แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ neuroscience แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ neuroscience แสดงบทความทั้งหมด

02 สิงหาคม 2556

Memetics Engineering - วิศวกรรมเปลี่ยนความคิดคน (ตอนที่ 1)



(Picture from http://www.npr.org/ แสดงให้เห็นการพับกระดาษชำระหน้าชักโครก ในโรงแรมต่างๆ ทั่วโลก ที่มักจะพับเป็นรูป V shape ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนพับคนแรก แล้วพับเพื่ออะไร แต่ Meme อันนี้มันได้ระบาดไปทั่วโลก แล้วยังมีวิวัฒนาการออกเป็นรูปร่างต่าง ๆ อย่างที่เห็นในภาพ)

ในปี ค.ศ. 1976 ริชาร์ด ดอว์กิน (Richard Dawkins) ปรมาจารย์ทางด้านชีววิทยาวิวัฒนาการ ได้ตีพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า The Selfish Gene (ยีนเห็นแก่ตัว) หนังสือเล่มนี้ซึ่งเป็นหนังสือที่ขายดีมากๆ (Bestseller) ได้มีการเสนอแนวคิดที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง ซึ่งดอว์กินเรียกมันว่า "มีม" (Meme) โดยเขาได้นิยามว่า มันเป็นอาการทางนามธรรม ที่มีความสามารถในการแพร่พันธุ์หรือขยายจำนวนได้ ไม่ว่าจะเป็น แนวความคิด สัญลักษณ์ อาการต่างๆ พฤติกรรม เมโลดี้ของดนตรี ถ้อยคำ ความเชื่อทางศาสนา แฟชั่น แบบบ้าน และอื่นๆ อีกมากมาย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ พอเกิดขึ้นมาแล้ว มันจะมีวิวัฒนาการ มีการขยายตัว มี mutation มีการคัดเลือกตามธรรมชาติ เสมือนมันเป็นสิ่งมีชีวิต มันอาจอยู่ได้นาน หรือ อาจตายไปในเวลาอันสั้น บางครั้ง meme มันขยายจำนวนไปมากๆ จนกลายมาเป็นสิ่งที่นิยมปฏิบัติกันไปเลย

ผมจะขอยกตัวอย่าง Meme ที่เกิดขึ้น จากนั้นก็แพร่พันธุ์ และวิวัฒนาการ ในสมองของคนไทย

- การทำบุญ 9 วัด เป็น meme ที่เกิดขึ้นจากคนกลุ่มเล็กๆ จากนั้นมันได้ขยายตัว และมีวิวัฒนาการไปด้วยระหว่างที่มันเพิ่มจำนวน จากเดิมการทำบุญ 9 วัด ทำกันในหมู่ผู้สูงอายุ แต่ตอนนี้คนหนุ่มสาวก็นิยม กลายเป็นทัวร์ แถมมีทัวร์ไปเมืองจีนไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ 9 แห่งเข้าไปอีก

- การที่คนนิยมไปเที่ยวปาย ต่อมาก็เชียงคาน ตอนนี้กำลังจะไปบูมที่เมืองน่าน การที่คนแห่แหนกันไปเที่ยวอัมพวา เดอะปาลิโอที่เขาใหญ่ ซานโตรินีพาร์คที่ชะอำ ล้วนเป็นการเอาอย่างกัน ทำตามกันทั้งสิ้น นั่นก็เพราะเจ้า Meme ได้แพร่ระบาดไปในสมองของคนเหล่านั้นนั่นเอง

- การมีกิ๊ก ก็เป็นการเอาอย่างกัน เป็น Meme ที่แพร่พันธุ์ในสมองคนไทยมาสักประมาณไม่น่าจะเกิน 10 ปีครับ แต่ก่อนนั้นเราเรียกการกระทำนี้ว่า "ชู้" แต่พอเปลี่ยนมาเป็น "กิ๊ก" แล้วดูเก๋ไก๋ ทำให้เจ้า Meme นี้ขยายตัวมากจนเกินขอบเขตและสร้างปัญหาสังคมขึ้นมามากมาย

- การเต้นโคโยตี้อย่างเอิกเกริกในงานต่างๆ แต่ก่อนเราเรียกการเต้นอย่างนี้ว่าจั๊มบ๊ะ ซึ่งต้องเต้นกันในสถานที่บันเทิงที่ขออนุญาต ไม่ได้เต้นโชว์กันอย่างเปิดเผยในงานมอเตอร์โชว์เหมือนเดี๋ยวนี้ คำว่า "โคโยตี้" มันก็มาจากภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง "Coyote Ugly" ที่นางเอก 3 คนเต้นโชว์ในผับ ซึ่งจากนั้น การเต้นจั๊มบ๊ะก็มาเปลี่ยนเป็นเต้นโคโยตี้ ซึ่งทำให้ฟังดูดี แล้วสังคมยอมรับมันมากขึ้นจนสามารถมาเต้นในที่สาธารณะได้ ... นี่ก็เป็นวิวัฒนาการของเจ้า Meme ตัวนี้นั่นเองครับ

- ความนิยมในการใช้ Line ก็เป็น Meme อย่างหนึ่งครับ คนส่วนใหญ่ ไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้ แค่เอาอย่างกัน

- ลัทธิธรรมกาย นี่ก็เป็น Meme อย่างหนึ่ง ซึ่งฝังตัวในสมองของคนกลุ่มหนึ่งอย่างเหนียวแน่น ซึ่งมันได้พยายามแพร่พันธุ์ไปสู่ผู้คนจำนวนมาก คนที่ถูกเจ้า Meme นี้ยึดครองจะยอมมอบกายถวายเงินให้แก่เจ้าลัทธิโดยไม่รู้ตัว

จะเห็นได้ว่า Meme เป็นอาการนามธรรมคล้ายๆ กับซอฟต์แวร์ ซึ่งต้องอาศัยบนฮาร์ดแวร์ที่เป็นสมอง จะมองว่า Meme นั้นเป็นไวรัสแบบหนึ่งก็ได้ครับ คือเมื่อมันฝังตัวบนพาหะได้แล้ว มันจะพยายามเพิ่มจำนวนให้มากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ใช่ว่ามันจะประสบความสำเร็จเสมอไป Meme บางตัวเพิ่มจำนวนรวดเร็วแต่แล้วกลับลดจำนวนลงแล้วสูญพันธุ์ไปในเวลาไม่นาน Meme บางตัวเพิ่มจำนวนไปเรื่อยๆ แต่ถูกรุกรานจาก Meme ตัวใหม่แล้วกลายพันธุ์ไป การเข้าใจศาสตร์ของ Meme แล้วดัดแปลงให้มันทำงานตามที่เราต้องการ กำลังจะกลายเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มีทั้งประโยชน์มากมายมหาศาล และมีโทษภัยที่น่ากลัวมากครับ แล้วผมจะนำมาเล่าให้ฟังในวันหลังครับ

12 ธันวาคม 2555

Connectome - คอนเน็คโทม (ตอนที่ 5)




(ภาพจาก http://wallpapersup.net/tom-clancys-ghost-recon/)

ในบริบทของสงครามการสู้รับแห่งโลกปัจจุบัน ได้แบ่งยุทธภูมิออกเป็น 4 โดเมน คือ บก น้ำ อากาศ และ อวกาศ โดยในระยะหลัง ๆ นี้ สงครามได้พัฒนาออกไปอีกจนครอบคลุมโดเมนที่ 5 นั้นคือ Cyberspace ดังนั้นกองทัพที่ทันสมัยในศตวรรษที่ 21 จึงต้องมีการจัดทัพถึง 5 ทัพตามโดเมนที่กล่าวมา .... ทว่า ... ยังมีอีกโดเมนหนึ่งที่กำลังทวีความสำคัญ และจะทำให้มิติของการทำสงครามมีความซับซ้อนมากขึ้นไปอีก โดเมนใหม่นี้ก็คือ ..... สมองและจิตใจของนักรบ

จะว่าไปแล้วการรบในอดีต เรื่องของสมองและจิตใจของทหารก็ถูกนำมาใช้ในการกำหนดยุทธศาสตร์ ซึ่งโดยมากจะทำเพื่อให้ฝ่ายที่มีกำลังน้อยกว่าสามารถสู้รบกับกองทัพขนาดใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามได้ ดังเช่น เมื่อครั้งที่ขงเบ้งกำลังจะสิ้นลมนั้น แม้กองทัพของพระเจ้าเล่าเสี้ยนจะถึงซึ่งความโศกาอาดูรแต่เพียงใด ก็จำต้องนำศพของขงเบ้งขึ้นนั่งแท่นบัญชาการรบ ตามอุบายที่ขงเบ้งกำชับไว้ก่อนเสียชีวิต นัยว่าเมื่อกองทัพของสุมาอี้เห็นศพของขงเบ้งแล้ว ก็จักเข้าใจผิดคิดว่าขงเบ้งยังมีชีวิตอยู่ ด้วยความเกรงกลัวกลอุบายต่างๆ ของขงเบ้ง สุมาอี้ได้สั่งให้ชะลอทัพไว้ไม่ให้เข้าตีทัพของขงเบ้ง ซึ่งกำลังล่าทัพกลับเข้าไปยังเมืองเสฉวน แม้ชีวิตของท่านจะวายชนม์ไปแล้วก็ตาม ศพของท่านก็ยังช่วยทำให้กองทัพถอยกลับเข้าที่ตั้งอย่างปลอดภัย ช่วยรักษาชีวิตทหารได้หลายหมื่นค หรือแม้แต่สำหรับประเทศไทยเอง องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็ทรงใช้ยุทธวิธีในการสร้างความเกรงกลัวแก่ทหารพม่าอยู่บ่อยครั้ง นำกองทัพไทยเอาชนะในทุกสมรภูมิ ทั้งๆ ที่มีกำลังพลน้อยกว่าหลายเท่าตัว

ปัจจุบัน กองทัพสหรัฐฯ ได้ให้ความสนใจต่อโดเมนของสมองและจิตใจเป็นอย่างมาก และได้ลงทุนวิจัยเป็นเม็ดเงินมหาศาล เพื่อค้นหาความลับในการทำงานของสมอง ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ การตอบสนองต่อสภาวะกดดันต่าง ๆ ในสนามรบ ไปจนถึงการนำสัญญาณสมองมาใช้เพื่อควบคุมจักรกลต่าง ๆ ที่ใช้ในสงคราม (Brain Computer Interface หรือ BCI) รัฐบาลสหรัฐฯ เองได้จัดสรรงบประมาณให้แก่โครงการ Human Connectome Project เพื่อจัดทำแผนที่การทำงานของสมองมนุษย์ในระดับเซลล์ประสาท นัยว่านอกจากจะมีคุณูปการต่อวงการวิทยาศาสตร์ และสาธารณสุขแล้ว ยังจะส่งผลให้กองทัพสหรัฐฯ สามารถนำไปต่อยอดเพื่อพัฒนาอาวุธที่ทรงอานุภาพในการเป็นมหาอำนาจทางทหารอย่างไร้เทียมทาน

BCI สามารถนำมาใช้งานในสนามรบได้กว้างขวางไม่ว่าจะเป็นการใช้สมองควบคุมอากาศยาน รถถัง อาวุธต่าง ๆ ทำให้หน่วยรบมีความคล่องตัวในการใช้อาวุธเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย สัญญาณประสาทสามารถนำไปใช้ควบคุมอุปกรณ์ที่เพิ่มสมรรถนะมนุษย์ (Human Performance Enhancement) อย่างชุดกระดอง Exoskeleton ที่เมื่อทหารสวมใส่เข้าไปแล้ว จะสามารถแบกสัมภาระในมากกว่าปกติ สามารถยกอาวุธอย่างปืนกล M60 ได้อย่างสบาย นอกจากนั้น BCI ยังอาจใช้กับทหารที่บาดเจ็บในสนามรบ เพื่อติดต่อทางความคิดกับผู้ช่วยเหลือ หรือแม้แต่ทหารพิการสามารถใช้มันเพื่อควบคุม แขนและขากล (Bionic Amputees)

คลื่นลูกใหม่ของเทคโนโลยีทางด้านสมองและจิตใจกำลังจะถาโถมเข้ามาทั้งในระบบเศรษฐกิจ และการทหาร ประเทศไทยของเราเมื่อไหร่จะตื่นรับรู้เรื่องนี้กับเขาบ้างหนอ .....

16 สิงหาคม 2555

Connectome - คอนเน็คโทม (ตอนที่ 4)



(Picture from http://sciencemedicine.wordpress.com)

ปีนี้เป็นปีพุทธชยันตี 2,600 ปีแห่งการตรัสรู้ ซึ่งชาวพุทธได้ถือโอกาสแสดงการระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงบำเพ็ญเพียร สั่งสมบารมี ในฐานะพระโพธิสัตว์มายาวนานถึง 20 อสงไขยกับอีกเศษแสนมหากัปป์ เพื่อที่จะตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ นำสิ่งที่พระองค์ค้นพบนี้มาบอกกล่าวแก่ชาวโลก สิ่งที่เป็นความลับมานานแสนนาน นั่นคือเรื่องของวัฏสงสาร การเวียนว่ายตายเกิด ความลับที่เกี่ยวกับจิตใจ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงค้นพบตั้งแต่ 2,600 ปีที่แล้ว แต่วิทยาศาสตร์พึ่งจะมาตื่นตัวเมื่อไม่นานมานี้เอง

สิ่งที่วิทยาศาสตร์ข้องใจมานานแสนนาน นั่นคือ ตกลงจิตใจคืออะไร มาอยู่กับร่างกายได้อย่างไร นักประสาทวิทยาเกือบทั้งหมดมีความเชื่อแบบวัตถุนิยมว่า จิตใจ ไม่มีจริง .... ความคิด ความรู้สึก อารมณ์ สติสัมปชัญญะ ทั้งหมดเกิดที่สมอง สมองเป็นตัวทำงาน เป็นเครื่องจักรของความคิด ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อร่างกายแตกดับ สมองตาย ตัวเราก็ไร้ตัวตน มันจะตายไปกับร่างกายนั่นเอง ในความคิดส่วนตัว ผมคิดว่า ความเชื่อแบบนี้ค่อนข้างจะสุดโต่งไปหน่อย เพราะแท้ที่จริง วิทยาศาสตร์ไม่ได้ขัดขวางแนวคิดที่ว่า จิตใจ เป็นสิ่งที่แยกออกมาจากร่างกาย และสามารถถ่ายเทไปยังร่างกายใหม่ได้ เพียงแต่ว่า ความก้าวหน้าในศาสตร์ทางด้านนี้ยังอ่อนเยาว์ เรายังต้องการความรู้ ความเข้าใจอีกมาก และต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์ความเชื่อนี้

เมื่อปี ค.ศ. 2009 สถาบันสาธารณสุขแห่งชาติ (NIH) สหรัฐอเมริกา ได้อนุมัติให้ดำเนินโครงการ Human Connectome Project หรือ โครงการทำแผนที่สมอง ซึ่งมีเป้าหมายจะไขความลับการทำงานของจิตใจ โดยการทำแผนที่รายละเอียดการทำงานของสมองในระดับเซลล์ประสาทเลยทีเดียว คือ เข้าไปดูว่าเซลล์ประสาทเชื่อมต่อกันอย่างไร ซึ่งถือว่าเป็นงานมหาโหดมากๆ เพราะเซลล์ประสาทหนึ่งเซลล์ มีการเชื่อมต่อกับเซลล์อื่นๆ ถึงประมาณ 7,000 เซลล์ ลองคิดดูแล้วกันครับว่า สมองของเรามีเซลล์ประสาทอยู่ 100,000,000,000 เซลล์ มันจึงเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะทำแผนที่จุดเชื่อมต่อนั้นได้หมด

ดังนั้น สิ่งที่โครงการนี้จะทำ จะไม่ใช่การสแกนสมองทั้งหมด แต่จะทำการสะสมองค์ความรู้ไปเรื่อยๆ โดยเจาะโจทย์เล็กๆ ไปทีละข้อ สองข้อ ในการนี้ นักวิจัยจะศึกษาคนจำนวน 1200 คน ซึ่งมุ่งไปที่ฝาแฝด และพี่น้อง จากครอบครัว 300 ครอบครัวที่สมัครใจ ซึ่งจะทำให้สามารถทำแผนที่สมองในเรื่องของความเกี่ยวข้องทางพันธุกรรม ทำให้รู้ว่าแฝดที่เหมือนกันเป๊ะ จะมีความแตกต่างในสมองตรงไหนบ้าง

เครื่องมือสำคัญในการทำแผนที่สมองก็คือเครื่อง MRI (Magnetic Resonance Imaging) ซึ่งเราอาจจะเคยเห็น หรือคุ้นเคยกันบ้าง ในโฆษณา ละคร หรือ หนัง ที่เราจะเห็นเครื่องใหญ่ๆ มีรูตรงกลาง แล้วให้คนนอนนิ่งๆ อยู่ข้างในเครื่อง ซึ่งจะทำการสแกนกิจกรรมของเซลล์ที่สนใจ โดยโครงการนี้จะมีการพัฒนาเครื่อง MRI ที่มีรายละเอียดสูง เพื่อติดตามการทำงานของเซลล์สมอง

วันหลังมาคุยกันต่อนะครับ ......

17 พฤษภาคม 2555

Are We Simulated in Computer ? - ฤาโลกนี้เป็นเพียงฝัน (ตอนที่ 10)


ในทางพระพุทธศาสนานั้นภพภูมิที่เรียกว่าสวรรค์ หรือ เทวโลก เป็นสถานที่ที่สัตว์โลกมาบังเกิดในรูปแบบที่เรียกว่า โอปปาติกะ คือเกิดขึ้นมาเป็นตัวเป็นตนในสภาพที่โตเต็มที่ และไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ในการเกิด โดยกรรมที่บุคคลกระทำไว้ในภพภูมิก่อนหน้าจะเป็นตัวกำหนดว่า เทวดาตนนั้นจะมีสมบัติทิพย์ต่างๆ มากมายแค่ไหน มีอิทธิฤิทธิ์ ขนาดวิมาน จำนวนนางฟ้าที่จะมาปรนนิบัติ จะมากน้อยอย่างไรก็อยู่ที่บุญกรรมที่เคยสร้างไว้ ชีวิตในเทวโลกเป็นชีวิตทิพย์ เมื่อเทวดาหิวก็จะนิรมิตอาหารต่างๆ ขึ้นมารับประทาน โดยรสชาติความอร่อย ความหลากหลาย ความสวยงามน่ารับประทานก็ขึ้นกับเทวฤทธิ์ของตน สภาพแวดล้อมทิพย์ในเทวโลก เป็นสภาพที่สร้างขึ้นได้ กำหนดขึ้นได้ ตามกำลังสติปัญญาและกำลังกุศลของเทวดาแต่ละตนนั้นเอง

ในฐานะมนุษย์อย่างเรา เมื่อเรามองไปยังเทวโลก เราอาจจะมีความรู้สึกว่า สภาพทิพย์ในเทวโลกนั้นมันไม่ใช่ของจริง เป็นการสร้างขึ้นมาในจินตนาการของสิ่งมีชีวิตในภพนั้น ต่างๆ จากสภาพของภพภูมิของเราบนโลกมนุษย์ ที่ทุกอย่างรอบๆ ตัวเรานั้นเป็นของจริง มีตัวตน จับต้องได้ และเป็๋นไปตามกฏทางฟิสิกส์ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นโลกนั้นนิรมิตขึ้นมาไม่ได้เหมือนในเทวโลก ถ้าอยากเหาะได้ ก็ต้องสร้างยานพาหนะที่อาศัยแรงยกตัวด้วยกฎทางอากาศพลศาสตร์ อยากลอยน้ำได้ก็ต้องทำให้ตัวเรามีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำ อยากรับประทานอาหารอร่อย ก็ต้องปรุงแต่งจากวัตถุดิบที่ดี เครื่องเทศที่เหมาะสม ทุกสิ่งทุกอย่างทำขึ้นมาได้แต่ต้องเป็นไปตามกฎทางฟิสิกส์

อย่างไรก็ตาม มีนักวิทยาศาสตร์อยู่กลุ่มหนึ่งที่เริ่มเชื่อว่า โลกที่เราอาศัยอยู่นี้อาจจะไม่มีอยู่จริงก็ได้ สิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวเรา สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เราได้ยิน โลกที่เราอยู่รวมทั้งร่างกายนี้ เป็นสิ่งที่อาจจะจำลองขึ้นบนคอมพิวเตอร์ก็ได้ และการที่จะพิสูจน์เพื่อให้รู้ว่าเรากำลังอาศัยอยู่ในโลกจำลองนี้ อาจแทบเป็นไปไม่ได้เลย .... ไม่แน่เหมือนกันว่า เรื่องที่ว่านี้ อาจเป็นเรื่องๆ หนึ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้เมือ 2,600 ปีที่แล้ว แต่เป็นสิ่งที่พระองค์ไม่ได้ทรงนำมาเปิดเผย เพราะทรงเล็งเห็นว่าไม่ได้เป็นสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพ้นทุกข์ก็ได้ครับ

ถึงแม้การพิสูจน์ว่าโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ไม่ได้มีอยู่จริง แต่เกิดจากการจำลองในคอมพิวเตอร์จะเป็นไปได้ค่อนข้างยาก แต่แนวโน้มความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีในปัจจุบันนั้น ทำให้เราเริ่มเชื่อแล้วครับว่า ชีวิตจำลอง (Simulated Life) อาจมีอยู่จริงก็ได้ นักวิทยาศาสตร์ประมาณการว่าสมองของมนุษย์นั้น มีความสามารถในการประมวลผลได้ 10^19 ครั้งต่อวินาที (10 ยกกำลัง 19 หรือ 10 ล้านล้านล้าน ครั้งต่อวินาที) ซึ่งปัจจุบันเรามีกำลังการประมวลผลสูงสุดอยู่ที่หลัก 10^15 ครั้งต่อวินาที ซึ่งยังช้ากว่าสมองมนุษย์เกือบหมื่นเท่า แต่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าในปี ค.ศ. 2050 เราจะมีคอมพิวเตอร์ที่มีกำลังประมวลผลสูงกว่าสมองมนุษย์ เมื่อถึงวันนั้น ก็มีความเป็นไปได้ว่า เราจะจำลองสิ่งที่เกิดขึ้นบนสมองของเรา ขึ้นไปไว้บนคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกนึกคิด ความทรงจำต่างๆ ลองคิดดูสิครับว่า หากเราอัพโหลดข้อมูลในสมองของเราให้ไปอยู่ในคอมพิวเตอร์ได้ ความรู้สึกนึกคิด ความเป็นตัวตนของเรา ก็จะไปรันอยู่ในคอมพิวเตอร์ แล้วถ้าหากเราจำลองสถานการณ์ต่างๆ เช่น บ้าน รถ เพื่อนบ้าน โลกรอบๆ ตัวเรา ให้อยู่กับสมองจำลองของเราที่อัพโหลดขึ้นไปแล้ว มันก็จะไม่ต่างจากตัวเราได้ไปเป็นโอปปาติกะในโลกจำลองเลย นั่นคือ เราได้สร้างเทวโลกที่เราเองสามารถนิรมิตสิ่งต่างๆ เพื่อให้เราสามารถมีชีวิตอยู่ที่นั่นได้ ตราบจนนิรันด์กาล

05 มีนาคม 2555

Avatar - กายอวตาร (ตอนที่ 7)


เมื่อประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมทางด้านอนาคตศาสตร์ที่มีชื่อ Global Future 2045 ซึ่งจัดที่กรุงมอสโก โดยการประชุมนี้ได้รวบรวมนักอนาคตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายท่าน มหาเศรษฐีนักลงทุนข้ามชาติ นักวิทยาศาสตร์จากหลากหลายสาขา เช่น ฟิสิกส์ ชีววิทยา นักมนุษยวิทยา นักสังคมศาสตร์ หุ่นยนต์ศาสตร์ นักจิตวิทยา ประสาทวิทยา จักรวาลวิทยา นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานให้ทุนทั้งในวงการรัฐบาลและกลาโหม โดยเนื้อหาของการประชุมนั้น เป็นการระดมแนวคิด และจัดวางยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีล้ำยุค ที่จะเป็นพื้นฐานการอยู่รอดของมนุษยชาติในปี ค.ศ. 2045 โดยมีการวางเป้าหมายของการประชุมดังนี้

- การอภิปราย การสาธิต ผลงานวิจัยและพัฒนาล่าสุดทางด้าน วิทยาศาสตร์ทางจิต หุ่นยนต์ศาสตร์ และการโมเดลระบบของสิ่งมีชีวิต
- การประเมินเทคโนโลยีสำคัญๆ ที่จะทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่ ในวิถีดำรงชีพของมนุษย์
- การสังคายนา ญาณทัศน์แห่งอนาคต ว่าอารยธรรมของมนุษย์จะพัฒนาไปอย่างไร บนแนวคิดของประวัติศาสตร์มหภาค (Big History)

ประธานในการจัดงานคือ ดมิทรี อิทสคอฟ (Dmitry Itskov) มหาเศรษฐีเจ้าพ่อวงการสื่อแห่งรัสเซีย ซึ่งหลงใกลในแนวคิดเกี่ยวกับกายอวตาร เขามองว่า เทคโนโลยีในอนาคตสามารถที่จะยืดอายุขัยของมนุษย์ออกไปได้ โดยการดึงจิตใจของมนุษย์ออกมาจากร่างกายที่มีวันเสื่อม ไปสู่กายใหม่ที่สร้างขึ้นจากวัสดุที่สามารถเปลี่ยนอะไหล่ได้เรื่อยๆ หรือแม้กระทั่ง ไปสู่กายละเอียดที่เป็นโฮโลแกรมก็ได้ อิทสคอฟมองภาพของพัฒนาการร่างกายมนุษย์ จาก A ไปสู่ D ดังนี้

Body A - เป็นร่างกายที่สองของเรา โดยสามารถทำงานภายใต้การควบคุมของเรา ผ่านระบบเชื่อมโยงทางประสาท แบบเดียวกับในภาพยนตร์เรื่อง Avatar กายที่สองนี้อาจจะเป็นกายเนื้อทำจากวัสดุอินทรีย์ หรืออาจจะเป็นหุ่นยนต์ หรือผสมผสานกัน ก็ย่อมได้ แต่น่าจะเป็นลักษณะของหุ่นยนต์มากกว่า เพราะจะมีความทนทานต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า อิทสคอฟดังเป้าไว้ว่า เราต้องมีเทคโนโลยีนี้ภายในปี ค.ศ. 2020 อีกแค่ 8 ปีเองนะครับเนี่ย

Body B - เมื่อเรามีเทคโนโลยีในการผลิตร่างกายที่สองแล้ว ทำไมเราไม่ย้ายไปอยู่ในร่างกายนั้นเสียเลย เพราะร่างกายตามธรรมชาติที่พ่อแม่ให้เรามานั้น นับวันก็มีแต่จะเสื่อมถอย อิทสคอฟมองว่า Body B นี้จะเป็นบ้านใหม่สำหรับคนแก่ที่ร่างกายเสื่อมจนยากที่จะซ่อม คนเป็นโรคร้ายแรงที่ไม่สามารถกู้คืนได้แล้ว คนที่ได้รับอุบัติเหตุร้ายแรง ดังนั้น ถ้าจิตใจของคนเราสถิตย์อยู่ที่สมอง เราก็น่าจะย้ายสมองจากร่างกายที่พ่อแม่ให้มา ไปสู่ร่างกายใหม่ โดยเพียงแค่หล่อเลี้ยงสมองให้สามารถทำงานอยู่ได้ก็พอ ส่วนร่างกายที่สมองไปอยู่นั้น จะเป็นร่างกายแบบไหน ก็ไม่สำคัญ ขอให้มันทำงานและสามารถอุ้มชูสมองที่ย้ายมาอยู่ให้ได้ก็พอ อิทสคอฟมองภาพของเทคโนโลยีที่ว่านั้นในปี ค.ศ. 2025 ซึ่งผมมองว่าไม่น่าจะทำทัน

Body C - ข้อเสียของ Body B คือ แม้ร่างกายจะเป็นวัสดุสังเคราะห์แต่ส่วนสมองก็ยังเป็นเนื้อหนัง เป็นวัสดุชีวภาพที่มีความเสื่อม และซ่อมแซมให้อยู่นานๆ ไม่ได้ง่ายนัก ดังนั้น หากเราแทนที่สมองชีวะนั้นด้วยสมองสังเคราะห์ (Artificial Brain) ก็จะทำให้ทั้งร่างกายและสมอง อยู่บนแพล็ตฟอร์มเดียวกัน สิ่งที่ต้องทำให้ได้สำหรับการสร้าง Body C ก็คือ เราต้องสามารถย้ายส่วนที่เป็นจิตใจ (ข้อมูลต่างๆ ความจำ ความรู้สึกนึกคิด) ออกจากสมองชีวะ ไปสู่สมองใหม่ให้ได้ อิทสคอฟอยากให้มีเทคโนโลยีที่ว่านี้ในปี ค.ศ. 2035 หรืออีก 23 ปีข้างหน้า ซึ่งในเวลานั้น อิทสคอฟจะมีอายุ 54 ปี

Body D - ในเมื่อเรามีเทคโนโลยีในการย้ายจิตใจจากสมองหนึ่ง ไปสู่อีกสมองหนึ่งได้ ทำไมเราจะต้องแคร์ที่จะให้จิตใจยึดติดอยู่กับกายหยาบล่ะครับ อิทสคอฟมองว่า หากจิตใจสามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่ขึ้นกับสังขาร (Medium Independent) เราก็สามารถจะสังเคราะห์กายละเอียดเพื่อให้จิตใจสถิตย์อยู่ได้ เช่น สร้างกายละเอียดออกมาในลักษณะโฮโลแกรม ตามแต่จิตจะนึกเอาว่าอยากให้เป็นอย่างไร ส่วนจิตใจที่เราสกัดออกมาจากสมองใน Body A นั้น เราสามารถที่จะให้เค้าดำรงอยู่แบบผูกโยงกับกายละเอียด หรือสถิตย์อยู่ในระบบ Cloud Intelligence ที่มีโครงข่ายอยู่ทั่วโลกก็ได้

เมื่อประมาณ 2,600 ปีที่แล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้กรุงพาราณสี สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงพระธรรมที่มีชื่อว่า อนัตตลักขณสูตร โดยมีเนื้อความตอนหนึ่งว่า "..... ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล .... รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่ารูปเธอทั้งหลายพึงพิจารณารูปนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา ...... " เมื่อจบธรรมเทศนาบทนี้แล้ว พระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้ถึงการพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ภิกษุปัญจวัคคีย์ทั้งหมดดำรงอยู่ในพระอรหัตผล ในครั้งนั้น โลกจึงได้มีพระอรหันต์เกิดขึ้นแล้ว ๖ องค์

12 มิถุนายน 2554

Connectome - คอนเน็คโทม (ตอนที่ 3)



การสร้างแผนที่ของสมอง แม้จะเป็นเรื่องที่ยาก แต่ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะการรู้แผนที่สมอง แม้จะเพียงบางส่วนก็ตาม จะมีคุณูปการต่อวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างประมาณมิได้ ความรู้นี้จะทำให้เราสามารถรักษาโรคต่างๆได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น โรคสมองเสื่อมต่างๆ โรคจิตประสาท อาการอยากจำกลับลืม อยากลืมกลับจำ อีกทั้งยังนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถใกล้เคียงมนุษย์ได้อีกด้วย คอนเน็คโทมจึงกลายมาเป็นกระแสที่มาแรงของวงการวิทยาศาสตร์ในช่วงเวลานี้เลยครับ

วิธีการหนึ่งในการศึกษาการทำงานของสมองก็คือ การสร้างสมองจำลอง (Simulated Brain) ขึ้นมาเพื่อศึกษากระบวนการทำงานต่างๆ ของมัน ในปี ค.ศ. 2005 สถาบันสมองและจิตใจ (Brain and Mind Institute) แห่งเมืองโลซาน สวิตเซอร์แลนด์ ได้ริเริ่มโครงการที่เรียกว่า Blue Brain Project ซึ่งเป็นโครงการระยะยาวที่จะศึกษาสมองด้วยการจำลองคอมพิวเตอร์ โดยอาศัยโมเดลที่สร้างขึ้นมาจากข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ได้จากการทดลอง ซึ่งเป็นข้อมูลการทำงานในระดับเซลล์จนถึงการทำงานระดับโมเลกุลในสมองเลยทีเดียว ในขั้นต้น โครงการได้สนใจศึกษาสมองส่วนที่เรียกว่า Neocortical column ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสมองส่วนที่ทำงานในระดับสูง คือระดับของสติและปัญญาเลยทีเดียว สมองส่วนนี้มีลักษณะทรงกระบอกเล็กๆ ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5 มิลลิเมตรและยาว 2 มิลลิเมตร ซึ่งประกอบไปด้วยเซลล์สมองจำนวน 60,000 เซลล์ สมองส่วนเล็กๆ รูปทรงกระบอกนี้ อยู่ในพื้นที่ของสมองส่วนที่เรียกว่า Neocortex ซึ่งสมองส่วนนี้เอง มีทรงกระบอก Neocortical column อยู่ถึง 1,000,000 อัน ดังนั้นการจำลองสมองส่วนที่เป็นทรงกระบอกเล็กๆ นี้ก็ว่ายากแล้ว จะเห็นว่ายังเทียบไม่ได้กับสมองส่วน Neocortex ที่บรรจุมันอยู่เลยครับ

การศึกษาสมองในส่วนของ Neocortical column นับว่าเป็นข้อดี เพราะว่าสมองส่วนนี้ มีความคล้ายคลึงกันสำหรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมด น่าจะเป็นเพราะธรรมชาติได้เรียนรู้ที่จะเลือกใช้เทคโนโลยีที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล จึงได้ copy สมองส่วนนี้ให้สัตว์ประเภทเดียวกันได้ใช้งาน เช่น หนู หรือ คน ก็มีสมองส่วนนี้ที่คล้ายกันมาก เพียงแต่ของคนเรามีขนาดที่ใหญ่กว่า และในสมอง Neocortex ของคนก็มีจำนวนทรงกระบอกนี้มากกว่าหนูเยอะ

นักวิจัยได้ลองเอาสมองส่วน Neocortical column ไปใส่ในโปรแกรมจำลองสภาพความจริงเสมือน (Virtual Reality) ที่มีสัตว์จำลอง โดยให้สมองส่วนนี้จำลองอยู่ในสมองของสัตว์ตัวนี้ แล้วปล่อยเจ้าสัตว์นี้ให้หากินอยู่ในสภาพความจริงเสมือน เพื่อที่จะได้สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นในสมองจำลองส่วนนี้ ทำให้พบว่าสัตว์ตัวนี้เรียนรู้สิ่งต่างๆ และสร้างความทรงจำขึ้นมาได้อย่างไร ตลอดจนการเรียกใช้งานความจำของมัน

นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งในความพยายามที่จะสร้างแผนที่ของสมองครับ บทความซีรีย์นี้ยังมีอีกนะครับ ......

01 มิถุนายน 2554

Connectome - คอนเน็คโทม (ตอนที่ 2)


คนที่เกิดมาเป็นฝาแฝดไข่ใบเดียวกันนั้น จะมีลักษณะทางกายภาพ รูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ เหมือนกันทุกอย่างแทบจะแยกไม่ออก แต่เมื่อเติบโตขึ้นมา ถึงแม้ลักษณะภายนอกจะยังดูเหมือนกัน แต่อุปนิสัยใจคอ การพูดการจา หรือแม้แต่ความเฉลียวฉลาด ก็อาจจะแตกต่างกันจนสังเกตได้ชัด ... สิ่งนี้หลายๆ คนมักจะบอกว่าเป็นเพราะสิ่งแวดล้อม หรือการอบรมเลี้ยงดู ที่ทำให้ฝาแฝดพัฒนาความแตกต่างขึ้น ... แต่จริงๆ แล้ว ฝาแฝดที่แม้จะเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมเดียวกันก็ตาม ก็ยังสามารถแตกต่างออกไปได้ ทั้งนี้ มิใช่เพราะสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน แต่เป็นเพราะคอนเน็คโทม หรือ แผนที่การเชื่อมโยงในสมองของเด็กทั้งสอง ที่ถึงแม้จะมี DNA เหมือนกันทุกประการ ก็เกิดความแตกต่างขึ้นได้ จากเหตุและปัจจัยที่ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ทราบ

คอนเน็คโทม คือแผนที่การเชื่อมโยงของเซลล์ประสาทในสมอง โดยเฉลี่ยสมองของคนเรามีเซลล์ประสาทประมาณ 100,000,000,000 เซลล์ ซึ่งแต่ละเซลล์ก็จะมีการเชื่อมต่อกับเซลล์อื่นๆ เป็นร่างแห ประมาณ 7,000 จุดต่อเซลล์ แม้แต่เด็กอายุ 3 ขวบ ก็มีจำนวนจุดที่เชื่อมโยงกันแล้วมากถึง 1,000,000,000,000,000 จุด ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การทำแผนที่การเชื่อมโยงต่างๆ เหล่านั้น แทบจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย แต่ถึงกระนั้น นักวิทยาศาสตร์ก็ต้องการทำแผนที่สมอง โดยอาจแยกทำเป็นส่วนๆ เพื่อนำมาประติดประต่อกัน

การทำแผนที่การเชื่อมโยงในสมองจะนำมาสู่ความเข้าใจใหม่ เกี่ยวกับสมอง ความคิดและจิตใจ จะทำให้เรารู้เรื่องการทำงานของสมองมากขึ้น เข้าใจเรื่องการจำและการเก็บข้อมูลในสมอง และอาจจะทำให้เราค้นหาวิธีที่จะเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ได้ด้วย แต่การจะได้มาซึ่งแผนที่นี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และอาจจะต้องใช้เวลาหลายชั่วคนเพื่อให้ได้แผนที่ที่สมบูรณ์ โดยแบ่งกันทำแผนที่ ใช้ทีมวิจัยหลายๆกลุ่มทั่วโลกร่วมกันทำ แต่ละกลุ่มจะมุ่งเน้นไปยังจุดใดจุดหนึ่งของสมองที่ตนเองสนใจ ซึ่งแม้จะเป็นเพียงจุดเล็กๆ ก็ถือว่ามีประโยชน์และนำมาสู่ข้อมูลที่มีคุณค่าอย่างมาก ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นในการเล่นเปียโนจะต้องใช้กล้ามเนื้อนิ้วมือ ในการกดตัวโน๊ตตามลำดับกันไป ถ้าเราสามารถที่จะไล่ว่ามีเซลล์ประสาทใดบ้างที่มันทำงานอยู่ แล้วมันส่งสัญญาณกันต่อยังไง ไปที่ไหนบ้าง ก็จะทำให้เราทราบได้ว่าตัวโน๊ตถูกเก็บ ณ ที่ใดในสมอง

ตอนที่ผมยังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาโท มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ผมเศร้าใจมากๆ และเหตุการณ์นี้ก็ได้นำพาชีวิตผมสู่ร่มเงาของพระพุทธศาสนาที่ร่ำเรียนกันในวัดป่า ทำให้ผมได้ซาบซึ้งในหลักพุทธธรรม นั่นคือเหตุการณ์ที่คนรักของผมไปเรียนที่อเมริกาและในเวลาต่อมาเธอได้ขอเลิกกับผมเมื่อเธอจากไปได้เพียงปีเดียว เพื่อนๆผมบอกว่าคนเราเปลี่ยนได้เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป ....

ใช่แล้วครับ Connectome มันไม่ได้อยู่นิ่ง เมื่อกาลเวลาผ่านไป การเชื่อมโยงระหว่างเซลล์ประสาทย่อมมีตายไปและขาดออกจากกัน ในขณะเดียวกันก็เกิดการเชื่อมโยงใหม่ๆ ขึ้นมาด้วย เรียกว่ามีภาวะเกิด-ดับ เกิด-ดับ เช่นนี้อยู่ในสมองตลอดเวลา แผนที่โครงข่ายใยประสาทในสมองจึงไม่อยู่นิ่ง มันมีพลวัตที่ทำให้การทำแผนที่ทำได้ยากยิ่ง หรือถึงทำได้ก็อาจจะใช้ได้ไม่นาน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การมีแผนที่คร่าวๆ ของสมอง ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ดี เพราะมันจะทำให้เราเข้าใจสมองมากขึ้น และจะนำไปสู่การรักษาโรคหลายๆ อย่างที่ข้องเกี่ยวกับสมอง

28 พฤษภาคม 2554

Avatar - กายอวตาร (ตอนที่ 6)


ในภาพยนตร์เรื่อง Avatar นั้น พระเอกของเรื่องสามารถใช้สมองควบคุมร่างกายอื่นจากระยะไกลได้ เสมือนว่าผู้บังคับหรือขับขี่ร่างกายนั้น ได้เข้าไปสิงสู่ในร่างนั้นจริงๆ โดยสามารถที่จะใช้ร่างนั้น เดิน เหิร ไปไหนมาไหนได้ดั่งใจ ที่สำคัญ ยังสามารถใช้ร่างดังกล่าว เรียนรู้ จดจำ และทำสิ่งใหม่ๆ ที่ร่างมนุษย์เดิมนั้นมิอาจทำได้ ในตอนจบของภาพยนตร์เรื่องนี้ ตัวพระเอกของเรื่องถึงกับทิ้งร่างมนุษย์ที่ทุพพลภาพ ไปอยู่ในร่างใหม่ได้อย่างเหลือเชื่อ

ในช่วง 4-5 ปีมานี้ ได้มีความสนใจเป็นอย่างมากในวงการวิทยาศาสตร์ ที่ต้องการให้มีการเชื่อมโยงระหว่างศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับร่างกายและจิตใจ กับศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับหุ่นยนต์และจักรกลต่างๆ (Mind and Machine Interaction) โดยมีความพยายามที่จะนำเอาสิ่งที่เป็นนามธรรมอย่างความรู้สึกนึกคิด จิตใจ อารมณ์ เข้าไปใส่ในหุ่นยนต์ เพื่อทำให้หุ่นยนต์มีความคิดจิตใจเหมือนมนุษย์ ในระยะหลังๆ ยิ่งไปกันใหญ่ ไปกันถึงขนาดที่จะ upload จิตใจของมนุษย์เราจากร่างกายเนื้อ ไปสู่ร่างกายใหม่ที่เป็นหุ่นยนต์ เพื่อที่เราจะได้มีชีวิตอย่างอมตะ ไม่แก่ ไม่เฒ่า ไม่เจ็บ ไม่ตาย เพราะร่างกายที่เป็นจักรกลนี้สามารถเปลี่ยนอะไหล่ใหม่ได้ทุกชิ้น

ในระยะหลังๆ เราจึงเริ่มเห็นนักวิทยาศาสตร์ชาติตะวันตกหันมาศึกษาเรื่องของจิตใจมากขึ้น หลายๆครั้งก็แอบมาศึกษาตำราทางพุทธศาสนา และนำไปใช้เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างโมเดลต่างๆ เพื่ออธิบายสิ่งที่เป็นนามธรรมหลายๆ อย่าง เช่น เรื่องของสติ (conciousness) ความรู้สึกมีอยู่หรืออัตตา (meta-awareness) เป็นต้น (หมายเหตุ: พุทธศาสนาพยายามสอนให้เห็นว่าตัวตนของเราเป็นอนัตตานะครับ ว่าเราไม่ใช่ตัวตน ไม่มีตัวตน แต่นักวิทยาศาสตร์พยายามเอาความเป็นตัวตนไปใส่ในหุ่นยนต์ คิดดูแล้วก็แปลกดี)

คำถามสำคัญของผู้คนที่ยังเคลือบแคลงในเรื่องความเป็นไปได้ของกายอวตารนี้ก็คือ เมื่อเรา upload จิตใจของเราจากกายเนื้อที่เราอาศัยอยู่นี้ ไปยังกายใหม่ ซึ่งอาจจะเป็นกายเนื้อ (Biological Body) หรืออาจเป็นกายจักรกล (Mechanical Body) หรืออาจเป็นกึ่งจักรกล (Bionic body) ก็ตามที ร่างใหม่ของเราที่เกิดขึ้นนี้โดยมีจิตใจของเราที่ถูก copy ไปใส่นี้ จะยังเป็นตัวเราอยู่หรือป่าว หรือเป็นเพียง copy หนึ่งของเรา ร่างเก่าที่มีจิตของเราสิงอยู่นั้นก็ยังคงอยู่ และรอวันตายลงไปเอง แล้วเราจะยอม shutdown ร่างกายเดิมหรือไม่ เพื่อให้ร่างกายใหม่ที่มีจิตของเราสิงสถิตย์อยู่นั้นได้ทำงานของมันอย่างเต็มที่

ที่เราคิดมากในเรื่องนี้ก็เพราะอะไรล่ะครับ ก็เพราะตัวเราคุ้นเคยอยู่กับสิ่งที่เป็นตัวตนเดียวเท่านั้น เช่น ตัวเราต้องมีแค่คนเดียว หรือมีเพียง copy เดียวเท่านั้น การอยู่รอดของเราก็คือการที่ตัวตนของเรานี้อยู่รอด เราจึงยังไม่อาจยอมรับได้กับการที่ถ้าจะมีใครก็ตามที่เหมือนเราเปี๊ยบทั้งฮาร์ดแวร์ (ร่างกาย) และซอฟต์แวร์ (จิตใจ) ที่จะสืบทอดทุกอย่างไปกับเรา ทั้งนี้เพียงเพราะว่าเรายังไม่คุ้นเคยกับมัน ก็เท่านั้นเอง ทุกวันนี้เราอาศัยการสืบทอดมรดกทางจิตวิญญาณของเรา สิ่งที่เราคิดอยากจะทำแต่ไม่ได้ทำ ผ่านไปยังลูกหลานของเรา เราทำได้แค่นั้น แต่บุคคลเหล่านั้นเค้าไม่ใช่ตัวเรา พวกเขาไม่มีทางทำได้เหมือนกับเราถ่ายทอดให้ใครสักคนที่เหมือนเราทุกประการไปทำหรอกครับ

จริงๆ แล้วในความเชื่อตามลัทธิพราหมณ์นั้น เทพเจ้ายังสามารถมีได้หลายร่าง หลายรูปแบบ ที่เรียกว่าอวตาร เช่น พระนารายณ์ นั้นสามารถแบ่งตนออกได้เป็น 3 คือ พระพรหม พระวิษณุ และ พระศิวะ ซึ่งมีหน้าที่สร้าง ดูแล และทำลาย ตามลำดับ ตัวของพระวิษณุเองสามารถที่จะอวตารออกเป็นปางต่างๆ นับจำนวนไม่ถ้วน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ต่างๆ แต่ถ้านับปางที่มีจุดประสงค์เพื่อมาช่วยเทวดา และมนุษย์โลกนี้มีทั้งหมด 25 ปาง แต่ปางที่ถือเป็นปางที่สำคัญที่สุดมี 10 ปาง ซึ่งทำให้ผมเห็นว่า การที่มนุษย์ธรรมอย่างพวกเราจะสามารถมีกายอวตารได้ ด้วยความช่วยเหลือจากเทคโนโลยีสมัยใหม่นั้น เป็นสิ่งที่อาจมีได้ และยอมรับได้ครับ

ว่างๆ เราจะมาคุยเรื่องนี้กันต่อครับ ......

15 มีนาคม 2554

Connectome - คอนเน็คโทม (ตอนที่ 1)



ในช่วงที่ผมเริ่มทำวิจัยทางด้านนาโนเทคโนโลยีเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1995 หรือประมาณ 15 ปีที่แล้ว เป็นช่วงแรกๆ ที่ในประเทศสหรัฐอเมริกาเพิ่งจะเริ่มมีคนพูดถึงคำว่า นาโนเทคโนโลยี กันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่คนไทยเองนั้นก็ยังไม่รู้จักคำว่านาโนเทคโนโลยีกันเท่าไหร่นัก ผมเคยพูดๆไว้กับเพื่อนๆว่า คอยดูนะต่อไปไม่เกิน 10 ปี ศาสตร์ทางด้านนี้จะบูมและจะมีการทำวิจัยกันทั่วโลก ถ้าอยากได้ทุนวิจัยก็รีบๆ มาทำความรู้จักศาสตร์ด้านนี้ไว้นะ ต่อจากนั้น ในที่สุดประเทศไทยก็ก่อตั้งศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติในปี ค.ศ. 2003 มีการให้ทุนวิจัยทางด้านนี้มากมาย นักวิจัยชาวไทยก็แห่มาทำวิจัยทางด้านนี้กันขนานใหญ่ เพราะมีเงินทุนวิจัยหลั่งไหลเข้ามามากมาย

ในช่วงนั้น ... ผมเริ่มมองหาศาสตร์ใหม่ๆ เพื่อหนีออกไป ช่วงนั้น เพื่อนฝูงถามผมว่าหลังยุคนาโนจะมีอะไรมาอีก ... ผมบอกกับเพื่อนๆ ว่า ยังมีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง ที่เป็นความลับมานานแสนนาน ยังมีคนทำทางด้านนี้น้อย แต่เป็นศาสตร์เปลี่ยนโลกเลยแหล่ะ นั่นคือเรื่องของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับจิตใจ (Mind Sciences) ซึ่งปัจจุบันเราทำได้แค่เพียงการปะติดปะต่อความรู้ที่เป็นชิ้นเล็กๆ เข้าด้วยกันเท่านั้น แต่ความรู้ที่เพิ่มขึ้นเพียงนิดหน่อยในศาสตร์ทางด้านนี้ อาจมีประโยชน์มหาศาลในการพัฒนาเทคโนโลยีเลยทีเดียว ไม่เหมือนงานทางด้านนาโนเทคโนโลยี ที่การตีพิมพ์ผลงานวิชาการ 1 เรื่อง แทบจะไม่มีผลต่อการเพิ่มพูนประโยชน์อะไรนัก ... แต่การไขปัญหา 1 เรื่องที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์จิตใจ 1 เรื่อง จะมีผลกระทบตามมาอีกมากมายเลย

วิทยาศาสตร์ปัจจุบัน นับตั้งแต่ยุคของนิวตันเมื่อเกือบ 400 กว่าปีที่แล้ว แยกจิตใจออกจากวัตถุ (Mind vs Matter) ตลอดระยะเวลา 400 ปีนี้ พวกเราพัฒนาความรู้และศาสตร์ต่างๆ ตลอดจนเทคโนโลยีมากมาย บนพื้นฐานของแนวคิดนี้ เราแยกซอฟต์แวร์ กับ ฮาร์ดแวร์ ออกจากกัน แต่ในช่วง 20 ปีหลังมานี้ เราถึงเริ่มประจักษ์แจ้งว่า ปรากฎการณ์หลายอย่างที่เกี่ยวกับจิตใจ มันมีความเชื่อมโยงกับร่างกายที่เราอาศัยอยู่ (Mind-Body Interactions) โดยความรู้แบบแยกส่วนที่เรามีอยู่เดิมมันให้คำตอบดีๆ แก่เราไม่ได้

ยิ่งในระยะหลังๆ เราเริ่มพัฒนาหุ่นยนต์ หรือระบบออโตเมชั่นต่างๆ โดยต้องการใส่ปัญญา (Intelligence) เข้าไปในระบบเหล่านั้น เราก็เริ่มตระหนักว่าความเข้าใจในเรื่องความคิด (Thought) จิตใจ (Mind) อารมณ์ (Emotion) ความรู้สึก (Feeling) ความระลึกรู้ (Conciousness) เป็นสิ่งที่ยังรู้น้อยมากๆ เรายังขาดโมเดลที่ใช้อธิบายการทำงานของกระบวนการเหล่านี้ ที่ผ่านมา การพัฒนาหุ่นยนต์ให้มีความรู้สึกแบบเดียวกับมนุษย์ก็จะติดขัดที่ปัญหาของโมเดลที่แหล่ะครับ ทั้งๆ ที่เราสามารถพัฒนาเทคโนโลยีที่ตรวจจับสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นผิวหนังประดิษฐ์ (Electronic Skin) จมูกอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Nose) ระบบมองเห็นภาพ (Machine Vision) สำหรับหุ่นยนต์ได้อย่างก้าวหน้าแล้วก็ตาม แต่กระบวนการของการประมวลความรู้สึกภายในนี่สิครับ เรายังมีความรู้ในเชิงวิทยาศาสตร์น้อยมากๆ (ในพุทธศาสนามีการบรรยายเรื่องกระบวนการประมวลผลสัมผัสได้อย่างละเอียดมาก เรียกว่าวงจรปฏิจจสมุปบาท) จนทำให้เรายังไม่สามารถสร้างหุ่นยนต์ที่มีกระบวนการคิด หรือกระบวนการใช้ปัญญาให้เหมือนมนุษย์ได้

นี่แหล่ะครับ คือศาสตร์ที่ผมคิดว่าจะครองศตวรรษที่ 21 ... น่าเสียดายที่ประเทศไทยแทบจะไม่มีนักวิทยาศาสตร์ทางด้านนี้เลย และมีโอกาสที่เราจะตกรถขบวนนี้ เมื่อลองคิดเล่นๆ ว่าในอนาคตอีก 20-30 ปีข้างหน้า สิ่งของที่อยู่รอบๆ ตัวเราจะประกอบด้วยหรือทำงานด้วยสมองประดิษฐ์ (Artificial Brain) ที่ทำงานเหมือนมีจิตใจกันหมด ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ บ้าน ทีวี ตู้เย็น ทางหลวง สะพาน เราจะต้องอาศัยอยู่ในโลกของสภาพล้อมรอบอัจฉริยะ (Ambient Intelligence) แต่ประเทศเรากลับยังไม่ค่อยตระหนักในเรื่องนี้เท่าไรเลยครับ

จริงๆ แล้ววันนี้ ผมยังไม่ได้เข้าเรื่อง Connectome เลยครับ แค่มาเกริ่นๆ คร่าวๆ เท่านั้นว่า ศาสตร์ทางด้าน Connectome นี่แหล่ะครับ ที่จะเป็นประตูเข้าไปสู่ความเข้าใจที่มากขึ้นในเรื่องจิตใจของเรา เป็นครั้งแรกในรอบ 2500 กว่าปีภายหลังจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ค้นพบความรู้ทางด้านนี้ ที่มนุษย์รุ่นหลังจะเริ่มเข้าไปทำความเข้าใจจากอีกมุมมองหนึ่งว่า พระองค์ได้ค้นพบอะไร ....

แล้วมาคุยกันต่อในตอนต่อๆ ไปครับ ....

(ภาพบน - เป็นภาพโมเดลที่อธิบายความเชื่อมโยงของเส้นใยประสาทในสมองมนุษย์)

08 พฤศจิกายน 2553

Science of Fear - วิทยาศาสตร์ของความกลัว (ตอนที่ 3)


เมื่อครั้งที่ขงเบ้งกำลังจะสิ้นลมนั้น แม้กองทัพของพระเจ้าเล่าเสี้ยนจะถึงซึ่งความโศกาอาดูรแต่เพียงใด ก็จำต้องนำศพของขงเบ้งขึ้นนั่งแท่นบัญชาการรบ ตามอุบายที่ท่านขงเบ้งกำชับไว้ก่อนเสียชีวิต นัยว่าเมื่อกองทัพของสุมาอี้เห็นศพของขงเบ้งแล้ว ก็จักเข้าใจผิดคิดว่าขงเบ้งยังมีชีวิตอยู่ ด้วยความเกรงกลัวกลอุบายต่างๆ ของขงเบ้ง สุมาอี้ได้สั่งให้ชะลอทัพไว้ไม่ให้เข้าตีทัพของขงเบ้ง ซึ่งกำลังล่าทัพกลับเข้าไปยังเมืองเสฉวน แม้ชีวิตของท่านจะวายชนม์ไปแล้วก็ตาม ศพของท่านก็ยังช่วยทำให้กองทัพถอยกลับเข้าที่ตั้งอย่างปลอดภัย ช่วยรักษาชีวิตทหารได้หลายหมื่นคน

การสร้างความกลัว หรือสงครามจิตวิทยาแก่ฝ่ายข้าศึก นอกจากจะช่วยทำให้ได้เปรียบในการรบแล้ว ยังอาจจะช่วยไม่ให้สงครามเกิดขึ้นได้อีกด้วย เรียกว่าเป็นการชนะก่อนที่จะรบเสียอีก ในอดีตกาล แม่ทัพนายกองที่มีความสามารถในการต่อสู้ จะสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้ทหารฝ่ายตรงข้ามได้มาก องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงใช้ยุทธวิธีในการสร้างความเกรงกลัวแก่ทหารพม่า นำกองทัพไทยเอาชนะในทุกสมรภูมิ ทั้งๆ ที่มีกำลังพลน้อยกว่าหลายเท่าตัว

เมื่อเดือนตุลาคม 2553 ที่ผ่านมา กองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้ประกาศเรียกข้อเสนอโครงการ เพื่อให้ทุนสนับสนุนการวิจัยภายใต้โครงการที่มีชื่อว่า Advances in Bioscience for Airmen Performance ซึ่งมีมูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท (49 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในระยะเวลา 6 ปี โครงการนี้มีขอบข่ายในการสนับสนุนการวิจัยที่จะเพิ่มขีดความสามารถของนักบินของกองทัพ ให้สามารถทำการรบได้นานขึ้น อึดขึ้น มีสมาธิมากขึ้น รวมไปถึงเพิ่มขีดความสามารถในการประมวลผลข้อมูลต่างๆ ในระหว่างยุทธการได้มากขึ้น แม่นยำขึ้น รวมไปถึงความสามารถของผู้บัญชาการสถานการณ์ให้มีการตัดสินใจได้อย่างถูกต้องมากขึ้น

แต่สิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดของโครงการนี้ก็คือ ทางกองทัพได้เสนอให้มีการวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่สามารถไปลดทอนขวัญ กำลังใจของข้าศึก หรือไปเพิ่มความกลัว หรือเกรงขามให้แก่ฝ่ายตรงข้าม โดยการเข้าไปรบกวน กระตุ้น เปลี่ยนแปลง กลไกและระบบการทำงานในสมองส่วนที่ควบคุมสมาธิ หรือ ความมั่นใจของทหารข้าศึก รวมไปถึงทำให้ข้าศึกมีความสามารถในการรับรู้ และตัดสินใจได้น้อยลง

ถ้าหากงานวิจัยดังกล่าวได้ผลจนนำไปสู่อาวุธที่สามารถลดทอนประสิทธิภาพของสมองมนุษย์ได้โดยตรงแล้ว ในอนาคต กองทัพสหรัฐฯ จะเป็นฝ่ายได้เปรียบจนยากที่จะหากองทัพใดในโลกมาต่อกรด้วย ทั้งความทันสมัยของอาวุธทำลายล้าง ความเยี่ยมยอดของกำลังพล และที่ขาดไม่ได้คือ อาวุธความกลัวที่สร้างความอ่อนแอให้แก่ฝ่ายศัตรู .....

09 กรกฎาคม 2553

Avatar - กายอวตาร (ตอนที่ 5)


ถ้าชาติหน้ามีจริง สิ่งที่คงจะทำให้ผมรู้สึกเป็นทุกข์และกังวลใจอย่างมากเรื่องหนึ่งก็คือ การที่คนเราจะต้องเริ่มเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่หมด เมื่อเราตายไปแล้ว และต้องไปเกิดใหม่ จะเป็นไปได้ไหม ที่เราจะสามารถนำพาความรู้ส่วนหนึ่ง ติดตามเราไปด้วยเมื่อเราจากโลกนี้ไป ...

นั่นเป็นความคิดของผมครับ แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์หลายคนที่ศึกษาเรื่องสมอง เขาก็คิดอีกมุมหนึ่งครับ เขาคิดว่า จะพอมีทางเป็นไปได้ไหม ที่เราจะเก็บรักษาความรู้ ความคิด ข้อมูลต่างๆ ในสมองของบุคคลที่กำลังจะตายเอาไว้ อย่างที่ผมเคยพูดในตอนก่อนหน้านี้ว่า มันเป็นความสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่เลยครับ ที่ทุกๆ ปี ที่เราต้องสูญเสียความรู้จำนวนมหาศาล ที่ต้องหายไปกับคนที่ตายประมาณปีละกว่า 50 ล้านคน ความรู้ต่างๆ ที่ตายไปกับคนเหล่านั้น มีค่าเท่ากับการเผาห้องสมุดรัฐสภาอเมริกัน (ที่มีขนาดใหญ่มากและใหญ่ที่สุดในโลก) ทิ้งถึงปีละ 3 ครั้งเลย พอจะมีเทคโนโลยีอะไรไหมที่จะเก็บความรู้ต่างๆ เหล่านั้นไว้

เราลองมาดูสถานภาพของเทคโนโลยี ที่ใช้ในการเชื่อมโยงสมองให้เข้ากับคอมพิวเตอร์กันดูนะครับ นักสมองวิทยาได้ใช้เครื่องตรวจวัดคลื่นสมอง หรือ electroencephologram (ชื่อย่อ EEG) ศึกษาเรื่องของสมองและความคิดมาเป็นระยะเวลานานพอควรแล้วครับ ซึ่งเมื่อก่อนมักจะใช้ในทางการแพทย์เพื่อรักษาโรค หรือเพื่อค้นคว้าเกี่ยวกับการทำงานของสมอง เพิ่งจะเร็วๆ นี้เองครับที่ EEG กลายมาเป็นเรื่องฮิตติดตลาดในศาสตร์ทางด้าน Brain-Computer Interface หรือ BCI ซึ่งก็คือการนำเอาคลื่นสมอง หรือความคิด มาใช้ในการสั่งการและควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ ที่สำคัญคือ เทคโนโลยีพวกนี้ เริ่มกลายเป็นสินค้าที่หาซื้อได้ในท้องตลาดแล้วครับ อย่างบริษัท Mattel ได้นำเอาเจ้าอุปกรณ์ EEG แบบง่าย มาแพ็คเกจขายเป็นเกมส์ที่มีชื่อว่า Mindflex ซึ่งหาซื้อได้ที่วอลมาร์ท หรือสั่งจากเว็บไซต์ Amazon ก็ได้ (ผมพยายามสั่งอยู่ครับ แต่เขายังไม่ยอมขายนอกสหรัฐฯ เดี๋ยวจะลองหาใน eBay) โดยเกมส์นี้จะมีสายรัดสำหรับสวมใส่ที่ศรีษะ ซึ่งมันจะอ่านคลื่นสมองของเรา เราสามารถจูนสมาธิไปที่ลูกบอล แล้วพยายามคิดให้ลูกบอลนี้เคลื่อนตัวผ่านสิ่งกีดขวางต่างๆ ไปให้ได้ ซึ่งก็จะมีด่านต่างๆ ให้เราทดลองฝึกสมอง เพื่อพาลูกบอลเคลื่อนที่ไป

วันหลังมาคุยเรื่องนี้กันต่อนะครับ ...

01 พฤษภาคม 2553

Avatar - กายอวตาร (ตอนที่ 4)


ตามแนวทางของพระพุทธศาสนานั้น มีความเชื่อว่าพวกเราไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์นั้น ต่างเวียนว่ายตายเกิด โดยเปลี่ยนจากรูปแบบหนึ่งไปเป็นอีกแบบหนึ่ง (พุทธศาสนาเรียกรูปแบบนี้ว่า ภพภูมิ) เช่น คนเรานั้น เมื่อตายไปแล้วก็อาจจะไปเกิดเป็นคนอีก หรืออาจจะไปเกิดเป็นกระต่ายก็ได้ แล้วแต่บุญแต่กรรมที่เราทำในชาตินี้ ... รวมกับที่เราสะสมกันมาในชาติก่อนๆ ด้วย คนเราเมื่อใกล้ตายนั้น จิตดวงสุดท้ายจะนำเราไปสู่ภพภูมิใหม่ ดังบันทึกในพระอภิธรรมที่ระบุไว้ว่า เมื่อภพภูมิปัจจุบันดับสูญลง ภพภูมิใหม่จะเกิดขึ้นทันที ....

สมัยที่ผมบวชเรียนเป็นพระภิกษุ ผมเคยถามท่านอาจารย์ว่า "ท่านอาจารย์ครับ คนเราเมื่อตายไปแล้ว สิ่งที่เราทำไว้ในชาตินี้เราก็ลืมหมด รวมทั้งสิ่งที่เราเรียนรู้ในชาตินี้ด้วย แล้วเราจะศึกษาพระปริยัติธรรมไปทำไมครับ หากเราไม่สามารถปฏิบัติเพื่อนิพพานในชาตินี้ ชาติหน้าเราเกิดมาก็ต้องมาเรียนใหม่" ผมเคยคิดเล่นๆ นะครับว่า ความรู้ต่างๆที่เราแสวงหา หรือร่ำเรียนกัน มันจะติดตัวเราไปได้ไหม เมื่อเราตายไปแล้ว น่าเสียดายนะครับ ที่คนเราเมื่อตายไปแล้ว สติปัญญาและความรู้ต่างๆที่สะสมไว้ในสมองของเรา ก็ต้องตายตามเราไปด้วย ทุกๆ ปีมีคนตายประมาณปีละ 50 ล้านกว่าคน ความรู้ต่างๆ ที่ตายไปกับคนเหล่านั้น มีค่าเท่ากับการเผาห้องสมุดรัฐสภาอเมริกัน (ที่มีขนาดใหญ่มากและใหญ่ที่สุดในโลก) ทิ้งถึงปีละ 3 ครั้งเลยทีเดียว

นักวิทยาศาสตร์กำลังคิดถึงความเป็นไปได้ในการก็อปปี้ความรู้และข้อมูลต่างๆ ในสมองของคนที่กำลังจะตาย เพื่อนำไปเก็บไว้ในฐานข้อมูล (upload) เพื่อไม่ให้ความรู้ต่างๆ นั้นสูญหายไปกับคนตาย และที่เจ๋งกว่านั้น หากเราสามารถที่จะถ่ายเทความรู้ต่างๆ นั้น download มาที่สมองของคนเป็น เพื่อให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่มีความรู้ความสามารถสืบทอดจากคนรุ่นก่อนๆ ได้ ตอนนี้ศาสตร์ที่เกี่ยวกับระบบประสาท สมอง สติ จิตใจ กำลังมาแรงมากๆ ครับ มีวารสารวิชาการเกิดใหม่มากมาย น่าเสียดายที่ในเมืองไทยของเรากลับมีความสนใจในเรื่องนี้น้อยมากๆ ทั้งๆ ที่ศาสตร์เหล่านี้ จะนำไปสู่เทคโนโลยีและงานประยุกต์อีกมากมายครับ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินไร้คนขับที่ควบคุมด้วยสมองประดิษฐ์ นวัตกรรมบันเทิง (Innovative Entertainment) ระบบ autopilot สำหรับรถยนต์ อวัยวะกลและอวัยวะทดแทน เป็นต้น

และถ้าหากความรู้ของเรามีมากไปถึงระดับหนึ่ง ก็อาจเป็นไปได้ที่เราจะถ่ายเทจิตใจของเราจากร่างที่กำลังจะตาย ไปสู่ร่างใหม่ที่สร้างขึ้นรอไว้เมื่อร่างเก่าใกล้หมดอายุ โดยไม่ต้องรอให้เวรกรรมพาเราไปจุติในภพใหม่เอง ......

12 เมษายน 2553

Brain-on-a-Chip เมื่อสมองถูกนำไปอยู่บนชิพ (ตอนที่ 2)



เมื่อสัก 2-3 ปีที่แล้ว ได้เกิดกระแสความตื่นตัวในเมืองไทย เกี่ยวกับเรื่องของนาโนเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก หน่วยงานให้ทุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย สภาวิจัยแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา เป็นต้น ล้วนแห่กันมาให้ทุนวิจัยทางด้านนี้กันยกใหญ่ นักวิจัยทั่วประเทศต่างแห่กันมาขอทุนทางด้านนี้ บ้างก็เปลี่ยนสาขาวิจัยทางด้านอื่น มาทำวิจัยทางด้านนาโนกันยกใหญ่เลยครับ ในช่วงเวลานั้น ผมก็เลยคิดว่าคงได้เวลาที่จะต้องออกจากสาขานาโน ไปหาอย่างอื่นทำดีกว่า และแล้วผมก็ฝ่ากระแสมาตั้งกลุ่มวิจัยเพื่อทำงานทางด้าน วิศวกรรมเลียนแบบธรรมชาติ (Biomimetic Engineering) เพราะเล็งเห็นว่า ศาสตร์ทางด้านนี้ต่างหากที่จะเป็นแนวโน้มใหม่ของโลก


ธรรมชาติมีเรื่องให้เลียนรู้ และนำมาวิศวกรรมเพื่อให้เกิดเทคโนโลยี หรือสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ได้ และมันจะทำให้เราสร้างสิ่งใหม่ๆ แบบก้าวกระโดดด้วยครับ ลองคิดดูให้ดีสิครับว่า ธรรมชาติใช้เวลาสร้างเทคโนโลยีบนสิ่งมีชีวิตมานานเป็นพันล้านปี อารยธรรมมนุษย์ก็แค่หมื่นปีเท่านั้น แถมความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ย้อนหลังไปแค่ไม่กี่ร้อยปีเอง จะสู้ธรรมชาติได้อย่างไร

โครงการหนึ่งที่น่าสนใจมากมีชื่อว่า SyNAPSE (Systems of Neuromorphic Adaptive Plastic Scalable Electronics) ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางด้านเงินทุนจาก DARPA หน่วยงานสนับสนุนทุนวิจัยทางด้านกลาโหมของสหรัฐอเมริกา โครงการนี้เป้าหมายชัดเจนเป้าหมายเดียวคือ "เพื่อพัฒนาแนวทางใหม่ๆ ในการสร้างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีสมบัติคล้ายระบบประสาท ให้มีความสามารถทัดเทียมกับระบบของสิ่งมีชีวิต" โดยหวังว่าโครงการนี้จะฝ่ากำแพงความรู้ เพื่อเข้าไปไขความลับการทำงานของระบบประสาท แล้วนำความรู้นี้มาใช้ในการพัฒนาสมองประดิษฐ์ ที่ทำงานทัดเทียมธรรมชาติ

คอมพิวเตอร์ที่เราใช้ทุกวันนี้ ทำงานได้เร็วมากๆ ในเรื่องของการคำนวณครับ แต่ถ้าหากใช้วิเคราะห์ปัญหาที่มีตรรกะสูง มีเงื่อนไขที่ซับซ้อน หรือมีข้อมูลแยกส่วนจำนวนมาก จะทำงานได้ช้ากว่าสมองชีวะมากๆ คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันแยกส่วนประมวลผล (CPU) ออกจากหน่วยความจำ (Memory) เวลาจะทำการประมวลผลอะไร ก็ต้องนำข้อมูลจากหน่วยความจำเข้ามา ผ่านบัสข้อมูล ดังนั้นหากมีจำนวนข้อมูลมากๆ ข้อมูลก็จะออกันอยู่บนถนนข้อมูล วิธีการที่ผ่านมาก็คือ ทำให้หน่วยประมวลผลมีความเร็วให้สูงขึ้น จนกระทั่งข้อมูลสามารถวิ่งเข้าออกได้ฉลุย อย่างไรก็ตาม หากข้อมูลมีความซับซ้อน และการประมวลผลมีตรรกะที่ซับซ้อนด้วย ก็จะทำให้ข้อมูลต้องวิ่งเข้าวิ่งออกมากขึ้น ก็อาจจะเกิดความแออัดของข้อมูลได้ แต่สำหรับสมองชีวะแล้ว เซลล์ประสาทแต่ละเซลล์จะเป็นทั้งหน่วยประมวลผล และหน่วยความจำในเวลาเดียวกัน ดังนั้นในการประมวลผลตรรกะต่างๆ แต่ละเซลล์จะได้รับงานที่แบ่งมาแล้วประมวลผล ส่งข้อมูลกันเป็นเครือข่าย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มาจากการบูรณาการกัน

โครงการนี้อาจจะเป็นจุดเริ่มการปฏิวัติสถาปัตยกรรมของคอมพิวเตอร์เลยครับ .....

03 เมษายน 2553

The Second Brain - สมองที่สอง (ตอนที่ 2)


สมองที่สองของคนเราไม่ได้อยู่ในกระโหลก แต่อยู่ในท้อง ตลอดแนวของเส้นทางเดินอาหารที่มีความยาวถึง 9 เมตรนั้น มีเซลล์ประสาทฝังตัวอยู่ถึง 100 ล้านเซลล์ เซลล์ประสาทเหล่านั้นทำหน้าที่หลากหลาย เพื่อควบคุมการทำงานของระบบทางเดินอาหาร พวกมันทำงานอย่างอิสระโดยไม่ต้องอาศัยสมองที่หนึ่งเลย

อย่างไรก็ดี ถึงแม้สมองที่สองจะเป็นอิสระจากสมองที่หนึ่ง มันก็มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ อาการที่ไม่สบายของสมองที่หนึ่ง จะแสดงออกต่อสมองที่สอง หรือในทางกลับกันก็ได้ โรคหลายชนิดที่เกิดกับระบบทางเดินอาหารเช่น กรดไหลย้อน อาจเกิดจากความเครียดของสมองที่หนึ่ง แล้วไปแสดงออกที่สมองที่สอง นักวิทยาศาสตร์พบว่า การให้ยาเพื่อรักษาโรคสมองที่หนึ่งนั้นเอง ได้ไปมีผลต่อสมองที่สองด้วย เนื่องมาจากที่สมองที่สองนั้น มีการใช้สารสื่อประสาทชนิดเดียวกับสมองที่หนึ่งมากกว่า 30 ชนิดเลย ในขณะเดียวกัน ภาวะของสุขภาพของทางเดินอาหาร ก็ไปมีผลต่อสมองที่หนึ่งด้วย การรักษาสุขภาวะของทางเดินอาหารให้ดี ก็จะทำให้สุขภาพของสมองที่หนึ่งดีด้วย มีรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสารวิจัยเมื่อปีที่แล้ว (2009) (รายละเอียดเต็มเพื่อการอ้างอิง Lebouvier T, Chaumette T, Paillusson S, Duyckaerts C, Bruley des Varannes S, Neunlist M, Derkinderen P., "The second brain and Parkinson's disease", European Journal of Neuroscience", 2009, vol. 30, pp. 735-741) ที่ระบุว่า โรคพาร์กินสันอาจจะมีจุดเริ่มจากการผิดปกติในสมองที่สองก่อน แล้วค่อยลุกลามเข้าไปในสมองที่หนึ่ง

คราวนี้เข้าใจแล้วไหมครับว่า ทานของหนักๆ ก่อนนอน ทำไมถึงนอนไม่ค่อยหลับ ... ก่อนนอนก็คุยกับสมองที่สองหน่อยนะครับ บอกเขาว่าเราก็เป็นห่วงเป็นใยเขาอยู่เหมือนกัน....

(ภาพซ้าย - สมองที่สองของคนเราอยู่หลังพุงเรานี่เอง ....)

15 มีนาคม 2553

The Second Brain - สมองที่สอง (ตอนที่ 1)


ท่านผู้อ่านอาจจะเคยมีประสบการณ์ ได้คุยกับคนฉลาดๆ สิ่งที่เขาคนนั้นพูดออกมา เราจะรู้ได้เลยว่ามันเจ๋ง มันสุดยอด คนแบบนี้เขาเรียกว่าคนมี "กึ๋น" ซึ่งเจ้ากึ๋นที่ว่านี้ ถ้าเป็นภาษาฝรั่งมันหมายถึง Gut ซึ่งน่าจะอยู่แถวๆ บริเวณท้อง คนฉลาดพวกนี้ใช้ท้องคิดหรือไร ???

ฟังดูตลกนะครับ ถ้าหากมีคนบอกว่ามีใครใช้ท้องคิด แต่จริงๆ แล้ว นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่าคนเราอาจจะใช้ท้องช่วยคิดก็ได้ครับ ทั้งนี้ในระบบทางเดินอาหารของคนเรานั้น มีระบบประสาทที่ซับซ้อนซึ่งประกอบด้วยเซลล์ประสาทมากถึง 100 ล้านเซลล์ เป็นรองจากสมองเท่านั้นครับ ระบบประสาทที่ซับซ้อนนี้สามารถทำงานด้วยตนเองเป็นเอกเทศจากสมอง เพื่อทำหน้าที่รับสัมผัสสิ่งต่างๆ ที่อยู่ภายในระบบทางเดินอาหาร ตั้งแต่การขับเคลื่อนอาหารไปตามเส้นทางของมัน การบีบคลายกล้ามเนื้อเพื่อช่วยในการย่อย การปลดปล่อยสารเพื่อใช้ย่อยอาหาร ไปจนถึงการดูดซึมอาหาร และการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งหน้าที่ทั้งหมดนี้ทำโดยสมองที่สอง ส่วนสมองที่หนึ่งซึ่งอยู่ในกระโหลกของเรานั้น ไม่ได้ทำหน้าที่นี้เลยครับ แต่อย่างไรก็ตาม สมองที่สองของเราก็นำส่งข้อมูลผ่านเส้นใยประสาทไปสู่สมองที่หนึ่ง โดยจะแจ้งสถานภาพต่างๆ ไปยังสมองที่หนึ่ง แต่นักวิทยาศาสตร์ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า เส้นใยประสาทนั้นเดินสัญญาณแค่ทางเดียวเท่านั้น ซึ่งหมายถึง สมองที่สองจะไม่ได้รับข้อมูลหรือคำสั่งจากสมองที่หนึ่งเลย .... มันทำงานเองอย่างเป็นเอกเทศเกือบจะโดยสมบูรณ์ !!!

ถึงแม้สมองที่สองนี้จะไม่ได้ทำหน้าคิดโดยตรง เช่น มันไม่ได้ช่วยสมองตัดสินใจว่าจะใส่เสื้อสีแดงหรือเสื้อสีเหลือง แต่นักวิทยาศาสตร์พบว่า ภาวะทางอารมณ์ของคนเราขึ้นอยู่กับสมองที่สองค่อนข้างมาก หากสมองที่สองไม่สบอารมณ์ มันจะส่งข้อมูลไปยังสมองที่หนึ่ง อาการเกรี้ยวกราดในท้องเมื่อเกิดความเครียด ก็เป็นตัวอย่างที่ดีตัวอย่างหนึ่ง คนที่เครียดมากๆ จะทำให้ระบบทางเดินอาหารแปรปรวน โรคหลายชนิด เช่น โรคกรดไหลย้อน ก็อาจจะเกิดจากความผิดปกติของสมองที่สองนี้ ในทางกลับกัน ถ้าสมองที่สองมีสุขภาพดี ก็จะส่งผลให้สมองที่หนึ่งมีภาวะสุขภาพที่ดีได้เช่นกันครับ

ความรู้ตรงนี้ทำให้เราเห็นว่า ร่างกายของคนเราไม่ได้ควบคุมแบบรวมศูนย์ที่สมองที่เดียวครับ มันสามารถทำงานแบบกระจายอำนาจได้ด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการออกแบบจักรกลที่อาศัยการผสมผสานระหว่าง Centralized & Distributed Computation ครับ ....

07 มีนาคม 2553

Scent of Love - กลิ่นไอรัก (ตอนที่ 2)


ท่านผู้อ่านที่มีลูกแล้ว ผมเชื่อว่าน่าจะมีประสบการณ์ช่วงที่ลูกยังอยู่ในวัยเยาว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนแบเบาะ ที่เราจะอยากหอมลูกมากๆ เหมือนกับที่บางคนเขาเรียกว่า "อยากฟัด" เพราะเมื่อเราสูดกลิ่นไอของลูกเข้าไป เราจะเกิดความรู้สึกรัก ผูกพัน กับลูกของเราอย่างลึกซึ้ง คนที่มีลูกมากกว่าหนึ่งคน จะสามารถจำแนกได้ว่า ลูกของเราแต่ละคนนั้นมีกลิ่นตัวไม่เหมือนกัน เวลามีความเครียดไม่ว่าจากเรื่องงานหรืออะไรก็ตาม เมื่อกลับบ้านไปแล้วได้หอมกลิ่นแก้มของลูกแล้ว ความเหนื่อยทั้งหลายก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง

นักวิทยาศาสตร์สงสัยมานานแล้วล่ะครับว่า ความรักและความผูกพันอย่างลึกซึ้งนั้น อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับความสามารถในการสัมผัสกลิ่น แม้แต่ในมนุษย์กันเองก็เถิด ก่อนหน้านี้ ผมเคยนำมาเล่าให้ฟังว่า มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่ระบุว่า กลิ่นกายของฝ่ายตรงข้ามมีผลต่อการเลือกคู่ครอง โดยเจ้าตัวไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ โดยการได้กลิ่นกายที่บ่งบอกถึงความมีสุขภาพดี และมียีนของระบบภูมิคุ้มกันที่หลากหลาย ซึ่งสามารถจะทดแทนหรือเติมเต็มชุดพันธุกรรมของอีกฝ่ายได้ จะทำให้ได้รับการเลือกเป็นคู่กัน เหมือนในบทเพลงที่ร้องว่า "เนื้อคู่กันแล้ว ก็คงไม่แคล้วกันไปได้"

เร็วๆ นี้เองครับ ได้มีการรายงานถึงเรื่องของกลิ่นไอแห่งความรักในวารสาร Nature ฉบับออนไลน์วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2010 (doi:10.1038/nature08826) ซึ่งคณะวิจัยได้เปิดเผยผลการทดลองในหนูทดลอง โดยนำหนูทารกไปคลุกคลี คลอเคลีย กับหนูผู้ใหญ่ในระยะเวลาหนึ่ง หนูผู้ใหญ่กับหนูทารกจะมีโอกาสสัมผัสเคล้าคลอ ดมกลิ่นกันและกัน จากนั้นก็แยกหนูทารกออกมา ทิ้งระยะห่างไว้พักหนึ่งจึงนำหนูทารกชุดเดิมกลับมาให้อยู่กับหนูผู้ใหญ่อีก แต่ครั้งนี้ มีการผสมหนูทารกกลุ่มใหม่เข้าไปด้วย ผลก็คือ หนูผู้ใหญ่กลุ่มที่ฮอร์โมนวาโซเปรสซิน (Vasopression) ถูกบล็อกไม่ให้ทำงานนั้น ไม่สามารถจดจำหนูทารกตัวเดิมได้ รายงานนี้เป็นการเสริมความเชื่อที่ว่า ฮอร์โมนนี้มีส่วนโดยตรงกับการเกิดรักที่ฝังตรึง ซึ่งทำให้คนเรารักกันแนบแน่น โดยไปช่วยในการทำงานที่ทำให้มนุษย์สามารถได้กลิ่นไอรัก ....

06 มีนาคม 2553

Smound = Smell + Sound


เคยไหมครับที่เราออกไปรับประทานอาหารข้างนอก ในร้านที่บรรยากาศดีดี ถ้าเป็นอาหารฝรั่ง เรามักจะอยากฟังเพลงแจ๊สเบาๆ หรือหากดื่มกันด้วย ถ้าได้ฟังแนวเพลงเลาจ์ (Lounge music) ก็จะยิ่งทำให้อาหารอร่อย แต่ถ้าไปทานอาหารญี่ปุ่น แล้วได้ฟังเพลงญี่ปุ่น ก็จะยิ่งเจริญอาหารมาก ในขณะเดียวกันเวลาทานส้มตำกับลาบ แล้วได้ฟังเพลงหมอรำ นี่สิแซ่บอร่อยไปเลย ....

การรับประทานอาหารอร่อยๆ เคล้าคลอกับเสียงดนตรีที่เจริญหู ถือเป็นสุนทรีย์ของชีวิต .... เมื่อไม่นานมานี้เองครับ ได้มีการตีพิมพ์ผลงานวิจัยชิ้นหนึ่งในวารสาร Journal of Neuroscience (รายละเอียดเต็มเพื่อการอ้างอิงคือ Daniel W. Wesson, Donald A. Wilson, "Smelling Sounds: Olfactory–Auditory Sensory Convergence in the Olfactory Tubercle", Journal of Neuroscience 30 (2010) pp. 3013-3021) ที่เปิดเผยว่า การได้ยินเสียงมีผลต่อประสาทรับกลิ่นในหนูทดลอง โดยนักวิจัยได้ตรวจวัดการทำงานของประสาทสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับกลิ่น พบว่า เซลล์สมองบางส่วนก็มีการทำงานมากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงไปพร้อมๆ กับการรับกลิ่น โดยบางส่วนกลับทำงานน้อยลง แถมยังมีเซลล์สมองบางส่วนที่จะทำงานเฉพาะเมื่อมีเสียงและกลิ่นมาพร้อมๆ กัน นักวิจัยหวังว่าจากความรู้ตรงนี้ พวกเขาจะสามารถจดสิทธิบัตรเครื่องมือที่จะสร้างคลื่นเสียง ที่ไปทำให้ประสาทการดมกลิ่นของสุนัข ให้สามารถดมหาวัตถุระเบิดได้ดีขึ้น ซึ่งพวกเขาจำเป็นต้องศึกษาในรายละเอียดว่า คลื่นเสียงความถี่ใด ที่จะช่วยขยายสัญญาณประสาทสัมผัสกลิ่นของสุนัข

ตอนนี้ผมกำลังทดลองจิบไวน์ แล้วเปิดเพลงคลาสสิคฟังครับ มีความรู้สึกว่ารสชาติของไวน์นั้นสุดยอดจริงๆ .....

14 กุมภาพันธ์ 2553

Avatar - กายอวตาร (ตอนที่ 3)


การปลูกถ่ายอวัยวะ กำลังจะเป็นเทรนด์ใหม่ ที่จะช่วยยืดอายุขัยของมนุษย์ให้ยืนนานขึ้น เมื่อส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ก็จัดการเปลี่ยนมันเสียด้วยของใหม่ แค่นั้นยังไม่พอ เราเริ่มค้นหาที่จะปิดสวิตช์ยีนที่ทำให้คนเราแก่ ด้วยหวังว่า ร่างกายของเราจะได้ไม่ต้องไปรับรู้นาฬิกาชีวะ ที่คอยบอกเราว่าเราเริ่มแก่หรือยัง

สมมติว่าเรามีเทคโนโลยีที่จะสร้างร่างกายของเราขึ้นมาใหม่ทั้งหมด รวมทั้งสมอง เราจะสามารถถ่ายโอนความระลึกรู้ และความรู้สึกนึกคิดของเราจากร่างเก่า เพื่อเข้าไปอยู่ในร่างใหม่ได้หรือไม่ ? เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คิดแล้วก็ปวดหัวครับ สมมติว่าเราสามารถ copy สมองของเราทั้งหมด ไปสร้างสมองอันใหม่ที่เหมือนกับของเราเปี๊ยบเลย รวมทั้งร่างกายใหม่ด้วย เป็นคนเดียวกับเราเหมือนกันเดี๊ย เพียงแต่อวัยวะยังฟิตปั๋ง ใหม่ๆ ซิงๆ ยังไม่ใช้งานมากเหมือนของเรา ถามว่า คนๆ นั้น ยังเป็นตัวเราอยู่ไหม หรือเป็นคนใหม่ที่มีความรู้สึกนึกคิดคล้ายๆ กับเรา เท่านั้นเอง เพราะได้ copy สมองไปจากเรา เอายังงี้คิดง่ายๆ หากเราคิดว่าร่างกายใหม่ที่มีสมองของเรานั้น เป็นอวตารของเรา เราจะกล้าปิดสวิตช์ตัวเรา (ทำให้ร่างเก่าตาย) เพื่อเข้าไปอยู่ในร่างใหม่หรือไม่ ?

สำหรับนักวิทยาศาสตร์แล้ว เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ปวดหัวมาก เพราะตำราวิทยาศาสตร์ของตะวันตกไม่มีคำว่า "จิต" ซึ่งอาจจะเป็นซอฟต์แวร์ที่วิ่งอยู่บนสมองของเรา ซึ่งทุกวันนี้ วิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถหาวิธีศึกษามันได้ นักวิทยาศาสตร์จึงจำใจต้องผูกโยงอาการทางนามธรรมหลายอย่าง เช่น เรื่องของสติสัมปชัญญะ ความจำ ภาวะความสุข-เศร้า ว่าเป็นเรื่องของฮาร์ดแวร์ ซึ่งก็คือเซลล์สมองและกิจกรรมของมัน หลายๆ ครั้ง ภาวะของสติ ก็ยากที่จะอธิบายด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งขณะนี้มีเพียงวิธี Functional Magnetic Resonance Imaging (fMRI) เท่านั้น ที่เชื่อมโยงภาวะนามธรรมเหล่านั้นได้

วันหลังมาคุยเรื่องนี้ต่อนะครับ .....

23 ธันวาคม 2552

Avatar - กายอวตาร (ตอนที่ 2)


เมื่อตอนผมเป็นเด็ก คุณแม่ของผมเคยเล่าให้ผมฟังว่า ท่านเคยเห็นผีปอบเข้าสิงร่างของคน เวลามันเข้าไปสิงใคร คนผู้นั้นจะทำอะไรโดยไม่รู้ตัว ท่านเล่าว่าคนที่โดนปอบสิงจะอยากกินของสดๆ ไม่ปรุงสุก และยังพูดหรือทำอะไรอีกหลายอย่าง ที่เหมือนดั่งว่าเขาไม่ใช่ตัวของเขาเองอีกต่อไป เมื่อผีปอบออกไปแล้ว คนๆนั้นจะจำอะไรไม่ได้เลย

ถ้าหากผีปอบที่คุณแม่ของผมท่านเล่าให้ฟังมีจริง สมองของคนที่ถูกสิงก็ต้องถูกยึดครองโดยอะไรสักอย่าง โดยมันอาจจะอัพโหลด (Upload) ตัวของมันเองเข้าไปที่สมองของคนที่ถูกสิง ทำให้มันสามารถควบคุมวงจรสมองของคนๆ นั้นได้ชั่วคราว ???

นักวิทยาศาสตร์มีความเชื่อตามทฤษฎีครับว่า เราสามารถที่จะอัพโหลดข้อมูลต่างๆ ในสมอง ไม่ว่าจะเป็นความจำ ความระลึกรู้ ไปยังคอมพิวเตอร์ หรือแม้กระทั่งสมองประดิษฐ์ที่อาจสร้างขึ้นมาได้ในอนาคต นั่นหมายถึง หากสังขารของเราเริ่มเสื่อมถอย ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ ไต ตับ เป็นต้น รวมไปถึงอวัยวะภายนอกเช่น แขน ขา ซึ่งอาจจะเปลี่ยนถ่ายจากการปลูกสเต็มเซลล์ หรือ ใช้อวัยวะกล (Bionics) ทดแทนอวัยวะจริง ซึ่งในบทความตอนที่แล้ว ผมได้เล่าให้ฟังแล้วว่า คนเรามีแค่ครึ่งตัว ก็ยังสามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ ซึ่งที่สุดแล้ว แม้แต่สมองก็เถิด เราก็อาจจะสามารถทดแทนได้ ด้วยการ upload ข้อมูลจากสมองทั้งหมด ไปยังสมองที่สร้างขึ้นมาใหม่

ทีนี้มาถึงคำถามที่สำคัญครับว่า ถ้าหากเราสามารถ upload สมองของเราไปยังสมองใหม่ ซึ่งอาจจะเป็นสมองชีวะ ที่สร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีสเต็มเซลล์ หรือเป็นสมองดิจิตอลที่ประดิษฐ์ขึ้นมา โดยข้อมูลต่างๆ ที่มีทั้งหมดเหมือนกันเปี๊ยบกับที่มีในหัวเรา !!! แล้วตกลงว่า สมองใหม่นั้นยังเป็นตัวเราอยู่หรือเปล่า หรือเป็นอีกคนๆ หนึ่งที่มีข้อมูลในสมองเหมือนเรา หากสมองใหม่นั้นเป็นตัวเราแล้ว เราก็สามารถปิด หรือ shut down ร่างกายเดิมของเราได้เลย (ก็คือตายจากร่างเดิม) แล้วไปใช้ชีวิตอยู่กับร่างใหม่ที่เป็น กายอวตารของเรา แต่ถ้าสมองใหม่นั้นเป็นอีกคนหนึ่ง ที่แค่มีข้อมูลเหมือนกับเรา คราวนี้ ผมจินตนาการไม่ออกแล้วครับว่า จะเกิดอะไรขึ้น


วันหลังค่อยคุยเรื่องนี้ต่อครับ .....

13 ธันวาคม 2552

เมื่อใจคุยกับใจ


ท่านผู้อ่านเคยเป็นอย่างนี้บ้างไหมครับ ที่บางครั้งเรากำลังนึกถึงใครสักคนหนึ่งอยู่ เพียงแว้บเดียวเท่านั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น แล้วก็เป็นคนๆนั้นเองที่โทรเข้ามา หรือเรานั่งทานข้าวอยู่แล้วนึกถึงเรื่องอะไรสักอย่างเพลินๆ อยู่ดีๆ ก็มีใครคนหนึ่งที่นั่งทานข้าวอยู่ด้วยกันพูดเรื่องนี้ขึ้นมา สำหรับบางคนแล้ว เรื่องแบบนี้มักจะเกิดขึ้นบ่อยเสียจนเราคิดว่ามันเป็นแค่เหตุบังเอิญ เป็นไปได้ไหมครับว่า การสื่อสารระหว่างจิตใจนั้นมีอยู่จริง เพียงแต่เรามีความรู้ในเรื่องนี้น้อยมาก จนไม่เคยคิดว่าสิ่งนี้สามารถอธิบายได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์

นักวิทยาศาสตร์พยายามสร้างเทคโนโลยี ที่จะทำให้สมองของคนๆ หนึ่งสามารถสื่อสารกับสมองของคนอีกคนหนึ่งได้ การที่จะทำเช่นนั้นได้ ฝั่งทางด้านหนึ่งจะต้องมีขั้วอิเล็กโทรดต่อเข้าไปที่สมอง เมื่อคนฝั่งทางด้านนี้คิดอะไรขึ้นมา ขั้วอิเล็กโทรดที่ต่ออยู่จะจับสัญญาณ แล้วเปลี่ยนเป็นข้อมูลดิจิตอล ส่งเข้ามาที่ขั้วอิเล็กโทรดของสมองฝั่งรับ ซึ่งจะแปลงข้อมูลส่งเข้าไปเป็นสัญญาณประสาทให้ฝ่ายรับ ทราบได้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่

ยังหรอกครับ เทคโนโลยีที่ว่ายังไม่มีหรอกครับ ความก้าวหน้าในปัจจุบันทำได้แค่ฝั่งส่งเท่านั้นแหล่ะครับ คือสามารถที่จะเปลี่ยนความคิดให้เป็นสัญญาณดิจิตอลได้แล้ว แต่ยังไม่สามารถที่จะเปลี่ยนข้อมูลดิจิตอล เข้าไปใส่สมองคนฝั่งรับ เพราะว่าความรู้ในเรื่องสมองมนุษย์ยังไม่มากครับ ถึงแม้ปัจจุบันจะเริ่มมีความสนใจการทำงานของสมองกันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ความก้าวหน้าแค่นี้ก็มีประโยชน์แล้วครับ เพนทากอนวางแผนจะใช้คลื่นสมองสำหรับการขับเครื่องบินรบ หรือ การใช้สัญญาณสมองเพื่อควบคุมอวัยวะกล เพื่อให้ผู้ป่วยอัมพฤกษ์สามารถที่จะใช้ชีวิตได้สะดวกสบายขึ้น

วันนี้ผมมาอยู่ที่ประจวบฯครับ พักอยู่หน้าอ่าวประจวบฯ เลยครับ บรรยากาศยามค่ำคืนที่นี่สบายใจมากๆครับ ....