แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ artificial intelligence แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ artificial intelligence แสดงบทความทั้งหมด

07 กันยายน 2557

เมื่อหุ่นยนต์แย่งงานมนุษย์ - The Rise of Robot



ในปี ค.ศ. 2013 เรามีการใช้งานหุ่นยนต์เพื่อทำงานแทนมนุษย์จำนวน 1.2 ล้านตำแหน่ง แต่ในปี ค.ศ. 2025 แต่ในปี ค.ศ. 2025 เฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา หุ่นยนต์จะมาแทนที่มนุษย์ 50% ของงานทั้งหมด โดยจะเข้าแทนตำแหน่งงานในอุตสาหกรรมรถยนต์ 13 ล้านตำแหน่ง การผลิต 22 ล้านตำแหน่ง และ อาหาร 9 ล้านตำแหน่ง

แน่นอน เราจะได้เห็นตำแหน่งงานใหม่ๆ ของมนุษย์เพิ่มขึ้น เช่น นักออกแบบหุ่นยนต์ วิศวกรหุ่นยนต์ แผนกซ่อมบำรุงหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ งานทางด้านเซ็นเซอร์ และ ซอฟต์แวร์หุ่นยนต์

วันนี้ ... เราได้เตรียมตัว หรือ มีความพร้อมแค่ไหน กับการเปลี่ยนแปลงนี้ครับ

Credit : Pictures from
- Focus.com
http://www.futuristspeaker.com/wp-content/uploads/Robot-Jobs-1.jpg
http://www.theguardian.com/commentisfree/commentisfree+business/manufacturing-sector

16 กุมภาพันธ์ 2557

Musculoskeletal Robots - หุ่นยนต์กล้ามเนื้อเหมือนมนุษย์



วันนี้ผมขอพาไปรู้จักกับ "เคนชิโร" (Kenshiro) ครับ เคนชิโรเป็นหุ่นยนต์ที่พัฒนาขึ้น ณ มหาวิทยาลัยโตเกียว ครับ ความแปลกแตกต่างจากหุ่นยนต์ทั่วไปของเคนชิโรคือ เคนชิโร เป็นหุ่นยนต์ที่มีระบบจักรกล ที่เลียนแบบมาจากระบบกล้ามเนื้อและกระดูกของมนุษย์อย่างเหมือนที่สุด ต่างจากหุ่นยนต์ทั่วไปที่แม้ตัวจะเหมือนมนุษย์ แต่ระบบขับกลับเคลื่อนไปเหมือนรถยนต์มากกว่าครับ

เคนชิโรถูกสร้างเลียนแบบสรีระของเด็กชายญี่ปุ่นอายุ 12 ขวบ มันมีความสูง 158 เซ็นติเมตร และหนัก 50 กิโลกรัม มันมีกล้ามเนื้อใกล้เคียงกับมนุษย์ คือมี 160 มัดซึ่งแบ่งเป็นในขา 50 มัด ในลำตัว 76 มัน ที่ไหล่ 12 มัด และคอจำนวน 22 มัด มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยครับ ที่จะทำระบบกล้ามเนื้อของมนุษย์ใส่เข้าไปในหุ่นยนต์ โดยที่จำกัดให้น้ำหนักตัวของมันใกล้เคียงกับของมนุษย์

อีกไม่นานเกินรอ ... เราจะมีหุ่นยนต์ที่มีรูปร่างและอากัปกริยาเหมือนมนุษย์ออกมาใช้ชีวิตร่วมกับพวกเราแล้วหล่ะครับ

More information on advanced robotics at http://www.jsk.t.u-tokyo.ac.jp/index.html

Credit - Picture and Data from University of Tokyo
http://www.jsk.t.u-tokyo.ac.jp/research/kenshiro.html

12 กุมภาพันธ์ 2557

DARPA หวังใช้ drone แทนนักบินลำเลียง



ในปี ค.ศ. 2030 กองทัพสหรัฐฯ วางแผนจะใช้หุ่นยนต์แทนที่ทหารที่เป็นมนุษย์ 25% ทำให้ขณะนี้ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ของสหรัฐอเมริกามีการตื่นตัวค่อนข้างมาก และอาชีพใหม่คือ นักหุ่นยนต์ศาสตร์ กำลังเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมาก

ล่าสุด หน่วยงานสนับสนุนการวิจัยด้านกลาโหมของสหรัฐ (DARPA) ได้ออกมาเปิดเผยแผนการนำหุ่นยนต์บินได้ (drone) มาใช้ในการทำงานแทนนักบินเฮลิคอปเตอร์ โดยโครงการนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า AERIAL RECONFIGURABLE EMBEDDED SYSTEM (ARES) สำหรับใช้งานในพื่นที่เสี่ยงภัย โดยเจ้า drone ตัวนี้ สามารถบรรทุกน้ำหนักได้มากเกือบ 1.5 ตัน มันสามารถบินขึ้น-ลง ได้ในแนวดิ่ง และสามารถบินต่อในแนวราบแบบเดียวกับเครื่องบิน โดยไม่ต้องใช้มนุษย์บังคับ โดยมันจะอาศัยระบบปัญญาประดิษฐ์เพื่อทำงานเอง

ภารกิจหลักของเจ้า drone ตัวนี้คือ

- การบรรทุกสัมภาระ เพื่อนำไปส่งทหารในสนามรบ
- การลำเลียงผู้บาดเจ็บออกจากสนามรบ
- การสอดแนม ตรวจการณ์ และ ลาดตระเวณ

และแน่นอนที่สุดครับ เทคโนโลยีเหล่านี้จะค่อยๆ ซึมซาบจากการทหาร ไปสู่การใช้งานของพลเรือนในที่สุด ในอนาคต drone แบบนี้ อาจจะถูกนำมาใช้ในการขนส่งสินค้าแทนรถบรรทุกก็ได้ครับ

Credit - Picture from http://www.darpa.mil/Our_Work/TTO/Programs/Aerial_Reconfigurable_Embedded_System_(ARES).aspx

13 มิถุนายน 2556

HRI 2014 - The 9th International Conference on Human-Robot Interaction



(Picture from http://www.wired.com/)

เมื่อประมาณ 200 ปีที่แล้ว 70% ของคนอเมริกันทำงานอยู่ในฟาร์ม แต่หลังจากการประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำ ซึ่งนำมาสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมในอีกไม่กี่สิบปีต่อมา ระบบอัตโนมัติได้เข้ามาเปลี่ยนภูมิทัศน์ของอาชีพมนุษย์ และทำให้อาชีพชาวไร่ ชาวนา ของชาวอเมริกันหดหายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ประเทศสหรัฐอเมริกามีเกษตรกรเพียง 1% เท่านั้ แล้วคน 69% เหล่านั้นเปลี่ยนไปทำมาหากินอะไรหล่ะครับ ... ก็มาเป็นคนขับรถแท็กซี่ นักบิน โบรคเกอร์ในตลาดหลักทรัพย์ ช่างภาพ นักเคมี นักออกแบบเว็บไซต์ วิศวกรหุ่นยนต์ และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งล้วนเป็นอาชีพที่ไม่เคยมีมาก่อน ชาวไร่ ชาวนา เหล่านั้น คงคาดไม่ถึงว่างานที่หายไปเพียงอาชีพเดียว จะถูกแทนที่ด้วยอาชีพที่มากมายจนยากที่จะจินตนาการ

ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า เมื่อสิ้นศตวรรษที่ 21 มากกว่า 70% ของอาชีพและงานที่เรารู้จักในปัจจุบัน จะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์  และสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับอาชีพที่หายไปในสมัยที่เกษตรกรครองโลก ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้ง กล่าวคือ อาชีพที่หายไปก็จะถูกแทนที่ด้วยอาชีพใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งมันก็ยากที่จะจินตนาการตอนนี้ว่าอาชีพนั้นจะมีอะไรบ้าง ขนาดผมซึ่งเป็นคนที่ค่อนข้างจะจินตนาการสูง ก็คิดไม่ออกเหมือนกันครับว่าอีก 80 ปีข้างหน้า มันจะมีอาชีพอะไรบ้าง แต่ที่แน่ๆ อาชีพที่จะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์นี่มีมากมายเลยครับ ได้แก่ นักบิน (ถูกแทนที่ด้วย auto-pilot และพวก drone ทั้งหลาย) ทหาร (ถูกแทนที่ด้วยกองทัพหุ่นยนต์) ศัลยแพทย์ (ถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ผ่าตัด) พยาบาล (ถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์พยาบาล) โบรคเกอร์ในตลาดหลักทรัพย์ (ถูกแทนที่ด้วยโปรแกรมบอท) คนขับรถบรรทุก (ถูกแทนที่ด้วยรถบรรทุกขับเอง)  เภสัชกรร้านขายยา (ถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์จ่ายยา) ชาวสวน (ถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์เกษตรกร) แม่บ้านทำความสะอาด (ถูกแทนที่ด้วยฝูงหุ่นยนต์ดูดฝุ่น หุ่นทำความสะอาด) พนักงานจัดการของในโกดัง (ถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์เก็บ/หา/โหลด ของ) เมื่อเร็วๆ นี้มีการพูดถึงการจะนำหุ่นยนต์แบบบินได้ หรือ drone มาใช้สำหรับส่งหนังสือพิมพ์ แทนพนักงานส่งหนังสือพิมพ์ 

โลกอนาคตเป็นโลกที่มนุษย์จะต้องใช้ชีวิตร่วมกับหุ่นยนต์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจะใกล้ชิดกับหุ่นยนต์มากขึ้นไปเรื่อยๆ แม้แต่อาจจะอยู่กับมันฉันท์ชู้สาวก็อาจเป็นไปได้ นักเทคโนโลยีหุ่นยนต์จึงต้องพยายามพัฒนาให้หุ่นยนต์มีความรู้สึก สัมผัส สามารถเข้าใจมนุษย์ จึงทำให้เกิดสาขาวิชาการที่เรียกว่า Human Robot Interactions เรียกย่อๆ ว่า HRI ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องของปฏิสัมพันธ์ระหว่างหุ่นยนต์ กับ มนุษย์ ซึ่งรวมถึงการสื่อสารระหว่างกัน การใช้ชีวิตร่วมกัน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน เพื่อให้สังคมมนุษย์สามารถใช้ชีวิตร่วมกับสังคมของหุ่นยนต์ได้อย่างปกติสุข

ในประชาคมวิจัยทางด้าน HRI เขามีการจัดการประชุม รวมตัวกัน เพื่ออัพเดตความก้าวหน้าและแลกเปลี่ยนความรู้กันทุกปีครับ ในปีหน้างานนี้จะไปจัดที่เมือง Bielefeld ประเทศเยอรมัน งาน HRI 2014 หรือชื่อเต็มว่า The 9th International Conference on Human-Robot Interaction จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-6 มีนาคม 2557 ครับ กำหนดส่งบทความฉบับเต็มคือวันที่ 9 กันยายน 2556

หัวข้อที่การประชุมนี้สนใจ ได้แก่

Socially intelligent robots
Robot companions
Lifelike robots
Assistive (health & personal care) robotics
Remote robots
Mixed initiative interaction
Multi-modal interaction
Long term interaction with robots
Awareness and monitoring of humans
Task allocation and coordination
Autonomy and trust
Robot-team learning
User studies of HRI
Experiments on HRI collaboration
Ethnography and field studies
HRI software architectures
HRI foundations
Metrics for teamwork
HRI group dynamics
Individual vs. group HRI
Robot intermediaries
Risks such as privacy or safety
Ethical issues of HRI
Organizational/society impact

13 พฤษภาคม 2556

3rd World Congress on Information and Communication Technologies (WICT 2013)




เมื่อปลายปี ค.ศ. 2015 มาถึง ประเทศอาเซียนจะรวมเป็นทองแผ่นเดียวกัน เกิดการแลกเปลี่ยนกิจกรรมต่างๆ ทั้งทางเศรษฐกิจ การใช้ชีวิต การท่องเที่ยว การศึกษา ซึ่งจะทำให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ต่างๆ กันมากขึ้นด้วย น่าแปลกใจว่า ในวงการวิชาการ หรือ ในวงการมหาวิทยาลัย เรามีการแลกเปลี่ยนกันระหว่างประเทศอาเซียนน้อยมากๆ ไม่เหมือนทาง EU ซึ่งก่อนจะรวมเป็นสหภาพยุโรป เค้ามีการแลกเปลี่ยนทางด้านวิชาการอย่างเข้มแข็งมานานแล้ว และเมื่อมาถึงการรวมเป็น EU อย่างสมบูรณ์ แม้แต่ตำแหน่งศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย ของเค้าก็เปิดเสรีให้ประเทศสมาชิกสามารถสมัครได้ แต่ในอาเซียนของเราเองนั้น เรามีกิจกรรมทางวิชาการน้อยมากๆ ไม่ว่าจะเรื่องของความร่วมมือทางวิชาการ การจัดประชุม การแลกเปลี่ยนอาจารย์และนักศึกษา ทุนการศึกษาต่างๆ เรายังมีจำนวนของนักศึกษาจากในอาเซียนมาเรียนน้อยมากๆ แต่ผมก็หวังว่า หลังจากเราเปิด AEC อย่างสมบูรณ์ สิ่งนี้น่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น

 สำหรับประเทศใน AEC ด้วยกัน ที่ผ่านมาเรื่องของวิชาการ และ เทคโนโลยีแข่งกันอยู่แค่ 3 ประเทศคือ สิงคโปร์ มาเลเซีย และ ไท การประชุมต่างๆ ที่เป็นงานประชุมระดับนานาชาติ หรือ ระดับโลก มักจะเลือกมาจัดกันใน 3 ประเทศนี้ นานๆ ทีก็มีบ้างที่ไปจัดที่อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ แต่ในระยะหลังๆ นี้ ผมเริ่มสังเกตเห็นการประชุมนานาชาติทางด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยี โดยเฉพาะภายใต้แบรนด์ดังอย่าง IEEE (Institute of Electrical and Electronics Engineers) มาจัดในเวียดนามมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็เป็นการชี้เทรนด์ให้เห็นว่าชาวเวียดนามเริ่มมีกิจกรรมคึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ ทางด้านวิศวกรรม และในเวทีนานาชาติ

วันนี้ผมขอเสนอการประชุมหนึ่งซึ่งน่าสนใจมาก จะจัดขึ้นที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ระหว่างวันที่ 15-18 ธันวาคม 2556 โดยการประชุมนี้จัดพร้อมกัน 2 งานประชุมในที่เดียวกัน และตอนนี้ก็กำลังเปิดรับผลงานวิจัยฉบับเต็มอยู่ครับ ไปจนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2556 งานประชุมทั้ง 2 งานมีรายละเอียดของเนื้อหาการประชุมที่เป็นที่สนใจดังนี้ครับ

 3rd World Congress on Information and Communication Technologies (WICT 2013)

มีหัวข้อที่สนใจดังนี้ (รายละเอียดของแต่ละ Track สามารถเข้าไปที่ website ได้ครับ)
Track 1 - Bioinformatics and Computational Biology
Track 2 - Computer Graphics and Virtual Reality
Track 3 - Data Mining
Track 4 - e- Learning
Track 5 - e- Business
Track 6 - e- Goverment
Track 7 - Artificial Intelligence
Track 8 - Web Services and Semantic Web
Track 9 - Grid and Cloud Computing
Track 10 - Ambient Intelligence
Track 11 - Body Sensor Networks
Track 12 - Computational Finance and Economics
Track 13 - Cybercrime (Legal and Technical Issues)
Track 14 - Computer Network Security
Track 15 - Data Mining for Information Security
Track 16 - Academic Integrity, Plagiarism Detection and Software Misuse
Track 17 - Intrusion Detection and Forensics
Track 18 - Scheduling for large scale distributed system
Track 19 - The Role of Technology in Education and Health
Track 20 - Nature Inspired Optimization Algorithms and their Applications
Track 21 - Data management
Track 22 - Collaborative Design in Knowledge-based Environment
Track 23 - Software Engineering
Track 24 - Networking and Communication

The International Conference of Soft Computing and Pattern Recognition (SoCPaR 2013)

มีหัวข้อที่สนใจดังนี้

Soft Computing and Applications (but not limited to):
Evolutionary computing
Swarm intelligence
Artificial immune systems
Fuzzy Sets
Uncertainty analysis
Fractals
Rough Sets
Support vector machines
Artificial neural networks
Case Based Reasoning
Wavelets
Hybrid intelligent systems
Nature inspired computing techniques
Machine learning
Ambient intelligence
Hardware implementations

Pattern Recognition and Applications (but not limited to):
Information retrieval
Data Mining
Web Mining
Image Processing
Computer Vision
Bio-informatics
Information security
Network security
Steganography
Biometry
Remote sensing
Medical Informatics
E-commerce
Signal Processing
Control systems

20 สิงหาคม 2555

HRI 2013 - The 8th Annual Conference for basic and applied human-robot interaction research



(Picture from www.wendymag.com)

Human Robot Interactions เรียกย่อๆ ว่า HRI เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องของปฏิสัมพันธ์ระหว่างหุ่นยนต์ กับ มนุษย์ ซึ่งรวมถึงการสื่อสารระหว่างกัน การใช้ชีวิตร่วมกัน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน เพื่อให้สังคมมนุษย์สามารถใช้ชีวิตร่วมกับสังคมของหุ่นยนต์ได้อย่างปกติสุข ปัจจุบันหุ่นยนต์มีความก้าวหน้ามากขึ้นๆ ทุกวัน เราเริ่มเห็นหุ่นยนต์เข้ามาช่วยทำงานบ้าน เช่น เจ้าหุ่นยนต์ดูดฝุ่น ที่จะออกมาทำความสะอาดพื้นที่ช่วงเวลากลางคืน หรือตอนที่เราออกไปทำงาน แล้วมันก็จะสามารถวิ่งไปชาร์จไฟเองได้ ภัตตาคารหลายแห่งเริ่มนำหุ่นยนต์เสริฟอาหารมาใช้งาน เมื่อ 2-3 ปีก่อนก็มีการเปิดตัวหุ่นยนต์สอนหนังสือเด็ก และที่น่าสนใจมากคือ หุ่นยนต์สำหรับเป็นคู่รัก ซึ่งนักเทคโนโลยีหุ่นยนต์คาดว่าอีกไม่เกิน 20 ปี เราจะเริ่มใช้ชีวิตกับหุ่นยนต์ในลักษณะชู้สาว เป็นเพื่อนที่ให้ความรักและความอบอุ่นทั้งทางใจ และทางกาย

ในประชาคมวิจัยทางด้าน HRI เขามีการจัดการประชุม รวมตัวกัน เพื่ออัพเดตความก้าวหน้าและแลกเปลี่ยนความรู้กันทุกปีครับ ในปีหน้างานนี้จะไปจัดที่โตเกียว ซึ่งเป็นดินแดนที่มีความก้าวหน้าด้านหุ่นยนต์ที่สุดในโลก งาน HRI 2013 หรือชื่อเต็มว่า The 8th Annual Conference for basic and applied human-robot interaction research จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-6 มีนาคม 2556 ครับ กำหนดส่งบทความฉบับเต็มใกล้เข้ามาแล้ว คือวันที่ 10 กันยายน 2555 ที่จะถึงนี้ ใครจะไปต้องรีบหน่อยแล้วหล่ะครับ

HRI มีความเป็นสหวิทยาการมากครับ ต้องมีการบูรณาการข้ามศาสตร์มากมาย ถึงจะสามารถทำงานวิจัยทางด้านนี้ให้มีความก้าวหน้าได้ ไม่ว่าจะเป็น วิศวกรรมเครื่องกล วิศวกรรมไฟฟ้า วิทยาการคอมพิวเตอร์ นาโนเทคโนโลยี ประสาทวิทยา จิตวิทยา พฤติกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์การรับรู้ (Cognitive Science) มานุษยวิทยา ดังนั้น หัวข้อที่จะประชุมจึงมีความหลากหลาย แต่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องและมีประโยชน์ต่อการพัฒนาเทคโนโลยี HRI นะครับ เขาถึงจะรับงานของเรา

หัวข้อที่การประชุมนี้สนใจ ได้แก่

Socially intelligent robots
Robot companions
Lifelike robots
Assistive (health & personal care) robotics
Remote robots
Mixed initiative interaction
Multi-modal interaction
Long term interaction with robots
Awareness and monitoring of humans
Task allocation and coordination
Autonomy and trust
Robot-team learning
User studies of HRI
Experiments on HRI collaboration
Ethnography and field studies
HRI software architectures
HRI foundations
Metrics for teamwork
HRI group dynamics
Individual vs. group HRI
Robot intermediaries
Risks such as privacy or safety
Ethical issues of HRI
Organizational/society impact

เห็นหัวข้อแล้ว ก็อยากจะไปฟังเลยนะครับ ....

09 มิถุนายน 2555

Artificial Consciousness - สติประดิษฐ์ (ตอนที่ 2)


ในทางพระพุทธศาสนา สติ แปลว่า "ความระลึกได้ ความนึกขึ้นได้ ความไม่เผลอ ฉุกคิดขึ้นได้ การคุมจิตไว้ในกิจ หมายถึง อาการที่จิตนึกถึงสิ่งที่จะทำจะพูดได้ นึกถึงสิ่งที่ทำคำที่พูดไว้แล้วได้ เป็นอาการที่จิตไม่หลงลืม ระงับยับยั้งใจได้ ไม่ให้เลินเล่อพลั้งเผลอ ป้องกันความเสียหายเบื้องต้นยับยั้งชั่งใจไม่บุ่มบ่าม เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ความไม่ประมาท"

ในทางวิทยาศาสตร์ สติ คือ "การรู้ตัว การรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัว การตื่นตัวอยู่และมีความสามารถที่จะรับสัมผัสสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น รวมไปถึงความสามารถในการควบคุมตัวเอง" ความรู้ในทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าสติทำงานอย่างไร สติเกิดขึ้นมาจากกระบวนการในสมองได้อย่างไร นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ค่อยแน่ใจนักว่าสามารถที่จะสร้างคุณสมบัตินี้ในคอมพิวเตอร์ได้หรือไม่ นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มถึงกับบอกว่า ความรู้ที่มีในตอนนี้ยังไม่พอจะนิยามคำว่า "สติ" เสียด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์กลุ่มที่สนใจเรื่องสติประดิษฐ์ ก็ไม่ได้คาดหวังว่าเราจะต้องเข้าใจอะไรมากมายในเรื่องสติเสียก่อน ถึงจะทำอะไรได้ พวกเขาคิดว่าความรู้เรื่องนี้สามารถค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับพัฒนาการในเรื่องของ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม AI) ซึ่งถูกพัฒนามาก่อนหน้านี้หลายสิบปีแล้ว

ในทางปรัชญา สติมีองค์ประกอบใหญ่อยู่ 2 อย่างคือ (1) Access Consciousness หรือ สติที่เกี่ยวกับผัสสะ กับ (2) Phenomenal Consciousness สติในแง่มุมของปรากฏการณ์ อย่างเช่นสมมติว่าเรามองออกไปแล้วมองเห็นลูกบอล เจ้าตัว Access Consciousness จะทำงานโดยมันรับรู้แล้วบอกเราว่านั่นลูกบอลนะ จะเห็นว่าในแง่มุมของ Access Consciousness นี้ไม่ค่อยยาก เพราะเราสามารถโปรแกรมให้คอมพิวเตอร์ใช้การจดจำรูปแบบหรือ (pattern recognition) เพื่อให้จำแนกรู้ได้ว่านี่คือลูกบอล ซึ่งปัจจุบันเราก็ทำได้แล้ว แต่ถ้าเป็น Phenomenal Consciousness จะค่อนข้างซับซ้อนกว่า เพราะเกี่ยวข้องกับความรู้สึกทางอารมณ์ เช่น ความเจ็บปวด ความโกรธ ความกลัว แรงจูงใจ ความตื่นตัว การคาดเดาสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เช่น พอเราเห็นลูกบอลลอยมา สติประเภทนี้จะบอกให้รีบหลบไม่งั้นลอยมาลงหัวแน่

สำหรับความเป็นไปได้ในการสร้างสติประดิษฐ์ขึ้นมาบนแพล็ตฟอร์มอื่น ที่ไม่ใช่สมองมนุษย์นั้น นักวิทยาศาสตร์แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกมองว่าสติประดิษฐ์ไม่น่าจะสร้างขึ้นมาได้ ด้วยเหตุผลในเรื่องของฟิสิกส์ของวัสดุที่ประกอบขึ้นเป็นสมอง ซึ่งเกิดจากสารอินทรีย์ในธรรมชาติ กับวัสดุที่สร้างขึ้นมาเป็นคอมพิวเตอร์ องค์ประกอบย่อยๆ ที่แตกต่างกันนี้ เมื่อรวมกันขึ้นมาเป็นจักรกลแห่งความคิด (Thinking Machines) คือสมอง กับ คอมพิวเตอร์ นั้น สุดท้ายก็จะเกิดความแตกต่างขึ้นมากมาย ซึ่งมันก็มากพอที่จะทำให้เราไม่สามารถสร้างสติประดิษฐ์ให้เหมือนกับที่เรามีในสมอง

ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง ผมขอเรียกว่าพวก Blue Sky หรือกลุ่มฟ้าใส ซึ่งผมก็ขอเป็นสมาชิกของนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ครับ พวกฟ้าใสมองว่าอะไรๆ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น คนกลุ่มนี้กระตืนรื้อล้นเหลือเกินที่อยากให้เทคโนโลยีนี้เกิดขึ้น เพราะมันจะนำคุณประโยชน์มากมายมหาศาลมาสู่มวลมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้มองว่า สมองคือจักรกลอย่างหนึ่งที่ทำหน้าที่ต่างๆ สิ่งที่สมองคิดออกมา เป็นสถานภาพของหน้าที่ (Functionalities) ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความโกรธ ความกลัว รวมไปถึงเรื่องของสติได้ ดังนั้นหากเราโมเดลฟังก์ชันหน้าที่เหล่านั้นได้ด้วยคณิตศาสตร์และอัลกอริทึมต่างๆ เราก็สร้างสติประดิษฐ์ได้

แล้วมาคุยต่อนะครับ ......

02 มิถุนายน 2555

Artificial Consciousness - สติประดิษฐ์ (ตอนที่ 1)



เคยมีคนถามผมว่า อะไรคือ The Next Big Thing หรือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ครั้งต่อไปหลังยุคจีโนม ไอที และนาโนเทคโนโลยี ผมก็จะตอบเขาไปว่า Mind Sciences หรือ วิทยาศาสตร์ทางจิต คนส่วนใหญ่ทำหน้า งง หลายคนไม่เคยได้ยิน หรือ ไม่เคยคาดคิดว่า เรื่องที่วิทยาศาสตร์ถือว่าไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แม้กระทั่งเคยถูกกล่าวหาว่าเหลวไหลไม่มีจริง กำลังจะกลายมาเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ หรือ คลื่นลูกที่ 4 (The Fourth Wave) ในหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษย์

เมื่อร้อยปีที่แล้ว มนุษย์เราตื่นเต้นกับ "สิ่งที่เล็กที่สุด" อย่างอะตอมและโมเลกุล วิทยาศาสตร์พื้นฐานทั้งฟิสิกส์ เคมี ทุ่มเทความสนใจให้กับเรื่องที่เรามองไม่เห็นเพราะว่ามันเล็ก แต่ร้อยปีถัดไปจากวันนี้ เราจะตื่นเต้นกับ "สิ่งที่ลึกที่สุด" ซึ่งเป็นเรื่องที่เรามองไม่เห็น เพราะว่ามันเป็นนามธรรมในความรู้สึกของเรา เรื่องของจิตใจ อารมณ์และความรู้สึกนึกคิด นี่แหล่ะครับ จะเป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ในยุคต่อไปอยากค้นคว้า เพราะทุกวันนี้ เรามีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ (ในเชิงวิทยาศาสตร์) น้อยมากๆ

เมื่อ 200 ปีก่อนหลังเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม โลกเราทำมาค้าขายกันด้วยสินค้าอุตสาหกรรมที่ผลิตขึ้นมาเยอะๆ ผู้คนต่างย้ายถิ่นฐานจากไร่นาเข้าไปอยู่ในโรงงาน ทุกวันนี้เป็นยุคของไอที โลกเราทำมาค้าขายกันด้วยสินค้าความรู้ ประเทศที่ประชากรมีความรู้สูง ส่วนใหญ่ทำงานอยู่ที่บ้าน เศรษฐกิจโลกถูกขับเคลื่อนด้วยสารสนเทศและความรู้ มูลค่าของเศรษฐกิจไปอยู่ที่การแลกเปลี่ยนข้อมูล แลกเปลี่ยนสารสนเทศและความรู้กัน ถึงแม้เราจะบริโภคสิ่งของที่จับต้องได้มากขึ้นก็ตาม แต่เราก็บริโภคสิ่งของที่จับต้องไม่ได้มากขึ้นกว่าหลายเท่าตัว เรายอมเสียเงินเพื่อซื้อความบันเทิง ประสบการณ์ และความรู้
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตข้างหน้า สินค้าที่เราจะทำมาค้าขายกันจะเป็นเรื่องที่อยู่ภายในตัวมนุษย์นี่เอง นั่นคือ อารมณ์ ความรู้สึก จิตใจ เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น จะทำให้สิ่งที่เราจับต้องไม่ได้นี้ กลายเป็นสิ่งที่จะอยู่รอบๆ ตัวเราในทุกย่างก้าวของชีวิต ยุคแห่งคลื่นลูกที่สี่นี้ จะเป็นยุคที่จักรกลและมนุษย์ (Machine vs Man) มาเชื่อมโยงกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นยุคที่เราจะเข้าใจความเชื่อมโยงกันระหว่างสสารและจิตใจ (Mind vs Matter)  ซึ่งเป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์ไม่เคยย่างกรายเข้าไปในดินแดนนั้นเลย

ในบทความซีรีย์นี้ ผมจะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับศาสตร์ใหม่ที่จะมีความสำคัญเป็นอย่างมากในอนาคต นั่นคือ สติประดิษฐ์ หรือ Artificial Consciousness ซึ่งจะเป็นการนำสติหรือการระลึกรู้ถึงความเป็นตัวตน การมีอยู่ ความรู้สึกตัวในสภาวะธรรมต่างๆ รอบๆ ตัว ไปใส่ในจักรกล ซึ่งในอนาคต วัตถุต่างๆ สินค้าต่างๆ สภาพล้อมรอบตัวเรา บ้าน รถ อาคาร ถนนหนทาง อุปกรณ์ต่างๆ จะพัฒนาจากวัตถุที่ไม่มีชีวิตจิตใจ ไปสู่สภาพของชีวิตประดิษฐ์ (Artificial Life) สิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวเราจะสามารถรับรู้ สัมผัส และสื่อสารทางอารมณ์กับมนุษย์ได้ เรื่องของสติประดิษฐ์มีความสำคัญมาก เพราะเทคโนโลยีนี้จะทำให้จักรกล หรือ หุ่นยนต์ สามารถทำงานหรือ "ใช้ชีวิต" กับมนุษย์ได้อย่างราบรื่น

แล้วผมจะนำความก้าวหน้าในเรื่องนี้มาเล่าต่อไปในซีรีย์นี้นะครับ .....

04 เมษายน 2555

Making Things Love - ทำโลกนี้ให้มีแต่รัก (ตอนที่ 5)


เมื่อไม่นานมานี้มีคำศัพท์ใหม่คำหนึ่งเกิดขึ้น คำว่า Living Technology ซึ่งหมายถึงเทคโนโลยีที่มีความเป็นชีวิต หรือ รวมเอาความสามารถของสิ่งมีชีวิตเข้าไป ทำให้เทคโนโลยีนั้นมีความเป็นมิตรต่อสิ่งมีชีวิต และสนองตอบความต้องการต่อสิ่งมีชีวิต ในฐานะที่ตัวมันเองก็มีส่วนหนึ่งมาจากความเป็นชีวิต ไม่เหมือนเทคโนโลยีสมัยก่อนที่มีลักษณะทื่อๆ เหมือนจักรกลที่ไม่มีหัวจิต หัวใจ แต่เทคโนโลยีในอนาคตจะต้องทำตัวเสมือนกับตัวมันเองมีจิตใจอยู่ภายในด้วย

Living Technology นี่ก็ว่าเจ๋งแล้วนะครับ แต่ยังไม่พอหรอกครับ เพราะว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น อลังการกว่านั้นกำลังจะเกิดขึ้น ผมขอเรียกสิ่งนั้นว่า Loving Technology ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใส่อารมณ์ ความรู้สึก ความผูกพัน ความห่วงหาอาทร เข้าไปข้างในได้ ทำให้นอกจากมันจะ Living แล้ว มันยังมีความสามารถในการ Loving ได้อีกด้วย ซึ่ง Loving Technology นี้เอง ทางกลุ่มวิจัยของ Center of Intelligent Materials and Systems คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ก็กำลังทำการศึกษาวิจัยเทคโนโลยีนี้ด้วย เราคงจะได้ยินเรื่องของ เทคโนโลยี Kinect ซึ่งสามารถที่จะเรียนรู้และจดจำลักษณะท่าทางของมนุษย์ เราสามารถสื่อสารทางเสียงกับโปรแกรม Siri ซึ่งมีลักษณะเป็นปัญญาประดิษฐ์แบบหนึ่ง ต่อไปอุปกรณ์ต่างๆ จะไม่เพียงแต่จดจำคำพูดของเราเท่านั้น แต่มันจะสามารถแปลความหมายทางอารมณ์ ที่ซ่อนมากับคำพูดได้ด้วย หรือ มันจะมีสามารถในการรับรู้และสื่อสารทางอารมณ์กับเราได้ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางสีหน้าท่าทาง น้ำเสียงที่พูด ซึ่งจะทำให้การใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ เช่น มือถือในอนาคต เปลี่ยนจากการ "ใช้" เป็นการ "สื่อสาร" กันและกันแทน โทรศัพท์จะกลายเป็นอุปกรณ์ที่มีชีวิตชีวา เป็น Living Objects หรือ Living Phone ขึ้นมาเลยล่ะครับ

ล่าสุดข่าวแว่วๆ มาว่า ทาง Apple กำลังจะใส่ Siri เข้าไปในเครื่องรับโทรทัศน์ รวมทั้งซัมซุง และ LG เองนั้นก็เพิ่งเปิดตัวโทรทัศน์ที่รับคำสั่งด้วยเสียงเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้เอง ทั้งนี้บริษัทฟิลิปส์เองก็กำลังพัฒนาโทรทัศน์ที่สามารถคุยกับ ระบบแสงสว่างในบ้านด้วย โดยเมื่อโทรทัศน์กำลังเปิดรายการที่มีเนื้อหาต่างๆ อยู่นั้น มันจะคุยกับแสงสว่างในห้องนั่งเล่น ให้เปลี่ยนสี และความเข้มแสง รวมทั้งโทนของสี ให้เหมาะกับอารมณ์ของเนื้อหาที่กำลังฉายอยู่ในจอทีวี เห็นไหมครับว่า ต่อไปห้องนั่งเล่น หรือ Living Room ของเรา จะมีชีวิตชีวาขึ้นอีกเป็นกอง มีความเป็น Living ขึ้นจริงๆนอกจากนั้นบริษัท BMW ก็ได้พัฒนาระบบรับคำสั่งด้วยเสียงที่มีชื่อว่า iDrive โดยวางแผนจะบูรณาการระบบนี้ที่ทำงานด้วยอัลกอริทึมของ Siri เข้าไปในรถยนต์ของ BMW นี่ยังแค่เริ่มๆ นะครับ ต่อไปรถยนต์จะมีความฉลาดมากขึ้นไปอีก เช่น เบาะที่ปรับที่นั่งตามอารมณ์ของผู้ขับขี่ ระบบปรับอากาศและฟิล์มกรองแสงตามสภาพแวดล้อมได้เอง เป็นต้น

Loving Technology จะมีความก้าวหน้ากว่า Living Technology เยอะครับ เพราะ Loving Technology ไม่เพียงแต่มีการใส่ความเป็นชีวิตเข้าไป ทำให้อุปกรณ์ต่างๆ มีความฉลาด เหมือนสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติแล้ว มันยังมีการเพิ่มอารมณ์ ผัสสะ ความรู้สึกเข้าไป ทำให้อุปกรณ์สื่อสารทางวิญญาณกับมนุษย์ได้ สามารถรับรู้อารมณ์ และตอบสนองเชิงอารมณ์กับมนุษย์ได้ โดยเฉพาะวิถีชีวิตของมนุษย์เราในศตวรรษนี้ คนเราจะอยู่เป็นโสดกันมากขึ้น แต่ไม่ต้องกลัวเหงานะครับ เพราะ Loving Technology จะทำให้สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นทีวี เฟอร์นิเจอร์ หมอน เตียงนอน แสงสว่าง รถยนต์ ของเรามีความใส่ใจ ห่วงหาอาทรผู้ใช้ เราจะอยู่ในบ้านเสมือนมีความรู้สึกว่า สิ่งรอบๆ ตัวเรานั้นห่วงใยเรา และมีการสื่อสารกับเราตลอดเวลา เหมือนมีคนคอยดูแลยังไงยังงั้น เพื่อนรอบกายภายในบ้านที่มองไม่เห็นนี้ จะรับรู้ความรู้สึกของเรา และแสดงออกความรู้สึกนั้นออกมา ผ่านการเรืองแสงที่หมอน การปรับโทนแสงไฟ การเปิดเพลงคลอ การส่งรูปหัวใจบนกระจก และอื่นๆ อีกมากมาย จนทำให้สิ่งแวดล้อมที่มีแต่รักนี้ ไม่ทำให้เรารู้สึกเดียวดายอีกต่อไป .......

12 มิถุนายน 2554

Connectome - คอนเน็คโทม (ตอนที่ 3)



การสร้างแผนที่ของสมอง แม้จะเป็นเรื่องที่ยาก แต่ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะการรู้แผนที่สมอง แม้จะเพียงบางส่วนก็ตาม จะมีคุณูปการต่อวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างประมาณมิได้ ความรู้นี้จะทำให้เราสามารถรักษาโรคต่างๆได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น โรคสมองเสื่อมต่างๆ โรคจิตประสาท อาการอยากจำกลับลืม อยากลืมกลับจำ อีกทั้งยังนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถใกล้เคียงมนุษย์ได้อีกด้วย คอนเน็คโทมจึงกลายมาเป็นกระแสที่มาแรงของวงการวิทยาศาสตร์ในช่วงเวลานี้เลยครับ

วิธีการหนึ่งในการศึกษาการทำงานของสมองก็คือ การสร้างสมองจำลอง (Simulated Brain) ขึ้นมาเพื่อศึกษากระบวนการทำงานต่างๆ ของมัน ในปี ค.ศ. 2005 สถาบันสมองและจิตใจ (Brain and Mind Institute) แห่งเมืองโลซาน สวิตเซอร์แลนด์ ได้ริเริ่มโครงการที่เรียกว่า Blue Brain Project ซึ่งเป็นโครงการระยะยาวที่จะศึกษาสมองด้วยการจำลองคอมพิวเตอร์ โดยอาศัยโมเดลที่สร้างขึ้นมาจากข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ได้จากการทดลอง ซึ่งเป็นข้อมูลการทำงานในระดับเซลล์จนถึงการทำงานระดับโมเลกุลในสมองเลยทีเดียว ในขั้นต้น โครงการได้สนใจศึกษาสมองส่วนที่เรียกว่า Neocortical column ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสมองส่วนที่ทำงานในระดับสูง คือระดับของสติและปัญญาเลยทีเดียว สมองส่วนนี้มีลักษณะทรงกระบอกเล็กๆ ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5 มิลลิเมตรและยาว 2 มิลลิเมตร ซึ่งประกอบไปด้วยเซลล์สมองจำนวน 60,000 เซลล์ สมองส่วนเล็กๆ รูปทรงกระบอกนี้ อยู่ในพื้นที่ของสมองส่วนที่เรียกว่า Neocortex ซึ่งสมองส่วนนี้เอง มีทรงกระบอก Neocortical column อยู่ถึง 1,000,000 อัน ดังนั้นการจำลองสมองส่วนที่เป็นทรงกระบอกเล็กๆ นี้ก็ว่ายากแล้ว จะเห็นว่ายังเทียบไม่ได้กับสมองส่วน Neocortex ที่บรรจุมันอยู่เลยครับ

การศึกษาสมองในส่วนของ Neocortical column นับว่าเป็นข้อดี เพราะว่าสมองส่วนนี้ มีความคล้ายคลึงกันสำหรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมด น่าจะเป็นเพราะธรรมชาติได้เรียนรู้ที่จะเลือกใช้เทคโนโลยีที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล จึงได้ copy สมองส่วนนี้ให้สัตว์ประเภทเดียวกันได้ใช้งาน เช่น หนู หรือ คน ก็มีสมองส่วนนี้ที่คล้ายกันมาก เพียงแต่ของคนเรามีขนาดที่ใหญ่กว่า และในสมอง Neocortex ของคนก็มีจำนวนทรงกระบอกนี้มากกว่าหนูเยอะ

นักวิจัยได้ลองเอาสมองส่วน Neocortical column ไปใส่ในโปรแกรมจำลองสภาพความจริงเสมือน (Virtual Reality) ที่มีสัตว์จำลอง โดยให้สมองส่วนนี้จำลองอยู่ในสมองของสัตว์ตัวนี้ แล้วปล่อยเจ้าสัตว์นี้ให้หากินอยู่ในสภาพความจริงเสมือน เพื่อที่จะได้สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นในสมองจำลองส่วนนี้ ทำให้พบว่าสัตว์ตัวนี้เรียนรู้สิ่งต่างๆ และสร้างความทรงจำขึ้นมาได้อย่างไร ตลอดจนการเรียกใช้งานความจำของมัน

นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งในความพยายามที่จะสร้างแผนที่ของสมองครับ บทความซีรีย์นี้ยังมีอีกนะครับ ......

15 มีนาคม 2554

Connectome - คอนเน็คโทม (ตอนที่ 1)



ในช่วงที่ผมเริ่มทำวิจัยทางด้านนาโนเทคโนโลยีเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1995 หรือประมาณ 15 ปีที่แล้ว เป็นช่วงแรกๆ ที่ในประเทศสหรัฐอเมริกาเพิ่งจะเริ่มมีคนพูดถึงคำว่า นาโนเทคโนโลยี กันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่คนไทยเองนั้นก็ยังไม่รู้จักคำว่านาโนเทคโนโลยีกันเท่าไหร่นัก ผมเคยพูดๆไว้กับเพื่อนๆว่า คอยดูนะต่อไปไม่เกิน 10 ปี ศาสตร์ทางด้านนี้จะบูมและจะมีการทำวิจัยกันทั่วโลก ถ้าอยากได้ทุนวิจัยก็รีบๆ มาทำความรู้จักศาสตร์ด้านนี้ไว้นะ ต่อจากนั้น ในที่สุดประเทศไทยก็ก่อตั้งศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติในปี ค.ศ. 2003 มีการให้ทุนวิจัยทางด้านนี้มากมาย นักวิจัยชาวไทยก็แห่มาทำวิจัยทางด้านนี้กันขนานใหญ่ เพราะมีเงินทุนวิจัยหลั่งไหลเข้ามามากมาย

ในช่วงนั้น ... ผมเริ่มมองหาศาสตร์ใหม่ๆ เพื่อหนีออกไป ช่วงนั้น เพื่อนฝูงถามผมว่าหลังยุคนาโนจะมีอะไรมาอีก ... ผมบอกกับเพื่อนๆ ว่า ยังมีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง ที่เป็นความลับมานานแสนนาน ยังมีคนทำทางด้านนี้น้อย แต่เป็นศาสตร์เปลี่ยนโลกเลยแหล่ะ นั่นคือเรื่องของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับจิตใจ (Mind Sciences) ซึ่งปัจจุบันเราทำได้แค่เพียงการปะติดปะต่อความรู้ที่เป็นชิ้นเล็กๆ เข้าด้วยกันเท่านั้น แต่ความรู้ที่เพิ่มขึ้นเพียงนิดหน่อยในศาสตร์ทางด้านนี้ อาจมีประโยชน์มหาศาลในการพัฒนาเทคโนโลยีเลยทีเดียว ไม่เหมือนงานทางด้านนาโนเทคโนโลยี ที่การตีพิมพ์ผลงานวิชาการ 1 เรื่อง แทบจะไม่มีผลต่อการเพิ่มพูนประโยชน์อะไรนัก ... แต่การไขปัญหา 1 เรื่องที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์จิตใจ 1 เรื่อง จะมีผลกระทบตามมาอีกมากมายเลย

วิทยาศาสตร์ปัจจุบัน นับตั้งแต่ยุคของนิวตันเมื่อเกือบ 400 กว่าปีที่แล้ว แยกจิตใจออกจากวัตถุ (Mind vs Matter) ตลอดระยะเวลา 400 ปีนี้ พวกเราพัฒนาความรู้และศาสตร์ต่างๆ ตลอดจนเทคโนโลยีมากมาย บนพื้นฐานของแนวคิดนี้ เราแยกซอฟต์แวร์ กับ ฮาร์ดแวร์ ออกจากกัน แต่ในช่วง 20 ปีหลังมานี้ เราถึงเริ่มประจักษ์แจ้งว่า ปรากฎการณ์หลายอย่างที่เกี่ยวกับจิตใจ มันมีความเชื่อมโยงกับร่างกายที่เราอาศัยอยู่ (Mind-Body Interactions) โดยความรู้แบบแยกส่วนที่เรามีอยู่เดิมมันให้คำตอบดีๆ แก่เราไม่ได้

ยิ่งในระยะหลังๆ เราเริ่มพัฒนาหุ่นยนต์ หรือระบบออโตเมชั่นต่างๆ โดยต้องการใส่ปัญญา (Intelligence) เข้าไปในระบบเหล่านั้น เราก็เริ่มตระหนักว่าความเข้าใจในเรื่องความคิด (Thought) จิตใจ (Mind) อารมณ์ (Emotion) ความรู้สึก (Feeling) ความระลึกรู้ (Conciousness) เป็นสิ่งที่ยังรู้น้อยมากๆ เรายังขาดโมเดลที่ใช้อธิบายการทำงานของกระบวนการเหล่านี้ ที่ผ่านมา การพัฒนาหุ่นยนต์ให้มีความรู้สึกแบบเดียวกับมนุษย์ก็จะติดขัดที่ปัญหาของโมเดลที่แหล่ะครับ ทั้งๆ ที่เราสามารถพัฒนาเทคโนโลยีที่ตรวจจับสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นผิวหนังประดิษฐ์ (Electronic Skin) จมูกอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Nose) ระบบมองเห็นภาพ (Machine Vision) สำหรับหุ่นยนต์ได้อย่างก้าวหน้าแล้วก็ตาม แต่กระบวนการของการประมวลความรู้สึกภายในนี่สิครับ เรายังมีความรู้ในเชิงวิทยาศาสตร์น้อยมากๆ (ในพุทธศาสนามีการบรรยายเรื่องกระบวนการประมวลผลสัมผัสได้อย่างละเอียดมาก เรียกว่าวงจรปฏิจจสมุปบาท) จนทำให้เรายังไม่สามารถสร้างหุ่นยนต์ที่มีกระบวนการคิด หรือกระบวนการใช้ปัญญาให้เหมือนมนุษย์ได้

นี่แหล่ะครับ คือศาสตร์ที่ผมคิดว่าจะครองศตวรรษที่ 21 ... น่าเสียดายที่ประเทศไทยแทบจะไม่มีนักวิทยาศาสตร์ทางด้านนี้เลย และมีโอกาสที่เราจะตกรถขบวนนี้ เมื่อลองคิดเล่นๆ ว่าในอนาคตอีก 20-30 ปีข้างหน้า สิ่งของที่อยู่รอบๆ ตัวเราจะประกอบด้วยหรือทำงานด้วยสมองประดิษฐ์ (Artificial Brain) ที่ทำงานเหมือนมีจิตใจกันหมด ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ บ้าน ทีวี ตู้เย็น ทางหลวง สะพาน เราจะต้องอาศัยอยู่ในโลกของสภาพล้อมรอบอัจฉริยะ (Ambient Intelligence) แต่ประเทศเรากลับยังไม่ค่อยตระหนักในเรื่องนี้เท่าไรเลยครับ

จริงๆ แล้ววันนี้ ผมยังไม่ได้เข้าเรื่อง Connectome เลยครับ แค่มาเกริ่นๆ คร่าวๆ เท่านั้นว่า ศาสตร์ทางด้าน Connectome นี่แหล่ะครับ ที่จะเป็นประตูเข้าไปสู่ความเข้าใจที่มากขึ้นในเรื่องจิตใจของเรา เป็นครั้งแรกในรอบ 2500 กว่าปีภายหลังจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ค้นพบความรู้ทางด้านนี้ ที่มนุษย์รุ่นหลังจะเริ่มเข้าไปทำความเข้าใจจากอีกมุมมองหนึ่งว่า พระองค์ได้ค้นพบอะไร ....

แล้วมาคุยกันต่อในตอนต่อๆ ไปครับ ....

(ภาพบน - เป็นภาพโมเดลที่อธิบายความเชื่อมโยงของเส้นใยประสาทในสมองมนุษย์)

27 มกราคม 2554

Making Things Love - ทำโลกนี้ให้มีแต่รัก (ตอนที่ 4)



พวกเรามักจะได้ยินคำพูดที่ว่า "จงใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์" แต่ในหนังสือ Descartes' Error ศาสตราจารย์ อันโตนีโอ ดามาสิโอ (Antonio Damasio) แห่งมหาวิทยาลัยเซาเทอร์น แคลิฟอร์เนีย (University of Southern California) กลับเสนอแนวคิดใหม่ที่ว่า คนที่รู้จักใช้อารมณ์เป็น หรือมีความฉลาดทางอารมณ์สูงต่างหาก ที่จะมีความสามารถในการใช้เหตุผลได้ดีด้วย พูดอีกอย่างก็คือ อารมณ์และเหตุผลเป็นของคู่กัน แยกออกจากกันไม่ได้ สิ่งทั้งสองอย่างนี้พึ่งพากันและกัน อารมณ์เป็นตัวช่วยในการใช้ตรรกะและเหตุผล รวมไปถึงการตัดสินใจต่างๆ ทั้งด้านบวกและลบ และบ่อยครั้งที่เป็นการทำแบบไม่รู้ตัว

ในภาษาอังกฤษ มีคำที่ใช้อธิบายอารมณ์อยู่ 3 คำครับ คือคำว่า Affect, Emotion และ Mood ผมไม่รู้ว่าจะหาคำเป็นภาษาไทยมาใช้แทน 3 คำนี้ยังไงครับ แต่จะพยายามดูนะครับ คำว่า Affect นี้เป็นคำที่ใช้แทนความหมายรวมๆ ของสภาวะอารมณ์ต่างๆ ของมนุษย์ คือใช้แทนได้ทั้ง Emotion และ Mood โดยคำว่า Emotion มักใช้กันเพื่อแทนสภาพอารมณ์ในขณะหนึ่งขณะใดของคนเรา ซึ่งระยะเวลาอาจอยู่ในช่วงวินาทีถึงหลายๆ นาที โดยอารมณ์นั้นๆ มักจะมีสาเหตุหรือตัวการอย่างชัดเจน และผู้ที่เกิดอารมณ์อยู่ก็มักจะรู้ตัวว่าตัวเองมีอารมณ์นั้นๆ อยู่ แต่คำว่า Mood นั้นเป็นสภาพอารมณ์พื้นหลังที่มักจะเกิดและดำรงอยู่นานกว่า สภาวะอารมณ์พื้นหลังหรือ Mood นี้มักจะไม่ค่อยรู้สาเหตุที่แน่นอน และมันก็ไม่จำเพาะกับตัวการหนึ่งใดเป็นพิเศษ เจ้าสภาวะอารมณ์พื้นหลังนี้เองครับ ที่มีผลต่อจิตใจของคนเรามาก มันนำไปสู่ความสามารถในเรื่องความทรงจำ การตัดสินใจต่างๆ รวมไปถึงทัศนคติและความคิดเห็นของเราได้ การบริหารอารมณ์ให้มี Mood แต่ในทางบวก ยังมีผลให้เราเป็นคนสุขภาพแข็งแรงด้วยนะครับ

การตรวจวัดอารมณ์ของมนุษย์ เท่าที่ผมทราบนั้น สามารถตรวจวัดได้ 3 วิธีครับ คือ

(1) การตรวจวัดสัญญาณทางสรีรวิทยา (Physiological signal) ได้เคยมีรายงานวิจัยที่ระบุว่า อารมณ์ของคนเรามีความสัมพันธ์กับสัญญาณทางสรีรวิทยาต่างๆ ที่สามารถ ตรวจวัดได้ด้วยเครื่องมือ เช่น การนำไฟฟ้าบนผิวหนัง อุณหภูมิผิวหนัง อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต อัตราการหายใจ ระดับอ็อกซิเจนในเลือด สัญญาณสมอง (EEG) เป็นต้น

(2) การประเมินทางจิตวิทยา (Psychological assessment) เป็นวิธีง่ายๆ ที่แม่นยำที่สุด โดยการให้ผู้ที่เราตรวจวัดประเมินความรู้สึกและสภาพอารมณ์ของตนเองนี่แหล่ะครับ โดยการประเมินอาจใช้การบอกออกมาว่ารู้สึกยังไง การบอกสเกลของสภาพอารมณ์ การทำ checklists ต่างๆ การตอบแบบสอบถาม และการประเมินเชิงสถิติ เป็นต้น ปัญหาก็คือ ถ้าไปเจอคนที่โกหก หรือไม่รู้อารมณ์ตัวเอง ผลที่ได้ก็จะขาดความแม่นยำไปเลย

(3) การตรวจวัดพฤติกรรม (Behavioral Monitoring) สภาวะอารมณ์ของคนเรามักจะแสดงออกมาทางพฤติกรรมต่างๆ ที่อาจตรวจวัดได้ เช่น การแสดงออกทางสีหน้า น้ำเสียง อากัปกริยา ท่าทาง ประสิทธิภาพในการรับรู้ (cognitive performance) อาการทางกล้ามเนื้อ (motor behavior) ซึ่งเป็นไปเพื่อต้องการสื่อสารอารมณ์ออกมา จะทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัวก็ตาม

การที่เราจะสร้างสภาพแวดล้อมให้มีอารมณ์หรือความรัก เราก็ต้องมีเทคโนโลยีในการตรวจวัดและประมวลผลอารมณ์ของมนุษย์ให้ได้ก่อนครับ

01 มกราคม 2554

Making Things Love - ทำโลกนี้ให้มีแต่รัก (ตอนที่ 3)



ในอนาคตไม่กี่ปีต่อจากนี้ วิศวกรรมอารมณ์จะทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในเศรษฐกิจยุคใหม่ที่ผู้คนใช้ความรู้สึก และอารมณ์ในการเลือกจับจ่ายสินค้า ผู้ที่มีความรู้หรือเทคโนโลยีทางด้านนี้ จะเป็นผู้กำชัยในการครองใจผู้บริโภค ทำให้ผู้ซื้อเกิดความผูกพันทางด้านอารมณ์กับสินค้า หรือถึงขั้นอินเลิฟ จนไม่อาจเปลี่ยนไปใช้สินค้าตัวเลือกอื่นๆ อีก

งานวิจัยทางด้านเทคโนโลยีความรู้สึกและวิศวกรรมอารมณ์นี้มีลักษณะเป็นสหสาขาวิชา ที่หลอมรวมและบูรณาการความรู้ข้ามศาสตร์อย่างแท้จริง ทั้งจากศาสตร์ทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ จิตวิทยา วิทยาศาสตร์การรับรู้ (Cognitive Science) ประสาทวิทยา (Neuroscience) สังคมวิทยา (Sociology) ภาษาศาสตร์ ครุศาสตร์ สรีรวิทยา ปรัชญา แม้กระทั่งจริยศาสตร์ มันจึงเป็นเขตแดนรอยต่อระหว่างวิทยาศาสตร์ กับ เรื่องของจิตใจ อย่างแท้จริง การจะพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านนี้ จึงต้องอาศัยความรู้จากศาสตร์ต่างๆ เหล่านี้ ในขณะเดียวกัน ความเจริญก้าวหน้าในเทคโนโลยีความรู้สึกและวิศวกรรมอารมณ์ ก็จะมีผลสะท้อนกลับ ทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในศาสตร์ต่างๆ เหล่านี้ด้วย เช่น หากเรามีเทคโนโลยีในการตรวจวัดและบันทึกอารมณ์ความรู้สึก ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ในแง่มุมต่างๆ ในแต่ละวัน ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ก็อาจนำกลับมาเพื่อปรับปรุงโมเดล และทฤษฎีต่างๆ ที่ใช้อธิบายความรู้สึกของมนุษย์ได้

นักวิเคราะห์ประเมินกันว่า คงจะต้องใช้เวลาเป็นสิบๆ ปีแหล่ะครับ กว่าเราจะสามารถพัฒนาโมเดลทางคอมพิวเตอร์ของอารมณ์มนุษย์ได้ จะว่าไป ทุกวันนี้ มีการนำเทคโนโลยีทางด้านนี้มาใช้แล้วทั้งๆ ที่เราก็ยังมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องอารมณ์ของมนุษย์กันไม่มาก ท่านผู้อ่านอาจจะคาดกันไม่ถึงนะครับว่า ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น มีการใช้งบประมาณมากถึง 400 กว่าล้านเหรียญสหรัฐ ในปี ค.ศ. 2006 เพื่อที่จะพัฒนาซอฟต์แวร์วิเคราะห์การพูดของมนุษย์ของ Call Center ต่างๆ รวมไปถึงน้ำเสียงและอารมณ์ความรู้สึกที่แฝงมากับคำพูดเหล่านั้น เพื่อที่ทางศูนย์บริการลูกค้าจะได้สามารถประมวลผลความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ เพื่อให้สามารถนำมาสู่การปรับปรุงระบบบริการได้ แม้ว่าโมเดลคอมพิวเตอร์ปัจจุบันอาจจะยังไม่ละเอียดถูกต้องพอที่จะสามารถ ระบุอารมณ์ต่างๆ ของมนุษย์ที่มีอย่างหลากหลายมากก็ตาม แต่มันก็ยังมีความแม่นยำพอที่จะตรวจพบหลายๆ กรณีที่สำคัญพอที่จะทำให้ศูนย์บริการลูกค้าต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ

การตรวจจับหรือตรวจวัดอารมณ์เป็นเรื่องละเอียดซับซ้อน ใบหน้าของมนุษย์ที่แสดงออกมา แม้แต่เรื่องง่ายๆ อย่างเช่น การยิ้ม ก็มีความหมายได้หลากหลายมากๆ ขึ้นกับอายุ พื้นฐานการศึกษา และวัฒนธรรม เอาง่ายๆ อย่างเช่นคนไทยเรา ที่ฝรั่งเขาเรียกว่าสยามเมืองยิ้ม เพราะคนไทยเป็นคนยิ้มเก่ง แม้แต่บางเรื่องที่ฝรั่งมองว่าไม่น่าจะยิ้ม คนไทยเราก็ยังยิ้ม ผมเคยดูโทรทัศน์เห็นตำรวจนำผู้ต้องหาที่เพิ่งก่อคดีมาออกข่าว หลายๆ ครั้งเรากลับเห็นผู้ต้องหานั่งยิ้มให้กล้อง ทั้งๆ ที่ตัวเองทำความผิดที่สมควรได้รับการลงโทษ ลักษณะนี้ คนไทยเราดูทีวี เราก็จะพอเข้าใจ แต่ฝรั่งเห็นก็จะแปลกใจมากเลย ... โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ตรวจสอบใบหน้าจึงต้องมีการโมเดลความหลากหลายตรงนี้เข้าไปด้วย ซึ่งจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยครับ

เรื่องนี้ ยังมีต่ออีกหลายตอนนะครับ ....

19 ธันวาคม 2553

Making Things Love - ทำโลกนี้ให้มีแต่รัก (ตอนที่ 2)


ตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เวลาพวกเราไปเที่ยวทะเลกัน ผมก็มักจะถามเพื่อนๆ ว่า "เออ ... ใครรู้บ้าง ทำไมเวลามาทะเลแล้วถึงรู้สึกเหงา" เวลาเราไปเที่ยวภูเขาก็เหมือนกัน เราจะรู้สึกสบายใจมากๆ หากได้ยืนจากที่สูง มองออกไปไกลๆ แล้วเห็นภูเขาสองข้างมาบรรจบกัน โดยเฉพาะหากมีแม่น้ำสายเล็กๆ ไหลคดโค้ง เลาะเล็มไปตามไหล่เขา ก็จะได้ใจ รู้สึกอินเลิฟกับวิวทิวทัศน์ไปกับมัน นักวิทยาศาสตร์เคยตั้งข้อสังเกตว่า ความรู้สึกอินเลิฟเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ไม่ว่าชาติไหนภาษาไหนก็เกิดขึ้นแบบนี้กันหมด แต่มันเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในดีเอ็นเอของมนุษย์กันเลยทีเดียวครับ เพื่อให้เรารู้สึกอินกับความสวยงามของสิ่งนี้ เพราะมันแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ และทำให้มนุษย์เราแสวงหาการตั้งถิ่นฐานในพื้นที่แบบนี้จนดำรงพงษ์เผ่ามาได้จนทุกวันนี้ครับ

มนุษย์เรามีหัวจิตหัวใจ มีความรู้สึกกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ เรารู้สึกเหงาเมื่อไปทะเล อินเลิฟเมื่อไปไร่องุ่นหรือภูเขา สดชื่นเมื่อไปน้ำตก โรแมนติกเมื่ออยู่ในสถานที่โทนสีโอ๊กไฟสลัวๆ เรามีอันตรกริยาทางด้านจิตใจกับสิ่งแวดล้อมตลอดเวลา แล้วทำไมเราไม่ทำให้สิ่งแวดล้อมมีความรู้สึกแบบนั้นกับเราบ้างล่ะครับ ... นี่ล่ะครับ จะเป็นประเด็นใหม่ทางการวิจัยที่ผมกำลังสนใจและค้นคว้า เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่จะทำให้ความรู้สึก และอารมณ์ เป็นสิ่งที่แลกเปลี่ยนกันได้ ไม่ต้องเก็บเอาไว้คนเดียวอีกต่อไป ลองจินตนาการถึงบ้านที่รับรู้อารมณ์และความรู้สึกของผู้อยู่อาศัย ห้องนั่งเล่นที่สามารถปรับเปลี่ยนแสงไฟตามสภาวะอารมณ์ของเรา พร้อมกับเปิดเสียงดนตรีและปล่อยกลิ่นที่สอดคล้องกับอารมณ์ผู้อาศัย รถยนต์ที่สามารถรับรู้อารมณ์ของผู้ขับขี่ได้ และพร้อมเตือนอันตรายที่อาจเกิดขึ้นหากผู้ขับขี่อยู่ในสภาพเหม่อลอย ร้านค้าที่สามารถจับความรู้สึก และรับรู้อารมณ์ของลูกค้าได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ที่สามารถเลือกสรรสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้

งานวิจัยเทคโนโลยีทางด้านนี้อาจแบ่งออกคร่าวๆ ได้เป็น 5 ด้านครับ ได้แก่ (1) เทคโนโลยีสำหรับการสื่อสารข้อมูลอารมณ์ ความรู้สึก หรือแสดงออกทางด้านความรู้สึกออกไป ไม่ว่าจะเป็นการแสดงทางรูปภาพ เสียง หรืออาการต่างๆ (2) เทคโนโลยีในการตรวจวัดอารมณ์ หรือตรวจจับความรู้สึกต่างๆ ของมนุษย์ รวมไปถึงการประเมินและทำนายว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น (3) เทคโนโลยีในการแสดงออกเพื่อตอบสนองทางด้านอารมณ์ต่างๆ กับมนุษย์ หรือการมีอันตรกริยาทางด้านอารมณ์และความรู้สึกกับมนุษย์ (4) เทคโนโลยีในการจำลองสภาพอารมณ์ภายในของจักรกลเอง กล่าวคือ ทำเสมือนกับว่าตัวจักรกลนั่นเองที่มีอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกับมนุษย์เรา (5) งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสังคมวิทยา ปรัชญา และจริยธรรมในเรื่องของการทำให้จักรกลมีสภาวะอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด และมีอันตรกริยาทางด้านอารมณ์และความรู้สึกกับตัวมนุษย์

ในตอนต่อๆ ไป ผมจะพยายามนำความก้าวหน้าในแต่ละด้านมาเล่าให้ฟังนะครับ .....

16 ธันวาคม 2553

Making Things Love - ทำโลกนี้ให้มีแต่รัก (ตอนที่ 1)


ต้องขอโทษด้วยครับ ที่ห่างหายไปจากบล็อกมานานนับเดือนเลยครับ ช่วงที่ผ่านมาตัวผมเองมีปัญหาบางอย่างที่ต้องแก้ไข จนไม่สามารถปันเวลามาแตะเรื่องนี้เลย แต่ว่า ... ตั้งแต่วันนี้ไปวิกฤตนั้นก็ได้ผ่านพ้นไปแล้วครับ ก็จะกลับมาบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่น่าสนใจในโลกของเทคโนโลยีระดับก้าวหน้ากันเช่นเคย ที่นี่ครับ ....

ในระยะหลังๆ ผมได้นำเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ของการรับรู้ (Cognitive Science) วิทยาศาสตร์จิตใจ (Mind Science) เรื่องของเทคโนโลยีในการรับรู้ลักษณะอารมณ์ การโมเดลอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ มาเล่าให้ฟังบ่อยๆ ส่วนหนึ่งมาจากความสนใจของผมเอง ที่กำลังศึกษาค้นคว้าในเรื่องนี้อยู่ และได้เริ่มทำวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไปบ้างแล้วครับ เพราะในอนาคตอันใกล้นี้ เทคโนโลยีเหล่านี้จะทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมันจะเป็นตัวเชื่อมและเปิดรอยต่อ พรมแดนที่เคยขวางกั้นระหว่างโลกของวัตถุและโลกของจิตใจ (Mind and Matter Interface) ซึ่งจะมีประโยชน์มากมายมหาศาลทั้งในด้านการบันเทิง การแพทย์ ยานยนตร์ การทหาร จริงๆ แล้ว หากถามว่านอกจากปัจจัยสี่แล้ว มนุษย์ต้องการอะไรอีก ผมก็จะตอบทันทีเลยว่า ก็ความสุขสนุกสนานไง และเทคโนโลยีเหล่านี้นี่เอง จะเป็นสิ่งที่สร้างรายได้ให้แก่ผู้ครอบครองมหาศาล

เมื่อปี ค.ศ. 2006 ศาสตราจารย์มาร์วิน มินสกี้ (Marvin Minsky) แห่ง MIT ได้เปิดตัวหนังสือเล่มหนึ่งออกมาที่มีชื่อว่า The Emotion Machine หนังสือเล่มนี้ได้เปิดแนวคิดเกี่ยวกับความคิด อารมณ์ ความรู้สึกของมนุษย์ ว่าเป็นกระบวนการทำงานของสมอง ที่มีขั้นตอนต่างๆ ที่แน่นอนชัดเจน นั่นคือ ความรู้สึกของมนุษย์อย่างหนึ่งอย่างใด ประกอบด้วยกระบวนการทำงานของเครือข่ายประสาทหลายขั้นตอน โดยขั้นตอนแต่ละขั้นตอนเหล่านั้น น่าจะสามารถจำลองหรือสร้างขึ้นมาบนจักรกลได้ และนี่ก็จะนำไปสู่การสร้างอารมณ์ประดิษฐ์ หรือ ความรู้สึกประดิษฐ์ ให้เกิดขึ้นบนจักรกลได้เช่นกัน

ว่ากันว่า คนที่จะเขียนหนังสือเกี่ยวกับจิตใจคนได้นั้น มีอยู่เพียง 3 จำพวกเท่านั้นก็คือ (1) นักปรัชญวิทยา หรือ นักจิตวิทยา (2) นักประสาทวิทยา และ (3) นักคอมพิวเตอร์ศาสตร์ผู้ที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) ศาสตราจารย์มินสกี้ท่านเป็นศาสตราจารย์ทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ ท่านเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกวงการปัญญาประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงมากเลยครับ นอกจากนั้นท่านยังเป็นอาจารย์ของ Eric Drexler ซึ่งเป็นบุคคลที่สำคัญมาก ต่อวงการนาโนเทคโนโลยี เพราะคนๆ นี้ก็คือคนที่รณรงค์ให้เกิดกระแสของนาโนเทคโนโลยีจนแพร่กระจายไปทั่วโลก

หนังสือเล่มนี้ได้อธิบายเรื่องของ สติ สามัญสำนึก (Common Sense) ความคิด อารมณ์ อย่างง่ายๆ ว่าเป็นกระบวนการในสมองหลายๆ ขั้นตอนมาทำงานร่วมกัน กระบวนการเหล่านี้เองที่เป็นตัวต่อ (Building Blocks) เพื่อสร้างความคิด หรือสภาวะอารมณ์ที่ซับซ้อน ซึ่งหากเราเข้าใจตัวต่อเหล่านี้ เราก็อาจจะจำลองความรู้สึก และอารมณ์ขึ้นมาได้บนจักรกล รวมไปถึงเรื่องของความรักด้วย ....

ครั้งหน้าเรามาคุยกันต่อนะครับ ....

02 พฤศจิกายน 2553

The Rise of Machines - เมื่อยุคของหุ่นยนต์มาถึงแล้ว (ตอนที่ 5)


เมื่อครั้งที่ผมยังเยาว์วัยอยู่นั้น ผมได้รับการปลูกฝังในเรื่องการดูแล รักษาความสะอาดบ้านมาจากคุณแม่ ในตอนนั้น เรากวาดบ้าน ถูบ้านกันวันละ 2 ครั้ง พื้นบ้านของเราต้องสะอาดเอี่ยม ไม่มีรอยเท้า ไม่มีเส้นผมตกหล่น และเมื่อมีใครทำอะไรหก เลอะเทอะ ก็จะต้องมีใครมาจัดการเก็บกวาด เช็ดถู ในทันที ปัจจุบันนี้ ถึงแม้ผมจะไม่ได้อาศัยอยู่กับท่านแล้ว แต่สิ่งนี้ก็ได้ซึมซับอยู่ในตัวผม ทุกวันนี้ พื้นบ้านของผมสะอาดกว่าห้องไอซียูในโรงพยาบาล แต่มาตรฐานความสะอาดนี้ก็ต้องแลกมาด้วยการเสียเวลา เช็ดถูบ้านกันวันละหลายหน จนในที่สุดผมก็มานั่งคิดว่าคงจะต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ซึ่งนั่นก็คือการตัดสินใจที่จะสั่งซื้อหุ่นยนต์ดูดฝุ่น และ หุ่นยนต์ถูบ้าน จำนวนอย่างละตัว มาทดสอบใช้งาน

ในปี ค.ศ. 2002 บริษัท iRobot ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้เปิดตัวหุ่นยนต์ดูดฝุ่นรูปร่างเหมือนแผ่นซีดี ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณหม้อหุงข้าว ที่มีชื่อว่า Roomba มันเป็นหุ่นยนต์สำหรับดูดฝุ่นที่ทำงานด้วยตัวเองตามโปรแกรมที่ตั้งไว้ โดยสามารถสแกนและจดจำลักษณะห้องที่มันอาศัยอยู่ และเมื่อมันปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายเสร็จสิ้น มันสามารถที่จะกลับมายังแท่นชาร์จแบตเตอรีด้วยตัวเอง ตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ เจ้า Roomba ได้รับการพัฒนาจนมีเวอร์ชันต่างๆ ออกมามากมาย ทั้งนี้เจ้า Roombaได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากพ่อบ้านแม่บ้านทั่วโลกด้วยยอดขายไปทั้งหมดแล้ว ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านตัว

เจ้าหุ่น Roomba นี้มีเซ็นเซอร์ตรวจวัดสัมผัส ทำให้มันสามารถถอยออกเมื่อมันเคลื่อนที่ไปแตะกับสิ่งของ นอกจากนั้นมันยังมีเซ็นเซอร์อินฟราเรดที่สามารถตรวจวัดความต่างระดับของพื้น เพื่อที่มันจะได้สามารถหลีกเลี่ยงการตกบันได้ หรือพื้นต่างระดับได้ มันยังมีเซ็นเซอร์เพื่อตรวจวัดฝุ่น หรือสิ่งสกปรก เพื่อที่มันจะได้ปฏิบัติการในบริเวณสกปรกนั้นได้มากเป็นพิเศษ Roomba ถูกออกแบบมาให้สามารถวิ่งข้ามสายไฟได้ แถมยังสามารถทำความสะอาดสายไฟยุ่งๆ เหล่านั้นได้อีกด้วย มันฉลาดพอที่จะไม่วิ่งเข้าไปติดในซอกแคบๆ ที่อาจจะหาทางออกไม่ได้ และเมื่อมันรู้ตัวว่า มันกำลังตกอยู่ในภาวะที่ไม่ปลอดภัย เช่น อยู่ใกล้พื้นต่างระดับอย่างฉิวเฉียด หรือเคลื่อนเข้าไปติดสิ่งกีดขวาง มันจะหยุดเคลื่อนที่ แล้วส่งเสียงเพลงอย่างเศร้าโศกออกมา เพื่อที่เจ้าของจะหามันเจอและเคลื่อนย้ายมันออกไปซะ

หลังจากเจ้า Roomba ออกมาสร้างความฮือฮาในตลาดหุ่นยนต์ทำความสะอาดบ้านได้ไม่กี่ปี ก็ได้มีบริษัทผู้ผลิตอื่นๆ ต่างพากันเปิดตัวหุ่นยนต์ทำความสะอาดออกมาเลียนแบบ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่า Roomba ... แต่มีหุ่นยนต์อยู่ตัวหนึ่งที่น่าสนใจครับ มันคือเจ้า Mint ซึ่งผลิตโดยบริษัท Evolution Robotics เจ้า Mint ไม่ใช่หุ่นยนต์ดูดฝุ่น แต่มันเป็นหุ่นยนต์ถูพื้นครับ โดยมันจะเคลื่อนที่เอาผ้าเปียกๆ ถูไปกับพื้นเพื่อทำความสะอาดคราบและฝุ่นต่างๆ มันมีระบบนำทางด้วยแสงอินฟราเรด ซึ่งจะสแกนขึ้นไปบนเพดานห้อง เพื่อที่มันจะได้รู้ว่าบริเวณไหนได้ถูไปแล้วบ้าง เจ้าหุ่นตัวนี้ ผมก็กำลังดูๆ อยู่ว่าจะสั่งเข้ามาได้ยังไง เพราะมันเพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน แถมบริษัทผู้ผลิตก็ยังไม่ส่งออกต่างประเทศโดยตรง ....

แล้วค่อยคุยกันต่อนะครับ ....

10 สิงหาคม 2553

Robot Evolution - หุ่นยนต์วิวัฒน์ (ตอนที่ 7)


เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมได้สั่งซื้อ Lego Mindstorms NXT 2.0 จากอเมริกา นัยว่าจะเอามาไว้ใช้สอนให้น้องโมเลกุล หัดเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และเรียนเรื่องหุ่นยนต์ตั้งแต่เยาว์วัย ทันทีที่เขาได้เห็นกล่องของเจ้าหุ่นยนต์ตัวนี้ที่ส่งมาถึงบ้านเรา รอยยิ้มน่ารักๆ ใสๆ ของเด็กผู้ชายคนหนึ่งก็เปล่งประกายออกมา เป็นรอยยิ้มที่ผมรู้สึกอิจฉาเหลือเกิน ผมใฝ่ฝันถึงหุ่นยนต์แบบนี้ ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเล็ก แต่ไม่เคยคาดคิดว่า หุ่นยนต์ที่สามารถทำอะไรต่างๆ ได้มากมายแบบนี้ จะกลายเป็นของเล่นของเด็กอายุ 10 ขวบในสมัยของลูกผมเอง

ตัวผมเองนั้น มองหุ่นยนต์ในมุมที่แตกต่างจากผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆในประเทศไทย ผมไม่ได้สนใจหุ่นยนต์เตะฟุตบอล หรือ หุ่นยนต์แข่งชู้ตบาส แต่ผมสนใจหุ่นยนต์หาแมลง หรือ หุ่นยนต์เฝ้าบ้าน มากกว่า น่าเสียดายเหลือเกินครับที่ประเทศไทยของเรา ได้ไปคว้าชัย ได้ถ้วยแข่งขันเกี่ยวกับหุ่นยนต์มามากมาย แต่เรากลับมีความก้าวหน้าทางด้านหุ่นยนต์น้อยมาก ทั้งนี้ เป็นเพราะว่า เราไม่ได้ให้ความสำคัญในสิ่งที่เป็นหัวใจของหุ่นยนต์ ซึ่งนั่นก็คือ "ปัญญา" (Intelligence) รวมไปถึงเรื่องของสัมผัส (Sense) และอารมณ์ (Emotion) ซึ่งเป็นด้านอ่อน (Soft Side) ของหุ่นยนต์

เมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว ทางสหภาพยุโรปได้มีการจัดตั้งคอนซอร์เทียมที่เกี่ยวกับหุ่นยนต์ขึ้นมา มีชื่อน่ารักๆ ว่า FEELIX GROWING ซึ่งย่อมาจาก "FEEL, Interact, eXpress: a Global approach to development with interdisciplinary grounding" โดยมีกลุ่มวิจัยหลากหลายศาสตร์ เช่น หุ่นยนต์ จิตวิทยา ประสาทวิทยา วิศวกรรมไฟฟ้า เป็นต้น จาก 6 ประเทศ ได้เข้ามาร่วมมือกัน เพื่อพัฒนาหุ่นยนต์ที่สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากมนุษย์ได้ รวมทั้งสามารถตอบสนองต่อมนุษย์ในเชิงสังคม และเชิงอารมณ์ อย่างมีเหตุมีผล โดยนักวิจัยวางเป้าหมายว่า จะสามารถทำให้หุ่นยนต์ในอนาคตสามารถจะอยู่ในสังคมมนุษย์เพื่อทำหน้าที่ต่างๆ ได้อย่างราบรื่น ดังนั้นหุ่นยนต์ควรจะสามารถรู้จักอารมณ์ประเภทต่างๆ ของมนุษย์เรา เช่น ความโกรธ ความกลัว เพื่อที่มันจะปรับพฤติกรรมตัวเองให้เหมาะสมกับสถานการณ์เหล่านั้นได้

การที่หุ่นยนต์จะแยกแยะอารมณ์ของมนุษย์ได้ มันจะต้องสามารถรับรู้ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็น การเคลื่อนไหวของร่างกายมนุษย์ การแสดงออกทางสีหน้า ท่าทางและอากัปกริยาต่างๆ การแสดงออกทางสายตา เป็นต้น ซึ่งจริงๆ แล้ว ในแต่ละวัฒนธรรมก็มีการแสดงออกได้แตกต่างกัน แต่โครงการนี้จะเน้นไปที่ลักษณะทั่วๆ ไปของมนุษย์ ไม่ว่าจะชาติพันธุ์ใดก็ตาม โครงการนี้จะไม่เน้นการพัฒนาตัวฮาร์ดแวร์ของหุ่นยนต์ แต่จะใช้การนำฮาร์ดแวร์ที่มีอยู่แล้วในท้องตลาดมาใช้ ยกเว้นส่วนของใบหน้าหุ่นยนต์เท่านั้น ที่จะต้องทำขึ้นใหม่ เพื่อที่จะทำให้หุ่นยนต์สามารถแสดงอารมณ์ทางใบหน้าได้

นี่ล่ะครับ คือประเด็นที่ผมจะสอนลูก ในการโปรแกรมหุ่นยนต์ตัวแรกของเขา เพราะสิ่งนี้ก็คืออนาคต

08 เมษายน 2553

Robot Evolution - หุ่นยนต์วิวัฒน์ (ตอนที่ 6)


ในทางพุทธศาสนา เรามีความเชื่อว่ามนุษย์มีระดับสติ หรือความระลึกรู้ที่สูงกว่าสัตว์อื่นๆ มาก แม้แต่มนุษย์ด้วยกันก็มีระดับของสติต่างกัน พระอริยะบุคคลมีพลังของสติไวกว่ามนุษย์ปุถุชนทั่วไปมาก ท่านจึงรู้ตัวและสามารถระงับอารมณ์ หรือความอยากได้ทันท่วงที ซึ่งทำให้ท่านเหล่านั้นรู้เท่าทันภาวะความเป็นไป ของสิ่งที่มากระทบผัสสะต่างๆของท่าน


แต่มีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งที่เชื่อว่า สติหรือความระลึกรู้ เป็นเพียงซอฟต์แวร์ที่รันอยู่ในสมอง สามารถโมเดลด้วยคณิตศาสตร์ได้ อีกทั้งยังสร้างเพื่อนำไปใส่ในจักรกลได้ ศาสตร์นี้เราเรียกว่า สติประดิษฐ์ (Artificial Conciousness หรือ Machine Conciousness) ซึ่งเป็นหัวข้อที่กำลังมาแรงมากครับ ถึงขนาดที่มีวารสารวิจัยของประชาคมเขาเลย วารสารนี้มีชื่อว่า International Journal of Machine Conciousness ซึ่งเป็นวารสารสำหรับรายงานผลงานวิจัย ที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีพื้นฐาน ที่อธิบายการทำงานของสติประดิษฐ์ การออกแบบและพัฒนาจักรกลที่เลียนแบบการทำงานของมนุษย์ ความรู้ความเข้าใจในเรื่องสติและความระลึกรู้ เป็นต้น

ก่อนหน้านี้ได้เคยมีการออกแบบหุ่นยนต์ ที่มีความสามารถในการซ่อมแซม หรือรักษาตัวเอง หากมีความเสียหายเกิดขึ้น หุ่นยนต์ตัวนี้จะมีการทบทวนตนเองอยู่ตลอดเวลา (ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของสติ) ว่าตัวมันเองนั้นมีความสมบูรณ์ในการทำงานหรือไม่ มันจะคอยตรวจสอบตัวมันเอง หากมีอวัยวะส่วนใดบกพร่อง มันจะหาทางใช้งานส่วนที่เหลือ เพื่อให้มันยังปฏิบัติภารกิจได้ การรู้จักพิจารณาตนเองนี้ เป็นสมบัติของมนุษย์ ซึ่งการที่เราสามารถพัฒนาสมบัตินี้ให้หุ่นยนต์ ก็เท่ากับว่าเราสามารถทำให้หุ่นยนต์มีลักษณะใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้น

นักวิทยาศาสตร์ ได้ระบุอย่างคร่าวๆ ว่า ถ้าหากจะสร้างสติประดิษฐ์ขึ้นมา ก็ควรจะมีองค์ประกอบเหล่านี้ คือ (1) Awareness การรับรู้ข้อมูลที่เข้ามาทางผัสสะ ในทางพุทธศาสนาเราเรียกว่า "รูป" (2) Learning เมื่อมีการรับรู้เข้ามาแล้ว เกิดการเรียนรู้ว่าข้อมูลนั้นคืออะไร หรือที่เรารู้จักกันในทางพุทธศาสนาในชื่อว่า "เวทนา" แปลกไหมครับว่าความรู้พวกนี้ พุทธศาสนารู้มานานแล้ว (3) Anticipation เป็นความคาดหมายว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป โดยอาศัยความจำที่มีมาแต่ก่อน ในพุทธศาสนาเราเรียกว่า "สัญญา" (4) Subjective Experience ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่เหมือนมีตัวตน ระลึกถึงความมีอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับฝรั่งชาติตะวันตกที่จะเข้าใจ แต่ในศาสนาพุทธเราอาจเรียกว่านี่คือ "สังขาร หรือ วิญญาณ" ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของขันธุ์ 5

เข้าใจยากใช่มั้ยครับ วันหลังมาคุยเรื่องนี้ต่อครับ .....

23 กุมภาพันธ์ 2553

The Rise of Machines - เมื่อยุคของหุ่นยนต์มาถึงแล้ว (ตอนที่ 4)


เมื่อ 20 กว่าปีมาแล้ว บิล เกตส์ ได้พัฒนาระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ที่มีชื่อว่า MSDOS ซึ่งทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์กลายมาเป็นสินค้าที่ชาวบ้านร้านตลาดมีสิทธิ์ใช้ได้ เพราะก่อนหน้านี้ คอมพิวเตอร์เป็นของที่มีให้ใช้กันเฉพาะในบริษัทใหญ่ๆ กับหน่วยงานทางด้านความมั่นคงของรัฐบาลใช้กันเท่านั้น ทั้งนี้เพราะว่า การที่จะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้ จะต้องอาศัยวิศวกรที่มีความรู้เรื่องฮาร์ดแวร์จริงๆ โดยจะต้องเขียนโปรแกรมเพื่อที่จะติดต่อกับเครื่องเอง แต่หลังจากมีระบบปฎิบัติการ หรือ OS (Operating System) ขึ้นมาแล้ว การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ก็ง่ายขึ้น เพราะ OS จะเป็นตัวกลางในการติดต่อกับเครื่องทั้งหมด ทำให้การพัฒนาซอฟต์แวร์ถูกแยกออกมาจากฮาร์ดแวร์เกือบจะสิ้นเชิง คนที่เขียนโปรแกรมไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเครื่องทำงานอย่างไรก็ยังสามารถพัฒนาโปรแกรม ที่ทำงานบนคอมพิวเตอร์นั้นได้

ในปี ค.ศ. 2006 ได้มีการก่อตั้งหน่วยบ่มเพาะเทคโนโลยี และห้องปฎิบัติการวิจัยหุ่นยนต์ ที่มีชื่อว่า Willow Garage ซึ่งริเริ่มโดย Scott Hassan อดีตพนักงานของบริษัทกูเกิ้ล เขาเป็นหนึ่งในนักพัฒนาเทคโนโลยี search ของกูเกิ้ล แต่ได้ลาออกมาเป็นนักล่าฝันของตนเอง หลังจากได้เงินก้อนโตมาจากการขายหุ้นกูเกิ้ลของเขา Willow Garage มีความฝันที่จะทำให้เกิดหุ่นยนต์ส่วนบุคคล (Personal Robot หรือ PR) เฉกเช่นกับที่เคยเกิดกับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer หรือ PC) มาแล้ว ด้วยการพัฒนาระบบปฎิบัติการหุ่นยนต์ หรือ Robot Operating System (ROS) ซึ่งจะเป็นระบบซอฟต์แวร์ที่เชื่อมต่อกับหุ่นยนต์ เพื่อทำงานพื้นฐานต่างๆ ทำให้นักพัฒนาโปรแกรมของหุ่นยนต์ไม่จำเป็นต้องรู้ระบบฮาร์ดแวร์ของหุ่นยนต์ ทั้งนี้จะเป็นการแยกฮาร์ดแวร์ของหุ่นยนต์ ออกจาก ซอฟต์แวร์ ดังนั้นโปรแกรมที่เราเขียนขึ้นมาสำหรับหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง จะสามารถย้ายไปเล่นกับหุ่นยนต์ยี่ห้ออื่นๆ ได้

นี่แหล่ะครับ คือจุดเริ่มต้นของยุคไอทียุคที่สอง หุ่นยนต์จะกลายเป็นของที่ซื้อมาโปรแกรมเองได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องเรียนระดับมหาวิทยาลัยก็สามารถเป็นนักหุ่นยนต์ศาสตร์ได้ครับ .....

11 มกราคม 2553

The Rise of Machines - เมื่อยุคของหุ่นยนต์มาถึงแล้ว (ตอนที่ 3)


ปี ค.ศ. 2010 จะมีเรื่องเร้าใจอีกเรื่องที่น่าติดตามครับ นั่นคือ การที่หุ่นยนต์อาจจะกลายมาเป็นสินค้าที่ซื้อหามาใช้งานได้เหมือน iPhone แถมยังอาจจะสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชันต่างๆ เข้ามาไว้ในตัวหุ่นได้ บนเครื่อง iPhone นั้น หากเราอยากได้โปรแกรมอะไรเพื่อมาใช้งานในเครื่องของเรา เราจะเข้า App Store แล้วโหลดโปรแกรมต่างๆ เข้ามาในเครื่อง ปัจจุบันมีโปรแกรมอยู่มากกว่า 100,000 รายการให้ใช้ครับ มีโปรแกรมใหม่ๆ ถูกบรรจุเข้าไปใน App Store ทุกวัน iPhone จึงเปรียบประดุจเครื่องคอมพิวเตอร์มือถือ ที่มีซอฟต์แวร์หลากหลายให้ใช้มากที่สุด

ลองนึกดูว่าหากเรามีหุ่นยนต์ที่มีลักษณะคล้ายๆ iPhone คือถูกออกแบบมาให้สามารถที่จะโหลดโปรแกรม เข้ามาใช้งานได้ในภายหลัง จะดีมากแค่ไหนครับ? เพราะปัจจุบัน หากเราซื้อหุ่นยนต์มาใช้ มันจะถูกบรรจุโปรแกรมเอาไว้ค่อนข้างตายตัว หากเราต้องการจะนำโปรแกรมที่คนอื่นเขียน เข้ามาใส่ในหุ่นยนต์ มันจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากครับ

แต่ในอนาคต สิ่งนี้จะเปลี่ยนไป โครงการที่มีชื่อว่า Robot Operating System (ROS) จะทำให้หุ่นยนต์ทำงานภายใต้ระบบปฏิบัติการ (Operating System) เหมือนกับคอมพิวเตอร์ที่มี Windows หรือ Mac OS หรือ Linux ที่ทำงานรองรับโปรแกรมต่างๆ เจ้า ROS จะเป็นพื้นฐานให้หุ่นยนต์ โดยมันจะทำงานพื้นฐานต่างๆ เช่น การควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ มอเตอร์ เซอร์โว การรับข้อมูลจากเซ็นเซอร์ รวมทั้งจะมีไลบราลีสำหรับทำงานพื้นฐาน เพื่อให้โปรแกรมที่เขียนขึ้นมาใหม่ สามารถเรียกชุดคำสั่งเหล่านี้มาใช้งานได้

ดังนั้นเมื่อเราซื้อหุ่นยนต์ที่มี ROS มาใช้ เราก็อาจจะเข้า Robot App Store เพื่อโหลดโปรแกรมใหม่ๆ มาใส่ได้เช่นเดียวกับ iPhone ไงครับ .....