แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Education แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Education แสดงบทความทั้งหมด

19 มิถุนายน 2556

Disruptive Education - การศึกษาแบบทะลุทะลวงโลก (ตอนที่ 5)


(Picture from www.stanford.edu)

เห็นเด็กมัธยมสมัยนี้แห่กันไปเรียนกวดวิชา  เพื่อที่จะสามารถทำคะแนนสอบเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัย แล้วผมรู้สึกสงสารประเทศไทยเหลือเกินครับ สถาบันกวดวิชาที่เปิดเป็นดอกเห็ดเหล่านั้น ก็ไม่ได้สอนให้เด็กฉลาดหรือเก่งขึ้นเลย แต่เป็นการสอนเคล็ดลับการทำโจทย์ข้อสอบมากกว่า ซึ่งเด็กที่ไปเรียน นอกจากเสียทั้งเงินจำนวนมากแล้ว ยังเสียเวลา แทนที่จะเอาเวลาเหล่านั้นไปเรียนรู้สิ่งที่จะมีประโยชน์ ที่จะสามารถใช้ทำมาหากินในอนาคตได้ ทว่า ... เด็กๆ พ่อแม่ผู้ปกครองก็ยอมเสียเงิน เสียเวลา ด้วยความหวังว่า การได้เข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยมีชื่อ จะช่วยคืนทุนในอนาคตได้ .... แต่เปล่าเลยครับ เด็กๆ ที่เคยชินกับการป้อนความรู้แบบจานด่วนเหล่านี้ จะไม่มีทักษะในการเรียนรู้เองได้ในระดับมหาวิทยาลัย เขาเหล่านั้นจะมุ่งเรียนเพื่อเอาเกรดไม่ใช่ความรู้ หรือ ทักษะที่ทำให้เกิดการได้เปรียบในการทำงานในอนาคต เมื่อเด็กเหล่านี้จบมาก็จะรับเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท เหมือนคนอื่นๆ 

น่าสงสารประเทศไทยที่เราเลี้ยงดูเด็กด้วยระบบติวเตอร์ แทนที่จะให้เด็กได้มีโอกาสเรียนรู้ด้วยตัวเอง ยกตัวอย่างนะครับ การแข่งขัน คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยาโอลิมปิก ประเทศไทยมีเด็กไปได้เหรียญทอง เงิน ทองแดง มานับไม่ถ้วน บางปีเราได้เหรียญมากกว่าประเทศที่ฉลาดกว่าเรา ไม่ว่าญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เป็นต้น เราอาจจะเผลอคิดว่า เด็กไทยเราฉลาดนะเนี่ยสามารถคว้าเหรียญมาได้ตั้งเยอะ แต่ .... เปล่าเลยครับ เด็กโอลิมปิกเหล่านั้นไม่ได้ฉลาดกว่าเด็กประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น แต่เพราะการติวโจทย์ต่างหาก เราใช้ทีมอาจารย์มหาวิทยาลัย ครูพี่เลี้ยง จำนวนมาก เพื่อติวข้อสอบเด็กเหล่านั้นจนได้เหรียญ ไม่ใช่เพราะเด็กเหล่านั้นฉลาด ... ไม่งั้นประเทศไทยก็คงเจริญกว่านี้ไปไหนต่อไหนแล้วครับ ไม่ต้องเป็นประเทศรายได้ปานกลางแบบนี้หรอกครับ แล้วไงครับ ผ่านมาหลายๆ ปีแล้ว เด็กเหรียญทองโอลิมปิกพวกนี้หายไปไหนกันหมด ทำไมเราไม่มีนักประดิษฐ์ นวัตกร วิศวกรเก่งๆ ที่มาจากเด็กเหล่านี้เลย กลายเป็นว่า คนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จ สร้างตัว สร้างกิจการ เป็นวัยรุ่นพันล้าน กลับเป็นคนที่ครั้งหนึ่งเกือบเรียนไม่จบ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น

ลองมาดูอีกตัวอย่างหนึ่งกันครับ ในยุคหลังเราเริ่มมีโรงเรียนวิทยาศาสตร์มากขึ้น บางโรงเรียนก็เป็นระบบกิน-นอน คือ เรียนและใช้ชีวิตในโรงเรียนไปเลย สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เด็กที่ไปเรียนโรงเรียนเหล่านี้ ก็ไม่พ้นถูกครอบงำด้วยระบบติวเตอร์ เด็กๆ ถูกอัดด้วยเนื้อหาวิชาอย่างเข้มข้น อีกทั้งยังเรียนเกินวัย เช่น เรียนวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ที่สอนในชั้นปี 2 ของมหาวิทยาลัย โรงเรียนมีการส่งเด็กเหล่านี้ไปฝึกทำวิจัยกับอาจารย์ในมหาวิทยาลัยด้วย สิ่งที่ผมได้มีโอกาสเรียนรู้จากเด็กๆ 2-3 รุ่นก็คือ

- เด็กเหล่านี้ไม่มีความเป็นเด็ก ขาดจินตนาการ คิดนอกกรอบไม่เป็น
- เด็กเหล่านี้ไม่มีความสดชื่น หน้าตาตึงเครียดตลอดเวลา พูดเล่นด้วยไม่หัวเราะ
- เด็กเหล่านี้มีความคิดว่าตนเองเก่ง ฉลาด และมีความคาดหวังสูงในการได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง เมื่อได้รับคำชมเด็กเหล่านี้จะรู้สึกว่าตนเองสมควรได้รับอยู่แล้ว แต่เมื่อได้รับการติเตียน เด็กเหล่านี้จะทำใจไม่ได้
- เด็กเหล่านี้ถูกโอ้โลมมาเยอะ ได้รับการเอาใจใส่สูงในระบบติวเตอร์ เด็กจึงไม่พร้อมจะผิดพลาดหรือล้มเหลว ทั้งๆ ที่การล้มเหลวคือกระบวนการเรียนรู้ และสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน แก่ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตเกือบทั้งนั้น
- เด็กเหล่านี้มีจริยธรรมในการทำงานไม่ได้มาตรฐาน เด็กมีตารางกิจกรรมแน่น แต่อยากจะทำให้ได้ทุกอย่าง ทำให้มากหรือเก่งกว่าเพื่อน เด็กหลายคนไม่รู้จักเรื่องของบุญคุณ
- เด็กเหล่านี้ขาดทักษะทางสังคม มีปัญหาในการสื่อสารกับคนอื่นๆ

สำหรับเด็กๆ ของ คุณพ่อ คุณแม่ทั้งหลาย ที่ไม่ได้ใช้บริการระบบติวเตอร์เหล่านี้ ผมก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ ที่บุตรหลานของท่านมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในตลาดแรงงานยุคใหม่ในอีก 10 ปีข้างหน้าครับ เพราะยุคหน้า เด็กๆ ที่เรียนรู้แบบทะลุทะลวงโลกเท่านั้นครับ จึงจะประสบความสำเร็จ !!!

12 มกราคม 2556

Disruptive Education - การศึกษาแบบทะลุทะลวงโลก (ตอนที่ 4)



(Picture from http://www.sfgate.com/)

เวลาที่ผมได้ยินว่าผู้ประกอบการไทยโอดครวญต่างๆ นานา ต่อนโยบายค่าแรง 300 บาท บางรายก็ขู่จะเลิกกิจการ คนเหล่านั้นบ่นว่าเดือดร้อนจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จนไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ผมจะรู้สึกสะท้อนใจที่ผู้ประกอบการเหล่านั้น ช่างขาดจิตสำนึก ในเรื่องของมนุษยธรรม ผู้ประกอบการเหล่านี้ยอมจ่ายค่าเทคโนโลยีแพงแสนแพงที่ซื้อมาจากต่างประเทศ แต่กลับไม่ยอมจ่ายเงินให้แก่มนุษย์ คนงานที่ทำงานให้แก่พวกเขา ทั้งๆ ที่คนเหล่านี้ต้องกินข้าว ต้องดำรงชีวิต ต้องเลี้ยงครอบครัว และนี่เป็นโอกาสในชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ผู้ประกอบการเหล่านี้ ซึ่งมีความสุขสบายกับเรื่องค่าแรงที่ถูกแสนถูกของประเทศไทย จนไม่คิดที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพของกิจการตัวเองด้วยเทคโนโลยีเลย ผมจึงคิดว่า ถ้าการขึ้นค่าแรงจนเป็นผลให้กิจการประเภทนี้สูญพันธุ์ไปเลย ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีนะครับ เพราะสุดท้ายในตลาดเสรีทุนนิยม ก็ย่อมจะมีผู้ประกอบการพันธุ์ใหม่ ที่มีความสามารถในการบริหารธุรกิจที่เก่งกว่า เข้ามาแทนที่

สำหรับผู้ประกอบการอื่นๆ ที่สามารถเอาตัวรอด นี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะต้องเตรียมตัวเตรียมใจ กับแนวโน้มที่ผมขอเรียกว่า Megatrends ที่จะเกิดขึ้น นั่นคือ ประเทศไทยกำลังจะหมดยุคแรงงานราคาถูก เรากำลังจะเข้าสู่ยุคที่จำนวนของแรงงานหนุ่มสาวลดลงไป เนื่องจากเด็กเกิดใหม่น้อยลง และมีผู้สูงวัยมากขึ้น ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประมาณว่าในปี ค.ศ. 2007 มีประชากรผู้สูงวัย (อายุมากกว่า 60 ปี) อยู่ 7 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งหมด 65.7 ล้านคน (คิดเป็นร้อยละ 11) และจะเพิ่มจำนวนขึ้นไปเป็น 14.5 ล้านคน จากประชากรทั้งหมด 72 ล้านคน (คิดเป็นร้อยละ 20) ในปี ค.ศ. 2025 ตามหลักสากลนั้น ประเทศที่ถูกจัดว่าเป็นสังคมผู้สูงวัยจะต้องมีสัดส่วนจำนวนประชากรผู้สูงวัย (อายุมากกว่า 60 ปี) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 7 ดังนั้นจึงจัดได้ว่า ประเทศไทยได้เข้าสู่ประเทศของสังคมผู้สูงวัย ไปเรียบร้อยแล้ว

ประเทศไทย และประเทศอื่นๆ ในโลกที่เข้าสู่ Megatrends อันนี้ จะต้องปรับตัว ซึ่งผมมองโอกาส หรือสิ่งที่ควรจะทำ 3 แนวทางครับ คือ

(1) นำแรงงานของผู้สูงวัยกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ด้วยการให้ผู้สูงวัยสามารถทำงานที่บ้านได้ โดยการช่วยเหลือจากเทคโนโลยีต่างๆ การปรับระบบการศึกษาให้เป็น Online Education ทำมหาวิทยาลัยให้เป็น Online University เพิ่มโอกาสให้ผู้สูงอายุสามารถเรียนรู้ศาสตร์ใหม่ๆ เทคโนโลยีและทักษะทางอาชีพใหม่ๆ ได้โดยไม่ต้องเดินทางมาเรียนที่สถาบันการศึกษา ทำให้ผู้สูงวัยเพิ่มพูนความรู้แบบก้าวกระโดด และสามารถมีส่วนร่วมในระบบเศรษฐกิจได้ด้วยค่าใช้จ่ายที่ต่ำลง

(2) นำแรงงานเด็กในวัยเรียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ปัจจุบันเด็กใช้เวลาทั้งหมดในวัยเรียนเพื่อเรียนอย่างเดียว แต่การศึกษาแบบใหม่ จะทะลุทะลวงโลก และจะสามารถนำศักยภาพของเด็กมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจได้ ระบบ Online Education จะทำให้เด็กเรียนรู้ได้เร็วขึ้น จบมหาวิทยาลัยเร็วขึ้น และในระหว่างเรียน เด็กก็สามารถรับ Job และทำงานไปเรียนไป สร้างรายได้ และเงินหมุนเวียนแก่ระบบเศรษฐกิจ หากการศึกษาไทยปรับเวลาให้เด็กเรียนแค่ครึ่งเช้า เด็กๆ สามารถเอาเวลาช่วงบ่ายไปทำงานได้ โดยสามารถรับ job ทำงานผ่านระบบอินเตอร์เน็ต เช่น การเขียนโปรแกรม สร้างคอนเท้นด์ ทำงานอาร์ทเวิร์คให้บริษัททางด้านเอนเทอร์เทนเม้นท์  เทคโนโลยีใหม่ๆ แบบ Collaborative Software จะช่วยทำให้กระจายงานให้คนจำนวนมากช่วยกันทำ ซึ่งแรงงานเด็กเหล่านี้มีราคาถูก และน้องๆ เหล่านั้นสามารถทำงานจากที่บ้านได้

(3) นำแรงงานหุ่นยนต์ หรือเทคโนโลยีเครื่องทุ่นแรงเข้ามาใช้ อะไรที่เคยใช้คนทำ เราต้องพยายามให้เทคโนโลยีทำงานแทนมนุษย์ให้มากขึ้น นี่เป็นโอกาสดีที่เราจะค่อยๆ เห็นผู้ประกอบการพันธุ์ใหม่ นำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำให้การทำงาน การผลิตสินค้า มีประสิทธิภาพมากขึ้น ใช้แรงงานคนน้อยลง หรือถ้าจะใช้แรงงานคน ก็ต้องใช้คนที่ฉลาดขึ้น การศึกษาแบบใหม่จะช่วยให้ผู้ประกอบการเทรนพนักงงานได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงสามารถแจกจ่ายงานไปยังแรงงานที่ทำงานที่บ้านได้ง่ายขึ้นด้วย

ตอนนี้ประเทศไทยของเรา ได้ชื่อว่ามีระบบการศึกษาที่ติดอันดับยอดแย่ในอาเซียน แต่ผมก็ยังหวังว่า ถ้าเราหาโอกาสเหมาะๆ เขย่งก้าวกระโดดแบบก้าวไกลๆ ให้ได้สักครั้ง เราอาจจะแซงหน้าประเทศอื่นในการกระโดดแค่ครั้งเดียว ... และนี่เอง เราจึงต้องการ Disruptive Education

22 กันยายน 2555

Disruptive Education - การศึกษาแบบทะลุทะลวงโลก (ตอนที่ 3)


(ภาพจาก Flickr.com)

ในภาพยนตร์เรื่อง Avatar ตอนที่นางเอกพาพระเอกไปหัดขี่มังกร นางเอกได้สอนให้พระเอกเอาปลายของมวยผม เชื่อมเข้ากับปลายหนวดของมังกร ซึ่งจะทำให้ข้อมูลของพระเอกถูกเชื่อมโยงเข้ากับข้อมูลในตัวของมังกร ทำให้ทั้งพระเอกและมังกรสามารถเรียนรู้กันและกันได้ดีขึ้น หนังเรื่องนี้ยังได้แสดงให้เห็นตัวอย่างของการเชื่อมข้อมูลระหว่างสิ่งมีชีวิตอีกหลายครั้ง เช่น พระเอกได้ถ่ายเทข้อมูลชีวิตของตัวเองทั้งหมด ออกจากร่างกายที่เป็นมนุษย์พิการ ไปสู่ร่าง Avatar ผ่านต้นไม้อัจฉริยะที่มีชื่อว่า Eywa

คงจะดีไม่น้อยนะครับ ถ้าเราจะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ด้วยการเชื่อมสมองของเรากับข้อมูลความรู้ได้โดยตรง ตอนที่ผมยังเด็กผมชอบเอาหนังสือมาหนุนหัว เพราะผู้ใหญ่ชอบพูดแหย่อยู่เสมอว่า มันจะช่วยทำให้ความรู้ซึมเข้าสู่สมองได้ ลองคิดดูนะครับ ทุกวันนี้คนที่จบปริญญาเอกจะต้องเรียนกี่ปีถึงจะได้ใช้คำว่า ดร. นำหน้า ประถม 6 ปี มัธยม 6 ปี ปริญญาตรี 4 ปี โท+เอก อีก 5 ปี (อย่างเร็วนะครับ เพราะส่วนใหญ่ โท+เอก ในเมืองไทย มักจะใช้เวลาประมาณ 7 ปี) รวมทั้งหมด 21 ปี !!!! อะไรกันครับเนี่ย เราเสียเวลาไปถึง 21 ปี กว่าจะได้ทำอะไรที่มันเกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจ เราต้องใช้เวลาเรียนอย่างเดียวถึง 21 ปี เพื่อที่จะออกมาทำงาน โดยที่สิ่งที่เรียนมา อาจจะใช้ประโยชน์ได้น้อย แถมยังต้องมาเรียนรู้เพิ่มเติมทีหลังอีก ถึงจะนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีรายงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Neural Engineering (รายละเอียดเพื่อการอ้างอิง Robert E Hampson, Greg A Gerhardt, Vasilis Marmarelis, Dong Song, Ioan Opris, Lucas Santos, Theodore W Berger and Sam A Deadwyler, "Facilitation and restoration of cognitive function in primate prefrontal cortex by a neuroprosthesis that utilizes minicolumn-specific neural firing", Journal of Neural Engineering 9 (2012) 056012, doi:10.1088/1741-2560/9/5/056012) นักวิจัยได้ฝังชิพลงไปในสมองของลิง ซึ่งช่วยให้ลิงเรียนรู้ได้เร็วขึ้น โดยนักวิจัยได้ทดลองฉีดสารโคเคนเข้าไปในลิง เพื่อทำให้ลิงมีความสามารถในการคิดและตัดสินใจช้าลง หลังจากนักวิจัยจึงป้อนกระแสไฟฟ้าเข้าไปสู่ไมโครชิพที่ติดตั้งในสมองลิง เพื่อให้ไมโครชิพเริ่มทำงาน ผลปรากฎว่าลิงสามารถกลับมาคิดเร็วได้เหมือนเดิม นี่เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า ในอนาคตมนุษย์เราเองสามารถที่จะฝังสมองกลแบบนี้เข้าไปในสมองของเรา เพื่อช่วยให้เรามีสมองได้ดีขึ้นเช่นกันครับ


ปัจจุบันประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย เรามีเด็กเกิดใหม่น้อยลงเรื่อยๆ ทำให้ประเทศไทยกำลังจะกลายเป็นประเทศที่ขาดแคลนแรงงานในอนาคต ทางออกหนึ่งที่เรามักใช้ก็คือการนำเข้าแรงงานจากต่างประเทศ ซึ่งก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาระยะยาว ดังนั้น เรามีทางเลือกอยู่ 2 ทางตอนนี้คือ

(1) นำแรงงานของผู้สูงวัยกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ด้วยการให้ผู้สูงวัยสามารถทำงานที่บ้านได้ โดยการช่วยเหลือจากเทคโนโลยีต่างๆ การปรับระบบการศึกษาให้เป็น Online Education จะทำให้ผู้สูงอายุสามารถเรียนรู้ศาสตร์ใหม่ๆ ได้โดยไม่ต้องเดินทางมาเรียนที่สถาบันการศึกษา ทำให้ผู้สูงวัยเพิ่มพูนความรู้แบบก้าวกระโดด และสามารถมีส่วนร่วมในระบบเศรษฐกิจได้ด้วยค่าใช้จ่ายที่ต่ำลง

(2) นำแรงงานเด็กในวัยเรียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ปัจจุบันเด็กใช้เวลาทั้งหมดในวัยเรียนเพื่อเรียนอย่างเดียว แต่การศึกษาแบบใหม่ จะทะลุทะลวงโลก และจะสามารถนำศักยภาพของเด็กมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจได้ ระบบ Online Education จะทำให้เด็กเรียนรู้ได้เร็วขึ้น จบมหาวิทยาลัยเร็วขึ้น และในระหว่างเรียน เด็กก็สามารถรับ Job และทำงานไปเรียนไป สร้างรายได้ และเงินหมุนเวียนแก่ระบบเศรษฐกิจ

ถึงเวลาหรือยังครับ ที่เด็กไทยจะก้าวออกจากวงจรการเรียนพิเศษ การติวเข้ม เพื่อมุ่งเข้ามหาวิทยาลัย การเรียนแบบนั้นไม่ได้ทำให้เกิดความรู้ ไม่ได้สร้างทักษะพิเศษให้เด็ก และไม่ได้ทำให้เด็กมีความสามารถเพิ่มขึ้นในการหารายได้ในอนาคตเลย เด็กที่ฉลาด เด็กที่มีวิสัยทัศน์จะไม่ไปเรียนพิเศษแบบนั้น แต่จะเลือกเรียนในสิ่งที่เพิ่มพูนทักษะของเขา และสามารถนำสิ่งที่เรียนมาหารายได้ เช่น การเรียนภาษาที่ 3 ภาษาที่ 4 การเรียนทำอะนิเมชั่น การเรียนทำกราฟิกส์ หรือเรียนเรื่องการเงิน การลงทุน ... นี่สิครับ ผมถึงจะเรียกว่าเป็นการศึกษาแบบทะลุทะลวงโลก .... 



30 สิงหาคม 2555

Disruptive Education - การศึกษาแบบทะลุทะลวงโลก (ตอนที่ 2)



(Picture from http://bokis.is/ancient-education/)

สมัยผมยังเป็นนักเรียน ม.ปลาย อยู่ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ตอนนั้นยังมีระบบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยอยู่ครับ ซึ่งคนที่จะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของรัฐ จะต้องสอบคัดเลือก โดยมีสิทธิ์เลือกได้ 6 อันดับ สิ่งที่กวนใจผมมากคือ เวลาผมไปดูว่าเพื่อนเลือกคณะอะไร แล้วผมไปเห็นว่าเพื่อนๆ หลายคน เลือกอันดับคณะต่างๆ ได้มั่วมาก เช่น 1. แพทย์จุฬาฯ 2. แพทย์เชียงใหม่ 3. วิศวจุฬาฯ 4. ทันตแพทย์ จุฬา 5. วิศวเชียงใหม่ 6. เภสัช จุฬาฯ ผมถามเพื่อนว่า "เฮ้ย ... ตกลง เอ็งอยากจะเป็นอะไรกันแน่วะ"

เด็กสมัยผม หรือแม้กระทั่ง เด็กสมัยนี้ มีสิ่งหนึ่งที่ยังเหมือนกันครับ คือ ยังไม่รู้ว่าตัวเองโตขึ้นอยากทำอะไร อยากเรียนอะไร อยากเป็นอะไร ถนัดทำอะไร เราเลือกเป็นในสิ่งที่เราเรียน และ เราเลือกเรียน ตามระดับคะแนนที่เราได้ .... นี่มันอะไรกันครับ ทำไมเราไม่เรียนในสิ่งที่เราอยากเป็น เรียนในสิ่งที่อยากทำ แล้วทำให้เก่งในสิ่งที่เราชอบ

ตอนเด็กๆ ผมอยากเป็นเกษตรกร ผมอยากทำไร่ แต่ครอบครัวผมไม่สนับสนุนให้ผมเป็นเกษตรกร ผมเลี้ยงไก่ ปลูกพริก มะเขือ บวบ ผักคะน้า แล้วเอาไปขายมีรายได้ตั้งแต่เด็ก แต่ ... เมื่อผมโตขึ้นมา ผมกลับต้องไปเรียนในสิ่งที่ผมไม่ได้อยากเป็น ก็เหมือนๆ กับเด็กคนอื่นหล่ะครับ 

แต่ทว่า .... เพราะการศึกษาแบบทะลุทะลวงโลก นี่เองครับ ที่ทำให้ผมได้กลับมาทำสิ่งที่ผมชอบ ปัจจุบันผมทำวิจัยเทคโนโลยีทางด้านการเกษตร เป็นเจ้าของบริษัทผลิตและขายเครื่องมือทางด้านการเกษตร และกำลังจะเปิดบริษัทเทคโนโลยีเพื่อการจัดการฟาร์มเกษตร ซึ่งผมต้องใช้ศาสตร์หลายสาขาที่ไม่ได้มีสอนในคณะเกษตร แต่อย่างใด ... สิ่งที่ผมทำในเวลานี้ ผมไม่ได้เรียนมาจากมหาวิทยาลัย ไม่ได้เรียนตอน ป.ตรี ป.โท ป.เอก แต่เป็นสิ่งที่ผมเรียนจาก YouTube, TED, Online Courses, Online Journals/Magazine, Google, iPad, Internet TV, การสัมมนาตามโรงแรมต่างๆ การประชุมวิชาการทั้งในและต่างประเทศ Trade Fairs งาน Expo ต่างๆ รวมถึงการออกไปทำงานในไร่จริง  แหล่งเรียนรู้ของผมอยู่ยังอยู่บนเมฆด้วยครับ (Cloud Computing) ... ผมได้รู้ว่า คนที่รู้เรื่ององุ่นมากที่สุดไม่ใช่อาจารย์มหาวิทยาลัย แต่เป็นเจ้าของไร่องุ่นที่ปากช่อง

หากถามว่า การจะจบปริญญาตรีสักใบจะต้องใช้เวลากี่ปี หลายๆ คนคิดว่า 4 ปีใช่ไหมครับ แต่จริงๆ เราเรียนกันแค่ 2 ปีครึ่งเท่านั้น เพราะปี 1 มีแต่วิชาพื้นฐาน ส่วนปี 4 ก็จะใช้เวลาฝึกงานหรือทำโครงการไปแล้วครึ่งปี ดังนั้น การที่เราจะมีปริญญาตรีในเรื่องที่เราไม่ได้จบมาอีกสักใบ ขอให้เราสนใจ และลงมือทำในสิ่งนั้นอย่างจริงจัง เพียงแค่ 2.5 ปี เราก็จะเหมือนจบปริญญาตรีในสาขานั้นเองหล่ะครับ และเราจะจบกี่ใบก็ได้ ขอให้เราตั้งใจจริงๆ

ถึงยุคที่เราจะเรียนในสิ่งที่เราเป็นแล้วครับ หมดยุคของการกวดวิชาเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ถ้าใครยังทำแบบนั้นอยู่ ยังเป็นในสิ่งที่เรียน ก็ไม่พ้นต้องตกเป็นลูกจ้างทำงานให้คนอื่นหล่ะครับ ....

03 สิงหาคม 2555

Disruptive Education - การศึกษาแบบทะลุทะลวงโลก (ตอนที่ 1)



(Picture from www.culture24.org.uk)

ผมเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมาก ในช่วงปฐมวัย ผมหมดเงินค่าขนมไปกับหนังสือแทบจะทั้งหมด แม้กระนั้นหนังสือที่ซื้อมาก็ยังไม่พออ่าน ทำให้ผมต้องเดินเข้าออกห้องสมุดประชาชนทุกสุดสัปดาห์ ในวันธรรมดาที่เรียนหนังสือ ผมจะใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงช่วงพักเที่ยงเพื่อทานข้าว คุยเล่นกับเพื่อน ส่วนอีกครึ่งชั่วโมงที่เหลือผมจะอยู่ในห้องสมุด อ่านหนังสือที่สนใจวันละครึ่งชั่วโมงนั้นไปเรื่อยๆ เนื่องจากหนังสือที่สวยๆ และมีขนาดใหญ่ (ส่วนใหญ่เป็นสารคดี) เขามักจะไม่ให้ยืมออกไป

แต่ตอนนี้ .... ผมจำไม่ได้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่ผมเข้าห้องสมุด น่าจะประมาณ 15 ปีแล้วมั้งครับที่เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมเข้าห้องสมุด ห้องสมุดไม่มีความจำเป็นสำหรับชีวิตผมอีกต่อไป เพราะอินเตอร์เน็ต และ กูเกิ้ล ได้เข้ามาแทนที่ หากผมอยากจะอ่านหนังสือเล่มไหน เพียงหนึ่งคลิ๊ก หนังสือจะถูกสั่งจาก Amazon.com มาถึงเมล์บ็อกซ์ภายในไม่ถึงสัปดาห์ หรือจะสั่งเพื่ออ่านบน iPad ก็ย่อมได้ ความรู้ขนาดมหึมาสามารถเรียนได้จาก กูเกิ้ล ยูทิวป์ เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิกส์ เทด ดิสคอฟเวอรี่ที่อยู่บนอินเตอร์เน็ต สารพัดสารคดีต่างๆ สามารถสั่งซื้อได้ผ่านกล่อง Apple TV และ Google TV เพื่อดูบนเครื่องรับโทรทัศน์ในห้องนอน ผมอ่านวารสาร วิชาการผ่านเว็ป (ซึ่งก็แน่นอนว่าบอกรับโดยห้องสมุดของมหาวิทยาลัย)  อ่านหนังสือธรรมะและพระไตรปิฎกบน iPad หากอยากจะเรียนคอร์สทางด้านเทคโนโลยีที่ลึกซึ้ง ก็สามารถเข้าไปเรียนคอร์สออนไลน์ของ MIT (สถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาจูเซตต์) ตอนเด็กๆ ผมเสียเงินจำนวนมากเพื่อซื้อแผนที่ Atlas เล่มใหญ่ๆ ต้องเขียนจดหมายไปหาเอกอัครราชทูตของประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เพื่อขอแผนที่และโบรชัวร์ของประเทศเหล่านั้น แต่ทุกวันนี้ ทั้งหมดดูได้ใน Google Map/Earth

ตอนที่ลูกชายผมเริ่มเข้า ป.1 เขาเสียเวลาช่วงเย็นที่ควรจะเป็นเวลาพักผ่อนไปกับการทำการบ้านจนดึกดื่น แต่พอลูกเริ่มใช้กูเกิ้ลเป็น เวลาทำการบ้านลดลงไปมหาศาล เพราะความรู้ต่างๆ หาได้บนอินเตอร์เน็ต สมัยก่อนเราต้องท่องศัพท์ภาษาอังกฤษจะเป็นจะตาย แต่สมัยนี้เด็กๆ เรียนรู้ศัพท์จาก Facebook, 9GAG รวมทั้งการเล่นเกมส์ออนไลน์ต่างๆ

ในภาพยนตร์เรื่อง The Matrix พระเอกที่ชื่อนีโอสามารถที่จะเรียนรู้เพื่อเป็นนักสู้กังฟู ได้เพียงการดาวน์โหลดคอร์สใส่ลงไปในสมองโดยตรง มีอยู่ฉากหนึ่งที่นางเอกดาวน์โหลดวิธีการขับเฮลิคอปเตอร์เข้ามาในสมอง ทำให้เธอสามารถขับเฮลิคอปเตอร์ได้ทันที หลังจากที่ยึดเฮลิคอปเตอร์มาจากนักบินฝ่ายศัตรู .... ถึงแม้การถ่ายเทความรู้แบบออสโมซิสเข้าสมองตรงๆ แบบนี้อาจจะยังไม่เกิดขึ้นจริงในเร็ววัน แต่ระบบการศึกษาแบบทะลุทะลวงโลก กำลังเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ซึ่งทำให้คนที่รู้จักใช้ประโยชน์จากมัน ได้เปรียบอย่างมากมายมหาศาล แล้วประเทศไทยรออะไรอยู่ละครับ ......