แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ OLED แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ OLED แสดงบทความทั้งหมด

05 กันยายน 2552

OLED Notebook ออกขายในปี 2010


วันนี้ผมมีข่าวความก้าวหน้าในวงการ จอแสดงผลแบบอินทรีย์ (Organic Light Emitting Device หรือ OLED) มาฝากกันครับ ท่านผู้อ่านคงจะเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับจอภาพแบบ OLED มาบ้าง จอภาพที่ใช้ๆ กันอยู่ในปัจจุบันนั้นมี 4 แบบครับคือ (1) จอภาพแบบ CRT (Cathode Ray Tube) ซึ่งก็คือจอภาพแบบเก่าที่มีตูดหนาๆ นั่นแหล่ะครับ จอภาพแบบนี้ใช้การบังคับลำอิเล็กตรอนให้ยิงไปกระทบฉากเรืองแสง (2) จอภาพแบบพลาสมา ซึ่งใช้การปลดปล่อยแสง UV จากพลาสมาให้มากระทบฉากเรืองแสง (3) จอภาพ LCD เป็นการบังคับโมเลกุลผลึกเหลวให้หันไปตามทิศทางต่างๆ เพื่อให้แสงฉากหลังหลุดออกมา หรือ ไม่หลุดออกมา (4) จอภาพ OLED เป็นการเปล่งแสงโดยตรงออกมาจากโมเลกุลเปล่งแสง ที่อยู่ภายใต้สนามไฟฟ้า

จากเทคโนโลยีทั้ง 4 แบบนี้ มีเทคโนโลยี OLED เท่านั้นที่มีการเปล่งแสงออกมาจากแหล่งกำเนิดโดยตรง ส่วนเทคโนโลยีอื่นๆ ใช้การเรืองแสง หรือไม่ก็เป็นการบังหรือปล่อยแสงบางสีออกมา เพื่อมาผสมกันทำให้เกิดภาพต่างๆ เทคโนโลยี OLED จึงให้สีที่สว่างที่สุด สมจริงที่สุด สวยที่สุด และประหยัดพลังงานที่สุดครับ
เมื่อเร็วๆ นี้เอง บริษัท Samsung ได้ออกมาประกาศว่าจะทำตลาดเครื่องคอมพิวเตอร์ Notebook ที่ใช้จอภาพ OLED ประมาณปลายปี 2010 ครับ นักวิเคราะห์คาดว่า OLED จะกลายมาเป็นจอภาพมาตรฐานสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ Notebook ในไม่ช้า (คาดว่าประมาณไม่เกิน 5 ปี)

31 ธันวาคม 2551

Bionic Contact Lens - จอแสดงผลแบบคอนแท็คเลนส์


สวัสดีปีใหม่ 2552 ครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ขออำนาจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โปรดดลบันดาลให้ท่านผู้อ่านมีความสุขตลอดปีและตลอดไปนะครับ ผมก็จะทำหน้าที่นำเรื่องราว ข่าวคราวความก้าวหน้าในวงการวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ที่ล้ำๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชีวิตอนาคตของพวกเรา มาเล่าให้ฟังเรื่อยๆครับ

วันนี้ผมขอต่อเนื่องเรื่องราวของ Bionics หรือ ศาสตร์แห่งอวัยวะกลมาเล่าต่ออีกครับ คราวนี้เป็นเรื่องของ Bionic Contact Lens หรือ จอแสดงผลแบบคอนแท็คเลนส์ ซึ่งเป็นคอนแท็คเลนส์ที่มีวงจรอิเล็กทรอนิกส์ภายใน เมื่อสวมใส่แล้วจะแสดงผลออกมาให้ผู้สวมใส่มองเห็นภาพที่สร้างขึ้นมา ลอยผสมอยู่กับภาพของวัตถุจริง ซึ่งเราอาจจะให้จอภาพเล็กๆนี้แสดงผลข้อมูลต่างๆ เช่น ขณะขับรถก็มีข้อมูลทิศทางต่างๆขึ้นมาช่วยเหลือ ทหารสามารถรับข้อมูลการรบต่างๆ เช่น เป้าหมาย กับระเบิด ทิศทางการยิง เป็นต้น ต้นแบบแรกที่ University of Washington สร้างขึ้นมานี้ใช้วิธีการทางนาโนในการประกอบเลนส์ที่มีวงจรอิเล็กทรอนิกส์ของ LED (Light Emitting Diode) เพื่อใช้เปล่งแสงออกมาแสดงผล บนฐานรองพลาสติกซึ่งยืดหยุ่นได้ และมีความเข้ากันได้ทางชีวภาพเพื่อไม่ให้ดวงตาของผู้สวมใส่เกิดการต่อต้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ Babak Parviz ผู้ประดิษฐ์คอนแท็คเลนส์อัจฉริยะนี้กล่าวว่า "ต่อไปเราจะเพิ่มวงจรเพื่อทำให้มันสามารถส่งและรับข้อมูลไร้สายได้ครับ ผมหวังด้วยว่าเราจะสามารถทำให้เลนส์นี้ทำงานโดยการเก็บเกี่ยวพลังงานจากคลื่นวิทยุ และเซลล์สุริยะบนผิวเลนส์"

เรื่องเกี่ยวกับ Bionics เจ๋งๆ ยังมีอีกครับ ปีหน้าผมจะนำมาเล่าให้ฟังอีกเรื่อยๆ สลับกับเรื่องอื่นๆที่เป็นแนวโน้มใหม่ของโลกครับ ... สุขสันต์วันปีใหม่ครับ ................

29 กันยายน 2551

Entertainment Science - วิทยาศาสตร์การบันเทิง


คืนนี้ผมจะบินไปโตเกียวครับ ไปอยู่ที่ญี่ปุ่นจนถึงวันที่ 14 ตุลาคม ถึงจะกลับเมืองไทยครับ ยังไงก็ยังคงอัพเดต Blog มาเรื่อยๆ ได้ครับ เพราะที่พักมีอินเตอร์เน็ตใช้งานค่อนข้างสะดวก ไปญี่ปุ่นครั้งนี้ผมจะไปนั่งทำงานและดูงานที่ Tokyo Polytechnic University ซึ่งตั้งอยู่ที่เมือง Atsugi ชานกรุงโตเกียวครับ นั่งรถไฟออกจากสถานีชินจูกุมาแค่ 50 นาทีเท่านั้นเองครับ มหาวิทยาลัยแห่งนี้เขามีหัวข้อวิจัยที่น่าสนใจออกไปทาง วิทยาศาสตร์การบันเทิงครับ ซึ่งแคมปัสที่เมือง Atsugi นี้เขามีแค่ 2 คณะวิชาเอง คือ คณะวิศวกรรมศาสตร์ กับ คณะศิลปศาสตร์ แต่เขามีความชำนาญทางด้านการทำสื่อบันเทิง ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ เขามีศูนย์วิจัยที่น่าสนใจคือ Center of Hypermedia Research ซึ่งผมจะไปอยู่ศึกษางานครับ แล้วก็ Center of Nanoscience and Technology ส่วนที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ เขามีศูนย์วิจัยที่น่าสนใจก็คือ สถาบันการ์ตูน ครับ ซึ่งเขาวิจัยและพัฒนาเรื่องของการ์ตูนและอะนิเมชั่นอย่างเข้มข้น ที่นี่เขาทำงานวิจัยกันอย่างค่อนข้างบูรณาการ คือหัวข้อที่วิจัยมีการเชื่อมโยงกันหมด โดยเน้นเอกลักษณ์ที่การบันเทิงด้วยการใช้สื่อ เช่น หุ่นยนต์ การ์ตูน OLED (Organic Light-emitting Devices) วัสดุศาสตร์สำหรับการบันเทิง เกมส์ อุปกรณ์โทรคมนาคม เป็นต้น จะเห็นได้ว่าวิทยาศาสตร์ในช่วงหลังๆก็เริ่มจะโน้มเอียงเข้าหาศิลปศาสตร์แล้วนะครับ ไปครั้งนี้ผมกะว่าจะหาแนวทางในการนำเทคโนโลยีที่พัฒนาในแล็ป ซึ่งก็มี Solar Cell, OLED, Electronic Nose, Smart Farm, Chemical Sensor ออกไปใช้เพื่อการท่องเที่ยวและบันเทิงบ้างครับ

06 กันยายน 2551

ผนังโซลาร์เซลล์เปล่งแสง - เมื่อ Art กับ Technology มาแต่งงานกัน


ท่านผู้อ่านที่ได้ชมการถ่ายทอดพิธีเปิด-ปิด กีฬาโอลิมปิกปักกิ่ง 2008 คงจะจดจำภาพแห่งความประทับใจทั้งหลาย ที่ทางเจ้าภาพได้คัดสรรมานำเสนอ ที่แปลกใหม่และโดดเด่นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาก็คือ เทคนิคทางด้านแสง ซึ่งมีการนำเอาเทคโนโลยี LED ในรูปแบบต่างๆ มาใช้มากมาย ที่เรียกว่า Ambient Lighting หรือ การส่องสว่างแบบมีชีวิตชีวา ซึ่งหากเพิ่มความสามารถทางด้านเซ็นเซอร์เข้าไปก็จะกลายเป็นศาสตร์ที่เรียกว่า Ambient Intelligence หรือ สภาพล้อมรอบอัจฉริยะ ซึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งยุโรปอย่าง Philips-Ostam ให้ความสำคัญและทุ่มงบวิจัยลงไปเป็นเม็ดเงินมหาศาล แต่นึกไม่ถึงครับว่า ตลาดโลกกลับอาจจะได้ใช้เทคโนโลยีนี้จากประเทศจีนแทน

ก่อนโอลิมปิกจะเริ่มไม่กี่เดือนครับ จีนได้เปิดตัวจอแสดงผลขนาดใหญ่ที่ผนึกลงไปเป็นชิ้นเดียวกับกระจกหน้าต่างของอาคารแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า Xicui Entertainment Complex ซึ่งอาคารแห่งนี้ก็มีที่ตั้งใกล้กับสถานที่แข่งขันโอลิมปิกเลยครับ ที่สำคัญผนังจอแสดงผลที่มีขนาดใหญ่กว่าตึก 7 ชั้นนี้ไม่ได้ใช้กระแสไฟฟ้าจากการไฟฟ้าปักกิ่งเลยครับ แต่กลับใช้ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากเซลล์แสงอาฑิตย์ ซึ่งก็ผนึกอยู่ในกระจกหน้าต่างชิ้นเดียวกับที่มีการฝัง LED ที่ทำเป็นจอแสดงผลด้วย กระจกหน้าต่างของอาคารแห่งนี้ในช่วงกลางวันจะทำหน้าที่เป็น Solar Cell เพื่อเก็บพลังงานแสงอาฑิตย์ชาร์จเก็บไว้ในแบตเตอรี โซลาร์เซลล์ที่ผนึกในกระจกนี้ได้ถูกออกแบบอย่างฉลาดให้มีความหนาแน่นแตกต่างกันไป ตามลักษณะของห้องทำงานข้างใน บางห้องต้องการแสงในตอนกลางวัน ก็จะอนุญาตให้แสงผ่านเข้าไปได้เยอะ เพื่อไม่ให้ต้องใช้ไฟฟ้าเพื่อเปิดแสงสว่าง แต่ห้องไหนที่ไม่ต้องการแสงมาก กระจกหน้าต่างก็จะมีความหนาแน่นของ Solar Cell มากหน่อย ในตอนกลางคืนไฟฟ้าในแบตเตอรี ก็จะถูกนำออกมาใช้ เพื่อทำให้จอแสดงผลทำงาน ส่องเป็นไฟแสงสีต่างๆ ท่านผู้อ่านครับ ..... ศตวรรษที่ 21 เป็นเรื่องของการผสมผสานเทคโนโลยีกับศิลปศาสตร์ครับ เป็นศตวรรษที่ศาสตร์ของวัตถุ กับ ศาสตร์ของจิตใจ กำลังจะมาบรรจบครับ .........

23 กุมภาพันธ์ 2551

Plastic Electronics กับประเทศไทย - ตอนที่ 2


ปัจจุบันตลาดของอินทรีย์อิเล็กทรอนิกส์ มีจอแสดงผล OLED เป็นผลิตภัณฑ์หลักที่ได้รับความนิยมและเป็นตัวขับเคลื่อนอุตสาหกรรมนี้ ทั้งนี้เพราะจอแสดงผล OLED (Organic Light Emitting Diodes) สามารถนำมาใช้งานกับผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆ ได้มากมายไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ โทรศัพท์เคลื่อนที่ กล้องถ่ายรูป เป็นต้น อีกทั้งจอแสดงผล OLED มีคุณสมบัติที่มีความยืดหยุ่นได้คือ เมื่อทำจอตกจะไม่แตก นอกจากนี้ยังประหยัดพลังงานอีกด้วย แต่ในอนาคตตั้งแต่ปี พ.ศ.2555 (ค.ศ.2012) เป็นต้นไป ทางประธานสมาคม Organic Electronics Association มีความเห็นว่า ผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นๆ จะเข้ามาสู่ตลาดแทนที่จอแสดงผล OLED เช่น ผลิตภัณฑ์ประเภท Logic, Memory และ OLED-lighting


โดยการพยากรณ์มูลค่าตลาดของอุตสาหกรรมพลาสติกอิเล็กทรอนิกส์ในปี พ.ศ.2553 (ค.ศ.2010) พบว่า จะมีมูลค่าตลาดถึง 4.75 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งแนวโน้มการใช้งานเทคโนโลยีพลาสติกอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลกสำหรับปีดังกล่าว จะมีรายละเอียดดังนี้
  1. OLED Displays and Lightings มีแนวโน้มการใช้งานสูงที่สุดเนื่องจากเป็นผลต่อเนื่องของการเจริญเติบโตของตลาดจอแสดงผล OLED โดยมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 57
  2. Non-emissive displays มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 12
  3. Sensors คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 11
  4. Logic/ Memory คิดเป็นร้อยละ 8
  5. Photovoltaics คิดเป็นร้อยละ 7
  6. อื่นๆ มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 5
ในขณะที่อีก 10 ปีข้างหน้าหรือ ปี พ.ศ.2563 (ค.ศ.2020) บริษัทวิจัย IDTechEx ได้คาดการณ์ว่าแนวโน้มการใช้งานเทคโนโลยีพลาสติกอิเล็กทรอนิกส์จะเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งมีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันกับประธานสมาคม Organic Electronics Association ที่ว่า Logic/Memory จะเข้ามาแทนที่จอแสดงผล OLED โดยในปีนั้น Logic/Memory จะเข้ามามีสัดส่วนที่สูงที่สุดของตลาดพลาสติกอิเล็กทรอนิกส์ของโลก คิดเป็นร้อยละ 32 หรือมีมูลค่า30 พันล้านเหรียญสหรัฐ รองลงมาเป็น Display คิดเป็นร้อยละ 20 หรือมีมูลค่า 20 พันล้านเหรียญสหรัฐ และผลิตภัณฑ์ประเภท Power มีมูลค่า 15.2 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็นร้อยละ 16 ทั้งนี้มูลค่าตลาดทั้งหมดของอุตสาหกรรมพลาสติกอิเล็กทรอนิกส์ในปีนั้นจะมีมูลค่าถึง 96 พันล้านเหรียญสหรัฐ

(ภาพด้านบน - แบตเตอรีพลาสติกยืดหยุ่นได้ ผลงานของนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่น)

03 พฤศจิกายน 2550

หลอดไฟเวอร์ชั่น 2.0 - The Lamp version 2.0



ในช่วงงานประชุม The 3rd Global Plastic Electronics Conference & Showcase ระหว่างวันที่ 29-30 ตุลาคม 2550 ซึ่งเป็นงานรวมตัวของนักอุตสาหกรรมพลาสติกอิเล็กทรอนิกส์ ครั้งสำคัญของโลกนั้น ผลิตภัณฑ์หนึ่งที่ได้รับการกล่าวขานกันมาก ก็คือ อุปกรณ์อินทรีย์เปล่งแสง (Organic Light Emitting Device หรือ OLED) ซึ่งอาศัยหลักการเปล่งแสงของวัสดุกึ่งตัวนำไฟฟ้าที่เป็นโมเลกุลอินทรีย์ ซึ่งเมื่อผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไป มันจะเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าให้เป็นพลังงานแสง ทำให้สามารถเปล่งแสงออกมาเป็นสีต่างๆได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะโครงสร้างทางเคมีของโมเลกุล ซึ่งเราสามารถวิศวกรรมสี (Color Engineering) ได้ว่าจะให้เป็นสีอะไร โดยการปรับโครงสร้างของโมเลกุล OLED สามารถเปล่งแสงออกมาได้เอง ต่างจากเทคโนโลยี LCD ที่ต้องอาศัยแสงจากฉากหลัง (Back Light) เพื่อการแสดงผล เทคโนโลยี OLED สามารถนำไปสร้างอุปกรณ์แสดงผลได้หลากหลาย เช่น แผ่นแสดงผลแบบยืดหยุ่น (Flexible Display) แผ่นแสดงผลแบบม้วนได้ (Rollable Display) แผ่นแสดงผลแบบโค้งงอได้ (Foldable Display) เป็นต้น ทำให้มีความเป็นไปได้ในการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น จอแสดงผลบนตัวสินค้า จอแสดงผลบนเสื้อผ้า โทรศัพท์ม้วนเก็บได้ วอลล์เปเปอร์แสดงผล จอแสดงผลบนกระจกรถยนต์ ฟิล์มแสดงผลที่สามารถเอาไปแปะลงบนวัสดุต่างๆ ได้ และอื่นๆอีก


อุปกรณ์แสดงผลหรือ Display ไม่ใช่เรื่องเจ๋งๆ เรื่องเดียวของ OLED นะครับ จริงๆ แล้ว สิ่งที่ยิ่งใหญ่พอๆกัน หรืออาจจะยิ่งใหญ่กว่าก็คือ อุปกรณ์ให้แสงสว่าง (Lighting) ที่เราคุ้นเคยกันก็คือ หลอดไฟนั่นเอง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เก่าแก่มากๆ แต่เทคโนโลยี OLED จะปฏิวัติวงการนี้ในอีกไม่นานนี่แล้วครับ พวกเราจะเป็นมนุษย์กลุ่มสุดท้ายที่ใช้คำว่า "หลอดไฟ" ต่อไปคำใหม่อย่าง "แผ่นไฟ" (Flat Lamp) จะเข้ามาแทนที่ครับ ตอนนี้บริษัทออสแรม ยักษ์ใหญ่ของวงการหลอดไฟกำลังทุ่มเทพัฒนากระบวนการผลิต เทคโนโลยีน่ะมีแล้ว แต่ต้องทำให้ถูกลงมาแข่งกับเจ้าหลอดไฟให้ได้ โดยอียูเขาได้ให้เงินสนับสนุนในการพัฒนาตั้งเป็น Consortium เพื่อพัฒนาแผ่นไฟนี้เลยทีเดียว ตั้งชื่อว่าโปรเจ็คต์ OLLA ลองคลิ๊กเข้าไปดูตัวอย่างสินค้าส่องสว่างที่เข้าทำขึ้นดูนะครับ อีกไม่นาน หลอดไฟ เวอร์ชั่นใหม่ นี้จะออกมาตีตลาดกันแล้ว


(ภาพด้านบน - หลอดไฟเวอร์ชั่น 2.0 จะมีลักษณะแบนบาง ซึ่งจะทำให้สถาปนิกมีความยืดหยุ่นในการออกแบบการใช้งานได้มากขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน)

09 สิงหาคม 2550

นัก นาโนเทคโนโลยี ไทย คว้ารางวัลนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่

ปีนี้เป็นปีทองของนาโนเทคโนโลยีไทยจริงๆ เพราะการประกาศรางวัลนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ประจำปี พ.ศ. 2550 นั้น ได้มอบรางวัลให้นักวิทยาศาสตร์ 6 ท่าน เป็นนักนาโนเทคโนโลยีซะ 3 ท่าน ได้แก่ ผศ.ดร. วินิช พรมอารักษ์, ผศ.ดร.สันติ แม้นศิริ, ดร.อานนท์ ชัยพานิช ซึ่งการประกาศมีขึ้นในวันที่ 2 สิงหาคม 2550 ที่โรงแรมสยามซิตี้ เสียดายที่ผมไม่ได้ไปร่วมงานยินดีกับท่านเหล่านั้น เพราะติดภารกิจประชุม IEEE-NANO 2007 ที่ฮ่องกง วันนี้ผมขอเล่าให้ฟังเกี่ยวกับ ผศ.ดร. วินิช พรมอารักษ์ ว่าท่านเป็นใคร มาจากไหน ทำอะไรอยู่ สำหรับ 2 ท่านที่เหลือ ผมจะมาเล่าให้ฟังวันหลังนะครับ

อาจารย์วินิชเป็นนักนาโนที่น่าสนใจมาก ท่านทำงานอยู่ที่ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ถ้าใครเคยไปแถวนั้น ก็จะรู้ว่าเมืองอุบลนี้เป็นเมืองแห่งน้ำ มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจหลายแห่ง เช่น โขงเจียม แก่งตะนะ ผาแต้ม มีวัดดังๆ หลายวัด เช่น วัดหนองป่าพง วัดป่านานาชาติ อาหารการกิน ก็จะมีร้านแบบเรือนแพ ตั้งอยู่ริมฝั่งมูล ด้านของ อ. วารินชำราบ เยอะมากๆ เมืองอุบลมีความเป็นเอกลักษณ์หลายอย่าง เช่น อำเภอเมือง อยู่ฝั่งตรงข้ามกับอีกอำเภอคือวารินชำราบเลย กลับมาที่เรื่องของอาจารย์วินิช ท่านเป็นนักเคมีสังเคราะห์ เน้นการค้นหาและพัฒนาสารอินทรีย์ ที่ใช้ในอุปกรณ์เปล่งแสงอินทรีย์ (Organic Light-Emitting Devices หรือ OLED) และ เซลล์สุริยะชนิดสีย้อม (Dye-Sensitized Solar Cell) คนที่ทำงานอยู่ในสาขาอินทรีย์อิเล็กทรอนิกส์ (Organic Electronics) ต่างรู้ดีว่าสารอินทรีย์เหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น dye หรือ Conductive Polymer ก็คือ ต้นน้ำ ของเทคโนโลยีนี้ สารพวกนี้เขาขายกันเป็นมิลลิกรัม หรือ กรัม ไม่ใช่ กิโลกรัม หรือ ตัน เหมือนวัสดุประเภทอื่นๆ อาจารย์วินิชก้มหน้าก้มตาทำงาน จนเก็บสะสมสารเหล่านั้นได้จำนวนหนึ่ง เป็นที่ต้องการของนักนาโนเทคโนโลยีกลุ่มอื่นๆ ไม่ว่าจะที่ มหิดล หรือ MTEC ตอนผมไปประชุมที่เวียดนาม พวกนักนาโนเทคโนโลยีของเวียดนามให้ความสนใจกับวัสดุประเภทนี้มาก เพราะเขาคิดว่ายังสู้เราไม่ได้ ไม่เหมือนกับวัสดุพวกเซรามิกส์ เขาจะไม่ค่อยมาดูโปสเตอร์เลย แต่เขาชอบมาดูพวก OLED และ Solar Cell รวมไปถึงพวก Conductive Polymer ด้วย

น่ายกย่อง อ.วินิช ที่ทำให้ตอนนี้เมืองอุบลอาจจะมีสถานที่ท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกแห่ง คือ ห้อง Lab ของอาจารย์เอง ท่านตั้งชื่อว่า Advanced Organic Materials & Devices Laboratory ว่างๆ คงต้องหาโอกาสไปดู Lab ท่านหน่อย แล้วจะกลับมาเล่าให้ฟังนะครับ

(ภาพทางขวามือ - การล่องเรือไปเดินเล่นบนแก่งตะนะ เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ไม่ควรพลาด)