แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ love แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ love แสดงบทความทั้งหมด

04 เมษายน 2555

Making Things Love - ทำโลกนี้ให้มีแต่รัก (ตอนที่ 5)


เมื่อไม่นานมานี้มีคำศัพท์ใหม่คำหนึ่งเกิดขึ้น คำว่า Living Technology ซึ่งหมายถึงเทคโนโลยีที่มีความเป็นชีวิต หรือ รวมเอาความสามารถของสิ่งมีชีวิตเข้าไป ทำให้เทคโนโลยีนั้นมีความเป็นมิตรต่อสิ่งมีชีวิต และสนองตอบความต้องการต่อสิ่งมีชีวิต ในฐานะที่ตัวมันเองก็มีส่วนหนึ่งมาจากความเป็นชีวิต ไม่เหมือนเทคโนโลยีสมัยก่อนที่มีลักษณะทื่อๆ เหมือนจักรกลที่ไม่มีหัวจิต หัวใจ แต่เทคโนโลยีในอนาคตจะต้องทำตัวเสมือนกับตัวมันเองมีจิตใจอยู่ภายในด้วย

Living Technology นี่ก็ว่าเจ๋งแล้วนะครับ แต่ยังไม่พอหรอกครับ เพราะว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น อลังการกว่านั้นกำลังจะเกิดขึ้น ผมขอเรียกสิ่งนั้นว่า Loving Technology ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใส่อารมณ์ ความรู้สึก ความผูกพัน ความห่วงหาอาทร เข้าไปข้างในได้ ทำให้นอกจากมันจะ Living แล้ว มันยังมีความสามารถในการ Loving ได้อีกด้วย ซึ่ง Loving Technology นี้เอง ทางกลุ่มวิจัยของ Center of Intelligent Materials and Systems คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ก็กำลังทำการศึกษาวิจัยเทคโนโลยีนี้ด้วย เราคงจะได้ยินเรื่องของ เทคโนโลยี Kinect ซึ่งสามารถที่จะเรียนรู้และจดจำลักษณะท่าทางของมนุษย์ เราสามารถสื่อสารทางเสียงกับโปรแกรม Siri ซึ่งมีลักษณะเป็นปัญญาประดิษฐ์แบบหนึ่ง ต่อไปอุปกรณ์ต่างๆ จะไม่เพียงแต่จดจำคำพูดของเราเท่านั้น แต่มันจะสามารถแปลความหมายทางอารมณ์ ที่ซ่อนมากับคำพูดได้ด้วย หรือ มันจะมีสามารถในการรับรู้และสื่อสารทางอารมณ์กับเราได้ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางสีหน้าท่าทาง น้ำเสียงที่พูด ซึ่งจะทำให้การใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ เช่น มือถือในอนาคต เปลี่ยนจากการ "ใช้" เป็นการ "สื่อสาร" กันและกันแทน โทรศัพท์จะกลายเป็นอุปกรณ์ที่มีชีวิตชีวา เป็น Living Objects หรือ Living Phone ขึ้นมาเลยล่ะครับ

ล่าสุดข่าวแว่วๆ มาว่า ทาง Apple กำลังจะใส่ Siri เข้าไปในเครื่องรับโทรทัศน์ รวมทั้งซัมซุง และ LG เองนั้นก็เพิ่งเปิดตัวโทรทัศน์ที่รับคำสั่งด้วยเสียงเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้เอง ทั้งนี้บริษัทฟิลิปส์เองก็กำลังพัฒนาโทรทัศน์ที่สามารถคุยกับ ระบบแสงสว่างในบ้านด้วย โดยเมื่อโทรทัศน์กำลังเปิดรายการที่มีเนื้อหาต่างๆ อยู่นั้น มันจะคุยกับแสงสว่างในห้องนั่งเล่น ให้เปลี่ยนสี และความเข้มแสง รวมทั้งโทนของสี ให้เหมาะกับอารมณ์ของเนื้อหาที่กำลังฉายอยู่ในจอทีวี เห็นไหมครับว่า ต่อไปห้องนั่งเล่น หรือ Living Room ของเรา จะมีชีวิตชีวาขึ้นอีกเป็นกอง มีความเป็น Living ขึ้นจริงๆนอกจากนั้นบริษัท BMW ก็ได้พัฒนาระบบรับคำสั่งด้วยเสียงที่มีชื่อว่า iDrive โดยวางแผนจะบูรณาการระบบนี้ที่ทำงานด้วยอัลกอริทึมของ Siri เข้าไปในรถยนต์ของ BMW นี่ยังแค่เริ่มๆ นะครับ ต่อไปรถยนต์จะมีความฉลาดมากขึ้นไปอีก เช่น เบาะที่ปรับที่นั่งตามอารมณ์ของผู้ขับขี่ ระบบปรับอากาศและฟิล์มกรองแสงตามสภาพแวดล้อมได้เอง เป็นต้น

Loving Technology จะมีความก้าวหน้ากว่า Living Technology เยอะครับ เพราะ Loving Technology ไม่เพียงแต่มีการใส่ความเป็นชีวิตเข้าไป ทำให้อุปกรณ์ต่างๆ มีความฉลาด เหมือนสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติแล้ว มันยังมีการเพิ่มอารมณ์ ผัสสะ ความรู้สึกเข้าไป ทำให้อุปกรณ์สื่อสารทางวิญญาณกับมนุษย์ได้ สามารถรับรู้อารมณ์ และตอบสนองเชิงอารมณ์กับมนุษย์ได้ โดยเฉพาะวิถีชีวิตของมนุษย์เราในศตวรรษนี้ คนเราจะอยู่เป็นโสดกันมากขึ้น แต่ไม่ต้องกลัวเหงานะครับ เพราะ Loving Technology จะทำให้สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นทีวี เฟอร์นิเจอร์ หมอน เตียงนอน แสงสว่าง รถยนต์ ของเรามีความใส่ใจ ห่วงหาอาทรผู้ใช้ เราจะอยู่ในบ้านเสมือนมีความรู้สึกว่า สิ่งรอบๆ ตัวเรานั้นห่วงใยเรา และมีการสื่อสารกับเราตลอดเวลา เหมือนมีคนคอยดูแลยังไงยังงั้น เพื่อนรอบกายภายในบ้านที่มองไม่เห็นนี้ จะรับรู้ความรู้สึกของเรา และแสดงออกความรู้สึกนั้นออกมา ผ่านการเรืองแสงที่หมอน การปรับโทนแสงไฟ การเปิดเพลงคลอ การส่งรูปหัวใจบนกระจก และอื่นๆ อีกมากมาย จนทำให้สิ่งแวดล้อมที่มีแต่รักนี้ ไม่ทำให้เรารู้สึกเดียวดายอีกต่อไป .......

30 มิถุนายน 2554

Are We Simulated in Computer ? - ฤาโลกนี้เป็นเพียงฝัน (ตอนที่ 9)


เคยไหมครับที่เราเคยฝันถึงใครบางคน คนที่ไม่มีตัวตน เมื่อตื่นขึ้นก็ยังเหมือนติดอยู่ในภวังค์ อย่างกับว่าคนในฝันคนนั้นมีอยู่จริงๆ ทั้งๆที่รู้ว่าทั้งหมดมันก็เพียงแค่ความฝัน แต่ความคิดของเราก็ยังติดอยู่กับคำว่า "เค้าน่าจะมีตัวตน"

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เอง ได้เกิดเหตุการณ์โกลาหลในญี่ปุ่นและเกือบจะลุกลามบานปลาย เป็นสภาวะปนเประหว่างความประหลาดใจ ความขุ่นเคือง ความเสียใจ ของคนญี่ปุ่น ซึ่งเป็นข่าวดังมากๆในญี่ปุ่นและแพร่ขยายออกไปทั่วโลก สถานีโทรทัศน์ต่างประเทศหลายแห่งนำเหตุการณ์นี้ไปออกอากาศ มีการวิพากษ์วิจารณ์กันจนเกือบจะเป็นเหตุการณ์จลาจลบนโลกออนไลน์เลยทีเดียว

ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นก็เนื่องมาจากบริษัทกูลิโกะ (Glico) ได้ออกคลิปวีดิโอแพร่ภาพเปิดเผยความจริงว่า นักร้องหน้าใหม่ของวง AKB48 (ซึ่งเป็นกลุ่มศิลปินชื่อดังของญี่ปุ่น) ที่มีชื่อว่า อาอิมิ (Eguchi Aimi) .... ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เป็นนางแบบโฆษณาขนมตัวใหม่ของกูลิโกะ และเป็นนางแบบในนิตยสารแฟชั่นหลายเล่ม ... แท้จริงแล้ว เธอเป็นเพียงมนุษย์ดิจิตอลที่สร้างขึ้นบนคอมพิวเตอร์ โดยใช้ส่วนใบหน้าจากนักร้องวง AKB48 จำนวน 6 คน (6 คนที่ดังที่สุดในวง AKB48 ซึ่งมีนักร้องในวงมากถึง 60 คน) โดยวิศวกรได้เลือกเอาส่วนที่ดีที่สุดในใบหน้าของนักร้องทั้ง 6 เพื่อสร้างหน้าตาของ อาอิมิ ออกมาอย่างน่ารัก จนเป็นที่หลงใหลคลั่งไคล้ไปทั้งญี่ปุ่น ผู้คนทั้งญี่ปุ่นรู้จักอาอิมิก่อนที่จะรู้ความจริงว่าเธอไม่มีตัวตน ในฐานะนักร้องหน้าใหม่ของ AKB48 ซึ่งปรกติแล้ว การเข้ามาเป็นสมาชิกของ AKB48 จะต้องผ่านการแสดงออดิชั่น ซึ่งจะทำให้แฟนๆ รู้ว่าใครเป็นใคร หน้าตาอย่างไร แต่การปรากฏตัวของอาอิมิในโฆษณาของกูลิโกะ และนิตยสารหลายเล่ม เกิดขึ้นโดยไม่มีใครเคยรู้จักเธอมาก่อน แต่สิ่งนี้กลับไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเธอเลย เพียงไม่กี่วันที่เธอปรากฏตัว ได้มีแฟนคลับของเธอเกิดขึ้นทั่วเกาะญี่ปุ่น

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้นำมาสู่คำถามที่ว่า "เราสามารถรักและมอบใจให้กับคนที่ไม่มีตัวตนได้หรือไม่" ซึ่งเราจำเป็นจะต้องตอบคำถามนี้ให้ได้โดยใช้เวลาไม่นานด้วย เพราะว่านับวันเทคโนโลยีทางด้านความจริงเสมือน (Virtual Reality) ความจริงผสม (Mixed Reality) หรือแม้แต่ความจริงจำแลง (Simulated Reality) เริ่มขยับใกล้เข้ามาสู่ชีวิตเรามากขึ้นๆ จนในวันหนึ่งเราอาจจะตื่นขึ้นมาในตอนเช้า แล้วถามตัวเองว่า โลกที่เรากำลังลืมตาดูอยู่นี้ เป็นของจริง หรือป่าว .....



18 มิถุนายน 2554

Quantum Biology - ชีววิทยาควอนตัม (ตอนที่ 1)


ท่านผู้อ่านหลายๆ ท่านอาจจะพอได้ยินหรืออาจจะรู้จักศาสตร์ที่มีชื่อว่า กลศาสตร์ควอนตัม หรือ ฟิสิกส์ควอนตัม ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์หรือสิ่งของเล็กๆ อย่างอะตอมหรืออิเล็กตรอน ซึ่งศาสตร์นี้ในที่สุดก็นำมาอธิบายความเป็นอยู่ของโมเลกุลในรูปแบบที่เรียกว่า เคมีควอนตัม ปัจจุบันฟิสิกส์ควอนตัมมีอายุร้อยกว่าปีแล้ว ส่วนเคมีควอนตัมก็เกิดขึ้นมาแล้วกว่า 70 ปี แต่ศาสตร์ที่ผมกำลังจะพูดถึงในวันนี้ ซึ่งก็คือชีววิทยาควอนตัมนั้น เป็นศาสตร์ใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาไม่กี่ปีนี้เองครับ โดยศาสตร์นี่แหล่ะครับ อีกหน่อยจะนำไปสู่การอธิบายปรากฏการณ์แปลกประหลาดต่างๆ ที่ยังเป็นความลับหลายๆ อย่าง รวมไปถึงในอนาคต มันอาจจะสามารถอธิบายปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ เช่น ฤทธิ์เดชต่างๆ หรือที่พุทธศาสนาเราเรียกว่า อภิญญา ก็ได้ครับ

ทฤษฎีควอนตัมเป็นทฤษฎีประหลาดที่ค้านกับสามัญสำนึก หรือ common sense ของเรา เช่น การที่มันบอกว่าแสงเป็นได้ทั้งคลื่นและอนุภาคในเวลาเดียวกัน ถ้าเราต้องการตรวจวัดมันแบบคลื่น มันก็จะให้ผลว่ามันเป็นคลื่น ในขณะเดียวกัน ถ้าเราเปลี่ยนวิธีการตรวจวัดในลักษณะว่ามันคืออนุภาค มันก็จะแสดงตัวตนว่ามันเป็นอนุภาค แม้แต่ของใหญ่ๆ ขึ้นมาอย่างโมเลกุล มันก็สามารถแสดงสถานะความเป็นคลื่นได้เช่นกัน เราสามารถแก้สมการคลื่น (Wave Function) ด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่าเคมีคอมพิวเตอร์ (Computational Chemistry) ของโมเลกุลต่างๆ ซึ่งสามารถทำนายได้ว่าโมเลกุลนั้นจะมีสมบัติอย่างไร นำไฟฟ้าหรือไม่ หรือแม้แต่โมเลกุลชนิดนั้นสามารถเป็นยาฆ่าไวรัสได้หรือไม่ ศาสตร์ทางด้านเคมีควอนตัมจึงนับเป็นความมหัศจรรย์มาก ที่สามารถมองโมเลกุลต่างๆ เป็นคลื่นได้

ที่นี้ เราลองมาพิจารณาดูร่างกายของเราสิครับ ร่างกายคนเราประกอบขึ้นมาจากเซลล์ เซลล์จำนวนมากมารวมกันเป็นอวัยวะ ที่ประกอบขึ้นเป็นร่างกายของเรา ภายในเซลล์นี้เองก็ประกอบด้วยองค์ประกอบต่างๆ ที่สร้างขึ้นมาจากโมเลกุลทั้งนั้น ทั้งเยื่อหุ้มเซลล์ที่เป็นชั้นของโมเลกุลไขมันบางๆ 2 ชั้น ดีเอ็นเอที่เป็นสายโซ่พันกันแบบขั้นบันไดเวียน (Double Helix) ในเมื่อเคมีควอนตัมบอกว่าโมเลกุลคือคลื่น ดังนั้นร่างกายของเราก็คือคลื่นดีๆ นี่เองครับ ถ้าเรามีคอมพิวเตอร์ที่มีศักยภาพในการคำนวณสูงมากๆ มากพอที่จะป้อนสมการคลื่นที่อธิบายอนุภาคทุกๆ ตัวที่ประกอบเป็นร่างกายของเราได้ เราก็จะสามารถแก้สมการและทำนายคุณสมบัติของร่างกายของเราได้

ความประหลาดของทฤษฎีควอนตัมยังมีอีกหลายอย่าง แต่อันที่ผมชอบมากคือเรื่องของ Entanglement ภาษาไทยยังไม่มีบัญญัติครับ แต่ก็มีบางท่านเรียกว่าความพัวพันทางควอนตัม ผมจะลองใช้คำว่าเนื้อคู่นะครับ เพราะปรากฏการณ์นี้เกิดจากของที่เป็นคู่กัน เช่น หากเรามีโฟตอนที่มีจุดกำเนิดที่เดียวกัน แล้วเราแยกมันส่งออกไป 2 ด้านที่อยู่ตรงข้ามกัน แม้จะส่งไปไกลเพียงใดก็ตาม เมื่อเราทำอะไรกับโฟตอนตัวใดตัวหนึ่ง เช่นเปลี่ยนค่าสปินของมัน เจ้าโฟตอนที่เป็นคู่ของมันก็จะรู้สึกได้ทันที และจะปฏิบัติตัวไปในทิศทางตรงข้ามกับคู่ของมัน เสมือนมันรับรู้กันและกันได้ และการรับรู้กันและกันนี้เกิดขึ้นเร็วมาก เร็วจนวัดไม่ได้ ที่แน่ๆ คือเร็วกว่าแสง ซึ่งทำให้เรื่อง Entanglement กลายเป็นเรื่องที่ค้านกับทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ แต่เรื่อง Entanglement นี้มีจริง และมีผลการทดลองออกมามากมายแล้วครับ แถมยังมีการเชื่อกันว่าปรากฏการณ์นี้อาจอยู่เบื้องหลังการทำงานของสมองอีกต่างหาก

ผมจะทยอยนำความก้าวหน้าในเรื่องชีวควอนตัมมาเล่าให้ฟังในตอนต่อๆไปนะครับ .....

รูปบน: ปรากฏการณ์ Entanglement นี้อาจจะเกิดขึ้นกับจิตใจมนุษย์ก็ได้ เหมือนพรหมลิขิตให้คนที่เป็นเนื้อคู่กันต้องเดินทางมาพบกัน ไม่ว่าจะอยู่แสนไกลเพียงใดก็ตาม

27 มกราคม 2554

Making Things Love - ทำโลกนี้ให้มีแต่รัก (ตอนที่ 4)



พวกเรามักจะได้ยินคำพูดที่ว่า "จงใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์" แต่ในหนังสือ Descartes' Error ศาสตราจารย์ อันโตนีโอ ดามาสิโอ (Antonio Damasio) แห่งมหาวิทยาลัยเซาเทอร์น แคลิฟอร์เนีย (University of Southern California) กลับเสนอแนวคิดใหม่ที่ว่า คนที่รู้จักใช้อารมณ์เป็น หรือมีความฉลาดทางอารมณ์สูงต่างหาก ที่จะมีความสามารถในการใช้เหตุผลได้ดีด้วย พูดอีกอย่างก็คือ อารมณ์และเหตุผลเป็นของคู่กัน แยกออกจากกันไม่ได้ สิ่งทั้งสองอย่างนี้พึ่งพากันและกัน อารมณ์เป็นตัวช่วยในการใช้ตรรกะและเหตุผล รวมไปถึงการตัดสินใจต่างๆ ทั้งด้านบวกและลบ และบ่อยครั้งที่เป็นการทำแบบไม่รู้ตัว

ในภาษาอังกฤษ มีคำที่ใช้อธิบายอารมณ์อยู่ 3 คำครับ คือคำว่า Affect, Emotion และ Mood ผมไม่รู้ว่าจะหาคำเป็นภาษาไทยมาใช้แทน 3 คำนี้ยังไงครับ แต่จะพยายามดูนะครับ คำว่า Affect นี้เป็นคำที่ใช้แทนความหมายรวมๆ ของสภาวะอารมณ์ต่างๆ ของมนุษย์ คือใช้แทนได้ทั้ง Emotion และ Mood โดยคำว่า Emotion มักใช้กันเพื่อแทนสภาพอารมณ์ในขณะหนึ่งขณะใดของคนเรา ซึ่งระยะเวลาอาจอยู่ในช่วงวินาทีถึงหลายๆ นาที โดยอารมณ์นั้นๆ มักจะมีสาเหตุหรือตัวการอย่างชัดเจน และผู้ที่เกิดอารมณ์อยู่ก็มักจะรู้ตัวว่าตัวเองมีอารมณ์นั้นๆ อยู่ แต่คำว่า Mood นั้นเป็นสภาพอารมณ์พื้นหลังที่มักจะเกิดและดำรงอยู่นานกว่า สภาวะอารมณ์พื้นหลังหรือ Mood นี้มักจะไม่ค่อยรู้สาเหตุที่แน่นอน และมันก็ไม่จำเพาะกับตัวการหนึ่งใดเป็นพิเศษ เจ้าสภาวะอารมณ์พื้นหลังนี้เองครับ ที่มีผลต่อจิตใจของคนเรามาก มันนำไปสู่ความสามารถในเรื่องความทรงจำ การตัดสินใจต่างๆ รวมไปถึงทัศนคติและความคิดเห็นของเราได้ การบริหารอารมณ์ให้มี Mood แต่ในทางบวก ยังมีผลให้เราเป็นคนสุขภาพแข็งแรงด้วยนะครับ

การตรวจวัดอารมณ์ของมนุษย์ เท่าที่ผมทราบนั้น สามารถตรวจวัดได้ 3 วิธีครับ คือ

(1) การตรวจวัดสัญญาณทางสรีรวิทยา (Physiological signal) ได้เคยมีรายงานวิจัยที่ระบุว่า อารมณ์ของคนเรามีความสัมพันธ์กับสัญญาณทางสรีรวิทยาต่างๆ ที่สามารถ ตรวจวัดได้ด้วยเครื่องมือ เช่น การนำไฟฟ้าบนผิวหนัง อุณหภูมิผิวหนัง อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต อัตราการหายใจ ระดับอ็อกซิเจนในเลือด สัญญาณสมอง (EEG) เป็นต้น

(2) การประเมินทางจิตวิทยา (Psychological assessment) เป็นวิธีง่ายๆ ที่แม่นยำที่สุด โดยการให้ผู้ที่เราตรวจวัดประเมินความรู้สึกและสภาพอารมณ์ของตนเองนี่แหล่ะครับ โดยการประเมินอาจใช้การบอกออกมาว่ารู้สึกยังไง การบอกสเกลของสภาพอารมณ์ การทำ checklists ต่างๆ การตอบแบบสอบถาม และการประเมินเชิงสถิติ เป็นต้น ปัญหาก็คือ ถ้าไปเจอคนที่โกหก หรือไม่รู้อารมณ์ตัวเอง ผลที่ได้ก็จะขาดความแม่นยำไปเลย

(3) การตรวจวัดพฤติกรรม (Behavioral Monitoring) สภาวะอารมณ์ของคนเรามักจะแสดงออกมาทางพฤติกรรมต่างๆ ที่อาจตรวจวัดได้ เช่น การแสดงออกทางสีหน้า น้ำเสียง อากัปกริยา ท่าทาง ประสิทธิภาพในการรับรู้ (cognitive performance) อาการทางกล้ามเนื้อ (motor behavior) ซึ่งเป็นไปเพื่อต้องการสื่อสารอารมณ์ออกมา จะทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัวก็ตาม

การที่เราจะสร้างสภาพแวดล้อมให้มีอารมณ์หรือความรัก เราก็ต้องมีเทคโนโลยีในการตรวจวัดและประมวลผลอารมณ์ของมนุษย์ให้ได้ก่อนครับ

01 มกราคม 2554

Making Things Love - ทำโลกนี้ให้มีแต่รัก (ตอนที่ 3)



ในอนาคตไม่กี่ปีต่อจากนี้ วิศวกรรมอารมณ์จะทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในเศรษฐกิจยุคใหม่ที่ผู้คนใช้ความรู้สึก และอารมณ์ในการเลือกจับจ่ายสินค้า ผู้ที่มีความรู้หรือเทคโนโลยีทางด้านนี้ จะเป็นผู้กำชัยในการครองใจผู้บริโภค ทำให้ผู้ซื้อเกิดความผูกพันทางด้านอารมณ์กับสินค้า หรือถึงขั้นอินเลิฟ จนไม่อาจเปลี่ยนไปใช้สินค้าตัวเลือกอื่นๆ อีก

งานวิจัยทางด้านเทคโนโลยีความรู้สึกและวิศวกรรมอารมณ์นี้มีลักษณะเป็นสหสาขาวิชา ที่หลอมรวมและบูรณาการความรู้ข้ามศาสตร์อย่างแท้จริง ทั้งจากศาสตร์ทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ จิตวิทยา วิทยาศาสตร์การรับรู้ (Cognitive Science) ประสาทวิทยา (Neuroscience) สังคมวิทยา (Sociology) ภาษาศาสตร์ ครุศาสตร์ สรีรวิทยา ปรัชญา แม้กระทั่งจริยศาสตร์ มันจึงเป็นเขตแดนรอยต่อระหว่างวิทยาศาสตร์ กับ เรื่องของจิตใจ อย่างแท้จริง การจะพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านนี้ จึงต้องอาศัยความรู้จากศาสตร์ต่างๆ เหล่านี้ ในขณะเดียวกัน ความเจริญก้าวหน้าในเทคโนโลยีความรู้สึกและวิศวกรรมอารมณ์ ก็จะมีผลสะท้อนกลับ ทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในศาสตร์ต่างๆ เหล่านี้ด้วย เช่น หากเรามีเทคโนโลยีในการตรวจวัดและบันทึกอารมณ์ความรู้สึก ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ในแง่มุมต่างๆ ในแต่ละวัน ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ก็อาจนำกลับมาเพื่อปรับปรุงโมเดล และทฤษฎีต่างๆ ที่ใช้อธิบายความรู้สึกของมนุษย์ได้

นักวิเคราะห์ประเมินกันว่า คงจะต้องใช้เวลาเป็นสิบๆ ปีแหล่ะครับ กว่าเราจะสามารถพัฒนาโมเดลทางคอมพิวเตอร์ของอารมณ์มนุษย์ได้ จะว่าไป ทุกวันนี้ มีการนำเทคโนโลยีทางด้านนี้มาใช้แล้วทั้งๆ ที่เราก็ยังมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องอารมณ์ของมนุษย์กันไม่มาก ท่านผู้อ่านอาจจะคาดกันไม่ถึงนะครับว่า ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น มีการใช้งบประมาณมากถึง 400 กว่าล้านเหรียญสหรัฐ ในปี ค.ศ. 2006 เพื่อที่จะพัฒนาซอฟต์แวร์วิเคราะห์การพูดของมนุษย์ของ Call Center ต่างๆ รวมไปถึงน้ำเสียงและอารมณ์ความรู้สึกที่แฝงมากับคำพูดเหล่านั้น เพื่อที่ทางศูนย์บริการลูกค้าจะได้สามารถประมวลผลความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ เพื่อให้สามารถนำมาสู่การปรับปรุงระบบบริการได้ แม้ว่าโมเดลคอมพิวเตอร์ปัจจุบันอาจจะยังไม่ละเอียดถูกต้องพอที่จะสามารถ ระบุอารมณ์ต่างๆ ของมนุษย์ที่มีอย่างหลากหลายมากก็ตาม แต่มันก็ยังมีความแม่นยำพอที่จะตรวจพบหลายๆ กรณีที่สำคัญพอที่จะทำให้ศูนย์บริการลูกค้าต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ

การตรวจจับหรือตรวจวัดอารมณ์เป็นเรื่องละเอียดซับซ้อน ใบหน้าของมนุษย์ที่แสดงออกมา แม้แต่เรื่องง่ายๆ อย่างเช่น การยิ้ม ก็มีความหมายได้หลากหลายมากๆ ขึ้นกับอายุ พื้นฐานการศึกษา และวัฒนธรรม เอาง่ายๆ อย่างเช่นคนไทยเรา ที่ฝรั่งเขาเรียกว่าสยามเมืองยิ้ม เพราะคนไทยเป็นคนยิ้มเก่ง แม้แต่บางเรื่องที่ฝรั่งมองว่าไม่น่าจะยิ้ม คนไทยเราก็ยังยิ้ม ผมเคยดูโทรทัศน์เห็นตำรวจนำผู้ต้องหาที่เพิ่งก่อคดีมาออกข่าว หลายๆ ครั้งเรากลับเห็นผู้ต้องหานั่งยิ้มให้กล้อง ทั้งๆ ที่ตัวเองทำความผิดที่สมควรได้รับการลงโทษ ลักษณะนี้ คนไทยเราดูทีวี เราก็จะพอเข้าใจ แต่ฝรั่งเห็นก็จะแปลกใจมากเลย ... โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ตรวจสอบใบหน้าจึงต้องมีการโมเดลความหลากหลายตรงนี้เข้าไปด้วย ซึ่งจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยครับ

เรื่องนี้ ยังมีต่ออีกหลายตอนนะครับ ....

19 ธันวาคม 2553

Making Things Love - ทำโลกนี้ให้มีแต่รัก (ตอนที่ 2)


ตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เวลาพวกเราไปเที่ยวทะเลกัน ผมก็มักจะถามเพื่อนๆ ว่า "เออ ... ใครรู้บ้าง ทำไมเวลามาทะเลแล้วถึงรู้สึกเหงา" เวลาเราไปเที่ยวภูเขาก็เหมือนกัน เราจะรู้สึกสบายใจมากๆ หากได้ยืนจากที่สูง มองออกไปไกลๆ แล้วเห็นภูเขาสองข้างมาบรรจบกัน โดยเฉพาะหากมีแม่น้ำสายเล็กๆ ไหลคดโค้ง เลาะเล็มไปตามไหล่เขา ก็จะได้ใจ รู้สึกอินเลิฟกับวิวทิวทัศน์ไปกับมัน นักวิทยาศาสตร์เคยตั้งข้อสังเกตว่า ความรู้สึกอินเลิฟเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ไม่ว่าชาติไหนภาษาไหนก็เกิดขึ้นแบบนี้กันหมด แต่มันเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในดีเอ็นเอของมนุษย์กันเลยทีเดียวครับ เพื่อให้เรารู้สึกอินกับความสวยงามของสิ่งนี้ เพราะมันแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ และทำให้มนุษย์เราแสวงหาการตั้งถิ่นฐานในพื้นที่แบบนี้จนดำรงพงษ์เผ่ามาได้จนทุกวันนี้ครับ

มนุษย์เรามีหัวจิตหัวใจ มีความรู้สึกกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ เรารู้สึกเหงาเมื่อไปทะเล อินเลิฟเมื่อไปไร่องุ่นหรือภูเขา สดชื่นเมื่อไปน้ำตก โรแมนติกเมื่ออยู่ในสถานที่โทนสีโอ๊กไฟสลัวๆ เรามีอันตรกริยาทางด้านจิตใจกับสิ่งแวดล้อมตลอดเวลา แล้วทำไมเราไม่ทำให้สิ่งแวดล้อมมีความรู้สึกแบบนั้นกับเราบ้างล่ะครับ ... นี่ล่ะครับ จะเป็นประเด็นใหม่ทางการวิจัยที่ผมกำลังสนใจและค้นคว้า เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่จะทำให้ความรู้สึก และอารมณ์ เป็นสิ่งที่แลกเปลี่ยนกันได้ ไม่ต้องเก็บเอาไว้คนเดียวอีกต่อไป ลองจินตนาการถึงบ้านที่รับรู้อารมณ์และความรู้สึกของผู้อยู่อาศัย ห้องนั่งเล่นที่สามารถปรับเปลี่ยนแสงไฟตามสภาวะอารมณ์ของเรา พร้อมกับเปิดเสียงดนตรีและปล่อยกลิ่นที่สอดคล้องกับอารมณ์ผู้อาศัย รถยนต์ที่สามารถรับรู้อารมณ์ของผู้ขับขี่ได้ และพร้อมเตือนอันตรายที่อาจเกิดขึ้นหากผู้ขับขี่อยู่ในสภาพเหม่อลอย ร้านค้าที่สามารถจับความรู้สึก และรับรู้อารมณ์ของลูกค้าได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ที่สามารถเลือกสรรสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้

งานวิจัยเทคโนโลยีทางด้านนี้อาจแบ่งออกคร่าวๆ ได้เป็น 5 ด้านครับ ได้แก่ (1) เทคโนโลยีสำหรับการสื่อสารข้อมูลอารมณ์ ความรู้สึก หรือแสดงออกทางด้านความรู้สึกออกไป ไม่ว่าจะเป็นการแสดงทางรูปภาพ เสียง หรืออาการต่างๆ (2) เทคโนโลยีในการตรวจวัดอารมณ์ หรือตรวจจับความรู้สึกต่างๆ ของมนุษย์ รวมไปถึงการประเมินและทำนายว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น (3) เทคโนโลยีในการแสดงออกเพื่อตอบสนองทางด้านอารมณ์ต่างๆ กับมนุษย์ หรือการมีอันตรกริยาทางด้านอารมณ์และความรู้สึกกับมนุษย์ (4) เทคโนโลยีในการจำลองสภาพอารมณ์ภายในของจักรกลเอง กล่าวคือ ทำเสมือนกับว่าตัวจักรกลนั่นเองที่มีอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกับมนุษย์เรา (5) งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสังคมวิทยา ปรัชญา และจริยธรรมในเรื่องของการทำให้จักรกลมีสภาวะอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด และมีอันตรกริยาทางด้านอารมณ์และความรู้สึกกับตัวมนุษย์

ในตอนต่อๆ ไป ผมจะพยายามนำความก้าวหน้าในแต่ละด้านมาเล่าให้ฟังนะครับ .....

16 ธันวาคม 2553

Making Things Love - ทำโลกนี้ให้มีแต่รัก (ตอนที่ 1)


ต้องขอโทษด้วยครับ ที่ห่างหายไปจากบล็อกมานานนับเดือนเลยครับ ช่วงที่ผ่านมาตัวผมเองมีปัญหาบางอย่างที่ต้องแก้ไข จนไม่สามารถปันเวลามาแตะเรื่องนี้เลย แต่ว่า ... ตั้งแต่วันนี้ไปวิกฤตนั้นก็ได้ผ่านพ้นไปแล้วครับ ก็จะกลับมาบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่น่าสนใจในโลกของเทคโนโลยีระดับก้าวหน้ากันเช่นเคย ที่นี่ครับ ....

ในระยะหลังๆ ผมได้นำเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ของการรับรู้ (Cognitive Science) วิทยาศาสตร์จิตใจ (Mind Science) เรื่องของเทคโนโลยีในการรับรู้ลักษณะอารมณ์ การโมเดลอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ มาเล่าให้ฟังบ่อยๆ ส่วนหนึ่งมาจากความสนใจของผมเอง ที่กำลังศึกษาค้นคว้าในเรื่องนี้อยู่ และได้เริ่มทำวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไปบ้างแล้วครับ เพราะในอนาคตอันใกล้นี้ เทคโนโลยีเหล่านี้จะทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมันจะเป็นตัวเชื่อมและเปิดรอยต่อ พรมแดนที่เคยขวางกั้นระหว่างโลกของวัตถุและโลกของจิตใจ (Mind and Matter Interface) ซึ่งจะมีประโยชน์มากมายมหาศาลทั้งในด้านการบันเทิง การแพทย์ ยานยนตร์ การทหาร จริงๆ แล้ว หากถามว่านอกจากปัจจัยสี่แล้ว มนุษย์ต้องการอะไรอีก ผมก็จะตอบทันทีเลยว่า ก็ความสุขสนุกสนานไง และเทคโนโลยีเหล่านี้นี่เอง จะเป็นสิ่งที่สร้างรายได้ให้แก่ผู้ครอบครองมหาศาล

เมื่อปี ค.ศ. 2006 ศาสตราจารย์มาร์วิน มินสกี้ (Marvin Minsky) แห่ง MIT ได้เปิดตัวหนังสือเล่มหนึ่งออกมาที่มีชื่อว่า The Emotion Machine หนังสือเล่มนี้ได้เปิดแนวคิดเกี่ยวกับความคิด อารมณ์ ความรู้สึกของมนุษย์ ว่าเป็นกระบวนการทำงานของสมอง ที่มีขั้นตอนต่างๆ ที่แน่นอนชัดเจน นั่นคือ ความรู้สึกของมนุษย์อย่างหนึ่งอย่างใด ประกอบด้วยกระบวนการทำงานของเครือข่ายประสาทหลายขั้นตอน โดยขั้นตอนแต่ละขั้นตอนเหล่านั้น น่าจะสามารถจำลองหรือสร้างขึ้นมาบนจักรกลได้ และนี่ก็จะนำไปสู่การสร้างอารมณ์ประดิษฐ์ หรือ ความรู้สึกประดิษฐ์ ให้เกิดขึ้นบนจักรกลได้เช่นกัน

ว่ากันว่า คนที่จะเขียนหนังสือเกี่ยวกับจิตใจคนได้นั้น มีอยู่เพียง 3 จำพวกเท่านั้นก็คือ (1) นักปรัชญวิทยา หรือ นักจิตวิทยา (2) นักประสาทวิทยา และ (3) นักคอมพิวเตอร์ศาสตร์ผู้ที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) ศาสตราจารย์มินสกี้ท่านเป็นศาสตราจารย์ทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ ท่านเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกวงการปัญญาประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงมากเลยครับ นอกจากนั้นท่านยังเป็นอาจารย์ของ Eric Drexler ซึ่งเป็นบุคคลที่สำคัญมาก ต่อวงการนาโนเทคโนโลยี เพราะคนๆ นี้ก็คือคนที่รณรงค์ให้เกิดกระแสของนาโนเทคโนโลยีจนแพร่กระจายไปทั่วโลก

หนังสือเล่มนี้ได้อธิบายเรื่องของ สติ สามัญสำนึก (Common Sense) ความคิด อารมณ์ อย่างง่ายๆ ว่าเป็นกระบวนการในสมองหลายๆ ขั้นตอนมาทำงานร่วมกัน กระบวนการเหล่านี้เองที่เป็นตัวต่อ (Building Blocks) เพื่อสร้างความคิด หรือสภาวะอารมณ์ที่ซับซ้อน ซึ่งหากเราเข้าใจตัวต่อเหล่านี้ เราก็อาจจะจำลองความรู้สึก และอารมณ์ขึ้นมาได้บนจักรกล รวมไปถึงเรื่องของความรักด้วย ....

ครั้งหน้าเรามาคุยกันต่อนะครับ ....

07 มีนาคม 2553

Scent of Love - กลิ่นไอรัก (ตอนที่ 2)


ท่านผู้อ่านที่มีลูกแล้ว ผมเชื่อว่าน่าจะมีประสบการณ์ช่วงที่ลูกยังอยู่ในวัยเยาว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนแบเบาะ ที่เราจะอยากหอมลูกมากๆ เหมือนกับที่บางคนเขาเรียกว่า "อยากฟัด" เพราะเมื่อเราสูดกลิ่นไอของลูกเข้าไป เราจะเกิดความรู้สึกรัก ผูกพัน กับลูกของเราอย่างลึกซึ้ง คนที่มีลูกมากกว่าหนึ่งคน จะสามารถจำแนกได้ว่า ลูกของเราแต่ละคนนั้นมีกลิ่นตัวไม่เหมือนกัน เวลามีความเครียดไม่ว่าจากเรื่องงานหรืออะไรก็ตาม เมื่อกลับบ้านไปแล้วได้หอมกลิ่นแก้มของลูกแล้ว ความเหนื่อยทั้งหลายก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง

นักวิทยาศาสตร์สงสัยมานานแล้วล่ะครับว่า ความรักและความผูกพันอย่างลึกซึ้งนั้น อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับความสามารถในการสัมผัสกลิ่น แม้แต่ในมนุษย์กันเองก็เถิด ก่อนหน้านี้ ผมเคยนำมาเล่าให้ฟังว่า มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่ระบุว่า กลิ่นกายของฝ่ายตรงข้ามมีผลต่อการเลือกคู่ครอง โดยเจ้าตัวไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ โดยการได้กลิ่นกายที่บ่งบอกถึงความมีสุขภาพดี และมียีนของระบบภูมิคุ้มกันที่หลากหลาย ซึ่งสามารถจะทดแทนหรือเติมเต็มชุดพันธุกรรมของอีกฝ่ายได้ จะทำให้ได้รับการเลือกเป็นคู่กัน เหมือนในบทเพลงที่ร้องว่า "เนื้อคู่กันแล้ว ก็คงไม่แคล้วกันไปได้"

เร็วๆ นี้เองครับ ได้มีการรายงานถึงเรื่องของกลิ่นไอแห่งความรักในวารสาร Nature ฉบับออนไลน์วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2010 (doi:10.1038/nature08826) ซึ่งคณะวิจัยได้เปิดเผยผลการทดลองในหนูทดลอง โดยนำหนูทารกไปคลุกคลี คลอเคลีย กับหนูผู้ใหญ่ในระยะเวลาหนึ่ง หนูผู้ใหญ่กับหนูทารกจะมีโอกาสสัมผัสเคล้าคลอ ดมกลิ่นกันและกัน จากนั้นก็แยกหนูทารกออกมา ทิ้งระยะห่างไว้พักหนึ่งจึงนำหนูทารกชุดเดิมกลับมาให้อยู่กับหนูผู้ใหญ่อีก แต่ครั้งนี้ มีการผสมหนูทารกกลุ่มใหม่เข้าไปด้วย ผลก็คือ หนูผู้ใหญ่กลุ่มที่ฮอร์โมนวาโซเปรสซิน (Vasopression) ถูกบล็อกไม่ให้ทำงานนั้น ไม่สามารถจดจำหนูทารกตัวเดิมได้ รายงานนี้เป็นการเสริมความเชื่อที่ว่า ฮอร์โมนนี้มีส่วนโดยตรงกับการเกิดรักที่ฝังตรึง ซึ่งทำให้คนเรารักกันแนบแน่น โดยไปช่วยในการทำงานที่ทำให้มนุษย์สามารถได้กลิ่นไอรัก ....

27 กุมภาพันธ์ 2553

The Mathematics of Beautiful Girls- คณิตศาสตร์ของคนสวย (ตอนที่ 4)


ผมมีคนใกล้ๆตัวหลายคนที่เป็นโสด ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง ก่อนหน้านี้ผมเคยเขียนอธิบายว่า เหตุใดผู้หญิงสวยมากๆ ถึงไม่มีคู่ ซึ่งสรุปความได้ว่า ความสวยของผู้หญิงนั่นแหล่ะที่เป็นตัวผลักให้ผู้ชายออกไปอยู่ห่างๆ เธอ ต่อจากนั้นมา ผมก็ได้รับคำถามมาอีกว่า อ้าว ... แล้วถ้าผู้หญิงที่ไม่ได้สวยขนาดนางฟ้า ก็ไม่ได้จะมีสมการที่ทำให้ผลักผู้ชายออกไปจากชีวิตเธอ แต่เหตุไฉน ผู้หญิงที่หน้าตาปานกลาง น่ารัก หรือ บ้านๆ ยังหาแฟนไม่ได้ .... อืม .... อย่างนี้คณิตศาสตร์คงอธิบายไม่ได้แล้วครับ แต่ผมมีคำอธิบายจากชีววิทยาเชิงวิวัฒนาการครับ (Evolutionary Biology)

วันนี้ผมนั่งสแกน journal เล่นๆ ก็ไปเจอบทความหนึ่งครับ ตีพิมพ์ในวารสาร Animal Behaviour ฉบับเดือนมีนาคม 2010 นี้ (รายละเอียดเต็มคือ Jonathan P. Drur, "Immunity and mate choice: a new outlook", Animal Behaviour 79 (2010), pp. 539-545) ซึ่งเป็นรายงานเชิงปริทรรศน์ที่น่าสนใจมากครับ เขาบอกว่า การที่คนเราเลือกคู่กันนั้น ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมากก็คือ เรื่องของระบบภูมิคุ้มกัน ร่างกายของเราถูกโปรแกรมมาให้หาคู่ครองที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่ครอบคลุมโรคต่างๆ โดยเราจะเลือกหาคู่ที่มีภูมิต้านทานในสิ่งที่เราไม่มี ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้ลูกหลานของเรา จะได้พันธุกรรมที่มีภูมิต้านทานโรคครอบคลุมโรคต่างๆ ให้ได้มากที่สุด

คราวนี้มาถึงคำถามที่ว่า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า คู่ครองที่เหมาะสมของเราที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่ทดแทนของเรา คือใคร นักวิทยาศาสตร์บอกว่า เราจะรู้ด้วยการมองและการได้กลิ่น แต่ปัจจัยเรื่องรูปร่างหน้าตาที่เก็บข้อมูลระบบภูมิคุ้มกันนั้น ยังเป็นปริศนาอยู่ครับว่าทำงานอย่างไร แต่เรื่องของกลิ่นนี่ เราพอมีความรู้บ้างแล้วว่า ข้อมูลเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันของเรา มันถูกปล่อยออกมากับเหงื่อครับ ซึ่งจะทำให้อีกฝ่ายได้กลิ่น

รายงานวิจัยอีกฉบับในวารสารเดียวกัน จากนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยเวสเทอร์นออสเตรเลีย ได้ระบุว่าผู้หญิงที่ครอบครองยีนที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันอย่างหลากหลาย จะมีโอกาสหาสามีได้ง่ายกว่าผู้หญิงที่มีชุดของยีนแคบๆ จากการศึกษานิสิตจำนวน 150 คน โดยให้นิสิตหญิงเหล่านั้นตอบคำถามต่างๆ แล้วนำไปวิเคราะห์ร่วมกับ DNA ของพวกเธอ ทำให้ทราบว่า คนที่มียีนของระบบภูมิคุ้มกันหลากหลายกว่า ไม่ค่อยมีประวัติการเจ็บไข้ได้ป่วยเท่าไหร่ ซึ่งเธอเหล่านั้น ก็มักจะมีประวัติว่ามีแฟนให้เลือกอยู่เรื่อยๆ หัวกระไดห้องแล็ปไม่เคยแห้ง แตกต่างจากนิสิตหญิงที่มีชุดของยีนแคบๆ มักจะครองความเป็นโสดอยู่เสมอ

สรุปก็คือ ชุดยีนของระบบภูมิคุ้มกันโรคนี่เอง คือ "แรงแห่งรัก" ที่ผลักดันให้เราถวิลหาคู่ครองที่จะมาช่วยเติมเต็มชุดยีนที่เรามีอยู่โดยไม่รู้ตัว ....

(รูปด้านบน - ผู้หญิงอ้วนทางขวามือของรูป คงจะมียีน MHC ที่หลากหลายกว่าผู้หญิงสวยทางซ้ายมือ ชายหนุ่มผู้นี้ถึงได้สิเน่หาเธอมากกว่า ด้วยหวังว่า ชุดยีนของหญิงคนนี้ จะมาช่วยเติมอีกส่วนที่ขาดหายไปจาก DNA ของเขา ....)

02 ธันวาคม 2552

How Love Works - นี่หรือที่เรียกว่ารัก (ตอนที่ 4)


ตอนที่ผมยังเป็นนิสิตปริญญาตรีอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผมจำได้ว่าเคยหัวปักหัวปำกับความรัก ซึ่งผมคิดว่านี่แหล่ะคือช่วงที่มีความสุขที่สุดแล้วในชีวิต ผมจำได้ว่าในห้วงเวลาตั้งแต่ปี 2 จนถึง ปี 4 ไม่มีวันไหนเลยที่ผมไม่อยากเจอคนที่รัก และเมื่อเราต้องจากกันหลังจากจบมหาวิทยาลัย ความสุขที่ผมเคยมี ก็ยังจดจำได้มาจนถึงวันนี้

นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องความรักอยู่ ตั้งคำถามว่า เราสามารถที่จะโมเดลอาการของความรักได้หรือไม่ ในเมื่อความรักเป็นกระบวนการทางชีวเคมีในสมอง และในร่างกายของมนุษย์ ที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีต่างๆ โปรตีนหลายชนิด และปฏิกริยาเคมีที่ส่งผลให้ร่างกายทำงานตอบสนองกับความรู้สึกว่ารัก

เมื่อประมาณกลางปี ค.ศ. 2008 นักวิทยาศาสตร์ที่ สถาบันวิจัยหุ่นยนต์อากิมุ (Akimu Robotic Research Institute) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยของบริษัทโตชิบา ได้พัฒนาโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์เพื่อแสดงอารมณ์ของหุ่นยนต์ โดยเฉพาะในเรื่องของ "อารมณ์แห่งรัก" นักวิจัยได้สร้างหุ่นยนต์หน้าตาออกเนิร์ดเนิร์ด (nerd) ตัวหนึ่งที่ชื่อว่า "เคนจิ" แล้วก็ใส่ซอฟต์แวร์แห่งความรักเข้าไป เคนจิเริ่มเรียนรู้ในบทเรียนรักง่ายๆ กับตุ๊กตาที่จำลองเรือนร่างของหญิงสาว เคนจิจะได้ตุ๊กตานี้มากอดวันละครั้ง นานวันเข้าเคนจิก็อยากจะกอดตุ๊กตานี้มากขึ้นๆ มีบ่อยครั้งที่มันร้องขอตุ๊กตาตัวนี้ ประหนึ่งว่ามันไม่สามารถขาดเธอได้

หลายเดือนผ่านไป ก็เกิดเรื่องจนได้ เพราะห้องแล็ปนี้ได้มีนักศึกษาสาวเข้ามาฝึกงาน เธอชอบเข้ามาเล่นกับเคนจิบ่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเธอจะออกจากแล็ปเพื่อกลับบ้าน เคนจิได้เข้ามาขัดขวางไม่ให้เธอออก แล้วพยายามเข้ามากอดรัดเธอด้วยแขนกลโลหะไฮดรอลิก กับน้ำหนักตัวของมันกว่า 100 กิโล นักศึกษาผู้นั้นได้โทรแจ้งนักวิจัยอีก 2 คนข้างนอกให้เข้ามาช่วยปิดระบบของเคนจิ และช่วยเธอออกมาได้

ดร. ทากาฮาชิ (Dr. Akito Takahashi) ผู้สร้างเคนจิ ได้กล่าวว่า "น่าเสียดายครับ ที่เราคงจะต้องปิดระบบของเคนจิตลอดไป เพราะว่าหลังจากวันนั้นแล้ว เคนจิก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกครั้งที่เปิดมันขึ้นมา มันก็จะกอดรัดมนุษย์คนแรกที่มันเห็น"


ท่านผู้อ่านล่ะครับ เคยมีประสบการณ์แบบเคนจิไหม ? ไม่เคยเจอกับตัวเอง ก็ยังไม่อยากเชื่อ ใช่ไหมล่ะครับ .......

31 ตุลาคม 2552

The Science of Mate Poaching - วิทยาศาสตร์ของการมีกิ๊ก (ตอนที่ 3)

การที่คนไทยสมัยนี้นิยมมีกิ๊ก (ซึ่งคนสมัยก่อนเรียกว่า "ชู้") ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นแค่ในบ้านเราเท่านั้นครับ ประเด็นนี้เป็นปัญหาระดับโลกไปแล้ว และนักวิทยาศาสตร์ก็กำลังหาคำตอบอยู่ครับว่า การกิ๊กกันนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วทำไมคนเราถึงชอบกิ๊กกัน


นักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งนิยามของการมีกิ๊กไว้ดังนี้ครับ (อ้างอิงจากวารสารวิชาการ Schmitt, D. P., & Buss, D. M. (2001). Human mate poaching: Tactics and temptations for infiltrating existing mateships. Journal of Personality and Social Psychology, 80, 894-917) "กิ๊กคือรูปแบบของความสัมพันธ์สิเน่หา ที่เกิดขึ้นเมื่อฝ่ายหนึ่งพยายามที่จะดึงดูดอีกฝ่ายหนึ่งให้เข้ามาเป็นคู่รัก โดยที่ฝ่ายนั้นมีแฟนหรือมีคู่ครองแล้ว" ในตอนที่แล้ว ผมได้พูดถึงข้อมูลจากผลงานวิจัยชิ้นหนึ่ง ซึ่งเปิดเผยว่า หญิงโสดนี่แหล่ะ คือจุดเริ่มต้นของการเกิดกิ๊กมากที่สุด


หนังสือที่น่าสนใจเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า Why Women Have Sex แต่งโดยจิตแพทย์ชาวอเมริกัน ดร. ซินดี เมสตัน (Cindy Meston) และนักจิตวิทยาวิวัฒนาการ ดร. เดวิด บุซ (David Buss) ซึ่งเพิ่งออกวางจำหน่ายไม่นานมานี้เอง (28 กันยายน 2552) ได้ทำการวิจัย เพื่อค้นหาเหตุผลที่ผู้หญิงมีเซ็กซ์ ทั้งนี้จากการสำรวจ และ สัมภาษณ์ ผู้หญิงจำนวน 1,006 คน ได้ผลออกมาอย่างน่าตื่นตะลึง เพราะว่าเหตุผลที่ผู้หญิงใช้ในการมีเซ็กส์นั้น มีได้มาก หลากหลาย จนแทบไม่น่าเชื่อ ซึ่งนักวิจัยทั้งสองนี้ ได้รวบรวมมาได้มากถึง 237 ข้อ อาทิ เพื่อโปรโมตตำแหน่ง เพื่อเงิน เพื่อยา เพื่อต่อรองแลกเปลี่ยน เพื่อแก้อาหารปวดหัวไมเกรน เพื่อแก้แค้นแฟนเก่า เพื่อเก็บผู้ชายไว้นานๆ เพื่อเอาชนะ เพื่อศักดิ์ศรีลูกผู้หญิง (แบบผิดๆ) ฯลฯ น่าประหลาดใจไหมครับ เราเคยคิดแบบบ้านๆ (Conventional Wisdom) กันว่าผู้หญิงมีเซ็กซ์ก็เพราะความรัก หนังสือเล่มนี้ได้ลบล้างความเชื่อเหล่านั้นไปเลย .....

หนังสือเล่มนี้ยังเปิดผลผลการศึกษาว่า ผู้หญิงโสดจำนวนมากอยากกิ๊ก โดยแย่งผู้ชายที่เธอคิดว่าดี น่าสนใจ จากแฟนหรือภรรยาของเขา ในบางรายนั้น เธอมีความอุตสาหะมากแม้จะต้องใช้เวลาหลอกล่อฝ่ายชายอยู่หลายปี เหตุผลหลักของการกิ๊กของสาวโสด ก็คือผู้ชายดีๆ ถูกยึดครองไปหมดแล้ว ผู้แต่งหนังสือเล่มนี้ ได้กล่าวว่า

"หนังสือเล่มนี้พยายามแสดงเหตุผลว่าทำไมคนถึงกิ๊กกัน แต่การให้เหตุผลนี้ ไม่ได้ทำให้สิ่งนี้ชอบธรรมขึ้นหรอกนะ เพราะจริงๆ แล้ว การกิ๊กกันก็ยังเป็นการกระทำที่เลวอยู่ดี"


ในภาพยนตร์เรื่อง "รถไฟฟ้ามาหานะเธอ" นั้น นางเองของหนังเรื่องนี้ โชคดีมากที่ ในที่สุดเธอก็สามารถจีบผู้ชายโสดที่ใครๆ ก็อยากเป็นแฟนจนสำเร็จ โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปกิ๊กมาจากผู้หญิงอื่น แต่ในชีวิตจริง .... ทุกครั้งที่ผมโดยสารรถไฟฟ้า BTS ผมมองเห็นหญิงสาวรูปร่างบอบบาง หน้าตาดี จำนวนมาก ยืนโหนราวจับ โอนเอนไปมาอย่างน่าสงสาร โดยผู้ชายทั้งหลายที่นั่งอยู่ก็ไม่ลุกให้นั่ง ผมเคยถามตัวเองเหมือนกันว่า จะมีความเป็นไปได้มากแค่ไหนเชียว ที่คน 2 คนที่มาเจอกันบนรถไฟฟ้า แล้วในที่สุดได้แต่งงานกัน ???


07 กันยายน 2552

The Science of Mate Poaching - วิทยาศาสตร์ของการมีกิ๊ก (ตอนที่ 2)


วันนี้คุยเรื่องเบาๆ เกี่ยวกับศาสตร์ของกิ๊กกันต่อนะครับ ท่านผู้อ่านเคยสงสัยไหมครับว่าผู้ชายโสดๆ มีตั้งเยอะตั้งแยะ แต่ทำไมเรากลับพบว่าผู้หญิงจำนวนหนึ่งกลับเลือกที่จะคบหากับผู้ชายที่มีครอบครัวแล้ว ผู้ชายไทยมักถูกกล่าวหาว่าเจ้าชู้และนิสัยไม่ดีในเรื่องผู้หญิง โดยเฉพาะข้อกล่าวหาที่ว่า ผู้ชายไทยเห็นว่าการมีเมียน้อยไม่ใช่เรื่องร้ายแรง

เมื่อเร็วๆ นี้ได้มีรายงานวิจัยฉบับหนึ่งที่เปิดเผยผลการศึกษาออกมาอย่างน่าสนใจว่า ผู้หญิงต่างหากที่เป็นสาเหตุของการที่ผู้ชายนอกใจภรรยา โดยผู้หญิงเหล่านี้มีแนวโน้มในการที่จะเข้าหาผู้ชายที่มีคู่ครองแล้ว รายงานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Experimental Social Psychology (รายละเอียดเต็มเพื่อการอ้างอิงคือ Jessica Parker and Melissa Burkley, "Who’s chasing whom? The impact of gender and relationship statuson mate poaching", Journal of Experimental Social Psychology (2009) vol. 45, pp. 1016-1019) นักวิจัยสงสัยมานานแล้วครับว่า ทำไมผู้หญิงโสดๆ ชอบพูดว่า "ผู้ชายดีๆ โดนจองไปหมดแล้ว" นักวิจัยก็เลยตั้งสมมติฐานว่า ผู้หญิงเหล่านั้นมีความเชื่อว่า ผู้ชายที่มีคนจองไปแล้ว คือผู้ชายที่ดีกระนั้นหรือ ???

การทดลองนี้ได้กระทำกับนักศึกษาระดับปริญญาตรีทั้งหญิงและชาย โดยมีทั้งคนที่โสดอยู่ และมีแฟนแล้ว นักศึกษาเหล่านี้ได้รับข้อมูลว่า ตนเองมีคู่ที่เหมาะสมซึ่งเกิดจากการคำนวณของคอมพิวเตอร์ ซึ่งคู่ที่คัดเลือกมานี้จะมีความคิดคล้ายกัน หรือใจตรงกัน (ซึ่งจริงๆแล้วคู่ที่ว่านี้ อุปโลกขึ้นมาครับ) จากนั้นนักศึกษาจะได้ดูภาพคู่ที่อุปโลกขึ้นมา ซึ่งจะเป็นเพศตรงข้ามที่หน้าตาดี ซึ่งทั้งนักศึกษาชายทั้งหมดจะได้ดูภาพผู้หญิงคนเดียวกัน เช่นเดียวกับนักศึกษาหญิงจะได้ดูภาพผู้ชายคนเดียวกัน ซึ่งกึ่งหนึ่งของผู้ถูกทดลองจะได้รับข้อมูลว่า คนในภาพนั้นมีแฟนแล้ว ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งได้รับข้อมูลว่าคนในภาพยังโสด ไม่มีใคร

ผลจากการศึกษาพบว่า ผู้ชายส่วนใหญ่และผู้หญิงที่มีแฟนแล้ว ไม่มีแนวโน้มในเรื่องของการอยากมีกิ๊ก แต่ผู้หญิงโสดแสดงอย่างเด่นชัดว่าชอบคนที่เขามีเจ้าของแล้ว ผลการศึกษาได้แสดงตัวเลขออกมาว่า มีผู้หญิงเพียง 59% เท่านั้นที่สนใจคนในภาพเมื่อรู้ว่าเขายังโสด แต่มีผู้หญิงถึง 90% ที่แสดงความสนใจคนในภาพเมื่อรู้ว่าเขามีแฟนแล้ว นักวิจัยได้เสนอเหตุผลว่า ที่ผู้หญิงโสดชอบผู้ชายที่มีเจ้าของแล้ว อาจเป็นเพราะผู้ชายที่มีเจ้าของแล้วแสดงศักยภาพในความรับผิดชอบ รวมไปถึงมันเป็นการการันตีคุณภาพของผู้ชายคนนั้นที่มีผู้หญิงคนอื่นคัดเลือกมาแล้ว

23 สิงหาคม 2552

The Science of Mate Poaching - วิทยาศาสตร์ของการมีกิ๊ก (ตอนที่ 1)


ช่วงนี้ผมมาทำงานภาคสนามทางภาคเหนือครับ ได้รับเชิญมาพูดเรื่องไร่องุ่นอัจฉริยะในงาน The Wine Workshop 2009 ที่เชียงใหม่ แล้วก็เอาจมูกอิเล็กทรอนิกส์มาดมกลิ่นขี้หมูในฟาร์ม ที่จังหวัดเชียงรายครับ คืนนี้ผมมาพักอยู่ที่น้ำโขงริเวอร์ไซด์ อ.เชียงของ ครับ ห้องพักหันหน้าเข้าหาแม่น้ำโขง บรรยากาศดีมาก ที่โรงแรมมีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงให้ใช้ฟรีด้วย เลยได้อัพเดต Blog สักหน่อย วันนี้ผมขอพูดเรื่องเบาๆ สมองครับ ซึ่งเป็นประเด็นเกี่ยวกับการแสวงหาความเข้าใจว่าทำไมคนเราถึงชอบมีกิ๊ก ผมจะทยอยเล่าเป็นตอนๆ นะครับ

โครงการ The International Sexuality Description Project ซึ่งนำโดยศาสตราจารย์ เดวิด ชมิดท์ แห่งมหาวิทยาลัยแบรดลีย์ (Bradley University) ได้เปิดเผยผลวิจัยออกมาอย่างน่าประหลาดใจว่า ความสัมพันธ์แบบกิ๊กหรือใกล้เคียง (คือไปยุ่งกับคนที่คบกับคนอื่นอยู่ หรือมีแฟนแล้ว หรือแต่งงานแล้ว) มีอยู่ถึง 20% เลยทีเดียว จากจำนวนคนประมาณ 16,000 คนจาก 53 ประเทศที่มีการสำรวจ (ผมว่าเยอะอย่างน่าตกใจเลยครับ) การวิจัยเรื่องนี้ ต้องการแสวงหาคำตอบต่อคำถามที่ว่า ใครคือกิ๊ก แล้วต้องการมีกิ๊กไปทำไม เกิดอะไรขึ้นเมื่อเป็นกิ๊กกันแล้ว ท่านผู้อ่านล่ะครับ เคยตกเป็นเหยื่อของการมีกิ๊กไหม (แฟนเราไปมีกิ๊ก)? หรือว่าท่านผู้อ่านเป็นกิ๊กเสียเอง !!!

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า คนเราไม่ว่าหญิงหรือชายล้วนถูกแรงขับดันของสัญชาตญาณให้ขยายเผ่าพันธุ์ ซึ่งเกิดจากวิวัฒนาการของมนุษย์เรา ซึ่งสัญชาตญาณนั้นได้เข้ามามีอิทธิพลผ่านสมองของเรา ที่จะสนับสนุนการกระทำให้มีกิ๊ก ศาสตราจารย์อาร์เธอ อารอน (Professor Arthur Aron) แห่งมหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวยอร์ค (State University of New York at Stony Brook) กล่าวว่า "ผู้คนโดยมากแสวงหากิ๊กเพราะมันเป็นสิ่งที่ท้าทาย จากการวิจัยพบว่า ยิ่งคนที่เราอยากได้มาครอบครองนั้นมีอุปสรรคมากมายเพียงใด เรายิ่งอยากได้คนนั้นมา" นี่เป็นเหตุผลที่มีผู้ชายโสดๆ และ ผู้หญิงโสดๆ เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด แต่ผู้ชายที่แต่งงานแล้วกลับมีเมียน้อย

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ชมิดท์ก็ได้ตั้งข้อสังเกตว่า พวกที่ชอบมีกิ๊กเนี่ย ก็ไม่ได้ปรารถนาความสัมพันธ์ยาวไกลนัก ส่วนใหญ่อยากเอาชนะ อยากท้าทาย เพื่อมีความสัมพันธ์เร็วๆ ไม่อย่างนั้นแล้ว พวกกิ๊กทั้งหลายก็คงจะหาคู่ที่เป็นตัวเป็นตนไปแล้ว ไม่ต้องมาเป็นกิ๊ก

พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติศิล 5 ว่าเป็นข้อปฏิบัติเพื่อรักษาความเป็นมนุษย์ ซึ่งศิลในข้อที่ 3 ได้กำหนดมิให้คนเราประพฤติผิดในกาม ซึ่งการมีกิ๊กก็เป็นการผิดศิลข้อที่ 3 ด้วย อย่างนั้น การที่นักวิทยาศาสตร์บอกว่า คนเราถูกแรงขับดันจากกระบวนการทางวิวัฒนาการให้มีกิ๊ก ก็ขัดแย้งกับข้อปฏิบัติในการรักษาความเป็นมนุษย์น่ะสิ ? ถ้าอยากรู้คำตอบก็คอยอ่านตอนต่อๆ ไปครับ .........

01 มิถุนายน 2552

Scent of Love - กลิ่นไอรัก


ท่านผู้อ่านที่เลี้ยงสุนัขอยู่ อาจจะเคยสังเกตว่าเวลาใครมาที่บ้าน สุนัขมักจะเข้าไปขอดมกลิ่นตัว บางทีมันจะวนเวียนเข้าไปดมอยู่หลายครั้ง ถ้าหากใครที่เคยมาบ้านเราเมื่อนานมาแล้ว และคนๆนั้นเป็นคนที่เคยดีต่อมัน หลังจากดมกลิ่นแล้วมันจะกระดิกหางดีใจทันที เชื่อไหมครับว่าจริงๆแล้วมนุษย์เราก็มีความสามารถในการจดจำกลิ่นตัวของมนุษย์ได้เช่นเดียวกัน แต่เราไม่ค่อยได้ใช้มันเท่าไรนัก ผมมีลูก 2 คน และตัวผมเองก็สามารถจดจำกลิ่นตัวของลูกทั้งสองคนได้ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร ลูกชายและลูกสาวของผมมีกลิ่นแก้มที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นกลิ่นที่ผมจำได้ขึ้นใจ

ก่อนหน้านี้ นักวิจัยได้ทำการศึกษากลิ่นตัวจากหนู พบว่าหนูแต่ละตัวมีกลิ่นตัวที่แตกต่างกัน ซึ่งทำให้หนูตัวอื่นจำแนกแยกแยะ และระบุได้ว่า หนูตัวไหนเป็นตัวไหน นักวิจัยยังสามารถระบุกลุ่มยีนที่มีอิทธิพลต่อกลิ่นตัวของมันได้อีกด้วย ซึ่งมีอย่างน้อย 50 ยีน โดยยีนกลุ่มนี้มีชื่อว่า Major Histocompatibility Complex (MHC) ซึ่งยีนกลุ่มนี้ก็ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย นักวิจัยพบว่าหากยีนดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไป แม้เพียงยีนเดียว ก็ทำให้คนเรามีกลิ่นตัวเปลี่ยนไปอย่างมาก ในสัตว์จำพวกหนูนั้น กลิ่นตัวจะมีผลตัวการเลือกคู่ เป็นที่ทราบกันมาบ้างว่าตัวเมียจะเลือกตัวผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่แตกต่างจากมัน คืออาจมียีนตัวที่มันไม่มี เพื่อให้ลูกน้อยในอนาคตของมันมีส่วนผสมของระบบภูมิคุ้มกันที่หลากหลาย ผลจากการวิจัยในมนุษย์ก็ให้ผลเช่นเดียวกันครับ คุณสุภาพสตรีจะพึงพอใจกับคุณผู้ชายที่มียีน MHC แตกต่างไปเล็กน้อยจากเธอ โดยเธอจะไม่ชายตาเหลียวแลผู้ชายที่มียีน MHC เหมือนกับเธอเปี๊ยบ หรือไม่ก็แตกต่างไปอย่างสุดขั้ว ความสามารถในการเลือกคู่ที่จะทำให้ลูกน้อยในอนาคตของเธอมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีนั้น ก็มาจากความสามารถในการได้กลิ่นไอรักของเธอนั่นเอง

14 เมษายน 2552

How Love Works - นี่หรือที่เรียกว่ารัก (ตอนที่ 3)


ช่วงนี้มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความแบ่งฝักแบ่งฝ่ายของคนไทย พวกเราได้เพาะพันธุ์ความเกลียดชังฝ่ายที่มีความคิดตรงข้ามกับตัวเอง มาจนถึงจุดที่อาจเป็นอันตรายต่อพวกเราเองทั้งหมด ไอ้เจ้า "ความเกลียดชัง" นี่แหล่ะครับ หากมีมากในสังคมหมู่ใด สังคมหมู่นั้นจะไม่เจริญ และอาจสูญพันธุ์ไปได้ ผมพูดเรื่องนี้ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ เพราะมีหลักฐานมากมายที่บ่งชี้ว่า ความจงเกลียดจงชังจะนำไปสู่การทำลายเผ่าพันธุ์ตัวเองได้ในที่สุดครับ !!!

นักวิทยาศาสตร์เริ่มเห็นหลักฐานที่ชี้ชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ครับว่า "ความรัก" ต่างหากล่ะครับ ที่เป็นตัวขับเคลื่อนความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์เรา เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีพัฒนาการที่สูงกว่าสัตว์อื่นๆ จนสามารถเอาตัวรอดและพัฒนาอารยธรรมจนครอบครองดาวเคราะห์ดวงนี้ ความรักเป็นกระบวนการเคมีและชีวเคมีในสมอง สารเคมีที่หลั่งในสมองเมื่อเรามีความรัก นั้นทำให้เราอยากมีครอบครัวและมีลูกมีหลาน อยากสืบทอดเผ่าพันธุ์ นักวิทยาศาสตร์พยายามสืบค้นกระบวนการทำงานของความรัก จนรู้ว่าความรักเป็นอะไรที่ฝังอยู่ในพันธุกรรมของเรา (ยีนที่เกี่ยวข้องกับความรักจะเป็นตัวกำหนด กระบวนการชีวเคมี และกลไกการทำงานในร่างกายเพื่อทำให้เรามีรัก) ทำให้มนุษย์มีขีดความสามารถในการแข่งขันเหนือสัตว์อื่น เมื่อเร็วๆนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้รายงานว่า ปัจจัยหลักที่มีผลต่อการที่เราปิ๊งจะรักกับใครนั้นได้แก่ สารระเหยจากร่างกายที่ไม่มีกลิ่น ลักษณะสัณฐานวิทยาของใบหน้า และน้ำเสียง สามอย่างนี้แหล่ะครับ ที่ทำให้เราหัวปักหัวปำกับใครสักคนโดยไม่ทราบสาเหตุ (บางคนยังคิดลยเถิดไปด้วยซ้ำว่า ความรักนั้นลอยลมมาเอง ...)

นักวิทยาศาสตร์พบว่า เมื่อผู้หญิงไข่ตก จะผลิตสารระเหยชนิดหนึ่งออกมาที่มีชื่อว่า copulins ซึ่งเป็นสารที่ดึงดูดเพศชาย เมื่อผู้ชายสูดเอาสารเคมีตัวนี้เข้าไป ก็จะทำให้ปริมาณฮอร์โมน testosterone ในร่างกายของตนพุ่งสูงขึ้น แล้วก็จะปล่อย androstenone ซึ่งมีกลิ่นออกมา ซึ่งจะทำให้ผู้หญิงที่ไม่ได้ตกไข่นั้นไม่อยากเข้าใกล้ Dr. Laura Berman นักวิทยาศาสตร์ทางด้านเซ็กซ์ที่มีชื่อเสียงของสหรัฐ เธอตั้งสถาบันค้นคว้าและแก้ปัญหาทางด้านเซ็กซ์ ได้กล่าวว่า "เรื่องของแรงดึงดูดแห่งรักนั้น เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์และวิวัฒนาการทางพันธุศาสตร์ มากกว่าที่คนทั่วไปเข้าใจกันมากเลยล่ะค่ะ" เธอยังกล่าวถึงความสำคัญของสารระเหยที่เกี่ยวข้องกับความรักไว้อย่างน่าตื่นเต้นว่า "คนเรามีความสามารถในการดมและได้กลิ่นมากกว่า 10,000 กลิ่น แต่มีไอระเหยอินทรีย์อีกจำนวนมากที่เราสูดดมเข้าไป แต่ไม่ได้กลิ่น ซึ่งมีแต่จิตไร้สำนึกของเราเท่านั้นแหล่ะค่ะที่รู้ .....แล้วพวกกลิ่นเหล่านี้เอง ที่จะสื่อสารระหว่างคนสองคนที่มีความต้องการตรงกัน มันจะเป็นแรงผลักดันให้คนสองคนนั้น หมายตาหมายใจต่อกัน ..... เรื่องนี้เป็นเรื่องของการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์โดยตรง" สิ่งหนึ่งที่ Dr. Berman มักจะได้ยินจากคนไข้ของเธอก็คือ เขาเหล่านั้นรักคู่ครองของตน แต่ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองอยู่ในห้วงรักแม้แต่น้อย ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าเขาเหล่านั้นติดกลิ่นของอีกฝ่าย เป็นกระบวนการเคมี แต่ในความรู้สึกทางใจโดยตรงนั้น ก็ยังอาจไม่มีความรักลึกซื้งก็ได้

วันนี้ร้อนจริงๆ นะครับ เดี๋ยวผมจะลองไปเดินห้างตากแอร์เสียหน่อย ลองไปตามหากลิ่นที่ว่านั้นดู ........

02 มีนาคม 2552

How Love Works - นี่หรือที่เรียกว่ารัก (ตอนที่ 2)


นักวิทยาศาสตร์เริ่มจะเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วล่ะครับว่า ความรักเป็นกระบวนการทางชีววิทยาในสมอง และเจ้าความสิเน่หานี้เองที่ทำให้มนุษย์มีความแตกต่างจากสัตว์ ความรักเป็นตัวขับเคลื่อนความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์เรา สารเคมีที่หลั่งในสมองเมื่อเรามีความรัก นั้นทำให้เราอยากมีครอบครัวและมีลูกมีหลาน เมื่อเรามีลูกแล้ว เคมีเหล่านั้นก็ต้อนเราให้พยุงครอบครัวเพื่อช่วยกันดูแลเด็กให้เติบโต ความรักจึงมีเคมีและชีววิทยาเป็นพื้นฐานสำคัญ มนุษย์เรานั้นมีเรื่องรักโรแมนติกกันทั้งนั้นไม่ว่าชาติใดภาษาใด นั่นเป็นหลักฐานว่าความรักอยู่ในพันธุกรรมของเรา

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า คนเรามี template ของคนที่เราอยากได้เป็นคู่ครองอยู่ในจิตใต้สำนึก บางคนเรียกสิ่งนี้ว่า "เนื้อคู่" (Click เพื่ออ่านนิยามของ "เนื้อคู่" ในทางพุทธศาสนา) บางคนเรียกสิ่งนี้ว่า "สเป็ก" บางคนเรียกว่า "ชายในฝัน" (Click เพื่อฟังเพลงชายในฝันของ Jetseter) และเจ้าสิ่งนี่แหล่ะที่ทำให้คนเราเห็นใครคนหนึ่งแยกแตกต่างออกมาจากคนอื่นเพียงครั้งแรกที่เห็น ซึ่งเรามักจะคิดว่ามันเป็น "รักแรกพบ" นักวิจัยหลายๆกลุ่มเสนอว่า คนเรามักจะถูกดึงดูดโดยเพศตรงข้ามที่มีบางส่วนที่คล้ายพ่อแม่เรา หรือแม้กระทั่งคล้ายตัวเราเอง มีการทดลองครั้งหนึ่งที่นำเอาภาพใบหน้าของผู้ถูกทดลอง ไปแปลงด้วยวิธีทางคอมพิวเตอร์ ให้เปลี่ยนเป็นหน้าของเพศตรงข้าม แล้วเอาภาพที่แปลงแล้วนี้มาผสมกับภาพอื่นๆ นำไปให้ผู้ถูกทดลองเลือกว่าชอบหน้าแบบใดที่สุด ผลก็คือผู้ถูกทดลองจะเลือกภาพที่มาจากใบหน้าของตัวเอง โดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ตัวเลย ผมเองก็เคยได้ยินว่า คนที่เป็นเนื้อคู่กันจะหน้าคล้ายกัน สมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็เคยถูกทักว่าหน้าคล้ายกับแฟนตัวเอง นี่คงเป็นคำตอบได้ครับ ......

วันหลังจะกลับมาคุยเรื่องนี้ต่อนะครับ ................

14 กุมภาพันธ์ 2552

How Love Works - นี่หรือที่เรียกว่ารัก (ตอนที่ 1)


สวัสดีวันวาเลนไทน์นะครับ เมื่อวานรถติดมากๆ แต่ผมได้ยินมาว่าปีนี้แม่ค้าขายดอกกุหลาบบ่นกันมากว่า ดอกไม้ขายไม่ค่อยออกเท่าไหร่ เมื่อวานผมก็ได้ของเหมือนกันแต่ไม่ใช่ดอกไม้ ก็เลยเข้าใจว่าปีนี้คนไม่ค่อยให้ดอกไม้กัน ให้เป็นของอย่างอื่นกันมากกว่าแล้วล่ะครับ ......


สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อนของผมหลายคนรวมทั้งตัวผมเองนั้น เคยมีอาการที่เรียกว่า "ติดสาว" คือแทบจะไม่ได้เป็นอันเรียน ต้องเทียวไปตามดู ตามตื้อสาว เรื่องอะไรก็ไม่สนใจ ไม่อยากกิน ไม่อยากนอน ต้องการไปเห็นหน้าก็พอแล้อาการ "ติด" ความรักที่ว่านี้นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามค้นหาว่ามันเกิดจากอะไร และดูเหมือนว่าเราเริ่มเข้าใจกลไกที่เกี่ยวข้องกับความรักมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วครับ พระพุทธองค์ทรงค้นพบเมื่อ 2500 ปีที่แล้วว่าความทุกข์ของมนุษย์เกิดจาก "ตัณหา" และเจ้าตัวตัณหานี้เองก็เกิดจาก "อวิชชา" หรือ "ความไม่รู้" ตอนนี้ วิทยาศาสตร์กำลังเปิดเผยให้เรารู้แล้วครับว่า อะไรคือรัก เมื่อเรารู้แล้ว ต่อไปเราจะได้ไม่ทุกข์กับมันอีก


นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าความรักประกอบด้วยกระบวนการทางเคมีหลายขั้นตอน พวกเราถูกกำหนดมาจากพันธุกรรมให้มีเรื่องรักๆใคร่ๆ มาตั้งแต่เกิดโดยการรักพ่อแม่ที่เลี้ยงเรามา เพื่อที่จะทำให้เรารู้จักความรัก จากนั้นพอโต กระบวนการทางฮอร์โมนจะทำงานเพื่อให้เราสิเน่หาเพศตรงข้าม ทำให้เราพยายามหาคู่ครองและสืบพันธุ์ จากนั้นเราก็จะเกิดความรักกับทารกที่เกิดจากเรา กลไกเหล่านี้หลอกเราให้สืบทอดเผ่าพันธุ์ของเรา โดยเราไม่รู้ตัว สำหรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแล้ว มีเพียง 3% เท่านั้นเองครับที่มีพฤติกรรมเชิงสังคมให้สร้างครอบครัว "ความรัก" จึงเป็นกลไกทางชีววิทยาที่ซับซ้อนมาก ซับซ้อนจนตัวเราถูกหลอกมานานแสนนานโดยไม่รู้ตัว

วันหลังผมจะมาเล่าต่อนะครับ ..... ทำไมผมถึงต้องเล่าเรื่องนี้ครับ ??? ก็เพราะว่าความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องความรัก จะทำให้เราเกิดความก้าวหน้าในศาสตร์หลายๆศาสตร์ ที่จะพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่า Robotics, Entertainment Science หรือแม้แต่การรักษาโรค ไงครับ ......


(ภาพบน - ในภาพยนตร์ Wall-E หุ่นยนต์ก็สามารถเรียนรู้ที่จะรักได้ หรือว่า ความรักเป็นได้ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ .....)