แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ water แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ water แสดงบทความทั้งหมด

25 สิงหาคม 2557

Ocean Energy - พลังงานจากมหาสมุทร หนึ่งในอนาคตพลังงานโลก



อนาคตของพลังงานอยู่ในทะเล ดังนั้นในยุคต่อไป ประเทศต่างๆ ที่มีทางออกสู่ทะเล จะพยายามแสวงหาพื้นที่ในทะเลมากขึ้น อาจจะมีการปักปันเขตแดนในทะเล ซึ่งจะทำให้ท้องทะเลสากล ที่เคยเป็นพื้นที่สาธารณะ อีกหน่อย อาจจะไม่ใช่อย่างนั้นแล้วครับ .... จริงๆ ไม่ต้องอื่นไกล ทุกวันนี้ ในทะเลจีนใต้ ทั้ง จีน เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ต่างก็แย่งกับเคลมว่าพื้นที่ตรงนั้น ตรงนี้ เป็นของตัวเอง เพื่อแย่งก๊าซธรรมชาติ กับ น้ำมัน

ถึงเวลาของประเทศไทยแล้ว ที่เราต้องมีเทคโนโลยี และ ศักยภาพในท้องทะเล รวมทั้งกองทัพเรือที่สามารถปกป้องผลประโยชน์ในทะเลให้ได้ !!

แต่นั่น ... ก็ยังเป็นทรัพยากรของโลกเก่าครับ เพราะโลกใหม่ ไม่ได้แย่งก๊าซและน้ำมัน แต่แย่งพื้นที่ในทะเล เพื่อนำเอาพลังงานมหาสมุทรมาใช้ ทั้งพลังงานจากคลื่น พลังงานลม กระแสน้ำไหล ซึ่งประเทศไหนมีพื้นที่ติดตะเลเยอะๆ ประเทศนั้นสบายเลยครับ ... ต่อไป การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ จะทำในทะเลมากขึ้นๆ จนจำนวนสัตว์เพาะเลี้ยง จะมากกว่าจำนวนที่จับขึ้นมาตามธรรมชาติ

ทะเล คือ อาหาร และ พลังงาน ....

และต่อไปนี้คือศักยภาพในการผลิตไฟฟ้า ด้วยวิธีต่างๆ (กิกะวัตต์) จากทะเลและมหาสมุทร 

กระแสน้ำไหล = 5,000
ความเค็มที่ต่าง = 20 
อุณหภูมิของน้ำ = 1,000
น้ำขึ้นน้ำลง = 90
คลื่นทะเล = 1,000-9,000

Credit :
- Data from wikipedia.org
- Picture from http://www.dailygalaxy.com/photos/uncategorized/2007/06/26/ocean_power.jpg
- Picture from http://wallpapermine.com/wp-content/uploads/2014/02/ocean_power_by_nanan66-d27o8ls.jpg

02 พฤษภาคม 2556

Water Monitoring Sensor Networks - เครือข่ายเซ็นเซอร์ในน้ำ (ตอนที่ 4)


ภาพจาก http://float.berkeley.edu/


ประเทศไทยเป็นประเทศที่ใช้ชีวิตกับน้ำ หรือเกี่ยวข้องกับน้ำเป็นอย่างมาก ภาคเกษตรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ จะมีชีวิตและความเป็นอยู่ดีหรือไม่ก็ขึ้นกับน้ำ คนกรุงเทพจะนอนหลับฝันดีมีความสุขหรือไม่ ก็ขึ้นกับว่าปีนั้นน้ำเหนือจะลงมามากเกินไปหรือไม่ ทว่า ... สภาวะโลกร้อนที่นับวันจะรุนแรงขึ้น ได้ทำให้คนไทยจะต้องใช้ชีวิตบนความเสี่ยงและเดิมพันมูลค่าสูงขึ้น ๆ ทุกปี ต้องคอยลุ้นกันว่าปีนี้น้ำจะแล้งหรือน้ำจะท่วม หรือจะมีทั้ง 2 อย่างมาพร้อมๆ กันเลย ทั้งๆ ที่เรื่องของน้ำมีความสำคัญกับคนไทยมากถึงเพียงนี้ แต่ประเทศเรากลับไม่ค่อยมีเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับน้ำของตนเองเลย เครื่องมือที่ใช้ตรวจวัดส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศและค่อนข้างล้าสมัย เพราะเครื่องมือที่ทันสมัยส่วนใหญ่ของต่างประเทศยังอยู่ในขั้นของการวิจัยและยังไม่นำออกขาย ดังนั้นหากประเทศไทยอยากจะมีเครื่องมือที่ทันสมัยในการตรวจวัดน้ำ เราก็จะต้องพัฒนาขึ้นเอง ซึ่งการที่เราพัฒนาเทคโนโลยีตรวจวัดน้ำขึ้นมาในสภาพแวดล้อมจริงของประเทศไทย ก็จะทำให้เครื่องมือที่พัฒนาขึ้นนี้มีประสิทธิภาพสูงกว่าของต่างประเทศ ในบริบทของประเทศไทย ซึ่งนอกจากจะใช้ได้ในประเทศแล้ว ยังสามารถส่งออกไปขายในกลุ่มประเทศอาเซียน (AEC) อินเดีย บังคลาเทศ ซึ่งเป็นประเทศเขตร้อนที่มีปัญหาเรื่องน้ำอย่างรุนแรงได้อีกด้วย

แม้บ้านเราจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับน้ำมากมาย แต่เรากลับไม่ค่อยมีเทคโนโลยีที่จะใช้ในการ "รู้" ข้อมูลที่เกี่ยวกับน้ำเท่าใดนัก ในช่วงที่เกิดมหาอุทกภัยเมื่อปี พ.ศ. 2554 ประเทศเราพึ่งพาข้อมูลจากดาวเทียมเป็นหลัก ซึ่งถือว่าเป็น Remote Sensing หรือ เทคโนโลยีรับรู้ระยะไกล ซึ่งทำให้เราไม่สามารถรู้ข้อมูลน้ำ ณ เวลาจริง (Real Time) ไม่สามารถรู้การไหลของน้ำ ระดับความลึกของน้ำ คุณภาพของน้ำ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีรับรู้ระยะใกล้ (Proximal Sensing) ในที่สุดก็สะท้อนออกมาเป็นความล้มเหลวในการจัดการน้ำ ท่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นเราจึงควรมีเทคโนโลยีทั้ง 2 แบบ เพื่อเอาไว้ใช้ในการบริหารจัดการน้ำ เครื่องมือทั้ง 2 อย่างนี้ ความรายละเอียดที่แตกต่างกัน ดังนี้

 • เทคโนโลยีรับรู้ระยะไกล (Remote Sensing) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลน้ำสำหรับพื้นที่กว้าง โดยอาศัยคลื่นแสงในช่วงความยาวคลื่นต่างๆ และ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในรูปแบบต่างๆ เช่น เรดาห์ ไมโครเวฟ คลื่นวิทยุ เป็นต้น  โดยอุปกรณ์รับรู้เหล่านั้นมักจะติดตั้งบนอากาศยาน ซึ่งอาจจะเป็นเครื่องบินทางอุตุนิยมวิทยา อากาศยานไร้นักบิน (Unmanned Aerial Vehicle หรือ UAV) และ ดาวเทียม เป็นต้น เทคโนโลยี Remote Sensing เป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการใช้งานในพื้นที่กว้าง จึงมักจะขาดรายละเอียดในพื้นที่เฉพาะที่ใดที่หนึ่ง ข้อมูลที่ได้มีขีดจำกัดมาก เช่น อาจรู้แค่เพียงปริมาณที่น้ำครอบคลุมพื้นที่ แต่ไม่สามารถรู้ข้อมูลการไหล รวมทั้งพารามิเตอร์อื่น เช่น ความลึก คุณภาพความสะอาดของน้ำ ปริมาณออกซิเจน ค่า pH อัตราการระเหยของน้ำ เป็นต้น นอกจากนี้เทคโนโลยี Remote Sensing ค่อนข้างมีราคาสูง ทำให้ผู้ที่สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ได้มีจำกัด ซึ่งมักจะเป็นหน่วยงานรัฐ

เทคโนโลยีรับรู้ระยะใกล้ (Proximal Sensing) อาศัยเซ็นเซอร์ตรวจวัดข้อมูลต่างๆ ได้โดยตรงในจุดที่สนใจ เช่น เซ็นเซอร์ตรวจอากาศบนผิวน้ำ (Weather Station) เซ็นเซอร์ตรวจวัดการไหลของน้ำ เซ็นเซอร์ตรวจวัดความลึก เซ็นเซอร์ตรวจวัด pH เซ็นเซอร์ตรวจวัดปริมาณออกซิเจนในน้ำ เป็นต้น เซ็นเซอร์เหล่านี้สามารถที่จะนำไปติดตั้งไว้ตามจุดตรวจวัดข้างแม่น้ำ อ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ หรืออาจจะนำไปลอยในน้ำ แล้วปล่อยให้เคลื่อนที่ไปทำงานเพื่อครอบคลุมพื้นที่เป้าหมาย เครือข่ายเซ็นเซอร์ไร้สายที่วงการอุตสาหกรรมเรียกกันว่า “ฝุ่นฉลาด”  (Smart Dust) เหล่านี้สามารถคุยกันและส่งผ่านข้อมูลให้แก่กันและกันได้ หากเราสอบถามข้อมูลไปยังเซ็นเซอร์ที่อยู่ใกล้ที่สุดเพียงตัวเดียว ข้อมูลทั้งหมดของเซ็นเซอร์ทุกตัวก็จะสามารถถ่ายทอดมายังศูนย์ข้อมูลได้ทันที เนื่องจากเทคโนโลยีแบบ Proximal Sensing มีราคาถูกกว่าเทคโนโลยีแรกมาก จึงทำให้ผู้ที่สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ได้มีความกว้างขวางกว่า เช่น ฟาร์มเลี้ยงสัตว์น้ำ โรงงานอุตสาหกรรม เทศบาล มหาวิทยาลัย และหน่วยงานท้องถิ่นที่ต้องการดูแลและจัดการน้ำ ทั้งนี้จึงมีความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องพัฒนาเทคโนโลยีเซ็นเซอร์แบบ Proximal Sensing ขึ้นใช้งานให้ได้

ในช่วงน้ำท่วมเมื่อปลายปี พ.ศ. 2554 นั้น ได้แสดงให้เห็นว่า หน่วยงานจัดการน้ำท่วมของรัฐบาลนั้นขึ้นอยู่กับข้อมูลจาก Remote Sensing เป็นหลัก ทำให้มีขีดจำกัดในการจัดการน้ำท่วมเป็นอย่างมาก เพราะไม่ทราบว่าน้ำที่วิ่งอยู่ในทุ่งต่างๆ นั้นมีระดับความลึกเท่าใด อีกทั้งเซ็นเซอร์แบบ Proximal Sensing นั้น ส่วนใหญ่ติดตั้งอยู่กับที่ ตามสถานีชลประทานต่างๆ ริมแม่น้ำสายหลัก เซ็นเซอร์เหล่านี้ใช้ตรวจวัดการไหลของน้ำ ทำให้ทราบปริมาณน้ำที่ไหลในแม่น้ำสายต่างๆ แต่เซ็นเซอร์เหล่านี้จะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อน้ำยังไม่เอ่อล้นแม่น้ำ ในช่วงที่เกิดน้ำท่วมนั้น น้ำได้เอ่อล้นแม่น้ำไปแล้ว ทำให้การคาดการณ์ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าท่วมทุ่งภาคกลาง ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากเซ็นเซอร์เหล่านี้อีกต่อไป แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นอีกประการที่ประเทศเราจะต้องมีเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ที่สามารถลอยตามน้ำได้

นอกจากนี้ เทคโนโลยีแบบ Proximal Sensing ที่ประเทศไทยมีใช้อยู่โดยกรมชลประทาน และ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร นั้นเน้นการตรวจวัดความมีอยู่ของน้ำ เช่น อัตราการไหล ความลึก เพื่อบริหารการนำน้ำไปใช้ประโยชน์ และจัดการกับภัยพิบัติ (น้ำท่วม) ไม่ค่อยให้ความสนใจไปที่คุณภาพของน้ำ (อุณหภูมิ ความขุ่น ความเป็นกรดด่าง ค่าออกซิเจน แอมโมเนีย ความลึก การไหลของน้ำ อุณหภูมิและความชื้นในอากาศ ปริมาณแสง กลิ่น ความเร็วและทิศทางลมเหนือผิวน้ำ ความกดอากาศ อัตราการระเหย ปริมาณสารอินทรีย์ในน้ำ ฯลฯ) ทำให้ผมมีแนวคิดที่จะพัฒนาเทคโนโลยีแบบ Proximal Sensing ที่เน้นการตรวจวัดพารามิเตอร์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพน้ำ รวมทั้งข้อมูลน้ำแบบเดิมด้วย โดยจะพัฒนาให้เป็นระบบเซ็นเซอร์ลอยน้ำ ที่สามารถปล่อยให้ลอยน้ำไปเก็บข้อมูลยังพิกัดที่ต้องการ เซ็นเซอร์ลอยน้ำเหล่านี้สามารถสื่อสารเป็นระบบเครือข่ายกับพวกเดียวกันเอง และกับศูนย์รับข้อมูล เมื่อนำข้อมูลจากพื้นที่จริงมาประกอบกับข้อมูลดาวเทียม เราก็จะได้ข้อมูลน้ำท่วมที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น นำไปสู่การจัดการที่ถูกต้องกว่าที่เป็นอยู่ได้

21 กันยายน 2555

Monsoon and the Future of Thailand - มรสุมกับอนาคตของไทย (ตอนที่ 2)



ช่วงนี้คนไทยส่วนใหญ่อาจจะรู้สึกเป็นทุกข์และกังวลใจ กับสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน ที่ประเทศของเราประสบอยู่ ก่อนหน้านี้เพียงเดือนกว่าๆ ประเทศของเราประสบกับภาวะฝนแล้ง น้ำในเขื่อนใหญ่ๆ มีปริมาณน้ำในระดับที่ต่ำจนอาจไม่มีใช้ในช่วงหน้าแล้ง ทว่าหลังจากนั้นสัปดาห์เดียว ประเทศไทยต้องประสบภาวะอุทกภัยเป็นลูกโซ่ ไล่มาจากจังหวัดทางภาคเหนือ ลงมาเรื่อยๆ จนตอนนี้คนกรุงเทพฯ จำนวนมากนอนกันไม่หลับเลย กับภาวะที่ว่าไม่รู้จะต้องขนของหนีน้ำกันอีกไหม

ไม่ใช่แค่คนไทยเท่านั้นหรอกครับที่วิถีชีวิตกำลังตกอยู่ภายใต้ความไม่แน่นอนของสภาวะอากาศ เพราะจริงๆ แล้วเราเป็นส่วนหนึ่งของคนประมาณ 2,000 ล้านกว่าคน ที่ต้องใช้ชีวิตภายใต้อิทธิพลของระบบมรสุมเอเชียใต้ ซึ่งเป็นระบบอากาศที่มีความซับซ้อนมากที่สุดในโลก และครอบคลุมวิถีชีวิตของมนุษย์มากที่สุดในโลก ความเข้าใจในระบบมรสุม จะทำให้เราใช้ชีวิตที่รับมือกับความแปรปรวนได้มากขึ้น

อย่าว่าแต่คนธรรมดาเลยครับที่สับสนกับความแปรปรวนของมรสุม นักวิทยาศาสตร์ก็กำลังปวดหัวยิ่งกว่าอีกครับ เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีการรายงานวิจัยที่เกี่ยวกับสภาวะโลกร้อนจะส่งผลกระทบอย่างไรกับระบบมรสุมของเรา ในวารสาร Nature Climate Change  ซึ่งทำการทบทวนบทความวิจัยอื่นๆ อีกประมาณ 100 รายการ ที่เกี่ยวกับผลกระทบของภาวะโลกร้อนต่อระบบมรสุม โมเดลส่วนใหญ่ให้ผลการศึกษาออกมาว่า ภาวะโลกร้อนจะทำให้ระบบมรสุมมีความเข้มข้นขึ้น นั่นคือฝนจะตกมากขึ้นในเอเชียใต้ ซึ่งรวมประเทศไทยด้วย แต่ข้อมูลที่ผ่านมาตลอด 60 ปีกลับพบว่าจำนวนฝนตกในประเทศอินเดียกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่ตลอดเวลา 60 ปีที่ผ่าน โลกเราได้ร้อนขึ้นไป 0.5 องศาเซลเซียสแล้ว

ก่อนหน้านี้ในปี พ.ศ. 2553 ประเทศไทยได้พบกับภาวะฝนแล้งในช่วงฤดูเพาะปลูก ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาคการเกษตรเป็นมูลค่ากว่า 13,000 ล้านบาท แต่ถัดมาอีก 1 ปี ในปี พ.ศ. 2554 เรากลับต้องประสบกับอุทกภัยครั้งใหญ่ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจทั้งประเทศเป็นมูลค่าสูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท  มาคราวนี้ในปี ค.ศ. 2012 ประเทศไทยต้องประสบกับภาวะฝนแล้ง และ อุทกภัย ในปีเดียวกัน แถมห่างกันไม่ถึงเดือน

นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า ภาวะโลกร้อนน่าจะช่วยทำให้มรสุมมีความเข้มข้นมากกว่าที่จะทำให้มันอ่อนแรงลง นั่นคือ ปริมาณน้ำฝนในย่านนี้ควรจะสูงขึ้นโดยเฉลี่ย เพราะการที่อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 1 องศา เท่ากับจะมีปริมาณไอน้ำในอากาศที่เพิ่มขึ้น 7 เปอร์เซ็นต์ มีการประมาณกันว่าประมาณปี ค.ศ. 2050 โลกเราจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นประมาณ 2 องศา ซึ่งจะทำให้ฝนจะตกมากกว่าเดิมโดยเฉลี่ย 8-10 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม จำนวนวันที่ฝนตกในช่วงฤดูฝน (มิถุนายน - กันยายน) กลับจะลดลง เช่นในอินเดีย จะมีจำนวนวันที่ฝนตกประมาณ 60 วัน แต่ในอนาคตจะเหลือเพียง 40-50 วันเท่านั้น .... หมายความว่าอย่างไรครับ ... ก็หมายความว่า วันไหนที่ฝนตก ฝนจะตกหนักกว่าปกติ ซึ่งทำให้เรามีโอกาสเจอทั้งภัยแล้ง และ น้ำท่วม สลับกันง่ายขึ้น

น่าปวดหัวมั้ยครับ วันที่ฝนตกจะน้อยลง แต่ฝนจะตกหนักขึ้น ... แค่นี้ยังไม่พอนะครับ บริเวณที่ฝนตกชุกก็จะเปลี่ยนที่ด้วย หมายความว่าที่ๆ แต่ก่อนไม่ค่อยมีฝน หรือ ฝนแล้ง ต่อไปอาจจะกลายเป็นพื้นที่สีเขียว เช่น นักวิทยาศาสตร์พบว่า ฝนเริ่มตกมากขึ้นในมองโกเลีย ทั้งๆ ที่ประเทศนี้มีทะเลทรายเป็นบริเวณกว้าง แต่ในอนาคต มองโกเลีย อาจจะกลายมาเป็นประเทศเกษตรที่ผลิตอาหารได้เอง ในขณะที่ประเทศที่เคยมีฝนตกชุกอย่างเช่น อินเดีย ฝนกลับจะตกน้อยลง ทำให้การผลิตอาหารไม่เพียงพอในอนาคต  ในประเทศไทยเองก็จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้แน่นอนครับ ดังนั้น พวกเราควรจะเตรียมตัวเตรียมใจ ยอมรับที่จะปรับตัวและอยู่ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงนี้หล่ะครับ

16 กันยายน 2555

Monsoon and the Future of Thailand - มรสุมกับอนาคตของไทย (ตอนที่ 1)



(Picture from http://captainkimo.com)

ผมคิดว่าช่วงนี้คนไทยคงจะรู้สึกสับสนเกี่ยวกับดิน ฟ้า อากาศ กันไม่น้อย ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่สัปดาห์ในเดือนสิงหาคม   มีการปลุกกระแสขึ้นมาโจมตีรัฐบาลว่า "รัฐบาลประสบปัญหาเรื่องการจัดการน้ำ ไปปล่อยน้ำในเขื่อนออกหมดจนทำให้อาจไม่มีน้ำใช้ในหน้าแล้งปีหน้า รัฐบาลไม่รู้เหรอว่าปีนี้มันแล้ง" ซึ่งในภายหลังคุณปลอดประสพก็ได้ออกมาต่อว่าสื่อมวลชนว่า ฤดูฝนมันยังไม่หมดเลย จะมาบ่นอะไรตอนนี้ว่าแล้ง ให้ฤดูฝนหมดไปก่อนแล้วค่อยมาพูด .... และก็เหมือนคุณปลอดประสพจะสั่งฟ้าฝนได้ เพราะหลังจากนั้นไม่ถึงสัปดาห์ ฝนก็ตกอย่างหนักในภาคเหนือ จนกระทั่งน้ำท่วมหนักที่สุโขทัย ส่วนคนกรุงเทพฯ ก็เริ่มเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัดว่าน้ำกำลังจะท่วมภาคกลางและกรุงเทพฯ อีกครั้ง ทั้งๆ ที่น้ำในเขื่อนหลักๆ ที่มีผลต่อการควบคุมจัดการน้ำสำหรับที่ราบลุ่มภาคกลางนั้น ยังมีระดับน้ำเพียง 50-60% เท่านั้น

ความสับสนของคนไทยนี้เกิดขึ้น เพราะพวกเรามีความรู้น้อยมากเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า "มรสุม" ทั้งๆ ที่พวกเราอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มันเป็นเจ้าของ มรสุมเป็นระบบภูมิอากาศที่มีความซับซ้อนมาก แต่เป็นเรื่องที่ยังศึกษาและมีความเข้าใจน้อยมากอีกด้วย ทำให้นาซ่าเกิดความสนใจที่จะเข้ามาสำรวจและเก็บข้อมูลในบริเวณนี้ ภาวะโลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้นนี้เชื่อว่าจะทำให้ระบบมรสุมมีความซับซ้อนและเข้าใจยากขึ้นไปอีก ... ดังนั้น หากพวกเรายังไม่พยายามที่จะค้นคว้าศึกษาเรื่องมรสุม พวกเราก็จะทุกข์กับมันไปอีกนานเลยครับ

ในช่วงที่สื่อมวลชนและคนไทยกำลังด่าคุณปลอดประสพ เรื่องฝนแล้งอยู่นั้น คนไทยส่วนใหญ่คงไม่รู้ว่าข้ามไปในฝั่งพม่านั้นมีน้ำท่วมใหญ่ ทำลายพื้นที่การเกษตรหลายแสนไร่ ผู้คนต้องอพยพออกนอกพื้นที่หลายหมื่นคน แหล่งข่าวบางแหล่งบอกว่ามากถึง 85,000 คน แต่ในประเทศไทยบอกว่าฝนแล้ง ทำไมเป็นอย่างนั้นหล่ะครับ มันเกิดขึ้นได้อย่างไรที่เมืองไทยฝนแล้ง แต่ที่พม่าน้ำท่วม .... แต่ที่ทำให้สงสัยขึ้นไปอีกก็คือ เพียงแค่ 2 สัปดาห์ต่อมา พื้นที่ที่เราบอกว่าฝนแล้งไม่มีน้ำใช้ ได้กลายมาเป็นพื้นที่อุทกภัย เมื่อก่อนฝนแล้งกับน้ำท่วมจะเกิดคนละปี แต่เดี๋ยวนี้ฝนแล้งกับน้ำท่วมสามารถเกิดได้ในปีเดียวกัน แถมห่างกันแค่ 2 อาทิตย์ !!!

จริงๆ ก็ไม่ใช่แค่คนไทยหรอกครับที่ งง ... ในปีนี้ประเทศอินเดียประสบปัญหาฝนแล้งถึงกับไม่มีน้ำมาปั่นไฟฟ้าใช้ จนเกิดไฟฟ้าดับในอินเดียลามไปถึง 22 รัฐ มีคนได้รับผลกระทบจากไฟฟ้าดับถึง 620 ล้านคน คิดเป็นจำนวนประชากร 9% ของทั้งโลกเลยครับ ภาวะฝนแล้งนี้ยังอาจทำให้ข้าวปลา อาหาร ในอินเดียมีราคาสูงขึ้นในหน้าแล้งปีหน้า ซึ่งอาจจะลามไปทั้งโลกด้วยก็ได้ เชื่อไหมล่ะครับว่า อินเดียเจอกับฝนแล้งสลับไป สลับมา ในปีนี้แบบตั้งตัวตั้งใจแทบจะไม่ทันเลย คือเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนก็เกิดน้ำท่วม แล้วก็แล้ง แล้วก็มาท่วมในเดือนสิงหาคมอีก เมื่อวันสองวันที่ผ่านมาก็มีน้ำท่วมทางตอนเหนือ ในบริเวณที่ก่อนหน้านี้แล้งมากๆ

ระบบมรสุมที่ประเทศไทยอยู่ภายใต้อิทธิพลของเค้านี้มีอยู่ 2 ชนิดครับ คือ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ (ระหว่างเดือนพฤษภาคม ถึง กันยายน) และ มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ (ระหว่างเดือน ตุลาคม ถึง กุมภาพันธ์) ประเทศไทยเรานี้ถือว่าเป็นไข่ในหิน เพราะดินแดนภาคกลางและภาคเหนือของเราถูกปกป้องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้โดยประเทศพม่า ทำให้ในขณะที่พม่าน้ำท่วมเละตุ้มเป๊ะ แต่ของเรายังท่วมแบบเอาอยู่ ส่วนทางด้านตะวันออก เรามีเวียดนาม ลาว เขมร คอยปกป้องทำให้พายุที่เข้ามาจากแปซิฟิกลดความรุนแรงลง ประเทศไทยจึงเป็นประเทศที่มีน้ำในระดับพอดี ไม่มากเกินไป เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน นี่คือสิ่งที่เป็นความได้เปรียบของประเทศไทย ที่ทำให้การเกษตรของเราน่าจะเป็นผู้นำของอาเซียน


อย่างไรก็ตาม ระบบมรสุม ที่เป็นทั้งผู้ให้คุณและให้โทษนี้ กำลังได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนและกำลังเปลี่ยนพฤติกรรมไป อนาคตของประเทศไทยและพวกเราคนไทย ก็ขึ้นอยู่กับว่า เรามีความรู้ความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้แค่ไหน และเราจะจัดการกับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้หรือไม่ .....

25 กรกฎาคม 2555

Floating Nations - ประเทศลอยน้ำ (ตอนที่ 3)



(ภาพจาก http://www.architectureanddesign.com.au/)

ในสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้ไปออกภาคสนามแถวๆ จ.ชัยภูมิ ทำให้ผมมีโอกาสได้เห็นการก่อสร้างสถานีผลิตไฟฟ้าพลังงานงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) ในพื้นที่แถว จ.เพชรบูรณ์ และ จ.ชัยภูมิ ซึ่งทำให้ผมค่อนข้างปวดใจ เพราะถึงแม้เราจะได้พลังงานไฟฟ้าจาก Solar Farm ซึ่งกินอาณาบริเวณนับพันๆ ไร่ แต่เราก็ต้องสูญเสียที่ดินดีๆ ซึ่งสามารถใช้เพาะปลูกอาหารไปด้วย ปกติการก่อสร้าง Solar Farm ในประเทศที่มีความเจริญ อย่างในประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ ประเทศจีน มักจะทำในพื้นที่ที่ใช้ประโยชน์ที่ดินในการผลิตอาหารไม่ได้แล้ว เช่น ในทะเลทราย ส่วนในประเทศที่มีประชากรหนาแน่น และมีการใช้พื้นที่ค่อนข้างจะเต็มประสิทธิภาพอย่างเยอรมัน เขาก็จะมักจะติดตั้งเซลล์สุริยะบนหลังคาอาคารเป็นหลัก เช่น ติดตั้งในหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านไปเลย ผมไม่ค่อยเห็นการนำพื้นที่ทางการเกษตรไปสร้าง Solar Farm เลยครับ ก็เพิ่งเห็นในประเทศไทยนี่แหล่ะครับ .... ปวดใจจริงๆ .... เท่าที่ทราบมา เห็นว่ายังจะมีการก่อสร้างสถานีไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์นี้อีกหลายแห่งด้วยครับ 

ประเทศไทยก็เหมือนหลายๆ ประเทศทั่วโลกหล่ะครับ ที่นับวัน ที่ดินดีๆ ที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูกจะน้อยลงไปเรื่อยๆ ทรัพยากรบนพื้นดินมีแต่จะหายากลงไปเรื่อยๆ ดังนั้น อนาคตอยู่ที่ทะเลและมหาสมุทรครับ ในศตวรรษที่ 21 ประเทศใดที่ไม่มีทางออกทะเล มีแต่จะต้องพึ่งพาประเทศอื่นๆ ส่วนประเทศที่มีทางออกทะเล รวมทั้งประเทศไทย ก็ต้องถามว่า ประเทศนั้นมีศักยภาพในการใช้ทรัพยกรและปกป้องผลประโยชน์ทางทะเลมากแค่ไหน เช่น การมีกองทัพเรือที่เข้มแข็ง มีเทคโนโลยีทางทะเล (Marine Technology) พร้อมแค่ไหน เพราะนอกจากประเทศเหล่านี้จะต้องแข่งขันเพื่อช่วงชิงทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล กับ ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคแล้ว ก็อาจจะต้องเผชิญการแข่งขันกับประเทศเกิดใหม่ ประเทศเล็กๆ ลอยน้ำ (Micronations) ที่พร้อมจะแข่งขันและประสานผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแบบใหม่ของศตวรรษที่ 21

ประเทศลอยน้ำจะเน้นระบบเศรษฐกิจที่ให้ผลตอบแทนสูง ดังนั้น อาชีพของประชากรส่วนใหญ่ของประเทศนี้จะเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ไอที เทคโนโลยีชีวภาพ การออกแบบ อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศลอยน้ำมีที่ตั้งในมหาสมุทร ประเทศเหล่านี้จึงมีความได้เปรียบในอุตสาหกรรมอีกด้านหนึ่ง ซึ่งต่อไปในอนาคต โลกอาจจะต้องพึ่งพาประเทศเหล่านี้เป็นอย่างมาก นั่นคือ การผลิตอาหารทะเล ประเทศลอยน้ำสามารถใช้ความได้เปรียบในการทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์น้ำในทะเลเปิด (Mariculture) ซึ่งกำลังได้รับการพัฒนาให้มีความก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันสามารถผลิตอาหารได้หลายชนิด ทั้ง กุ้ง หอย ปลา สาหร่าย ซึ่งเมื่อมีการจับสัตว์น้ำขึ้นมา ก็สามารถทำกรรมวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะทำเป็นอาหารสด แช่แข็ง หรือแปรรูป สามารถทำในทะเลได้เลย (เนื่องจากเป็นประเทศลอยน้ำอยู่ในทะเลอยู่แล้ว) ลองคิดดูสิครับว่า มูลค่าเศรษฐกิจจะมากขนาดไหน ปัจจุบัน ประชากรโลก 1 พันล้านคนบริโภคปลาเป็นอาหารโปรตีนหลัก มนุษย์บริโภคปลาสดเป็นจำนวนปีละ 120 ล้านตัน และจะมากขึ้นไปอีกเรื่อยๆ แต่จำนวนปลาที่จับได้มีแต่จะน้อยลง ทำให้ราคาของปลาทะเลในปัจจุบันสูงมาก โลกในอนาคตจึงต้องพึ่งพาการเลี้ยงสัตว์น้ำในทะเล เพื่อชดเชยการจับปลาแบบเดิมๆ

พลังงานก็อาจจะเป็นสินค้าอีกอย่างหนึ่ง ที่ประเทศลอยน้ำสามารถส่งออกไปขายยังประเทศที่อยู่บนชายฝั่ง เนื่องจากที่ดินในทะเลค่อนข้างจะฟรีและมีเหลือเฟือ ดังนั้น การสร้างสถานีผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำ (Solar Island) ก็ไม่ต้องปวดใจอีกต่อไป เพราะไม่ต้องไปแย่งพื้นที่เกษตรกรรม ในทะเลไม่ได้มีแต่แสงแดด แต่มีทั้งคลื่น ลม ซึ่งสามารถนำไปผลิตกระแสไฟฟ้าได้ รวมทั้งพลังงานไฟฟ้าผลิตจากการใช้ความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิของน้ำเย็นที่ระดับความลึกหลายร้อยเมตร กับ อุณหภูมิที่ผิวน้ำ (Ocean Thermal Energy Conversion) ซึ่งหากนำเทคโนโลยีอันหลังนี้มาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ประเทศลอยน้ำจะกลายเป็นเศรษฐีทางด้านพลังงานไปในทันทีครับ

03 กรกฎาคม 2555

Floating Nations - ประเทศลอยน้ำ (ตอนที่ 2)



เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัท Blueseed ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกมาประกาศว่า ในราวกลางปี ค.ศ. 2013 บริษัทจะเปิดเมืองลอยน้ำ ห่างจากชายฝั่งเมืองซาน ฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ออกไป 12 ไมล์ทะเล ซึ่งเป็นเขตของน่านน้ำสากล โดยเมืองลอยน้ำนี้ (ซึ่งเริ่มแรกน่าจะดัดแปลงจากเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่) จะรองรับบริษัทต่างๆ ที่ต้องมีการจ้างพนักงานต่างชาติที่ไม่สามารถจะได้วีซ่าเข้าทำงานในประเทศสหรัฐอเมริกาได้  โดยมากเป็นบริษัทใน Silicon Valley โดยพนักงานต่างชาติเหล่านี้สามารถพำนักได้บนเมืองลอยน้ำนี้ โดยไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี พนักงานสามารถได้รับวีซ่าประเภท B1 เพื่อเข้าสหรัฐฯ ได้ ในลักษณะการเดินทางเพื่อไปพบลูกค้า ประชุม หรือปฏิบัติงานเชิงธุรกิจ หรือไปท่องเที่ยว โดยจะมีเรือเฟอรี่เดินทางระหว่างเมืองลอยน้ำนี้ กับ ชายฝั่งแคลิฟอร์เนีย ทุกวัน เมืองลอยน้ำนี้จะมีการจ้างลูกเรือเข้ามาดูแลวิถีชีวิต และความเป็นอยู่ของประชากร เพื่อให้เมืองพึ่งพาตัวเองได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น ตำรวจ แพทย์-พยาบาล พ่อครัวชั้นยอด ทนาย ช่าง นักดนตรี และอื่นๆ อีกมากมาย

สิ่งที่บริษัท Blueseed กำลังทำอยู่ นับว่าเป็นปฐมบทของแนวโน้มใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นในโลกครับ แนวโน้มที่ว่านี้ก็คือ ประเทศลอยน้ำ (Floating Nations หรือ Floating Countries) ซึ่งเป็นแนวคิดในการสร้างประเทศลอยน้ำได้ขึ้นมาในทะเลหรือมหาสมุทรที่เป็นน่านน้ำสากล ประเทศขนาดจิ๋ว (Micronation) แบบนี้สามารถกำหนดกฎหมายของตัวเองได้ สามารถที่จะคัดเลือกประชากรของประเทศตัวเองได้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกคนที่มีอันจะกิน กับ คนฉลาดๆ ที่สามารถจะเข้ามาพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศตัวเองได้ ในอนาคตเราจะเริ่มเห็นเมืองหรือประเทศลอยน้ำแบบ Blueseed นี้ลอยเป็นดอกเห็ด ตามชายฝั่งประเทศต่างๆ ทั่วโลก

แน่นอนว่า ถึงแม้ประเทศลอยน้ำนี้จะลอยไปอยู่ที่ไหนในโลกก็ได้ที่เป็นน่านน้ำสากล แต่ในความเป็นจริง ประชากรของประเทศลอยน้ำมักจะมีความผูกพันกับประเทศที่เป็นถิ่นกำเนิด (Host Nation) ซึ่งเป็นประเทศที่มันอยากลอยอยู่ใกล้ๆ เพราะอย่างไรเสีย ประเทศลอยน้ำนี้ก็ยังต้องพึ่งพาอาศัยทรัพยากรหลายๆ อย่างจากประเทศถิ่นกำเนิด โดยจะตอบแทนกลับคืนในแง่ของมูลค่าทางเศรษฐกิจต่างๆ เช่นเดียวกับที่ Blueseed ส่งกลับคืนในรูปของผลงานนวัตกรรมต่างๆ แก่ประเทศสหรัฐอเมริกา

ดังนั้นประเทศลอยน้ำที่เกิดใหม่จะต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้

(1) ความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศแม่ (Host Nation)
(2) การมีผลประโยชน์ร่วมกันกับชุมชนแนวชายฝั่งที่ประเทศลอยน้ำไปลอยอยู่ใกล้ๆ เช่น การเป็นแหล่งท่องเที่ยว การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
(3) ความสามารถทางเศรษฐกิจ ประเทศลอยน้ำนี้มีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสูง จึงต้องสามารถสร้างรายได้มาชดเชยรายจ่ายทางด้านนี้ 
(4) ศีลธรรม ประเทศลอยน้ำจะอยู่ไม่ได้ถ้าเป็นแหล่งรวมคนที่ขาดศีลธรรม ประเทศลอยน้ำจึงต้องมีความเข้มงวดต่อกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอบายมุข หรือ ผิดกฏหมายสากล เช่น การหนีภาษี การค้ามนุษย์ ซ่องโจร เป็นต้น
(5) มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อธุรกิจ ไม่มีกฎหมายจุกจิก
(6) ลอยไปหาที่อยู่ใหม่ได้เมื่อถึงเวลา เช่น เมื่อเกิดปัญหากับประเทศที่ไปลอยอยู่ใกล้ๆ เป็นต้น

อีกไม่นานหรอกครับ เราคงจะได้ยินข่าวว่ามีคนไทยคนหนึ่งไปสร้างประเทศใหม่ เพราะกลับเข้าประเทศไทยไม่ได้ และเมื่อถึงวันนั้น ประเทศลอยน้ำอันนี้อาจมาลอยอยู่แถวปากอ่าวไทยก็ได้ .....

07 มิถุนายน 2555

Floating Nations - ประเทศลอยน้ำ (ตอนที่ 1)



ในช่วงที่ผมติดอยู่ในบ้านที่ถูกน้ำท่วม ที่ จ.นนทบุรี เป็นเวลา 45 วันนั้น หลังจากงานสูบน้ำและทำงานบ้านประจำวัน ผมมีเวลาค่อนข้างเยอะที่จะครุ่นคิดถึงแนวคิดต่างๆ แน่นอนว่าหลายๆ เรื่องก็จะเกี่ยวข้องกับน้ำ และเรื่องหนึ่งที่ผมคิดคือ ในอนาคตมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่ประเทศไทยจะตกอยู่ในสภาพ แห้ง 8 น้ำ 4 คือ แผ่นดินแห้งอยู่ 8 เดือน กับชุ่มน้ำอีก 4 เดือน ทั้งนี้หากคำนึงถึงความเป็นจริงที่ว่า ที่ราบลุ่มภาคกลางที่เป็นที่ตั้งของกรุงเทพและปริมณฑลมีแผ่นดินทรุดลงตลอดเนื่องจากการขยายตัวของเมือง เราต้องไม่ลืมว่า แผ่นดินที่เมืองหลวงของเราตั้งอยู่นี้เคยเป็นทะเลมาก่อน แต่เนื่องจากมีตะกอนที่แม่น้ำปิง วัง ยม น่าน พัดพามาทับถมนานนับพันปี จึงเกิดเป็นแผ่นดินที่ราบลุ่มเจ้าพระยาขึ้นมา แต่หลังจากพวกเราได้ตั้งรกรากแถบนี้ เราได้สร้างเขื่อนที่ดักตะกอนเอาไว้ รวมทั้งมีการควบคุมน้ำ มีการขุดลอกตะกอนในแม่น้ำทุกๆ ปี ทำให้ไม่เคยมีตะกอนใหม่ๆ มาทับถมพื้นดินที่เคยเป็นท้องทะเลนี้อีกเลย เราต้องยอมรับความจริงว่า พื้นดินนี้ย่อมทรุดตัวลงไปตามแรงกดทุกๆ ปี

แค่แผ่นดินทรุดตัวอย่างเดียวก็แย่แล้ว เรายังเจอโจทย์ (หรือ โจทก์) ใหม่อีกคือ น้ำทะเลที่สูงขึ้นอันเนื่องมาจากน้ำแข็งละลายในขั้วโลกเหนือ ซึ่งจะทำให้น้ำทะเลมีระดับสูงขึ้นในช่วงฤดูมรสุมของเรา นักวิทยาศาสตร์เคยประมาณเอาไว้ว่า อีกไม่เกิน 100 ปี ประเทศบังคลาเทศจะหายไปจากแผนที่โลก กรุงเทพฯ ของเราจะจมน้ำ
ในช่วงที่น้ำท่วม ผมเริ่มจะยอมรับความเป็นไปได้ที่ว่า เราอาจจะต้องใช้ชีวิตกับน้ำปีละ 2-4 เดือน ซึ่งอาจจะค่อยๆ กลายเป็นเรื่องปกติไปในอนาคต พอถึงหน้ามรสุม น้ำจะหลากมาท่วมหลังจากนั้นมันก็จะแห้ง เป็นวัฏจักรวนเวียนเช่นนี้ ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศกึ่งใต้น้ำ คือ เป็นประเทศที่มีแผ่นดิน 100% ผสมกับการมีแผ่นดิน 80% ในบางเวลา ทะเลจะค่อยๆ คืบคลานมากลืนกินแผ่นดินของเราไปอย่างช้าๆ

ทางฝั่งประเทศตะวันตกเอง เริ่มมีแนวคิดของการสร้างประเทศที่ลอยน้ำได้ (Floating Nations หรือ Floating Countries) ประเทศแบบนี้สามารถสร้างขึ้นมาโดยใครก็ได้ อาจเป็นรัฐบาล หรือ องค์กร หรือแม้แต่ คนๆเดียวที่มีสตางค์หน่อย (โดยเฉพาะคนที่ไม่มีประเทศจะอยู่) เราสร้างประเทศที่ลอยน้ำได้ซึ่งจะลอยไปที่ไหนก็ได้ในโลก เพราะในทะเลและมหาสมุทรนอกชายฝั่ง 12 ไมล์ทะเล นั้นถือว่าเป็นเขตทะเลสากล ประเทศนี้สามารถลอยไปลอยมาในทะเล ขอแต่ให้ห่างฝั่ง 12 ไมล์ทะเลเป็นใช้ได้ เนื่องจากเป็นประเทศที่ลอยน้ำได้ เราสามารถที่จะให้ประเทศนี้หนีพายุได้ หรือลอยไปยังบริเวณที่อากาศดีๆ แล้วลอยกลับมาที่เดิมเมื่อฤดูกาลที่เหมาะสมนั้นมาถึง การที่ประเทศลอยน้ำนี้อยู่ไม่ไกลจากฝั่งมากนัก ก็จะทำให้มีการเดินทางเข้า-ออก ด้วยเฮลิคอปเตอร์ หรือ เรือเฟอรี่ได้ง่าย หรือแม้แต่ประเทศลอยน้ำนี้จะมีสนามบินนานาชาติของตัวเองก็ย่อมทำได้

ถามว่า แล้วประเทศนี้จะเอาอะไรกิน ?

ด้วยความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีการเกษตร เราจะสามารถปลูกพืชแบบแนวดิ่งได้ (Vertical Farming) ซึ่งจะพอหล่อเลี้ยงประชากรในประเทศลอยน้ำ (ซึ่งอาจจะมีประชากรได้ตั้งแต่ 50,000 ถึงหลายแสนคน) เราสามารถทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในทะเลเปิดแบบ Smart Aquaculture ประเทศลอยน้ำสามารถผลิตพลังงานจากเซลล์สุริยะ กังหันลม รวมทั้งกังหันผลิตไฟฟ้าจากคลื่นในทะเล ประชากรที่อาศัยอยู่ในประเทศลอยน้ำนี้ จะเป็นประชากรระดับคุณภาพ ที่เข้ามาทำงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งอาจจะถูกห้ามในประเทศแม่ เช่น เรื่องจีเอ็มโอ หรือ โคลนนิ่ง เพราะอย่าลืมว่า ประเทศลอยน้ำ เป็นประเทศจริงๆ สามารถร่างรัฐธรรมนูญของตัวเอง ออกกฎหมายเอง ประเทศลอยน้ำนี้สามารถรับประชากรจากประเทศที่ไม่ลอยน้ำใดๆ ก็ได้ในโลก ให้เข้ามาทำงานช่วยผลักดันเศรษฐกิจของประเทศนี้ ซึ่งถึงแม้จะมีประชากรเพียงไม่กี่หมื่นคน ก็อาจจะผลิต GDP ได้มากกว่าประเทศไทยทั้งประเทศเสียอีก รายได้ของประเทศลอยน้ำจะมาจากสินค้าเทคโนโลยี ไอที นาโนเทคโนโลยี จีเอ็มโอ ซอฟต์แวร์ บันเทิงและการท่องเที่ยว ... ต้องไม่ลืมว่า ประเทศลอยน้ำนี้ สามารถออกกฎหมายของตัวเอง ซึ่งจะทำให้มีความคล่องตัวในการเอื้อต่อ ความต้องการของนักลงทุนจากแผ่นดินแม่

ในตอนต่อๆ ไป ผมจะมาเล่าความคืบหน้า เกี่ยวกับแนวคิดนี้ให้ฟังต่อนะครับ .....

17 เมษายน 2555

Water Monitoring Sensor Networks - เครือข่ายเซ็นเซอร์ในน้ำ (ตอนที่ 3)


3 ใน 4 ของพื้นผิวโลกถูกปกคลุมด้วยน้ำ และนับวันพื้นผิวที่ปกคลุมด้วยน้ำนี้มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันมนุษย์เราอาศัยอยู่บนบกที่นับวันทรัพยากรบนพื้นดินจะร่อยหลอหมดไปเรื่อยๆ ในอนาคต ทรัพยากรธรรมชาติในน้ำจะทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเราจะเริ่มใช้ชีวิตในน้ำมากขึ้นเรื่อยๆ หรืออย่างน้อยก็ต้องมีวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับน้ำมากขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มหาอุทกภัย พ.ศ. 2554 ที่ผ่านมาได้สอนให้เรารู้ว่า เรามีความใกล้ชิดกับน้ำมากแค่ไหน และต่อแต่นี้ เราต้องรู้จักจัดการน้ำไม่อย่างนั้น น้ำก็จะจัดการเรา

การที่จะจัดการน้ำได้ เราต้องสามารถติดตามข้อมูลที่เกี่ยวกับน้ำให้ได้อย่างใกล้ชิด ต้องสามารถ monitor หรือตรวจวัดข้อมูลน้ำได้อย่างเวลาจริง (real time) ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ แหล่งทุนวิจัยในต่างประเทศที่มีความก้าวหน้าสูง เช่น สหรัฐอเมริกา และ ยุโรป ได้ให้เงินสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเครือข่ายเซ็นเซอร์ในน้ำอย่างขนานใหญ่ เช่น ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย บอร์คลีย์ (University of California Berkeley) มหาวิทยาลัยฟอริด้า สหรัฐอเมริกา ส่วนในสหภาพยุโรปก็มี มหาวิทยาลัยวาเลนเซีย แห่งสเปน และบริษัท CSEM ในสวิสเซอร์แลนด์ เป็นแกนนำในการพัฒนา ส่วนประเทศที่ต้องอยู่กับน้ำค่อนข้างมากอย่าง เนเธอร์แลนด์ เขาก็มีการสนับสนุนโครงการวิจัยเรื่องนี้ขึ้นมาต่างหาก นำโดยมหาวิทยาลัยทเวนเต้ (University of Twente) รวมทั้งฮ่องกงก็มีงานวิจัยโดย Hong Kong University of Science and Technology (HKUST)

จะว่าไป ประเทศไทยของเราก็เป็นประเทศที่ใช้ชีวิตกับน้ำ หรือเกี่ยวข้องกับน้ำไม่แพ้ชาวดัทช์ หรือ ชาวฮ่องกง ตั้งแต่นี้ต่อไป เราต้องใช้ชีวิตบนความเสี่ยง พร้อมเดิมพันมูลค่าสูง ว่าปีนี้น้ำจะแล้งหรือน้ำจะท่วม หรือจะมีทั้ง 2 อย่างพร้อมๆ กัน แต่เรากลับไม่ค่อยมีเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับน้ำเท่าไหร่เลยครับ เครื่องมือที่ใช้ตรวจวัดส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศ และล้าสมัย เพราะเครื่องมือที่ทันสมัยยังอยู่ในขั้นของการวิจัยและยังไม่นำออกขาย ดังนั้น หากเราอยากมีเครื่องมือที่ทันสมัยในการตรวจวัดน้ำ เราก็จะต้องพัฒนาขึ้นเอง ซึ่งจริงๆ แล้วก็ยังไม่สายที่นักเทคโนโลยีจะมาให้ความสนใจเรื่องนี้ ไม่ต้องห่วงครับ เพราะในอนาคต พวกเราจะต้องเกี่ยวข้องกับน้ำมากขึ้น ๆ เรื่อยๆ

เมื่อตอนผมเป็นเด็ก ทุกปิดเทอมใหญ่ คุณพ่อคุณแม่ของผมจะพาผมไปส่งที่บ้านคุณย่า ที่ อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี แล้วท่านจะมารับผมกลับตอนใกล้ๆ เปิดเทอม บ้านคุณย่าของผมเป็นครอบครัวชาวประมง มีเรืออวนลากที่จะออกไปรอนแรมในทะเลได้หลายๆ วัน ภาพกุ้งหอยปูปลาที่ติดมากับอวนเป็นภาพที่เจนตา คุณย่าผมเคยพูดว่าท่านมีที่ในทะเลหลายร้อยหลายพันไร่ ที่บนบกไม่ค่อยมีหรอก ท่านถามผมว่า "เอามั้ย ท่านจะยกที่ในทะเลให้" ผมคิดในใจว่า ตลกล่ะ ที่ในทะเลเนี่ยนะเป็นเจ้าของได้ด้วยเหรอ แล้วจะเอาไปทำอะไรได้ .... แต่ ..... ท่านผู้อ่านเชื่อไหมหล่ะครับว่า ทุกวันนี้ ที่ในทะเลมีเจ้าของกันหมดแล้วนะครับ ถึงจะยังไม่มีการทำรังวัดกันอย่างชัดเจนโดยกรมที่ดิน แต่หลายๆ แห่งนอกชายฝั่งทะเลในอ่าวไทยนั้น ถูกจับจองหมดแล้ว เดี๋ยวนี้ปลา กุ้ง หอย ที่เรารับประทานกัน มีจำนวนมากที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงในกระชังที่เลี้ยงกันในแหล่งน้ำ ซึ่งทำให้ประหยัดต้นทุนค่าอาหารและการกำจัดของเสีย ฟาร์มเลี้ยงสัตว์น้ำที่อยู่นอกแนวชายฝั่ง นับวันจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ เทคโนโลยีเครือข่ายเซ็นเซอร์ที่ใช้ตรวจวัดน้ำ หากถูกนำมาใช้กับฟาร์มเพาะเลี้ยง ก็จะทำให้ฟาร์มเหล่านั้นกลายเป็น Smart Farm หรือ Smart Aquaculture ได้ เพราะจะทำให้เจ้าของฟาร์มรู้สภาพแวดล้อมในฟาร์ม ไม่ว่าจะเป็น อุณหภูมิ ความเค็มของน้ำ ค่า pH ค่าอ็อกซิเจนในน้ำ กระแสการไหลของน้ำ ความหนาแน่นของปลาในน้ำ รวมไปถึงการมาของคลื่นและพายุ ซึ่งจะมีผลต่อการเพาะเลี้ยงได้ โดยข้อมูลเหล่านี้สามารถส่งขึ้นมาสู่บ้านเจ้าของฟาร์มบนชายฝั่งได้

Water Monitoring Sensor Networks ถือเป็นเทคโนโลยีเอนกประสงค์ เพราะสามารถใช้ได้ทั้งในยามสงบ เพื่อตรวจวัดคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำต่างๆ เช่น ทะเลนอกชายฝั่ง แม่น้ำ ทะเลสาบ บึง แหล่งน้ำประปา หรือการตรวจวัดน้ำในแหล่งบำบัดน้ำของโรงงานอุตสาหกรรม ในยามที่เกิดภัยพิบัติ เราสามารถปล่อยมันออกไปเก็บข้อมูลการไหลของน้ำ ระดับความลึกของน้ำ ความเป็นพิษ เป็นต้น ตลอดระยะเวลา 45 วันที่ผมติดอยู่ในบ้านที่ถูกน้ำท่วม มันได้สร้างแรงบันดาลใจให้ผมพัฒนาเทคโนโลยีนี้ให้ได้ ผมได้ก่อร่างสร้างไอเดียนี้ขึ้นมาในช่วง 45 วันนี้เอง และผมหวังว่าโครงการ Water Monitoring Sensor Networks น่าได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะคนที่โดนน้ำล้อมเหมือนกัน .....

29 กุมภาพันธ์ 2555

Water Monitoring Sensor Networks - เครือข่ายเซ็นเซอร์ในน้ำ (ตอนที่ 2)


ประเทศไทยเป็นประเทศที่ความเป็นอยู่ของผู้คน ขึ้นอยู่กับน้ำค่อนข้างมาก เรามีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับน้ำมากมาย แต่เรากลับไม่ค่อยมีเทคโนโลยีที่จะใช้ในการ "รู้" ข้อมูลที่เกี่ยวกับน้ำ ในช่วงน้ำท่วมที่ผ่านมา ผมได้เรียนรู้ว่าประเทศเราพึ่งพาข้อมูลจากดาวเทียมเป็นหลัก ซึ่งถือว่าเป็น Remote Sensing หรือ เทคโนโลยีรับรู้ระยะไกล ซึ่งทำให้เราไม่สามารถรู้ข้อมูลน้ำ ณ เวลาจริง (real time) ไม่สามารถรู้การไหลของน้ำ ระดับความลึกของน้ำ คุณภาพของน้ำ ซึ่งสะท้อนออกมาเป็นความล้มเหลวของการจัดการน้ำท่วมของรัฐบาล

จริงๆ แล้ว ข้อมูลเรื่องน้ำที่แม่นยำกว่านั้น ต้องมาจากเทคโนโลยีรับรู้ระยะใกล้ (Proximal Sensing) ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งและตรวจวัดน้ำในจุดที่มีน้ำอยู่จริง ไม่ใช่การมองลงมาจากอวกาศอย่างดาวเทียม แต่เนื่องจากการเป็นเทคโนโลยีรับรู้ระยะใกล้ ทำให้ได้ข้อมูลแบบท้องถิ่น ไม่สามารถที่จะเก็บข้อมูลเป็นพื้นที่กว้างได้เหมือนดาวเทียม ทั้งนี้หากต้องการได้ข้อมูลในพื้นที่กว้าง ก็ต้องนำไปติดตั้งในจุดต่างๆ กระจายทั่วพื้นที่ ทำให้อาจมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง สำหรับประเทศไทย กรมชลประทานได้ติดตั้งเซ็นเซอร์วัดระดับน้ำ และความเร็วน้ำในแม่น้ำสายสำคัญๆ หลายแห่ง และค่อนข้างมีประโยชน์มากในช่วงน้ำท่วม อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม ได้เกิดน้ำหลากล้นแม่น้ำออกไปท่วมทุ่ง ข้อมูลการไหลของน้ำในแม่น้ำก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เพราะน้ำได้ไหลบนพื้นดินแทน เนื่องจากเราขาดเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ที่ลอยไปกับน้ำ ทำให้เราขาดข้อมูลเกี่ยวกับน้ำหลากที่ไหลไปบนพื้นดิน

ลองนึกดูว่า หากเรามีเครือข่ายเซ็นเซอร์ไร้สายที่ลอยไปกับน้ำได้ เซ็นเซอร์เหล่านี้ก็จะลอยไปตามน้ำที่ท่วม และอาศัยพลังงานจากแสงอาทิตย์เพื่อใช้ในการทำงาน มันจะเก็บข้อมูลการไหลของน้ำ คุณภาพและความสะอาดของน้ำ ความเร็วและระดับความลึกของน้ำ ตลอดทางที่มันลอยไป แล้วส่งข้อมูลกลับมายังศูนย์รับข้อมูล เมื่อนำข้อมูลจากพื้นที่จริงมาประกอบกับข้อมูลดาวเทียม เราก็จะได้ข้อมูลน้ำท่วมที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น นำไปสู่การจัดการที่ถูกต้องกว่าที่เป็นอยู่ขณะนี้

ในช่วงที่ผมติดอยู่ในหมู่บ้านที่ถูกน้ำท่วมตลอด 45 วัน ผมได้ร่างความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมา การเกิดน้ำท่วมอาจจะไม่เกิดขึ้นอีกในปีนี้ก็ได้ หรืออาจจะเกิดในอีกหลายปีข้างหน้า หรืออาจจะไม่เกิดอีกเลย ดังนั้น สิ่งประดิษฐ์ที่ผมกำลังจะสร้างขึ้นมานี้ ควรจะใช้งานได้กว้างขวาง ไม่เพียงแต่ใช้งานสำหรับในกรณีน้ำท่วมเท่านั้น ผมจึงได้สร้าง concept เกี่ยวกับเครือข่ายเซ็นเซอร์ในน้ำที่มีลักษณะพกพาได้ (portable) โดยสามารถทำงานแบบเดี่ยวหรือทำงานเป็นฝูง (swarm) เป็นอุปกรณ์ที่สามารถนำไปปล่อยลงน้ำ แล้วสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง (self-dependent) สามารถหาพลังงานใช้เองได้ และมีระบบขับเคลื่อนที่สามารถสั่งการให้ไปยังจุดใดจุดหนึ่งได้ ผมคิดถึงอุปกรณ์ที่สามารถทำงานได้ทั้งในแม่น้ำ ทะเลสาบ ทะเลเปิด นาข้าว นากุ้ง โดยสามารถติดตั้งเซ็นเซอร์ได้หลายชนิด สามารถนำไปใช้งานได้ทั้งในยามสงบ เช่น ใช้ตรวจสอบคุณภาพน้ำในแม่น้ำ ลำคลอง แหล่งน้ำทิ้ง ฟาร์มสัตว์น้ำ หรือในยามสงคราม เช่น ใช้เป็นทุ่นระเบิด เซ็นเซอร์ตรวจจับข้าศึก ใช้ในงานตรวจวัดช่วงน้ำท่วม หรือ มีอุบัติภัยเช่น น้ำมันรั่ว สารเคมีรั่วลงแหล่งน้ำ เป็นต้น ตอนนี้ผมมีพิมพ์เขียวความคิดของเจ้าเทคโนโลยีดังกล่าวแล้ว รอแค่ลงมือทำให้ทันก่อนน้ำท่วมครั้งต่อไป

20 กุมภาพันธ์ 2555

Water Monitoring Sensor Networks - เครือข่ายเซ็นเซอร์ในน้ำ (ตอนที่ 1)


ช่วงที่เกิดมหาอุทกภัยเมื่อเดือนกันยายน - พฤศจิกายน 2554 มวลน้ำมหาศาลได้หลากเข้าท่วมพื้นที่ฝั่งตะวันตก ของกรุงเทพมหานครเป็นบริเวณกว้าง รวมทั้งหมู่บ้านที่ผมอาศัยอยู่ ผู้บริหารของหมู่บ้านของผมตัดสินใจที่จะทิ้งหมู่บ้าน โดยประกาศให้ลูกบ้านอพยพออกนอกพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2554 สำหรับครอบครัวผมเอง เราตัดสินใจว่าทุกคนจะออกไปอยู่ข้างนอกเพื่อความปลอดภัย เหลือแต่ตัวผมซึ่งอาสาจะอยู่ต่อไปในหมู่บ้าน เพื่อที่จะคอยส่งข่าวคราวความเป็นไปในหมู่บ้านระหว่างน้ำท่วม ออกไปสู่โลกภายนอก ในช่วงเวลานั้น ผมแค่คิดว่าในช่วงที่น้ำท่วมไหนๆ ก็ไม่ได้ทำงานอะไรอยู่แล้ว เพราะมหาวิทยาลัยก็ปิด อย่างน้อยก็ขอทำประโยชน์ด้วยการส่งข่าว และข้อมูลจากในหมู่บ้าน ออกไปยังคนที่ต้องจากบ้านไปอยู่ข้างนอก

การตัดสินใจในวันนั้น ได้เปลี่ยนแปลงมุมมองและวิธีคิดของผมไปอย่างไม่มีวันหวนกลับคืน และมันได้ทำให้ชีวิตผมในวันนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ตลอดระยะเวลา 45 วันที่ผมได้มีโอกาสอาศัยอยู่ในน้ำ ทำให้ผมเรียนรู้อะไรมากมาย ทุกๆ วันที่ผมอยู่กับมันมีค่ามากจนรู้สึกคิดถึงเมื่อวันที่เจ้าน้ำได้จากไปในราวต้นเดือนธันวาคม การถูกน้ำท่วมทำให้ผมมองโลกในเชิงบวก รู้สึกเห็นอกเห็นใจเพื่อนร่วมชาติที่ต้องทนทุกข์ด้วยกัน อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ถ้าหากผมไม่โดนน้ำท่วมกับตัวเอง ผมก็คงจะไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของคนเหล่านั้นเลย ผมรู้สึกภูมิใจ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของคนนับล้านที่ต้องกลายเป็นผู้ประสบภัยในครั้งนี้

โชคดีที่ผมเตรียมตัวค่อนข้างดีเพื่อต่อสู้กับน้ำ ที่บ้านมีเครื่องมือช่างครบ มีเซลล์สุริยะในกรณีที่อาจถูกตัดไฟ มีระบบไฟส่องสว่างสำรอง ผมเดินไฟใหม่สำหรับอยู่กับน้ำท่วมโดยเฉพาะ เรามีเครื่องคอมพิวเตอร์ 7 เครื่อง ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเก็บข้อมูล รับข่าวสารต่างๆ จากโลกภายนอก ดูแผนที่อากาศ แผนที่ดาวเทียม มีวิทยุสื่อสาร 4 เครื่อง เพื่อสแกนหาข่าวตามช่องต่างๆ ในละแวกใกล้เคียง เพื่อประเมินสถานการณ์ความรุนแรงของพื้นที่น้ำท่วมฝั่งตะวันตก จนทำให้เราสามารถวิเคราะห์การไหลของน้ำในพื้นที่นี้ได้แม่นยำกว่า ดร.เสรี และ ดร.อานนท์ แห่ง ศปภ. ซึ่งก่อนหน้านี้ ดร.เสรี ได้ประเมินว่าหมู่บ้านที่ผมอยู่จะมีน้ำท่วมสูงถึง 2 เมตร จนภรรยาผมโทรมาบอกให้ผมอพยพออกมา แต่จากข้อมูลที่ผมได้เก็บจากแหล่งต่างๆ รวมทั้งข้อมูลจากเครือข่ายข่าวในพื้นที่ ผมได้บอกภรรยาไปว่า "จะเชื่อ ดร.เสรี หรือ สามีดีล่ะ เพราะตั้งแต่แต่งงานกันมาพี่ไม่เคยโกหกเลยนะ ... ฟังให้ดีนะ พี่จะบอกให้ว่า หมู่บ้านเราจะท่วมในวันที่ระดับน้ำขึ้นสูงสุดไม่เกิน 60 cm" ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น เพราะคราบน้ำที่มีอยู่ที่หมู่บ้านของเรา ยังสูงน้อยกว่าคราบน้ำที่บ้านของ ดร.เสรี เสียด้วยซ้ำ

ผมได้ส่งข่าวออกไปให้เพื่อนๆ ในหมู่บ้านและภรรยาอย่างต่อเนื่อง โดยแพร่ภาพ CCTV ออกไปผ่านอินเตอร์เน็ต และเพื่อความปลอดภัย เราติดระบบรักษาความปลอดภัยทั้ง CCTV กล้อง Night Vision และเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวรอบบ้านถึง 2 ชั้น ระบบอินเตอร์เน็ตที่ติดตั้งก็มีทั้ง 3G และ ADSL สำหรับกรณีที่ตู้ชุมสายโทรศัพท์อาจใช้การไม่ได้ ... แต่ ... มหัศจรรย์มาก ระบบอินเตอร์เน็ตระบบ ADSL ไม่เคยงอแงเลยตลอด 45 วันที่น้ำท่วม ไฟฟ้าไม่โดนตัดและไม่เคยตกตลอดเวลา 45 วัน ส่วนน้ำประปาก็มีปัญหาน้อยกว่าที่อื่นๆ

การใช้ชีวิตในพื้นที่ประสบภัยทำให้ผมเรียนรู้อะไรใหม่ๆ หลายอย่าง ผมพบว่า ศปภ. (ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย) ทำงานโดยอาศัยข้อมูลจากดาวเทียมเป็นหลัก ซึ่งถือว่าหยาบมากๆ ในการจัดการรับมือน้ำในระดับพื้นที่ย่อย ข้อมูลที่ผมประมวลจากเซ็นเซอร์ของกรมชลประทาน สำนักระบายน้ำกรุงเทพมหานคร ข่าวพื้นที่ทั้งจากสื่อมวลชน และเครือข่ายวิทยุท้องถิ่น ทำให้ผมสามารถวิเคราะห์การไหล และระดับความรุนแรงของมวลน้ำได้แม่นยำกว่าของ ศปภ. โดยสามารถทำนายระดับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในหมู่บ้านที่ผมอยู่ได้ รวมไปถึงแนวโน้มของวิกฤติว่าจะผ่านพ้นไปเมื่อใด

การอยู่เก็บข้อมูลในช่วงน้ำท่วม ทำให้ผมได้ไอเดียหลายๆ อย่างที่จะนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีเซ็นเซอร์สำหรับตรวจวัดน้ำซึ่งจะมีประโยชน์และสามารถประยุกต์ใช้ได้กว้างขวาง ทั้งในด้านเกษตรกรรม สิ่งแวดล้อม การต่อสู้ภัยพิบัติทางน้ำ ปัจจุบันการเลี้ยงสัตว์น้ำนั้นไม่ได้ทำในบ่อเลี้ยงเหมือนแต่ก่อน แต่ไปเลี้ยงกันในแหล่งน้ำธรรมชาติ ทั้งในแม่น้ำ ทะเลสาบ และทะเล เทคโนโลยีที่จะพัฒนาขึ้นนี้ สามารถนำไปใช้สำหรับสิ่งที่เรียกว่า Smart Aquaculture หรือฟาร์มสัตว์น้ำอัจฉริยะ ซึ่งจะทำให้ผู้เลี้ยงสามารถตรวจวัดความเป็นไปต่างๆ ในน้ำจากระยะไกล ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ผมจะนำเรื่องเหล่านี้มาทยอยเล่าในตอนต่อๆ ไปนะครับ