แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ animal farm แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ animal farm แสดงบทความทั้งหมด

07 ธันวาคม 2552

Smart Aquaculture - ฟาร์มเลี้ยงสัตว์น้ำอัจฉริยะ (ตอนที่ 1)


สวัสดีครับ วันนี้ยังคงเป็นวันหยุดยาวที่แสนสบาย ในช่วงสัปดาห์หน้าผมจะออกภาคสนามที่ จ.สุราษฎร์ธานี ก็เลยอยากจะเขียนเรื่องราวหนึ่ง ที่ผมไม่เคยเขียนมาก่อน นั่นคือการนำเอาเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ เทคโนโลยีหุ่นยนต์ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ ไปใช้ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ทั้งแบบที่เป็นระบบเปิดในทะเลลึกและใกล้ชายฝั่ง หรือเป็นระบบปิดบนฝั่ง ซึ่งกำลังจะกลายมาเป็นเทรนด์ใหม่ ทางด้านการประมงแห่งศตวรรษที่ 21 ผมจะทยอยนำเอาแนวคิด รวมไปถึงเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถนำมาใช้ในธุรกิจทางด้านนี้ มาเล่าให้ฟังครับ

บริษัท Open Blue Sea Farms แห่งสหรัฐอเมริกา เป็นบริษัทหนึ่งที่วิจัยพัฒนาการเพาะเลี้ยงปลาในทะเลลึก โดยใช้คอกเพาะเลี้ยงที่ทำให้สภาพแวดล้อมของปลาที่อาศัยอยู่ในนั้น ไม่ต่างจากสภาวะในทะเลจริง ปลาจะผสมพันธุ์และเจริญเติบโตเหมือนในธรรมชาติ บริษัทนี้ก่อตั้งโดยเด็กอายุ 17 ปี ซึ่งเขาเริ่มต้นด้วยการขับเรือออกไปในทะเล 80 กิโลเมตร เพื่อไปจับปลาเป็นๆ มาหัดเพาะเลี้ยงในแท็งค์น้ำใหญ่ที่บ้าน จนเขาเรียนรู้ที่จะเพาะเลี้ยงปลาทะเลสำหรับรับประทาน ให้สามารถเติบโตในสภาวะแท็งค์น้ำได้ ปัจจุบัน ไบรอัน โอฮันลอน (Brian O'Hanlon) มีอายุ 29 ปี และเขามีแผนการใหญ่ที่จะเพาะเลี้ยงปลาในกระชังใต้ทะเลลึกลงไปเกือบ 80 เมตร โดยใช้กรงที่มีลักษณะเหมือนบอลลูน สิ่งประดิษฐ์นี้มีชื่อว่า Aquapod มันทำจากวัสดุที่เหนียวและทน ซึ่งฟาร์มใต้ทะเลของเขาเคยผ่านประสบการณ์จากพายุเฮอริเคนมาแล้ว โดยไม่เป็นอะไรเลย Aquapod นี้มีระบบการให้อาหารด้วยการเป่าเม็ดอาหารปลาให้กระจายตัว มีการติดกล้องวงจรปิดเพื่อติดตามความเป็นไปของปลา เพื่อลดการเสี่ยงภัยในการลงไปเก็บข้อมูลด้วยนักประดาน้ำ

การเพาะเลี้ยงปลาในทะเลเปิดแบบนี้ ดีกว่าการเพาะเลี้ยงบนบกอย่างที่บริษัทซีพีของเราชอบทำครับ เพราะการประมงแบบนั้น ทำลายสิ่งแวดล้อม ป่าชายเลน แถมยังมีการใช้สารเคมีมากมายเพื่อต่อสู้กับโรคภัยต่างๆ

23 พฤศจิกายน 2552

The Future of Meat - อนาคตของอาหารเนื้อสัตว์ (ตอนที่ 6)


ตอนเด็กๆ ผมเคยครุ่นคิดว่า การที่คนเรารับประทานเนื้อสัตว์ ซึ่งเป็นการไปคร่าชีวิตผู้อื่น เพื่อที่จะนำเนื้อหนังของเขามาดำรงชีพนั้น เป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่ สัตว์เหล่านั้นจะต้องเจ็บปวดทรมานก่อนสิ้นลม โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่อย่างวัว ผมเคยเห็นมันร้องไห้กับตาตนเอง มันทุรนทุรายเพื่อหนีไม่ให้คนมาจับมันขึ้นรถไปโรงฆ่าสัตว์

นักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการบริโภคเนื้อสัตว์ ด้วยการทรมานชีวิตสัตว์ กำลังขวนขวายทำวิจัยเพื่อพัฒนาวิธีการปลูกเนื้อสัตว์ (in vitro meat) ซึ่งจะเป็นการได้เนื้อสัตว์มาจากการเพาะเลี้ยง เฉกเช่นเดียวกับการปลูกพืชให้ได้ผลผลิต การปลูกเนื้อสัตว์สามารถทำได้ด้วยการเพาะเลี้ยงเซลล์กล้ามเนื้อ ซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นใยที่มีความสามารถในการยืด-หดตัว ซึ่งเซลล์เหล่านี้จะมีหลอดเลือดหล่อเลี้ยง และมีชั้นไขมันเพื่อเป็นแหล่งพลังงาน องค์ประกอบง่ายๆ เหล่านี้ทำให้นักวิจัยเชื่อว่า อีกไม่นาน เราน่าจะปลูกเนื้อสัตว์สำหรับการบริโภคในเชิงพาณิชย์ได้

การปลูกเซลล์กล้ามเนื้อจะทำในของเหลวที่มีสารอาหารต่างๆ เช่น กรดอะมิโน น้ำตาลกลูโคส เกลือแร่ และ ซีรั่มซึ่งเลียนแบบสารละลายของเลือด นักวิจัยต้องใช้วิธีกระตุ้นให้เซลล์กล้ามเนื้อเหล่านั้นเติบโต เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหว ออกกำลังกาย ที่ทำให้กล้ามเนื้อเจริญเติบโต ซึ่งวิธีการที่นิยมใช้กันตอนนี้ คือการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า และการใช้ฮอร์โมน ศาสตราจารย์ มาร์ค โพสต์ (Professor Mark Post) แห่งภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งไอน์โฮเฟน (Eindhoven University of Technology) ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเดิมท่านเป็นหมอทางด้านหลอดเลือดหัวใจ (Angiogenesis) แล้วพลิกผันมาเป็นนักวิจัยชั้นนำทางด้านการปลูกสัตว์ไปแล้ว ซึ่งขณะนี้ประเทศเนเธอร์แลนด์ได้จัดตั้งคอนซอร์เทียมขึ้นมา เพื่อจะเป็นผู้นำในการพัฒนาการปลูกเนื้อสัตว์ ซึ่งเนื้อไก่กำลังเป็นที่สนใจในสหภาพยุโรป ศาสตราจารย์ โพสต์ ท่านได้กล่าวว่า "ผมคิดว่าไม่น่าเกิน 10 ปี เราจะสามารถผลิตเนื้อไก่แบบนักเก็ตส์ ได้"


หากคำกล่าวของศาสตราจารย์ โพสต์ เป็นจริง อีก 10 ปี เราจะเริ่มเห็นการกีดกันทางการค้าจากสหภาพยุโรป เนื้อไก่จริงจะเริ่มถูกกีดกัน ด้วยข้อหาทรมานสัตว์ ไก่ส่งออกของไทยที่มีมูลค่ากว่า 50,000 ล้านบาทต่อปี (พ.ศ. 2551) คงจะหาอนาคตไม่เจอ ...........

20 ตุลาคม 2552

The Future of Meat - อนาคตของอาหารเนื้อสัตว์ (ตอนที่ 5)


การที่คนเราหันมาบริโภคเนื้อสัตว์ (จริงๆ) กันน้อยลง แล้วหันไปทานเนื้อสัตว์ปลูก (in vitro meat) แทนในอนาคต นอกจากจะเป็นเรื่องดีในแง่ของความเป็นสัตว์ประเสริฐของมนุษย์เรา ที่จะได้เผื่อแผ่ความเมตตากรุณาให้แก่สัตว์อื่น จริงๆ แล้ว การบริโภคเนื้อสัตว์ให้น้อยลง นอกจากจะเป็นผลดีต่อสุขภาพของเราแล้ว มันยังเป็นผลดีต่อสุขภาพของโลกด้วยครับ

นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่า วัวตัวเต็มวัยตัวหนึ่ง ผายลมเอาก๊าซมีเธนออกมาปีละ 180 กิโลกรัม ซึ่งก๊าซมีเธนนี้เป็นก๊าซเรือนกระจก ที่ดักจับความร้อนในชั้นบรรยากาศของโลกได้ดีกว่า คาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25 เท่า การผลิตเนื้อวัวนั้นทำลายสิ่งแวดล้อมมากที่สุด เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับเต้าหู้ ซึ่งเป็นอาหารหลักของนักมังสวิรัติแล้ว มันใช้พื้นที่เกษตรกรรมมากกว่าเป็น 17 เท่า ใช้น้ำมากกว่า 26 เท่า ใช้เชื้อเพลิงมากกว่า 20 เท่า แถมยังใช้สารเคมีมากกว่าอีก 6 เท่า จากรายงานขององค์กรอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (UN's FAO) พบว่าอุตสาหกรรมปศุสัตว์ปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาทั้งหมด 18% ซึ่งมากกว่ารถยนต์ รถไฟ เรือ และเครื่องบิน รวมกันเสียอีก ดังนั้น เพียงแค่เราเปลี่ยนจากทานเนื้อ 1 กิโลกรัม มาเป็นเต้าหู้ 1 กิโลกรัม เราจะช่วยโลกนี้ได้มากแค่ไหน

สำหรับผู้ที่ไม่สามารถเลิกกินเนื้อสัตว์ได้ ลองชั่งใจดูนะครับระหว่างการกินเนื้อวัว เนื้อหมู หรือ เนื้อไก่ อะไรจะดีกว่ากันสำหรับโลกใบนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้วิจัยพบว่า การผลิตเนื้อวัว 1 กิโลกรัมนั้นใช้พื้นที่มากกว่าการผลิตเนื้อไก่ถึง 7 เท่า และมากกว่าเนื้อหมู 15 เท่า ดังนั้นผู้ที่ถือสัตยาธิษฐานกับพระโพธิสัตว์กวนอิม ว่าจะไม่รับประทานเนื้อวัว จึงถือเป็นการลดโลกร้อนอย่างอัตโนมัติครับ ........

The Future of Meat - อนาคตของอาหารเนื้อสัตว์ (ตอนที่ 4)


หายไป 2-3 วันครับ หลังกลับมาจากประชุมของ สกว. ที่ชะอำ ผมก็เป็นไข้ นอนซมอยู่ 2 วันครับ เมื่อคืนอยากจะลุกมาเขียน Blog ก็หมดแรง วันนี้พอลุกขึ้นได้แล้ว แต่พรุ่งนี้ก็ต้องออกเดินทางอีก พาครอบครัวไปพักผ่อนที่ เชียงใหม่ กับ ปาย ครับ ช่วงนี้ใกล้จะถึงหน้าท่องเที่ยวของภาคเหนือแล้ว เลยต้องรีบไปเที่ยวตัดหน้าคนอื่นครับ ไม่อยากไปตอนที่คนเยอะๆ ไปตอนนี้ก่อนคนอื่นจะได้ธรรมชาติใหม่ๆ สดๆ

ช่วงที่ผมไม่สบาย ผมมีความรู้สึกอยู่อย่างหนึ่งคือ ไม่อยากทานเนื้อสัตว์เลย อยากกินแต่ผักผลไม้ นี่ก็เป็นสิ่งบ่งชี้หนึ่งที่แสดงว่า ผักและผลไม้ เป็นสิ่งที่ร่างกายต้องการมากกว่าเนื้อสัตว์ เวลาคนเราเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย และต้องการฟื้นฟูสุขภาพ อีกทั้งคนที่ไม่ทานเนื้อสัตว์เลย ก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ แถมกลับพบว่ามีสุขภาพดีกว่าคนที่ทานเนื้อสัตว์เสียอีก แต่ถ้าเรายังไม่อาจที่จะเลิกทานเนื้อสัตว์ได้ มีทางเลือกอื่นๆ ไหม ที่จะเป็นการเบียดเบียนชีวิตอื่นให้น้อยลง ???


(1) เนื้อสัตว์ที่ปลูกได้ต้องเป็นเนื้อไก่ ซึ่งจะต้องมีรสชาติและรูปกาย (Texture) ไม่ต่างจากเนื้อไก่ของจริง โดยคนที่นิยมทานเนื้อสัตว์ กับ คนที่เป็นมังสวิรัติ ต้องทานแล้วถูกปาก
(2) เนื้อไก่ที่ปลูกขึ้นมานี้ ต้องผลิตในจำนวนที่มากพอจะขายได้ ด้วยราคาที่แข่งขันได้กับเนื้อไก่ของจริง (ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศไทย)
(3) ขณะนี้ทาง Peta ได้ทำการฝึกนักชิมประมาณ 10 คน เตรียมความพร้อมเพื่อจะชิมเนื้อไก่ที่เกิดจากการปลูก โดยจะใช้มาตรฐานการชิมเนื้อไก่ที่ได้รับการยอมรับ

ทาง Peta ได้กำหนด Deadline เอาไว้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2012 ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่าเป็นการกำหนดวันที่ค่อนข้างมองโลกในแง่ดีไปสักนิด เมื่อคำนึงถึงสถานการณ์ความก้าวหน้าในศาสตร์ของการปลูกสัตว์ในขณะนี้ ซึ่งถือว่ายังมีจำนวนนักวิจัยที่เข้ามาทำงานในด้านนี้น้อยมากๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลก เมื่อพิจารณาขนาดของอุตสากรรมนี้ว่ายิ่งใหญ่เพียงใด

แน่นอนครับ หากการปลูกสัตว์หรือ In vitro meat ทำได้เมื่อไหร่ ประเทศผู้ผลิตเนื้อไก่อันดับต้นๆ ของโลกอย่างประเทศไทยจะได้รับผลกระทบแน่นอน เพราะทางอียู จะกีดกันเนื้อไก่แท้ของเรา และโปรโมตให้เนื้อไก่ที่ผลิตจากการปลูกให้ขายดิบขายดีอย่างแน่นอน .....

04 ตุลาคม 2552

The Future of Meat - อนาคตของอาหารเนื้อสัตว์ (ตอนที่ 3)


วันนี้เป็นวันออกพรรษา หลายๆท่านคงจะออกไปทำบุญกัน ผมมีเพื่อนหลายคนครับที่พยายามจะงดดื่มเครื่องดื่มอัลกอฮอล์ ในระหว่างเข้าพรรษา (ผมก็เลิกเหล้าเข้าพรรษากับเขาเหมือนกันครับ แต่เบียร์ไวน์ ยังดื่มอยู่) แต่ส่วนหนึ่งก็พรรษาแตกกันใกล้ๆ จะออกนี้แล้ว บางคนก็อยู่มาถึงวันนี้ พรุ่งนี้คงไปฉลองกันใหญ่
วันนี้บรรยากาศออกแนวพุทธ พุทธ ผมเลยขอคุยต่อในเรื่องของแนวโน้มใหม่ ที่เราอาจจะมีโอกาสทำบาปน้อยลงจากการบริโภคเนื้อสัตว์ ในตอนที่แล้ว ผมได้พูดถึงเรื่องการ "ปลูกเนื้อสัตว์" หรือ in vitro meat ซึ่งจะทำให้เราปลูกสัตว์ได้เหมือนปลูกพืช ซึ่งเราจะสามารถปลูกน่องไก่ ตับหมู เนื้อสันนอก เนื้อสันใน เป็นต้น

ก่อนหน้านี้ ผมเคยพูดถึงเรื่องการทำไร่ในอาคารสูง ซึ่งว่ากันว่าจะเป็นอนาคตของเกษตรกรรม เพราะการผลิตพืชอาหาร จะย้ายจากชนบทมาสู่เมือง เป็นการนำสถานที่ผลิตมาอยู่ใจกลางสถานที่บริโภค เขาวิจัยออกมาแล้วครับว่า การอยู่ในเมืองมีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานและทรัพยาการมากกว่าการกระจายกันอยู่ในชนบท ถ้ามนุษย์ทั้งหมดย้ายเข้ามาอยู่รวมกันในเมือง เราสามารถคืนพื้นที่การเกษตรกลับสู่ธรรมชาติ ปล่อยให้ป่ากลับสู่สภาพเดิมของมัน การทำไร่ในอาคารสูงสามารถที่จะทำในจุดที่มีการบริโภค เช่น บนอาคารมีการผลิตพืชผักแล้วขายในซูเปอร์มาเก็ตชั้นล่างได้เลย หากนำเทคโนโลยีการทำไร่ในอาคารสูง มารวมกับเทคโนโลยีปลูกสัตว์ เราก็จะได้ระบบเกษตรกรรมในเมือง (Urban Agriculture) ที่สมบูรณ์แบบครับ มีทั้งการผลิตพืชและสัตว์ในเมือง เมืองจะเป็น Sustainable City ไม่ต้องพึ่งพาชนบทอีกต่อไป

อีกหน่อย วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา จะไม่มีรถติดแล้วครับ เพราะไม่ต้องมีใครกลับบ้านไปทำบุญแล้ว ในเมื่อชนบทไม่มีคนอยู่แล้ว ทุกที่ที่ไม่ใช่เมืองจะเป็นป่า และ อุทยานแห่งชาติ จะว่าไปแล้วในสมัยก่อน การตั้งอาณาจักรก็จะรวมกันอยู่ในชุมชนใหญ่ๆ เป็นนครและหัวเมืองเท่านั้น ไม่มีใครอยู่ในชนบทหรอกครับ เพิ่งจะไม่นานมานี้ ที่การทำเกษตรเพื่อเลี้ยงประชากรจำนวนมากขึ้นทำให้มนุษย์ไปบุกป่า และอาศัยอยู่ในชนบทมากขึ้น แต่ในอนาคตเราจะเลิกอยู่ในชนบท แล้วกลับมารวมกันอยู่เป็นเมืองใหญ่ เหมือนเดิมอีกครั้ง ...... ผมฝันถึงวันนั้นครับ .....


(ภาพบน - วัวเป็นสัตว์ที่น่ารักไม่ต่างอะไรจากหมีแพนด้า แต่เนื้อของมันก็อร่อย .... เมื่อไหร่เราจะเลิกเบียดเบียนพวกมันได้เสียที .....)

20 กันยายน 2552

The Future of Meat - อนาคตของอาหารเนื้อสัตว์ (ตอนที่ 2)


เหตุผลหนึ่งในการที่คนเราทานมังสวิรัติ ก็เพื่อจะเลิกเบียดเบียนชีวิตสัตว์ที่ต้องตกเป็นอาหารให้แก่มนุษย์เรา สัตว์เหล่านั้นไม่เพียงแต่ต้องเจ็บปวด ณ เวลาที่โดนฆ่าเพื่อนำมาทำอาหารเท่านั้น แต่อุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์แบบโรงเรือนที่ทำกันอยู่ในปัจจุบันนี้ ยังเป็นการทรมานพวกมันตั้งแต่เกิดจนตาย ในโรงเรือนเลี้ยงไก่ขนาด 25 x 100 เมตร มีไก่ใช้ชีวิตอยู่อย่างหนาแน่นนับหมื่นตัว หมูก็อยู่อย่างแออัดไม่แพ้กัน สัตว์เหล่านี้ไม่เคยได้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวัน มันตื่นขึ้นมากินอาหารที่ไหลผ่านมาด้วยระบบอัตโนมัติ ขับถ่ายแล้วก็นอน รอวันที่จะถูกนำไปประหาร

พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติมรรคมีองค์ 8 ว่าเป็นทางสายกลางที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้น สัมมาอาชีวะก็เป็นมรรคข้อหนึ่ง นั่นคือ การมีอาชีพที่สุจริตไม่เบียดเบียนผู้อื่น อาชีพการเลี้ยงสัตว์อย่างที่ทำกันในปัจจุบันเป็นอาชีพสุจริตแต่ก็ยังต้องเบียดเบียนชีวิตสัตว์ จึงอาจจะไม่ใช่สัมมาอาชีวะที่สมบูรณ์ แต่ในอนาคตการเลี้ยงสัตว์เพื่อนำมาเป็นอาหารจะเป็นสัมมาอาชีวะได้ เพราะเราจะไม่เลี้ยงสัตว์ แต่จะใช้การ "ปลูกสัตว์" แทนครับ

ในต่างประเทศได้มีการก่อตั้งองค์กรความร่วมมือเพื่อพัฒนาการปลูกเนื้อสัตว์ ที่เรียกว่า In Vitro Meat Consortium โดยจะร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อทำให้ต่อไป เราจะได้ไม่ต้องเลี้ยงสัตว์เพื่อเอาเนื้อมาทำอาหาร แต่เราจะใช้การปลูกเนื้อเยื่อ โดยการนำเซลล์กล้ามเนื้อของสัตว์ที่เราอยากกินมาเลี้ยง ด้วยการป้อนสารโปรตีนเข้าไป เซลล์ที่จะใช้เริ่มกระบวนการก็มักจะเป็นสเต็มเซลล์ของกล้ามเนื้อ ซึ่งจะต้องทำให้มีระบบเลือดไปหล่อเลี้ยงเซลล์เหล่านี้ เพื่อให้เซลล์มีการเติบโตเสมือนมันอยู่ในสัตว์จริงๆ ซึ่งก็มีคนพยายามจดสิทธิบัตรในเรื่องนี้แล้วด้วยครับ

08 กันยายน 2552

The Future of Meat - อนาคตของอาหารเนื้อสัตว์ (ตอนที่ 1)


จำได้ว่าตอนเด็กๆ ผมเคยสงสัย และถามผู้ใหญ่ว่าทำไมคนเราถึงต้องกินสัตว์อื่น ไม่ว่าจะเป็น หมู เป็ด ไก่ ปลา กุ้ง หอย ฯลฯ ทำไมคนเราถึงต้องพรากชีวิตอื่นเพื่อเป็นอาหารให้ตัวเองอยู่รอด ทำไมเรากินหญ้าแบบวัวไม่ได้ เวลาผมเดินผ่านร้านข้าวหน้าเป็ดหรือข้าวมันไก่ เห็นเขาเอาเป็ดไก่ทั้งตัวมาแขวนเอาหัวลง ก็อดคิดไม่ได้ว่า นี่ถ้ามีสิ่งมีชีวิตที่เจริญกว่าพวกเรา เช่น มนุษย์ต่างดาว มาบุกยึดโลก มนุษย์ต่างดาวพวกนั้นอาจจะกินพวกเราเป็นอาหาร แล้วก็เอาพวกเรามาแขวนโชว์หน้าร้านอาหารแบบนี้บ้าง หรือ เราอาจจะโดนจับใส่ในเข่งแล้วมีมนุษย์ต่างดาวมาชี้ว่าวันนี้จะเอาคนไหนไปกินเป็นอาหารดี ......

ในระยะหลังๆ ได้เริ่มมีความสนใจที่จะผลิตอาหารประเภทเนื้อสัตว์ โดยไม่ต้องเลี้ยงสัตว์ (จะได้ไม่ต้องฆ่าสัตว์) หรือหากต้องฆ่าสัตว์ก็ขอให้สัตว์ไม่ทรมาน ไม่มีความเจ็บปวดเกิดขึ้น กันมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ จะว่าไปแล้วระบบปศุสัตว์หรือฟาร์มเลี้ยงสัตว์แบบอุตสาหกรรมที่ทำกันอยู่ในปัจจุบันมีข้อเสียหลายอย่างครับ เช่น (1) การเลี้ยงสัตว์ทำในคอกหรือโรงเรือนแออัด ทำให้สัตว์ทรมาน (2) มีโอกาสเกิดโรคระบาดได้ง่าย เพราะสัตว์อยู่กันอย่างแออัดยัดเยียด (3) มีการใช้ยาปฏิชีวนะค่อนข้างมาก เพราะไม่ต้องการให้เกิดโรคในข้อ 2 ยาพวกนั้นเหลือมาให้พวกเรานี่แหล่ะครับ รับประทานกัน (4) ฟาร์มเหล่านี้สร้างมลภาวะทางกลิ่นต่อชุมชนอาศัยที่อยู่ใกล้เคียง

ก่อนหน้านี้ ผมได้ออกไปปฏิบัติงานวิจัยภาคสนามที่ฟาร์มหมูแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ ฟาร์มแห่งนี้เริ่มมีปัญหากับชุมชนรอบข้างฟาร์ม เนื่องมาจากได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านในเรื่องของกลิ่นขี้หมู ทางฟาร์มต้องการให้นำ Electronic Nose ไปใช้ศึกษาการลดกลิ่นขี้หมูในฟาร์ม เนื่องจากเราเคยมีผลการทดลองวัดกลิ่นขี้หมูจากฟาร์มหมูที่ จ. ปราจีนบุรีมาก่อน ซึ่งมีผลการทดลองที่ค่อนข้างน่าพอใจว่า Electronic Nose น่าจะใช้เป็นเครื่องมือในการชี้วัด "การเหม็น" ของกลิ่นขี้หมูได้ เนื่องจากเรื่องของกลิ่นขี้หมูนี้ คนที่บอกว่าเหม็น อีกคนอาจบอกว่า "พอทนได้" ก็ได้ ดังนั้นเวลาจะเจรจาความกันมันเลยไม่เคยลงตัวเสียที
โดยปกติ ผมเป็นคนที่ไม่ชอบกินเนื้อสัตว์บก ประเภท หมู เป็ด ไก่ นัก ชอบกินอาหารทะเล โดยเฉพาะปลา มากกว่าครับ การที่ผมได้ไปเห็นเนื้อหมูจากแหล่งกำเนิด คือ ฟาร์มหมู เลยยิ่งทำให้ผมไม่อยากกินหมูเข้าไปใหญ่ มานั่งนึกดูว่า เป็นไปได้ไหมที่ในอนาคต เราสามารถที่จะ "ปลูก" เนื้อสัตว์ขึ้นมาเหมือนกับเราปลูกพืช ตอนหน้าผมจะมาเล่าต่อครับว่า เทคโนโลยีในการปลูกสัตว์อาจเป็นอนาคตของอาหารประเภทเนื้อสัตว์ก็ได้ครับ