แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ transportation แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ transportation แสดงบทความทั้งหมด

13 เมษายน 2556

20th ITS World Congress 2013



(Picture from http://www.utwente.nl/ewi/dacs/assignments/cartocar/)

ในปัจจุบัน ระบบขนส่งอัจฉริยะ (Intelligent Transportation System) เริ่มมีบทบาทมากขึ้น ระบบ GPS เริ่มจะกลายเป็นมาตรฐานของรถยนต์หลายยี่ห้อแล้วครับ บริษัทขนส่งต่างๆ เริ่มมีการนำ GPS มาติดตั้งในรถบรรทุก และรถบัสโดยสาร เพื่อติดตามพฤติกรรมการขับขี่ของคนขับ ในประเทศไทยเองก็มีการใช้งานอย่างกว้างขวางแล้ว ทุกวันนี้ก่อนผมจะออกจากผม ผมจะเปิด App บนสมาร์ทโฟนดูก่อนว่าสภาพการจราจรในเส้นทางที่ผมจะต้องผ่านเป็นอย่างไร บ้านผมอยู่เมืองนนท์ แถวสะพานพระนั่งเกล้า ทำให้ผมจะต้องดูการจราจรแถวต่างระดับแครายว่าพอไปได้หรือยัง จากนั้นต้องมาดูหน้าด่านเก็บเงินของทางด่วนงามวงศ์วานขาเข้า รวมทั้งสภาพการเลื่อนไหลของรถบนทางด่วนด้วย ถ้าเห็นว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี ผมก็จะเปลี่ยนเส้นทางโดยจะมาทางราชพฤกษ์ และเข้าทางสะพานกรุงธนฯ แทน App ตัวนี้ทำให้ชีวิตผมสบายขึ้นเป็นอย่างมาก

ในวงการระบบขนส่งอัจฉริยะเอง ในแต่ละปีมีการประชุมวิชาการหลายๆ ครั้ง จัดขึ้นกระจัดกระจายทั่วโลก โดยจะมีการจัดประชุมครั้งใหญ่ที่รวมประเด็นสำคัญ รวมไปถึงการประชุมระดับนโยบาย ที่จะกำหนดอนาคตของระบบขนส่งโลก ซึ่งปีนี้ก็จัดมาถึงครั้งที่ 20 แล้ว โดย ITS World Congress ในปีนี้จะจัดขึ้นที่โตเกียว ระหว่างวันที่ 14-18 ตุลาคม 2556 

หัวข้อของการประชุมที่เป็นที่สนใจในปีนี้ ได้แก่

1. Safety and traffic management
เป็นเรื่องของการนำเอาระบบอัจฉริยะ มาใช้ในการจัดการจราจร การรักษาความปลอดภัยในระบบการจราจร ระบบแจ้งเตือนต่างๆ บนทางหลวง การรับส่งข้อมูลระหว่างยานยนตร์ กับ ระบบทางหลวง

2. Next generation mobility and sustainability
เป็นเรื่องของระบบขนส่ง และยานยนต์ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฮโดรเจนผ่านเซลล์เชื้อเพลิง รถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ ระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ สำหรับยานยนตร์แห่งอนาคต เช่น เครือข่ายการชาร์จไฟ ระบบโลจิสติกส์สำหรับเชื้อเพลิงอนาคต ระบบจัดการพลังงานสำหรับการขนส่ง นวัตกรรมด้านยานยนต์สำหรับการขนส่งแบบบุคคล รวมไปถึงนวัตกรรมสำหรับสังคมผู้สูงวัย

3. Efficient transport systems in mega cities/regions
เกี่ยวกับระบบขนส่งมวลชนในเมืองใหญ่ การจัดการระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ รวมไปถึงประเด็นในเรื่องของสังคม และ สิ่งแวดล้อม

4. Intermodal and multimodal systems for people and goods
เป็นเรื่องของการผสมผสานการขนส่งแบบต่างๆ ที่ทำให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ในการลำเลียงคนและสินค้าต่างๆ ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด

5. Personalized mobility services
เป็นเรื่องของการนำเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ มาใช้เพื่อการขนส่ง App ต่างๆ บนสมาร์ทโฟน บริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์และการขนส่ง การประมวลผลข้อมูลต่างๆ และเรื่องของ Big Data ที่กำลังมีมากขึ้นเรื่อยๆ ในระบบคมนาคม

6. Resilient transport systems for emergency situations
เป็นเรื่องของระบบขนส่งและคมนาคม ที่มีภูมิต้านทานต่อภัยพิบัติและสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ การออกแบบโครงสร้างพื้นฐาน และระบบขนส่งอัตฉริยะ ที่มีความสามารถในการฟื้นฟูเมื่อการสถานการณ์ฉุกเฉิน

7. Institutional issues and international harmonization
เกี่ยวกับความร่วมมือต่างๆ ระหว่างองค์กรที่เกี่ยวข้องกับระบบขนส่งอัจฉริยะ การวางแผน มาตรฐานและกฎระเบียบต่างๆ และแนวโน้มการใช้งานในอนาคต

17 กรกฎาคม 2555

Intelligent Automobile - ยานยนตร์อัจฉริยะ (ตอนที่ 1)



(ภาพบน - รถยนต์ที่วิ่งมาโดนคราบน้ำมันลื่น จะส่งข้อมูลเตือนไปยังรถคนอื่นๆ ที่กำลังจะวิ่งมาในเส้นทางเดียวกัน)

ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสมองกลฝังตัว (embedded computing) ที่นับวันจะเล็กลงๆ ราคาถูกลงๆ แต่มีสมรรถนะมากขึ้นๆ เรื่อยๆ ได้ทำให้เทคโนโลยีหลายๆ อย่างที่เราเคยมองว่าอาจต้องใช้เวลานานถึงจะเป็นจริงๆ มีโอกาสได้ใช้เร็วขึ้นมากกว่าเดิมครับ เช่น อากาศยานไร้คนขับ (UAV) ปัจจุบันกลายมาเป็นของเล่นสนุกๆ กันไปแล้ว อุปกรณ์เครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่เราใช้กันในบ้าน พากันเชื่อมโยงเข้าระบบอินเตอร์เน็ต โดยมีโทรทัศน์ (Internet TV) นำร่อง ต่อไปก็จะเป็น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เตาไมโครเวฟ และ  ......  รถยนต์ 

ในบทความซีรีย์นี้ ผมจะทยอยนำความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยียานยนต์อัจฉริยะ (Intelligent Automobile หรือ Intelligent Car หรือ i-Car หรือ Smart Car) ซึ่งจะทำให้ยานพาหนะสุดโปรดของมนุษยชาติ กลายเป็นเครื่องใช้ที่มีหัวคิด สามารถรับรู้อารมณ์ ความรู้สึก ความต้องการ และ คอยหมั่นดูแลเอาใจใส่ผู้ใช้ เทคโนโลยีเหล่านี้กำลังทยอยเข้ามาใส่ในรถยนต์ยุคต่อไป ผมขอยกตัวอย่างอัจฉริยภาพดังต่อไปนี้ ที่เรากำลังจะมีใช้กันในอนาคตครับ

-  Autonomous Cruise Control เป็นระบบการขับเอง (Self-Driving) ของรถยนต์ ซึ่งรถยนต์จะอาศัยเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งบนรถยนต์ มันจะตรวจสอบแนวเส้นทางของถนน ควบคุมพวงมาลัยและความเร็วที่มันคิดว่าปลอดภัย เซ็นเซอร์จะตรวจสอบระยะห่างจากรถยนต์คันหน้า ตัวรถยนต์อาจมีการสื่อสารกับถนนหรือทางหลวง (Smart Highway) ซึ่งมันจะรับข้อมูลเข้ามา ซึ่งจะทำให้มันรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับข้อมูลที่ควรใส่ใจ เช่น ทางโค้งอันตราย ไฟจราจร หรือ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นข้างหน้า

- Lane Departure Warning เป็นระบบที่คอยเตือน เมื่อรถยนต์ที่เราขับกำลังจะหลุดออกจากเลน จะโดยความไม่ตั้งใจ พลั้งเผลอ หรือ หลับใน ระบบจะตรวจพบวิถีการขับที่ผิดปกติ และจะส่งเสียงเตือนให้เรารีบกลับเข้าเลน แต่ถ้าเราตั้งใจแซงรถแล้วเปิดไฟเลี้ยว ระบบจะเข้าใจว่าเรามีสติรู้อยู่ว่ากำลังจะทำการแซง เค้าก็จะไม่เตือนครับ

- Blind Spot Monitoring เป็นระบบช่วยเหลือในการมองบริเวณที่เราเรียกว่า "จุดบอด" ครับ ซึ่งกระจกมองหลัง และกระจกข้างมักจะไม่เห็น เช่น ด้านข้างรถช่วงใกล้ๆ ประตูหลัง เช่น หากมีรถคันอื่นๆ มาอยู่ใกล้ๆ ก็จะเป็นจุดสีแดงกระพริบๆ ที่กระจกข้าง ทำให้เรารู้ว่ามีพาหนะคันอื่นในบริเวณนั้น เพื่อที่เราจะได้เพิ่มความระมัดระวัง เช่น รอให้รถคันนี้แซงไปก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนทิศทางของรถเรา

- Driver Monitoring รถยนต์ที่ติดตั้งระบบดังกล่าว จะคอยตรวจสอบผู้ขับขี่ว่ามีสติสมประดีหรือไม่ พร้อมจะขับหรือไม่ เช่น ถ้าอยู่ในสภาพเมามายไม่ได้สติ รถยนต์ก็จะไม่ยอมสตาร์ท ในระหว่างขับขี่ รถยนต์จะคอยตรวจสอบว่าผู้ขับขี่มีอาการง่วงหรือไม่ ถ้าตรวจพบมันจะเปิดเพลงหรือส่งเสียงเตือน ในสภาวะที่อันตราย ถ้าผู้ขับขี่ไม่ตอบสนองต่อการเตือน รถยนต์จะแย่งพวงมาลัยและทำการหยุดรถ (ในภาพยนต์เรื่องเจมส์ บอนด์ รถสามารถดีดตัวผู้นั่งออกไปนอกรถด้วยนะครับ)

- Adaptive Headlamps เป็นการปิดเปิด ปรับความสว่างของไฟหน้าเองตามสภาพแวดล้อม การปรับทิศทางของไฟหน้าให้ผู้ขับขี่มองเห็นได้ทั่วถึง เช่น ระหว่างเลี้ยว เป็นต้น

- Automatic Parking เป็นการขับเข้าที่จอดให้อัตโนมัติสำหรับผู้ขับขี่ที่จอดรถไม่เก่ง ระบบนี้เริ่มมีใช้ในรถยนต์หลายๆ ยี่ห้อแล้วครับ

- Automotive Night Vision หรือระบบช่วยมองในเวลากลางคืน ปัจจุบันมีใช้กันในรถยนต์หลายยี่ห้อแล้วครับ หรืออาจจะซื้อมาติดตั้งเองก็ได้ แต่ในอนาคตผมเชื่อว่าระบบนี้จะมีอยู่ในรถยนต์ทุกคัน ระบบที่ฉลาดๆ หน่อยจะสามารถตรวจหาจักรยาน คนเดินเท้า หรือ สัตว์ ที่กำลังเดินข้างถนน แล้วจะเตือนเราให้ระวังด้วยครับ

- Traffic Sign Recognition หรือระบบจดจำป้ายจราจร มันจะตรวจสอบและวิเคราะห์ความหมายของป้ายจราจร แล้วจะคอยเตือนเราด้วยเสียง เช่น ป้ายให้ลดความเร็ว หรือ ให้ชะลอรถเข้าสู่ทางแยก หรือ ทางโค้งอันตราย ซึ่งก็จะเป็นระบบที่ช่วยเป็นเพื่อนร่วมทาง และคอยดูทางให้เราอีกทีหนึ่งครับ ในอนาคตระบบนี้สามารถคุยได้โดยตรงกับถนน (Smart Highway) เพื่อรับข้อมูลที่สำคัญเข้ามา แล้วมาเตือนหรือช่วยเหลือคนขับ เช่น สภาพการจราจรในเส้นทางที่เรากำลังจะไป เป็นต้น

- Crash Avoidance เป็นเทคโนโลยีสำหรับหลีกเลี่ยงการชน ซึ่งจะคอยตรวจตราสภาพการขับขี่ของเรา ตรวจตรารถคันหน้า เช่น หากมีการเบรคกะทันหัน แล้วมันคิดว่าเราตอบสนองช้าเกินไป มันจะแย่งเบรคและพวงมาลัยไปจากเราเพื่อไม่ให้การชนเกิดขึ้น ระบบนี้ยังครอบคลุมไปถึงการคุยกันระหว่างรถยนต์ เพื่อป้องกันวิถีการชนด้วยครับ เช่น ในบริเวณทางแยก เมื่อรถของเราเข้าทางแยกพร้อมกับรถอีกคัน รถยนต์ทั้งคู่จะสื่อสารกัน เพื่อป้องกันไม่ให้มีการชนกัน

- Pre-crash System เป็นระบบการช่วยป้องกันคนในรถ เมื่อรถยนต์คำนวณแล้วว่าการชนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ มันจะกระทำอย่างสุดความสามารถเพื่อป้องกันคนนั่ง เช่น การปรับมุมการชน การเปิดใช้ถุงลมนิรภัย การปรับเบาะนั่งให้ลดแรงกระแทก และส่งข้อมูลเพื่อขอความช่วยเหลือไปยังหน่วยกูภัย ตำรวจทางหลวง และสถานพยาบาล

- Health Monitoring คนเราใช้เวลาค่อนข้างมากอยู่ในรถ ดังนั้นในอนาคต เราจะได้เห็นรถที่เมื่อเราขึ้นมานั่ง จับพวงมาลัย รถจะทำการตรวจอัตราการเต้นของหัวใจ ความดันเลือด แล้วเก็บข้อมูลนั้นไว้ หรืออาจจะส่งข้อมูลไปยังโรงพยาบาลที่เราใช้บริการอยู่ ดังนั้น นอกจากเราจะต้องเอารถเข้าศูนย์เมื่อถึงเวลาที่รถเตือนแล้ว (ในอนาคต รถจะไม่เข้าศูนย์ตามจำนวนกิโลเมตรเหมือนตอนนี้ มันจะบอกเราเองว่า มันต้องการเข้าศูนย์เมื่อไหร่ แล้วจะทำการติดต่อนัดรับรถให้เราเสร็จ) มันยังอาจเตือนเราให้ไปพบแพทย์ด้วย


ในตอนต่อๆ ไป ผมจะนำรายละเอียดของเทคโนโลยีที่น่าสนใจบางชนิด มาเล่าให้ฟังนะครับ

11 มกราคม 2553

DARPA หวังสร้างรถเหาะได้สำหรับการทหาร


ในปี ค.ศ. 2010 นี้ เราจะได้เห็นสิ่งที่เคยเป็นความฝัน หรือเป็นนิยาย ถูกนำมาขยายต่อเติมให้เป็นความจริง มากขึ้นเรื่อยๆ ครับ อย่างเรื่องรถลอยได้ เราก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นความจริงได้ใช่ไหมครับ แต่เมื่อเร็วๆ นี้เอง หน่วยงานทางด้านการสนับสนุนการวิจัยเพื่อการทหารของสหรัฐอเมริกา ซึ่งรู้จักกันดีในนามของ DARPA ได้ออกมาประกาศระดมสมองเพื่อจะจัดทำ เงื่อนไขเพื่อจะสนับสนุนทุนวิจัย ให้แก่บริษัท และมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ เพื่อร่วมพัฒนาต้นแบบรถเหาะ ซึ่งโครงการที่จะเกิดขึ้นนี้มีชื่อเท่ห์มากครับว่า Transformer (TX)

เวอร์คช็อปที่ DARPA จะจัดขึ้นในวันที่ 14 มกราคม 2553 ที่จะถึงนี้ เขาซีเรียสมากๆ ครับว่าจะได้แนวคิดใหม่ๆ ที่จะนำไปสู่การสร้างต้นแบบรถที่บินได้ เพื่อใช้ในการสงคราม DARPA จะแสดงวิสัยทัศน์ว่าทางกองทัพอยากได้รถบินได้ในลักษณะอย่างไร เจ้ารถ Transformer หรือ TX ที่เขาอยากได้นั้น ยังไงก็คือรถ ไม่ใช่เครื่องบิน ดังนั้นมันจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการวิ่งบนพื้นดิน บนถนน หรือ นอกถนนก็แล้วแต่ แต่เมื่อไรก็ตามที่จำเป็นจะต้องบิน มันต้องลอยขึ้นไปได้โดยสามารถพาผู้โดยสารจำนวน 1-4 คน ขึ้นไปในอากาศในแนวดิ่ง (Vertical Take-off and Landing หรือ VTOL) และในการนี้ มันต้องประหยัดพอที่จะใช้เชื้อเพลิงที่ไม่มากจนเกินไป กองทัพสหรัฐฯ หวังว่า เจ้า TX นี้จะทำให้ทหารราบสหรัฐฯ เดินทางไปไหนมาไหน โดยสามารถเลือกเส้นทางว่าช่วงไหนจะวิ่งบนดิน ช่วงไหนจะลอยบนอากาศ ทำให้เส้นทางเปลี่ยนไปมาจนข้าศึกไม่สามารถจะซุ่มโจมตีได้ถูก


แต่จะไปถึงจุดนั้นได้ หมายถึงว่าเราจะต้องแก้ปัญหาหลายๆ อย่าง รวมทั้งจะต้องพัฒนาเทคโนโลยีก่อกำเนิด (Enabling Technologies) หลายๆ ตัว เช่น ปีกที่เปลี่ยนรูปร่างได้ ระบบขับดันแบบใหม่ วัสดุนาโนคอมพอสิตชนิดเบามากๆ ระบบควบคุมการบินอัจฉริยะ เครื่องยนต์แบบไฮบริด แบตเตอรีความจุสูง และอื่นๆ

ขึ้นทศวรรษใหม่ ของศตวรรษที่ 21 แล้ว อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ ......

19 มิถุนายน 2552

MIT ไขปริศนาทำไมบางครั้งรถติดแบบบ้าๆบอๆ


เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2552 ที่ผ่านมา มีรายงานในวารสาร Physical Review E เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งผมอยากนำมาเล่าให้ฟังในวันนี้ครับ (ถ้าอยากอ่านฉบับเต็มอ่านได้ที่นี่ครับ .... M. R. Flynn, A. R. Kasimov, J.-C. Nave, R. R. Rosales, and B. Seibold. Self-sustained nonlinear waves in traffic flow. Physical Review E, 2009; 79 (5): 056113 DOI: 10.1103/PhysRevE.79.056113) งานวิจัยนี้ได้ทุนจากกองทัพอากาศสหรัฐฯ รายงานฉบับนี้พยายามไขปริศนา ถึงสาเหตุที่ว่าทำไมอยู่ดีๆ รถถึงติดขึ้นมาโดยที่ไม่มีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้นสักหน่อย รถติดแบบที่ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแบบนี้ ฝรั่งเขาเรียกว่า "Phantom Jams" ครับ (ในรายงานไม่ได้มีการพูดถึงทำไมฝนตกรถติด แต่ผมคิดว่าสิ่งที่เขาค้นพบนั้น สามารถนำไปใช้อธิบายได้ครับ ท่านผู้อ่านอาจจะเคยขับรถบนทางด่วนโล่งๆ แต่พอฝนตกปุ๊บ รถติดเลย)

โดยมากแล้ว รถติดแบบ Phantom Jams หรือไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยนี้ มักจะเกิดเมื่อการจราจรคับคั่ง มีรถวิ่งจำนวนมากในถนน ซึ่งจริงๆ ก็น่าจะพอวิ่งได้โดยไม่ติด แต่สมมติว่ามีการรบกวนการไหลของรถเพียงเล็กน้อย เช่น เกิดมีรถคันหนึ่งอยู่ดีๆ ก็ชะลอความเร็ว หรืออาจมีคันหนึ่งวิ่งจี้ตูดคันหน้ามากไป ทำให้รบกวนการไหล ซึ่งจุดเล็กๆนี้เอง สามารถที่จะถูกขยายให้กลายเป็นการจราจรติดขัดแบบที่เรียกว่า Self-Sustaining ซึ่งหมายความว่า มันสามารถจะอยู่ได้เองเป็นชั่วโมงๆ เลยครับ แล้วก็จะหายไปเอง เมื่อรถเบาบางลงไปเอง โดยที่ใครก็ไม่สามารถไปหยุดมันได้ ต้องปล่อยให้มันคลี่คลายไปเอง

นักวิจัยได้สร้างโมเดลทางคณิตศาสตร์ ซึ่งมองการจราจรเหมือนการไหลของของเหลว ซึ่งก็จะมีตัวแปรของความเร็วในการไหล ความหนาแน่นของการจราจร เป็นต้น โมเดลนี้สามารถทำนายได้ว่า ความหนาแน่นของรถเท่าไร วิ่งด้วยความเร็วเท่าไร จึงจะทำให้เกิดภาวะการจราจรติดขัดแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย และเมื่อเกิดการติดขัดแล้ว มันจะสิ้นสุดเมื่อไหร่

โมเดลนี้ มีประโยชน์มากเลยครับ วิศวกรของกรมทางหลวงสามารถใช้ออกแบบถนน เพื่อที่จะทำให้มีความหนาแน่นของการจราจรต่ำกว่าจุดวิกฤต โมเดลนี้ยังใช้หาตำแหน่งของถนนที่อาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ..... ผมอยากให้มีการนำโมเดลนี้มาใช้ในกรุงเทพฯ จริงๆ ............

08 กุมภาพันธ์ 2552

Coal for Aviation - เชื้อเพลิงถ่านหินสำหรับอากาศยาน (ตอนที่ 3)


การนำเชื้อเพลิงโบราณอย่างถ่านหินมาใช้งานในยุคนี้ได้รับการต่อต้านอย่างหนัก เพราะนอกจากเชื้อเพลิงนี้จะมีชื่อเสียงไม่ดีในเรื่องของมลพิษต่างๆแล้ว การใช้เชื้อเพลิงชนิดนี้ยังส่งผลกระทบทางลบต่อปัญหาโลกร้อน แต่เพราะความจำเป็นของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีความต้องการจะหลุดพ้นจากการพึ่งพาน้ำมันจากต่างประเทศ ทำให้การนำถ่านหินมาใช้แบบใหม่ที่เรียกว่า Clean Coal กำลังจะเป็นกระแสใหม่ของพลังงานทางเลือก (Alternative Energy) ไม่ใช่พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ที่อเมริกาให้ความสนใจ

จริงๆ แล้ว พลังงานทางเลือกในรูปแบบอื่นๆ นอกเหนือไปจาก Clean Coal ก็กำลังเป็นที่สนใจของสหรัฐฯ เช่น การนำเอาคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงไฟฟ้าไปป้อนให้แก่สาหร่าย เพื่อให้สาหร่ายผลิตน้ำมัน Biodiesel หรือการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อัดลงไปใต้พื้นโลกในบริเวณที่มีบ่อน้ำมันที่กำลังจะแห้ง เพื่อดันน้ำมันที่เหลือซึ่งสูบขึ้นมายาก ให้สามารถยกตัวขึ้นมาได้ แต่กองทัพอากาศสหรัฐฯ เห็นว่าทางเลือกต่างๆเหล่านั้น ยังต้องอาศัยเวลากว่าจะสามารถใช้งานในระดับมหภาคได้ ไม่เหมือนกับการนำถ่านหินมาผลิตเชื้อเพลิงสังเคราะห์ ซึ่งตอนนี้สามารถนำไปเติมให้เครื่องบินรบได้หลายชนิดแล้ว แม้ทางกองทัพอากาศสหรัฐฯ จะตระหนักถึงผลกระทบที่เชื้อเพลิงสังเคราะห์จากถ่านหิน จะปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าน้ำมันเชื้อเพลิงปรกติ แต่ความจำเป็นในเรื่องความมั่นคงนั้นอาจต้องมาก่อน Tyson Slocum ผู้อำนวยการหน่วยงานมหาชนที่มีชื่อว่า Public Citizen's Energy Program กล่าวว่า "แน่นอนครับว่า เรื่องนี้คงต้องทะเลาะกันอีกยาว เพราะทางออกสำหรับเชื้อเพลิงอากาศยานนั้นมีไม่มาก ก็เราไม่สามารถใช้โซลาร์เซลล์ผลิตพลังงานให้เครื่องบินได้นี่ครับ" อย่างไรก็ดี นักสิ่งแวดล้อมยังมีความหวังว่า หากในอนาคตเชื้อเพลิงชีวภาพมีความก้าวหน้า และสามารถนำมาเติมให้อากาศยานได้ กองทัพอากาศสหรัฐฯอาจจะยอมถอยออกจากเชื้อเพลิงโบราณอย่างถ่านหิน ............

01 กุมภาพันธ์ 2552

Nano Road - ถนนนาโน (ตอนที่ 4)


สวัสดีครับ หายไปหลายวันเลยครับ ตอนนี้ผมทำงานภาคสนามอยู่ที่สวนชาดอยช้าง จ.เชียงราย มาสัก 3-4 วันแล้วครับ มาพัฒนาระบบ Digitized Tea Orchard ที่ดอยช้าง อีก 2 วันก็จะกลับกรุงเทพฯครับ อีกเดือนครึ่งจะกลับมาอีกที ตอนนี้ที่เชียงรายก็ยังคงหนาวอยู่ครับ ตอนกลางคืนก็ยังอยู่แถวๆ 16-19 องศาเซลเซียส สวนชาที่ผมมาทำงานอยู่นี้ไม่ได้อยู่เชิงดอยช้างครับ ความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 510 เมตรเท่านั้น ซึ่งก็เพียงพอสำหรับการปลูกชาแล้วครับ

วันนี้กลับมาคุยเกี่ยวกับนาโนเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับถนนหนทางกันต่อ จากคราวที่แล้วที่ผมเคยกล่าวไปก่อนหน้านี้ว่า ทางหลวงโดยทั่วไปจะราดผิวถนนได้ 2 แบบคือ คอนกรีต กับ ยางมะตอย สำหรับทางหลวงในสหรัฐอเมริกาที่ยาวเกือบ 3.6 ล้านกิโลเมตรนั้น กว่า 90% ราดผิวจราจรด้วยแอสฟัลต์หรือยางมะตอย ซึ่งเป็นวัสดุไฮโดรคาร์บอน น้ำหนักโมเลกุลสูงที่ได้จากอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยมีการใช้งานถึง 30 ล้านตันต่อปีทั้งเพื่อสร้างทางใหม่และซ่อมบำรุงทาง ว่ากันว่าทุกวินาทีจะมียางมะตอย 1 ตันถูกราดบนผิวทางในสหรัฐฯ การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อปรับปรุงยางมะตอยจึงเป็นเรื่องที่คุ้มค่าเหนื่อย ในประเทศไทยก็เช่นเดียวกันครับ ยางมะตอยครอบครองส่วนแบ่งของผิวถนนไปอย่างน้อย 90% ทั่วประเทศครับ ยางมะตอยที่ใช้ราดผิวถนนนั้นประกอบด้วยหินและทรายจำนวนกว่า 95% ที่เหลือนั้นคือแอสฟัลต์ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่า โดยมีการใส่สารเติมแต่งเช่นพอลิเมอร์ และสารเคมีอื่นๆเข้าไปด้วย ยางมะตอยที่นำมาใช้ไม่มีระบบควบคุมคุณภาพ และไม่มีมาตรฐานของผู้ผลิตต้นทาง ดังนั้นคุณภาพของมันจึงผันแปรได้มาก ทำให้ถนนที่ใช้ยางมะตอยนั้น ยากที่จะคาดคะเนได้ว่าจะมีความทนทานเพียงใด ไม่เหมือนถนนที่ปูผิวด้วยคอนกรีต แต่เพราะความที่มันซ่อมแซมได้ง่าย ค่าก่อสร้างก็ถูกกว่า รวมทั้งกำเนิดเสียงที่เงียบกว่า ทำให้ถนนที่ปูผิวด้วยยางมะตอยยังครองเบอร์ 1 ได้อีกนาน นาโนเทคโนโลยีสามารถที่จะนำไปใช้เพื่อเพิ่มคุณสมบัติแอสฟัลต์ก็เช่น การเติมวัสดุอื่นๆลงไปเพื่อให้เกิดวัสดุผสม ได้แก่ อนุภาคนาโนของยาง หรือที่เรียกว่า Asphalt Rubber ซึ่งจะทำให้เกิดผิวจราจรที่ขับขี่ได้เงียบขึ้นมาก (หากใครเคยไปทัวร์เกาหลี ก็คงเคยเดินทางบนรถโค้ชที่นุ่มและเงียบมาก) อนุภาคนาโนซิลิกา และ เถ้าลอยก็สามารถเติมแต่งลงไปเช่นเดียวกับคอนกรีต เพราะแอสฟัลต์ก็ทำหน้าที่เป็นกาวเชื่อมวัสดุต่างๆ เข้าด้วยกันเหมือนซีเมนต์นั่นเอง นอกจากนั้นยังสามารถเติมนาโนไฟเบอร์เข้าไปเพื่อให้ยางมะตอยมีคุณสมบัติยึดเกาะกันได้ดีขึ้น ไม่หลุดง่าย

24 มกราคม 2552

Coal for Aviation - เชื้อเพลิงถ่านหินสำหรับอากาศยาน (ตอนที่ 2)


ช่วงนี้ผมรีบอัพเดต Blog หน่อยครับ เพราะว่าสัปดาห์หน้าจะไปทำงานภาคสนามที่ไร่ชาดอยช้าง จ.เชียงราย เกือบทั้งสัปดาห์เลยครับ จริงๆที่ไร่ก็มี Hi-speed Internet หากมีเวลา ก็จะเก็บตกบรรยากาศมาเล่าให้ฟังครับ

วันนี้มาคุยกันต่อครับถึงแผนการของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา ที่จะนำถ่านหินมาใช้เป็นเชื้อเพลิงทางเลือกสำหรับอากาศยานรบในอนาคต จริงๆแล้วขณะนี้เครื่องบินรบหลายแบบของสหรัฐฯ เช่น B-52, C-17, B-1 Bomber, F-15, F-22 ก็มีความสามารถในการใช้เชื้อเพลิงสังเคราะห์กันแล้ว โดยในปี ค.ศ. 2011 อเมริกาตั้งใจจะใช้เชื้อเพลิงถ่านหินแบบ 50:50 สำหรับเครื่องบินในกองทัพทั้งหมด

ถึงแม้เชื้อเพลิงสังเคราะห์ที่ทำจากถ่านหิน จะไม่สร้างมลภาวะเหมือนถ่านหินธรรมดา แต่การนำถ่านหินไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงเหลวนั้นมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าการนำปิโตรเลียมมาใช้ทำเชื้อเพลิง ตรงนี้แหล่ะครับที่ทำให้พลเรือนยังไม่กล้าใช้เชื้อเพลิงชนิดนี้ เพราะ NGO ต่อต้านหนักมาก แต่สำหรับกองทัพนั้น NGO ไม่กล้าออกมาทักท้วงเพราะเกรงกลัวกฏหมายความั่นคง อีกทั้งกองทัพสหรัฐฯก็ออกมาสร้างความมั่นใจว่า นักวิจัยที่เข้ามาร่วมพัฒนาเชื้อเพลิงทางเลือกนี้ จะต้องหาทางลดผลกระทบดังกล่าวให้ได้มากที่สุด เพราะกองทัพอากาศจะทำเรื่องนี้แน่ๆ เพื่อทำให้กองทัพไม่ต้องพึ่งพาน้ำมันจากประเทศที่เป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ

ผมจะมาเล่าต่อนะครับว่าเขาจะทำอย่างไร เพื่อให้ได้ Clean Coal ที่พวก NGO จะต่อต้านน้อยที่สุด

21 มกราคม 2552

Coal for Aviation - เชื้อเพลิงถ่านหินสำหรับอากาศยาน (ตอนที่ 1)


ถ่านหินเคยเป็นเชื้อเพลิงสำหรับการขนส่งในอดีต มันถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงหลักสำหรับเดินเครื่องหัวรถจักรไอน้ำ ทำให้การเดินทางโดยรถไฟสามารถทำได้เป็นระยะทางไกล หลังจากน้ำมันถูกค้นพบและกลายมาเป็นเชื้อเพลิงหลักสำหรับรถยนต์ เรือ และ เครื่องบิน ถ่านหินก็ไม่เคยถูกใช้เพื่อการคมนาคมขนส่งอีกเลย แต่ด้วยนาโนเทคโนโลยี ถ่านหินจะกลับมาเป็นเชื้อเพลิงเพื่อการคมนาคมอีกครั้ง แต่คราวนี้ มันจะถูก upgrade ไปใช้สำหรับอากาศยานเลยทีเดียวครับ

จริงๆ แล้วตอนนี้อุตสาหกรรมหลายๆ แห่ง (แม้แต่ในเมืองไทยเอง) ที่ต้องการผลิตไฟฟ้าใช้เอง หรือใช้เพื่อผลิตความร้อนเพื่อเผาปูนซีเมนต์ ก็แอบๆใช้ถ่านหินกันอยู่แล้ว โดยไม่ค่อยมีใครรู้ เพราะเขาใช้ถ่านหินในรูปอนุภาค colloid ที่มีขนาดเล็กมากๆ ในระดับไมครอนหรือนาโนเมตร อนุภาคเหล่านี้จะถูกแขวนลอยในสารละลาย ทำให้มีพื้นที่ผิวสูงมาก จนสามารถที่จะเผาไหม้ได้อย่างสมบูรณ์ จนคนในอุตสาหกรรมเหล่านี้เรียกสารละลายอนุภาคถ่านหินนี้ว่า Clean Coal หรือ ถ่านหินสะอาด อย่างไรก็ตามพลังงานทางเลือก (Alternative Energy) จากถ่านหินนี้แม้จะทำให้ลดการใช้น้ำมันลงได้ ก็ไม่อาจที่จะช่วยในลดภาวะโลกร้อน เพราะเชื้อเพลิงชนิดนี้ก็ยังปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาอยู่ดีครับ

แล้วทำไมสหรัฐอเมริกาถึงสนใจจะนำถ่านหินมาใช้งานล่ะครับ? ก็เพราะว่าสหรัฐอเมริกามีถ่านหินสำรองถึง 1 ใน 4 ของโลก แต่มีน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติไม่มาก แต่เนื่องจากการนำถ่านหินมาใช้จะต้องพบกับการต่อต้านของ NGO และองค์กรสิ่งแวดล้อมต่างๆ ค่อนข้างหนักหน่วง ทำให้สหรัฐฯหลบเลี่ยงเรื่องนี้อย่างฉลาดครับ โดยผู้ที่จะพัฒนาเชื้อเพลิงชนิดนี้จะเป็นกองทัพอากาศสหรัฐฯ คราวนี้พวก NGO ต่างๆก็เลยไม่กล้าเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องของทหารไงครับ
กองทัพอากาศสหรัฐฯ ต้องการนำถ่านหินมาทำเป็นเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยาน โดยตั้งใจว่าต่อไปจะต้องนำเชื้อเพลิงสังเคราะห์จากถ่านหินไปใช้ผสมกับเชื้อเพลิงปรกติให้ได้ในอัตราส่วน 50:50 ภายในปี ค.ศ. 2016 ให้ได้ เพราะในปี 2007 เพียงปีเดียว เครื่องบินรบของสหรัฐฯ เผาผลาญน้ำมันเจ็ตไปถึงเกือบ 10,000 ล้านลิตร คิดเป็นมูลค่ากว่า 200,000 ล้านบาทเลยครับ ในปีเดียวกันนั้น เครื่องบินรบสหรัฐฯใช้น้ำมันอากาศยานคิดเป็น 10% ของการใช้น้ำมันอากาศยานทั้งหมดของประเทศ ดังนั้นการนำเชื้อเพลิงใหม่จากถ่านหินมาเติมให้เครื่องบินรบ จะช่วยประหยัดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ ซึ่งในที่สุดอากาศยานสัญชาติอเมริกันทั้งหมดจะใช้น้ำมันถ่านหิน โดยปราศจากการต่อต้านจาก NGO

วันหลังค่อยมาคุยต่อนะครับ ......

11 มกราคม 2552

Crash Avoidance Technology - เทคโนโลยีหลีกเลี่ยงการชน (ตอนที่ 3)


วันนี้ผมจะมาเล่าต่อนะครับ ถึงเรื่องเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยทำให้ถนนหนทางในศตวรรษที่ 21 มีความปลอดภัยน่าขับขี่มากขึ้น เทคโนโลยีหลีกเลี่ยงการชนก็เป็นตัวหนึ่งที่พูดถึงกันมากช่วงนี้ นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษากันว่าเจ้าตั๊กแตนมีความสามารถพิเศษอย่างไร มันถึงสามารถบินรวมฝูงกันได้หนาแน่นมาก โดยไม่ชนกันเองเลย ว่ากันว่าในช่วงที่มันอพยพนั้น มันมีจำนวนถึง 80 ล้านตัวต่อพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตร โดยในการบินของมันนั้นไม่เกิดการชนกันเลย เป็นไปได้อย่างไร ในสหรัฐอเมริกาเองนั้นมีรถยนต์ถึง 3.6 ล้านคันในแต่ละปีที่เฉี่ยวชนกัน

บริษัทวอลโว่แห่งสวีเดนกำลังสนใจศึกษาตั๊กแตนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีหลีกเลี่ยงการชนกัน นักวิจัยสงสัยกันมาสักพักแล้วครับ ว่าระบบประสาทอยู่หลังลูกตาของตั๊กแตน ที่มีชื่อว่า Lobula Giant Movement Detector หรือ LGMD นี้น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความพิเศษในการหลีกเลี่ยงการชนของมัน ซึ่งเจ้า LGMD นี้จะปลดปล่อยสารพลังงานออกมาก่อนจะเกิดการชนกันเอง หรือเมื่อมันเจอกับนกผู้ล่า นักวิจัยได้ทดลองนำตั๊กแตนมาชมภาพยนตร์เรื่อง Star Wars ซึ่งมีฉากยานอวกาศวิ่งอย่างรวดเร็วเพื่อหลบหลีกสิ่งกีดขวาง เมื่อตั๊กแตนเห็นวัตถุพุ่งตรงเข้ามา LGMD ของมันจะปลดปล่อยสารพลังงานออกมาเป็นพีควัดได้อย่างชัดเจน ใช้เวลาเพียง 45 มิลลิวินาทีเท่านั้น Claire Rind นักวิจัยที่ทุ่มเทศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังกล่าวว่า "ตั๊กแตนสามารถมองเห็นภาพต่างๆ ได้รวดเร็วกว่ามนุษย์หลายเท่าเลยค่ะ นั่นทำให้มันมีเวลาพอที่จะหลบหลีกสิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก สำหรับมนุษย์เราเมื่อลองไปดูภาพต่างๆที่ตั๊กแตนเห็น ก็ไม่ต่างจากภาพเคลื่อนไหวแบบ slow motion" และการที่ตั๊กแตนจะสนใจเฉพาะสิ่งที่จะวิ่งมาชนมันเท่านั้น ก็ยิ่งทำให้มันมีสมาธิเพื่อจะหลบหลีกสิ่งต่างๆ สำหรับการเคลื่อนที่ในฝูงที่มีความหนาแน่นมากๆ โดยมันจะไม่สนใจสิ่งอื่นใดเลย

นอกจากนั้นแล้ว LGMD ยังทำงานประสานกับระบบประสาทที่ส่วนกลางที่เหมือนสมองของตั๊กแตน ซึ่งจะเป็นที่ส่งข้อมูลทางด้านประสบการณ์ และฐานความรู้เพื่อให้ตั๊กแตนสามารถจัดการกับสถานการณ์แบบต่างๆ ได้ วันหลังจะมาเล่าต่อนะครับ .......

08 มกราคม 2552

Crash Avoidance Technology - เทคโนโลยีหลีกเลี่ยงการชน (ตอนที่ 2)


แม้ประเทศไทยจะช่วยกันรณรงค์เรื่อง "เมาไม่ขับ" กันอย่างหนักและต่อเนื่องมานานหลายปีแล้ว แต่ดูเหมือนความสำเร็จในการลดอุบัติเหตุบนท้องถนนก็ดูยังไม่ใกล้เคียงความเป็นจริงสักที เพราะจริงๆแล้ว การขับรถบนถนนยังเป็นเรื่องอันตรายอยู่ ถึงจะไม่เมาไม่ง่วงไม่โทร ก็เถอะครับ ทางหลวงเมืองไทยมีจุดอันตรายนับไม่ถ้วน คนขับรถส่วนใหญ่ยังขับรถไร้วินัยและความตระหนักเรื่องความปลอดภัย การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง smart highway และ เทคโนโลยีหลีกเลี่ยงการชน (crash avoidance technology) น่าจะเป็นทางออกหนึ่งที่จะเข้ามาช่วยดูแลถนนแห่งอนาคตให้มีความปลอดภัย และน่าใช้มากยิ่งขึ้นครับ ปีใหม่ของคนไทยจะได้น่าเที่ยวกว่านี้


อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ว่า รถยนต์หรูๆ รุ่นใหม่ๆ เช่น วอลโว่ หรือ เบนซ์ หรือ BMW ต่างก็พยายามเพิ่มมูลค่าให้รถยนต์ของตนเองด้วยการนำเทคโนโลยีความปลอดภัยประเภทต่างๆ เข้ามาใส่ แต่ในอนาคตข้างหน้า เทคโนโลยีเหล่านี้จะค่อยๆ เข้าไปอยู่ในรถยนต์ที่ไม่หรูด้วย จนอีกหน่อยก็จะกลายเป็นเรื่องธรรมดาครับ เทคโนโลยีหลักเลี่ยงการชนในปัจจุบันที่มีการวิจัยคิดค้นขึ้นมา และมีใช้กันแล้วนั้นมีหลายประเภทครับ ผมขอยกตัวอย่างดังนี้ครับ ......

- Forward Collision Automatic Braking ช่วยในการป้องกันการชนด้านหน้า เมื่อรถคันหน้าลดความเร็วลงอย่างกระทันหัน แล้วเราขับมาเผลอๆ ไม่ได้ลดความเร็วตาม เบรคก็จะทำงานทันที เพื่อปรับความเร็วรถของเราให้พอดีกับคันข้างหน้า
- Lane-Departure Warning หากรถของเราขับกินเลน หรือเปลี่ยนเลนไป ระบบจะทำการเตือนให้ผู้ขับขี่ทราบ
- Emergency Brake Assistance ในกรณีที่รถต้องทำการเบรคอย่างกระทันหัน จะช่วยป้องกันการล็อคล้อ และรักษาสมดุลของพวงมาลัยรถ ป้องกันไม่ให้รถปัดหรือหมุน
- Adaptive Headlight ไฟ้หน้ารถที่ปรับมุมตามการเลี้ยวโค้ง หรือ การขึ้นเขาลงเขาของรถ
- Blind-spot Detection ระบบตรวจสอบจุดที่ผู้ขับขี่มองไม่เห็น เช่น หากมีรถวิ่งเข้ามาใกล้ทางด้านข้างอย่างเร็ว อาจมองทางกระจกไม่ทันเห็น ระบบนี้จะช่วยทำให้คนขับรู้ตัว จะได้ไม่เปลี่ยนเลนจนกว่าจะปลอดภัย

นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่อยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนา ที่จะช่วยไม่ให้รถที่วิ่งสวนกัน หรือ ตัดทางกันที่ทางแยก เกิดการประสานงาหรือเฉี่ยวกัน ซึ่งรถยนต์จะสามารถสื่อสารกันได้ เพื่อหลบเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ

ตอนหน้าผมจะมาเล่าให้ฟังต่อครับ ถึงเทคโนโลยีหลีกเลี่ยงการชนที่เลียนแบบตั๊กแตนครับ ...........

19 ธันวาคม 2551

Nano Road - ถนนนาโน (ตอนที่ 3)


วันนี้ ผมกลับมาเล่าต่อนะครับในเรื่องของนาโนเทคโนโลยี ที่จะเข้ามาช่วยทำให้ถนนในศตวรรษที่ 21 มีความน่าขับมากยิ่งขึ้น ในช่วงปีใหม่ที่จะถึงนี้ หากท่านผู้อ่านจะต้องออกไปเที่ยวต่างจังหวัด ก็ลองสังเกตดูนะครับ ว่าทางหลวงเมืองไทยนั้น พื้นถนนจะมีอยู่ 2 ประเภท คือที่เป็นคอนกรีต กับลาดยางมะตอย เวลารถวิ่งบนถนนคอนกรีตจะรู้สึกว่ามีเสียงดังเข้ามาและรู้สึกถึงการสั่นสะเทือน แต่พอรถผ่านเข้าไปสู่ถนนที่ลาดยางมะตอย ก็จะรู้สึกว่ารถวิ่งนิ่มดี ถนนเมืองไทยเมื่อก่อนก็มีแต่ลาดยางครับ แต่เดี๋ยวนี้ก็นิยมเทคอนกรีตมากขึ้น แต่พอรถบรรทุกวิ่งบดขยี้จนพังจะซ่อมยากมาก สุดท้ายพอทำใหม่ก็จะเปลี่ยนกลับมาเป็นยางมะตอยเหมือนเดิม วันนี้ผมจะขอพูดถึงนาโนเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยทำให้เกิดคอนกรีตแบบใหม่ ที่มีคุณสมบัติดีขึ้นครับ


คอนกรีต ประกอบด้วยวัสดุที่มีขนาดต่างๆ ผสมผสานกัน ตั้งแต่ในระดับที่มองเห็นด้วยตาเปล่า เล็กลงไปจนถึงระดับนาโน คอนกรีตเป็นวัสดุที่มีรูพรุนมากมาย ทั้งที่มีขนาดใหญ่และเล็กลงไปจนถึงระดับนาโน องค์ประกอบสำคัญที่ทำหน้าที่คล้ายกาวเกิดจากปฏิกริยาระหว่างซีเมนต์กับน้ำ ทำให้ได้โครงสร้างของแคลเซียม-ซิลิเกต-ไฮเดรต (C-S-H) ที่จะเป็นตัวประสานวัสดุผสมทั้งหลายแหล่ในคอนกรีตให้ยึดเกาะกัน หากมองลึกลงไปถึงระดับนาโน ก็จะพบว่าวัสดุประสานนั้นได้สร้างพันธะเคมีเข้ายึดเกาะกับวัสดุอื่นๆในคอนกรีต จำนวนและความแข็งแรงของพันธะเคมีเหล่านั้นเอง ที่สะท้อนความแข็งแรงของโครงสร้างคอนกรีตทั้งหมด ดังนั้นคำตอบของการทำให้คอนกรีตมีความแข็งแกร่ง จึงอยู่ที่จะต้องทำให้กาว C-S-H มีโครงสร้างนาโนที่ดี และทำหน้าที่ยึดเกาะประสานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในวงการวิจัยคอนกรีตได้พยายามหาคำตอบโดยใช้หลักการของนาโนศาสตร์เข้าไปทำความเข้าใจในพันธะเคมีเหล่านั้นว่าอยู่กันอย่างไร จะทำให้พันธะเคมีเหล่านั้นแข็งแกร่งขึ้นได้หรือไม่ ได้มีการทดลองใส่ผงนาโนซิลิกา (Silica Fume) ซึ่งเป็น วัสดุเหลือทิ้งจากโรงงานกระจกเข้าไปในคอนกรีตแล้วพบว่าสามารถเพิ่มกำลังของคอนกรีตได้ ทั้งนี้หากใส่มากเกินไปก็จะไปลดความแข็งแรงของโครงสร้างได้ด้วยเช่นกันโดยอัตราส่วนที่ใส่เข้าไปแล้วได้กำลังอัดมากที่สุดนั้น ยังคงเป็นปริศนาอยู่ว่าเกิดจากอะไร ดังนั้นการศึกษาเพื่อให้เข้าใจการทำงานของคอนกรีตในระดับนาโนจึงมีความจำเป็น หากคิดจะพัฒนาคอนกรีตให้กลายเป็นซูเปอร์คอนกรีต คอนกรีตและซีเมนต์ในยุคต่อไปจะเป็นวัสดุผสมที่แท้จริง โดยมีการผสมผสานกับวัสดุอื่นๆ ได้หลากหลายนอกจากอนุภาคนาโนที่กล่าวมา เราสามารถนำคอนกรีตไปผสมกับเส้นใยนาโนของเหล็กเพื่อเพิ่มกำลังอัดและต้านทานการแตกร้าว ผสมกับอนุภาคดินนาโนและพอลิเมอร์ (Nanoclay-polymer) เพื่อเพิ่มความต้านทานต่อสารเคมีและลดการซึมของน้ำ เป็นต้น

27 พฤศจิกายน 2551

Nano Road - ถนนนาโน (ตอนที่ 2)


ตอนนี้ผมยังอยู่ที่เชียงรายครับ จะอยู่ต่ออีกสัก 2-3 วัน เพื่อหลบความวุ่นวายจากพวกพันธมิตรที่ก่อเหตุรุนแรงในกรุงเทพฯ อากาศทางเหนือตอนนี้หนาวครับ ปีนี้มีแนวโน้มว่าจะหนาวยาวหน่อยครับ วันนี้ผมมาพูดเรื่องถนนนาโนต่อจากวันก่อนครับ .....

งานวิจัยที่กรมทางหลวงสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนงบประมาณ เพื่อพัฒนาถนนหนทางให้มีความฉลาดขึ้นนี้ มีตั้งแต่ การศึกษาโครงสร้างระดับนาโนในคอนกรีต ความเข้าใจในเรื่องของการผุกร่อนของโครงสร้างลงไปถึงระดับนาโน การพัฒนาคอนกรีตที่ใช้วัสดุทางเลือกอื่นๆ เช่น เถ้าลอย จีโอพอลิเมอร์ (Geopolymer) เป็นต้น การพัฒนาวัสดุผสมเพื่อเสริมโครงสร้างให้แข็งแกร่งมากขึ้น รวมไปถึงเหล็กกล้าที่มีโครงสร้างนาโน สำหรับทำโครงสร้างสะพาน แอสฟัลต์ (Asphalt) ชนิดใหม่ที่ใช้วัสดุทางเลือกเช่น ยางรถยนต์ที่ใช้แล้ว เป็นต้น ในการที่จะทำให้ทางหลวงกลายมาเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ฉลาด กรมทางหลวงสหรัฐฯ ได้ฝากความหวังไว้กับ วัสดุที่สามารถรักษา-ซ่อมแซม-ทำความสะอาดตัวเองได้ (Self-Healing/Self-Repair/Self-Healing) ซึ่งเป็นหัวข้อลำดับต้นๆ ที่ได้รับความสำคัญ เครือข่ายเซ็นเซอร์ไร้สายที่สามารถติดตามสภาพการใช้งานตลอดจนสามารถรายงานข้อมูลไปที่ศูนย์ข้อมูลได้ ซึ่งปัจจุบันมีการทดลองติดตั้งที่สะพานโกลเด้นเกตอันลือชื่อของ ซาน ฟรานซิสโก ในอนาคตเซ็นเซอร์ไร้สายเหล่านี้อาจทำให้เล็กลงไปจนถึงสิ่งที่เรียกว่า ฝุ่นหรือผงอัจฉริยะ (Smart Dust หรือ Smart Aggregate) ซึ่งสามารถโรยลงไปในคอนกรีตขณะที่ทำการก่อสร้างถนนหรือสะพานได้เลย โดยทางหลวงทั้งหมดจะมีลักษณะเหมือนระบบประสาท ที่มีความสามารถในการรับรู้ เก็บข้อมูล รายงานผล รับการสั่งการ ตอบสนองต่อสิ่งเร้าหรืออันตรายต่างๆ ลองจินตนาการถึงระบบทางหลวงที่สามารถเชื่อมโยงโดยตรงกับเซ็นเซอร์ต่างๆ สามารถเตือนภัยผู้ขับขี่ล่วงหน้าในเรื่องของ หมอก ควัน ลม ฝน รวมไปถึงการสั่งการให้โครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ทำงานเพื่อตอบสนองกับสิ่งเร้า ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณจราจร สัญญาณฉุกเฉิน ไฟส่องสว่าง ทางหลวงที่สามารถเปิดระบบทำความร้อนได้เองเพื่อละลายหิมะ สะพานที่สามารถปรับรูปร่างเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวขณะเกิดพายุรุนแรง

24 พฤศจิกายน 2551

Nano Road - ถนนนาโน


สวัสดีครับ หายไปหลายวันครับ ตอนนี้ผมอยู่เชียงใหม่ครับ พรุ่งนี้ผมจะเดินทางไปประชุมที่เชียงรายครับ พอมีเวลาเข้ามาอัพเดตนิดหน่อยนะครับ วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องการนำนาโนเทคโนโลยีมาใช้กับถนนหนทางครับ

ตลอดช่วงสหัสวรรษที่ผ่านมานั้น มนุษย์ได้นำเอาวัสดุก่อสร้างที่มีอยู่ในธรรมชาติมาใช้เป็นตัวต่อ (Building Blocks) เพื่อก่อร่างสร้างสถาปัตยกรรมและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อการดำรงอยู่ของอาณาจักร ไม่ว่าจะเป็น ถนน สะพาน เทวสถาน พระราชวัง ชาวอียิปต์โบราณนำหินหลายล้านก้อนมาก่อปิระมิดได้อย่างน่าอัศจรรย์ อาณาจักรขอมขนก้อนหินจากแหล่งกำเนิดที่อยู่ห่างออกไปนับร้อยกิโลเมตรเพื่อมาสลักและก่อสร้างนครวัดอันวิจิตรงดงามโดยไม่ต้องใช้วัสดุแต่งเติมใดๆเลย ชาวจีนสร้างกำแพงเมืองจีนจากก้อนหินยาวกว่า 6,000 กิโลเมตร ผ่านเทือกเขาสูงชันไปจนถึงทะเลทรายที่แห้งแล้ง ถึงแม้สิ่งก่อสร้างต่างๆที่กล่าวมานี้จะได้รับการยอมรับให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่เกิดขึ้นจากความอุตสาหะวิริยะและเทคโนโลยีที่เยี่ยมยอดของบรรพชนเหล่านั้น แต่สิ่งมหัศจรรย์เหล่านั้นก็ยังใช้วัสดุที่มาจากธรรมชาติ เป็นวัสดุที่ไม่ฉลาด ไม่มีหัวคิดไม่สามารถปรับตัวตามสภาพแวดล้อม ไม่สามารถมีฟังก์ชันหน้าที่มากไปกว่าการดำรงรักษาโครงสร้างซึ่งจะมีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา เทียบไม่ได้กับวัสดุยุคนาโน ที่มีความสามารถในการทำหน้าที่ต่างๆ จนมีคำเรียกวัสดุนาโนออกมาใช้กันมากมาย ไม่ว่าจะเป็น วัสดุออกแบบขึ้นมา (Designer Materials) วัสดุก้าวหน้า (Advanced Materials) วัสดุฉลาด (Smart Materials) วัสดุอัจฉริยะ (Intelligent Materials) วัสดุทำหน้าที่ (Functional Materials) วัสดุรับคำสั่งได้ (Programmable Materials) วัสดุมีโครงสร้างลำดับชั้น (Hierarchical Materials) ไปจนถึงวัสดุที่เป็นซอฟต์แวร์ (Matters as Software)

หลังจากที่ประธานาธิบดีคลินตันได้เดินหน้าโครงการนาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (National Nanotechnology Initiative หรือ NNI) เมื่อปี ค.ศ. 2001 ซึ่งได้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ตื่นตัวในการลงทุนวิจัยทางนาโนเทคโนโลยีไปทั่วโลกอย่างไม่เคยมีมาก่อน ศาสตร์ของนาโนเทคโนโลยีและนาโนวัสดุได้เข้าไปแทรกซึมและสร้างสีสันให้วงการต่างๆ ทั้ง ฟิสิกส์ เคมี เภสัชศาสตร์ การแพทย์ อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ ยานยนตร์ อาหาร-เกษตร วัสดุก่อสร้าง ซึ่งทุกๆวงการต่างต้อนรับเทคโนโลยีน้องใหม่นี้อย่างอบอุ่น ตอนนี้ก็เป็นคิวของอุตสาหกรรมก่อสร้างถนนหนทาง ที่เริ่มจะเกิดการตื่นตัวในการนำเทคโนโลยีจิ๋วมาใช้บ้าง โดยสหรัฐอเมริกาเป็นตัวตั้งตัวตีที่จะไปอยู่แถวหน้า ทั้งนี้เพราะสหรัฐอเมริกามีทางหลวงรวมกันแล้วเป็นระยะทางถึง 3.6 ล้านกิโลเมตร เฉพาะแค่การบำรุงรักษาและซ่อมแซมเส้นทางก็ต้องใช้งบประมาณเกือบ 2 ล้านล้านบาทต่อปี ดังนั้นทางกรมทางหลวงสหรัฐฯ (Federation Highway Administration) จึงได้ริเริ่มโครงการวิจัยขนาดใหญ่เพื่อพัฒนาทางหลวงให้กลายมาเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ล้ำยุคที่สุดในศตวรรษที่ 21



ภาพบน - ยางมะตอยชนิดใหม่ที่มีส่วนผสมของอนุภาคยาง กำลังได้รับความนิยม เพราะทำให้การขับขี่นุ่มสบาย

19 ตุลาคม 2551

Crash Avoidance Technology - เทคโนโลยีหลีกเลี่ยงการชน


ว่ากันว่า พัฒนาการด้านยานยนตร์ในทศวรรษถัดไป นอกจากจะมุ่งไปที่การทำให้รถยนต์สามารถใช้พลังงานทางเลือกได้หลากหลายแล้ว ในเรื่องของระบบความปลอดภัยกำลังจะเป็นหัวข้อที่มาแรง เนื่องจากพัฒนาการทางด้านเซ็นเซอร์แบบ MEMS (Microelectromechanical Systems) ที่ก้าวหน้าขึ้นในราคาถูกลง ปกติเซ็นเซอร์แบบนี้ก็ใช้เพื่อเปิดระบบถุงลมนิรภัยอยู่แล้ว แต่ตอนนี้มันกำลังจะเข้าไปอยู่ในล้อ เพื่อตรวจวัดความดันลมยางแบบไร้สายครับ ทำให้ผู้ขับขี่รู้สถานภาพความดันลมยาง ณ เวลาจริง


อีกก้าวที่สำคัญคือเทคโนโลยีในการหลีกเลี่ยงการชน ซึ่งจะทำให้รถยนต์มีความปลอดภัยก้าวไปอีกขั้นเลย เมื่อเดือนสิงหาคม 2008 ที่ผ่านมาบริษัทวอลโว่ ได้นำเอารถยนต์ Volvo XC60 ไปแสดงในงานมอเตอร์โชว์ที่ซิดนีย์ ซึ่งติดตั้งระบบการหลีกเลี่ยงชนท้ายรถยนต์คันหน้าที่ถูกตั้งชื่อว่า "City Safety" ซึ่งจะเหมาะกับการขับรถในเมืองซึ่งใช้ความเร็วไม่สูงนัก ระบบนี้จะเปิดตัวเองเมื่อรถยนต์ที่เราขับกับรถยนต์คันหน้า มีความเร็วแตกต่างกันน้อยกว่า 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในระยะ 6 เมตร ซึ่งก็จะเกิดขึ้นเมื่อเราขับรถจี้ก้นรถคันหน้าใกล้ๆ มันจะคอยตรวจวัดรถคันหน้าด้วยแสงเลเซอร์ และเมื่อมันรู้สึกว่ารถของเรากำลังจะพุ่งเข้าใส่รถคันหน้าจนมีเกิดการชน มันจะทำการเบรคทันที วอลโวยอมรับว่าผู้ขับขี่ไม่ควรวางใจระบบนี้ จนทำให้เกิดการประมาท เพราะระบบอาจทำงานไม่ทันในกรณีที่รถที่ติดตั้งระบบนี้พุ่งเข้าหารถคันหน้าอย่างเร็วเกินกว่าจะเบรคทัน ซึ่งในกรณีนี้หากเกิดการชนขึ้น การมีระบบนี้ก็จะลดความรุนแรงของอุบัติเหตุลงได้


ผมจะมาเล่าต่อในเรื่องนี้อีกครับ เพราะรถยนต์กำลังจะเป็น Intelligent System ลำดับแรกๆ ในชีวิตประจำวันของเราครับ ..........

09 กรกฎาคม 2551

หลังคารถโซลาร์เซลล์


เมื่อ 2-3 วันก่อน บริษัทโตโยต้าได้ออกมาประกาศว่าจะติดตั้งแผง Solar Cell บนหลังคารถให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานของรถยนต์ Toyota Prius โดย Solar Cell ที่ติดตั้งนี้จะมีรูปทรงสอดประสาน เป็นส่วนหนึ่งของหลังคารถเลย เรียกว่าตัวหลังคารถก็คือแผง Solar Cell เช็ด ขัด ล้าง ได้ตามปรกติครับ เป็นที่รู้กันว่ารถยนต์ Toyota Prius เป็นรถยนต์แบบไฮบริดที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 2 แบบ คือทั้งใช้น้ำมัน และ มอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งตั้งแต่ผลิตครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1997 โตโยต้าขายรถประเภทนี้ไปทั้งหมด 1 ล้านคันแล้ว โตโยต้ากล่าวว่าหลังคาโซลาร์เซลล์นี้จะช่วยในเรื่องของการประหยัดแอร์ และช่วยลดความร้อนที่เกิดขึ้นจากหลังคาเมื่อต้องแสงอาฑิตย์


อันที่จริงก่อนหน้านี้ได้มีบริษัทหัวใสที่มีชื่อว่า Solar Electrical Vehicles ได้ทำการติดตั้ง Solar Cell เข้ากับหลังคารถประเภทไฮบริดทั้งหลาย รวมทั้ง Prius ซึ่งสามารถผลิตพลังงานได้ประมาณ 200-300 วัตต์ ซึ่งใช้ชาร์จแบตเตอรีเสริม หลังจากติดตั้ง Solar Cell แล้วรถสามารถขับเคลื่อนได้กว่า 36 กิโลเมตรต่อวันด้วยการใช้ไฟฟ้า หรือคิดเป็นการประหยัดน้ำมันได้ 29% ระบบนี้มีราคาประมาณ 2000-4000 เหรียญสหรัฐ ซึ่งบริษัทอ้างว่าผู้ใช้จะคืนทุนได้ภายใน 2-3 ปีเองครับ

22 เมษายน 2551

Mobile Pod รถยนต์แห่งอนาคต (ตอนที่ 4)


วันนี้กลับมาคุยถึงเรื่องที่ค้างไว้ในส่วนของ Mobile Pod รถยนต์แห่งอนาคตกันนะครับ ประเด็นที่นักอนาคตศาสตร์ให้ความสนใจในเรื่องอนาคตของรถยนต์ที่คุยกันไปแล้วก็คือ รถยนต์จะเล็กลงๆ จนกลายเป็นของใช้จุ๋มจิ๋ม น่ารัก ราคาถูกลง จนทำให้มันอาจกลายเป็นของที่เปลี่ยนได้บ่อยๆ นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมถึงกับใช้คำว่า Disposable Car คือรถยนต์ใช้แล้วทิ้ง แต่ผมว่ามันคงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ อาจจะทิ้งยากกว่ามือถือนิด หรือ คอมพิวเตอร์โน้ตบุคนิดนึง


เทรนด์สำคัญอีกเรื่องนึงสำหรับอนาคตของรถยนต์ก็คือ รถยนต์แห่งอนาคตจะเดินเครื่องด้วยไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นการนำเอาไฮโดรเจนมาเผาผลาญใน Fuel Cell หรือการชาร์จไฟเข้าไปในแบตเตอรีของรถยนต์ก็ตามแต่ ซึ่งเป็น 2 แนวทางที่กำลังแข่งขันกัน โดยแนวทางที่สองคือการชาร์จไฟบ้านเข้าไปในแบตเตอรีรถยนต์ไฟฟ้านั้น กำลังเป็นที่นิยมสำหรับผู้ขับขี่ในเมือง โดยรถยนต์ไฟฟ้ามักจะเป็นรถยนต์คันที่ 2 ซึ่งใช้เฉพาะขับขี่ในเมืองซึ่งใช้ความเร็วค่อนข้างต่ำ รถยนต์มีขนาดเล็กประหยัดพลังงาน ในตลาดตอนนี้ผู้ผลิตรถยนต์เริ่มให้ความสนใจกับรถยนต์ประเภทชาร์จไฟกันมากขึ้นแล้วล่ะครับ ทำเล่นไปนะครับ รถยนต์แบบ Fuel Cell อาจไม่เกิดขึ้นก็ได้ หากรถยนต์ชาร์จไฟที่เรียกกันติดปากว่า EV (Electric Vehicle) ได้รับความนิยมขึ้นมา โดยส่วนตัวของผมคิดว่าประเทศไทยอย่าไปทำเลย Fuel Cell เจ๊งแน่ๆครับ เพราะกระแสมันโหนมาทาง EV มากกว่านะตอนนี้ ประเทศจีนซึ่งถูกกล่าวหาว่าผลิตสินค้าโดยใช้พลังงานไม่สะอาดอย่างถ่านหิน เขากลับเป็นประเทศที่นำหน้าที่สุดในเรื่องของความกระตือรือล้นในการผลิตรถยนต์ EV ของโลกแล้วครับตอนนี้ ตัวอย่างรถ EV รุ่นหนึ่งที่จีนเขาผลิตไปขายในอเมริกา มันเป็นรถที่ดูภายนอกไม่เหมือนรถชาร์จไฟเลยครับ รถรุ่นนี้ทำความเร็วได้ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วิ่งได้ไกลถึง 250 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง

วันหลังผมจะมาคุยให้ฟังต่อนะครับว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับเทคโนโลยีรถยนต์โลก ประเทศไทยซึ่งเป็นฐานการผลิตทั้งรถยนต์ ฮาร์ดดิสก์ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆเนี่ย ถ้าไม่ใส่ใจกับพลวัตของเทคโนโลยีเกิดใหม่ (Emerging Technologies) กับพวกเทคโนโลยีก่อกำเนิด (Enabling Technologies) กันบ้าง คำว่าฮับนู่น ฮับนี่ คงไม่ใช่ของที่ยั่งยืนนะครับ ........

08 เมษายน 2551

Mobile Pod รถยนต์แห่งอนาคต (ตอนที่ 3)


หายหน้าไปหลายวันครับ เพิ่งกลับจากทริป จ.ประจวบคีรีขันธ์ ผมไปทริปในจังหวะติด Long Weekend ด้วย สังเกตว่ารถราวิ่งกันหนาแน่น ดูเหมือนคนไทยจะยังไม่ค่อยรู้สึกรู้สากับราคาน้ำมันลิตรละ 30 กว่าบาทเท่าไหร่ จริงๆ เค้ามีผลการวิจัยออกมาแล้วครับว่า ทางด้านจิตวิทยาของผู้บริโภคน้ำมันนั้น แรงต้านจะอยู่ที่ลิตรละ 50-60 บาท ถึงจะมีผลกระทบต่อวิถีชีวิต และรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้ขับขี่ครับ ดังนั้น ไปไหนมาไหนตอนนี้ ก็ยังเห็นนักท่องเที่ยวกันดาษดื่น แถมยังมีแข่งแรลลี่กันตลอด ไปได้ปรับเปลี่ยนวิธีการใช้น้ำมันเท่าใด ทางกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันเขาก็กะว่าจะลองทดสอบ ราคาน้ำมันที่ลิตรละ 40 บาท กันในอีกไม่นานครับ เพื่อดูว่าคนจะยังรับกับราคานี้ได้หรือไม่ ถ้าได้ เราก็จะได้ใช้น้ำมันที่ราคา 40 บาทในไม่ช้า ซึ่งเขาก็จะรักษาราคาประมาณนี้ไว้สักพัก เพื่อไม่ให้คนต่อต้าน


เมื่อไม่กี่วันมานี้ ถ้าใครได้ดูสปอตโฆษณาชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นการโฆษณารถปิคอัพยี่ห้อ "ทาทา" ซึ่งใช้คอนเซ็บต์ว่า "สูงมาตั้งแต่เกิด" เป็นรถปิคอัพฐานกว้าง และยกตัวสูง ซึ่งเป็นรูปแบบที่อเมริกันชนนิยมมาก แต่ส่งมาทดสอบตลาดในเมืองไทย โดยได้เปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งโดยส่วนตัวผมคิดว่าคงจะซึมตลาดยาก เพราะเรื่องศูนย์บริการคงยังมีน้อย ประกอบกับตลาดรถปิคอัพเมืองไทย มีการแข่งขันสูงมาก แต่อย่างไรเสีย แนวโน้มนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า อินเดียเริ่มปรากฏกายขึ้นในตลาดรถยนต์โลกแล้ว แล้วก็เป็นนิมิตรหมายว่าต่อไปนี้ อินเดียจะเป็นเจ้าใหญ่ที่จะขนาบข้างญี่ปุ่น ด้วยการที่มีเทคโนโลยีของตัวเอง มีตลาดของตัวเองทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยส่วนหนึ่งอาจจะเข้ามาอาศัยฐาน supply chain ในประเทศไทย เพื่อผลิตแล้วส่งออก เพราะประเทศไทยค่อนข้างมีความพร้อมในเรื่องของอุตสาหกรรมยานยนตร์ หากรถยนต์ปิคอัพทาทา ซีนอน ได้รับการตอบรับที่ดีในเมืองไทย ก็ไม่แน่ว่าคิวต่อไปอาจจะเป็นของเจ้าทาทานาโน รถยนต์คันจิ๋ว Mobile Pod ที่จะเข้ามาวาดลวดลายบนท้องถนนของเมืองไทยนะครับ ..... วันต่อไปผมจะมาเล่าเรื่องแนวโน้มอื่นๆ ของเรื่องยานยนตร์แห่งอนาคตที่เป็น เมกะเทรนด์ ต้องติดตามให้ดีครับ ..........

30 มีนาคม 2551

Mobile Pod รถยนต์แห่งอนาคต (ตอนที่ 2)


วันนี้มาคุยให้ฟังต่อนะครับว่า นักอุตสาหกรรมเขามีมุมมองอย่างไร กับเรื่องของรถยนต์แห่งอนาคต แต่ก่อนอื่น ขอเล่าเรื่องพม่าต่ออีกนิดนึงครับ ผมได้มีโอกาสไปเมืองย่างกุ้ง ซึ่งเป็นเมืองหลวงปัจจุบัน กับเมืองหงสาวดี ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่า มองเมืองย่างกุ้งแล้วก็เจริญหูเจริญตา เมืองนี้อาจตามหลังกรุงเทพฯของเราสัก 50 ปี เปรียบเทียบกับหงสาวดีที่เป็นตัวแทนของความยากจน เรามองจะมุมมองของเราชีวิตของเขาดูจะทุกข์ยาก แต่จริงๆแล้วเขาก็มีความสุขในแบบของเขา พม่ายังเป็นเมืองพุทธที่เคร่งครัดมาก คนพม่าจะชอบเข้าวัด นั่งสมาธิ ความเพลิดเพลินของเขาคือการไปนั่งมองเจดีย์ชเวดากองที่ศักดิ์สิทธิ์ยามค่ำคืน คิดไป คิดไป ก็เสียดายว่า วันหนึ่งประเทศที่มีความสวยงามทางด้านจิตใจแห่งนี้ ก็จะเจริญขึ้นมาแบบประเทศไทย หรือ เวียดนาม คอยดูสิครับ อีก 10 ปี พม่าจะก้าวขึ้นมาแข่งขันกับพวกเราในอาเซียน


ย้อนกลับมาดูแนวโน้มของรถยนต์ในอีก 10 ปีข้างหน้าที่นักอุตสาหกรรมล้วนคาดการณ์ว่า จะเล็กลง เล็กลง จนกลายเป็นของใช้ประเภท Pod กระจุ๋ม กระจิ๋ม เลือกสี เลือกลาย เลือกน่ากาก พอตกรุ่นก็ทิ้งก็เปลี่ยน ออกแนว i-Pod ผมก็เลยตั้งชื่อใหม่ให้ว่า Mobile Pod หรือ m-Pod ไปซะเลย ปกติแล้วการเปลี่ยนรถยนต์บ่อยๆ เป็นเรื่องของคนมีตังค์ที่มีไลฟ์สไตล์แบบ Playboy เท่านั้น แต่ถ้าหากรถราคาไม่ถึงแสนล่ะครับ ก็อาจเปลี่ยนได้บ่อยขึ้น ถ้ามีรุ่นใหม่โดนใจ ก็อาจอยากเปลี่ยนเหมือนโทรศัพท์มือถือ เมื่อก่อนผมก็ไม่เคยคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้นะครับ แต่เมื่อสัก 2 เดือนที่แล้วนี้ รถยนต์จิ๋วที่มีชื่อว่า Tata Nano ก็ได้รับการเปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์ที่ นิวเดลฮี ประเทศอินเดีย เจ้า Tana Nano เป็นรถที่ผลิตในอินเดียโดยบริษัททาทา ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมของอินเดีย เจ้า Nano คันนี้มีขนาดความจุกระบอกสูบเพียง 623 ซีซี ผลิตกำลังได้ 33 แรงม้า ด้วยน้ำหนักเพียง 600 กิโลกรัม ทำให้มันวิ่งได้มากกว่า 20 กิโลเมตรต่อลิตร เจ้ารถ Nano มีราคาเพียง 2,500 เหรียญสหรัฐ หรือ 75,000 บาทเท่านั้น นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมต่างลงมติว่า เจ้า Tata Nano ที่มีราคาใกล้ๆกับเครื่องคอมพิวเตอร์ยี่ห้อฟูจิตสึ นี่แหละครับ จะเข้ามาปฏิวัติอุตสาหกรรมรถยนต์ในไม่ช้านี้ เพราะมันไม่เพียงแต่จะทำให้ประชากรในโลกที่สาม กลายมาเป็นนักเดินทางด้วยล้อ มันยังจะกลายมาเป็นผู้ที่กำหนดทิศทางของอนาคตด้วย บริษัท GM ยักษ์ใหญ่ยานยนตร์โลกต้องร้องฮู ตามมาด้วยการยกเลิกรถใหญ่ขนาดเครื่องยนต์ V8 แล้วหันมาวางแผนผลิตรถเล็กแทน


นอกจากแนวโน้มในเรื่องของขนาด ที่จะเล็กลงแล้ว จะเกิดอะไรกับรถยนต์ในอนาคตอีก แล้วมาคุยกันต่อนะครับ ........

29 มีนาคม 2551

Mobile Pod รถยนต์แห่งอนาคต (ตอนที่ 1)

oo สวัสดีครับ หายไปหลายวันเลยครับ ผมเพิ่งกลับจากประเทศพม่า เลยไม่ได้อัพเดต Blog เสียหลายวัน ไปประชุมวิชาการเกี่ยวกับนาโนเทคโนโลยีที่ย่างกุ้ง ฟังดูทีแรกพวกเราคงจะไม่เชื่อว่าพม่าเขาเริ่มมาสนใจเรื่องพวกนี้แล้วเหรอ เขาก็เริ่มสนใจบ้างแล้วครับ แต่อย่าห่วง ..... ประเทศไทยยังนำพม่าอยู่ห่างมากๆ ห่วงแต่มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ ดีกว่าครับ ในภาพรวมถึงแม้เราจะเป็นผู้นำ แต่ก็แพ้อยู่ในบางศาสตร์ การได้ไปพม่าเป็นประสบการณ์ที่ตรึงตาตรึงใจที่สุด เพราะเมื่อได้หันหลับมามองประเทศไทยแล้ว จะได้แง่คิดอะไรหลายอย่าง แล้วก็ได้เห็นศักยภาพของเขา ที่จะขึ้นมาแข่งขันกับเราในอนาคตด้วย เชื่อผมเถอะครับ ! ในรุ่นลูกของเรา หรืออีกประมาณ 10 ปีข้างหน้า เราก็จะเริ่มพูดถึงการแข่งกับพม่า แทนเวียดนามแน่ๆ


วันนี้ผมจะมาพูดถึงแนวโน้มของเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคตกันครับ หลังจากพูดถึง The End of Oil กันไปหลายตอน อันที่จริงที่ต้องคิดเรื่องรถยนต์อนาคตก็มาจากสาเหตุนี้แหล่ะครับ ตอนนี้โลกกำลังมองแนวโน้มใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมรถยนต์ 2-3 เรื่องครับ เรื่องแรกก็คือ รถยนต์ในอนาคตจะเริ่มเล็กลง เล็กลง แล้วก็เล็กลง จนเราอาจเรียกมันว่าเป็น Mobile Pod คืออุปกรณ์ขับขี่ แนวๆเป็นของใช้จุ๋มจิ๋มเหมือน i-Pod นั่นเอง ในปีที่ผ่านมานี้เอง ยอดขายของรถยนต์คันเล็กๆ เพิ่มขึ้นทั่วโลกอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ในยุโรป รถยนต์เล็กอย่าง Peugeot 207 ขายได้ 437,505 คัน อีกทั้งยอดขายของรถยนต์เล็กรวมทั้งหมดประมาณว่าจะมีขนาดตลาดถึง 4 ล้านกว่าคันในปีนี้ ยอดขายรถเล็กในญี่ปุ่นประมาณกันว่าจะสูงถึง 2 ล้านคันในปีนี้ จีนและอินเดียก็จะมียอดถึง 1 ล้านคัน บราซิลประเทศที่พึ่งตัวเองในเรื่องพลังงานได้ ก็คาดว่าจะมียอดขายถึง 1.9 ล้านคัน เป็นอะไรที่ไม่ธรรมดาจริงๆ สำหรับเจ้า Mobile Pod นี้ อุตสาหกรรมรถยนต์ต่างคาดการณ์กันว่า รถเล็กจะมียอดขายทั่วโลกถึง 38 ล้านคัน ในปี ค.ศ. 2012



พรุ่งนี้เราจะมาคุยต่อกันนะครับว่าเจ้า Mobile Pod หรือ m-Pod นี้จะเป็นของเล่นเทียบชั้น i-Pod ได้หรือไม่ .......