02 สิงหาคม 2556

Memetics Engineering - วิศวกรรมเปลี่ยนความคิดคน (ตอนที่ 1)



(Picture from http://www.npr.org/ แสดงให้เห็นการพับกระดาษชำระหน้าชักโครก ในโรงแรมต่างๆ ทั่วโลก ที่มักจะพับเป็นรูป V shape ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนพับคนแรก แล้วพับเพื่ออะไร แต่ Meme อันนี้มันได้ระบาดไปทั่วโลก แล้วยังมีวิวัฒนาการออกเป็นรูปร่างต่าง ๆ อย่างที่เห็นในภาพ)

ในปี ค.ศ. 1976 ริชาร์ด ดอว์กิน (Richard Dawkins) ปรมาจารย์ทางด้านชีววิทยาวิวัฒนาการ ได้ตีพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า The Selfish Gene (ยีนเห็นแก่ตัว) หนังสือเล่มนี้ซึ่งเป็นหนังสือที่ขายดีมากๆ (Bestseller) ได้มีการเสนอแนวคิดที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง ซึ่งดอว์กินเรียกมันว่า "มีม" (Meme) โดยเขาได้นิยามว่า มันเป็นอาการทางนามธรรม ที่มีความสามารถในการแพร่พันธุ์หรือขยายจำนวนได้ ไม่ว่าจะเป็น แนวความคิด สัญลักษณ์ อาการต่างๆ พฤติกรรม เมโลดี้ของดนตรี ถ้อยคำ ความเชื่อทางศาสนา แฟชั่น แบบบ้าน และอื่นๆ อีกมากมาย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ พอเกิดขึ้นมาแล้ว มันจะมีวิวัฒนาการ มีการขยายตัว มี mutation มีการคัดเลือกตามธรรมชาติ เสมือนมันเป็นสิ่งมีชีวิต มันอาจอยู่ได้นาน หรือ อาจตายไปในเวลาอันสั้น บางครั้ง meme มันขยายจำนวนไปมากๆ จนกลายมาเป็นสิ่งที่นิยมปฏิบัติกันไปเลย

ผมจะขอยกตัวอย่าง Meme ที่เกิดขึ้น จากนั้นก็แพร่พันธุ์ และวิวัฒนาการ ในสมองของคนไทย

- การทำบุญ 9 วัด เป็น meme ที่เกิดขึ้นจากคนกลุ่มเล็กๆ จากนั้นมันได้ขยายตัว และมีวิวัฒนาการไปด้วยระหว่างที่มันเพิ่มจำนวน จากเดิมการทำบุญ 9 วัด ทำกันในหมู่ผู้สูงอายุ แต่ตอนนี้คนหนุ่มสาวก็นิยม กลายเป็นทัวร์ แถมมีทัวร์ไปเมืองจีนไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ 9 แห่งเข้าไปอีก

- การที่คนนิยมไปเที่ยวปาย ต่อมาก็เชียงคาน ตอนนี้กำลังจะไปบูมที่เมืองน่าน การที่คนแห่แหนกันไปเที่ยวอัมพวา เดอะปาลิโอที่เขาใหญ่ ซานโตรินีพาร์คที่ชะอำ ล้วนเป็นการเอาอย่างกัน ทำตามกันทั้งสิ้น นั่นก็เพราะเจ้า Meme ได้แพร่ระบาดไปในสมองของคนเหล่านั้นนั่นเอง

- การมีกิ๊ก ก็เป็นการเอาอย่างกัน เป็น Meme ที่แพร่พันธุ์ในสมองคนไทยมาสักประมาณไม่น่าจะเกิน 10 ปีครับ แต่ก่อนนั้นเราเรียกการกระทำนี้ว่า "ชู้" แต่พอเปลี่ยนมาเป็น "กิ๊ก" แล้วดูเก๋ไก๋ ทำให้เจ้า Meme นี้ขยายตัวมากจนเกินขอบเขตและสร้างปัญหาสังคมขึ้นมามากมาย

- การเต้นโคโยตี้อย่างเอิกเกริกในงานต่างๆ แต่ก่อนเราเรียกการเต้นอย่างนี้ว่าจั๊มบ๊ะ ซึ่งต้องเต้นกันในสถานที่บันเทิงที่ขออนุญาต ไม่ได้เต้นโชว์กันอย่างเปิดเผยในงานมอเตอร์โชว์เหมือนเดี๋ยวนี้ คำว่า "โคโยตี้" มันก็มาจากภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง "Coyote Ugly" ที่นางเอก 3 คนเต้นโชว์ในผับ ซึ่งจากนั้น การเต้นจั๊มบ๊ะก็มาเปลี่ยนเป็นเต้นโคโยตี้ ซึ่งทำให้ฟังดูดี แล้วสังคมยอมรับมันมากขึ้นจนสามารถมาเต้นในที่สาธารณะได้ ... นี่ก็เป็นวิวัฒนาการของเจ้า Meme ตัวนี้นั่นเองครับ

- ความนิยมในการใช้ Line ก็เป็น Meme อย่างหนึ่งครับ คนส่วนใหญ่ ไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้ แค่เอาอย่างกัน

- ลัทธิธรรมกาย นี่ก็เป็น Meme อย่างหนึ่ง ซึ่งฝังตัวในสมองของคนกลุ่มหนึ่งอย่างเหนียวแน่น ซึ่งมันได้พยายามแพร่พันธุ์ไปสู่ผู้คนจำนวนมาก คนที่ถูกเจ้า Meme นี้ยึดครองจะยอมมอบกายถวายเงินให้แก่เจ้าลัทธิโดยไม่รู้ตัว

จะเห็นได้ว่า Meme เป็นอาการนามธรรมคล้ายๆ กับซอฟต์แวร์ ซึ่งต้องอาศัยบนฮาร์ดแวร์ที่เป็นสมอง จะมองว่า Meme นั้นเป็นไวรัสแบบหนึ่งก็ได้ครับ คือเมื่อมันฝังตัวบนพาหะได้แล้ว มันจะพยายามเพิ่มจำนวนให้มากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ใช่ว่ามันจะประสบความสำเร็จเสมอไป Meme บางตัวเพิ่มจำนวนรวดเร็วแต่แล้วกลับลดจำนวนลงแล้วสูญพันธุ์ไปในเวลาไม่นาน Meme บางตัวเพิ่มจำนวนไปเรื่อยๆ แต่ถูกรุกรานจาก Meme ตัวใหม่แล้วกลายพันธุ์ไป การเข้าใจศาสตร์ของ Meme แล้วดัดแปลงให้มันทำงานตามที่เราต้องการ กำลังจะกลายเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มีทั้งประโยชน์มากมายมหาศาล และมีโทษภัยที่น่ากลัวมากครับ แล้วผมจะนำมาเล่าให้ฟังในวันหลังครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น