แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ climate engineering แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ climate engineering แสดงบทความทั้งหมด

07 ตุลาคม 2555

Geoengineering - เทคโนโลยีเปลี่ยนฟ้าแปลงปฐพี (ตอนที่ 12)




ถึงแม้ประชากรโลกทั้งหลายจะตระหนักถึงภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้น และเริ่มมีความพยายามสร้างสรรกิจกรรมต่างๆ เพื่อช่วยบรรเทาภาวะโลกร้อนออกมามากมาย แต่ความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้นก็คือ เรายังคงปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศโลกจำนวนมหาศาล ผลการวัดค่าความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศเมื่อเดือน ก.ย. 2555 คือ 391.07 ppm (ส่วนในล้านส่วน) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. 2554 เท่ากับ 0.54 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นอัตราเร็วที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วงเหลือเกิน

มนุษยชาติมีทางเลือกอยู่ 2 ทางคือ (1) ลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทางเลือกนี้ดูเหมือนแทบจะไม่เวิร์คเลยครับ เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น กับ (2) Geoengineering ซึ่งเป็นการทำวิศวกรรมขนาดใหญ่ เพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแบบพลิกฟ้าแปลงปฐพีกันเลย ทางเลือกที่ 2 นี้ แม้ว่าจะดูเสี่ยงๆ แต่ในระยะหลังๆ นี้ นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากเริ่มเห็นคล้องจองกันว่าอีกไม่นานนี้ ทางเลือกนี้จะกลายเป็นเส้นทางบังคับให้มนุษยชาติจำต้องเดินก็เป็นได้

วิธีการทำ Geoengineering นั้น ก็มีการเสนอขึ้นมามากมาย อย่างที่ผมเคยเขียนไปแล้วในบทความตอนต้นๆ ของซีรีย์นี้ โดยหลักๆ แบ่งออกเป็น 2 สำนัก ได้แก่  (1) การกักเก็บคาร์บอนหรือกำจัดคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศ (2) การจัดการรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์

แนวคิดของวิธีการแรก เป็นการนำเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากชั้นบรรยากาศด้วยวิธีต่างๆ นานา เช่น การดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยเครื่องมือพิเศษ แล้วอัดด้วยความดันลงไปฝังกลบไว้ใต้เปลือกโลก การเลี้ยงแพล็งตอน (phytoplankton) ในทะเล ด้วยการปล่อยสารละลายเหล็กลงไปจำนวนมาก เพื่อช่วยให้แพล็งตอนเหล่านี้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันก็จะดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศ มาสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อของมัน จากนั้นปล่อยให้ซากของแพล็งตอนเหล่านี้ตกตะกอนทับถมลงไปในทะเลลึก วิธีการนี้ หากทำอย่างจริงจังในระดับมหภาค ก็น่าเชื่อว่าจะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศได้

แนวคิดของวิธีการที่สองนั้นคือ การลดแสงอาทิตย์ที่เข้ามาตกกระทบพื้นโลก เพราะหากเราสามารถลดแสงแดดที่เข้ามาในชั้นบรรยากาศโลกได้ ก็จะทำให้โลกเย็นลง ถึงแม้จะมีก๊าซเรือนกระจกมากขึ้นก็ตาม วิธีการนี้เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าในทางปฏิบัติแล้ว มันอาจจะทำง่ายกว่าวิธีแรกเสียอีก โดยเฉพาะวิธีการที่ใช้หลักการสะท้อนแสงอาทิตย์ออกไปด้วยการเพิ่มจำนวนฝุ่นในบรรยากาศชั้นสูง เลียนแบบการทำงานของเถ้าภูเขาไฟ ซึ่งทุกครั้งที่เกิดการระเบิด จะพ่นเถ้าและก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์จำนวนมากสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งทำให้อุณหภูมิของบริเวณที่ได้รับผลกระทบ ลดลงอย่างรวดเร็ว  ดังนั้น หากเราสร้างภูเขาไฟระเบิดเทียมขึ้นทั่วโลก ก็จะช่วยทำให้อุณหภูมิของโลกเย็นลงได้

เมื่อเร็วๆ นี้ได้มีการเผยแพร่บทความวิชาการในวารสารวิจัย Environmental Research Letters (รายละเอียดเต็มคือ Justin McClellan, David W Keith and Jay Apt, "Cost analysis of stratospheric albedo modification delivery systems", Environmental Research Letters 7 (2012) 034019) ซึ่งเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจ กล่าวคือ นักวิจัยได้วิเคราะห์ต้นทุนในการทำ Geoengineering เพื่อทำให้โลกเย็นลงด้วยการจัดการแสงแดดที่ตกกระทบพื้นโลก ซึ่งมีทั้งหมด 6 วิธี ได้แก่

(1) การใช้เครื่องบินโบอิ้ง 747 บินขึ้นไปปล่อยแอโรซอลบนชั้นบรรยากาศในระดับ 18 กิโลเมตรเหนือพื้นโลก
(2) คล้ายข้อ (1) แต่จะใช้เครื่องบินชนิดพิเศษที่บินได้สูงขึ้น
(3) การยิงจรวดที่บรรจุแอโรซอลขึ้นบนชั้นบรรยากาศที่สูงมากขึ้นไปอีก
(4) การยิงกระสุนบรรจุแอโรซอล โดยใช้ปืนใหญ่
(5) การใช้เรือเหาะบรรทุกแอโรซอล ขึ้นไปปล่อยบนชั้นบรรยากาศระดับสูง
(6) การใช้ท่อลอย เพื่อนำส่งแอโรซอลขึ้นไปในชั้นบรรยากาศ

นักวิจัยรายงานว่า วิธีแรกเป็นวิธีที่ถูกที่สุด โดยจะใช้เงินเพียง 10 พันล้านดอลลาร์สำหรับเริ่มงาน (ประมาณ 3 แสนล้านบาท) และใช้เงินเพียง 2 พันล้านดอลลาร์ต่อปี เพื่อปฏิบัติการปล่อยแอโรซอล ที่จะช่วยรักษาอุณหภูมิของโลกไม่ให้สูงขึ้น ส่วนวิธีการอื่นนั้นมีราคาสูงกว่ากันอย่างคาดไม่ถึง อย่างเช่น การใช้จรวดจะมีค่าใช้จ่ายเพื่อเริ่มงานสูงถึง 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ และต้องใช้เงิน 4 แสนล้านดอลลาร์ต่อปีเพื่อปฏิบัติการ

อีกหน่อย ... เวลามองขึ้นไปบนฟ้า ฟ้าใสๆ คงไม่เหลืออีกแล้วสินะ

25 กรกฎาคม 2555

Floating Nations - ประเทศลอยน้ำ (ตอนที่ 3)



(ภาพจาก http://www.architectureanddesign.com.au/)

ในสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้ไปออกภาคสนามแถวๆ จ.ชัยภูมิ ทำให้ผมมีโอกาสได้เห็นการก่อสร้างสถานีผลิตไฟฟ้าพลังงานงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) ในพื้นที่แถว จ.เพชรบูรณ์ และ จ.ชัยภูมิ ซึ่งทำให้ผมค่อนข้างปวดใจ เพราะถึงแม้เราจะได้พลังงานไฟฟ้าจาก Solar Farm ซึ่งกินอาณาบริเวณนับพันๆ ไร่ แต่เราก็ต้องสูญเสียที่ดินดีๆ ซึ่งสามารถใช้เพาะปลูกอาหารไปด้วย ปกติการก่อสร้าง Solar Farm ในประเทศที่มีความเจริญ อย่างในประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ ประเทศจีน มักจะทำในพื้นที่ที่ใช้ประโยชน์ที่ดินในการผลิตอาหารไม่ได้แล้ว เช่น ในทะเลทราย ส่วนในประเทศที่มีประชากรหนาแน่น และมีการใช้พื้นที่ค่อนข้างจะเต็มประสิทธิภาพอย่างเยอรมัน เขาก็จะมักจะติดตั้งเซลล์สุริยะบนหลังคาอาคารเป็นหลัก เช่น ติดตั้งในหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านไปเลย ผมไม่ค่อยเห็นการนำพื้นที่ทางการเกษตรไปสร้าง Solar Farm เลยครับ ก็เพิ่งเห็นในประเทศไทยนี่แหล่ะครับ .... ปวดใจจริงๆ .... เท่าที่ทราบมา เห็นว่ายังจะมีการก่อสร้างสถานีไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์นี้อีกหลายแห่งด้วยครับ 

ประเทศไทยก็เหมือนหลายๆ ประเทศทั่วโลกหล่ะครับ ที่นับวัน ที่ดินดีๆ ที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูกจะน้อยลงไปเรื่อยๆ ทรัพยากรบนพื้นดินมีแต่จะหายากลงไปเรื่อยๆ ดังนั้น อนาคตอยู่ที่ทะเลและมหาสมุทรครับ ในศตวรรษที่ 21 ประเทศใดที่ไม่มีทางออกทะเล มีแต่จะต้องพึ่งพาประเทศอื่นๆ ส่วนประเทศที่มีทางออกทะเล รวมทั้งประเทศไทย ก็ต้องถามว่า ประเทศนั้นมีศักยภาพในการใช้ทรัพยกรและปกป้องผลประโยชน์ทางทะเลมากแค่ไหน เช่น การมีกองทัพเรือที่เข้มแข็ง มีเทคโนโลยีทางทะเล (Marine Technology) พร้อมแค่ไหน เพราะนอกจากประเทศเหล่านี้จะต้องแข่งขันเพื่อช่วงชิงทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล กับ ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคแล้ว ก็อาจจะต้องเผชิญการแข่งขันกับประเทศเกิดใหม่ ประเทศเล็กๆ ลอยน้ำ (Micronations) ที่พร้อมจะแข่งขันและประสานผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแบบใหม่ของศตวรรษที่ 21

ประเทศลอยน้ำจะเน้นระบบเศรษฐกิจที่ให้ผลตอบแทนสูง ดังนั้น อาชีพของประชากรส่วนใหญ่ของประเทศนี้จะเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ไอที เทคโนโลยีชีวภาพ การออกแบบ อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศลอยน้ำมีที่ตั้งในมหาสมุทร ประเทศเหล่านี้จึงมีความได้เปรียบในอุตสาหกรรมอีกด้านหนึ่ง ซึ่งต่อไปในอนาคต โลกอาจจะต้องพึ่งพาประเทศเหล่านี้เป็นอย่างมาก นั่นคือ การผลิตอาหารทะเล ประเทศลอยน้ำสามารถใช้ความได้เปรียบในการทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์น้ำในทะเลเปิด (Mariculture) ซึ่งกำลังได้รับการพัฒนาให้มีความก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันสามารถผลิตอาหารได้หลายชนิด ทั้ง กุ้ง หอย ปลา สาหร่าย ซึ่งเมื่อมีการจับสัตว์น้ำขึ้นมา ก็สามารถทำกรรมวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะทำเป็นอาหารสด แช่แข็ง หรือแปรรูป สามารถทำในทะเลได้เลย (เนื่องจากเป็นประเทศลอยน้ำอยู่ในทะเลอยู่แล้ว) ลองคิดดูสิครับว่า มูลค่าเศรษฐกิจจะมากขนาดไหน ปัจจุบัน ประชากรโลก 1 พันล้านคนบริโภคปลาเป็นอาหารโปรตีนหลัก มนุษย์บริโภคปลาสดเป็นจำนวนปีละ 120 ล้านตัน และจะมากขึ้นไปอีกเรื่อยๆ แต่จำนวนปลาที่จับได้มีแต่จะน้อยลง ทำให้ราคาของปลาทะเลในปัจจุบันสูงมาก โลกในอนาคตจึงต้องพึ่งพาการเลี้ยงสัตว์น้ำในทะเล เพื่อชดเชยการจับปลาแบบเดิมๆ

พลังงานก็อาจจะเป็นสินค้าอีกอย่างหนึ่ง ที่ประเทศลอยน้ำสามารถส่งออกไปขายยังประเทศที่อยู่บนชายฝั่ง เนื่องจากที่ดินในทะเลค่อนข้างจะฟรีและมีเหลือเฟือ ดังนั้น การสร้างสถานีผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำ (Solar Island) ก็ไม่ต้องปวดใจอีกต่อไป เพราะไม่ต้องไปแย่งพื้นที่เกษตรกรรม ในทะเลไม่ได้มีแต่แสงแดด แต่มีทั้งคลื่น ลม ซึ่งสามารถนำไปผลิตกระแสไฟฟ้าได้ รวมทั้งพลังงานไฟฟ้าผลิตจากการใช้ความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิของน้ำเย็นที่ระดับความลึกหลายร้อยเมตร กับ อุณหภูมิที่ผิวน้ำ (Ocean Thermal Energy Conversion) ซึ่งหากนำเทคโนโลยีอันหลังนี้มาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ประเทศลอยน้ำจะกลายเป็นเศรษฐีทางด้านพลังงานไปในทันทีครับ

03 กรกฎาคม 2555

Floating Nations - ประเทศลอยน้ำ (ตอนที่ 2)



เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัท Blueseed ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกมาประกาศว่า ในราวกลางปี ค.ศ. 2013 บริษัทจะเปิดเมืองลอยน้ำ ห่างจากชายฝั่งเมืองซาน ฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ออกไป 12 ไมล์ทะเล ซึ่งเป็นเขตของน่านน้ำสากล โดยเมืองลอยน้ำนี้ (ซึ่งเริ่มแรกน่าจะดัดแปลงจากเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่) จะรองรับบริษัทต่างๆ ที่ต้องมีการจ้างพนักงานต่างชาติที่ไม่สามารถจะได้วีซ่าเข้าทำงานในประเทศสหรัฐอเมริกาได้  โดยมากเป็นบริษัทใน Silicon Valley โดยพนักงานต่างชาติเหล่านี้สามารถพำนักได้บนเมืองลอยน้ำนี้ โดยไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี พนักงานสามารถได้รับวีซ่าประเภท B1 เพื่อเข้าสหรัฐฯ ได้ ในลักษณะการเดินทางเพื่อไปพบลูกค้า ประชุม หรือปฏิบัติงานเชิงธุรกิจ หรือไปท่องเที่ยว โดยจะมีเรือเฟอรี่เดินทางระหว่างเมืองลอยน้ำนี้ กับ ชายฝั่งแคลิฟอร์เนีย ทุกวัน เมืองลอยน้ำนี้จะมีการจ้างลูกเรือเข้ามาดูแลวิถีชีวิต และความเป็นอยู่ของประชากร เพื่อให้เมืองพึ่งพาตัวเองได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น ตำรวจ แพทย์-พยาบาล พ่อครัวชั้นยอด ทนาย ช่าง นักดนตรี และอื่นๆ อีกมากมาย

สิ่งที่บริษัท Blueseed กำลังทำอยู่ นับว่าเป็นปฐมบทของแนวโน้มใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นในโลกครับ แนวโน้มที่ว่านี้ก็คือ ประเทศลอยน้ำ (Floating Nations หรือ Floating Countries) ซึ่งเป็นแนวคิดในการสร้างประเทศลอยน้ำได้ขึ้นมาในทะเลหรือมหาสมุทรที่เป็นน่านน้ำสากล ประเทศขนาดจิ๋ว (Micronation) แบบนี้สามารถกำหนดกฎหมายของตัวเองได้ สามารถที่จะคัดเลือกประชากรของประเทศตัวเองได้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกคนที่มีอันจะกิน กับ คนฉลาดๆ ที่สามารถจะเข้ามาพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศตัวเองได้ ในอนาคตเราจะเริ่มเห็นเมืองหรือประเทศลอยน้ำแบบ Blueseed นี้ลอยเป็นดอกเห็ด ตามชายฝั่งประเทศต่างๆ ทั่วโลก

แน่นอนว่า ถึงแม้ประเทศลอยน้ำนี้จะลอยไปอยู่ที่ไหนในโลกก็ได้ที่เป็นน่านน้ำสากล แต่ในความเป็นจริง ประชากรของประเทศลอยน้ำมักจะมีความผูกพันกับประเทศที่เป็นถิ่นกำเนิด (Host Nation) ซึ่งเป็นประเทศที่มันอยากลอยอยู่ใกล้ๆ เพราะอย่างไรเสีย ประเทศลอยน้ำนี้ก็ยังต้องพึ่งพาอาศัยทรัพยากรหลายๆ อย่างจากประเทศถิ่นกำเนิด โดยจะตอบแทนกลับคืนในแง่ของมูลค่าทางเศรษฐกิจต่างๆ เช่นเดียวกับที่ Blueseed ส่งกลับคืนในรูปของผลงานนวัตกรรมต่างๆ แก่ประเทศสหรัฐอเมริกา

ดังนั้นประเทศลอยน้ำที่เกิดใหม่จะต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้

(1) ความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศแม่ (Host Nation)
(2) การมีผลประโยชน์ร่วมกันกับชุมชนแนวชายฝั่งที่ประเทศลอยน้ำไปลอยอยู่ใกล้ๆ เช่น การเป็นแหล่งท่องเที่ยว การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
(3) ความสามารถทางเศรษฐกิจ ประเทศลอยน้ำนี้มีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสูง จึงต้องสามารถสร้างรายได้มาชดเชยรายจ่ายทางด้านนี้ 
(4) ศีลธรรม ประเทศลอยน้ำจะอยู่ไม่ได้ถ้าเป็นแหล่งรวมคนที่ขาดศีลธรรม ประเทศลอยน้ำจึงต้องมีความเข้มงวดต่อกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอบายมุข หรือ ผิดกฏหมายสากล เช่น การหนีภาษี การค้ามนุษย์ ซ่องโจร เป็นต้น
(5) มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อธุรกิจ ไม่มีกฎหมายจุกจิก
(6) ลอยไปหาที่อยู่ใหม่ได้เมื่อถึงเวลา เช่น เมื่อเกิดปัญหากับประเทศที่ไปลอยอยู่ใกล้ๆ เป็นต้น

อีกไม่นานหรอกครับ เราคงจะได้ยินข่าวว่ามีคนไทยคนหนึ่งไปสร้างประเทศใหม่ เพราะกลับเข้าประเทศไทยไม่ได้ และเมื่อถึงวันนั้น ประเทศลอยน้ำอันนี้อาจมาลอยอยู่แถวปากอ่าวไทยก็ได้ .....

07 มิถุนายน 2555

Floating Nations - ประเทศลอยน้ำ (ตอนที่ 1)



ในช่วงที่ผมติดอยู่ในบ้านที่ถูกน้ำท่วม ที่ จ.นนทบุรี เป็นเวลา 45 วันนั้น หลังจากงานสูบน้ำและทำงานบ้านประจำวัน ผมมีเวลาค่อนข้างเยอะที่จะครุ่นคิดถึงแนวคิดต่างๆ แน่นอนว่าหลายๆ เรื่องก็จะเกี่ยวข้องกับน้ำ และเรื่องหนึ่งที่ผมคิดคือ ในอนาคตมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่ประเทศไทยจะตกอยู่ในสภาพ แห้ง 8 น้ำ 4 คือ แผ่นดินแห้งอยู่ 8 เดือน กับชุ่มน้ำอีก 4 เดือน ทั้งนี้หากคำนึงถึงความเป็นจริงที่ว่า ที่ราบลุ่มภาคกลางที่เป็นที่ตั้งของกรุงเทพและปริมณฑลมีแผ่นดินทรุดลงตลอดเนื่องจากการขยายตัวของเมือง เราต้องไม่ลืมว่า แผ่นดินที่เมืองหลวงของเราตั้งอยู่นี้เคยเป็นทะเลมาก่อน แต่เนื่องจากมีตะกอนที่แม่น้ำปิง วัง ยม น่าน พัดพามาทับถมนานนับพันปี จึงเกิดเป็นแผ่นดินที่ราบลุ่มเจ้าพระยาขึ้นมา แต่หลังจากพวกเราได้ตั้งรกรากแถบนี้ เราได้สร้างเขื่อนที่ดักตะกอนเอาไว้ รวมทั้งมีการควบคุมน้ำ มีการขุดลอกตะกอนในแม่น้ำทุกๆ ปี ทำให้ไม่เคยมีตะกอนใหม่ๆ มาทับถมพื้นดินที่เคยเป็นท้องทะเลนี้อีกเลย เราต้องยอมรับความจริงว่า พื้นดินนี้ย่อมทรุดตัวลงไปตามแรงกดทุกๆ ปี

แค่แผ่นดินทรุดตัวอย่างเดียวก็แย่แล้ว เรายังเจอโจทย์ (หรือ โจทก์) ใหม่อีกคือ น้ำทะเลที่สูงขึ้นอันเนื่องมาจากน้ำแข็งละลายในขั้วโลกเหนือ ซึ่งจะทำให้น้ำทะเลมีระดับสูงขึ้นในช่วงฤดูมรสุมของเรา นักวิทยาศาสตร์เคยประมาณเอาไว้ว่า อีกไม่เกิน 100 ปี ประเทศบังคลาเทศจะหายไปจากแผนที่โลก กรุงเทพฯ ของเราจะจมน้ำ
ในช่วงที่น้ำท่วม ผมเริ่มจะยอมรับความเป็นไปได้ที่ว่า เราอาจจะต้องใช้ชีวิตกับน้ำปีละ 2-4 เดือน ซึ่งอาจจะค่อยๆ กลายเป็นเรื่องปกติไปในอนาคต พอถึงหน้ามรสุม น้ำจะหลากมาท่วมหลังจากนั้นมันก็จะแห้ง เป็นวัฏจักรวนเวียนเช่นนี้ ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศกึ่งใต้น้ำ คือ เป็นประเทศที่มีแผ่นดิน 100% ผสมกับการมีแผ่นดิน 80% ในบางเวลา ทะเลจะค่อยๆ คืบคลานมากลืนกินแผ่นดินของเราไปอย่างช้าๆ

ทางฝั่งประเทศตะวันตกเอง เริ่มมีแนวคิดของการสร้างประเทศที่ลอยน้ำได้ (Floating Nations หรือ Floating Countries) ประเทศแบบนี้สามารถสร้างขึ้นมาโดยใครก็ได้ อาจเป็นรัฐบาล หรือ องค์กร หรือแม้แต่ คนๆเดียวที่มีสตางค์หน่อย (โดยเฉพาะคนที่ไม่มีประเทศจะอยู่) เราสร้างประเทศที่ลอยน้ำได้ซึ่งจะลอยไปที่ไหนก็ได้ในโลก เพราะในทะเลและมหาสมุทรนอกชายฝั่ง 12 ไมล์ทะเล นั้นถือว่าเป็นเขตทะเลสากล ประเทศนี้สามารถลอยไปลอยมาในทะเล ขอแต่ให้ห่างฝั่ง 12 ไมล์ทะเลเป็นใช้ได้ เนื่องจากเป็นประเทศที่ลอยน้ำได้ เราสามารถที่จะให้ประเทศนี้หนีพายุได้ หรือลอยไปยังบริเวณที่อากาศดีๆ แล้วลอยกลับมาที่เดิมเมื่อฤดูกาลที่เหมาะสมนั้นมาถึง การที่ประเทศลอยน้ำนี้อยู่ไม่ไกลจากฝั่งมากนัก ก็จะทำให้มีการเดินทางเข้า-ออก ด้วยเฮลิคอปเตอร์ หรือ เรือเฟอรี่ได้ง่าย หรือแม้แต่ประเทศลอยน้ำนี้จะมีสนามบินนานาชาติของตัวเองก็ย่อมทำได้

ถามว่า แล้วประเทศนี้จะเอาอะไรกิน ?

ด้วยความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีการเกษตร เราจะสามารถปลูกพืชแบบแนวดิ่งได้ (Vertical Farming) ซึ่งจะพอหล่อเลี้ยงประชากรในประเทศลอยน้ำ (ซึ่งอาจจะมีประชากรได้ตั้งแต่ 50,000 ถึงหลายแสนคน) เราสามารถทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในทะเลเปิดแบบ Smart Aquaculture ประเทศลอยน้ำสามารถผลิตพลังงานจากเซลล์สุริยะ กังหันลม รวมทั้งกังหันผลิตไฟฟ้าจากคลื่นในทะเล ประชากรที่อาศัยอยู่ในประเทศลอยน้ำนี้ จะเป็นประชากรระดับคุณภาพ ที่เข้ามาทำงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งอาจจะถูกห้ามในประเทศแม่ เช่น เรื่องจีเอ็มโอ หรือ โคลนนิ่ง เพราะอย่าลืมว่า ประเทศลอยน้ำ เป็นประเทศจริงๆ สามารถร่างรัฐธรรมนูญของตัวเอง ออกกฎหมายเอง ประเทศลอยน้ำนี้สามารถรับประชากรจากประเทศที่ไม่ลอยน้ำใดๆ ก็ได้ในโลก ให้เข้ามาทำงานช่วยผลักดันเศรษฐกิจของประเทศนี้ ซึ่งถึงแม้จะมีประชากรเพียงไม่กี่หมื่นคน ก็อาจจะผลิต GDP ได้มากกว่าประเทศไทยทั้งประเทศเสียอีก รายได้ของประเทศลอยน้ำจะมาจากสินค้าเทคโนโลยี ไอที นาโนเทคโนโลยี จีเอ็มโอ ซอฟต์แวร์ บันเทิงและการท่องเที่ยว ... ต้องไม่ลืมว่า ประเทศลอยน้ำนี้ สามารถออกกฎหมายของตัวเอง ซึ่งจะทำให้มีความคล่องตัวในการเอื้อต่อ ความต้องการของนักลงทุนจากแผ่นดินแม่

ในตอนต่อๆ ไป ผมจะมาเล่าความคืบหน้า เกี่ยวกับแนวคิดนี้ให้ฟังต่อนะครับ .....

09 มีนาคม 2555

Geoengineering - เทคโนโลยีเปลี่ยนฟ้าแปลงปฐพี (ตอนที่ 11)


Geoengineering หรือ วิศวกรรมดาวเคราะห์ เป็นศาสตร์ในการนำเอาเทคโนโลยีต่างๆ หลากหลายชนิดทั้ง ฟิสิกส์ โยธา อวกาศวิศวกรรมธรณี เคมี นาโนเทคโนโลยี พันธุวิศวกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ และอื่นๆ เข้ามาปรับเปลี่ยนคุณสมบัติของดาวเคราะห์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อจะทำให้ดาวเคราะห์เป้าหมายเหมาะที่สิ่งมีชีวิตจะอยู่ได้ ในอดีตเราเคยมีแนวคิดจะนำ Geoengineering ไปใช้กับดาวอังคาร แต่ปัจจุบันดาวเคราะห์ที่ต้องการเทคโนโลยีนี้ก็คือ โลกที่เราอาศัยอยู่นี่แหล่ะครับ เพื่อที่จะแก้ปัญหาโลกร้อนที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่ บทความตอนที่ผ่านๆ มา ผมได้ทยอยนำเอาความก้าวหน้าทางด้าน Geoengineering ที่สามารถนำมาใช้แก้โลกร้อนได้ มีตั้งแต่ การปลูกป่าในทะเล การสร้างโดมพลาสติกครอบเมืองทั้งหมด แล้วใช้ระบบปรับอากาศแทน การสร้างร่มบังแดดในอวกาศให้โลก การใช้ฝูงเรือสร้างเมฆบังแดดในชั้นบรรยากาศ ไปจนกระทั่งการสร้างเมืองลอยน้ำเพื่อย้ายไปอยู่ในทะเล เป็นต้น วันนี้เราจะกลับมาคุยเรื่อง Geoengineering กันต่อนะครับ หลังจากไม่ได้พูดเรื่องนี้มาเสียนาน

เทคโนโลยีที่ผมจะนำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ เกิดขึ้นจากการที่นักธุรกิจหัวสมัยใหม่กลุ่มหนึ่ง เริ่มเบื่อกับวิธีการแก้ปัญหาโลกร้อนแบบหน่อมแน้ม ไม่ว่าจะเป็นพลาสติกชีวภาพ ไบโอดีเซล สินค้าลดโลกร้อนประเภทต่างๆ ที่แห่กันออกมาทำตลาด หรือแม้กระทั่งธุรกิจที่หากินกับโลกร้อน ประเภท คาร์บอนเครดิต หรือ พวกจัดการคาร์บอนฟรุตพริ้น พวกเขามองว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เป็นแก่นสาร ไม่ยั่งยืน เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุแบบขอไปที ซึ่งทำให้ตายก็ไม่สามารถแก้โลกร้อนได้ พวกเขาจึงรวมกลุ่มกันตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อแก้โลกร้อนแบบฉีกไอเดียเก่าๆ กระจุย กระเจิง ไปเลยครับ หลักคิดของพวกเขาก็ง่ายๆ ไม่มีอะไร กล่าวคือ ในเมื่อคาร์บอนไดออกไซด์เป็นสาเหตุทำให้โลกร้อน เราก็กำจัดมันเสีย ถ้ามีเทคโนโลยีนี้ซะอย่าง ใครจะผลิตคาร์บอนไดออกไซด์มากแค่ไหน จะทำอะไรก็ปล่อยไป ไม่ยาก เพียงไปดักจับและกำจัดมันออกไปเสียก็สิ้นเรื่อง ฟังดูง่ายนะครับ แต่ความคิดของพวกเขาก็ไม่น่าจะผิดเสียทีเดียว หากพิจารณาว่า มหาเศรษฐีระดับโลกอย่าง บิล เกตส์ ได้เข้ามาเป็นนักลงทุนรายใหญ่ของพวกเขา

ก่อนหน้านี้ บิล เกตส์ ก็ได้ยื่นขอจดสิทธิบัตรจำนวน 5 เรื่อง ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับวิธีการหยุดพายุเฮอริเคน ด้วยการนำอุปกรณ์ที่สามารถปั๊มน้ำทะเลที่อยู่บนผิวน้ำ ให้ไหลลงไปสู่บริเวณใต้น้ำที่ลึกลงไป ซึ่งจะมีอุณหภูมิต่ำกว่ามาก หากนำอุปกรณ์ดังกล่าวไปปล่อยด้วยปริมาณที่มากพอ วิธีการนี้จะช่วยในการลดอุณหภูมิของผิวมหาสมุทร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการก่อตัวของพายุเฮอริเคน ในสิทธิบัตรนี้ยังเสนอวิธีการที่จะนำเงินทุนมาสร้างและปล่อยอุปกรณ์ดังกล่าวลงไปในทะเล ด้วยการเก็บหัวคิวจากค่าประกันความเสียหายที่เกิดจากพายุเฮอริเคน ในบริเวณที่มีโอกาสประสบภัยสูง

ดังนั้นการที่ บิล เกตส์ เข้ามาสนับสนุนด้านเงินทุนแก่บริษัทตั้งใหม่ ที่จะประกอบธุรกิจดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จึงถือเป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นว่าธุรกิจนี้มีอนาคต และการแก้ไขปัญหาโลกร้อนด้วยเทคโนโลยี Geoengineering เป็นสิ่งที่จะเป็นกระแสหลักในอนาคต บริษัทที่ว่านี้มีชื่อว่า Carbon Engineering ซึ่งตั้งขึ้นโดย เดวิด ไคธ์ (David Keith) ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองคาลการี (Calgary) ในแคนาดา ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางทางด้านน้ำมันและก๊าซของแคนาดา ไคธ์ เป็นนักฟิสิกส์และนักภูมิอากาศวิทยา และยังเป็นศาสตราจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยคาลการี (University of Calgary) อีกด้วย ไคธ์ทำวิจัยเพื่อที่จะพัฒนากระบวนการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ โดยจะลดต้นทุนในการดักจับก๊าซ ซึ่งปัจจุบันมีราคาแพงถึง 30,000 บาทต่อตัน ให้ลดลงไปต่ำกว่า 3,000 บาทต่อตัน ซึ่งเป็นราคาที่บริษัทน้ำมันยินดีจ่ายในการซื้อก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาใช้ ทั้งนี้ ได้มีผลงานวิจัยที่ระบุว่า เราสามารถที่จะลดต้นทุนในการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ที่ราคาประมาณ 450 บาทต่อตัน ได้ด้วยซ้ำ

บริษัท Carbon Engineering นี้ มีเป้าหมายเชิงธุรกิจที่จะนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ดักจับมานั้นไปขายให้แก่บริษัทขุดเจาะน้ำมัน โดยบริษัทขุดเจาะน้ำมันจะอัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงไปใต้ดิน เข้าไปในหลุมเจาะ เพื่อเข้าไปแทนที่น้ำมันที่ขุดเจาะขึ้นมาใช้ ซึ่งจะทำให้ได้น้ำมันออกมามากขึ้น เทคโนโลยีนี้เรียกว่า Enhanced Oil Recovery (EOR) ซึ่งจะทำให้ได้น้ำมันมากกว่าปกติ โดยรัฐบาลสหรัฐประมาณว่า การขุดเจาะแบบอัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงไปแทนที่น้ำมันนั้น จะทำให้ได้น้ำมันมากถึง 89 พันล้านบาร์เรล ในประเทศสหรัฐอเมริกา มากกว่าเดิมถึง 4 เท่า จะเห็นได้ว่า ใครก็ตามที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์พร้อมขายสำหรับการขุดเจาะน้ำมันแบบนี้ในอนาคต จะรวยแค่ไหน

การดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเคยถูกปรามาสว่าไม่มีทางเป็นไปได้ กำลังจะกลายเป็นธุรกิจที่มีอนาคต เป็นเทคโนโลยีที่แก้โลกร้อนได้จริง จากการเปลี่ยนมุมมองว่าคาร์บอนไดออกไซด์เป็นขยะ ให้กลายมาเป็นทรัพยากรที่มีค่า มีราคา นั่นเอง โดยโรงงานดักจับนี้สามารถตั้งที่ไหนก็ได้ในโลก

03 ตุลาคม 2553

Geoengineering - อภิมหาโปรเจคต์ เปลี่ยนฟ้าแปลงปฐพี (ตอนที่ 10)


นับตั้งแต่บรรพบุรุษของเราได้ย้ายออกจากทวีปแอฟริกา เพื่อไปตั้งถิ่นฐานในทวีปเอเชีย และต่อมาได้แพร่เผ่าพันธุ์ไปทั่วทั้งโลก มนุษย์เราได้กลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ครอบครองดาวเคราะห์ดวงนี้อย่างเบ็ดเสร็จ พวกเราได้พัฒนาอารยธรรม และในปัจจุบันเราได้มีเครื่องมือที่สำคัญที่จะทำให้มนุษย์เราพัฒนาก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีก นั่นคือ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ในอดีตกาล เมื่อมีภัยพิบัติเกิดขึ้นจากธรรมชาติ มนุษย์โบราณได้แต่ก้มหน้ารับกรรม และกล่าวโทษว่าเป็นฝีมือของเทพเจ้า สมัยผมเป็นเด็กนั้น ผมเคยเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ทำไมเราไม่มีเทคโนโลยีที่จะหยุดพายุ หรือ ทำลายพายุไม่ให้พัดเข้ามาทำร้ายพวกเรา ถึงแม้ต่อมาเมื่อผมเข้าเรียนระดับมัธยม ผมได้เริ่มเข้าใจมากขึ้นว่า การสร้างเขื่อนนั้นก็เป็นวิธีหนึ่ง ที่จะลดอันตรายจากการเกิดน้ำท่วมได้ แถมยังมีประโยชน์อื่นๆ มากมาย แต่นั่นก็ยังเป็นแค่เพียงวิธีทางอ้อมในการหลีกเลี่ยงการถูกเล่นงานโดยธรรมชาติ มีทางเป็นไปได้ไหมว่า น่าจะมีวิธีตรงๆ โดยการไปหยุด หรือขัดขวางไม่ให้พายุร้ายเกิดขึ้นเลย

นักวิทยาศาสตร์แนวใหม่มีความเชื่อครับว่า ... ในอนาคต เราจะเริ่มไปยุ่งหรือไปวิศวกรรมกับชั้นบรรยากาศมากขึ้น เริ่มตั้งแต่ การไปเปลี่ยนแปลงวิถีพายุ การขัดขวางการเกิดพายุ ไปจนกระทั่งการเปลี่ยนแปลงชั้นบรรยากาศให้มีความน่าอยู่มากขึ้น ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวคิดเรื่องนี้เริ่มมีความเป็นจริง เป็นจัง มากขึ้น และได้รับการตอบรับจากประชาคมนักวิทยาศาสตร์ในวงกว้าง จนแม้แต่ ภาคการเมืองระดับนโยบายก็เห็นดีเห็นงามกับวิศวกรรมเปลี่ยนฟ้าแปลงปฐพี ว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

การที่เราจะไปวิศวกรรมพายุ (Storm Engineering) ได้นั้น เราควรจะมีความเข้าใจในเรื่องพายุให้ดีเสียก่อน สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศหนึ่งที่ได้ทุ่มเทงบประมาณจำนวนมหาศาลในการวิจัยเกี่ยวกับพายุ ไม่ว่าจะเป็นพายุเฮอริเคน ไต้ฝุ่น หรือ ทอร์นาโด สำหรับพายุทอร์นาโดนั้น เราอาจจะเคยได้ชมภาพยนตร์เรื่อง Twister ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการไล่ล่าพายุโดยทีมนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งจริงๆ แล้ว การไล่ล่าแบบนั้นก็มีอยู่จริงๆ นะครับ โครงการที่มีชื่อว่า VORTEX2 ซึ่งได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากมูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Science Foundation หรือรู้จักกันดีในชื่อ NSF) ซึ่งจะมีการใช้ยานพาหนะที่มีจำนวนมากถึง 50 กว่าคัน ได้แก่ รถบรรทุกติดเรดาห์และอุปกรณ์เซ็นเซอร์ประเภทต่างๆ รถยนต์ตรวจการณ์ติดตั้งอุปกรณ์ตรวจอากาศ อากาศยานไร้นักบิน และอุปกรณ์ภาคสนามอีกจำนวนมาก โดยมีทีมนักวิทยาศาสตร์ผู้ควบคุมกว่า 140 คน เพื่อใช้ในการตีโอบล้อม ไล่ล่า พายุทอร์นาโด เพื่อจะเก็บข้อมูลเกี่ยวกับกำเนิดของพายุให้ได้ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างคอมพิวเตอร์โมเดล ที่สามารถอธิบายการเกิดขึ้นของพายุ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการทำนายพายุ หรือในอนาคตอาจจะนำไปสู่การวิศวกรรมพายุได้ต่อไป

24 กันยายน 2552

Geoengineering - อภิมหาโปรเจคต์ เปลี่ยนฟ้าแปลงปฐพี (ตอนที่ 9)


หายไปหลายวันครับ ผมเพิ่งกลับมาจากประชุมที่เชียงใหม่ ตอนกลางวันก็ประชุม กลางคืนก็ออกไปกินข้าวฟังเพลง เลยไม่มีเวลาเขียนครับ วันนี้ผมอยากจะกลับมาเขียนเรื่อง Geoengineering หรือ วิศวกรรมดาวเคราะห์อีก เพราะช่วงนี้ ผมได้ยินเรื่องนี้ถี่ขึ้น บ่อยขึ้น ราวกับว่า ตอนนี้พวกเราเริ่มตระหนักในความจริงที่ว่า ภาวะโลกร้อนไม่สามารถแก้ได้ด้วยวิธีธรรมดาๆ อีกต่อไปแล้ว มันต้องการการแก้ปัญหาแบบ Paradigm Shift หรือ กระบวนทัศน์ใหม่

นักวิทยาศาสตร์มีแผนการใหม่ ที่จะทำการเกษตรในทะเลทรายซาฮารา โครงการนี้มีชื่อว่า Sahara Forest Project โดยโครงการนี้จะสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาฑิตย์แบบที่เรียกว่า Concentrated Solar Power คือการรวมแสงแดดให้เข้มข้นเพื่อนำไปปั่นกังหันความร้อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งจะถูกใช้เพื่อดูดน้ำทะเลจากย่านน้ำลึก ผ่านระบบท่อฝังใต้ดินเข้ามายังโรงเรือนที่เรียกว่า Sea Water Greenhouse ซึ่งน้ำทะเลที่เย็นจะถูกใช้เพื่อทำความเย็นให้แก่อากาศในโรงเรือน น้ำที่ระเหยจะกลั่นตัวกลับมาเป็นน้ำดิบสะอาด ซึ่งจะถูกนำไปรดน้ำแก่พืช พืชที่ปลูกในโรงเรือนอาจจะเป็นพืชเพื่อผลิตน้ำมันไบโอดีเซล โครงการนี้จึงได้ผลผลิตหลายอย่าง เช่น ได้ไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังแสงอาฑิตย์ น้ำจืด และเชื้อเพลิงไบโอดีเซล

นี่คือตัวอย่างหนึ่งของวิศวกรรมเปลี่ยนฟ้าแปลงปฐพี ที่ดูเหมือนจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายของดาวเคราะห์ดวงนี้แล้วล่ะครับ ..........

20 พฤษภาคม 2552

แปลงฟ้าเป็นอาวุธ - Weaponizing Weather and Climate (ตอนที่ 3)


ในปี ค.ศ. 208 โจโฉ ได้ยกพลจำนวนกว่า 800,000 นาย พร้อมด้วยจำนวนกองเรือกว่า 2,000 ลำ ล่องเรือมาตามแม่น้ำแยงซีเกียงเพื่อหวังพิชิตชัยด่านสำคัญของซุนกวนที่ผาแดง (Red Cliffs) ในขณะที่ฝ่ายพันธมิตรของซุนกวนกับเล่าปี่นั้นมีกำลังรวมกันเพียง 20,000 คนเท่านั้น ก่อนจะเกิดการรบพุ่งขั้นแตกหักในวันที่ 10 เดือน 10 ขงเบ้งได้รู้ล่วงหน้าว่าอีก 3 วันจะมีหมอกลงหนาในแม่น้ำแยงซีเกียง จึงออกอุบายนำเรือฟางออกไปลวงว่าจะลอบโจมตีทัพเรือของโจโฉ ซึ่งแม่ทัพกองเรือด่านหน้ามองไม่เห็น จึงสั่งกำลังพลระดมยิงธนูออกไปจำนวนมาก โดยหารู้ไม่ว่าเป็นเรือฟางที่ทำไว้ใช้ดักจับลูกธนู ผลก็คือขงเบ้งได้ลูกธนูไปใช้ฟรีๆ ถึง 100,000 ดอก


ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่าเพียงแค่สามารถพยากรณ์ดินฟ้าอากาศได้ล่วงหน้า ก็สามารถใช้เป็นอาวุธที่สร้างความได้เปรียบทางการรบได้ แล้วถ้าหากสามารถเรียกลมเรียกฝนได้ล่ะ จะน่ากลัวขนาดไหน ในพงศาวดารเรื่องสามก๊ก ว่ากันว่า คืนที่เกิดการรบแตกหักระหว่างทัพเรือของโจโฉกับกลุ่มพันธมิตรนั้น ขงเบ้งได้เรียกลมตะวันออกมาเพื่อช่วยให้ระเบิดเพลิง และธนูไฟพัดไปยังทิศทางของกองเรือโจโฉ ลมบูรพาที่กรรโชกมาด้วยความเร็วระหว่าง 40-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้นำพาหายนะไปสู่กองเรือที่ยิ่งใหญ่ของโจโฉ ภายในรุ่งเช้า เรือทั้งหมด 2,000 ลำได้กลายเป็นเถ้าถ่าน .... น่าเสียดายที่ .... ก่อนกรุงศรีอยุธยาจะแตกนั้น แม่ทัพนายกองทั้งหลายของไทยต่างก็หวังลมๆแล้งๆ ว่าลมมรสุมจะพาฝนมาท่วมที่ราบภาคกลางก่อนเวลาปกติ ซึ่งจะช่วยไล่ให้กองทัพพม่าหนีน้ำกลับไป มีแต่องค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเท่านั้น ที่ทรงเล็งเห็นว่าสถานการณ์มาถึงจุดที่สายเกินไปแล้ว พระองค์ได้นำทหาร 500 นายแหกวงล้อมพม่าออกไปเพื่อกลับมากู้เอกราชอีกครั้ง


การควบคุมดินฟ้าอากาศให้ได้เคยเป็นความฝันของการทหารในอดีต แต่กำลังจะกลายมาเป็นความจริงในปัจจุบัน ตามประวัติศาสตร์ ขงเบ้ง เป็นคนแรกๆที่ใช้การควบคุมดินฟ้าอากาศเพื่อการทหาร และตอนนี้รัฐบาลจีนกำลังดำเนินรอยตามแนวคิดนี้ครับ รัฐบาลจีนได้ตั้ง Weather Modification Office เพื่อทำวิจัยเรื่องการปรับเปลี่ยนดินฟ้าอากาศ ด้วยงบประมาณมหาศาล โดยมีพนักงานทั้งหมด 32,000 คนทั่วประเทศเพื่อภารกิจนี้โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นที่อิจฉาโดยนักอุตุนิยมวิทยาในประเทศอื่นๆ Bill Woodley นักอุตุนิยมวิทยาสังกัด องค์กรมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา หรือ NOAA กล่าวว่า "มีเรื่องอีกมากที่เรายังไม่รู้ครับ เมื่อเทียบกับจีนซึ่งอัดฉีดเงินลงมาเฉพาะในเรื่องของการสร้างฝนเทียมปีละไม่ต่ำกว่า 100 ล้านเหรียญ ทำให้พวกเราอายม้วนไปเลยครับ ตอนนี้ประเทศจีนเป็นศูนย์กลางของศาสตร์ด้านนี้ไปแล้วครับ"


(ภาพบนขวา - ขงเบ้งกำลังทำพิธีเรียกลม; ภาพล่างสุด - ความงดงามของเสียวเกี้ยว อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่โจโฉต้องกรีธาอภิมหาทัพเรือลงใต้ เพื่อมาแย่งชิงนาง)


09 พฤษภาคม 2552

แปลงฟ้าเป็นอาวุธ - Weaponizing Weather and Climate (ตอนที่ 2)



การเรียกลมเรียกฝน หรือเปลี่ยนดินฟ้าอากาศ ให้เป็นอาวุธเพื่อใช้จัดการกับศัตรูเป็นความฝันของกองทัพสหรัฐฯ มานานแล้ว ทั้งกองทัพบก กองทัพเรื่อ และกองทัพอากาศของอเมริกา ล้วนมีหน่วยงานวิจัยเกี่ยวกับสภาพอากาศด้วยกันทั้งนั้น

เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท Solaren แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ยื่นจดสิทธิบัตรเทคโนโลยีในการเปลี่ยนแปลงทิศทางของพายุเฮอริเคน หรือ แม้กระทั่งสร้างพายุเฮอริเคนขึ้นมา ด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จากแผงโซลาร์เซลล์ขนาดยักษ์ที่ล่องลอยอยู่ในวงโคจรของโลก ระบบของ Solaren นั้นสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ 1.5 กิกะวัตต์ โดยพลังงานนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นคลื่นไมโครเวฟ ที่มีความถี่ตรงกับระดับพลังงานในการหมุนของโมเลกุลน้ำ ซึ่งก็จะทำให้น้ำและไอน้ำในบรรยากาศดูดซับคลื่นนี้แล้วเกิดความร้อนขึ้น โดยคลื่นไมโครเวฟนี้จะถูกยิงจากดาวเทียมลงมายังชั้นบรรยากาศส่วนบนและส่วนกลางของพายุ ซึ่งจะทำให้มันสามารถที่จะหยุดหรือเปลี่ยนทิศทางของพายุได้ ซึ่งจริงๆแล้ว เทคโนโลยีที่สำคัญของสิทธิบัตรตัวนี้ก็คือ การบีมคลื่นไมโครเวฟลงมายังพื้นโลก ณ ตำแหน่งที่ต้องการ ดังนั้นในยามสงบ คลื่นนี้ก็สามารถบีมลงมาที่จานรับ เพื่อเปลี่ยนกลับมาเป็นพลังงานไฟฟ้าได้ เทคโนโลยีนี้จึงสามารถเป็นได้ทั้งอาวุธ และเป็นได้ทั้งโรงไฟฟ้าในวงโคจรของโลก Solaren มีแผนจะส่งดาวเทียมดวงนี้ขึ้นไปภายในปี ค.ศ. 2016 ซึ่งจะเริ่มผลิตพลังงานไฟฟ้าจากอวกาศจำนวน 200 เมกะวัตต์ ส่วนในเรื่องของการทหารนั้น ทาง Solaren กำลังรอการเจรจาจากกองทัพสหรัฐฯ ว่าสนใจที่จะนำไปใช้งานหรือไม่ เพราะมันสามารถใช้สร้างพายุเพื่อถล่มประเทศที่เป็นศัตรูของอเมริกาได้

22 เมษายน 2552

แปลงฟ้าเป็นอาวุธ - Weaponizing Weather and Climate (ตอนที่ 1)


ในภาพยนตร์เรื่อง X-Men หญิงสาวนัยตาเซ็กซี่ที่มีชื่อว่า "สตอร์ม" นั้น เธอมีความสามารถพิเศษ ที่สามารถจะเรียกพายุ ลม ฝน ฟ้าคะนอง มาได้ แม้ในขณะนั้นท้องฟ้าจะแจ่มใส แดดเปรี้ยงปร้างก็ตาม นี่คืออาวุธพิเศษของเธอซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งป้องกันตัว และทำลายศัตรูของเธอ ถ้าท่านผู้อ่านได้เคยชมละครช่อง 7 สีเรื่อง "ภูตแม่น้ำโขง" บ้าง คงจะเคยผ่านๆตา ถึงฉากที่นางภูตสามารถที่จะบันดาลให้ท้องฟ้าแปรปรวน และเปลี่ยนบรรยากาศเหนืออาณาบริเวณที่เธอมีอำนาจ ให้เกิดท้องฟ้ามืดครึ้ม นี่คือตัวอย่างโดยตรงของผู้ที่มีอำนาจในการแปลงฟ้าเป็นอาวุธ ในช่วงที่มีการชุมนุมของฝ่ายพันธมิตร และ กลุ่ม นปช. หน้าทำเนียบรัฐบาล นั้น เมื่อมีพายุฝนตกลงมาอย่างหนัก รัฐบาลมักจะถูกกล่าวหาจากทั้งฝ่ายเสื้อเหลือง และ เสื้อแดง ว่าทำฝนเทียมเพื่อให้ตกลงบริเวณที่มีการชุมนุม นั้นแสดงว่าฝ่ายกลาโหมของไทยก็มีแนวคิดในการแปรสภาพดินฟ้าอากาศเพื่อใช้ในเรื่องการทหารและความมั่นคงอยู่เหมือนกัน

ในอดีตนั้น กรุงศรีอยุธยาสามารถที่จะหลีกเลี่ยงการเสียกรุงหลายครั้ง เพราะอาศัยลมมรสุมที่นำฝนจำนวนมหาศาลมาท่วมที่ลุ่มภาคกลาง ทำให้กองทัพพม่าไม่สามารถที่จะตั้งค่ายล้อมกรุงเป็นเวลานานได้ ในช่วงก่อนเสียกรุงครั้งที่ 1 นั้น พม่าต้องเดินทางไปๆมาๆ อยู่หลายครั้ง จนพระเจ้าบุเรงนองต้องใช้กลวิธีในการยึดกรุงศรีอยุธยาอย่างชาญฉลาด ไม่สูญเสียเลือดเนื้อ หาไม่แล้ว พม่าต้องถอยกลับเพราะมรสุมกำลังมา ในช่วงก่อนกรุงแตกครั้งที่ 2 นั้นก็เช่นกัน พม่าต้องพ่ายถอยไปก่อนเพราะสภาพฟ้าฝนไม่อำนวย ก่อนจะกลับมาตีกรุงแตกได้ในวันสงกรานต์ ปี พ.ศ. 2310 ซึ่งหากในสมัยนั้น เรามีเทคโนโลยีที่จะเรียกฟ้าเรียกฝนได้ เราก็อาจจะไม่ต้องเสียกรุงก็ได้

จะเห็นได้ว่า แนวคิดในการนำฟ้าฝนมาใช้ในการทหารเกิดขึ้นมานานแล้วครับ กองทัพสหรัฐฯ มีการทำวิจัยลับเพื่อควบคุมดินฟ้าอากาศ เพื่อใช้ในการสงครามมาหลายสิบปีแล้ว ในรายงานฉบับหนึ่งของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่มีชื่อว่า AF 2025 นั้น ได้กล่าวถึงแนวคิดของอาวุธในอนาคต (ซึ่งก็คือการควบคุมดินฟ้าอากาศ) ไว้อย่างน่าสนใจว่า .....


"การเปลี่ยนแปลงดินฟ้าอากาศให้ได้ จะช่วยเสริมความมั่นคงให้แก่ประเทศของเรา ซึ่งเราสามารถจะใช้มันทั้งในการป้องกันตัวเอง และใช้เพื่อจู่โจมฝ่ายตรงข้าม หรือ แม้กระทั่งใช้เพื่อทำให้ฝ่ายตรงข้ามอ่อนเปลี้ยไปเอง เทคโนโลยีแปลงฟ้าเป็นอาวุธนี้มีความสามารถกว้างขวาง ตั้งแต่ การสร้างฝน หมอก พายุ การทำให้เกิดแผ่นดินไหว เป็นต้น ซึ่งก็จะเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้สหรัฐอเมริกามีขีดความสามารถในเรื่องความมั่นคงเหนือคู่แข่งทั้งมวล ......"

วันหลังมาคุยเรื่องนี้ต่อนะครับ ..........

20 พฤศจิกายน 2551

Geoengineering - อภิมหาโปรเจคต์ เปลี่ยนฟ้าแปลงโลก (ตอนที่ 8)

เรื่องของวิศวกรรมดาวเคราะห์ยังไม่จบนะครับ วันนี้ผมขอมาเล่าต่อ วิศวกรรมดาวเคราะห์เป็นศาสตร์ในการนำเอาเทคโนโลยีต่างๆ หลากหลายชนิดทั้ง ฟิสิกส์ โยธา อวกาศวิศวกรรมธรณี เคมี นาโนเทคโนโลยี พันธุวิศวกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ และอื่นๆ เข้ามาปรับเปลี่ยนคุณสมบัติของดาวเคราะห์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อจะทำให้ดาวเคราะห์เป้าหมายเหมาะที่สิ่งมีชีวิตจะอยู่ได้ โดยเฉพาะ ณ ขณะนี้เรากำลังประสบกับภาวะภูมิอากาศของโลกเปลี่ยนแปลง นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรจึงค้นหาเทคโนโลยีที่จะทำให้มนุษย์ใช้ชีวิตในโลกที่เปลี่ยนแปลงใบนี้ต่อไป


เมื่อตอนเด็กๆ ผมจำได้ว่าในการ์ตูนญี่ปุ่นมีการพูดถึงเมืองที่อยู่ในโดมกระจกที่สร้างขึ้นมา เพื่อปกป้องผู้อยู่อาศัยภายในให้รอดพ้นจากมลภาวะที่เลวร้าย โดมกระจกนี้ใหญ่มากจนสามารถบรรจุเมืองทั้งเมืองเข้าไปได้เลย มีผู้คนอยู่อาศัยในนั้นหลายแสนคนหรืออาจเป็นล้านๆ เลย ในสมัยนั้นถึงแม้เรื่องภาวะโลกร้อนยังไม่เป็นที่รู้จักกันเลยก็ตาม แต่ความคิดเกี่ยวกับเรื่องสภาพบรรยากาศที่ถูกทำลายจากสารพิษต่างๆ รวมทั้งฝุ่นนิวเคลียร์ ทำให้สถาปนิกเริ่มมีไอเดียในเรื่องดังกล่าว


ผ่านมาเกือบ 30 ปีนับตั้งแต่ผมได้เห็นจินตนาการเหล่านั้นในการ์ตูน สิ่งก่อสร้างใหญ่โตเหล่านั้นกำลังจะถูกทำให้เป็นความจริงขึ้นมาแล้วครับ
ที่สำคัญมันจะไม่เกิดเพียงหนึ่งหรือสองแห่ง แต่มันกำลังจะกลายเป็นกระแสที่บูมฮ็อตฮิต เพราะว่าด้วยสภาพภูมิอากาศของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้มนุษย์ไม่อยากทนทุกข์กับ ภาวะโลกร้อน วิธีการหนึ่งก็คือ การไปควบคุมสภาพภูมิอากาศให้เหมาะกับการอยู่อาศัยเสียเลย ด้วยการสร้างโดมใหญ่ๆ มาครอบคลุมตัวเอง คราวนี้อยากให้ฤดูกาลข้างในเป็นอย่างไรก็สามารถทำได้เลย ไม่ต้องไปรอหน้าร้อน หน้าหนาวเหมือนสมัยก่อน ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีการสร้างเมืองใหม่ที่มีชื่อว่า มาสดาร์ (Masdar City) ซึ่งเป็นเมืองพลังงานสะอาดที่สร้างขึ้นในทะเลทราย ทั้งๆ ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมัน แต่กลับอยากทำให้เมืองนี้ทั้งเมืองไม่ใช้น้ำมันเลย ในเดือนมกราคมปี พ.ศ. 2551 ประเทศนี้ได้ออกมาประกาศที่จะสร้างเมืองในฝันที่สามารถควบคุมสภาพภูมิอากาศได้ โดยมีที่ตั้งกลางทะเลทรายซึ่งจะใช้พื้นที่ขนาด 6 ตารางกิโลเมตร สามารถบรรจุประชากรได้ 50,000 คน และธุรกิจ 1,500 แห่ง เมืองนี้จะไม่ใช้น้ำมัน แต่เป็นพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากเซลล์สุริยะ โครงการในฝันที่กำลังเร่งสร้างให้ทันเปิดใช้ในปี พ.ศ. 2553 นี้ออกแบบโดยท่านลอร์ด นอร์แมน ฟอสเตอร์ (Norman Foster) นักออกแบบชาวอังกฤษที่เคยฝากผลงานการออกแบบสถาปัตยกรรมเลื่องชื่อ มากมายมาแล้วทั่วโลก เมืองนี้จะไม่มีรถราที่ใช้น้ำมันมาวิ่งให้กวนใจ ประชากรจะใช้รถไฟฟ้าแบบรางเบาที่เชื่อมโยงทั้งเมือง หรืออาจจะใช้สิ่งที่เรียกว่ากระสวยขับเอง (Automated Transport Pod) ที่วิ่งอัตโนมัติจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง ทุกๆจุดในเมืองจะถูกออกแบบให้อยู่ห่างจากจุดขึ้นรถสาธารณะไม่เกิน 200 เมตร เมืองนี้จะถูกเชื่อมโยงกับอาบูดาบี ซึ่งเป็นเมืองหลวงด้วยรถไฟความเร็วสูง ในเรื่องของการกำจัดขยะนั้น เมืองจะถูกออกแบบให้ 99% ของขยะถูกจัดการให้นำกลับมาใช้ใหม่ รวมไปถึงน้ำด้วย ความเจ๋งของเมืองนี้ทำให้ผู้ออกแบบถึงกับบ่นออกมาว่า "ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็พึ่งพาน้ำมันเต็มๆตัว ไม่คิดถึงการทำอะไรแบบนี้ ทำไมประเทศยุโรปที่มีทั้งพื้นฐานทางปัญญาและทรัพยากรที่แข็งแกร่งไม่สามารถที่จะริเริ่มเมืองแบบนี้ ผมถามตัวเองอยู่บ่อยๆว่า ทำไมโครงการแบบนี้ที่พร้อมจะเกิดขึ้นที่ไหนในโลกก็ได้ที่มีความก้าวหน้าสูง กลับมาเกิดขึ้นที่นี่ ........"



อีกโครงการยิ่งใหญ่ก็คือ Kazakhstan's Pleasure Dome หรืออีกชื่อหนึ่งว่า Khan Shatyry Entertainment Center ในประเทศคาซัคสถาน ซึ่งมีรูปร่างเหมือนเต้นท์สูงครอบคลุมอาณาบริเวณ 100,000 ตารางเมตร โดมกระจกแห่งนี้จริงๆ ก็ไม่ได้ทำด้วยกระจกหรอกครับ แต่เป็นพลาสติกชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Ethylene tetrafluoroethylene (ETFE) เป็นพลาสติกใสที่ทนทานต่อการกัดกร่อน และการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ภายในโดมมีทั้งสนามกอล์ฟ สระว่ายน้ำ ชายหาด สวนน้ำเล่นคลื่น ร้านค้ากว่า 250 ร้าน โรงภาพยนตร์ โดมอันยิ่งใหญ่แห่งนี้จะทำให้ประชากรของคาซัคสถาน สามารถมาเที่ยวชมเพื่อรับบรรยากาศทะเลของภูเก็ตแบบไม่ต้องบินมาจริงๆ ได้ตลอดปี ทั้งๆที่อากาศข้างนอกอาจหนาวถึง -35 องศาเซลเซียส


โครงการที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันอีกโครงการหนึ่งก็คือ รีสอร์ทสกีในร่ม (Indoor Ski Resort) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจะทำให้การเล่นสกีสามารถทำได้ทุกฤดูกาล ไม่ต้องกังวลกับความหนาของหิมะที่ลดลงทุกปีๆ ของถิ่นสกีในเทือกเขาแอลป์อีกต่อไป ภูเขาสกีเทียมลูกนี้มีความสูงเท่ากับตึก 35 ชั้น และจะสร้างขึ้นที่ Long Island ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะใช้เงินลงทุนประมาณ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในบริเวณใกล้กันจะมีกลุ่มของโรงแรมและรีสอร์ท สวนน้ำ ศูนย์ประชุม โรงไวน์ สวนแคมปิ้ง สปา ทะเลสาบ และสวนพฤกษศาสตร์ คาดว่าโครงการนี้จะทยอยเปิดใช้บางส่วนในปี ค.ศ. 2013 โดยโครงการเต็มรูปแบบจะใช้เวลาก่อสร้างทั้งหมด 10 ปี

15 กันยายน 2551

Geoengineering - อภิมหาโปรเจคต์ เปลี่ยนฟ้าแปลงโลก (ตอนที่ 7)


ภาวะโลกร้อนทำให้เกิดสภาพอากาศที่มนุษย์ไม่ต้องการ แต่เทคโนโลยีในอนาคตจะทำให้เราสามารถเปลี่ยนท้องฟ้าได้ เช่น ทำให้มีเมฆบังแสง หยุดหรือเปลี่ยนทิศทางพายุไต้ฝุ่น ศาสตราจารย์จอห์น ลาธาม (John Latham) นักฟิสิกส์บรรยากาศแห่งมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ได้เสนอให้สร้างเมฆบางๆ ที่ไม่ทำให้เกิดฝนแต่สามารถสะท้อนแสงอาฑิตย์ได้ดี ด้วยการสเปรย์อนุภาคเล็กๆของน้ำทะเลขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศ ซึ่งจะทำให้เกิดเมฆบางๆ เขาและทีมงานได้ออกแบบเรือที่สามารถขับได้เองโดยไม่ต้องใช้มนุษย์ และใช้พลังงานลมในการขับเคลื่อน ซึ่งจะไปหมุนโรเตอร์ที่มีลักษณะคล้ายปล่องเพื่อสเปรย์อนุภาคของน้ำทะเลขึ้นไป ทั้งนี้เราสามารถปล่อยเรือเหล่านี้ให้ลอยไปในมหาสมุทรโดยที่สามารถควบคุมได้จากระยะไกล ศาสตราจารย์ลาธามประมาณว่าใช้เรือเพียง 1,000 ลำก็เพียงพอที่จะทำให้โครงการนี้ได้ผล เขามั่นใจว่าโครงการนี้เป็นมิตรกับสภาพแวดล้อมเนื่องจากไม่ได้ใช้พลังงานจากฟอสซิล วัตถุดิบมีเพียงชนิดเดียวคือน้ำทะเล เขาเชื่อว่าวิธีการนี้ดีกว่าวิธีการอื่นตรงที่สามารถควบคุมได้ โดยการอาศัยข้อมูลจากดาวเทียม และการโมเดลด้วยคอมพิวเตอร์ หากมีเมฆมากเกินไปจนอาจทำให้โลกเย็นเกินไป ก็สามารถตัดการทำงานของเรือกำเนิดเมฆ ภายในเวลาไม่กี่วันสภาวะอากาศก็จะกลับสู่ปรกติอีกครั้ง


อีกแนวคิดของการทำวิศวกรรมดาวเคราะห์ที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชากรโลก จากพายุรุนแรงทั้งเฮอริเคน ไต้ฝุ่น ไซโคลน ที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ก็คือการไปหยุดพายุหรือดัดแปลงทิศทางการเคลื่อนที่ของพายุ ในขณะนี้นาซ่าได้ให้เงินสนับสนุนโครงการวิจัยเพื่อที่จะควบคุมพายุ ผลเบื้องต้นจากการจำลองคอมพิวเตอร์นั้นพบว่า พายุขนาดใหญ่นั้นมีความอ่อนไหวกับปัจจัยแวดล้อมเล็กๆ มาก เช่น อัตราการระเหยของน้ำ อุณหภูมิและความชื้นบริเวณตาพายุ รวมไปถึงบริเวณข้างเคียง ทางทีมวิจัยได้เสนอแนวทางในการหยุดหรือเปลี่ยนทิศทางของพายุด้วยการนำเครื่องบินเข้าไปโรยอนุภาคซิลเวอร์ไอโอไดด์หรือสารก่อตัวของเม็ดฝนลงไปที่ตาพายุ เพื่อให้มีการสูญเสียน้ำที่ตาพายุ จะทำให้พายุอ่อนแรงลง การราดน้ำมันที่ย่อยสลายได้บนพื้นผิวของมหาสมุทรในทิศทางที่พายุกำลังเคลื่อนตัว เพื่อให้ฟิล์มน้ำมันเคลือบผิวของน้ำไว้ทำให้มีการระเหยของน้ำลดลง จนทำให้ลมพายุอ่อนแรงลง อีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจก็คือการใช้ดาวเทียมยิงคลื่นไมโครเวฟลงมาที่บริเวณพายุเพื่อทำให้โมเลกุลน้ำในอากาศเกิดการสั่นอย่างรุนแรงและไปเพิ่มอุณหภูมิของอากาศ ทำให้สามารถดัดแปลงทิศทางของพายุได้ วิธีหลังนี้ผมเคยเห็นในภาพยนตร์เรื่องหนึ่งครับ ซึ่งอาชญากรได้เข้ายึดดาวเทียมดวงนี้เพื่อสร้างพายุเข้าถล่มชายฝั่งสหรัฐฯ แลกกับเงินที่รัฐบาลจะจ่ายให้พวกเขา

17 สิงหาคม 2551

Geoengineering - อภิมหาโปรเจคต์ เปลี่ยนฟ้าแปลงโลก (ตอนที่ 5)


วิศวกรรมดาวเคราะห์ หรือ Geoengineering กำลังจะกลายมาเป็นศาสตร์ที่จะเปลี่ยนแปลงโลก และการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใดๆ ที่กระทำโดยสิ่งมีชีวิตจะยิ่งใหญ่เท่านี้อีกแล้ว เพราะมันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงโลก เพื่อให้หลุดพ้นจาก Global Warming วันนี้ผมจะมาเล่าต่อให้ฟังครับ ถึงยาอีกขนานหนึ่งที่ถูกเสนอขึ้นมาเพื่อแก้อาการโรค (โลก) ร้อน นั่นคือการปลูกป่าในทะเล


จริงๆแล้ว ทะเลก็เหมือนป่าเพราะมีสิ่งมีชีวิตจำพวกไฟโตแพล็งตอน ซึ่งกระบวนการสังเคราะห์แสงของพวกมันจะดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศเข้าไปไว้ในตัวของมัน ในขณะที่ส่วนหนึ่งของพวกมันเป็นอาหารแก่ กุ้งหอยปูปลา ส่วนที่เหลือของมันจะจมลงสู่ก้นบึ้งของทะเลแล้วฝังอยู่ที่นั่นตลอดกาล แพล็งตอนเหล่านี้สามารถเจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้นเมื่อมีความเข้มข้นของไอออนโลหะเหล็กในน้ำทะเล จึงมีผู้เสนอไอเดียให้นำสารละลายเหล็กออกไซด์ไปปล่อยในทะเล โดยใช้เรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ โดยปรกตินั้น แพล็งตอนเหล่านี้ก็ได้สารละลายเหล็กจากตะกอนต่างๆ ที่ถูกพัดพามาจากแม่น้ำ ไหลลงสู่ทะเล และจากอนุภาคทรายที่ถูกพัดพามากับลมจากทะเลทรายต่างๆ อยู่แล้ว การนำสารละลายนี้ไปปล่อยลงทะเลด้วยเรือขนาดใหญ่ จะช่วยเร่งให้สิ่งมีชีวิตเหล่านี้เติบโตได้ดีและดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นยาลดไข้โลกร้อนที่ไม่เลวเลย เพราะในอดีตที่ผ่านมานั้นมีหลักฐานที่ชี้ชัดว่าแพล็งตอนเหล่านี้ซึ่งได้รับปุ๋ยเหล็กจำนวนมากจากการขยายตัวของทะเลทราย ได้เจริญเติบโตอย่างมากในช่วงยุคน้ำแข็งที่ผ่านมา ซึ่งก็อาจเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ยุคน้ำแข็งเกิดขึ้นค่อนข้างยาว อย่างไรก็ตามยาแก้โลกร้อนตามวิธีนี้ ก็ต้องมีการศึกษาอย่างรอบคอบว่า ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกดูดซับมากขึ้น จะไม่ไปทำให้ระบบนิเวศน์ในทะเลถูกรบกวนจนเกิดความเสียหาย

30 กรกฎาคม 2551

Geoengineering - อภิมหาโปรเจคต์ เปลี่ยนฟ้าแปลงโลก (ตอนที่ 4)


ก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปลดปล่อยออกมาหลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมตลอด 200 ปีที่ผ่านมานั้น เกิดขึ้นจากการที่มนุษย์เอาแหล่งคาร์บอนที่สะสมอยู่ใต้แผ่นดินออกมาเผาผลาญเพื่อผลิตพลังงาน ในเมื่อเรานำเอาคาร์บอนจากใต้ดินมาใช้ ทำไมเราถึงไม่อัดคาร์บอนไดออกไซด์ที่เหลือจากการเผาผลาญนั้น กลับไปอยู่ใต้โลกเหมือนเดิม ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่แค่แนวคิดหรือนิยายวิทยาศาสตร์หรอกครับ บริษัทสไลป์เนอร์ (Sleipner) แห่งนอร์เวย์ได้ดำเนินการปั๊มคาร์บอนไดออกไซด์กลับลงไปเก็บใต้ผิวโลกลึกลงไปกว่า 1 กิโลเมตร จำนวนกว่า 20,000 ตันทุกๆสัปดาห์ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1996 แล้ว ซึ่งก็นับว่าคุ้มเพราะที่ประเทศนอร์เวย์นั้น ผู้ที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศจะต้องเสียภาษี 50 เหรียญสหรัฐทุกๆ 1 ตัน ตอนนี้แหล่งขุดเจาะก๊าซธรรมชาติหลายๆแหล่งทั่วโลก ต่างก็สนใจที่จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งก๊าซในทะเลจีนใต้ ออสเตรเลีย อลาสก้า เป็นต้น คาร์บอนไดออกไซด์สามารถที่จะอัดลงไปทั้งใต้ดิน ไปเก็บในเหมืองถ่านหินที่ปิดแล้ว แหล่งแร่ใต้ดินที่เลิกใช้ แหล่งน้ำมันและก๊าซที่ดูดออกมาหมดแล้ว


อีกวิธีหนึ่งทำได้โดยการเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ใต้ท้องทะเล จะว่าไปศักยภาพของมหาสมุทรในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์นั้นมีสูงมาก ปัจจุบันนี้มหาสมุทรก็เก็บคาร์บอนไว้แล้วถึง 40,000 พันล้านตัน ในขณะที่ชั้นบรรยากาศเก็บคาร์บอนไว้เพียง 750 พันล้านตันเท่านั้น เราสามารถนำคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีทั้งหมดในชั้นบรรยากาศตอนนี้ ฝังไว้ในทะเลได้อย่างไม่มีปัญหาเลย วิธีการนั้นก็มีได้หลายวิธีด้วยกัน เช่น การปั๊มคาร์บอนไดออกไซด์ลงไปใต้ทะเลลึก 3 กิโลเมตร ซึ่งภายใต้ความดันขนานนั้น คาร์บอนไดออกไซด์จะอยู่ในรูปของเหลวที่จมดิ่งที่ท้องทะเล ซึ่งจะอยู่ได้หลายพันปี เทคโนโลยีอื่นๆ เช่นการปั๊มก๊าซลงไปปล่อยใต้ทะเลในระยะที่ไม่ลึกมากนัก เช่นสักไม่เกิน 1000 เมตร ก็สามารถทำได้ แต่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะมีโอกาสปลดปล่อยกลับสู่ชั้นบรรยากาศได้

24 กรกฎาคม 2551

Plant Intelligence - ต้นไม้ไม่ได้โง่ (ตอนที่ 1)


เมื่อตอนผมเป็นเด็ก ผู้ใหญ่เคยสอนเราว่าการฆ่าสัตว์เป็นบาป ผมเคยถามกลับไปว่าแล้วตัดต้นไม้ล่ะ บาปมั้ย ผู้ใหญ่ตอบว่าไม่ ผมถามอีกว่าทำไม พวกเขาตอบว่าเพราะต้นไม้มันไม่มีวิญญาณ ผมถามต่ออีกว่ารู้ได้ยังไง พวกเขาไล่ให้ผมไปไกลๆ ซึ่งผมก็ได้ฝังใจตั้งแต่นั้นมาว่า ต้นไม้ไม่มีวิญญาณ ไม่มีจิตใจ แต่พวกมันมีชีวิต แต่เมื่อไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบหลักฐานหลายๆอย่าง ต้นไม้ไม่ได้โง่อย่างที่พวกเราเคยคิดกันแล้วล่ะครับ มันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ผ่านกลไกทางกลิ่น หรือ โมเลกุลเคมี ซึ่งก็ยังไม่ทราบแน่ชัดนักว่าทำงานอย่างไร เมื่อเร็วๆนี้ได้มีรายงานในวารสาร Proceedings of the National Academy of Science (PNAS) ฉบับวันที่ 6 พฤษภาคม 2551 ถึงกับว่าต้นไม้สามารถควบคุมอากาศเองได้ โดยนักวิจัยที่ Scottish Association for Marine Science ได้ร่วมกับ University of Manchester ได้ศึกษาพบว่าพืชทะเลจำพวกหญ้าทะเล ที่อยู่รวมกันจำนวนมากๆ นั้น มีความสามารถในการสร้างวันที่มีเมฆมากให้แก่ชายทะเลที่มันอยู่อาศัย ที่มันชอบทำอย่างนั้น เพราะวันที่มีเมฆมากทำให้พวกมันอยู่กันอย่างสบายไม่ร้อนเกินไป เพราะหากมีแสงแดดส่องมากเกินไป พวกมันจะเสียความชื้น และรู้สึกเครียด ซึ่งพวกมันจะช่วยกันปล่อยแอโรซอลของไอโอไดด์ ซึ่งจะลอยขึ้นไปช่วยในการก่อตัวของไอน้ำให้เป็นเมฆ เหนือสถานที่ที่มันอาศัย ฟังแล้วก็อึ้งนะครับ วันหลังผมจะกลับมาเล่าถึงความฉลาดของพืชอีกนะครับ .......