แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ nano-defense แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ nano-defense แสดงบทความทั้งหมด

04 มิถุนายน 2553

Defense Science Research 2011


การบรรจบและหลอมรวมกันของศาสตร์ต่างๆ กำลังจะทำให้การทหาร และสงครามสมัยใหม่ มีทั้งความน่ากลัวและความปลอดภัยมากขึ้น ที่น่ากลัวก็คือหากทหารฝ่ายเราไม่มีเทคโนโลยีดังกล่าว ก็จักต้องพบกับความพ่ายแพ้ ที่ปลอดภัยก็คือ ความสูญเสียต่อพลเรือน แม้กระทั่งตัวทหารเองจะลดลงมาก จนกระทั่งผลแพ้-ชนะ อาจตัดสินกันในไม่กี่ชั่วโมง โดยผู้ที่ทำการรบอาจไม่เคยเห็นหน้ากันเลย การรบสมัยใหม่ อาจจะเป็นการรบระหว่างหุ่นยนต์ของฝ่ายเรา กับหุ่นยนต์ของฝ่ายข้าศึก โดยผลแพ้ชนะอาจทำให้มนุษย์ตัดสินใจยุติสงครามโดยไม่ต้องเสียชีวิตมนุษย์ หรือบางที การรบอาจจะทำด้วยการจำลองในคอมพิวเตอร์ แม่ทัพนายกองทั้งสองฝ่ายมาประลองชัยกันในสนามรบไซเบอร์ ผลออกมาอย่างไร ก็ให้ยุติ และเลิกลาต่อกันโดยไม่ต้องมีการสั่งกำลังพล และอาวุธจริงออกไปใช้เลย

ป็นที่ยอมรับกันว่า ความเจริญก้าวหน้าทางด้านการทหาร ของประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนหนึ่งมาจากการวิจัยและพัฒนาอาวุธ และเทคโนโลยีทางทหารในมหาวิทยาลัย ประเทศสหรัฐอเมริกามีระบบการจัดการงานวิจัยด้านกลาโหมที่แข็งแกร่งมาก ในปัจจุบัน หลายๆ ประเทศเริ่มหันมาใช้โมเดลนี้กันมากขึ้นครับ จนเกิดประชาคมวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์กลาโหม หรือ Defense Science Research ขึ้น ซึ่งในปีหน้านี้เอง จะมีการจัดประชุมวิชาการทางด้านนี้ ซึ่งมีชื่อว่า Defense Science Research 2011 โดยจะจัดที่ประเทศสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 3-6 สิงหาคม 2554 โดยมีกำหนดส่ง Full Paper ในวันที่ 15 ธันวาคม 2553 นี้ ตัวผมเองคาดว่าจะส่งผลงานประมาณ 4 เรื่อง เนื่องจากในการประชุมนี้ มีการจัดแสดงนิทรรศการอาวุธ และเทคโนโลยีกลาโหมด้วย โดยจะมีนักยุทธศาสตร์ทางการทหาร หน่วยงานความมั่นคงจากประเทศต่างๆ เข้าประชุมด้วย ถ้าหากเทคโนโลยีที่เรานำไปแสดงเข้าตาบุคคลเหล่านี้ เขาก็อาจสนใจซื้อเทคโนโลยีเราไปใช้ก็ได้นะครับ

เนื้อหาการประชุมของ DSR 2011 นี้ค่อนข้างกว้าง ถึงแม้จะมีการกำหนด Theme ก็ตาม ก็ยังมีมากถึง 10 Theme เลยครับ ครอบคลุมศาสตร์ทั้งอากาศยาน สิ่งแวดล้อม วิศวกรรมชีวภาพ ระบบลำเลียง ระบบตรวจวัดสุขภาพ รวมไปถึงเรื่องบันเทิงด้วย รายละเอียดแต่ละ Theme ก็ลองเข้าไปศึกษาดูจากเว็บไซต์นะครับ ....

12 เมษายน 2553

Brain-on-a-Chip เมื่อสมองถูกนำไปอยู่บนชิพ (ตอนที่ 2)



เมื่อสัก 2-3 ปีที่แล้ว ได้เกิดกระแสความตื่นตัวในเมืองไทย เกี่ยวกับเรื่องของนาโนเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก หน่วยงานให้ทุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย สภาวิจัยแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา เป็นต้น ล้วนแห่กันมาให้ทุนวิจัยทางด้านนี้กันยกใหญ่ นักวิจัยทั่วประเทศต่างแห่กันมาขอทุนทางด้านนี้ บ้างก็เปลี่ยนสาขาวิจัยทางด้านอื่น มาทำวิจัยทางด้านนาโนกันยกใหญ่เลยครับ ในช่วงเวลานั้น ผมก็เลยคิดว่าคงได้เวลาที่จะต้องออกจากสาขานาโน ไปหาอย่างอื่นทำดีกว่า และแล้วผมก็ฝ่ากระแสมาตั้งกลุ่มวิจัยเพื่อทำงานทางด้าน วิศวกรรมเลียนแบบธรรมชาติ (Biomimetic Engineering) เพราะเล็งเห็นว่า ศาสตร์ทางด้านนี้ต่างหากที่จะเป็นแนวโน้มใหม่ของโลก


ธรรมชาติมีเรื่องให้เลียนรู้ และนำมาวิศวกรรมเพื่อให้เกิดเทคโนโลยี หรือสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ได้ และมันจะทำให้เราสร้างสิ่งใหม่ๆ แบบก้าวกระโดดด้วยครับ ลองคิดดูให้ดีสิครับว่า ธรรมชาติใช้เวลาสร้างเทคโนโลยีบนสิ่งมีชีวิตมานานเป็นพันล้านปี อารยธรรมมนุษย์ก็แค่หมื่นปีเท่านั้น แถมความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ย้อนหลังไปแค่ไม่กี่ร้อยปีเอง จะสู้ธรรมชาติได้อย่างไร

โครงการหนึ่งที่น่าสนใจมากมีชื่อว่า SyNAPSE (Systems of Neuromorphic Adaptive Plastic Scalable Electronics) ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางด้านเงินทุนจาก DARPA หน่วยงานสนับสนุนทุนวิจัยทางด้านกลาโหมของสหรัฐอเมริกา โครงการนี้เป้าหมายชัดเจนเป้าหมายเดียวคือ "เพื่อพัฒนาแนวทางใหม่ๆ ในการสร้างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีสมบัติคล้ายระบบประสาท ให้มีความสามารถทัดเทียมกับระบบของสิ่งมีชีวิต" โดยหวังว่าโครงการนี้จะฝ่ากำแพงความรู้ เพื่อเข้าไปไขความลับการทำงานของระบบประสาท แล้วนำความรู้นี้มาใช้ในการพัฒนาสมองประดิษฐ์ ที่ทำงานทัดเทียมธรรมชาติ

คอมพิวเตอร์ที่เราใช้ทุกวันนี้ ทำงานได้เร็วมากๆ ในเรื่องของการคำนวณครับ แต่ถ้าหากใช้วิเคราะห์ปัญหาที่มีตรรกะสูง มีเงื่อนไขที่ซับซ้อน หรือมีข้อมูลแยกส่วนจำนวนมาก จะทำงานได้ช้ากว่าสมองชีวะมากๆ คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันแยกส่วนประมวลผล (CPU) ออกจากหน่วยความจำ (Memory) เวลาจะทำการประมวลผลอะไร ก็ต้องนำข้อมูลจากหน่วยความจำเข้ามา ผ่านบัสข้อมูล ดังนั้นหากมีจำนวนข้อมูลมากๆ ข้อมูลก็จะออกันอยู่บนถนนข้อมูล วิธีการที่ผ่านมาก็คือ ทำให้หน่วยประมวลผลมีความเร็วให้สูงขึ้น จนกระทั่งข้อมูลสามารถวิ่งเข้าออกได้ฉลุย อย่างไรก็ตาม หากข้อมูลมีความซับซ้อน และการประมวลผลมีตรรกะที่ซับซ้อนด้วย ก็จะทำให้ข้อมูลต้องวิ่งเข้าวิ่งออกมากขึ้น ก็อาจจะเกิดความแออัดของข้อมูลได้ แต่สำหรับสมองชีวะแล้ว เซลล์ประสาทแต่ละเซลล์จะเป็นทั้งหน่วยประมวลผล และหน่วยความจำในเวลาเดียวกัน ดังนั้นในการประมวลผลตรรกะต่างๆ แต่ละเซลล์จะได้รับงานที่แบ่งมาแล้วประมวลผล ส่งข้อมูลกันเป็นเครือข่าย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มาจากการบูรณาการกัน

โครงการนี้อาจจะเป็นจุดเริ่มการปฏิวัติสถาปัตยกรรมของคอมพิวเตอร์เลยครับ .....

04 พฤศจิกายน 2551

Brain-on-a-Chip เมื่อสมองถูกนำไปอยู่บนชิพ


ในช่วง 4-5 ปีมานี้ เกิดกระแสบูมเป็นอย่างมากในเรื่องของ Lab-on-a-Chip หรือห้องปฏิบัติการบนชิพ ซึ่งได้ย่อส่วนของงานการตรวจวิเคราะห์โรค จากที่ต้องทำในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ขนาดใหญ่ ใช้เวลาหลายๆ วัน ให้มาอยู่บนชิพเล็กๆ ที่ย่อส่วนของเครื่องไม้เครื่องมือมาอยู่บนนั้น การตรวจบนชิพจะใช้เวลาระดับนาทีเท่านั้นเอง ในเมืองไทยก็มีการเห่อมาทำวิจัยเรื่องนี้กันเยอะครับ Lab-on-a-Chip เป็นศาสตร์ที่ทำให้เกิดการแต่งงานข้ามสาขากัน ระหว่าง วิศวกรรมไฟฟ้า (Electrical Engineering) กับ เคมี และ เทคนิคการแพทย์ แต่เรื่องที่ผมกำลังจะเล่าให้ฟังนี้จะเป็นกระแสที่ยิ่งใหญ่กว่าอีกครับ เพราะมันจะทำให้เกิดการข้ามสาขาระหว่างศาสตร์ของวิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรมเครื่องกล ชีวฟิสิกส์ ประสาทวิทยา และจิตวิทยา ครับ ศาสตร์ใหม่นี้เรียกว่า Brain-on-a-Chip ครับ


กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้เสนอของบประมาณในปี 2009 เพื่อดำเนินโครงการที่จะเพิ่มศักยภาพหุ่นยนต์ หรือ จักรกลรบต่างๆ ด้วยการนำเซลล์สมองมาทำงานร่วมกับไมโครชิพ เป็น Hybrid Electronics ที่มีส่วนของวงจรที่ไม่มีชิวิตกับวงจรของสิ่งมีชีวิตครับ โครงการนี้มีชื่อว่า SyNAPSE - Systems of Neuromorphic Adaptive Plastic Scalable Electronics เขาได้จัด workshop เพื่อรวบรวมข้อเสนอโครงการต่างๆ จากนักวิจัยทั่วสหรัฐ โดยจะแจกทุนวิจัยให้แก่โครงการที่เข้าตาทหาร แล้วบริหารจัดการโครงการย่อยๆเหล่านั้น เพื่อนำไปสู่ "ชิพสมอง" ที่จะใช้ควบคุมหุ่นยนต์รบต่างๆ เพนตากอนต้องการนำชิพสมองนี้ไปใช้ในเพื่อทำการบินเครื่องบินสอดแนม หรือ หุ่นยนต์รบที่บินได้ แบบที่ไม่ต้องใช้มนุษย์ควบคุมอีกต่อไป หรือ เรือดำน้ำไร้มนุษย์ที่สามารถปฏิบัติภารกิจได้เองโดยไม่ต้องมีมนุษย์มาแทรกแซง ซึ่งถ้าจะทำเช่นนั้นได้ ไมโครชิพปัจจุบันก็ต้องมีฟังก์ชัน หรือ ความสามารถเหมือนสมองมนุษย์ ดังนั้นการปลูกเซลล์สมองบนไมโครชิพ เป็นอะไรที่จะช่วยทำให้วิสัยทัศน์ของเพนทากอนเป็นจริงได้ เห็นมั้ยครับว่าเรื่องราวใน ภาพยนตร์ Terminator นั้นกำลังจะเป็นจริงแล้วครับ .......

เนื่องจากงานวิจัยเหล่านี้เป็นของกลาโหม จึงไม่จำเป็นต้องมีการตรวจสอบหลักจริยธรรมแต่อย่างใด อีกทั้งพวก NGO ก็ไม่กล้ามายุ่ง นักวิจัยเก่งๆ ที่กลัวเรื่องหลักจริยธรรมในการทำงานวิจัยด้านนี้จึงเข้าร่วมโครงการนี้เป็นจำนวนมากครับ วันหลังผมจะมาเล่าให้ฟังว่าโครงการย่อยๆ ต่างๆเหล่านั้นมีอะไรบ้างที่น่าสนใจ ......................

19 กรกฎาคม 2551

Wearable Robot - ชุดหุ่นยนต์สวมได้


ท่านผู้อ่านที่เคยได้ดูภาพยนตร์เรื่อง Iron Man คงจะอดสงสัยไม่ได้ว่า ชุดเหล็กที่พระเอกของเราสวมใส่นั้น ทำไมมันช่างแสนจะสุดยอดอะไรปานนั้น ทั้งกันกระสุน กันระเบิด เหาะเหินเดินอากาศได้ แถมทำให้เป็นมนุษย์จอมพลัง ยกโยนโยกรถได้ทั้งคัน จริงๆแล้ว Iron Man ก็ยังเป็นอะไรที่ไม่เว่อร์มากมายนัก เมื่อเทียบกับชุด Tuxedo ที่เฉินหลงสวมใส่เมื่อหลายปีก่อน ที่ทำให้เขากลายเป็นยอดมนุษย์ที่สามารถต่อสู้เหล่าร้าย ด้วยพลังกังฟูที่โปรแกรมอยู่ในชุด Tuxedo ตัวนั้น เจ้าชุด Tuxedo ยอดมนุษย์มีมิติและรูปทรงที่ไม่แตกต่างจาก Tuxedo ธรรมดาตัวหนึ่ง ในขณะที่ชุดที่ Iron Man สวมใส่นั้น มีลักษณะเหมือน Wearable Robot หรือหุ่นยนต์ที่สวมได้ ซึ่งทำจากนาโนวัสดุพิเศษติดตั้งอุปกรณ์ไฮเทค

จริงๆแล้ว วิสัยทัศน์ของภาพยนตร์เรื่อง Iron Man ก็ไม่ได้เหนือความเป็นจริงจนเกินไป เพราะกระทรวงกลาโหมสหรัฐได้ให้ความสนใจกับเทคโนโลยีนี้มากครับ และแอบให้การสนับสนุนบริษัท Raytheon พัฒนาชุดหุ่นยนต์สำหรับสวมใส่มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 และเพิ่งมาเปิดเผยต้นแบบแรกก่อนหนังเรื่อง Iron Man จะออกฉาย ทีมพัฒนาซึ่งนำโดย Dr. Stephen Jacobsen ได้กล่าวว่า "โครงการนี้เป็นส่วนผสมระหว่าง งานศิลปะ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรม และ สถาปัตยกรรม ครับ บางคนบอกผมว่างานนี้มันสุดยอดเลย แต่บางคนก็หาว่าผมบ้าไปแล้ว ผมเชื่อว่าคนกับหุ่นยนต์สามารถทำงานร่วมกันได้ โดยคนทำงานอยู่ข้างในหุ่นยนต์" ถ้าใครพอจะจำภาพยนตร์เรื่อง Aliens ได้ตอนใกล้ๆจบ นางเอกได้สวมใส่หุ่นยนต์ยกของตัวหนึ่งเพื่อสู้กับเจ้าเอเลี่ยนส์ แต่หุ่นตัวที่ Jacobsen กำลังสร้างพัฒนานั้นเล็กกว่าและคล่องแคล่วกว่ามาก เมื่อถูกถามว่าได้ไปดูหนังเรื่อง Iron Man มั้ย Jacobsen ตอบว่า "แน่นอนครับ ผมชอบดูหนัง มันช่วยกระตุ้นจินตนาการให้แก่งานของเรา"

27 พฤศจิกายน 2550

Robosphere - นิเวศน์ของหุ่นยนต์ (Ecology of Robots)


ในภาพยนตร์เรื่อง i-Robot หุ่นยนต์ที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ที่เรามักเรียกว่า Humanoid ซึ่งมีความเฉลียวฉลาด และดูเหมือนจะมีความคิดเป็นของตัวเอง ได้พยายามออกมาปฏิวัติเพื่อให้หลุดออกจากการควบคุมของมนุษย์ และสร้างนิเวศน์วิทยาของตัวเอง เสมือนกับพวกมันก็มีโลกของมัน และอาจสร้างสังคมที่มีอุดมการณ์ และจุดหมายของพวกมันได้ เช่นเดียวกับพวกเรา ที่มีสังคมโลกและกฎระเบียบในการอยู่ร่วมกันของเราเอง (Homosphere) ที่สร้างขึ้นมาให้เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทั้งหลาย (Biosphere) เพียงแต่ Homosphere ในปัจจุบันได้ครอบงำ และ รุกล้ำ Bioshpere เป็นอย่างมาก ในอนาคตข้างหน้า จักรกลก็อาจจะเข้ามามีส่วนร่วมใน Biosphere นี้ โดยอาศัยและอยู่ร่วมกับมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ด้วย องค์การ NASA ได้ให้ความสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และได้ทำการศึกษาวิจัยเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว โดยหวังจะนำหุ่นยนต์จำนวนมาก ไปปล่อยลงบนพื้นผิวดาวอังคาร แล้วให้พวกมันทำงานร่วมกันเป็นทีม โดยสามารถที่จะอยู่ของมันเองได้


ศาสตร์ในการสร้างนิเวศน์ของหุ่นยนต์นี้ ปัจจุบันเป็นหัวข้อที่มาแรง และ มีการแข่งขันกันพัฒนาทั่วทั้งโลก เรียกว่าใครทำไกลก่อน เสร็จก่อน ได้เปรียบแน่ ลองนึกถึงหุ่นยนต์ในรูปของรถขับเคลื่อนสี่ล้อขนาดเล็ก ที่สูงประมาณ 1-2 ฟุต ติดปืนกลวิ่งออกไปเป็นฝูง เพื่อไปจัดการข้าศึกในสนามรบ หุ่นยนต์งูปล่อยออกไปเป็นฝูงเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตใต้ซากตึก ฝูงแมลงหุ่นยนต์ที่ส่งออกไปในไร่นา เพื่อปราบศัตรูพืช มีศัพท์ต่างๆ ออกมามากมาย ณ เวลานี้ที่แสดงให้เห็นว่า Robosphere กำลังจะเกิดในอีกไม่ช้า ไม่ว่าจะเป็น Swarm Robotics, Swarm Intelligence, Swarmanoid, Swarm Computing, Multi-agent Systems, Flybot, Insectbot, Biobot, Robotic Ecology และอื่นๆอีกมากมาย ความก้าวหน้าใสาขาเหล่านี้ นอกจากจะนำเป็นผลให้ศาสตร์ของ Robotics พัฒนาขึ้นไปอีกขั้นแล้ว อาจยังเป็นทางออกของคอมพิวเตอร์ด้วย ที่ตอนนี้เริ่มจะตันแล้ว เพราะความเร็วของ CPU ไปได้เฉียดๆ 4.0 GHz มานับปีแล้ว ตอนนี้หากต้องการทำให้คอมพิวเตอร์เร็วขึ้น อาจจะต้องใช้ CPU มาร่วมทำงานพร้อมกันหลายๆ ตัว เหมือนฝูงของ CPU

(ภาพด้านบน - หุ่นยนต์รบติดอาวุธ ที่สามารถส่งออกไปเป็นฝูง เพื่อจัดการกับข้าศึก)

16 ตุลาคม 2550

Smart Battlefield - สนามรบอัจฉริยะ


การบรรจบกันของเทคโนโลยีหลายชนิด (Convergence Technologies) ทั้ง เทคโนโลยีสื่อสาร เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ Biomimetic Engineering เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ไร้สายและ นาโนเทคโนโลยี กำลังจะทำให้การทหาร และสงครามสมัยใหม่ มีทั้งความน่ากลัวและความปลอดภัยมากขึ้น ที่น่ากลัวก็คือหากทหารฝ่ายเราไม่มีเทคโนโลยี Smart Battlefield นี้ก็จะแพ้ 100% ที่ปลอดภัยก็คือ ความสูญเสียต่อพลเรือน แม้กระทั่งตัวทหารเองจะลดลงมาก จนกระทั่งผลแพ้-ชนะ อาจตัดสินกันในไม่กี่ชั่วโมง โดยผู้ที่ทำการรบอาจไม่เคยเห็นหน้ากันเลย เทคโนโลยีที่กำลังเป็นที่กล่าวขานกันมากในวงการทหาร ก็คือ เทคโนโลยีหุ่นยนต์จิ๋ว ที่เรียกว่า millibot, microbot หรือแม้แต่ nanobot เป็นการนำกองทัพหุ่นยนต์ตัวเล็ก จัดตั้งเป็นกองกำลัง ที่สามารถสื่อสารกันเป็นเครือข่าย แล้วส่งไปจัดการกับข้าศึกในรูปแบบต่างๆ เช่น การสืบราชการลับ ลาดตระเวณ ไปจนกระทั่งทำลายข้าศึก


จะว่าไปแล้ว แนวความคิดในการทำสงครามในลักษณะนี้เป็นความฝันมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น สหรัฐเคยมีแนวคิดในการสร้างผึ้งมรณะเพื่อจัดการข้าศึก แต่ก็ไม่สามารถควบคุมมันได้ แต่ millibot ไม่ใช่สัตว์ เราสามารถควบคุมมันได้ มหาวิทยาลัย Carnegie Mellon เป็นผู้บุกเบิกในการพัฒนากองทัพหุ่นยนต์ที่ทำงานประสานกันเป็นทีมเวอร์ค มหาวิทยาลัยฮาร์วาดกำลังพัฒนาหุ่นยนต์แมลงมีปีกที่เรียกว่า flybot เพื่อใช้สอดแนมข้าศึก กองทัพอังกฤษก็กำลังพัฒนาหุ่นยนต์แมลงที่ใช้พลังงานจากสารอินทรีย์ โดยสามารถปล่อยออกไปให้หาอาหารกินเอง โดยจะจับแมลงกินแล้วย่อย นำเอาสารอินทรีย์มาใช้ สงครามในอนาคตจึงเป็นเรื่องของเทคโนโลยีจิ๋ว ที่กองทัพไทยน่าจะลองหันมาสนใจบ้างนะครับ



nanothailand จะไปงาน วทท. ที่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ระหว่าง 17-23 ตุลาคม 2550 นี้นะครับ จะพยายาม update เท่าที่ทำได้นะครับ แล้วจะแถมกลิ่นอายของริมทะเลมาฝากกันด้วย .......

09 ตุลาคม 2550

นาโนเทคโนโลยีเพื่อการทหาร (Nano Defense)


“ความก้าวหน้าทางด้านนาโนเทคโนโลยีกำลังจะทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นมหาอำนาจเพียงหนึ่งเดียวของโลกที่ไร้เทียมทาน” ถึงแม้จีนจะไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ เพราะจีนเองก็กำลังทุ่มงบประมาณอย่างหนัก สำหรับการวิจัยทางด้านนาโนเทคโนโลยีเพื่อการทหารเช่นกัน แต่ก็เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าภายหลังสงครามเย็นสิ้นสุดลง สหรัฐอเมริกาได้ปรับบทบาทจาก “พี่ใหญ่ของโลกเสรี” มาเป็น “ตำรวจโลก” ที่ต้องรักษาความสงบสุขรอบโลก รูปแบบการจัดกำลังรบของสหรัฐอเมริกาได้เปลี่ยนโฉมไปอย่างมาก จากการมีฐานทัพขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศต่างๆที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ มาเป็นกำลังรบขนาดเล็กลง และลอยน้ำโดยตั้งอยู่กระจัดกระจายครอบคลุมเกือบทั้งโลก กำลังรบที่เล็กลงนี้มีความคล่องตัวและเคลื่อนที่ได้รวดเร็ว อีกทั้งสามารถจะไปรวมตัวยังจุดใดจุดหนึ่งก็ได้เมื่อถูกเรียกใช้

ในปี ค.ศ. 2002 กระทรวงกลาโหมสหรัฐได้อนุมัติเงินกว่า 2,000 ล้านบาทเพื่อก่อตั้ง สถาบันนาโนเทคโนโลยีทหาร (Institute of Soldier Nanotechnologies) ขึ้นที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งแมซซาจูเซตต์ (Massachusetts Institute of Technology หรือ MIT) โดยมีเป้าหมายจะพัฒนาชุดทหารแห่งอนาคต สถาบันดังกล่าวประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์จำนวน 60 คน จากภาควิชาทั้งหมด 12 ภาควิชา เช่น ฟิสิกส์ เคมี คณิตศาสตร์ วิศวกรรมเครื่องกล วิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรมวัสดุ ชีววิทยา เป็นต้น บวกกับนักศึกษาระดับปริญญาเอกกว่า 100 ชีวิต ดำเนินการวิจัยมุ่งเป้าโดยครอบคลุมหัวข้อต่างๆ เพื่อทำให้ทหารอเมริกัน มีความสามารถในการอยู่รอดได้เพิ่มขึ้น นับเป็นโครงการใหญ่โครงการแรก ที่มุ่งเป้าไปที่ตัวทหารที่เป็นบุคคล มากกว่าระบบอาวุธเหมือนที่ผ่านมา โครงการวิจัยของสถาบันนาโนเทคโนโลยีทหาร เน้นหัวข้อเชิงกลยุทธ์ 5 หัวข้อ ได้แก่ (1) Light Weight, Multifunctional Nanostructured Fibers and Materials (2) Battle Suit Medicine (3) Blast and Ballistic Protection (4) Chem/Bio Materials Science - Detection and Protection (5) Nanosystems Integration

เมื่อโครงการนี้พัฒนาไปถึงขีดสุด สิ่งที่ทหารราบสหรัฐจะได้รับก็คือ น้ำหนักของสัมภาระส่วนตัวจะลดลงจาก 45 กิโลเหลือแค่ 10 กิโลเท่านั้น อาวุธประจำกายที่พัฒนาขึ้นไปอีก โดยใช้นาโนวัสดุที่มีน้ำหนักเบาและมีอำนาจการยิงสูง ชุดเกราะที่ทำจากเส้นใยนาโนที่เบาและใส่สบายแถมมีอุปกรณ์เซ็นเซอร์ที่วัดสภาพร่างกายเช่น อัตราชีพจร อุณหภูมิ ความดัน และส่งข้อมูลตรงไปที่กองบัญชาการภาคสนาม ซึ่งสามารถมอนิเตอร์สัญญาณชีวิตของทหารแต่ละนาย มีนาโนเซ็นเซอร์ที่สามารถตรวจสอบสารเคมีและเชื้อโรค ชุดทหารอัจฉริยะเหล่านี้ฝังคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่เชื่อมโยงสัญญาณจากเซ็นเซอร์ต่างๆด้วยเส้นใยที่นำไฟฟ้าทักทอไปพร้อมกับใยผ้า มีระบบระบายความร้อนแบบเทอร์โมอิเล็กตริก ทำให้นักรบเหล่านี้สามารถปฏิบัติการในทะเลทรายตลอดวันได้โดยไม่เหนื่อยเพลีย ภายนอกของชุดมีเซ็นเซอร์ตรวจสอบสภาพของแสงรอบข้าง และจะปรับชุดให้สามารถพรางตัวได้ เช่น หากอยู่ในหิมะจะเป็นสีขาว ในป่าจะมีสีเขียว เป็นต้น รวมทั้งยังเป็นชุดที่ทำความสะอาดตัวเองได้ ไม่เปื้อนเลนหรือโคลน เหมือนใบบัวที่ไม่เปียกน้ำและสะอาดใสปิ๊งตลอดเวลา อุปกรณ์ทุกอย่างได้พลังงานมาจากแบตเตอรีความจุสูงน้ำหนักเบาที่ทำจากวัสดุนาโน โดยจะประจุไฟเข้าไปเก็บในเวลากลางวันโดยใช้เซลล์สุริยะ โดยขณะนี้ทางเพนตากอนได้ทดลองเซลล์สุริยะแบบพลาสติกที่พับเก็บได้ในภาคสนามแล้ว ลักษณะเหมือนม่านบังแดดหน้ารถ หมวกทหารก็จะเปลี่ยนไป จากหมวกเหล็กที่แสนจะธรรมดา มาเป็นหมวกที่มีฝาครอบเหมือนหมวกกันน็อกของสิงห์นักบิด หากแต่หมวกทหารใบนี้นอกจากจะกันกระสุนแล้ว ฝาครอบยังเป็นเสมือนจอดิสเพลย์ที่แสดงผลข้อมูลที่ทหารจำเป็นต้องรู้ โดยสามารถควบคุมด้วยเสียงพูด มีอุปกรณ์มองเห็นด้วยรังสีอินฟาเรดสำหรับเวลากลางคืน ยานพาหนะที่จะนำทหารหน่วยนี้ไปรบก็จะมีความพิเศษกว่าตรงที่ ยานเหล่านี้ติดตั้งเซ็นเซอร์ไว้รอบทิศทาง ถ้ามีการจู่โจมจากอาวุธจรวดก็สามารถตอบโต้โดยอัตโนมัติด้วยการยิงกระสุนที่สามารถแตกสะเก็ดเพื่อทำลายจรวดที่พุ่งเข้ามาก่อนจะถึงพาหนะ วัสดุที่ใช้ทำเกราะก็หนีไม่พ้นวัสดุที่ใช้ส่วนผสมของท่อนาโนคาร์บอนที่มีความแข็งแกร่งสูงมาก

ฟังดูแล้วเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ แต่ในทางการทหารนั้น การสร้าง Surprise ให้แก่ศัตรู คือการมีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว .......
(ภาพข้างบน - คลิ๊กที่รูปเพื่อขยายให้ใหญ่)