31 ธันวาคม 2552

The Rise of Machines - เมื่อยุคของหุ่นยนต์มาถึงแล้ว


หายไปหลายวันเลยครับ เพราะมีงานต้องเคลียร์ก่อนขึ้นปีใหม่ครับ วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า เพื่อต้อนรับปีใหม่ ผมเลยต้องขอเขียนเรื่องนี้ส่งท้ายหน่อยครับ เป็นข้อสังเกตกันว่ายุคของจักรกลฉลาดกำลังจะมาถึงแล้ว เพราะตลอดปี 2009 ที่ผ่านมาได้มีความก้าวหน้าเกิดขึ้นอย่างขนานใหญ่ทั่วโลก ซึ่งหากจะเขียนถึงเรื่องนี้อย่างเคลียร์ ๆ ต้องยาวแน่ครับ ผมขอสรุปความก้าวหน้าอย่างคร่าวๆ นะครับ


ที่เห็นอย่างเด่นชัดก็คือ หุ่นยนต์ในปี 2009 มีความฉลาดทางสังคมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก มันเรียนรู้เรื่องอารมณ์ และสามารถที่จะสื่อสารทางอารมณ์กับมนุษย์ได้ดีขึ้น หุ่นยนต์ Simon ของสถาบันเทคโนโลยีแห่งรัฐจอร์เจีย (Georgia Institute of Technology) ที่เมืองแอตแลนต้า (ผมเคยไปเดินเล่นที่นี่ครับ) เรียนรู้ที่จะหยิบ รับ สิ่งของจากมนุษย์ โดยมันจะอ่านคำสั่งจากสายตา ท่าทาง ของเจ้าของมัน (อ่านที่ http://bit.ly/ujkpg) หุ่นยนต์ Robovie จาก Carnegie Mellon University อาศัยการสังเกตใบหน้า สายตา ท่าทางของมนุษย์ เพื่อสนทนาโต้ตอบ (อ่านต่อที่ http://bit.ly/5lSXse) หุ่นยนต์ Einstein ของ University of California San Diego สามารถเรียนรู้ใบหน้าตัวเองจากการมองกระจก มันจะลองผิด ลองถูก เพื่อเรียนรู้การทำใบหน้าเป็นอารมณ์ต่างๆ หัดทำหน้ายิ้มได้เอง (อ่านต่อที่ http://bit.ly/58vvzC) ก่อนหน้านี้ผมก็เคยเขียนเรื่องหุ่นยนต์ที่สามารถพัฒนาการเอาตัวรอด มันเรียนรู้ที่จะหลอกเพื่อนของมัน เอาเปรียบเพื่อนของมัน ในขณะที่หุ่นยนต์อีกตัวที่สร้างมาพร้อมกัน กลับพัฒนาพฤติกรรรมในการช่วยเหลือ เกื้อกูล เพื่อนฝูง (อ่านต่อที่ http://bit.ly/3OzrR) ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่า พฤติกรรมดีชั่ว อาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ซึ่งสามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ นอกจากนั้น นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคาลการี (University of Calgary) ในแคนาดา ยังสอนให้หุ่นยนต์ให้เรียนรู้อารมณ์ของเจ้าของ ทำให้มันรู้จักถอยห่าง เวลาเจ้าของอารมณ์เสีย (อ่าน paper นี้ได้ที่ http://bit.ly/7LVUk)

ความก้าวหน้าของหุ่นยนต์ในปี 2009 ยังไม่จบแค่นี้ครับ ผมจะมาเขียนต่อครับ อาจจะวันนี้ หรือ พรุ่งนี้ สวัสดีปีใหม่ 2553 ครับผม .....


(ภาพบน - ในเมื่อผู้หญิงโสดมีมากขึ้นเรื่อยๆ อีกหน่อย หุ่นยนต์ boyfriend อาจจะเป็นทางเลือกของพวกเธอ)

27 ธันวาคม 2552

Body Electronics - อิเล็กทรอนิกส์บนผิวกายมนุษย์ (ตอนที่ 3)


จุดเปลี่ยนสำคัญของอารยธรรมมนุษย์ จากศตวรรษที่ 19 มาสู่ศตวรรษที่ 20 ก็คือการค้นพบอิเล็กตรอน ซึ่งนำมาสู่การพัฒนาวงจรอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ จนทำให้เกิดการปฏิวัติสารสนเทศครั้งใหญ่ ทำให้เรามีเวิลด์ไวด์เว็บ มีเฟซบุ๊ค มีทวิตเตอร์ใช้ในวันนี้ แต่สิ่งนี้ยังไม่ยิ่งใหญ่เท่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ที่จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญจากศตวรรษที่ 20 ไปสู่ศตวรรษที่ 21 นั่นก็คือ การที่อิเล็๋กทรอนิกส์กับระบบของสิ่งมีชีวิตจะหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวครับ ซึ่งผมจะทยอยนำเรื่องราวเหล่านี้มาเล่าให้ฟังไปเรื่อยๆ ครับ วันนี้ผมขอนำเรื่องของแนวคิดในการหลอมรวมระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ เข้ากับร่างกายของมนุษย์ นั่นคือการทำให้ร่างกายของเรามีระบบโทรศัพท์ในตัวเรา

ในปี ค.ศ. 2002 ได้มีผู้เสนอความคิดเรื่องการฝังโทรศัพท์เข้าไปในร่างกาย โดยการฝังไมโครชิพเข้าไปในฟัน ไมโครชิพนี้จะรับสัญญาณโทรศัพท์เข้ามา แล้วเปลี่ยนเป็นการสั่นซึ่งจะนำส่งไปยังหูของเราโดยตรงผ่านกระดูกกราม ทำให้เราได้ยินเสียงจากข้างในได้โดยตรง โทรศัพท์ฝังในร่างกายนี้ จะทำให้เราสามารถพูดคุยโทรศัพท์ได้โดยไม่ต้องถือเครื่องโทรศัพท์อีกต่อไป อีกทั้งมันยังสามารถติดตามเราไปได้ทุกแห่งหน ในการโทรออก เราอาจเพียงแค่ใช้คำสั่งด้วยเสียง เพื่อบอกชื่อคนที่จะโทร หรือพูดเบอร์โทรออกไป มันก็จะโทรออกให้เรา นอกจากนั้น โทรศัพท์ฝังในตัวมนุษย์อาจจะรับคำสั่งจากภาษากายก็ได้ครับ ในตัวชิพจะมี accelerometer ซึ่งจะวัดการความเร่ง ที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของศรีษะและปากของเรา เราอาจจะเข้ารหัสคำสั่งให้แก่ชิพได้ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าแนวคิดนี้มีความเป็นไปได้ และคงจะสามารถทำได้ในไม่ช้า


ปัญหาหนึ่งครับ ที่นักวิจัยจะต้องแก้ให้ได้ ก่อนที่ความฝันเรื่องอิเล็กทรอนิกส์บนผิวกายมนุษย์จะเป็นจริงได้ นั่นคือเรื่องของพลังงาน ที่อุปกรณ์จิ๋วพวกนี้จะใช้ ว่าจะเอามาจากไหน ผมจะมาคุยต่อเรื่องนี้วันหลังนะครับ

23 ธันวาคม 2552

Avatar - กายอวตาร (ตอนที่ 2)


เมื่อตอนผมเป็นเด็ก คุณแม่ของผมเคยเล่าให้ผมฟังว่า ท่านเคยเห็นผีปอบเข้าสิงร่างของคน เวลามันเข้าไปสิงใคร คนผู้นั้นจะทำอะไรโดยไม่รู้ตัว ท่านเล่าว่าคนที่โดนปอบสิงจะอยากกินของสดๆ ไม่ปรุงสุก และยังพูดหรือทำอะไรอีกหลายอย่าง ที่เหมือนดั่งว่าเขาไม่ใช่ตัวของเขาเองอีกต่อไป เมื่อผีปอบออกไปแล้ว คนๆนั้นจะจำอะไรไม่ได้เลย

ถ้าหากผีปอบที่คุณแม่ของผมท่านเล่าให้ฟังมีจริง สมองของคนที่ถูกสิงก็ต้องถูกยึดครองโดยอะไรสักอย่าง โดยมันอาจจะอัพโหลด (Upload) ตัวของมันเองเข้าไปที่สมองของคนที่ถูกสิง ทำให้มันสามารถควบคุมวงจรสมองของคนๆ นั้นได้ชั่วคราว ???

นักวิทยาศาสตร์มีความเชื่อตามทฤษฎีครับว่า เราสามารถที่จะอัพโหลดข้อมูลต่างๆ ในสมอง ไม่ว่าจะเป็นความจำ ความระลึกรู้ ไปยังคอมพิวเตอร์ หรือแม้กระทั่งสมองประดิษฐ์ที่อาจสร้างขึ้นมาได้ในอนาคต นั่นหมายถึง หากสังขารของเราเริ่มเสื่อมถอย ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ ไต ตับ เป็นต้น รวมไปถึงอวัยวะภายนอกเช่น แขน ขา ซึ่งอาจจะเปลี่ยนถ่ายจากการปลูกสเต็มเซลล์ หรือ ใช้อวัยวะกล (Bionics) ทดแทนอวัยวะจริง ซึ่งในบทความตอนที่แล้ว ผมได้เล่าให้ฟังแล้วว่า คนเรามีแค่ครึ่งตัว ก็ยังสามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ ซึ่งที่สุดแล้ว แม้แต่สมองก็เถิด เราก็อาจจะสามารถทดแทนได้ ด้วยการ upload ข้อมูลจากสมองทั้งหมด ไปยังสมองที่สร้างขึ้นมาใหม่

ทีนี้มาถึงคำถามที่สำคัญครับว่า ถ้าหากเราสามารถ upload สมองของเราไปยังสมองใหม่ ซึ่งอาจจะเป็นสมองชีวะ ที่สร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีสเต็มเซลล์ หรือเป็นสมองดิจิตอลที่ประดิษฐ์ขึ้นมา โดยข้อมูลต่างๆ ที่มีทั้งหมดเหมือนกันเปี๊ยบกับที่มีในหัวเรา !!! แล้วตกลงว่า สมองใหม่นั้นยังเป็นตัวเราอยู่หรือเปล่า หรือเป็นอีกคนๆ หนึ่งที่มีข้อมูลในสมองเหมือนเรา หากสมองใหม่นั้นเป็นตัวเราแล้ว เราก็สามารถปิด หรือ shut down ร่างกายเดิมของเราได้เลย (ก็คือตายจากร่างเดิม) แล้วไปใช้ชีวิตอยู่กับร่างใหม่ที่เป็น กายอวตารของเรา แต่ถ้าสมองใหม่นั้นเป็นอีกคนหนึ่ง ที่แค่มีข้อมูลเหมือนกับเรา คราวนี้ ผมจินตนาการไม่ออกแล้วครับว่า จะเกิดอะไรขึ้น


วันหลังค่อยคุยเรื่องนี้ต่อครับ .....

20 ธันวาคม 2552

Materials Intelligence - วัสดุปัญญา (ตอนที่ 6)


ยุคของวัสดุที่มีหัวคิดกำลังจะมาถึงแล้วครับ วันนี้ผมขอนำเรื่องเกี่ยวกับวัสดุชนิดหนึ่ง ที่ทำตัวเหมือนดั่งว่ามันมีชีวิต เราเรียกวัสดุชนิดนี้ว่า วัสดุวิวัฒน์ (Evolvable Materials) เหตุที่เรียกชื่ออย่างนั้นก็เพราะว่า วัสดุชนิดนี้สามารถมีวิวัฒนาการตัวมันเองได้ครับ

เพนทากอนกำลังให้ความสนใจต่อวัสดุชนิดนี้เป็นอย่างยิ่ง ความฝันของเพนทากอนคือ การพัฒนาอาวุธที่วิวัฒน์ตัวเองได้ (Evolvable Weapon) ปืนไรเฟิลที่สามารถปรับรูปแบบการยิงได้ เฮลิคอปเตอร์ที่เปลี่ยนเป็นเครื่องบินหรือเรือได้ หุ่นยนต์ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างได้ การครอบครองเทคโนโลยีวัสดุวิวัฒน์ จะทำให้ครองความได้เปรียบในด้านการทหารต่อไป

เพนทากอนมองหาวัสดุวิวัฒน์ เพราะมันจะทำให้ยุทโธปกรณ์ทางด้านการทหาร มีฟังก์ชั่นหน้าที่แบบใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน วัสดุนี้จะทนทาน มีอายุการใช้งานได้เพิ่มขึ้น เอาตัวรอดจากสถานการณ์และสภาวะบีบคั้นได้ดีกว่าเดิม วัสดุแบบนี้จะก่อให้เกิดกระบวนทัศน์ใหม่ในการรบ ทำให้ผู้ครอบครองสามารถทำให้เกิดความประหลาดใจแก่ข้าศึกได้ ซึ่งกลยุทธ์นี้มีความสำคัญต่อการศึกขั้นแตกหัก ที่จะทำให้การที่ข้าศึกยอมแพ้โดยไม่ต้องรบนองเลือด มีความเป็นไปได้สูงขึ้น

วัสดุวิวัฒน์ที่เพนทากอนมองหานั้น ต้องเป็นวัสดุสังเคราะห์ขึ้นใหม่ ไม่เอาวัสดุที่มีแล้วในระบบชีววิทยา วัสดุสังเคราะห์ชนิดใหม่นี้จะต้องมีความสามารถที่เลียนแบบสิ่งมีชีวิตได้ มันมีความสามารถในการรับรู้สภาวะแวดล้อม แล้วปรับเปลี่ยนคุณสมบัติภายในตัวมันเอง (Reconfigurable) เพื่อให้สามารถทำหน้าที่ในสภาวการณ์ที่มีพลวัต เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา โดยสามารถปรับหาขีดความสามารถที่เหมาะสมที่จะทำงาน ทั้งนี้ในการปรับสภาวะการทำงาน มันควรจะต้องใช้พลังงานไม่มากด้วย วัสดุวิวัฒน์จะต้องมี "ความจำ" ที่จะเก็บข้อมูลว่าคุณสมบัติใด ที่เหมาะสมกับสภาวะใด วัสดุวิวัฒน์ที่ก้าวหน้าขึ้นไปอีก อาจจะสามารถ "เรียนรู้" เรื่องใหม่ๆ ด้วยตัวของมันเอง หรือ การทำงานประสานกับระบบอื่นๆ ที่มีฟังก์ชั่นหน้าที่นี้ วัสดุวิวัฒน์จึงเป็นวัสดุปัญญาชนิดหนึ่งครับ

วันหลังผมจะมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังอีกครับ เพราะเทคโนโลยีนี้สำคัญมากในอนาคต แต่ในประเทศไทยเรา ในหมู่นักวิจัยด้วยกันเอง ยังมีคนสนใจเรื่องนี้น้อยมากครับ ......

18 ธันวาคม 2552

The Mathematics of Beautiful Girls- คณิตศาสตร์ของคนสวย (ตอนที่ 1)


เมื่อตอนที่ผมยังเป็นเด็กนักเรียนมัธยมต้น ผมเคยแอบสงสัยว่า ทำไมห้องเรียนแต่ละห้อง จะมีผู้หญิงสวยๆ แค่ประมาณ 10% ของชั้นเรียนเท่านั้น คณิตศาสตร์ง่ายๆนี้ พวกผมเรียกกันว่า "ผู้หญิงท็อปเท็น" เช่น หากในห้องเรียนของเรามีผู้หญิงอยู่ 20 คน (โรงเรียนคละชายหญิงที่ผมเคยเรียน มีผู้ชาย-ผู้หญิง ในอัตราส่วน 20-20 ครับ) ก็จะมีผู้หญิงท็อปเท็นที่พวกเราต่างจ้องจะจีบอยู่เพียง 2 คนเท่านั้น ทุกวันนี้ผมยังจำชื่อจริงของเธอ 2 คนนั้นได้อยู่เลยครับ แต่ผมขอบอกแค่ชื่อเล่นของเธอทั้งคู่แทนนะครับ เธอทั้งสองน่ารักมากๆ และเธอก็เป็นเพื่อนสนิทกันอีกด้วย เรียกว่าหากใครคิดจะจีบเธอ ก็คงต้องเข้าไปจีบทั้งคู่ เผื่อว่าอาจจะฟลุ๊คได้เป็นแฟนกับใครคนใดคนหนึ่ง อ้าว .... ลืมบอกชื่อเล่นของเธอไปเลย .... เธอชื่อว่า "แมว" กับ "หนู" ครับ แปลกมากที่ แมวและหนู รักและสนิทกันมาก ผมภูมิใจมากครับที่ได้เป็น "เพื่อนสนิท" (ที่อาจคิดไม่ซื่อ) ของทั้งสองคนนี้


พอผมโตขึ้นมาหน่อย ได้เข้ามาเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ในชั้นเรียนของผมก็มีผู้หญิงอยู่ประมาณ 20 คนอีกแล้วครับ ในรุ่นที่ผมเรียนนั้นมีผู้ชายเพียง 10 คนเท่านั้น และแล้วทฤษฎีท็อปเท็นของผมก็ใช้การได้อีก มีผู้หญิงสวยในรุ่นที่ผมเรียนอยู่ 2 คนครับ และก็ไม่อยากจะเชื่อทั้งคู่เป็นเพื่อนรักกันอีกแล้ว เดินไปไหนก็จะไปด้วยกัน ทานข้าวด้วยกัน นั่งเรียนติดกัน ไปเดินเล่นที่ห้างด้วยกัน ดูหนังด้วยกัน เหมือน "แมวกับหนู" ของผมในสมัยมัธยม ผมขอไม่บอกชื่อเล่นของผู้หญิงท็อปเท็น 2 คนหลังนี้ครับ เพราะผมคิดว่าท่านผู้อ่านบางคนอาจจะรู้จักเธอ แล้วจะไปเล่าให้พวกเธอฟัง ถึงแม้เวลานี้เธอทั้งคู่จะไม่ใช่เด็กๆ อีกแล้ว แต่เท่าที่ผมได้ยินมา เธอทั้งคู่ก็ยังเป็นผู้หญิงท็อปเท็นในแถวๆ ที่เธอทั้งสองทำงานอยู่ครับ ใครๆ ต่างก็ต้องการจะจีบผู้หญิงท็อปเท็น 2 คนนี้ของรุ่น และผมก็ภูมิใจอีกครั้งที่ได้เป็นเพื่อนสนิทที่รู้ใจของทั้งคู่ครับ


มีใครรู้บ้างไหมครับว่า ทำไมผู้หญิงสวยๆ ถึงมีแค่ 10% ของผู้หญิงทั้งหมด และตัวเลขกลมๆ นี้เองครับ ที่ทำให้เกิดสงครามเมืองทรอยเพื่อแย่งชิงเฮเลน หรือทำให้บุเรงนองต้องยกทัพไปถล่มเมืองหงสาเพื่อช่วงชิงตัว ตะละแม่กุสุมา


เจมส์ วัตสัน (James Watson) นักชีววิทยารางวัลโนเบล ผู้ร่วมค้นพบดีเอ็นเอ ได้กล่าวไว้ว่า "ผู้คนพูดว่า มันคงแย่มากๆ หากเราทำให้ผู้หญิงสวยกันหมดทุกคน แต่สำหรับผมแล้ว มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่และดีมากๆ ครับ" บางคนมองว่าการที่โลกของเรามีทั้งผู้หญิงสวยและไม่สวยปะปนคละเคล้ากันไป เป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์และหมอศัลยกรรมจำนวนมาก คิดว่า ถ้าโลกนี้มีแต่คนสวยๆ ก็จะดีไม่น้อย เพราะความไม่สวยเป็นความทุกข์ของผู้หญิงจำนวนมาก


วันหลังผมมีคณิตศาสตร์ของผู้หญิงสวยมาเล่าให้ฟังอีกครับ วันนี้ผมทำงานอยู่ที่ไร่องุ่นกราน-มอนเต้ครับ มองออกไปในไร่ เห็นต้นองุ่นสวยๆ แล้วก็ชื่นใจจริงๆครับ ......

(ภาพบน - ความสวยของผู้หญิงประเภทสองอย่างน้องปอย อาจมีผลทำให้จำนวนผู้หญิงแท้ๆ ที่จะสวยได้ มีน้อยลงไปอีก ตามกฎของ 10% ยิ่งผู้หญิงอย่างน้องปอยมีมากขึ้นเท่าไหร่ เราจะเริ่มเห็นผู้หญิงจริงๆ ที่สวยน้อยลงทุกที ๆ)

16 ธันวาคม 2552

Kansei Engineering - วิศวกรรมอารมณ์ (ตอนที่ 2)


หายไปหลายวันครับ ไปล่องใต้หลายวัน ช่วงนี้ต้องห่างๆจากภาคเหนือหน่อยครับ เพราะคนไปเยอะมาก โชคดีที่ผมไป ปาย ตั้งแต่ปลายตุลา ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่ได้ไป เพราะได้ข่าวว่าตอนนี้ที่ ปาย คนแน่นมากๆ ครับ ผมได้ยินแว่วๆ มาว่าอีกหน่อยเราอาจจะมีที่เที่ยวใหม่ นั่นคือ เมืองน่าน ครับ จะฮิตเหมือนปายหรือเปล่า คงต้องดูกันต่อไป

ท่านผู้อ่านคงจะได้ยินคำว่า "โปรแกรมส่งเสริมการขาย" กันอยู่บ่อยๆ ซึ่งก็จะเป็นการ ลด แลก แจก แถม ต่างๆ ซึ่งมักไม่เกี่ยวกับตัวสินค้าที่จะขายเท่าไหร่ อย่างที่ เซเว่น (Seven-Eleven) มักจะมีสแตมป์ให้สะสม เพื่อแลกโดเรมอน คราวที่แล้ว ผมซื้อของเซเว่นไปเยอะเลยครับ เพื่อให้ได้สแตมป์เอาไปแลกของสะสมที่เกี่ยวกับโดเรมอน คราวนี้มาอีกแล้ว เป็นของสะสมที่เกี่ยวกับหมีพูห์

แต่มีอีกคำหนึ่งครับ ที่ท่านผู้อ่านอาจจะไม่เคยได้ยินเท่าไหร่ นั่นคือ "โปรแกรมส่งเสริมการซื้อ" ซึ่งจะเป็นการสร้างอารมณ์ให้ผู้ซื้ออยากได้สินค้า การจะทำแบบนี้ได้ ก็จะต้องสร้างอารมณ์ในตัวสินค้านั้นๆ โดยตรงครับ ทำให้สินค้าตัวนั้นมีคุณค่าน่าซื้อ ไม่ต้องไปทำอะไรอ้อมๆ เหมือนการส่งเสริมการขาย
Kansei Engineering เป็นเรื่องของการทำให้สินค้าเป็นที่ ต้องตา ต้องใจ ต้องอารมณ์ ของผู้บริโภค สินค้าตัวนั้นจะไปเกาะกับประสาทสัมผัส หรือ อายตนะ ของผู้ซื้อจนอยู่หมัด ทำให้ไม่สามารถที่จะหักใจไม่ซื้อได้ บางคนถึงขนาดยอมเป็นสาวกของแบรนด์นั้นๆ ไปเลยก็มี


ที่มหาวิทยาลัยชินชู (Shinshu University) ประเทศญี่ปุ่น เขาเปิดหลักสูตรเพื่อสอน Kansei Engineering กันโดยตรงเลยครับ เขาทำวิจัยเพื่อพัฒนาสินค้าที่จับอารมณ์ผู้บริโภคได้ ซึ่งนำหลักวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมมาพัฒนาตัวสินค้า เป็นศาสตร์ที่เป็นเรื่องเป็นราว ไม่ใช่แค่การวิจัยตลาดแบบฝุ่นๆ เหมือนที่ทำกันเยอะตามคณะวิทยาการการจัดการในบ้านเรา

ว่างๆ ผมจะนำรายละเอียด เกี่ยวกับวิศวกรรมอารมณ์ มาเล่าให้ฟังครับ ......

13 ธันวาคม 2552

เมื่อใจคุยกับใจ


ท่านผู้อ่านเคยเป็นอย่างนี้บ้างไหมครับ ที่บางครั้งเรากำลังนึกถึงใครสักคนหนึ่งอยู่ เพียงแว้บเดียวเท่านั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น แล้วก็เป็นคนๆนั้นเองที่โทรเข้ามา หรือเรานั่งทานข้าวอยู่แล้วนึกถึงเรื่องอะไรสักอย่างเพลินๆ อยู่ดีๆ ก็มีใครคนหนึ่งที่นั่งทานข้าวอยู่ด้วยกันพูดเรื่องนี้ขึ้นมา สำหรับบางคนแล้ว เรื่องแบบนี้มักจะเกิดขึ้นบ่อยเสียจนเราคิดว่ามันเป็นแค่เหตุบังเอิญ เป็นไปได้ไหมครับว่า การสื่อสารระหว่างจิตใจนั้นมีอยู่จริง เพียงแต่เรามีความรู้ในเรื่องนี้น้อยมาก จนไม่เคยคิดว่าสิ่งนี้สามารถอธิบายได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์

นักวิทยาศาสตร์พยายามสร้างเทคโนโลยี ที่จะทำให้สมองของคนๆ หนึ่งสามารถสื่อสารกับสมองของคนอีกคนหนึ่งได้ การที่จะทำเช่นนั้นได้ ฝั่งทางด้านหนึ่งจะต้องมีขั้วอิเล็กโทรดต่อเข้าไปที่สมอง เมื่อคนฝั่งทางด้านนี้คิดอะไรขึ้นมา ขั้วอิเล็กโทรดที่ต่ออยู่จะจับสัญญาณ แล้วเปลี่ยนเป็นข้อมูลดิจิตอล ส่งเข้ามาที่ขั้วอิเล็กโทรดของสมองฝั่งรับ ซึ่งจะแปลงข้อมูลส่งเข้าไปเป็นสัญญาณประสาทให้ฝ่ายรับ ทราบได้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่

ยังหรอกครับ เทคโนโลยีที่ว่ายังไม่มีหรอกครับ ความก้าวหน้าในปัจจุบันทำได้แค่ฝั่งส่งเท่านั้นแหล่ะครับ คือสามารถที่จะเปลี่ยนความคิดให้เป็นสัญญาณดิจิตอลได้แล้ว แต่ยังไม่สามารถที่จะเปลี่ยนข้อมูลดิจิตอล เข้าไปใส่สมองคนฝั่งรับ เพราะว่าความรู้ในเรื่องสมองมนุษย์ยังไม่มากครับ ถึงแม้ปัจจุบันจะเริ่มมีความสนใจการทำงานของสมองกันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ความก้าวหน้าแค่นี้ก็มีประโยชน์แล้วครับ เพนทากอนวางแผนจะใช้คลื่นสมองสำหรับการขับเครื่องบินรบ หรือ การใช้สัญญาณสมองเพื่อควบคุมอวัยวะกล เพื่อให้ผู้ป่วยอัมพฤกษ์สามารถที่จะใช้ชีวิตได้สะดวกสบายขึ้น

วันนี้ผมมาอยู่ที่ประจวบฯครับ พักอยู่หน้าอ่าวประจวบฯ เลยครับ บรรยากาศยามค่ำคืนที่นี่สบายใจมากๆครับ ....

10 ธันวาคม 2552

พบวิธีตรวจวัด คนจะผิดคำสัญญา


ท่านผู้อ่านเคยสัญญากับคนรักไหมครับว่า "ถ้าผิดคำสัญญาขอให้ฟ้าผ่า" ผมคิดว่าหลายๆ คนคงจะเป็นเหมือนกับผม คือตอนที่พูดคำสัญญาแบบนั้นออกมา จะรู้สึกเสียวแปลบๆ เล็กๆ กลัวว่าฟ้าจะผ่าลงมาจริงๆ ทั้งๆที่ใจก็ไม่คิดว่าจะทำผิดคำสัญญาหรอก แต่ถึงยังไงมันก็รู้สึกเสียวๆ อยู่ดี กลัวว่า ..... วันหนึ่งเราจะทำตามสัญญานั้นไม่ได้ .... จะด้วยเหตุผลใดก็ตามที

ล่าสุด มีผลงานตีพิมพ์ในวารสาร Neuron ฉบับวันที่ 10 ธันวาคม 2552 (รายละเอียดเต็มคือ Thomas Baumgartner, Urs Fischbacher, Anja Feierabend, Kai Lutz and Ernst Fehr, "The Neural Circuitry of a Broken Promise", Neuron (2009), vol. 64, pp. 756-770) โดยนักวิจัยได้ศึกษาสมองของคู่ที่ทำสัญญาต่อกันไว้ ด้วยการสแกนสมองของคนที่รักษาสัญญา กับคนที่ผิดสัญญา นักวิจัยได้พบว่าสมองของผู้ที่ทำผิดสัญญา มีกิจกรรมในส่วนต่างๆ ของสมองเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ในสมองมีสัญญาณของความสับสน อาจจะเป็นเพราะว่าเขามีความรู้สึกผิด ที่จะต้องทำผิดคำสัญญา

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น นักวิจัยยังพบรูปแบบของสัญญาณในสมอง ของผู้ที่จะผิดคำสัญญาว่ามีความแตกต่างจากผู้ที่รักษาคำมั่นสัญญา โดยสามารถตรวจพบสัญญาณนี้ ได้ก่อนที่คนผู้นั้นจะทำผิดสัญญาเสียอีก พูดให้ชัดๆ ก็คือ นักวิจัยสามารถตรวจพบตั้งแต่คนคู่นั้นทำสัญญาต่อกันเลยว่า ฝ่ายใดจะผิดสัญญาในอนาคตหรือไม่ การค้นพบครั้งนี้มีความสำคัญมากเลยครับ เพราะในอนาคต เราอาจจะใช้วิธีสแกนสมองก่อนที่จะมีการทำสัญญาสำคัญๆ เพื่อป้องกันการทำผิดสัญญา เราอาจจะสแกนสมองนักการเมืองที่จะสาบานตนเข้าทำหน้าที่สำคัญๆ ของชาติได้ ใครสแกนไม่ผ่านก็ห้ามเป็น !!!

วันนี้ผมมาพักที่สุราษฎร์ธานี พรุ่งนี้จะข้ามไปสมุยครับ

07 ธันวาคม 2552

Smart Aquaculture - ฟาร์มเลี้ยงสัตว์น้ำอัจฉริยะ (ตอนที่ 1)


สวัสดีครับ วันนี้ยังคงเป็นวันหยุดยาวที่แสนสบาย ในช่วงสัปดาห์หน้าผมจะออกภาคสนามที่ จ.สุราษฎร์ธานี ก็เลยอยากจะเขียนเรื่องราวหนึ่ง ที่ผมไม่เคยเขียนมาก่อน นั่นคือการนำเอาเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ เทคโนโลยีหุ่นยนต์ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ ไปใช้ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ทั้งแบบที่เป็นระบบเปิดในทะเลลึกและใกล้ชายฝั่ง หรือเป็นระบบปิดบนฝั่ง ซึ่งกำลังจะกลายมาเป็นเทรนด์ใหม่ ทางด้านการประมงแห่งศตวรรษที่ 21 ผมจะทยอยนำเอาแนวคิด รวมไปถึงเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถนำมาใช้ในธุรกิจทางด้านนี้ มาเล่าให้ฟังครับ

บริษัท Open Blue Sea Farms แห่งสหรัฐอเมริกา เป็นบริษัทหนึ่งที่วิจัยพัฒนาการเพาะเลี้ยงปลาในทะเลลึก โดยใช้คอกเพาะเลี้ยงที่ทำให้สภาพแวดล้อมของปลาที่อาศัยอยู่ในนั้น ไม่ต่างจากสภาวะในทะเลจริง ปลาจะผสมพันธุ์และเจริญเติบโตเหมือนในธรรมชาติ บริษัทนี้ก่อตั้งโดยเด็กอายุ 17 ปี ซึ่งเขาเริ่มต้นด้วยการขับเรือออกไปในทะเล 80 กิโลเมตร เพื่อไปจับปลาเป็นๆ มาหัดเพาะเลี้ยงในแท็งค์น้ำใหญ่ที่บ้าน จนเขาเรียนรู้ที่จะเพาะเลี้ยงปลาทะเลสำหรับรับประทาน ให้สามารถเติบโตในสภาวะแท็งค์น้ำได้ ปัจจุบัน ไบรอัน โอฮันลอน (Brian O'Hanlon) มีอายุ 29 ปี และเขามีแผนการใหญ่ที่จะเพาะเลี้ยงปลาในกระชังใต้ทะเลลึกลงไปเกือบ 80 เมตร โดยใช้กรงที่มีลักษณะเหมือนบอลลูน สิ่งประดิษฐ์นี้มีชื่อว่า Aquapod มันทำจากวัสดุที่เหนียวและทน ซึ่งฟาร์มใต้ทะเลของเขาเคยผ่านประสบการณ์จากพายุเฮอริเคนมาแล้ว โดยไม่เป็นอะไรเลย Aquapod นี้มีระบบการให้อาหารด้วยการเป่าเม็ดอาหารปลาให้กระจายตัว มีการติดกล้องวงจรปิดเพื่อติดตามความเป็นไปของปลา เพื่อลดการเสี่ยงภัยในการลงไปเก็บข้อมูลด้วยนักประดาน้ำ

การเพาะเลี้ยงปลาในทะเลเปิดแบบนี้ ดีกว่าการเพาะเลี้ยงบนบกอย่างที่บริษัทซีพีของเราชอบทำครับ เพราะการประมงแบบนั้น ทำลายสิ่งแวดล้อม ป่าชายเลน แถมยังมีการใช้สารเคมีมากมายเพื่อต่อสู้กับโรคภัยต่างๆ

05 ธันวาคม 2552

Body Electronics - อิเล็กทรอนิกส์บนผิวกายมนุษย์ (ตอนที่ 2)


ยุคแห่งการรวมเข้าเป็นหนึ่งระหว่างมนุษย์-จักรกล (Man-Machine Integration) กำลังจะเกิดขึ้นแล้วครับ เป็นยุคที่จิตใจ กับ วัสดุ จะเข้ามาบรรจบกัน (Mind-Materials Convergence) ดังที่เราจะเห็นจาก งานวิจัยทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ ทั่วโลกต่างมุ่งไปในแนวนี้ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาหุ่นยนต์ที่ใช้หลักชีววิทยา อารมณ์ประดิษฐ์ อวัยวะกลสำหรับมนุษย์และสัตว์ สิ่งมีชีวิตสังเคราะห์ชีวจักรกล และอีกมากมาย เครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ที่เราถือไปถือมา จะเริ่มเคลื่อนเข้าไปใกล้ชิดกับผิวกายของเรามากขึ้น จนกระทั่งจะเข้าไปฝังตัวในเรือนกายของเรา และอีกต่อไปมันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกายเรา ดั่งกายอวตารที่จะทำให้ชราภาพของมนุษย์เป็นเรื่องของอดีต


ทุกๆ ปี จะมีการประชุมของนักวิจัย ที่ทำงานทางด้านเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายบนผิวกายมนุษย์ (Body Area Networks) โดยในปี ค.ศ. 2010 จะมีการจัดประชุมกันที่ เกาะคอร์ฟู ประเทศกรีซ การประชุมที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า The 5th International Conference on Body Area Networks นี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-12 กันยายน พ.ศ. 2553 เนื้อหาของการประชุมเกี่ยวข้องกับเรื่องของเทคโนโลยีที่ทำให้อุปกรณ์คุยกันทั้งในร่างกาย บนผิวกาย และระหว่างผิวกายของมนุษย์ ระบบตรวจวัดสถานภาพทางด้านสุขภาพ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้พลังงานจากร่างกายมนุษย์ เป็นต้น นับว่าเป็นการประชุมที่น่าสนใจมากเลยครับ

นอกจากนี้แล้ว ยังมีอีกการประชุมหนึ่งที่น่าสนใจครับ คือ 2010 International Conference on Body Sensor Networks (BSN 2010) ซึ่งจะจัดที่ Biopolis ประเทศสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 7-9 มิถุนายน 2553 ซึ่งก็น่าสนใจเพราะไม่ไกลจากบ้านเรา เนื้อหาการประชุมที่เขาสนใจก็คือ เรื่องของอิเล็กทรอนิกส์ที่สวมใส่ได้ อาภรณ์อัจฉริยะ อุปกรณ์ทางการแพทย์บนผิวกาย ระบบตรวจวัดภายในบ้าน


เท่าที่ผมติดตามสถานภาพทางด้านนี้ในประเทศไทย พบว่ามีความสนใจกันมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ แต่ยังไม่ค่อยมีการวิจัยทางด้านนี้มากนัก อาจจะเป็นเพราะว่าเรายังไม่มีการบูรณาการงานวิจัยข้ามสาขากันมาก เหมือนในต่างประเทศ ผมจะมาคุยต่อวันหลังนะครับ ......


03 ธันวาคม 2552

Econophysics - ฟิสิกส์เศรษฐศาสตร์ (ตอนที่ 1)


วันก่อนผมเปิดดูทีวีตอนเช้า ได้มีโอกาสชมรายการที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยไม่ตั้งใจ รายการนี้มีพิธีกรเป็นผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ สังกัดมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้พยายามเสนอข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจ ว่ามีแนวโน้มจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พิธีกรได้อ้างว่าข้อมูลดังกล่าวมาจากการวิจัยของสำนัก แต่เท่าที่ผมดู มันก็ไม่ต่างจากการใช้สามัญสำนึก (commen sense) เท่าไหร่ครับ เพราะยังไม่เห็นมีหลักวิทยาศาสตร์ได้ถูกนำไปใช้ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะวงการเศรษฐศาสตร์และพาณิชยศาสตร์ของไทย ยังไม่ค่อยมีความเป็นวิทยาศาสตร์เท่าไรนัก

ในช่วงที่ผมไปทำงานวิจัยหลังปริญญาเอกอยู่ที่มิวนิคนั้น ผมได้มีโอกาสศึกษาและใช้งานหลักกลศาสตร์ควอนตัม และกลศาสตร์สถิติ อย่างจริงจัง ศาสตร์เดียวกันนี้ได้ถูกนำไปใช้ทางด้านเศรษฐศาสตร์ และ ธุริกจ อย่างกว้างขวางในเยอรมันครับ เพื่อนๆ ของผมหลายคนที่จบปริญญาเอกจากห้องแล็ปเดียวกัน เขาไปสมัครทำงานในบริษัทวิเคราะห์หุ้น และบริษัทประกันภัยกัน เขาเคยเล่าให้ผมฟังว่า เขาถูกสัมภาษณ์อย่างซีเรียสมากๆ เพื่อทดสอบว่าเขารู้เรื่องกลศาสตร์เหล่านี้จริงๆ ปรากฏว่า CEO ของบริษัทนั้นก็จบปริญญาเอกทางฟิสิกส์มา จึงซีเรียสเรื่องนี้มากๆ ณ เวลานั้นเอง ผมถึงได้เรียนรู้ว่าเรื่องของระบบเศรษฐกิจนี้ สามารถนำหลักวิทยาศาสตร์เข้ามาใช้งานได้ น่าเสียดายที่คณะเศรษฐศาสตร์ของบ้านเรา ไปสังกัดอยู่กับพวกสังคมศาสตร์ เลยทำให้การพยากรณ์เศรษฐกิจของบ้านเรา ไม่ค่อยจะแม่นเหมือนกับของเยอรมัน

การนำเอากลศาสตร์ควอนตัม และกลศาสตร์สถิติมาใช้ทางด้านเศรษฐศาสตร์นี้ เขามีชื่อเรียกว่า "ฟิสิกส์เศรษฐศาสตร์" (Econophysics) ครับ ซึ่งเป็นศาสตร์ใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสัก 10 ปีที่แล้วนี้เองครับ ว่างๆ ผมจะนำเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังอีกนะครับ .....

02 ธันวาคม 2552

How Love Works - นี่หรือที่เรียกว่ารัก (ตอนที่ 4)


ตอนที่ผมยังเป็นนิสิตปริญญาตรีอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผมจำได้ว่าเคยหัวปักหัวปำกับความรัก ซึ่งผมคิดว่านี่แหล่ะคือช่วงที่มีความสุขที่สุดแล้วในชีวิต ผมจำได้ว่าในห้วงเวลาตั้งแต่ปี 2 จนถึง ปี 4 ไม่มีวันไหนเลยที่ผมไม่อยากเจอคนที่รัก และเมื่อเราต้องจากกันหลังจากจบมหาวิทยาลัย ความสุขที่ผมเคยมี ก็ยังจดจำได้มาจนถึงวันนี้

นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องความรักอยู่ ตั้งคำถามว่า เราสามารถที่จะโมเดลอาการของความรักได้หรือไม่ ในเมื่อความรักเป็นกระบวนการทางชีวเคมีในสมอง และในร่างกายของมนุษย์ ที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีต่างๆ โปรตีนหลายชนิด และปฏิกริยาเคมีที่ส่งผลให้ร่างกายทำงานตอบสนองกับความรู้สึกว่ารัก

เมื่อประมาณกลางปี ค.ศ. 2008 นักวิทยาศาสตร์ที่ สถาบันวิจัยหุ่นยนต์อากิมุ (Akimu Robotic Research Institute) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยของบริษัทโตชิบา ได้พัฒนาโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์เพื่อแสดงอารมณ์ของหุ่นยนต์ โดยเฉพาะในเรื่องของ "อารมณ์แห่งรัก" นักวิจัยได้สร้างหุ่นยนต์หน้าตาออกเนิร์ดเนิร์ด (nerd) ตัวหนึ่งที่ชื่อว่า "เคนจิ" แล้วก็ใส่ซอฟต์แวร์แห่งความรักเข้าไป เคนจิเริ่มเรียนรู้ในบทเรียนรักง่ายๆ กับตุ๊กตาที่จำลองเรือนร่างของหญิงสาว เคนจิจะได้ตุ๊กตานี้มากอดวันละครั้ง นานวันเข้าเคนจิก็อยากจะกอดตุ๊กตานี้มากขึ้นๆ มีบ่อยครั้งที่มันร้องขอตุ๊กตาตัวนี้ ประหนึ่งว่ามันไม่สามารถขาดเธอได้

หลายเดือนผ่านไป ก็เกิดเรื่องจนได้ เพราะห้องแล็ปนี้ได้มีนักศึกษาสาวเข้ามาฝึกงาน เธอชอบเข้ามาเล่นกับเคนจิบ่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเธอจะออกจากแล็ปเพื่อกลับบ้าน เคนจิได้เข้ามาขัดขวางไม่ให้เธอออก แล้วพยายามเข้ามากอดรัดเธอด้วยแขนกลโลหะไฮดรอลิก กับน้ำหนักตัวของมันกว่า 100 กิโล นักศึกษาผู้นั้นได้โทรแจ้งนักวิจัยอีก 2 คนข้างนอกให้เข้ามาช่วยปิดระบบของเคนจิ และช่วยเธอออกมาได้

ดร. ทากาฮาชิ (Dr. Akito Takahashi) ผู้สร้างเคนจิ ได้กล่าวว่า "น่าเสียดายครับ ที่เราคงจะต้องปิดระบบของเคนจิตลอดไป เพราะว่าหลังจากวันนั้นแล้ว เคนจิก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกครั้งที่เปิดมันขึ้นมา มันก็จะกอดรัดมนุษย์คนแรกที่มันเห็น"


ท่านผู้อ่านล่ะครับ เคยมีประสบการณ์แบบเคนจิไหม ? ไม่เคยเจอกับตัวเอง ก็ยังไม่อยากเชื่อ ใช่ไหมล่ะครับ .......

01 ธันวาคม 2552

Inspiration Economy - เศรษฐกิจแบบแรงบันดาลใจ (ตอนที่ 2)


เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ได้มีรายงานวิจัยชิ้นหนึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Ecological Economics (รายละเอียดเต็มคือ Fred Curtis, "Peak globalization: Climate change, oil depletion and global trade", Ecological Economics (2009), vol. 69, pp. 427-434) โดยในรายงานนี้ได้เสนอข้อมูลเชิงวิเคราะห์ ที่ชี้ว่าโลกเรากำลังเข้าสู่ยุคของการ "ผลิตที่ไหน ใช้ที่นั่น" ซึ่งเป็นยุคที่การผลิตสินค้า จะกลับมาทำในบริเวณที่มีการบริโภคสินค้านั้น ระบบเศรษฐกิจจะกลับมาสู่ยุค "ทำเอง ใช้เอง" การบริโภคสินค้าจะเริ่มกลับมามองหาสิ่งที่อยู่ในบริบทของท้องถิ่น ที่มีความผูกติดกับชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนตัวเองมากขึ้น นักวิจัยเขาใช้ภาษาว่า มันจะเป็นยุคของ Relocalization ซึ่งตรงกันข้ามกับ Globalization เลยครับ

เหตุผลก็คือ การที่น้ำมันมีราคาสูงขึ้นมาก ทำให้การผลิตสินค้าแบบจำนวนมากๆ แล้วส่งออกไปขายทั่วโลก เริ่มเป็นเรื่องที่ใช้ต้นทุนมากขึ้น ภาวะโลกร้อนก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การขนส่งสินค้าไปขาย มีความเสี่ยงสูงขึ้น อากาศที่ร้อนขึ้น ทำให้ตู้คอนเทนเนอร์ต้องใช้พลังงานเพื่อควบคุมความเย็นของสินค้ามากขึ้น ความแปรปรวนในมหาสมุทรทำให้การเดินเรือมีความเสี่ยงสูง แถมยังต้องเสียเวลาเพื่อหยุดหรือเปลี่ยนเส้นทาง เมื่อเกิดพายุรุนแรงในมหาสมุทร ถ้าแค่นี้ยังไม่พอ นักวิจัยเขาบอกอีกด้วยว่า การกีดกันทางการค้านับวันก็จะมีแต่ความรุนแรงขึ้น การส่งของไปขายต่างประเทศจะมีแต่ยากขึ้นยากขึ้น ถึงแม้จะเป็นสินค้าที่เขาเองอยากจะซื้อก็ตามที

หากสิ่งต่างๆ ที่ผมกล่าวมาข้างต้นนี้เกิดขึ้นจริง ก็เข้าเป้าของเศรษฐกิจแบบใหม่ที่ผมกำลังพูดถึงเลยครับ เพราะระบบเศรษฐกิจแบบแรงบันดาลใจนี้ ไม่ต้องการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่ยาวเหมือนกับระบบเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ระบบเศรษฐกิจแบบใหม่นี้ Supply Chain จะสั้นๆ ทำกันในประเทศ ใช้กันในประเทศ หรือถ้าส่งออก ก็ส่งออกไปผลิตใกล้ๆ กับผู้ซื้อ ส่งออกแค่ไอเดียกับดีไซน์ไปก็พอ แล้วไปผลิตใกล้ๆ กับตลาด การผลิตในยุคอนาคตจะเริ่มเป็น Desktop Manufacturing มากขึ้น ซึ่งจะใช้วิธีการขึ้นรูป การพิมพ์ แบบเอาใจลูกค้าย่อยๆ แต่ผลิตได้เยอะๆ (Mass Customization)

แล้วผมจะมาคุยเรื่องนี้ต่อวันหลังนะครับ .......