน 2550

Smart Farm - ยุคใหม่ของเกษตรกรรม


ประเทศไทยยังเป็นประเทศเกษตรกรรม ถึงแม้ปัจจุบันสินค้าอุตสาหกรรมจะกลายมาเป็นสินค้าหลักในการส่งออกก็ตาม แต่อาชีพของคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ก็ยังคงตั้งอยู่บนรากฐานของ “ทรัพย์ในดินสินในน้ำ” มาแต่ไหนแต่ไร แต่น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งว่า งานวิจัยส่วนใหญ่ของนักวิทยาศาสตร์ไทย กลับไม่ได้เกื้อหนุนต่ออาชีพนี้เท่าไรนัก งานวิจัยทางการเกษตรของไทยในปัจจุบันไม่ได้ก้าวตามโลกที่ได้ข้ามไปสู่ยุคไอที – จีโนม – นาโน ไปหลายปีแล้ว ทั้งนี้เพราะประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลายต่างก็กำลังขะมักเขม้นกันทำวิจัยในศาสตร์ที่จะทำให้เกษตรกรรมของศตวรรษที่ 21 เป็นอาชีพสุดแสนจะไฮเทค ด้วยการนำเทคโนโลยีผสมผสานต่างๆ ทั้ง คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ ไอที สื่อสาร เซ็นเซอร์ เทคโนโลยีชีวภาพ รวมทั้งนาโนเทคโนโลยี เข้ามาช่วยในการทำให้ ไร่นา ฟาร์มเกษตรทั้งหลาย ให้กลายมาเป็นที่ทำงานสุดไฮเทค ศาสตร์ที่จะช่วยทำให้ฟาร์มธรรมดาๆ กลายมาเป็น ฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farm หรือ Intelligent Farm) นี้ได้รับการขนานนามว่า Precision Agriculture

Precision Agriculture หรือ Precision Farming ภาษาไทยยังไม่มีการบัญญัติศัพท์ เพราะยังไม่มีการทำวิจัย หรือ นำมาใช้กันอย่างกว้างขวาง จึงขอเรียกมันว่า เกษตรกรรมความแม่นยำสูง ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากใน ประเทศสหรัฐอเมริกา และ ออสเตรเลีย และเริ่มแพร่หลายเข้าไปในหลายประเทศ ทั้งยุโรป ญี่ปุ่น แม้กระทั่งประเทศเพื่อนบ้าน ของเราอย่าง มาเลเซีย ก็มีการทำวิจัยทางด้านนี้ หรือไกลออกไปอีกนิดอย่างอินเดียก็ทดลองใช้เทคโนโลยีนี้กันอย่างกว้างขวาง จึงมีความจำเป็นที่ประเทศไทย จะต้องเริ่มให้ความสนใจในเรื่องนี้ให้มากขึ้น เพราะย่านนี้เป็นย่านของเกษตรกรรม ไม่ว่าจะเป็นพม่า ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม มิฉะนั้นในอนาคตอันใกล้นี้เมื่อเทคโนโลยีเกษตรความแม่นยำสูง ถูกนำไปใช้เชิงพาณิชย์เมื่อไหร่ ประเทศไทยจะสูญเสียโอกาสในการส่งออกเทคโนโลยีเหล่านี้ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งกำลังมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ในประเทศมาเลเซียเอง มีการนำ Precision Farming มาใช้ดูแลสวนปาล์มขนาดใหญ่ ทำให้มีผลผลิตสูง จริงๆแล้วประเทศไทยเองมีพื้นที่เกษตรกรรมขนาดใหญ่กว่าเสียอีก ทั้งยังมีความหลากหลายทางพืชพันธุ์เหลือคณา ได้เปรียบเขาหลายๆ อย่าง จึงน่าจะมีการวิจัยและพัฒนา เทคโนโลยีนี้ให้มีความก้าวหน้ากว่าเขาให้ได้

ว่างๆ nanothailand จะทยอยนำเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังนะเจ้า .........

(ภาพซ้ายมือ - เกษตรกรกำลังนั่งจิบไวน์มองฟาร์มของพวกเขา เซ็นเซอร์ต่างๆที่ติดตั้งอยู่ในฟาร์มกำลังเก็บข้อมูล ดิน น้ำ ฟ้า ฝน และตัดสินใจเปิด-ปิดน้ำ ให้ปุ๋ย หรือ ออกคำสั่งให้รถเก็บเกี่ยวออกไปทำงานเอง อาชีพเกษตรกรที่เคยต้องหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน กลับผันเปลี่ยนไปเป็น หลังนวดสปาหน้าดูจอ เทคโนโลยี Precision Farming กำลังจะทำให้อาชีพเกษตรกรรมกลายมาเป็นอาชีพที่มีความสุขที่สุดในโลก)

05 กันยายน 2550

ไทยกร่อย กินฝุ่นมาเลเซียด้าน ICT แม้ยังเป็นต่อด้านนาโน



แม้ประเทศไทยจะตั้งศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติหรือ NANOTEC ก่อนมาเลเซียถึง 3 ปี (ไทยจัดตั้งโครงการนาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยดำริของ พตท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในปี พ.ศ. 2546 ในขณะที่มาเลย์เพิ่งจะตั้งโครงการ Malaysia National Nanotechnology Initiative เมื่อ พ.ศ. 2549 นี้เอง) เราก็ไม่สามารถประมาทเขาได้ แม้ดูๆ เหมือนเขามาเลียนแบบเราตั้งแต่เรื่องของชื่อศูนย์ ไปจนถึงกิจกรรมที่ศูนย์นาโนแห่งชาติของเขาจะทำ ทำให้มองกลายๆ เหมือนเดินตามหลังเราอยู่ ทั้งนี้เพราะในอดีตเราเองก็เคยคิดจะชูเมืองไทยให้เป็นศูนย์กลาง ICT ให้ได้ มีโครงการที่จะสร้าง Software Cities เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ต ให้เป็นแหล่งนักเขียนโปรแกรม รับงาน outsource จากต่างประเทศ สุดท้ายก็ปล่อยโอกาสให้บังกาลอร์ แถมตอนนี้เจอคู่แข่งใหม่ ทางด้านการรับงาน outsource นั่นก็คือ เวียดนาม ที่ตอนนี้ฮ็อตมากๆ

กลับมาดูทางมาเลเซียเขาอีกทีครับ ทาง World Economic Forum ได้จัดทำรายงานออกมา 2 ฉบับ ในปีนี้ ได้แก่ Global Competitiveness Report 2006-2007 ซึ่งบอกถึงขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งแน่นอนกลุ่มประเทศ Nordic ดินแดนแห่งนวัตกรรม และ Entrepreneur ที่ผมเคยพูดถึงในบทความเรื่อง Experience Economy นำอยู่ในอันดับต้นๆ สิงคโปร์มาอันดับ 5 มาเลเซียคู่แข่งเรามาที่ 26 ไทยเราอันดับ 35 ส่วนอีกรายงานหนึ่งนั้นชื่อว่า Global Information Technology Report ก็มีการจัดอันดับความก้าวหน้าด้าน ICT ผลปรากฎว่า เราอยู่ในอันดับที่ 37 ตามหลังมาเลเซียซึ่งอยู่ในอันดับ 26 โล่งอกที่เวียดนามยังอยู่หลังเราค่อนข้างมากโดยอยู่อันดับที่ 82 ดูกันอย่างนี้แล้ว อันดับทางนาโนเทคโนโลยีที่เราเคยคิดกันเล่นๆ ว่า เรายังนำมาเลเซียอยู่ ก็หวั่นไหวได้เหมือนกัน เพราะจริงๆ พวกเรายังเล่นด้านนาโนวัสดุกันเป็นหลักอยู่ หากปล่อยให้เวียดนามกับมาเลเซียเจริญด้าน นาโนอุปกรณ์มากกว่าเราอย่างนี้ต่อไป เราก็จะรั้งอยู่ท้ายของ Value Chain ที่ต่องแข่งกับประเทศที่มีแรงงานราคาถูก เหมือนกับ หลายๆเรื่องที่เป็นปัญหาของเราขณะนี้ ไม่ว่าจะสิ่งทอ ข้าว ยางพารา ผักผลไม้ และ สินค้าเกษตร

(ภาพด้านบน - มาเลเซียกำลังกลายเป็นประเทศแห่งสีสัน)

02 กันยายน 2550

มาเลเซีย ปั้นแผนกลยุทธ์นาโน ไต่อันดับเอเชีย


มาเลเซีย ประเทศหนึ่งในผู้ท้าชิงฮับนาโนของ ASEAN ซึ่งมี ไทย เวียดนาม และ สิงคโปร์ เป็นผู้ร่วมท้าชิง ได้เปิดแผนกลยุทธ์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (Malaysia Master Plan in Nanotechnology) ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมภายใต้โครงการ National Nanotechnology Initiative ซึ่งได้เปิดตัวไปเมื่อไป พ.ศ. 2549 โดยภายใต้โครงการนี้ มาเลเซีย ได้ดำเนินกิจกรรมต่างๆ อย่างเข้มข้น ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ การจัดประชุม Asia Nano Forum Summit การจัดประชุมวิชาการ Malay NANO 2008 การจัดสัมมนาจับคู่ระหว่างนักวิจัย
กับอุตสาหกรรม (Nanotechnology Business and R&D Matching Luncheon) เป็นต้น

แผนกลยุทธ์ระยะสั้นในปีสองปีนี้ของเขา (มาเลเซียเพิ่งจะจัดตั้งศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติในปีนี้ ในขณะที่ของเรามีมาตั้งแต่ปี 2546) ก็คือ ต้องหาและระบุตัวของผู้เชี่ยวชาญนาโนเทคโนโลยีในด้านต่างๆ จากนั้นก็เริ่มเดินเครื่องอัพเกรด ห้องปฏิบัติการต่างๆ ด้วยเครื่องมือใหม่ๆ ที่ทันสมัยขึ้น จัดตั้งห้องปฏิบัติการเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และ ดำเนินการสร้างทรัพยากรมนุษย์ด้านนาโนเทคโนโลยี ฟังดูแล้วเหมือนไทยเราจะเป็นต่ออยู่เพราะงานพวกนี้ ศูนย์ NANOTEC ของไทยเราได้ดำเนินการมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งพอเข้าไปดูแผนงานของศูนย์นาโนแห่งชาติของเขา ก็ดูเหมือนมาลอกของเรายังไงก็ไม่รู้


(ภาพซ้ายมือ - ปีนี้เป็นปีทองของมาเลเซียในเกือบทุกด้าน ซึ่งอาจรวมไปถึงนาโนเทคโนโลยีด้วย)

09 สิงหาคม 2550

Malay NANO 2008


ท่ามกลางการแข่งขันเพื่อเป็นผู้นำทางด้านนาโนเทคโนโลยี ในภูมิภาคอาเซียน ระหว่าง ไทย เวียดนาม สิงคโปร์ และ มาเลเซีย แน่นอนไม่มีใครอยากเป็นที่โหล่ สถานภาพตอนนี้สิงคโปร์น่าจะนำอยู่ โดยยังมีความคลุมเคลืออยู่ว่าใครเป็นที่สองกันแน่ ระหว่าง ไทย มาเลเซีย และ เวียดนาม หากสถานการณ์ยังเป็นอย่างที่มันเป็นขณะนี้ ถ้าไทยไม่ทำอะไร เวียดนามจะเบียดขึ้นเป็นที่ 2 แน่ๆ ซึ่งหมายความว่า ไทย กับ มาเลเซีย ต้องแข่งกันอย่างดุเดือด เพื่อไม่ให้เป็นที่โหล่ ดังนั้นก็น่าจะเข้าไปดูกันหน่อยว่า สถานภาพทางด้าน นาโน ของมาเลเซีย เป็นอย่างไรกันบ้าง วันหลังๆ ผมจะค่อยๆ เล่าเรื่องราวที่พวกเรารู้กันไม่มากนักเกี่ยวกับประเทศนี้นะครับ อย่าดูถูกเขาเชียวนะครับ อย่าคิดว่า เรานำเขาอยู่ทางด้าน นาโน


ปีหน้า (ค.ศ. 2008) มาเลเซียเขาจะจัดการประชุม International Conference on MEMS and Nanotechnology (ICMN 2008) ที่กัวลาลัมเปอร์ งานที่เขาจะจัดขึ้นนี้ นักนาโนเทคโนโลยีไทยไปเห็นเข้า ก็จะรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ แน่ เพราะเนื้อหามันช่าง advanced กว่าของบ้านเราที่จัดๆ กัน ในบ้านเรานั้น ที่เห็นกันก็จะมีแต่ nanomaterials ซึ่งก็ไปเน้นเซรามิกส์กันมาก แต่ของมาเลเซียนั้นเขาเล่นเรื่อง MEMS ตั้งแต่ modeling, design, fabrication ไปถึง testing และ applications ส่วนทางด้านนาโน ก็ข้ามขั้นของบ้านเราไปถึง nanodevice แล้ว โดยทางด้าน nanomaterials เป็นเรื่องรองลงไป เมื่อสัก 4 ปีก่อนหน้านี้ ท่านมหาธีร์ นายกรัฐมนตรีคนก่อนของมาเลเซีย ท่านให้ความสำคัญ โดยทุ่มเงินเพื่อสร้าง Lab และ Facility ทางด้าน MEMS กับ Nanodevice เพื่อเป็นฐานของอุตสาหกรรมอนาคต เช่นเดียวกับเวียดนามที่จับงานทางด้าน nanodevice เยอะมาก ซึ่งต่างจากบ้านเราที่เล่นแต่ nanomaterials งานนี้คนไทยน่าจะลงทะเบียนไปดูความก้าวหน้าของเขาบ้างนะครับ



(ภาพตึกแฝด ที่เคยสร้างสถิติเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก มาเลเซียกำลังคิดจะสร้าง surprise ให้แก่คนไทย โดยข้ามขั้นไปสู่ยุค Nanodevice ไม่ช้านี้)

31 กรกฎาคม 2550

นักนาโนเทคโนโลยีไทย คว้ารางวัลโปสเตอร์ดีเด่น ที่ปักกิ่ง


China NANO 2007 เป็นงานประชุมวิชาการทางด้านนาโนเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศจีน ซึ่งมีการจัดขึ้นเป็นประจำทุก 2 ปี ในปี พ.ศ. 2550 นี้มีการจัดขึ้นที่ปักกิ่ง ระหว่างวันที่ 4-6 มิ.ย. 2550 มีผู้ส่งผลงานเข้ามาแสดงในงานทั้งในรูปแบบของการบรรยาย และ โปสเตอร์กว่า 800 เรื่อง สำหรับนักนาโนเทคโนโลยีของไทยก็มีเดินทางไปทั้งหมด 12 คน ประเทศเพื่อนบ้านคู่แข่งของเราก็มี เวียดนาม 3 คน มาเลเซีย 2 คน สิงคโปร์ 16 คน จากการวิเคราะห์โปสเตอร์ทั้งหมด ทำให้พอทราบว่า ประเทศจีนเน้นหนักไปที่ขั้นของนาโนวัสดุ (นาโนเทคโนโลยี ปัจจุบัน แบ่งออกเป็น นาโนวัสดุ นาโนอิเล็กทรอนิกส์ และ นาโนเทคโนโลยีชีวภาพ) ในขณะที่ประเทศเกาหลีใต้ส่วนมากนำงานทางด้านนาโนอิเล็กทรอนิกส์ และ นาโนอุปกรณ์มาแสดง หากเทียบสถานภาพทางด้านนาโนวัสดุ จะเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนว่า เราไม่สามารถเทียบชั้นกับจีนได้ แต่ทางด้านนาโนอุปกรณ์นั้น สามารถแข่งขันได้ ทั้งนี้ นักนาโนเทคโนโลยีของไทย คือ ดร. อดิสร เตือนตรานนท์ แห่ง MEMS and Nanoelectronics Lab ของ NECTEC ได้คว้ารางวัลโปสเตอร์ดีเด่น จากผลงานเรื่อง " Symmetrical Wheatstone Cantilever Sensor with On-chip Temperature Compensation" มาให้ชาวไทยได้ภาคภูมิใจด้วย เป็นการประกาศว่าประเทศไทยก็อยู่ในแผนที่นาโนเทคโนโลยีของโลกด้วย ในการประชุมครั้งนี้ คนจีนได้เดินเข้ามาถามว่า "พวกคุณเป็นคนไทยหรือเปล่า" เนื่องจากพวกเขาเห็นใส่เสื้อเหลืองที่มีตราสัญลักษณ์ แล้วเขาจำได้ ดังนั้น การไปประชุมในต่างประเทศพวกเราควรใส่เสื้อเหลือง เพื่อความภาคภูมิใจของประเทศเรา