แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ energy แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ energy แสดงบทความทั้งหมด

27 สิงหาคม 2557

Top 10 Emerging Technologies สำหรับปี ค.ศ. 2014



World Economic Forum ได้เลือก 10 เทคโนโลยีกำลังจะฮิต ติดกระแส หรือ Top 10 Emerging Technologies สำหรับปี ค.ศ. 2014 ผ่านมา 8 เดือนแล้วนะครับ ลองไปดูกันครับว่ามีอะไรกันบ้าง

- Quantified Self การประมวลผลเชิงปัจเจก ซึ่งข้อมูลต่างๆ ของบุคคลจะเก็บเข้ามาจากแหล่งต่างๆ เช่น อุปกรณ์มือถือ เซ็นเซอร์ สามารถใช้ทำนายวิถีชีวิต การเจ็บไข้ได้ป่วย และสิ่งที่เขาจะทำในอนาคตได้
- Body-adapted Wearable Electronics อิเล็กทรอนิกส์ที่สวมใส่ได้ จะมีการใช้งานมากขึ้นเรื่อยๆ ในปีนี้ครับ
- Nanostructured Carbon Composites วัสดุนาโนคาร์บอนที่เบาแต่แข็งแรงกว่าเหล็ก จะแทรกซึมเข้าไปทุกหย่อมหญ้า รวมทั้งรถยนต์
- Mining Metals from Desalination Brine การทำเหมืองแบบใหม่ที่สกัดโลหะออกจากน้ำเค็ม
- Grid-scale Electricity Storage การเก็บพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรีขนาดใหญ่ เป็นเครือข่ายโยงใยขนาดใหญ่ จะเกิดขึ้น
- Nanowire Lithium-ion Batteries แบตเตอรีจากวัสดุนาโน จะเข้าสู่ตลาดในปีนี้
- Screenless Displays อุปกรณ์แสดงผลที่ไม่ต้องอาศัยจอภาพจะต้องมา เพราะเรามีที่บนหน้าจอที่เล็กลงไปเรื่อยๆ
- Human Microbiome Therapeutics ร่างกายมนุษย์ไม่ได้มีแต่ตัวเรา แต่มีเจ้าจุลินทรีย์มากมายที่อาศัยอยู่ การรักษาสมดุลให้พวกนี้อยู่ร่วมกับเราได้ จะเป็นกระแสใหม่ในปีนี้
- RNA-based Therapeutics การรักษาแบบใหม่ที่เข้าไปแก้ไขในระดับพันธุกรรมกันเลย
- Brain-computer Interfaces การควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยคลื่นสมอง มีมานานแล้ว แต่ตลาดของมันจะเติบโตอย่างมากในปีนี้

Credit - World Economic Forum

25 สิงหาคม 2557

Ocean Energy - พลังงานจากมหาสมุทร หนึ่งในอนาคตพลังงานโลก



อนาคตของพลังงานอยู่ในทะเล ดังนั้นในยุคต่อไป ประเทศต่างๆ ที่มีทางออกสู่ทะเล จะพยายามแสวงหาพื้นที่ในทะเลมากขึ้น อาจจะมีการปักปันเขตแดนในทะเล ซึ่งจะทำให้ท้องทะเลสากล ที่เคยเป็นพื้นที่สาธารณะ อีกหน่อย อาจจะไม่ใช่อย่างนั้นแล้วครับ .... จริงๆ ไม่ต้องอื่นไกล ทุกวันนี้ ในทะเลจีนใต้ ทั้ง จีน เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ต่างก็แย่งกับเคลมว่าพื้นที่ตรงนั้น ตรงนี้ เป็นของตัวเอง เพื่อแย่งก๊าซธรรมชาติ กับ น้ำมัน

ถึงเวลาของประเทศไทยแล้ว ที่เราต้องมีเทคโนโลยี และ ศักยภาพในท้องทะเล รวมทั้งกองทัพเรือที่สามารถปกป้องผลประโยชน์ในทะเลให้ได้ !!

แต่นั่น ... ก็ยังเป็นทรัพยากรของโลกเก่าครับ เพราะโลกใหม่ ไม่ได้แย่งก๊าซและน้ำมัน แต่แย่งพื้นที่ในทะเล เพื่อนำเอาพลังงานมหาสมุทรมาใช้ ทั้งพลังงานจากคลื่น พลังงานลม กระแสน้ำไหล ซึ่งประเทศไหนมีพื้นที่ติดตะเลเยอะๆ ประเทศนั้นสบายเลยครับ ... ต่อไป การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ จะทำในทะเลมากขึ้นๆ จนจำนวนสัตว์เพาะเลี้ยง จะมากกว่าจำนวนที่จับขึ้นมาตามธรรมชาติ

ทะเล คือ อาหาร และ พลังงาน ....

และต่อไปนี้คือศักยภาพในการผลิตไฟฟ้า ด้วยวิธีต่างๆ (กิกะวัตต์) จากทะเลและมหาสมุทร 

กระแสน้ำไหล = 5,000
ความเค็มที่ต่าง = 20 
อุณหภูมิของน้ำ = 1,000
น้ำขึ้นน้ำลง = 90
คลื่นทะเล = 1,000-9,000

Credit :
- Data from wikipedia.org
- Picture from http://www.dailygalaxy.com/photos/uncategorized/2007/06/26/ocean_power.jpg
- Picture from http://wallpapermine.com/wp-content/uploads/2014/02/ocean_power_by_nanan66-d27o8ls.jpg

04 กันยายน 2555

The Future of City - อนาคตของเมืองใหญ่ (ตอนที่ 4)



เมื่อก่อน เรามักคิดว่าเมืองจีนเป็นประเทศที่มีมลภาวะสูง และมีการใช้พลังงานที่ไร้ประสิทธิภาพ แต่วันนี้ความคิดนี้ล้าสมัยแล้วครับ แถมกลับกันด้วย ตอนนี้ประเทศไทยกลับกลายมาเป็นประเทศที่สิ่งแวดล้อมนับวันจะแย่กว่าเมืองจีน แถมคนไทยก็กลายเป็นประชากรที่มีการใช้พลังงานด้อยประสิทธิภาพเกือบจะที่สุดในโลก

ปัจจุบัน ประเทศจีนมีประชากร 1,300 ล้านคน มากกว่าครึ่งคือประมาณ 690 ล้านคนอาศัยอยู่ในเมือง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจีนได้สลัดทิ้งสังคม ชนบทไปเรียบร้อยแล้ว (ค่าเฉลี่ยของทั้งโลกคือ 50%) ก่อนหน้านี้คือในปี ค.ศ. 1980 ประเทศจีนมีประชากรอาศัยในเมืองเพียง 20% เท่านั้น แต่ในอีก 18 ปีข้างหน้าคือ ค.ศ. 2030 ประมาณกันว่า จีนจะมีประชากรเมืองมากถึง 75% ซึ่งเป็นปัญหาท้าทายนักวางผังเมืองของจีนเป็นอย่างมาก เมืองกว่า 650 เมืองในประเทศจีนกำลังสาละวนอยู่กับการก่อสร้าง เพื่อรองรับประชากรที่เคลื่อนย้ายจากชนบทมาสู่เมือง การเติบโตในแนวดิ่งของประเทศนี้จึงมีอัตราสูงที่สุดในโลก 

รัฐบาลจีนกำลังให้ความสนใจกับแนวคิดในการสร้างเมืองใหม่ เป็นเมืองสะอาด มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน มีคุณภาพชีวิตที่ดี ที่เรียกว่า Ecocities คนไทยเอามาแปลเป็น เมืองสีเขียว เมืองนิเวศน์ เมืองเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เมืองปลอดมลพิษ ซึ่งสำหรับผมยังไม่ค่อยถูกใจกับคำแปลเท่าไหร่ครับ ดังนั้นผมขอให้ทับศัพท์ เหมือนกับที่คนไทยเราเรียก Eco car ว่า อีโค่คาร์ นะครับ โดยโครงการแรกๆ ที่จีนจะสร้างนั้นมีชื่อว่า Tianjin Eco-city ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลจีน กับ สิงคโปร์ ตั้งเป้าว่าในปี ค.ศ. 2020 จะสามารถรองรับประชากรได้ 350,000 คน

คนจีนชอบทำสิ่งท้าทาย แทนที่รัฐบาลจีนจะสร้าง Tianjin Eco-city บนผืนดินสะอาดที่มีความสวยงามตามธรรมชาติ แต่กลับไปเลือกที่ดินที่เกิดจากการถมขยะ สกปรกและถูกทอดทิ้ง โดยสิ่งแวดล้อมบริเวณนั้นถูกทำลายจนมนุษย์ไม่อาจอาศัยได้ นำมาสร้างเมืองที่สะอาดที่สุดในโลก ซึ่งเป็นความตั้งใจที่จะแสดงให้โลกเห็นว่าคนจีนทำได้ ซึ่งแน่นอนในอนาคต เทคโนโลยีนี้สามารถนำไปปรับปรุงที่ดินที่เสียแล้ว ที่ไหนก็ได้ในโลก

โครงการนี้ต้องใช้เวลาถึง 3 ปีในการทำความสะอาดที่ดิน เปลี่ยนที่ดินจากที่ถมขยะ เป็นทะเลสาบใสสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภค โดยการใช้เทคโนโลยีสุดล้ำ เมือง Tianjin Eco-city จะใช้พลังงานสะอาดทั้งจากเซลล์สุริยะ กังหันลม และเทอร์โมอิเล็กทริค (ระบบกำเนิดไฟฟ้าจากความร้อน) ประมาณ 20% เมืองนี้จะเป็นเมืองที่เรียกว่า Smart City จริงๆ เพราะมีการติดตั้งเซ็นเซอร์ไว้ทั่วเมือง ไฟฟ้าในเมืองหลายๆ จุดจะปิดเมื่อไม่มีผู้คน และจะเปิดเองเมื่อมีเสียงคนเดิน หน้าต่างของอาคารจะเปิดปิดม่านแสงเอง เพื่อควบคุมปริมาณแสงและอุณหภูมิในอาคาร มีระบบเก็บขยะอัตโนมัติ ที่ผมชอบมากๆ คือ เมืองนี้จะมีการใช้รถยนต์ไร้คนขับ โดยรถยนต์จะสื่อสารกันเป็นเครือข่ายและวิ่งจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง อย่างอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้ประชากรของเมืองไม่จำเป็นต้องขับรถเอง ช่วยลดปัญหาจราจรและอุบัติเหตุ

เมืองนี้น่าอยู่จริงๆ ครับ มีทางขี่จักรยาน และสวนธารณะทั่วเมือง ย่านดาวน์ทาวน์ของเมือง สามารถไปด้วยรถรางหรือขี่จักรยานอย่างสะดวกสบาย เมืองนี้จะดึงดูดอุตสาหกรรมสีเขียว บริษัทเทคโนโลยีต่างๆ ที่ทำงานด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industries) ตอนนี้มีบริษัททยอยเข้าไปอยู่แล้ว 600 บริษัท เมื่อเทียบกับเมือง Ecocities อื่นๆ ที่กำลังสร้างกันทั่วโลก เมือง Tianjin Ecocity นี้ถือว่าทำทีหลังแต่ดังกว่า เพราะระหว่างก่อสร้างก็มีคนทยอยเข้าไปอยู่แล้ว เพื่อไม่ให้เมืองนี้เป็นบ้านที่ 2 ของคนรวยในปักกิ่ง เมืองนี้จึงมีการสำรองพื้นที่ 20% ให้คนจนอยู่ได้ แนวคิดของเมืองนี้คือ การเป็นเมืองสีเขียวต้องไม่ใช่สิ่งหรูหรา แต่เป็นสิ่งที่แสวงหาได้


27 กรกฎาคม 2555

The Future of City - อนาคตของเมืองใหญ่ (ตอนที่ 3)



(Picture from http://www.freakingnews.com/)

ทศวรรษนี้ เรื่องของการทำให้สิ่งของและสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัว มีความฉลาด รู้จักคิด และอาจะเลยไปถึงการสัมผัสอารมณ์ ความรู้สึก และแลกเปลี่ยนเชิงอารมณ์กับมนุษยได้ น่าจะเป็นกระแสที่มาแรงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบ้านอัจฉริยะ (smart home) รถอัจฉริยะ (smart/intelligent vehicle) ฟาร์มอัจฉริยะ (smart farm) อาคารอัจฉริยะ (smart building) ทางหลวงอัจฉริยะ (smart highway) ระบบพลังงานอัจฉริยะ (smart grid) ไปจนถึงเมืองทั้งเมือง เป็นเมืองอัจฉริยะ (smart city)

เมืองใหญ่ๆ ทั่วโลก ล้วนใฝ่ฝันที่จะเป็นเมืองน่าอยู่ มีสภาพแวดล้อมที่น่ารื่นรมย์ ประชากรมีสุขภาพและสวัสดิภาพที่ดี สิ่งแวดล้อมในเมืองมีคุณภาพ การใช้พลังงานมีประสิทธิภาพ การขนส่งและการจราจรมีความสะดวกสบาย อาชีพการงานมีความมั่นคง มีความบันเทิงเริงใจ มีระบบการศึกษาที่ตอบสนองต่อความต้องการของทุกชนชั้น การเมืองมีความโปร่งใส มีการเอาใจใส่ในเรื่องผังเมือง เมืองมีอัตลักษณ์ มีเสน่ห์ มีการดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมและประเพณี และอื่นๆ อีกมากมาย เมืองอัจฉริยะอย่างแท้จริง ต้องสามารถทำให้ปัจจัยที่กล่าวมาส่วนใหญ่เป็นจริงได้ ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ผนวกกับการจัดการขั้นเทพ และความตั้งใจของภาคส่วนต่างๆ ที่ประกอบกันเป็นเมือง เราสามารถที่จะสร้างเมืองอัจฉริยะขึ้นที่ใดก็ได้บนโลกใบนี้ครับ

ตัวอย่างหนึ่งที่กำลังเป็นที่กล่าวขานกันมากในช่วง 2-3 ปีมานี้ และเป็นตัวอย่างที่เมืองใหญ่ทั่วโลกกำลังจับตามองก็คือ โครงการ Amsterdam Smart City ซึ่งเป็นความร่วมมือร่วมใจของภาครัฐและเอกชน ที่จะผลักดันให้เกิดนวัตกรรมใหม่สำหรับใช้ในเมืองใหญ่ โดยโครงการนี้มีจุดเน้นที่การประหยัดพลังงาน และใช้พลังงานในเมืองให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อเป็นการลดการปล่อยคาร์บอนเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ โครงการ Amsterdam Smart City นี้ประกอบด้วยโครงการย่อยๆ มากมาย ที่นำมาทดลองใช้พร้อมๆ กัน เป็นการทดลองนวัตกรรมต่างๆ ในพื้นที่จริง ซึ่งฉลาดมาก เพราะเป็นการทำการวิจัยโดยใช้เมืองทั้งเมืองเป็นห้องทดลอง 

ผมขอยกตัวอย่างโครงการย่อยต่างๆ ที่มีการทดลองในเมืองอัมสเตอร์ดัมกันนะครับ ซึ่งโครงการย่อยต่างๆ เหล่านี้ เมื่อรวมกัน ก็จะทำให้เมืองนี้กลายเป็นเมืองอัจฉริยะ

- ติดตั้งระบบประหยัดพลังงานไฟฟ้าในบ้านหลายพันหลัง เพื่อช่วยลดการใช้กระแสไฟฟ้า ระบบสมาร์ทมิเตอร์ ที่ทำให้การเก็บข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้า และนำไปสู่การประหยัดพลังงาน

- การปล่อยเงินกู้ปลอดดอกเบี้ย เพื่อการปรับปรุงอาคารให้มีการลดการใช้พลังงาน เช่น การเปลี่ยนฉนวนความร้อนให้เป็นฉนวนความร้อนแบบใหม่ที่ดีกว่าเดิม การเปลี่ยนหลอดไฟทั้งหมดให้เป็นหลอดประหยัดพลังงาน

- โครงการ Climate Street ในย่านช็อปปิ้งหลักในเมืองอัมสเตอร์ดัม มีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ มีการใช้สมาร์มิเตอร์เพื่อติดตามการใช้พลังงานในย่านนี้ เปลี่ยนหลอดไฟทั้งหมดไปใช้หลอดไฟประหยัด เพิ่มประสิทธิภาพการทำความเย็น การทำความร้อนในห้างสรรพสินค้า และร้านค้าตลอดแนว ถังขยะอัจฉริยะที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงมีการนำรถขยะพลังงานไฟฟ้ามาใช้เก็บขยะในย่านนี้

- ทยอยติดตั้งสถานีชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่จะเริ่มมีการใช้งานมากขึ้นในอนาคต โดยสถานีชาร์จไฟเหล่านี้เชื่อมต่อเข้ากับระบบอินเตอร์เน็ต รถยนต์สามารถที่จะหาสถานีชาร์จที่ใกล้ที่สุดเพื่อเติมไฟ รวมทั้งสถานภาพการใช้งาน เช่น มีที่จอดชาร์จว่างอยู่หรือไม่

- จัดทำระบบรับซื้อพลังงานจากอาคารบ้านเรือนที่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ และ กังหันลมผลิตไฟฟ้า นำเข้าสู่ระบบจำหน่าย

- อาคารของรัฐบาลมีการติดตั้งระบบตรวจวัดการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์ และ ออนไลน์ เพื่อบอกให้ผู้ที่ทำงานอยู่ทราบตลอดเวลาว่ามีการใช้พลังงานอยู่เท่าไหร่ ทำให้เกิดความตระหนักในการลดการใช้พลังงานให้มากที่สุด เท่าที่ทำได้

- พัฒนาเทคโนโลยีอาคารอัจฉริยะ (Smart Building) เมืองใดก็ตามมีอาคารแบบนี้เยอะๆ เมืองนั้นก็มีสิทธิ์เป็น Smart City ได้ง่ายขึ้นครับ โดยในอาคารเหล่านี้จะมีการติดตั้ง Smart Meter, Smart Plug, Smart Lighting

- การทดลองผลิตไฟฟ้าใช้เองในอาคาร โดยการใช้เซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) เป็นการลดการใช้ไฟฟ้าจากระบบส่งของการไฟฟ้า

- การทดลองใช้เรือพลังงานไฟฟ้า โดยจัดทำสถานีชาร์จไฟฟ้าสำหรับเรือจำนวน 200 แห่งตลอดชายฝั่งของแม่น้ำ เพื่อให้เรือขนส่งหันมาใช้ไฟฟ้าทดแทนน้ำมันดีเซล ซึ่งก็ช่วยทำให้อากาศในเมืองอัมสเตอร์ดัมสะอาดขึ้น

- Vertical Farming คือการทดลองปลูกพืชผักสำหรับบริโภคในเมือง โดยในอนาคตอาจจะทดแทนพืชผักที่ต้องขนส่งมาจากชนบทได้ เป็นการทำให้เมืองอยู่ได้ด้วยตนเอง และไม่ต้องพึ่งพาภาคเกษตรในชนบทอีกต่อไป

- โรงเรียนอัจฉริยะ (Smart School) เป็นโครงการที่ส่งเสริมให้โรงเรียนต่างๆ ในอัมสเตอร์ดัมแข่งกันลดการใช้พลังงาน โดยครูและนักเรียนจะช่วยกันออกความคิด และพัฒนานวัตกรรมในการใช้พลังงานในโรงเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ

ถามว่าสิ่งที่อัมสเตอร์ดัมทำอยู่ กรุงเทพฯ จะทำบ้างได้มั้ย ผมคิดว่า คนไทยทำได้ครับ .....

19 กรกฎาคม 2553

Wireless Power - ระบบส่งพลังงานแบบไร้สาย (ตอนที่ 2)


ในจำนวนพลังงานทางเลือกทั้งหมดที่มีให้เลือก ดูเหมือนพลังงานแสงอาทิตย์น่าจะเป็นทางเลือกที่ตรงจุดมากที่สุด เพราะจะว่าไปแล้ว แหล่งกำเนิดของพลังงานทางเลือกทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพลังงานลม เอธานอล ไบโอดีเซล สุดท้ายก็มีต้นกำเนิดมาจากดวงอาทิตย์นี่แหล่ะครับ แนวคิดหนึ่งในการดักเอาพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ก็คือ การไปสร้างสถานีไฟฟ้าโซลาเซลล์บนวงโคจรในอวกาศ แต่จะส่งพลังงานไฟฟ้ากลับมาใช้ยังโลก ยังไงล่ะครับ ?

ล่าสุดประเทศญี่ปุ่น อาจจะกลายมาเป็นผู้นำทางด้านสถานีไฟฟ้าในอวกาศก็ได้ครับ เพราะทางกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (หรือ METI) ของญี่ปุ่นได้ออกมาประกาศว่า รัฐบาลญี่ปุ่นตั้งเป้าจะส่งดาวเทียมที่ติดตั้งแผงโซลาเซลล์ขนาดใหญ่ ไปลอยอยู่ในวงโคจรของโลก เพื่อไปทำหน้าที่ผลิตไฟฟ้าในอวกาศ มีกำหนดไม่เกินปี 2020 นี้ ดาวเทียมดวงนี้จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าในระดับกิกะวัตต์ ซึ่งมากเพียงพอจะหล่อเลี้ยงบ้านเรือนได้ประมาณ 300,000 หลัง โดยไฟฟ้าที่ผลิตได้จะถูกยิงลงมายังสถานีฐานในรูปของคลื่นไมโครเวฟ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ ได้ให้ความเห็นว่า ดาวเทียมดวงนี้จะเป็นบทพิสูจน์ว่า สถานีไฟฟ้าในวงโคจร เป็นแนวความคิดที่เป็นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งพร้อมจะดำเนินการเป็นเรื่องเป็นราวในเชิงพาณิชย์ได้ภายใน 20 ปี

สถานีไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ในวงโคจร ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นที่สุดของโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ทั้งหลาย เพราะเมื่อเทียบกับการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยแผงโซลาเซลล์บนพื้นโลกแล้ว โรงไฟฟ้าในวงโคจรสามารถผลิตไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องคำนึงถึงสภาพดินฟ้า อากาศ ก้อนเมฆ หรือพายุฝน การนำส่งพลังงานไฟฟ้าลงมายังพื้นโลกก็สามารถทำได้อย่างไม่ต้องสนใจสภาพอากาศเช่นกัน หากเลือกความถี่ของคลื่นไมโครเวฟที่เหมาะสม

28 มิถุนายน 2553

Wireless Power - ระบบส่งพลังงานแบบไร้สาย (ตอนที่ 1)


ถ้าถามผมว่า เทคโนโลยีอะไรเป็นเทคโนโลยีในฝันของผม เป็นสิ่งที่ผมถวิลหา เฝ้าแต่รอ รอ แล้วก็รอ มาตลอด อยากให้เทคโนโลยีนั้นเกิดขึ้น ผมขอบอกว่าจริงๆ แล้วผมมีเทคโนโลยีในฝันหลายตัว แต่ตัวที่ผมต้องการมากที่สุดก็คือ เทคโนโลยีการส่งพลังงาน หรือ ไฟฟ้าแบบไร้สาย ลองมองดูในบ้านของเราเอง เอาในห้องนั่งเล่นก็ได้ครับ เราจะรู้สึกรำคาญใจที่สายไฟของเครื่องใช้ไฟฟ้าสารพัดชนิด ไม่ว่าจะเป็น ทีวี เครื่องเล่น DVD เครื่องรับสัญญาณดาวเทียม พัดลม ไฟโคม ของใช้เหล่านี้มีสายไฟพันกันอิรุงตุงนังไปหมด เวลาเราจะย้ายหรือถอดเครื่องใช้ไฟฟ้าตัวไหน ก็ต้องตามหาสายไฟหัวท้ายให้เจอ ขี้ฝุ่นก็มาก หยักไย่ก็ชอบขึ้น เวลาจะเดินทางไปต่างจังหวัดที มีที่ชาร์จแบตไปแล้วครึ่งกระเป๋า ไม่ว่าจะเป็น ที่ชาร์จคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค ที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือ กล้องดิจิตอล ที่ชาร์จแบตเตอรีสำหรับ GPS และอุปกรณ์อื่นๆ ทำไมถึงไม่มีเทคโนโลยีในการส่งพลังงานไฟฟ้า แบบไร้สายจากปลั๊กไฟให้ใช้เสียทีนะครับ

จะว่าไปแล้ว แนวคิดในการส่งพลังงานไฟฟ้าแบบไร้สายนั้น มีมาก่อนที่จะมีการส่งกระแสไฟฟ้าผ่านสายไฟเสียอีก ในช่วงปลายๆ ศตวรรษที่ 19 นั้น หลังจากที่เอดิสันสามารถผลิตหลอดไฟที่ให้แสงสว่างจากพลังงานไฟฟ้าได้ ทำให้เกิดความต้องการที่จะสร้างโรงไฟฟ้า และระบบนำส่งไฟฟ้าจากโรงผลิตไปยังครัวเรือนและแหล่งธุรกิจต่างๆ ในช่วงเวลานั้น Nikola Tesla ได้เสนอวิธีในการส่งพลังงานไฟฟ้าแบบไร้สาย โดยเขาได้วางแผนจะสร้างเสาส่งสูง 57 เมตร เพื่อที่จะส่งพลังงานไฟฟ้าออกไปยังเครื่องรับที่อยู่ไกลออกไปหลายกิโลเมตร เสาส่งไฟฟ้าของเขายังไม่ทันสร้างเสร็จ เขาก็หมดเงินเสียก่อน โดยในระหว่างนั้น วงการไฟฟ้าของอเมริกาก็คิดวิธีในการส่งพลังงานไฟฟ้าผ่านสายไฟ ทำให้แนวคิดของ Tesla ไม่เคยถูกนำมาใช้ในระดับใหญ่อีกเลยครับ

ปัจจุบันความคิดในการนำส่งพลังงานแบบไร้สาย ตามวิสัยทัศน์ของ Tesla เริ่มกลับมาเป็นจริงๆ เป็นจังอีกครั้งครับ ผมจะค่อยๆ นำมาเล่าในบทความซีรีย์นี้ครับ ... ก่อนหน้านี้ เทคโนโลยีในการส่งพลังงานแบบไร้สาย มีให้ใช้แค่แปรงสีฟันไฟฟ้าเท่านั้นครับ ถ้าใครเคยใช้แปรงสีฟันไฟฟ้า อาจจะคุ้นเคยดีว่าเราจะต้องเอาด้ามแปรงสีฟันวางลงไปบนแท่นชาร์จ ซึ่งแท่นชาร์จก็จะทำการชาร์จแบตเตอรีที่อยู่ในแปรงสีฟันไฟฟ้า โดยไม่ต้องมีขั้วไฟฟ้าแตะกันเลย ... แต่ต่อไปนี้ เทคโนโลยีนี้กำลังจะก้าวเข้ามาในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นกว่าแค่แปรงสีฟันแล้วครับ ...

23 เมษายน 2553

Thermodynamics of Google - อุณหพลศาสตร์ของกูเกิ้ล (ตอนที่ 2)



ในตอนที่แล้ว ผมได้พูดถึงกฎของอุณหพลศาสตร์ 2 ข้อ (จาก 4 ข้อ) ที่อธิบายธรรมชาติของพลังงาน (พลังงานสร้างไม่ได้ ทำลายไม่ได้ เพียงแค่เปลี่ยนรูปจากรูปแบบหนึ่งไปอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้น) และ เอนโทรปี (ความไร้ระเบียบของเอกภพจะเพิ่มขึ้นเสมอ แต่ความไร้ระเบียบท้องถิ่น อาจลดลงได้ แต่ต้องอาศัยพลังงานมาจัดการ)

ทุกๆ ครั้งที่ท่านผู้อ่านอยากจะค้นหาอะไรจากกูเกิ้ล กูเกิ้ลได้ทำการจัดเรียงข้อมูลต่างๆ ที่เคยอยู่อย่างไร้ระเบียบ ให้จัดเรียงกันใหม่ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถที่จะค้นเจอและนำมาใช้งานได้ สิ่งที่กูเกิ้ลทำจึงเป็นการไปลดเอนโทรปี หรือ ไปลดความไร้ระเบียบลง ซึ่งหากพิจารณาตามกฎข้อที่สองของอุณหพลศาสตร์แล้ว การไปลดความไร้ระเบียบของข้อมูลโดยกูเกิ้ล ก็ต้องอาศัยพลังงานครับ ทั้งนี้การที่ข้อมูลที่กูเกิ้ลจัดเรียงมีระเบียบมากขึ้น ก็จะทำให้สิ่งอื่นๆ ที่อยู่ข้างนอกเกิดความไร้ระเบียบมากขึ้น เพราะเอนโทรปีรวมของเอกภพจะไม่มีทางลดลง พลังงานที่กูเกิ้ลเอามาจัดระเบียบข้อมูลให้เรานั้นแหล่ะครับ ที่ไปเพิ่มความไร้ระเบียบในสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น ดังนั้น ยิ่งท่านผู้อ่านค้นหาข้อมูลต่างๆ ด้วยกูเกิ้ล ... ท่านกำลังเพิ่มความยุ่งเหยิงให้สิ่งแวดล้อมอยู่นะครับ


ตั้งแต่มีกูเกิ้ล โลกก็เปลี่ยนไปอย่างถาวร ห้องสมุดประชาชนกลายเป็นสิ่งล้าสมัย ก่อนที่จะมีกูเกิ้ลนั้น การค้นหาสิ่งต่างๆ ในอินเตอร์เน็ตเป็นไปด้วยความลำบาก seach engine หรือเครื่องมือค้นหาที่มีให้ใช้ในยุคก่อนที่จะมีกูเกิ้ลนั้น ท่านผู้อ่านที่เคยใช้ อาจจะจำได้ถึงความอืดอาดเชื่องช้า และให้ผลลัพธ์ในการค้นหาที่มักจะเป็นคนละเรื่องกับสิ่งที่เราต้องการ

พลังความเร็วในการค้นหาของกูเกิ้ลนั้น เกิดจากอัจฉริยะภาพในการออกแบบของวิศวกรของกูเกิ้ล ประสานกับพลังในการประมวลผลของฟาร์มคอมพิวเตอร์ที่ประมาณว่ามีจำนวนอยู่ถึง 1 ล้านเครื่อง แต่ละเครื่องกินพลังงานไฟฟ้า 1 กิโลวัตต์ ดังนั้นใน 1 ชั่วโมง เครื่องคอมพิวเตอร์ของกูเกิ้ลจะกินพลังงานไฟฟ้าจำนวน 1,000,000 หน่วย (กิโลวัตต์-ชั่วโมง)พื่อให้จินตนาการง่ายๆ บ้านคนธรรมดาทั่วไปที่มีแอร์สัก 2 ตัวจะใช้ไฟฟ้าประมาณ 500 หน่วยต่อเดือนครับ ดังนั้น พลังงานไฟฟ้าที่กูเกิ้ลใช้จะสามารถจ่ายให้บ้านคนชั้นกลางได้ประมาณ 50,000 ครัวเรือนเลยครับ

ทีนี้มาดูว่า ในการค้นหาข้อมูลแต่ละครั้งจะใช้ไฟฟ้าสักเท่าไหร่ .... ว่ากันว่าใน 1 ชั่วโมงมีคน search สิ่งต่างๆ ในกูเกิ้ลเป็นจำนวนมากถึง 10 ล้านครั้ง ดังนั้นการค้นหา 1 ครั้งคิดเป็นการใช้พลังงานเท่ากับการเปิดหลอดไฟขนาด 100 วัตต์ เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ลองคิดดูนะครับว่า วันหนึ่งวันหนึ่งคุณค้นหาด้วยกูเกิ้ลกี่ครั้ง .....


15 เมษายน 2553

Thermodynamics of Google - อุณหพลศาสตร์ของกูเกิ้ล (ตอนที่ 1)


คงจะไม่ผิดนักนะครับ ถ้าผมจะพูดว่า กำเนิดของ Google คืออวสานของห้องสมุดที่มีหิ้งหนังสือ มีโต๊ะให้นั่งอ่าน และมีบรรณารักษ์ไว้สำหรับยืมและคืนหนังสือ Google ได้นำทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องการ มาไว้ในหน้าโฮมเพจง่ายๆ ทำให้เราสามารถเข้าถึงหน้าเว็บไซต์ทั่วโลก หนังสือก็มีให้อ่าน วารสารต่างๆ สิทธิบัตร ข้อมูลทางภูมิศาสตร์ และอื่นๆ อีกมากมาย ลูกของผม 2 คน คนนึง 7 ขวบ อีกคน 10 ขวบ เวลาคุณครูให้การบ้าน ให้มาค้นคว้า เพื่อทำรายงาน แทนที่เขาจะเดินไปห้องสมุด แต่เขาจะรอกลับมาบ้านเพื่อมาเปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค และก็ค้นหาด้วย Google แทน ผมแอบสังเกตเวลาเขาใช้ Google ค้นหาสิ่งที่เขาอยากรู้ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ลูกผมมาถามผมว่า "คุณพ่อครับ ใครเป็นคนคิด Google ขึ้นมาเหรอครับ เขาฉลาดมากนะครับ" ....

ทุกๆ ครั้งที่ลูกๆ ของผม หรือท่านผู้อ่านใช้กูเกิ้ลค้นหาข้อมูล สิ่งที่เกิดขึ้นคือ Google จะทำการนำสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในฐานข้อมูลการค้นหาของ Google นำมาจัดลำดับ หรือจัดเรียงเพื่อแสดงผลแก่เรา เป็นการนำของที่อยู่ไม่เป็นที่เป็นทางบนโลกไซเบอร์ มาจัดระเบียบ การกระทำแบบนี้ย่อมต้องอาศัยพลังงาน

สรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนตกอยู่ใต้กฏของอุณหพลศาสตร์ ซึ่งมีกฎอยู่ 4 ข้อครับ (กฎข้อที่ศูนย์ ถึง กฎข้อที่สาม) แต่ผมจะนำมาพูดในที่นี้เพียง 2 ข้อเท่านั้น คือ กฎข้อที่หนึ่ง .... พลังงานเป็นสิ่งที่สร้างไม่ได้ ทำลายไม่ได้ มันเพียงแต่เปลี่ยนรูปจากแบบหนึ่งไปเป็นอีกแบบหนึ่งเท่านั้น เช่น เราสามารถเปลี่ยนพลังงานลมไปเป็นพลังงานกล ที่หมุนกังหันปั่นมาเป็นพลังงานไฟฟ้า แต่ถ้าถามว่าพลังงานลมมาจากไหน ก็มาจากดวงอาฑิตย์ที่ส่องแสงลงมาบนพื้นโลก ทำให้มวลอากาศได้ดูดซึมพลังงานความร้อน แล้วเกิดการเคลื่อนไหว ส่วนพลังงานแสงที่มาจากดวงอาฑิตย์ก็เกิดมาจากปฏิกริยานิวเคลียร์แบบฟิวชัน ซึ่งเกิดจากการหลอมรวมตัวกันของอะตอมไฮโดรเจนเข้าด้วยกัน และปลดปล่อยพลังงานออกมา

กฎข้อที่สอง กล่าวว่า ใดใดในโลกล้วนจะเกิดการขับเคลื่อน เปลี่ยนแปลงจากความมีระเบียบไปสู่ความไร้ระเบียบ หากไม่มีใครไปยุ่งกับมัน มันก็จะขับเคลื่อนไปในแนวทางนี้ด้วยตัวของมันเอง เรียกว่าเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นได้เอง (spontaneous process) เช่น ของในห้องนอน ของในบ้าน ของในoffice ของเราเอง ท่านผู้อ่านสังเกตไหมครับว่า มันจะค่อยๆ รก ค่อยๆ ไร้ระเบียบ หากเราต้องการจะทำให้มีระเบียบ ให้มันมีความสวยงาม เราก็จะต้องเสียพลังงานเพื่อจัดการให้มันเข้าที่เข้าทาง พอเวลาผ่านไปอีกสักพัก มันก็จะค่อยๆ กลับไปรกใหม่ นักวิทยาศาสตร์ใช้ศัพท์คำว่า เอนโทรปี (entropy) เป็นตัวแทนของความไร้ระเบียบ โดยสรุปกฎข้อนี้อย่างสั้นๆ ว่า เอนโทรปีของจักรวาลจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเสมอ นขณะที่คุณกำลังจัดระเบียบสิ่งของต่างๆ ในห้องอยู่นั้น ความเป็นระเบียบในห้องเพิ่มขึ้นก็จริง แต่คุณต้องใช้พลังงานไปในการทำอย่างนั้น เนื่องจากพลังงานที่คุณนำไปใช้มันมีประสิทธิภาพไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้น คุณก็เลยไปเพิ่มเอนโทรปีของสิ่งที่อยู่นอกห้องของคุณ เพราะการที่คุณเอาพลังงานออกมาใช้จัดห้อง จะทำให้คุณต้องมาหาพลังงานชดเชยที่คุณใช้ไป ไม่ว่าจะออกไปทานข้าวข้างนอก เดินออกไปซื้อก๋วยเตี๋ยว สิ่งที่คุณทำนั้นเอง จะไปทำให้สิ่งที่อยู่นอกห้องของคุณมีความไร้ระเบียบมากขึ้น ....

(ภาพบน - โลกที่ไม่มีมนุษย์ดูแล จะขับเคลื่อนไปสู่ความไร้ระเบียบในที่สุด)

15 กันยายน 2552

จีนเตรียมสร้างโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ ใหญ่ที่สุดในโลก


เมื่อคืนวันก่อนผมไปนั่งทานข้าวเย็นที่ร้านกินลมชมสะพาน ร้านนี้อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งพระนคร จากร้านจะมองเห็นสะพานพระราม 8 ได้อย่างชัดเจน ซึ่งวิวทิวทัศน์ตอนกลางคืนก็สวยโรแมนติกไม่เบาครับ สิ่งก่อสร้างอย่างสะพานพระราม 8 เท่านี้ คนไทยเราก็ดีใจที่ได้เห็นแล้วครับ ไม่ได้เลิศหรูเหมือนสิ่งก่อสร้างใหญ่ๆ ใหม่ๆ ที่มักเกิดขึ้นตามหัวเมืองต่างๆ ของประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ มาเก๊า เดี๋ยวนี้สิ่งก่อสร้างของฝรั่งตกกระป๋องไปแล้วครับ ศูนย์กลางของโลกย้ายมาอยู่เอเชียแล้ว

ล่าสุด จีนกำลังจะก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาฑิตย์ขนาดกำลังการผลิต 2 กิกะวัตต์ ในทะเลทรายติดกับประเทศมองโกเลีย ซึ่งหากเสร็จเมื่อไหร่ ก็จะเป็นโรงไฟฟ้าพลังแสงอาฑิตย์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ใหญ่กว่าโรงไฟฟ้าของกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งมีขนาดเพียง 500 เมกะวัตต์เท่านั้น ทั้งนี้ยังไม่รวมโรงไฟฟ้าขนาด 500 เมกะวัตต์ของจีนอีกแห่งหนึ่งที่จะสร้างในมณฑล Inner Mongolia

โรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ขนาด 2 กิกะวัต์ จะแบ่งการก่อสร้างเป็น 4 เฟส คือ เฟสแรก 30 เมกะวัตต์จะเสร็จในปี 2010 เฟสที่สองขนาด 100 เมกะวัตต์ และเฟสที่สามขนาด 870 เมกะวัตต์จะเสร็จในปี 2014 ส่วนเฟสสุดท้ายขนาด 1,000 เมกะวัตต์ จะเสร็จในปี 2019 โดยทางบริษัท First Solar แห่งสหรัฐอเมริกาได้รับสัมประทานในการก่อสร้างไรงไฟฟ้าดังกล่าว

ไม่รู้ว่าจีนมีวาระแอบแฝงหรือเปล่าครับ เพราะการจะติดตั้งโรงไฟฟ้าใหญ่ขนาดนี้ในเขตทะเลทราย อาจจะต้องถึงกับไปตั้งโรงงานผลิตแผงโซลาร์เซลล์ในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งก็จะเป็นโอกาสให้เขาคัดลอกเทคโนโลยีนี้ได้ง่ายขึ้น

23 สิงหาคม 2552

The Science of Mate Poaching - วิทยาศาสตร์ของการมีกิ๊ก (ตอนที่ 1)


ช่วงนี้ผมมาทำงานภาคสนามทางภาคเหนือครับ ได้รับเชิญมาพูดเรื่องไร่องุ่นอัจฉริยะในงาน The Wine Workshop 2009 ที่เชียงใหม่ แล้วก็เอาจมูกอิเล็กทรอนิกส์มาดมกลิ่นขี้หมูในฟาร์ม ที่จังหวัดเชียงรายครับ คืนนี้ผมมาพักอยู่ที่น้ำโขงริเวอร์ไซด์ อ.เชียงของ ครับ ห้องพักหันหน้าเข้าหาแม่น้ำโขง บรรยากาศดีมาก ที่โรงแรมมีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงให้ใช้ฟรีด้วย เลยได้อัพเดต Blog สักหน่อย วันนี้ผมขอพูดเรื่องเบาๆ สมองครับ ซึ่งเป็นประเด็นเกี่ยวกับการแสวงหาความเข้าใจว่าทำไมคนเราถึงชอบมีกิ๊ก ผมจะทยอยเล่าเป็นตอนๆ นะครับ

โครงการ The International Sexuality Description Project ซึ่งนำโดยศาสตราจารย์ เดวิด ชมิดท์ แห่งมหาวิทยาลัยแบรดลีย์ (Bradley University) ได้เปิดเผยผลวิจัยออกมาอย่างน่าประหลาดใจว่า ความสัมพันธ์แบบกิ๊กหรือใกล้เคียง (คือไปยุ่งกับคนที่คบกับคนอื่นอยู่ หรือมีแฟนแล้ว หรือแต่งงานแล้ว) มีอยู่ถึง 20% เลยทีเดียว จากจำนวนคนประมาณ 16,000 คนจาก 53 ประเทศที่มีการสำรวจ (ผมว่าเยอะอย่างน่าตกใจเลยครับ) การวิจัยเรื่องนี้ ต้องการแสวงหาคำตอบต่อคำถามที่ว่า ใครคือกิ๊ก แล้วต้องการมีกิ๊กไปทำไม เกิดอะไรขึ้นเมื่อเป็นกิ๊กกันแล้ว ท่านผู้อ่านล่ะครับ เคยตกเป็นเหยื่อของการมีกิ๊กไหม (แฟนเราไปมีกิ๊ก)? หรือว่าท่านผู้อ่านเป็นกิ๊กเสียเอง !!!

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า คนเราไม่ว่าหญิงหรือชายล้วนถูกแรงขับดันของสัญชาตญาณให้ขยายเผ่าพันธุ์ ซึ่งเกิดจากวิวัฒนาการของมนุษย์เรา ซึ่งสัญชาตญาณนั้นได้เข้ามามีอิทธิพลผ่านสมองของเรา ที่จะสนับสนุนการกระทำให้มีกิ๊ก ศาสตราจารย์อาร์เธอ อารอน (Professor Arthur Aron) แห่งมหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวยอร์ค (State University of New York at Stony Brook) กล่าวว่า "ผู้คนโดยมากแสวงหากิ๊กเพราะมันเป็นสิ่งที่ท้าทาย จากการวิจัยพบว่า ยิ่งคนที่เราอยากได้มาครอบครองนั้นมีอุปสรรคมากมายเพียงใด เรายิ่งอยากได้คนนั้นมา" นี่เป็นเหตุผลที่มีผู้ชายโสดๆ และ ผู้หญิงโสดๆ เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด แต่ผู้ชายที่แต่งงานแล้วกลับมีเมียน้อย

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ชมิดท์ก็ได้ตั้งข้อสังเกตว่า พวกที่ชอบมีกิ๊กเนี่ย ก็ไม่ได้ปรารถนาความสัมพันธ์ยาวไกลนัก ส่วนใหญ่อยากเอาชนะ อยากท้าทาย เพื่อมีความสัมพันธ์เร็วๆ ไม่อย่างนั้นแล้ว พวกกิ๊กทั้งหลายก็คงจะหาคู่ที่เป็นตัวเป็นตนไปแล้ว ไม่ต้องมาเป็นกิ๊ก

พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติศิล 5 ว่าเป็นข้อปฏิบัติเพื่อรักษาความเป็นมนุษย์ ซึ่งศิลในข้อที่ 3 ได้กำหนดมิให้คนเราประพฤติผิดในกาม ซึ่งการมีกิ๊กก็เป็นการผิดศิลข้อที่ 3 ด้วย อย่างนั้น การที่นักวิทยาศาสตร์บอกว่า คนเราถูกแรงขับดันจากกระบวนการทางวิวัฒนาการให้มีกิ๊ก ก็ขัดแย้งกับข้อปฏิบัติในการรักษาความเป็นมนุษย์น่ะสิ ? ถ้าอยากรู้คำตอบก็คอยอ่านตอนต่อๆ ไปครับ .........

05 กรกฎาคม 2552

Printed Batteries - แบตเตอรีพิมพ์ได้


"ผู้ใดครองแบตเตอรี ผู้นั้นครองโลก" คำกล่าวนี้ไม่น่าจะเกินเลยเท่าไรนัก ถ้าผมจะพูดอย่างนี้ ก็เพราะว่าเครื่องใช้ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เคลื่อนที่ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์มือถือ เครื่องเล่นเพลง ไฟฉาย เครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค ไปจนถึงเครื่องวัดเซ็นเซอร์ต่างๆ ต่างต้องการมันทั้งสิ้น ในอนาคตมันจะยิ่งทวีความสำคัญ เมื่อรถยนต์ไฟฟ้ากลายมาเป็นสินค้าขายดี ประเทศใดที่ครอบครองเทคโนโลยีแบตเตอรี ก็จะครอบครองหัวใจของทุกอย่าง

เมื่อไม่กี่วันก่อน Professor Reinhard Baumann แห่ง Fraunhofer Research Institute for Electronic Nano System ณ เมือง Chemnitz ประเทศเยอรมัน ได้ออกมาให้ข่าวแก่สื่อมวลชนว่า ท่านได้พัฒนาแบตเตอรีที่สามารถพิมพ์ออกมาได้จากเครื่องพิมพ์ ก่อนหน้านี้ ทางทีมงานของ ดร. อดิสร เตือนตรานนท์ แห่ง MEMS Lab ของเนคเทค ก็เคยไปเยี่ยมชมศูนย์วิจัยของศาสตราจารย์ท่านนี้ ที่เมือง Chemnitz มาแล้ว เนื่องจากว่าขณะนี้ทางเนคเทค และศูนย์นาโนเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ร่วมมือกันจัดตั้งโรงงานต้นแบบทางด้าน Printed Electronics ซึ่งทางเราต้องการที่จะพัฒนาระบบการพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยเครื่องพิมพ์ต่างๆที่ใช้ในอุตสาหกรรมการพิมพ์ เนื่องจากแนวโน้มในอนาคตนั้น อิเล็กทรอนิกส์การพิมพ์ (Printed Electronics) จะกลายเป็นแพล็ตฟอร์มใหม่ในการผลิตสินค้า ประเทศไทยจึงควรเริ่มให้ความสนใจทางด้านนี้ครับ

แบตเตอรีแบนบางที่นำออกมาแสดงนี้ ใช้วิธีการพิมพ์สกรีน (Screen Printing) ตัวอุปรณ์มีขนาดแบนบาง ความหนาน้อยกว่ามิลลิเมตร หนักไม่ถึง 1 กรัม ให้ความดันไฟได้ 1.5 โวต์ แบตเตอรีแบบนี้เหมาะสำหรับจะพิมพ์ติดลงไปกับบัตรพวกสมาร์ทการ์ด การ์ดอวยพร หรือ กล่องใส่สินค้าต่างๆ เพื่อเป็นตัวให้พลังงานแก่อุปกรณ์แบนบางอย่าง RFID และ เซ็นเซอร์ต่างๆ

08 มิถุนายน 2552

เมื่อพลังงานทางเลือกตีตลาดกลาโหม (ตอนที่ 1)


การที่นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เลือกศาสตราจารย์ Steven Chu เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ค.ศ. 1997 จากผลงานช็อคโลกด้วยการหยุดการเคลื่อนที่ของอะตอม ให้เป็นรัฐมนตรีพลังงาสหรัฐฯ ย่อมเป็นการส่งสัญญาณว่า ต่อไปนี้สหรัฐอเมริกาได้เลือกจะเป็นประเทศแห่งพลังงานทางเลือก (Alternative Energy) แล้ว เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า Steven Chu ศาสตราจารย์ด้านชีวฟิสิกส์แห่ง UC Berkeley และ ผู้อำนวยการ Lawrence Berkeley National Laboratory นั้นมีความใฝ่ใจกับเรื่องของพลังงานทางเลือกมาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ วันหลังผมจะนำเรื่องที่น่าสนใจของศาสตราจารย์ท่านนี้มาเล่าให้ฟังนะครับ

และการที่นายบารัค โอบามา ก็เลือกที่จะให้นาย Robert Gates อดีตอธิการบดีของ Texas A&M University และรัฐมนตรีกลาโหมสมัยประธานาธิบดีบุช ได้เป็นรัฐมนตรีกลาโหมต่อ นั้นหมายถึง ต่อไปนี้กองทัพสหรัฐฯ จะเป็นลูกค้ารายใหญ่ของพลังงานทางเลือกเต็มตัวแล้วล่ะครับ เพราะในช่วงที่นาย Gates ดูแลเพนทากอนอยู่นั้น กองทัพสหรัฐฯ ได้มีโครงการจ๊าบจ๊าบออกมามากมาย นาย Gates เป็นผู้เปลี่ยนกระบวนทัศน์พิชัยสงครามของสหรัฐฯ จากการเป็นกองทัพใหญ่เทอะทะ มาสู่การเป็นกำลังรบขนาดเล็ก เคลื่อนตัวเร็ว ปฏิบัติการเร็ว

การที่รัฐมนตรีพลังงานกับรัฐมนตรีกลาโหม ต่างก็เป็นมนุษย์สายพันธุ์คิดใหม่ทำใหม่ คิดนอกกรอบ มองนอกกะลา ทำให้กลาโหมกำลังจะกลายมาเป็นตลาดใหม่สำหรับพลังงานทางเลือกแล้วล่ะครับ ในเดือนพฤษภาคม 2552 ที่ผ่านมานี้เอง ทางกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ออกมาประกาศว่าทางกองทัพได้กำหนดให้เรื่องพลังงานเป็นนโยบายหลัก อาวุธในอนาคตจะต้องเป็นอาวุธที่ประหยัดพลังงาน ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาทางเพนทากอนได้เพิ่มงบวิจัยทางด้านนี้เป็น 3 เท่าตัวเลย ทำให้ปัจจุบันมีงบวิจัยด้านพลังงานสูงถึง 1.2 พันล้านเหรียญ (ประมาณ 40,000 ล้านบาท) ต่อปี ซึ่งก็จะมีเงินเพิ่มจากงบกู้เศรษฐกิจของโอบามาอีก 300 ล้านเหรียญสหรัฐ

13 มีนาคม 2552

โลกควรดีใจที่เศรษฐกิจแย่




ช่วงนี้เจอใครๆ ก็จะบ่นกันอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกก็คือเศรษฐกิจที่นับวันมีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ ผมไปเดินห้าง เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นใครจับจ่ายใช้สอยกันเหมือนเมื่อก่อน แต่ละคนคอยมองหาแต่ของลดราคา เพื่อนๆบอกว่าให้เก็บเงินสดไว้ พยายามอย่าใช้ถ้าไม่จำเป็น อีกเรื่องที่คนบ่นกันมากก็คือเรื่องอากาศที่ร้อนอบอ้าว บางคนลาพักร้อนไปเที่ยวต่างจังหวัด กลับมาแล้วก็บ่นว่านอนอยู่บ้านสบายกว่า ตอนนี้ใครที่ยังไม่เชื่อว่าโลกร้อนขึ้นจริงๆ คนก็จะมองหน้าแล้วถามว่า "คุณไปอยู่ไหนมา"


เรื่องทั้ง 2 เรื่องที่ว่ามานี้ ดูเหมือนจะเชื่อมโยงกันแล้วครับ นั่นคือ เรื่องที่เศรษฐกิจแย่ๆ นั้นแหล่ะครับ จะช่วยทำให้เรื่องที่ 2 คือ โลกร้อนนั้นช่วยผ่อนคลายลง ในการประชุมเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศโลกที่กรุงโคเปนไฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2552 ที่ผ่านมานี้ นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง Professor Nicholas Stern ได้ให้ปาฐกถาว่า "โลกเราควรดีใจสิครับ ที่เศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก เพราะนี้คือวิธีแก้โลกร้อนที่ชะงัดและได้ผลที่สุด เพราะขณะนี้การปลดปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศลดลงอย่างวูบวาบ เพราะโรงงานปิด คนใช้รถน้อยลง เดินทางน้อยลง และลดกิจกรรมต่างๆที่เคยมีจนมากเกินไป"


จริงๆ แล้วการที่เศรษฐกิจสหรัฐพังทลายลงมานั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากที่น้ำมันมีราคาสูงจนไปทำให้ฟองสบู่ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แตก ถึงแม้ตอนนี้ราคาน้ำมันจะตกต่ำลงไปแล้ว แต่สหรัฐฯก็เข็ดหลาบจากพลังงานฟอสซิล และเริ่มหันมาหาพลังงานสะอาดแทน เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐสภาสหรัฐฯได้ผ่านกฏหมายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีการนำเงินกว่า 100,000 ล้านเหรียญไปใช้เพื่อทำให้อเมริกาสามารถปลดแอกตัวเองจากน้ำมัน การลงทุนต่างๆของสหรัฐฯนั้น จะทำให้เกิดการสร้างงานแบบใหม่ที่เรียกว่า Green Jobs การที่เศรษฐกิจโลกย่ำแย่นั้น กลับจะเป็นผลดีเสียด้วยซ้ำกับสิ่งแวดล้อมโลก เพราะแรงงานจะถูกลง ทำให้สามารถจ้างแรงงานจำนวนมาก เพื่อมาปฏิรูประบบนำส่งพลังงานไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทั้งในยุโรปและอเมริกา บริษัท ห้างร้าน ต่างๆ จะพยายามทำงานให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งก็จะมีผลต่อการปลดปล่อยคาร์บอนน้อยลงไป ดังนั้นในช่วงที่เศรษฐกิจแย่ๆ อยู่นี้ เราควรจะรีบเร่งปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตเสียใหม่ งานแบบใดที่ทำให้โลกร้อนก็ให้มันหมดไป สร้างอาชีพใหม่ๆที่เป็น Green Jobs นี่คือโอกาสของเราที่จะช่วยโลกแล้วครับ ในช่วงที่เศรษฐกิจแย่ๆนี่แหล่ะ .......

01 มีนาคม 2552

Google Energy - กูเกิ้ลธุรกิจพลังงาน (ตอนที่ 1)


ในระยะหลังๆนี้ บริษัทที่รุ่งๆในเรื่องของพลังงานทางเลือก กลับไม่ใช่บริษัทที่เคยทำเรื่องพลังงานมาก่อน อย่างเช่น บริษัทน้ำมัน แต่กลับเป็นบริษัททางด้านไอที เช่น ไอบีเอ็ม ซึ่งในตอนที่แล้ว ผมได้นำมาเล่าให้ฟังแล้วว่า ไอบีเอ็มได้รับสัมปทานจากประเทศมอลต้า ให้ทำระบบ Smart Grid สำหรับไฟฟ้าและน้ำประปา โดยจะทำให้บ้านจำนวน 250,000 หลัง เข้ามาอยู่ในระบบการใช้พลังงานอย่างเฉลียวฉลาด

อีกบริษัทหนึ่งที่น่าจับตามองมากๆ และมีโอกาสที่จะเข้ามาเป็นเจ้าพ่อธุรกิจพลังงานที่ยิ่งใหญ่ของโลกในอนาคต นั่นก็คือ Google ครับ ตอนนี้ Google มีโครงการริเริ่มทางด้านพลังงานหลายๆอย่างที่น่าทึ่ง บริษัทนี้ได้ลงทุนติดตั้งแผงเซลล์สุริยะบนหลังคาของสำนักงานใหญ่ทั้งหมด ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 1.6 เมกะวัตต์ ซึ่งเพียงพอที่จะให้พลังงานแก่บ้านทั้งหมด 1,000 หลัง ได้อย่างสบาย กูเกิ้ลบอกว่าแผงโซลาเซลล์เหล่านี้จะคืนทุนได้ภายใน 7.5 ปี

กูเกิ้ลยังลงทุนวิจัยในเรื่องของการประหยัดพลังงานอย่างซีเรียสด้วย โครงสร้างพื้นฐานด้านการคำนวณของกูเกิ้ลนั้น ถูกออกแบบมาให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมาก กูเกิ้ลออกแบบศูนย์ข้อมูลให้มีความสามารถในการใช้พลังงานอย่างฉลาด อาคารศูนย์ข้อมูลถูกออกแบบให้มีการกระจายและถ่ายเทความร้อนที่ดี กูเกิ้ลได้ศึกษาว่า การ search หนึ่งครั้งนั้นจะใช้พลังงานทั้งหมดประมาณ 0.0003 kWh นั่นหมายความว่าระหว่างการ search หนึ่งครั้งนั้น คอมพิวเตอร์ของผู้ใช้นั้นเผาผลาญพลังงานมากกว่าที่ Google Search ทำงานเสียอีก กูเกิ้ลได้ออกแบบอาคารศูนย์ข้อมูลที่ใช้น้ำที่หมุนเวียน (Recycled Water) เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เก่าและปลดประจำการจะถูกจัดการให้ถูกนำไปรีไซเคิลอย่างถูกวิธี

ตอนต่อไป ผมจะค่อยๆเล่าต่อนะครับว่า Google วางแผนอย่างไรในการก้าวไปเป็นยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของอนาคต


(ภาพด้านบน - Google ติดตั้งแผงโซลาเซลล์บนหลังคาเกือบทุกอาคารของสำนักงานใหญ่)

09 กุมภาพันธ์ 2552

Smart Grid - ระบบส่งไฟฟ้าอัจฉริยะ (ตอนที่ 1)


ช่วงที่น้ำมันถูกอย่างนี้ ทำเอาหลายๆคนที่ทำงานเกี่ยวกับพลังงานทางเลือกเหี่ยวไปตามๆกัน แถมเจอลูกพ่วงจากพิษเศรษฐกิจโลก ทำให้หน่วยงานสนับสนุนทั้งหลายชะลอการให้ทุนวิจัยทางด้านนี้ไปกันหมดเลยครับ โดยเฉพาะประเทศไทยที่กระแสเรื่องนี้มันขึ้นๆ ลงๆ ตามราคาของน้ำมัน คนที่ทำงานด้านพลังงานทางเลือกต่างก็หวังว่าน้ำมันจะถูกอยู่ไม่นาน แต่ดูเหมือนว่าความคิดเช่นนั้นจะเป็นการมองโลกในแง่ดีมากกว่าครับ เพราะตอนนี้กำลังผลิตน้ำมันของโลกนั้นมากเกินความต้องการ อีกทั้งประเทศยักษ์ใหญ่ที่บริโภคน้ำมันกำลังหันหนีการพึ่งพิงน้ำมัน วันก่อนหน้านี้ผมได้กล่าวถึงแผนการใหญ่ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่จะนำถ่านหินมาใช้เป็นเชื่อเพลิงสังเคราะห์สำหรับอากาศยาน ซึ่งอีกไม่กี่ปีต่อไปนี้ อเมริกาจะลดการใช้น้ำมันอากาศยานนำเข้าไปครึ่งหนึ่งเลยครับ มากพอที่จะทำให้ราคาน้ำมันตกต่ำลงไปอีกหลายปี


แผนการที่จะปลดแอกตัวเองออกจากน้ำมันของสหรัฐอเมริกาไม่ได้มีแค่นี้ครับ การใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ หรือ การใช้พลังงานอย่างฉลาดเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดการใช้พลังงานลง เพียงไม่กี่วันที่ Barack Obama เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี เขาได้ออกมาแถลงแผนการที่จะใช้งบประมาณมูลค่า 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อดำเนินโครงการประหยัดพลังงาน และสนับสนุนพลังงานทางเลือกอื่นๆ ที่ไม่ใช่น้ำมัน แผนการนี้ยังรวมไปถึงการปฏิวัติระบบสายส่งกระแสไฟฟ้าให้ทันสมัย ติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Meter) ในบ้านทั้งหมด 40 ล้านหลังคาเรือน โครงการนี้จะช่วยทำให้การลงทุนในแหล่งพลังงานทางเลือกสามารถดำเนินต่อไปได้ ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจขณะนี้


วันหลังผมจะมาเล่าต่อนะครับว่า Smart Grid คืออะไร มีเทคโนโลยีอะไรที่เจ๋งๆ บ้าง ......

24 กันยายน 2551

โรงไฟฟ้าพลังขี้ไก่


เมื่อต้นเดือนกันยายน พ.ศ. 2551 ที่ผ่านมานี้ รัฐมนตรีเกษตรหญิงของเนเธอแลนด์ นาง Gerda Verburg ได้ออกมาประกาศว่า กระทรวงของเธอจะสนับสนุนเงินทุนเพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังขี้ไก่ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โรงไฟฟ้าโรงนี้จะนำขี้ไก่จำนวน 1 ใน 3 ของปริมาณที่ไก่ทั้งประเทศอึออกมาทั้งหมด เพื่อมาปั่นกระแสไฟฟ้า ซึ่งก็จะได้ไฟฟ้ามากถึง 36.5 เมกะวัตต์ ซึ่งเพียงพอจะหล่อเลี้ยงบ้านเรือนได้ถึง 90,000 หลัง ข้อดีของโรงไฟฟ้าพลังงานขี้ไก่นี้มีเยอะครับ ข้อหนึ่งก็คือมันให้พลังงานไฟฟ้าแบบเหมือนได้มาเปล่าๆ (ซึ่งไม่จริงหรอกครับ เพราะจริงๆแล้ว ก็มีต้นทุนในการขนส่งขี้ไก่มาป้อนโรงไฟฟ้า) ข้อสองของเสียที่เป็นขี้ไก่จากฟาร์มไก่ก็จะถูกกำจัดไปโดย แทนที่เกษตรกรจะเสียเงินเพื่อมาหาทางกำจัด ตรงข้ามจะได้เงินจากการขายขี้ไก่เพิ่มมาอีก ผมเคยไปเยี่ยมชมฟาร์มไก่ที่ จ.นครสวรรค์ เขามีปัญหาเรื่องขี้ไก่ที่อยากกำจัด โดยคิดจะทำก๊าซชีวมวล แต่ก็ต้องใช้เงินทุน แถมหากเป็นฟาร์มที่ไม่ใหญ่พอก็อาจมีขี้ไก่ไม่พอปั่นไฟ หรือถ้าปั่นไฟได้มากก็จะมีปัญหาว่าจะนำไฟฟ้าที่เหลือไปทำอะไร ข้อสาม การปั่นไฟจากขี้ไก่ ช่วยลดโลกร้อนได้ 2 ต่อครับ ต่อแรกคือการปั่นไฟแบบนี้ไม่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล จึงไม่นำเชื้อเพลิงฟอสซิลมาเผา ต่อที่สองคือ การปั่นไฟแบบนี้เป็นการนำก๊าซมีเธน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกมาเผาเปลี่ยนให้เป็นคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งก็เป็นก๊าซเรือนกระจกเหมือนกัน แต่คาร์บอนไดออกไซด์นี้พืชสามารถเปลี่ยนหมุนเวียนกลับมาได้ ในขณะที่มีเธนซึ่งเกิดจากการทำปศุสัตว์นั้น จะลอยอยู่ชั้นบนของบรรยากาศและไม่มีการหมุนเวียนในระบบนิเวศน์ ทำให้การทำปศุสัตว์เป็นอาชีพที่ทำให้โลกร้อนอันดับต้นๆของโลก


โรงไฟฟ้าพลังขี้ไก่ที่มีมูลค่าประมาณ 150 ล้านยูโรนี้ จะเปลี่ยนขี้ไก่ปีละ 440,000 ตัน ไปเป็นพลังงานได้ 270 ล้านหน่วย เศษของขี้ไก่ที่เหลือจากการเผาก๊าซมีเธนสามารถนำไปทำปุ๋ย และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้อีก ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการเลี้ยงไก่ และส่งออกไก่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก ถึงเวลาหรือยังครับที่คนไทยจะใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากขี้ไก่ ????

10 สิงหาคม 2551

เซลล์สุริยะสาหร่าย - Algae Solar Cell (ตอนที่ 3)



วันนี้ผมขอมาคุยให้ฟังต่อเรื่อง การผลิตพลังงานจากสาหร่าย กันอีกครั้งครับ เพราะกระแส Algae Solar Cell นี่มาแรงจริงๆ ครับ ในประเทศสหรัฐอเมริกามีการตื่นตัวเรื่องนี้มาก ถึงขนาดที่ว่ามีชมรมที่ตั้งขึ้นมา เพื่อเผยแพร่วิธีการทำฟาร์มน้ำมันสาหร่าย แบบเปิดให้ดูหมด (ในภาษาไอทีเขาเรียกว่า Open Source ครับ) ชมรมนี้เรียกว่า algOS (algae Open Source) ชมรมนี้ต้องการให้ใครก็ได้ ทั้งนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร คนทั่วไป บริษัท จากทั่วทั้งโลก มาร่วมกันเปิดเผยข้อมูลที่พอจะให้ได้ เพื่อมาสร้างสูตรการทำฟาร์มสาหร่ายเพื่อการผลิตน้ำมันร่วมกัน โดยอาศัยความได้เปรียบที่ว่า (1) สาหร่ายเป็นพืชที่ให้น้ำมันได้สูงมาก เป็นร้อยเท่าของถั่วเหลืองเลยครับ (2) สาหร่ายปลูกที่ไหนก็ได้ เพราะไม่ต้องอาศัยดิน ปลูกในท่อปลูกก็ได้ (3) สาหร่ายไม่ใช่อาหารของคน หรือ สัตว์ที่คนเลี้ยง ไม่เหมือน ปาล์ม อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพด เนื่องจากตอนนี้บริษัทน้ำมันใหญ่ๆ ในประเทศสหรัฐอเมริกาเริ่มเข้ามาลงทุนทางด้านนี้ ทางชมรมนี้เขาก็กลัวว่า บริษัทยักษ์ใหญ่พวกนี้จะถือครองสูตรการทำ แล้วอีกหน่อยก็จะควบคุมพลังงานสาหร่าย ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นพลังงานแห่งอนาคต ชมรมนี้จึงต้องการสร้างอำนาจการต่อรอง ด้วยการทำสูตรที่เป็นสาธารณะ เพื่อให้เกษตรกร บริษัทขนาดกลาง ตลอดจนผู้สนใจจะก่อตั้งธุรกิจนี้ เอาไปทำเองก็ได้ การเลี้ยงสาหร่ายสามารถทำได้ทั้งในระดับใช้กันเองในชุมชน ทำเป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ไปจนถึงการทำเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ สำหรับประเทศไทยผมมองว่าการทำเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ อาจจะทำได้ไม่กี่แห่ง เพราะประเทศเราเป็นประเทศเกษตรกรรมที่พื้นดินเหมาะไปทำอาหารมากกว่า การทำฟาร์มสาหร่ายควรไปทำในที่ๆ ไม่ต้องใช้พื้นดินทำเกษตร เช่น ทะเลทราย หรือ บริเวณดินเค็ม ดินเสีย ที่ทำเกษตรไม่ได้แล้ว ซึ่งไม่ค่อยมีหรอกครับในประเทศที่อุดมสมบูรณ์อย่างบ้านเรา algOS เขาพยายามทำคู่มือให้ตั้งแต่การเพาะเลี้ยง ไปจนถึงการผลิตน้ำมันเลยครับ วันหลังผมจะมาคุยต่อนะครับ .....

09 กรกฎาคม 2551

หลังคารถโซลาร์เซลล์


เมื่อ 2-3 วันก่อน บริษัทโตโยต้าได้ออกมาประกาศว่าจะติดตั้งแผง Solar Cell บนหลังคารถให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานของรถยนต์ Toyota Prius โดย Solar Cell ที่ติดตั้งนี้จะมีรูปทรงสอดประสาน เป็นส่วนหนึ่งของหลังคารถเลย เรียกว่าตัวหลังคารถก็คือแผง Solar Cell เช็ด ขัด ล้าง ได้ตามปรกติครับ เป็นที่รู้กันว่ารถยนต์ Toyota Prius เป็นรถยนต์แบบไฮบริดที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 2 แบบ คือทั้งใช้น้ำมัน และ มอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งตั้งแต่ผลิตครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1997 โตโยต้าขายรถประเภทนี้ไปทั้งหมด 1 ล้านคันแล้ว โตโยต้ากล่าวว่าหลังคาโซลาร์เซลล์นี้จะช่วยในเรื่องของการประหยัดแอร์ และช่วยลดความร้อนที่เกิดขึ้นจากหลังคาเมื่อต้องแสงอาฑิตย์


อันที่จริงก่อนหน้านี้ได้มีบริษัทหัวใสที่มีชื่อว่า Solar Electrical Vehicles ได้ทำการติดตั้ง Solar Cell เข้ากับหลังคารถประเภทไฮบริดทั้งหลาย รวมทั้ง Prius ซึ่งสามารถผลิตพลังงานได้ประมาณ 200-300 วัตต์ ซึ่งใช้ชาร์จแบตเตอรีเสริม หลังจากติดตั้ง Solar Cell แล้วรถสามารถขับเคลื่อนได้กว่า 36 กิโลเมตรต่อวันด้วยการใช้ไฟฟ้า หรือคิดเป็นการประหยัดน้ำมันได้ 29% ระบบนี้มีราคาประมาณ 2000-4000 เหรียญสหรัฐ ซึ่งบริษัทอ้างว่าผู้ใช้จะคืนทุนได้ภายใน 2-3 ปีเองครับ

02 กรกฎาคม 2551

Solar Island - โรงไฟฟ้าลอยน้ำ


อย่างที่ผมพูดเสมอๆ ล่ะครับว่า ประเทศที่มีนวัตกรรมด้านพลังงานแสงอาฑิตย์มากที่สุดในโลก ไม่ใช่อเมริกา ไม่ใช่ยุโรป ไม่ใช่ญี่ปุ่น ไม่ใช่เกาหลี แต่เป็นประเทศเจ้าของน้ำมันอย่างสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (United Arab Emirates) ที่สร้างเมืองพลังงานสะอาดอย่าง Masdar City และนวัตกรรมด้านเปลี่ยนฟ้าแปลงดินหลายโครงการ อย่างเช่น Palm Island และ The World เกาะที่สร้างขึ้นมาเป็นรูปแผนที่โลกอย่างอลังการ



ล่าสุด ประเทศ UAE มาด้วยความคิดเจ๋งๆ ที่จะสร้างเกาะผลิตพลังงานไฟฟ้าจากโซล่าเซลล์ โดยต้นแบบที่จะผลิตขึ้นมาเพื่อทดสอบในทะเลนี้ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 100 เมตร มีกำลังผลิตไฟฟ้า 1 เมกะวัตต์ โซลาร์เซลล์ที่ใช้บนเกาะนี้เป็นแบบ Thermal ไม่ใช่ Photovoltaic กล่าวคือไม่ได้เปลี่ยนแสงไปเป็นไฟฟ้าโดยตรง แต่แสงอาฑิตย์จะไปเผาน้ำให้ร้อนในท่อให้ร้อน แล้วน้ำร้อนเหล่านี้จะไปปั่นเครื่องปั่นไฟแบบกังหันความร้อน จากนั้นก็จะนำไฟฟ้าไปเปลี่ยนน้ำทะเลให้เป็นไฮโดรเจนอีกทอดหนึ่ง เกาะพลังงานนี้จะผลิตไฮโดรเจนได้ด้วยตนเอง แค่ปล่อยให้มันลอยของมันไป พอถึงเวลา เรือบรรทุกไฮโดรเจนอัดก็จะไปรับไฮโดรเจนที่อัดไว้กลับมาบนฝั่ง การทำเช่นนี้ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีสายส่งไฟฟ้าจากเกาะนี้มายังบนฝั่ง คาดว่าเกาะนี้จะเริ่มถูกทดสอบในช่วงปลายปี ค.ศ. 2008 นี้ หลังจากนั้นทีมงานจะทำการสร้างเกาะที่มีขนาดใหญ่กว่า ที่เส้นผ่านศูนย์กลาง 1 กิโลเมตร ลองนึกภาพมีจานใหญ่ๆ มาลอยเท้งเต้งเต็มเลยในอ่าวไทย ก็คงแปลกตาดีครับ อีกหน่อย พื้นที่ในทะเลอาจจะต้องมีการแบ่งสิทธิ์ นส. 3 เหมือนพื้นที่บนดินแล้วครับ ......

23 มิถุนายน 2551

Solar/Bio/Nuclear - รัก/สาม/เศร้า ของโลกพลังงานเมืองไทย


ด้วยราคาน้ำมันถังละ 130 เหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะไต่ไปถึง 200 เหรียญในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า ทำให้โอกาสเกิดขึ้นของพลังงานทางเลือกนับวันก็ยิ่งจะสูงขึ้น ในบทความก่อนๆที่ผ่านมา ผมได้ทยอยนำเรื่องราวต่างๆ ของประเทศยุโรป ซึ่งเคยเป็นผู้นำเข้าพลังงาน มาเล่าให้ฟังว่า ทุกวันนี้เขาเริ่มจะเข้าสู่สังคมของพลังงานพอเพียง และพึ่งตนเองได้ทางด้านพลังงาน และในอนาคตอันใกล้นี้ เขาจะเริ่มส่งออกเทคโนโลยีสำหรับผลิตพลังงานพอเพียงเหล่านั้นมาทางเอเชียครับ ที่ยุโรปไปได้ไกลและเร็วในเรื่องการพึ่งตัวเองทางพลังงาน เพราะเขามีการใช้นโยบายพลังงานอย่างเข้มแข็งและฉลาด ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างในบ้านเรา ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วงของรักสามเส้าระหว่าง Solar/Bio/Nuclear คือไม่รู้จะเลือกรัก เลือกใช้พลังงานไหนอย่างจริงจัง ใครสนับสนุนปีกไหนก็เทใจและขัดขวางทางเลือกของอีกฝั่ง ประเทศไทยจึงยังไม่ไปไหน เหมือนความรักของ ฟ้า-น้ำ-พายุ ในภาพยนตร์ รัก/สาม/เศร้า ที่ต้องปิดฉากลงด้วยความเศร้าของทั้งสามฝ่าย ผมหวังว่าประเทศไทยคงลงเอยในเรื่องของพลังงานพอเพียง อย่ารอให้น้ำมันไปถึงบาร์เรลละ 200 เหรียญแล้วค่อยตัดสินใจเลยครับ ........