แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ oil แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ oil แสดงบทความทั้งหมด

30 มิถุนายน 2551

The Rise of Oil and the End of Oil Business


ข่าวที่ประเทศซาอุดิอาระเบียจะมาตั้งบริษัทเพื่อปลูกข้าวในประเทศไทย เป็นเรื่องจริงจัง ไม่ใช่เรื่องที่ปลุกกระแสขึ้นมาใช้เล่นงานคู่แข่งในทางการเมือง ไม่ใช่แค่ซาอุฯ เท่านั้นหรอกครับที่อยากเข้ามา ชาติอาหรับทั้งหลายอยากเข้ามาทั้งนั้น แล้วเขาไม่ได้มองแค่เรื่องข้าวเท่านั้น เขาคิดจะเข้ามาในประเทศไทย เพื่อพัฒนาระบบเกษตรความแม่นยำสูง และ ฟาร์มอัจฉริยะ เพื่อใช้ผลิตพืชผลเกษตรแบบทันสมัย แล้วขายให้ได้ราคาอย่างน้ำมันด้วย เขามองว่าทรัพยากรน้ำมันใต้ดินของเขานั้นมันไม่จีรัง เงินกำไรที่ได้จากน้ำมันในช่วงนี้ เขาใช้มันทุกบาททุกสตางค์เพื่อพัฒนาประเทศ วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ธุรกิจใหม่ ไม่ว่าจะเป็นพลังงานทางเลือก นาโนเทคโนโลยี ปิโตรเคมี การท่องเที่ยว การแพทย์ การศึกษา เขาตั้งใจจะเป็นศูนย์กลางการเงินของโลก ศูนย์กลางเทคโนโลยีพลังงานทางเลือก ศูนย์กลางการแพทย์ ศูนย์รวมการศึกษา เงินที่ได้จากน้ำมันตอนนี้ เขาทุ่มเททางนี้หมด จะเห็นว่ามีโปรเจคต์ใหม่ๆ ออกมาเพียบที่ทำให้โลกตะลึง ไม่ว่าจะเป็น Masdar City เมืองพลังงานทางเลือก งานอลังการแนว Geoengineering อย่าง Palm Island ผู้นำของซาอุดิอาระเบียกล่าวว่า ธุรกิจน้ำมันของซาอุฯนั้นมีมูลค่า 1/3 ของ GDP ซึ่งถือว่าสูงเกินไป เพราะธุรกิจน้ำมันมีลักษณะ Capital-Intensive หรือใช้ทุนเยอะ แต่เกิดการจ้างงานน้อย ธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่น้ำมัน จะจ้างงานได้มากกว่าเยอะ ซาอุจึงจำเป็นต้องสร้างธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับน้ำมันขึ้นมามากๆ เห็นหรือยังครับ ประเทศไทยไม่น่าภูมิใจเลยที่บริษัท ปตท. ของเราติด 500 อันดับของโลก เพราะบริษัทนี้ไม่ได้สร้างงานให้คนไทยนักหรอกครับ เห็นวิสัยทัศน์ประเทศที่เป็นเจ้าของทรัพยากรน้ำมันแล้วก็อึ้ง .......


ไม่แปลกหรอกครับที่เขาให้ความสนใจลงทุนเรื่องเกษตรในประเทศไทย เพราะอีกไม่นาน เขาต้องการมาเรียนรู้การผลิตอาหารในบ้านเรา อีกอย่างตอนนี้เขาพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งกำลังขึ้นมาแข่งขันกับ ปตท. และ SCG ของเราครับ เขากำลังสร้างโรงงานผลิตปุ๋ยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปุ๋ยที่ผลิตได้ก็จะมาตีตลาดบ้านเราในไม่ช้า ผลิตภัณฑ์พลาสติกของเขาก็จะมาใช้ทางการเกษตรและอาหารในบ้านเราด้วย นี่แหล่ะครับ เขาใช้น้ำมัน เพื่อจะออกจากธุรกิจน้ำมัน ..........

23 มิถุนายน 2551

Solar/Bio/Nuclear - รัก/สาม/เศร้า ของโลกพลังงานเมืองไทย


ด้วยราคาน้ำมันถังละ 130 เหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะไต่ไปถึง 200 เหรียญในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า ทำให้โอกาสเกิดขึ้นของพลังงานทางเลือกนับวันก็ยิ่งจะสูงขึ้น ในบทความก่อนๆที่ผ่านมา ผมได้ทยอยนำเรื่องราวต่างๆ ของประเทศยุโรป ซึ่งเคยเป็นผู้นำเข้าพลังงาน มาเล่าให้ฟังว่า ทุกวันนี้เขาเริ่มจะเข้าสู่สังคมของพลังงานพอเพียง และพึ่งตนเองได้ทางด้านพลังงาน และในอนาคตอันใกล้นี้ เขาจะเริ่มส่งออกเทคโนโลยีสำหรับผลิตพลังงานพอเพียงเหล่านั้นมาทางเอเชียครับ ที่ยุโรปไปได้ไกลและเร็วในเรื่องการพึ่งตัวเองทางพลังงาน เพราะเขามีการใช้นโยบายพลังงานอย่างเข้มแข็งและฉลาด ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างในบ้านเรา ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วงของรักสามเส้าระหว่าง Solar/Bio/Nuclear คือไม่รู้จะเลือกรัก เลือกใช้พลังงานไหนอย่างจริงจัง ใครสนับสนุนปีกไหนก็เทใจและขัดขวางทางเลือกของอีกฝั่ง ประเทศไทยจึงยังไม่ไปไหน เหมือนความรักของ ฟ้า-น้ำ-พายุ ในภาพยนตร์ รัก/สาม/เศร้า ที่ต้องปิดฉากลงด้วยความเศร้าของทั้งสามฝ่าย ผมหวังว่าประเทศไทยคงลงเอยในเรื่องของพลังงานพอเพียง อย่ารอให้น้ำมันไปถึงบาร์เรลละ 200 เหรียญแล้วค่อยตัดสินใจเลยครับ ........


03 มิถุนายน 2551

น้ำมันลิตรละ 70 บาท (ตอนที่ 2)


ดูเหมือนคำทำนายที่ว่าสิ้นปีนี้ เราจะได้เห็นราคาน้ำมันดิบถังละ 200 เหรียญสหรัฐ และน้ำมันเบนซิน 95 ที่ลิตรละ 70 บาท จะปรากฏภาพอันน่ากลัวชัดขึ้นเรื่อยๆ แล้วล่ะครับ เพราะแม้แต่รัฐมนตรีคลังของเราเองก็เริ่มพูดแล้วว่า เขากลัวว่าสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ คนไทยคงจะได้เห็นน้ำมันลิตรละ 50 บาทกัน ก่อนหน้านี้เรามักจะโทษพวกกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ว่าเข้าไปเก็งกำไรราคาน้ำมัน ทำให้น้ำมันแพงขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงตอนนี้ทิศทางของความเชื่อกำลังจะพุ่งไปสู่ทฤษฎี Peak Oil หรือ Hubbert Peak Theory ที่กล่าวว่าโลกเรากำลังถึงจุด Peak Oil ซึ่งหลังจากจุดนี้แล้ว การผลิตน้ำมันจะค่อยๆ ลดลงๆ ไปเรื่อยๆ จนไม่มีน้ำมันเหลือให้ใช้อีกต่อไป ผลการศึกษาตามแนวของ Hubbert Peak Theory แต่ไหนแต่ไรก็บอกว่าโลกเข้าใกล้ยุค End of Oil แล้ว ในช่วง ค.ศ. 2000 - 2015 นี้แหล่ะ ได้เห็น Peak Oil แน่ๆ ครับ แต่ที่ผ่านมาคนใช้น้ำมันกลับไม่ยอมทำใจรับกับความจริงอันเจ็บปวดนี้ โลกเราใช้น้ำมันกันอย่างขาดสติมาตลอดหลายปีมานี้


ถ้ายังจำได้ ผมเคยเขียนเอาไว้สัก 2 เดือนก่อน ซึ่งตอนนั้นน้ำมันหยุดพักอยู่ที่ลิตรละประมาณ 35 บาท ว่า OPEC กำลังจะทดสอบราคาน้ำมันที่ลิตรละ 40 บาท เพราะลิตรละ 40-50 บาท เป็นราคาทางจิตวิทยาที่จะกำหนดตลาดให้ลดการใช้น้ำมัน ในขณะที่ราคามากกว่าลิตรละ 50 บาทอาจนำไปสู่การถดถอยของเศรษฐกิจโลก ดังนั้นน้ำมันลิตรละ 40-50 บาท จะเป็นอะไรที่ทำให้ Supply กับ Demand พอเหมาะพอดี หากราคาสูงขนาดนี้ แล้วคนยังไม่ลดการใช้ นั่นย่อมแสดงว่า Peak Oil มาถึงแล้วล่ะครับ เพราะ OPEC เองก็ไม่อยากขึ้นราคามากไปกว่านี้แล้ว แต่เป็นเพราะ OPEC ไม่สามารถผลิตเพิ่มแล้ว เพราะน้ำมันไม่มีจะดูดขึ้นมาต่างหาก


อีกไม่นาน เราจะได้ทดสอบกันแล้วครับว่าโลกมาถึง Peak Oil หรือยัง .......

30 พฤษภาคม 2551

เซลล์สุริยะสาหร่าย - Algae Solar Cell (ตอนที่ 2)


ตอนนี้ทั่วโลกกำลังต่อต้านการนำเอาอาหารมาทำเป็นพลังงาน ทั้ง Ethanol จากข้าวโพดและอ้อย ทั้งปาล์มน้ำมัน หรือ แม้กระทั่งพืชที่เป็นอาหารไม่ได้ แต่การปลูกมันมากๆ ก็จะไปรังแกพื้นที่ปลูกอาหาร ผู้คนจึงมาถึงทางตันแล้วว่า ไม่มีทางเลือกอื่นอีกหรือ มีพืชพลังงานอะไรที่ไม่รังแกเกษตรกรรม คำตอบก็คือ มีครับ "สาหร่าย" นี่แหละ เพียงแต่การนำสาหร่ายมาผลิตพลังงานต้องทำแบบฉลาดนะครับ เพื่อไม่ให้มันไปกระทบเกษตรอาหาร ตอนนี้ในประเทศสหรัฐอเมริกาเริ่มมีความก้าวหน้าด้านนี้ ถึงกับมีบริษัทจัดตั้งใหม่ที่เรียกว่า Start-Up เกิดกันมากมาย เจ้าเซลล์สุริยะสาหร่ายจะเปลี่ยนพลังงานแสงอาฑิตย์ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ให้เป็นน้ำมันไบโอดีเซล หรือ เอธานอล ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของสาหร่าย โดยนักพันธุวิศวกรรมสามารถปรับเปลี่ยน ตกแต่งยีนของสาหร่ายเหล่านี้ จนกระทั่งได้พันธุ์ที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากสาหร่ายมีอัตราการเติบโตที่เร็วมากๆ ประมาณ 30 เท่าของพืชทั่วไป มันจึงสามารถผลิตพลังงานได้เร็วกว่าพืชพลังงานทุกอย่างเลยครับ เนื่องจากสาหร่ายเหล่านี้กินคาร์บอนไดออกไซด์ ดังนั้นหากสร้างฟาร์มสาหร่ายใกล้ๆ กับโรงไฟฟ้าถ่านหิน เราก็สามารถนำคาร์บอนไดออกไซด์ที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน มาใช้เลี้ยงสาหร่าย เพื่อจะผลิตน้ำมันไบโอดีเซลต่ออีกทอดหนึ่งครับ ไอเดียดังกล่าวเริ่มเป็นที่สนใจในสหรัฐฯ โดยบริษัท Sunflower ซึ่งเป็นธุรกิจโรงไฟฟ้าถ่านหิน ได้ตกลงจะสร้างโรงไฟฟ้าขนาด 40 เมกะวัตต์ เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าและป้อนคาร์บอนไดออกไซด์ให้ ฟาร์มสาหร่าย ซึ่งทุกๆ 1.8 ตันของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะผลิตสาหร่ายได้ 1 ตัน

26 พฤษภาคม 2551

Energy Fantasia - สวรรค์แห่งพลังงาน


ช่วงนี้ผมพูดเรื่องวิกฤตน้ำมันบ่อยครับ เพราะนับวันภาพมันยิ่งชัดเจนขึ้นทุกทีๆ ว่า ยุคแห่งพลังงานราคาถูกได้จบลงแล้ว จะว่าไปแล้วเราอาจจะไม่รู้ตัวครับว่า ในศตวรรษที่ผ่านมาเราอยู่ในยุคแห่ง Energy Fantasia คือมีพลังงานให้ใช้ในราคาถูกมากๆ พลังงานที่ว่านี้ก็มาจากน้ำมันนี่แหล่ะครับ ราคาที่ถูกแสนถูกของมันน่ะทำให้อารยธรรมของเราเจริญได้ขนาดนี้ น้ำมันเป็นวัตถุดิบสำคัญของระบบทุนนิยม และ Globalization เลยล่ะครับ ไม่มีมันเมื่อไหร่ ระบบทุนนิยมสูญสลายเป็นแน่แท้ทีเดียว จะหาพลังงานอะไรที่ถูกแบบนี้อีก ผมยังจำวันที่น้ำมันเบนซินราคาแค่ 7-8 บาทต่อลิตร เมื่อตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ยังคิดเลยว่าเวลาผ่านไปหลายๆ ปี อะไรต่ออะไรก็แพงขึ้น แต่ทำไมน้ำมันยังถูกอยู่เลย วันนี้แพงสมใจแล้วครับ ราคาน้ำมันได้สะท้อนราคาที่แท้จริงของมันแล้วครับ ผู้คนมักบอกว่าน้ำมันแพงแสนแพง ถ้ามันแพงจริง แล้วทำไมพลังงานอื่นยังสู้น้ำมันไม่ได้ล่ะครับ ทำไมพลังงานแสงอาฑิตย์ พืชพลังงาน พลังงานชีวมวลถึงยังไม่มาเสียที เพราะอะไรครับ ..... ก็เพราะว่าพลังงานพวกนั้นก็ยังไม่ถูกกว่าน้ำมันจริงๆ ถึงตอนนี้เรากำลังจะกลับมาอยู่ในยุคที่ต้นทุนพลังงานสูงขึ้น ยุคแห่ง Energy Fantasia จบลงแล้วครับ เพราะเมื่อเราพยายามหาพลังงานอื่นๆมาทดแทนมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งตระหนักว่าพลังงานนั้นมีต้นทุนที่แพงจริงๆ พลังงานจากฟอสซิลเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มากเลยครับ มันเก็บเกี่ยวและบรรจุตัวเนื้อพลังงานไว้สูงมากๆ จนการนำเอาออกมาใช้สามารถทำได้ในราคาที่แสนถูก ถูกจนไร้คู่แข่ง ทั้งในอดีต และอนาคต ......


(ภาพบน - เมื่อโลกไร้น้ำมัน อารยธรรมก็ถึงกาลดับสูญ เพราะไม่เพียงแต่มันจะใช้ขับเคลื่อนยานยนตร์บนท้องถนนเท่านั้น เสื้อผ้าสมัยใหม่เป็นผลผลิตจากปิโตรเคมีทั้งนั้น)

24 พฤษภาคม 2551

น้ำมันลิตรละ 70 บาท


เมื่อ 2 ปีก่อน กลุ่มนักวิเคราะห์น้ำมันจำนวนหนึ่ง ได้ทำนายว่าน้ำมันดิบจะมีราคาพุ่งสูงขึ้นไปอยู่ที่ 200 เหรียญสหรัฐต่อบาห์เรลในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ณ วันนั้นราคาน้ำมันยังไม่ถึง 60 เหรียญต่อบาห์เรลเลยด้วยซ้ำ น้ำมันเบนซิน 95 ลิตรละไม่เกิน 25 บาท ตอนนี้น้ำมันเบนซิน 95 ลิตรละเกือบ 40 บาท กับราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยที่ 120 เหรียญต่อบาห์เรล ประมาณกันว่าหากราคาน้ำมันดิบขึ้นไปถึง 200 เหรียญ ราคาน้ำมันเบนซินก็น่าจะไปถึงลิตรละ 70 บาท แน่ๆ นักวิเคราะห์ได้กล่าวตลกๆ ว่า กระบวนการ Globalization จะเกิดย้อนกลับไปสู่กระบวนการ Localization นั่นก็คือ ผลิตที่ไหนก็ใช้ที่นั่น ปลูกที่ไหนก็กินที่นั่น เพราะการขนส่งข้ามเขต ข้ามประเทศไปไกลๆ จะมีราคาสูงกว่าของที่ผลิตอยู่ใกล้ๆ วัตถุดิบต่างๆ จะมีการใช้ในประเทศมากขึ้น เพราะไม่คุ้มค่าขนส่งอีกต่อไป สายการบินส่วนใหญ่จะล้มละลายและหยุดกิจการ อาจรวมไปถึงการบินไทยด้วย จะเหลือแต่สายการบินของอาหรับ เช่น เอมิเรตส์ แอร์ไลน์ ชีวิตความเป็นอยู่หน้าที่การงานจะกระทบหมด คนจะทำงานที่บ้านมากขึ้น ย้ายโรงเรียนลูกมาอยู่ใกล้บ้านมากขึ้น กระบวนการทุนนิยมจะย้อนกลับ คนจะซื้อของที่โชห่วยมากกว่าจะขับรถไปโลตัส


น้ำมันลิตรละ 70 บาทจะมาถึงเมื่อไหร่ล่ะครับ เมื่อเร็วๆนี้เอง Goldman Sachs ได้ออกมาประกาศว่าราคาน้ำมันดิบน่าจะวิ่งไปถึง 200 เหรียญสหรัฐต่อบาห์เรล ในเดือนธันวาคม 2551 นี้แล้วครับ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกาได้ออกมาอ้อนวอน OPEC ให้เพิ่มกำลังการผลิต ที่ OPEC ปฏิเสธพร้อมกล่าวโทษกองทุนต่างๆที่เก็งกำไรน้ำมัน รวมไปถึงค่าเงินของสหรัฐฯเองที่อ่อนลง เตรียมตัวเตรียมใจไว้นะครับ กับน้ำมันลิตรละ 70 บาท ที่กำลังจะมาถึง ........

16 พฤษภาคม 2551

เซลล์สุริยะสาหร่าย - Algae Solar Cell (ตอนที่ 1)


เชื้อเพลิงฟอซซิล หรือ น้ำมัน เป็นเชื้อเพลิงที่น่ามหัศจรรย์ เพราะถูกและใช้ง่าย เบื้องหลังความสำเร็จของเศรษฐกิจทุนนิยม ก็มาจากการมีใช้อย่างเหลือเฟือของมันนี่เอง ที่ทำให้การผลิตสิ่งของ เครื่องใช้ต่างๆ สามารถทำได้จำนวนมากๆ และสามารถแพร่หลายให้กระจัดกระจายไปใช้กันได้ทั่วโลก แทนที่จะผลิตที่ไหนใช้ที่นั่นเหมือนในอดีต เมื่อราคาของเชื้อเพลิงชนิดนี้แพงขึ้น เราจึงต้องหาพลังงานทางเลือกอื่นๆ (Alternative Energy) มาใช้ แต่ไม่ว่าจะเป็น ไบโอดีเซล เอธานอล solar cell พลังงานลม พลังงานคลื่นทะเล อะไรต่ออะไรก็ดูเหมือนจะสู้น้ำมันไม่ได้ การตัดใจเลิกใช้น้ำมันมันช่างยากเย็นเสียจริง


ในจำนวนของพลังงานทางเลือกทั้งหมด เซลล์สุริยะอาจจะเป็นทางเลือกที่สะอาดและช่วยโลกให้หายร้อนได้มากที่สุด พวก Biofuels แม้จะเป็นพลังงานแบบ Carbon-neutral โดยทฤษฎี คือปล่อยคาร์บอนออกไปเท่ากับที่นำกลับมาใช้ แต่ในความเป็นจริง การเพาะปลูกพืชพลังงานไม่ว่าจะเป็นสบู่ดำ ปาล์มน้ำมัน เพื่อทำไบโอดีเซล หรือการนำข้าวโพด และ อ้อย มาทำเอธานอล ล้วนเป็นการเบียดเบียนพื้นที่เกษตรกรรมสำหรับผลิตอาหาร และทำลายสิ่งแวดล้อม โดยการบุกพื้นที่ป่าที่เป็น Carbon Reservoir อีกด้วย เท่ากับปล่อยคาร์บอนออกมามากกว่าที่เก็บเข้าไป แต่เซลล์สุริยะมีภาพลักษณ์ในทางลบตรงที่มีราคาแพง ผลิตไฟฟ้าได้ไม่มากพอที่จะกลบต้นทุนได้ ทำให้ปัจจุบันการนำเซลล์สุริยะมาใช้ดูเหมือนจะเน้นไปทาง การสร้างภาพลักษณ์ความเป็น Green Company ของผู้ใช้ มากกว่าจะใช้งานได้จริง

จากการที่พืช Biofuels ก็ไปเบียดเบียนสิ่งแวดล้อม เซลล์สุริยะก็แพง ขณะนี้จึงเกิดทางเลือกใหม่คือการเก็บเกี่ยวแสงอาฑิตย์ด้วยสาหร่าย หรือ เซลล์สุริยะสาหร่าย จริงๆ เซลล์สุริยะชนิดนี้ไม่เหมือนกับ Solar Cell ที่เปลี่ยนพลังงานแสงอาฑิตย์ไปเป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อใช้ได้เลยนะครับ แต่มันเปลี่ยนแสงแดดให้เป็นน้ำมัน ซึ่งนำไปแยกสกัดได้ง่ายกว่าสบู่ดำ หรือ ปาล์มน้ำมันมาก อีกทั้งการปลูกก็สามารถนำมาเรียงในท่อใสเป็นแผงๆ คล้าย Solar Cell ซึ่งสามารถ Scale Up เพื่อการพาณิชย์ได้ไม่ยาก วันหลังผมจะมาเล่าให้ฟังครับว่าความก้าวหน้า ณ ขณะนี้ไปถึงไหนแล้ว ........

16 เมษายน 2551

Solar Farm - ตอนที่ 3


สวัสดีปีใหม่สงกรานต์ครับ ช่วงสงกรานต์นี้หลายๆ ท่านคงเดินทางไปต่างจังหวัดกัน ปีนี้ผมไปแค่ใกล้ๆ ไปค้างที่แปดริ้วหรือฉะเชิงเทราคืนนึง ขับรถสำรวจพื้นที่แถว อ.แปลงยาว ฉะเชิงเทรา ไปพบกับฟาร์มเลี้ยงควายที่ให้นม ซึ่งเขากำลังทำจนถึงระดับเชิงพาณิชย์เลยครับ ท่านผู้อ่านอาจจะเคยได้ยินโฆษณา เชิญชวนให้ดื่มนมแพะ บอกอย่างนั้นอย่างนี้ว่ามีคุณค่าดีกว่านมวัว แต่ผมเคยลองชิมดูแล้ว ไม่สะดวกกับกลิ่นของนมเลยครับ นมแพะค่อนข้างมีกลิ่นคาว เลยทำให้การตลาดนมแพะไม่ค่อยประสบความสำเร็จ แต่นมควายที่ผมลองชิมที่ฟาร์มนี้ไม่มีกลิ่นคาวเลย กลับหอมอร่อย ควายที่เขาเลี้ยงเป็นควายพันธ์มูร่าห์ มันฉลาดแสนรู้และน่ารักมาก แปลกมาก ฟาร์มของเขาไม่มีกลิ่นมูลควายเลย แห้งสะอาด นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของนวัตกรรมเกษตรกรรมของไทยครับ เมื่อพิจารณาว่าประเทศเรามีความเชี่ยวชาญเรื่องนี้ตั้งแต่ท้องพ่อท้องแม่ ประกอบกับช่วงนี้สต็อกอาหารของโลกลดลงฮวบฮาบ จึงเป็นโอกาสของประเทศไทยที่เป็นโกดังอาหารของโลก จะถึงคราวรุ่งเรื่อง


วันนี้ผมพูดถึงเรื่องเกษตรขึ้นมา เพราะกำลังจะบอกว่า ในบรรดาพลังงานทางเลือกทั้งหมดนั้น พลังงานแสงอาฑิตย์อาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะมันสะอาดจริงๆ ไม่เหมือนกับ Ethanol และ Biodiesel ที่โลกกำลังเป็นห่วงว่ามันไม่ใช่พลังงานสะอาด เพราะมันกำลังเป็นสาเหตุให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่าอย่างบ้าบิ่นในเขตร้อน ทั้งในมาเลเซีย อินโดนีเซีย และอเมริกาใต้ อีกทั้งยังทำลายการเกษตรที่ผลิตอาหารให้เปลี่ยนมาเป็นการผลิตเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดนัก เพราะเชื้อเพลิงรูปแบบใหม่ไม่ได้ถูกลง แต่กลับทำให้อาหารแพงขึ้น ผลจากการที่ในสหรัฐอเมริกามีความต้องการ ethanol มากขึ้น เกษตรกรจึงหันมาปลูกข้าวโพดเพื่อผลิตเชื้อเพลิง ทำให้ข้าวโพดแพงขึ้น เกษตรกรที่เคยปลูกถั่วเหลืองเลยเปลี่ยนมาปลูกข้าวโพดมากขึ้น ทำให้ถั่วเหลืองในสหรัฐขาดตลาด เมื่อเป็นเช่นนั้นราคาส่งออกถั่วเหลืองไปสหรัฐก็พุ่งทยานในบราซิล ทำให้เกษตรกรในบราซิลกว้านซื้อที่ที่เป็นทุ่งหญ้าปศุสัตว์ เพื่อมาปลูกถั่วเหลือง ทำให้พื้นที่ทุ่งหญ้าปศุสัตว์ลดลง เกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์จึงรุกที่ป่า โค่นต้นไม้ลงเพื่อขยายบริเวณการเลี้ยงสัตว์ ดังนั้นการเติมน้ำมันผสมเอธานอลในอเมริกา เท่ากับการโค่นต้นไม้ในอเมซอนอย่างซับซ้อนมาก องค์การอาหารโลกกำลังเริ่มออกมาต่อต้านการใช้พลังงานชีวภาพในประเด็นที่เอาอาหารมาเป็นเชื้อเพลิง โดยใช้คำพูดที่รุนแรงว่า "เท่ากับเป็นการข่มขืนความเป็นมนุษย์" เลยทีเดียว ข้าวโพดที่ใช้กรอกถังน้ำมันรถ SUV หนึ่งถังนั้น เท่ากับที่มนุษย์กินกันใน 1 ปี

ฟังดูเริ่มเชื่อแล้วนะครับว่า Solar Cell กำลังจะกลับมาอีก หลังจากที่โดนกระแสเชื้อเพลิงชีวภาพกลบไปพักหนึ่ง ในแง่เทคโนโลยีแล้ว แน่นอนการทำ biofuel ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ต่ำ ยังไงเสีย biofuel ก็ยังปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ แล้วจะเป็นพลังงานสะอาดได้ยังไงล่ะครับ ......

13 เมษายน 2551

Solar Farm - ตอนที่ 2


ต่อจากเมื่อวานนะครับ ที่ผมเล่าให้ฟังว่าไปเห็นบริเวณที่กำลังจะก่อสร้าง Solar Farm แถวๆ ถนนผ่านศึก-กุดคล้า ซึ่งเป็นทางขึ้นสู่เขาใหญ่ เป็นพื้นที่ในหุบเขาที่ไม่ใช่ป่า และผ่านการทำการเกษตรมาแล้ว จึงถือว่าเป็นการสร้างพลังงานสะอาดจริงๆ ไม่ได้เป็นการไปถางพื้นที่ป่าเพื่อผลิตพลังงาน ซึ่งกำลังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างหนักว่า พลังงานทางเลือกอย่างเช่น Ethanol และ Biodiesel เป็นตัวการทำลายธรรมชาติและทำให้โลกร้อนเพิ่มขึ้น มากกว่าที่มันจะช่วยโลกเสียอีก แต่พลังงานทางเลือกอย่าง Solar Cell นั้นสามารถติดตั้งในพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ เช่น บนหลังคาตึก หลังคาบ้าน และถ้าต้องการผลิตพลังงานระดับ Mass Scale ก็อาจใช้พื้นที่ที่ทำเกษตรไม่ได้ ดินเค็ม ดินเสีย เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้เอง ผมได้ลงไปปฏิบัติงานภาคสนามในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ขากลับรถวิ่งผ่านถนนสายบายพาส ชะอำ-ปราณบุรี ได้สังเกตว่าพื้นที่ตลอดช่วงของทางหลวงสายนี้ ส่วนใหญ่จะถูกทิ้งไว้เฉยๆ ไม่ค่อยมีการทำเกษตรกรรม เนื่องจากดินในบริเวณดังกล่าวมีปัญหาในการปลูกพืช ยังอดคิดไม่ได้ว่าน่าจะนำมาทำ Solar Farm พอคิดเสร็จก็เหลือบไปเห็นโครงเหล็กตั้งเรียงรายเป็นแผงยาว เป็นแถวๆ ประมาณเกือบร้อยแถว เห็นมีการนำ Solar Cell มาติดตั้งไปแล้วประมาณ 2 แถว แสดงว่าไอเดียของการติดตั้ง Solar Farm ในประเทศไทย เริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่าง มีตัวตนแล้ว คิดไปแล้วประเทศไทยทำช้าเกินไปหรือเปล่า เพราะประเทศเยอรมันประเทศเดียว มีการติดตั้ง Solar Cell ไปแล้วกว่า 42,000 แห่ง และกำลังทยอยติดตั้ง Solar Farm ระดับ Large Scale มากขึ้นเรื่อยๆ


การไปปฏิบัติงานที่ไร่องุ่นไวน์กรานมอนเต้ เขาใหญ่ นั้นทำให้ผมได้สำรวจรีสอร์ท ที่พัก แถบมวกเหล็ก ปากช่อง หลายสิบแห่ง จากที่มีอยู่นับร้อยๆ แห่งในบริเวณชุมชนรอบๆเขาใหญ่ รีสอร์ทหลายๆแห่งมีความสนใจจะติดตั้ง Solar Cell ซึ่งผมคิดว่าเข้าท่ามากๆ เพราะช่วงกลางวันของเขาใหญ่นั้น อากาศค่อนข้างร้อน พลังงานแสงอาฑิตย์ที่ตกกระทบ วัดที่ไร่กรานมอนเต้ แล้วมีมากกว่า 1000 วัตต์ต่อตารางเมตร ในช่วงพีค แต่กลางคืนอากาศเย็น ดังนั้นเครื่องปรับอากาศจะใช้ไฟฟ้าสูงสุดในช่วงกลางวัน อากาศที่นั่นก็ค่อนข้างเคลียร์ ไม่มี aerosol ที่จะบดบังพลังงานแสง ในช่วงวันที่ไม่มีกลุ่มฝนจากลมมรสุม ฟ้าจะโปร่งมาก ดูจากผิวของคนแถบนั้นก็ได้ครับ
(ภาพบน - Solar Farm ในเยอรมัน ติดตั้งเพื่อป้อนไฟฟ้าแก่ชุมชนเกษตรที่อยู่ข้างๆ)

12 เมษายน 2551

Solar Farm - ตอนที่ 1


ท่านที่เป็นแฟนประจำของเขาใหญ่ แหล่งมรดกโลก ฝั่งปากช่อง อาจจะเคยใช้ทางลัดขึ้นเขาใหญ่จากมวกเหล็ก ซึ่งเรียกว่าเส้นทางสายผ่านศึก-กุดคล้า ถนนสายนี้เป็นเส้นทางที่สวยงามมาก ลัดเลาะตามหุบเขาที่เรียกว่า Asoke Valley จนไปตัดกับถนนธนะรัชต์ที่บ้านหมูสี ตลอดเส้นทางของทางหลวงสายเล็กๆ นี้ จะนำท่านผ่านอารมณ์อันหลากหลาย รีสอร์ทที่น่าพักหลายแห่ง ทั้งยังผ่านไร่องุ่นไวน์กรานมอนเต้ ที่ผมมักจะเดินทางไปปฏิบัติงานภาคสนามเป็นประจำทุกๆ 2 สัปดาห์ และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง ภายหลังภารกิจที่ไร่กรานมอนเต้ ก็ได้เดินทางสำรวจเส้นทางต่อไป เมื่อเลยภูพระนางรีสอร์ทไปสักนิด ได้พบที่ดินแห่งหนึ่ง ซึ่งกำลังจะมีการก่อสร้าง Solar Farm เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาฑิตย์ โดยเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัทคนไทยกับสิงคโปร์ ในบริเวณที่ดินที่ผมได้เดินทางไปสำรวจนี้ มีการก่อสร้างอาคารสำนักงานของบริษัทที่มีรูปทรงแบบบูติค สอบถามผู้ที่นำชมได้ความว่าบริษัทจะมีอาคารสำนักงาน อาคารวิจัยและพัฒนา ซึ่งจะมีวิศวกรและนักวิจัยผลิตภัณฑ์อยู่ประจำเพื่อออกแบบ Solar Cell แนวใหม่ เนื่องจากเจ้าของบริษัทมองว่า Solar Cell เป็นผลิตภัณฑ์สมัยใหม่ จึงต้องการบรรยากาศที่สวยงาม อากาศดีที่มีโอโซนติดอันดับเจ็ดของโลก เพื่อมาเป็นแรงบันดาลใจให้พนักงานเกิดความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาค้นคว้า product ใหม่ๆ ได้ รวมทั้งจะมีอาคารสัมมนาและฝึกอบรม


ความที่เป็นแฟนขาประจำของเขาใหญ่ และเป็นผู้ที่รักในภูมิทัศน์ของ Asoke Valley ผมรู้สึกชื่นชมผู้บริหารของบริษัทแห่งนี้ และรู้สึกภูมิใจที่เขาใหญ่ และปากช่อง กำลังจะเป็น Hi-Tech Valley นอกเหนือไปจากภาพของถิ่นคาวบอยที่พวกเราคุ้นเคย เพราะอีกหน่อย นอกจากบริเวณนี้จะมีไร่องุ่นไวน์อัจฉริยะ (GranMonte Smart/Intelligent Vineyard) ที่ผม ดร.อดิสรแห่งเนคเทค และทีมงาน กำลังพัฒนาอยู่ ยังจะมี Solar Farm ซึ่งจะผลิตพลังงานสะอาดให้บริเวณนี้ ผมเชื่อว่าอีกไม่นาน ก็จะเริ่มมีบริษัทแนวไฮเทคอื่นๆ ย้ายมาอยู่แถบนี้มากขึ้น เช่น บริษัทซอฟต์แวร์ (คิดเอาเองนะครับ เพราะบรรยากาศแถบนี้น่าเขียนซอฟต์แวร์มากๆ จริงๆ) ลึกๆ แล้ว ผมยังหวั่นใจว่า Solar Farm ที่เขาใหญ่นี่จะคุ้มหรือเปล่า เพราะที่ดินที่นี่ก็ไม่ถูกเลย แถมดินแถบนี้ก็ค่อนข้างดี เหมาะจะทำการเกษตรมากกว่าเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ขอดูไปก่อนนะครับว่าต้นแบบ Solar Farm ที่นี่จะเป็นยังไง ถ้าใช้เพื่อผลิตไฟฟ้าแบบพอเพียงสำหรับหุบเขาแห่งนี้ ก็อาจจะเข้าท่าก็ได้ ...... วันหลังผมจะมาเล่าให้ฟังนะครับว่าตอนนี้สหรัฐอเมริกาเขาวางแผนเรื่อง Solar Farm ระดับอภิมหาเมกะโปรเจคต์อย่างไรกันบ้าง เพื่อพาประเทศให้อยู่รอดหลังยุคน้ำมัน

08 เมษายน 2551

Mobile Pod รถยนต์แห่งอนาคต (ตอนที่ 3)


หายหน้าไปหลายวันครับ เพิ่งกลับจากทริป จ.ประจวบคีรีขันธ์ ผมไปทริปในจังหวะติด Long Weekend ด้วย สังเกตว่ารถราวิ่งกันหนาแน่น ดูเหมือนคนไทยจะยังไม่ค่อยรู้สึกรู้สากับราคาน้ำมันลิตรละ 30 กว่าบาทเท่าไหร่ จริงๆ เค้ามีผลการวิจัยออกมาแล้วครับว่า ทางด้านจิตวิทยาของผู้บริโภคน้ำมันนั้น แรงต้านจะอยู่ที่ลิตรละ 50-60 บาท ถึงจะมีผลกระทบต่อวิถีชีวิต และรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้ขับขี่ครับ ดังนั้น ไปไหนมาไหนตอนนี้ ก็ยังเห็นนักท่องเที่ยวกันดาษดื่น แถมยังมีแข่งแรลลี่กันตลอด ไปได้ปรับเปลี่ยนวิธีการใช้น้ำมันเท่าใด ทางกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันเขาก็กะว่าจะลองทดสอบ ราคาน้ำมันที่ลิตรละ 40 บาท กันในอีกไม่นานครับ เพื่อดูว่าคนจะยังรับกับราคานี้ได้หรือไม่ ถ้าได้ เราก็จะได้ใช้น้ำมันที่ราคา 40 บาทในไม่ช้า ซึ่งเขาก็จะรักษาราคาประมาณนี้ไว้สักพัก เพื่อไม่ให้คนต่อต้าน


เมื่อไม่กี่วันมานี้ ถ้าใครได้ดูสปอตโฆษณาชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นการโฆษณารถปิคอัพยี่ห้อ "ทาทา" ซึ่งใช้คอนเซ็บต์ว่า "สูงมาตั้งแต่เกิด" เป็นรถปิคอัพฐานกว้าง และยกตัวสูง ซึ่งเป็นรูปแบบที่อเมริกันชนนิยมมาก แต่ส่งมาทดสอบตลาดในเมืองไทย โดยได้เปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งโดยส่วนตัวผมคิดว่าคงจะซึมตลาดยาก เพราะเรื่องศูนย์บริการคงยังมีน้อย ประกอบกับตลาดรถปิคอัพเมืองไทย มีการแข่งขันสูงมาก แต่อย่างไรเสีย แนวโน้มนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า อินเดียเริ่มปรากฏกายขึ้นในตลาดรถยนต์โลกแล้ว แล้วก็เป็นนิมิตรหมายว่าต่อไปนี้ อินเดียจะเป็นเจ้าใหญ่ที่จะขนาบข้างญี่ปุ่น ด้วยการที่มีเทคโนโลยีของตัวเอง มีตลาดของตัวเองทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยส่วนหนึ่งอาจจะเข้ามาอาศัยฐาน supply chain ในประเทศไทย เพื่อผลิตแล้วส่งออก เพราะประเทศไทยค่อนข้างมีความพร้อมในเรื่องของอุตสาหกรรมยานยนตร์ หากรถยนต์ปิคอัพทาทา ซีนอน ได้รับการตอบรับที่ดีในเมืองไทย ก็ไม่แน่ว่าคิวต่อไปอาจจะเป็นของเจ้าทาทานาโน รถยนต์คันจิ๋ว Mobile Pod ที่จะเข้ามาวาดลวดลายบนท้องถนนของเมืองไทยนะครับ ..... วันต่อไปผมจะมาเล่าเรื่องแนวโน้มอื่นๆ ของเรื่องยานยนตร์แห่งอนาคตที่เป็น เมกะเทรนด์ ต้องติดตามให้ดีครับ ..........

30 มีนาคม 2551

Mobile Pod รถยนต์แห่งอนาคต (ตอนที่ 2)


วันนี้มาคุยให้ฟังต่อนะครับว่า นักอุตสาหกรรมเขามีมุมมองอย่างไร กับเรื่องของรถยนต์แห่งอนาคต แต่ก่อนอื่น ขอเล่าเรื่องพม่าต่ออีกนิดนึงครับ ผมได้มีโอกาสไปเมืองย่างกุ้ง ซึ่งเป็นเมืองหลวงปัจจุบัน กับเมืองหงสาวดี ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่า มองเมืองย่างกุ้งแล้วก็เจริญหูเจริญตา เมืองนี้อาจตามหลังกรุงเทพฯของเราสัก 50 ปี เปรียบเทียบกับหงสาวดีที่เป็นตัวแทนของความยากจน เรามองจะมุมมองของเราชีวิตของเขาดูจะทุกข์ยาก แต่จริงๆแล้วเขาก็มีความสุขในแบบของเขา พม่ายังเป็นเมืองพุทธที่เคร่งครัดมาก คนพม่าจะชอบเข้าวัด นั่งสมาธิ ความเพลิดเพลินของเขาคือการไปนั่งมองเจดีย์ชเวดากองที่ศักดิ์สิทธิ์ยามค่ำคืน คิดไป คิดไป ก็เสียดายว่า วันหนึ่งประเทศที่มีความสวยงามทางด้านจิตใจแห่งนี้ ก็จะเจริญขึ้นมาแบบประเทศไทย หรือ เวียดนาม คอยดูสิครับ อีก 10 ปี พม่าจะก้าวขึ้นมาแข่งขันกับพวกเราในอาเซียน


ย้อนกลับมาดูแนวโน้มของรถยนต์ในอีก 10 ปีข้างหน้าที่นักอุตสาหกรรมล้วนคาดการณ์ว่า จะเล็กลง เล็กลง จนกลายเป็นของใช้ประเภท Pod กระจุ๋ม กระจิ๋ม เลือกสี เลือกลาย เลือกน่ากาก พอตกรุ่นก็ทิ้งก็เปลี่ยน ออกแนว i-Pod ผมก็เลยตั้งชื่อใหม่ให้ว่า Mobile Pod หรือ m-Pod ไปซะเลย ปกติแล้วการเปลี่ยนรถยนต์บ่อยๆ เป็นเรื่องของคนมีตังค์ที่มีไลฟ์สไตล์แบบ Playboy เท่านั้น แต่ถ้าหากรถราคาไม่ถึงแสนล่ะครับ ก็อาจเปลี่ยนได้บ่อยขึ้น ถ้ามีรุ่นใหม่โดนใจ ก็อาจอยากเปลี่ยนเหมือนโทรศัพท์มือถือ เมื่อก่อนผมก็ไม่เคยคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้นะครับ แต่เมื่อสัก 2 เดือนที่แล้วนี้ รถยนต์จิ๋วที่มีชื่อว่า Tata Nano ก็ได้รับการเปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์ที่ นิวเดลฮี ประเทศอินเดีย เจ้า Tana Nano เป็นรถที่ผลิตในอินเดียโดยบริษัททาทา ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมของอินเดีย เจ้า Nano คันนี้มีขนาดความจุกระบอกสูบเพียง 623 ซีซี ผลิตกำลังได้ 33 แรงม้า ด้วยน้ำหนักเพียง 600 กิโลกรัม ทำให้มันวิ่งได้มากกว่า 20 กิโลเมตรต่อลิตร เจ้ารถ Nano มีราคาเพียง 2,500 เหรียญสหรัฐ หรือ 75,000 บาทเท่านั้น นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมต่างลงมติว่า เจ้า Tata Nano ที่มีราคาใกล้ๆกับเครื่องคอมพิวเตอร์ยี่ห้อฟูจิตสึ นี่แหละครับ จะเข้ามาปฏิวัติอุตสาหกรรมรถยนต์ในไม่ช้านี้ เพราะมันไม่เพียงแต่จะทำให้ประชากรในโลกที่สาม กลายมาเป็นนักเดินทางด้วยล้อ มันยังจะกลายมาเป็นผู้ที่กำหนดทิศทางของอนาคตด้วย บริษัท GM ยักษ์ใหญ่ยานยนตร์โลกต้องร้องฮู ตามมาด้วยการยกเลิกรถใหญ่ขนาดเครื่องยนต์ V8 แล้วหันมาวางแผนผลิตรถเล็กแทน


นอกจากแนวโน้มในเรื่องของขนาด ที่จะเล็กลงแล้ว จะเกิดอะไรกับรถยนต์ในอนาคตอีก แล้วมาคุยกันต่อนะครับ ........

29 มีนาคม 2551

Mobile Pod รถยนต์แห่งอนาคต (ตอนที่ 1)

oo สวัสดีครับ หายไปหลายวันเลยครับ ผมเพิ่งกลับจากประเทศพม่า เลยไม่ได้อัพเดต Blog เสียหลายวัน ไปประชุมวิชาการเกี่ยวกับนาโนเทคโนโลยีที่ย่างกุ้ง ฟังดูทีแรกพวกเราคงจะไม่เชื่อว่าพม่าเขาเริ่มมาสนใจเรื่องพวกนี้แล้วเหรอ เขาก็เริ่มสนใจบ้างแล้วครับ แต่อย่าห่วง ..... ประเทศไทยยังนำพม่าอยู่ห่างมากๆ ห่วงแต่มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ ดีกว่าครับ ในภาพรวมถึงแม้เราจะเป็นผู้นำ แต่ก็แพ้อยู่ในบางศาสตร์ การได้ไปพม่าเป็นประสบการณ์ที่ตรึงตาตรึงใจที่สุด เพราะเมื่อได้หันหลับมามองประเทศไทยแล้ว จะได้แง่คิดอะไรหลายอย่าง แล้วก็ได้เห็นศักยภาพของเขา ที่จะขึ้นมาแข่งขันกับเราในอนาคตด้วย เชื่อผมเถอะครับ ! ในรุ่นลูกของเรา หรืออีกประมาณ 10 ปีข้างหน้า เราก็จะเริ่มพูดถึงการแข่งกับพม่า แทนเวียดนามแน่ๆ


วันนี้ผมจะมาพูดถึงแนวโน้มของเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคตกันครับ หลังจากพูดถึง The End of Oil กันไปหลายตอน อันที่จริงที่ต้องคิดเรื่องรถยนต์อนาคตก็มาจากสาเหตุนี้แหล่ะครับ ตอนนี้โลกกำลังมองแนวโน้มใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมรถยนต์ 2-3 เรื่องครับ เรื่องแรกก็คือ รถยนต์ในอนาคตจะเริ่มเล็กลง เล็กลง แล้วก็เล็กลง จนเราอาจเรียกมันว่าเป็น Mobile Pod คืออุปกรณ์ขับขี่ แนวๆเป็นของใช้จุ๋มจิ๋มเหมือน i-Pod นั่นเอง ในปีที่ผ่านมานี้เอง ยอดขายของรถยนต์คันเล็กๆ เพิ่มขึ้นทั่วโลกอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ในยุโรป รถยนต์เล็กอย่าง Peugeot 207 ขายได้ 437,505 คัน อีกทั้งยอดขายของรถยนต์เล็กรวมทั้งหมดประมาณว่าจะมีขนาดตลาดถึง 4 ล้านกว่าคันในปีนี้ ยอดขายรถเล็กในญี่ปุ่นประมาณกันว่าจะสูงถึง 2 ล้านคันในปีนี้ จีนและอินเดียก็จะมียอดถึง 1 ล้านคัน บราซิลประเทศที่พึ่งตัวเองในเรื่องพลังงานได้ ก็คาดว่าจะมียอดขายถึง 1.9 ล้านคัน เป็นอะไรที่ไม่ธรรมดาจริงๆ สำหรับเจ้า Mobile Pod นี้ อุตสาหกรรมรถยนต์ต่างคาดการณ์กันว่า รถเล็กจะมียอดขายทั่วโลกถึง 38 ล้านคัน ในปี ค.ศ. 2012



พรุ่งนี้เราจะมาคุยต่อกันนะครับว่าเจ้า Mobile Pod หรือ m-Pod นี้จะเป็นของเล่นเทียบชั้น i-Pod ได้หรือไม่ .......

14 มีนาคม 2551

The End of Oil - อวสานของน้ำมัน (ตอนที่ 2)


กับคำถามที่ว่า ตอนนี้โลกถึงจุดสูงสุดของกำลังการผลิตน้ำมันดิบ หรือ Peak Oil แล้วหรือยัง เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมาอย่างน้อยก็ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 ซึ่งเป็นปีที่ราคาน้ำมันเริ่มถีบตัวสูงขึ้นมาเรื่อยๆ อันเนื่องมาจากเศรษฐกิจของจีนที่บูมขึ้นมา ทำให้ความต้องการน้ำมันเพิ่มขึ้น เมื่อมาเจอผลพวงจากเหตุการณ์ 11 กันยายน ก็ทำให้ทั่วโลกเป็นห่วงตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมันสำคัญ ส่งผลทำให้เกิดการเก็งกำไรราคาน้ำมันขึ้นมาซ้ำเติมอีก นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน หรือ OPEC ก็มีอำนาจต่อรองเหนือผู้ใช้น้ำมันตลอดมาจนถึงปัจจุบัน จนสามารถกำหนดกำลังการผลิตและราคาตามใจได้ ทำให้คำถามที่ว่า Peak Oil เกิดขึ้นหรือยัง ยิ่งตอบได้ยาก เพราะราคาน้ำมันที่สูงในปัจจุบัน อาจเป็นผลมาจากการเมือง มากกว่าความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์ ที่ต้องการรู้ว่า น้ำมันใกล้หมดหรือยัง


ผลการศึกษาตามแนวของ Hubbert Peak Theory แต่ไหนแต่ไรก็บอกว่าโลกเข้าใกล้ยุค End of Oil แล้ว ในช่วง ค.ศ. 2000 - 2015 นี้แหล่ะ ได้เห็น Peak Oil แน่ๆ แต่ค่ายที่มองโลกในแง่ดีก็ค้านมาตลอด เช่น International Energy Agency (IEA) ได้ออกรายงานเล่มหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว โดยบอกว่า Peak Oil ยังอยู่อีกไกล โดยกล่าวว่าโลกเราซึ่งใช้น้ำมันกันวันละ 86 ล้านบาร์เรล จะมีความต้องการน้ำมันดิบเพิ่มเป็นวันละ 95.8 ล้านบาร์เรลในปี ค.ศ. 2012 ซึ่งเฉพาะ OPEC ก็น่าจะสามารถรองรับได้ น้ำมันที่ OPEC ผลิตนั้น เป็นน้ำมันในรูปแบบธรรมดา หรือ Conventional ซึ่งขุดเจาะบนแผ่นดิน หรือไหล่ทวีป แต่โลกเรายังมีน้ำมันประเภทอื่นๆ เช่น น้ำมันในทะเลลึก และ ทรายน้ำมัน ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการนำมาใช้ น้ำมันประเภทหลังนี้เองที่ต้องลงทุนสูงในการนำออกมาใช้ ดังนั้นไม่ว่าฝ่ายสนับสนุน Peak Oil หรือฝ่ายคัดค้าน ล้วนเห็นตรงกันว่ายุคของน้ำมันราคาถูกนั้นจบลงแล้ว - The End of Cheap Oil - ซึ่งเราคงไม่มีโอกาสได้กลับไปเห็นน้ำมันเบนซินลิตรละ 10 บาท อีกต่อไปแล้ว


ในขณะที่ประเทศอาหรับผู้ขายน้ำมันเอง ตอนนี้เขาเริ่มปันเอาผลกำไรมาพัฒนาพลังงานทางเลือกกันแล้ว แต่ประเทศไทยผู้ใช้น้ำมันยังไม่ค่อยเอาจริงเอาจัง เพราะคิดว่าราคาน้ำมันอาจจะกลับไปถูกเหมือนเดิม วันหลังผมจะมาเล่าให้ฟังครับว่า อาหรับเขากำลังพัฒนาไปเป็นศูนย์กลางแห่งพลังงานทางเลือกของโลกกันอย่างไร .......

13 มีนาคม 2551

The End of Oil - อวสานของน้ำมัน (ตอนที่ 1)


เมื่อประมาณ 50 ปีมาแล้ว M. King Hubbert นักธรณีวิทยา ได้ก่อตั้งทฤษฎีเพื่อใช้ทำนายอวสานของการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐว่าจะเกิดขึ้นในปี คศ. 1965-1970 การทำนายที่แม่นยำของเขา เป็นจุดกำเนิดของ Hubbert Peak Theory อันโด่งดังและใช้ต่อๆ กันมาเพื่อทำนายเวลาที่การผลิตน้ำมันของโลก จะไปถึงจุดสูงสุด และไม่สามารถจะเพิ่มกำลังผลิตได้อีก จุดนี้เราเรียกว่า Peak Oil หลังจากจุดนี้แล้ว การผลิตน้ำมันจะค่อยๆ ลดลงๆ ไปเรื่อยๆ จนไม่มีน้ำมันเหลือให้ใช้อีกต่อไป


การทำนายจุดที่จะเกิด Peak Oil ให้ได้อย่างแม่นยำนั้น สำคัญมาก เพราะเมื่อเกิด Peak Oil แล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือ ราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะปริมาณความต้องการมีมากกว่ากำลังผลิต ราคาสินค้าจะถีบตัวสูงขึ้นเพราะต้นทุนด้านพลังงาน เนื่องจากปิโตรเลียม เป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมหลายชนิด การผลิตพลาสติก ปุ๋ย ยา สารเคมี เครื่องอุปโภคบริโภคทั้งหลาย ต่างก็ใช้โมเลกุลอินทรีย์ที่อยู่ในน้ำมันดิบ หรือ ก๊าซธรรมชาติทั้งนั้น เมื่อต้นทุนแพงขึ้น โรงงานก็จะเริ่มลดการผลิต ส่งผลให้เกิดการว่างงานขึ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจถดถอยลดน้อยลง และสิ่งที่จะเกิดตามมาคือ สงครามแย่งชิงพลังงาน จะว่าไปสาเหตุที่ญี่ปุ่นส่งเครื่องบินไปถล่มหมู่เกาะฮาวายของสหรัฐอเมริกา อันเป็นชนวนแห่งสงครามมหาบูรพา ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้น ก็เกิดเพราะอเมริกาตัดการส่งน้ำมันไปยังญี่ปุ่นนั่นเอง


คำถามก็คือ Peak Oil จะเกิดเมื่อใด? หรือ มันเกิดขึ้นแล้วหรือยัง? ท่ามกลางการถกเถียงอย่างหนักระหว่าง 2 ค่าย พวกมองโลกแง่ดีบอกว่า โลกเรายังเหลือน้ำมันอีกมากมาย และยุคน้ำมันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ในขณะที่พวกมองโลกแง่ร้าย มองไปถึงขั้นว่า หลัง Peak Oil แล้ว อารยธรรมของโลกเราจะถูกทำลาย ระบบทุนนิยมที่มีฐานอยู่บนน้ำมันราคาถูก จะล่มสลาย เมื่อปี ค.ศ. 1999 นั้นราคาน้ำมันดิบยังอยู่ที่ 20 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลอยู่เลย ถ้าใครพอจำได้ ตอนนั้นเราเติมน้ำมันเบนซินกันลิตรละ 10 บาท แต่ตอนนี้ 30 กว่าบาทแล้ว ราคาน้ำมันดิบก็พุ่งมาอยู่ที่ 110 เหรียญต่อบาร์เรลแล้ว เรากำลังอยู่ในช่วงของ Peak Oil แล้วใช่ไหม ..... วันหลังผมจะมาคุยต่อนะครับ