แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Korea แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Korea แสดงบทความทั้งหมด

19 มกราคม 2556

ISOEN 2013 - 15th International Symposium on Olfaction and Electronic Nose




การได้กลิ่นเป็นหนึ่งในอายตนะ 5 อย่างของมนุษย์ มนุษย์ใช้จมูกในการดมกลิ่นเพื่อประโยชน์มากมาย เช่น การสูดกลิ่นน้ำหอมเพื่อสุนทรียทางอารมณ์ การดมกลิ่นเพื่อระบุอันตรายต่างๆ เช่น ก๊าซพิษ อาหารบูด กลิ่นเน่าเหม็นที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ การสูดกลิ่นอาหารและเครื่องดื่ม เช่น ไวน์ เพื่อความสุขในการรับประทานอาหาร  ธรรมชาติได้ลงทุนกับมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เป็นอย่างมาก ในเรื่องของความสามารถในการได้กลิ่น โดยใช้ข้อมูลพันธุกรรมหรือพื้นที่การเก็บข้อมูลของ DNA ถึง 1% ของพื้นที่ทั้งหมด เพื่อทำให้เราเป็นสัตว์ที่ดมกลิ่นได้เก่ง เมื่อเทียบกับสัตว์ชนิดอื่น ซึ่งผลจากการลงทุนนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมครองโลกหลังยุคของไดโนเสาร์ แม้กระนั้นก็ตาม สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมรวมทั้งมนุษย์ ก็ยังมีขีดจำกัดหลายๆ อย่างเช่น เราไม่สามารถระบุกลิ่นของก๊าซหลายชนิดที่เป็นอันตรายต่อชีวิต เช่น ก๊าซ CO ซึ่งเกิดขึ้นมาภายหลังในยุคอุตสาหกรรมเมื่อไม่กี่ร้อยปีนี้เอง ทำให้ธรรมชาติยังไม่สามารถเกิดการวิวัฒนาการเซ็นเซอร์ดมกลิ่นก๊าซชนิดนี้ ใส่ในจมูกของเราได้ทัน เพราะวิวัฒนาการในสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่อาศัยเวลานับพัน นับหมื่นปี ทำให้มนุษย์เราต้องพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยในการดมกลิ่นขึ้นมา ที่เราเรียกว่า ก๊าซเซ็นเซอร์ (gas sensors) รวมทั้งระบบที่ทำหน้าที่ดม และ ระบุกลิ่นต่างๆ เลียนแบบการทำงานของจมูกมนุษย์ ที่เรียกว่า จมูกอิเล็กทรอนิกส์ (electronic nose)

ในวงการวิชาการทางด้านการดมกลิ่นนั้น จะมีการประชุมประจำปีที่เป็นเวทีใหญ่ในการแลกเปลี่ยนความรู้ และเทคโนโลยีทางด้านนี้โดยเฉพาะ เวทีนี้มีชื่อว่า International Symposium on Olfaction and Electronic Nose ซึ่งจัดมาแล้วถึง 14 ครั้ง วนเวียนกันในยุโรปและสหรัฐอเมริกา โดยครั้งที่ 15 นี้จะเป็นครั้งแรกที่จะมาจัดงานกันในทวีปเอเชีย ซึ่งถือว่ามีนัยสำคัญ 2 ประการคือ

(1) ทวีปเอเชียทวีความสำคัญขึ้นในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจในอนาคต งานวิจัยและนวัตกรรมทั้งหลายในอนาคต จะต้องมาหาตลาดที่นี่ เพราะเอเชียจะเป็นแหล่งบริโภคเทคโนโลยีที่คิดค้นขึ้นไม่ว่าที่ไหนในโลก

(2) การประชุมเริ่มมาจัดที่เอเชีย บ่งบอกว่างานวิจัยทางด้านกลิ่น และ จมูกอิเล็กทรอนิกส์ในเอเชียของเรา เริ่มเป็นที่สนใจของยุโรป ซึ่งเป็นผู้นำในการวิจัยด้านนี้ บ่งชี้ว่าเราเริ่มมีงานวิจัยในปริมาณและคุณภาพที่เริ่มแข่งขันกับกลุ่มเดิมได้

งานประชุม ISOEN 2013 นี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-5 กรกฎาคม 2556 ที่เมืองแดกู (Daegu) โดยมีกำหนดส่งบทคัดย่อแบบยาว (Extended Abstract) จำนวน 2 หน้า ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2556 ครับ ใครสนใจจะเข้าร่วมงานนี้ ต้องรีบเขียนเลยครับ หัวข้อที่เป็นที่สนใจของการประชุมในปีนี้คือ

- Biological Offaction and Test
- Emerging Sensing Materials and Technologies
- Sensor Arrays and Data Analysis
- Smart Sensing for Food, Health, Safety and Security
- Hybrid Devices and Applications
- Energy Efficiency for Buildings based on Sensor Technologies
- Other Sensor Topics

ซึ่งในงานจะมีการประชุมย่อยแบ่งเป็นหัวข้อต่างๆ ให้เลือกเข้าร่วมด้วยครับ โดยจะจัดหัวเรื่องที่กำลังฮอตฮิต หรือเป็นแนวโน้มใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น ได้แก่

- Understanding molecular mechanisms underlying odor/taste perception
- Applications of electronic noses and sensor technology in the food field
- Applications of remote and local gas sensing in mobile robotics and sensor network: Can we already solve real world tasks?
- Electronic tongues: new transduction schemes and data processing techniques
- Olfactory cell based sensor for medical applications
- Olfactory sensors on flexible substrates
- Olfactory interactions and its standardization
- Energy efficiency buildings based on sensor technologies

น่าสนใจขนาดนี้คงจะไม่ไป ไม่ได้แล้วหล่ะครับ แถวจะได้ไปซารางเฮโยที่เกาหลีอีกด้วยเนอะ .....

26 กุมภาพันธ์ 2555

SMC 2012 - IEEE International Conference on Systems, Man and Cybernatics


ปีนี้การประชุมดีๆ ของ IEEE ไปจัดที่เกาหลีหลายๆ อันเลยครับ ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนที่ชอบไปเกาหลี ปีนี้จะได้กลับไปเยือนประเทศนี้อีกครั้ง แถมพกพาความรู้ และวิทยาการที่อัพสมัยสุดๆ กลับมาอีกด้วย วันนี้ผมขอแนะนำการประชุมหนึ่งที่ถือว่าเป็นท็อปครีมของ IEEE เลยครับ นั่นคือ SMC 2012 หรือ IEEE International Conference on Systems, Man and Cybernatics ซึ่งจะจัดขึ้นที่กรุงโซล ระหว่างวันที่ 14-17 ตุลาคม 2555 ซึ่งกำหนดการประชุมยังอีกนานก็จริง แต่กำหนดส่งเปเปอร์ฉบับเต็มก็เหลือเวลาไม่มากครับ คือในวันที่ 15 เมษายน 2555 นี้เอง

แนวเนื้อหาใหญ่หรือ Theme ของการประชุมครั้งนี้คือ Coupling Humans and Complex Systems in a Cyber World: Today's Principles for Tomorrow's Society ซึ่งเป็นเรื่องของการพัฒนาแพล็ตฟอร์มสำหรับ ระบบปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ กับจักรกลที่มีความซับซ้อน ซึ่งในอนาคต สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน อาคาร สำนักงาน รถยนต์ ทางหลวง ฟาร์มเกษตร จะมีความฉลาดมากขึ้น และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์ (Responsive Environments) ทำให้เราต้องมีการออกแบบแพล็ตฟอร์มที่สามารถทำงานได้อย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ มีความหมายทั้งเชิงกายภาพ อารมณ์และจิตใจ

สำหรับหัวข้อย่อยในการประชุมนั้น บอกได้เลยว่าเยอะมากๆ ครับ ผมจะขอยกตัวอย่างหัวข้อเด่นๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ หรือกำลังเป็นที่สนใจมากที่สุด อย่างเช่น

- Artificial Intelligence
- Awareness Computing (สติประดิษฐ์)
- Brain-Machine Interface Systems
- Computational Collective Intelligence (ปัญญาสะสม)
- Evolving Intelligent Systems (ระบบวิวัฒน์ประดิษฐ์)
- Self-monitoring evolving intelligent systems
- Intelligent Vehicular Systems & Control (พาหนะอัจฉริยะ)
- Machine Vision (ระบบการมองเห็นประดิษฐ์)
- Human Computer Interaction (ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และคอมพิวเตอร์)
- Brain Machine Interfaces (ระบบเชื่อมโยงระหว่างสมอง และจักรกล)
- Intelligent Power and Energy Systems (ระบบกำเนิดไฟฟ้าและพลังงานอัจฉริยะ)
- Intelligent Transportation Systems (ระบบขนส่งอัจฉริยะ)
- Material appearance modeling

29 สิงหาคม 2554

IEEE ISCAS2012 - The IEEE International Symposium on Circuits and Systems


วันนี้ผมมีการประชุมหนึ่งที่น่าสนใจมานำเสนอครับ ซึ่งกำหนดรับบทความก็ใกล้เข้ามาแล้วด้วย การประชุมมีชื่อว่า IEEE ISCAS2012 มีชื่อเต็มคือ The IEEE International Symposium on Circuits and Systems ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นที่กรุงโซล เกาหลีใต้ ระหว่างวันที่ 20-23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 นู่นครับ แต่ว่ากำหนดรับบทความฉบับเต็ม (4-Page Paper) ค่อนข้างใกล้เข้ามาแล้วคือวันที่ 7 ตุลาคม 2554 เลยต้องรีบแจ้งให้ทราบครับ

ISCAS2012 ถือว่าเป็นการประชุมที่สำคัญงานหนึ่งของวงการวิจัยทางด้านทฤษฎี การออกแบบ และการประยุกต์ใช้งานวงจร ระบบและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และในปี 2012 นี้จะให้ความสำคัญกับเรื่องของการหลอมรวมระหว่างศาสตร์ทางด้าน ชีววิทยา สารสนเทศ นาโน และสิ่งแวดล้อม (Convergence of Bio Info Nano Enviro Technology) ซึ่งก็รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่กำลังเป็นที่สนใจกันมากในเวลานี้ เช่น u-healthcare (ubiquitous healthcare) วิศวกรรมชีวการแพทย์ (Biomedical Engineering) สภาพแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) รวมทั้ง Smart Robot Applications

หัวข้อที่เขาประกาศรับบทความมีดังนี้ครับ

- Analog Signal Processing
- Biomedical and Life-Science Circuits, Systems and Applications
- Circuits and Systems for Communications
- Computer-Aided Network Design
- Digital Signal Processing
- Education in Circuits and Systems
- Live Demonstrations of Circuits and Systems
- Multimedia Systems and Applications
- Nanoelectronics and Gigascale Systems
- Neural Networks and Systems
- Nonlinear Circuits and Systems
- Power and Energy Circuits and Systems
- Sensory Systems
- Visual Signal Processing and Communications
- VLSI Systems and Applications

การนำเสนอผลงานของ ISCAS2012 ก็ค่อนข้างหลากหลายครับ มีทั้งแบบบรรยาย (Oral) โปสเตอร์ การสาธิต (Demonstration) การแนะนำ (Tutorials) ซึ่งถือว่าดีมากๆ เลยครับ ผมเคยไปการประชุมวิชาการแบบนี้ พบว่ามีประโยชน์มากครับ เพราะการประชุมจะสนุกสนาน ไม่น่าเบื่อ มีอรรถรสในการเข้าร่วมตลอดงาน เนื่องจากมีการนำเสนอผลงานหลากหลายรูปแบบ แถมได้ดูของจริง ไม่ว่าจะโดยการดูวีดิโอ การโชว์สิ่งประดิษฐ์และผลงานวิจัยในรูปแบบของบูธ และบางครั้งเขาทำกันเป็นละครสั้นโชว์กันให้เห็นเลยครับ

ที่เจ๋งไปกว่านั้น เขายังจัดให้มีการเสนอผลงานในรูปแบบที่เรียกว่า การสารภาพ (Confession) ซึ่งจะเป็นเวทีในการนำเสนอสิ่งผิดพลาดในงานวิจัยของเรา ซึ่งถือเป็นกุศลที่เราจะบอกสิ่งที่เราไม่สามารถบอกได้ในบทความตีพิมพ์ เป็นความผิดพลาดที่เราได้พลั้งเผลอทำไปแล้วเราก็ไม่อยากให้ใครทำผิดเหมือนเราอีก ในเวทีนี้ เราจะบอกว่าเราทำผิดอย่างไร และเราเจอความผิดพลาดนั้นได้ยังไงด้วย ที่สำคัญก็คือ เราได้เรียนรู้อะไรบ้างจากความผิดพลาดของเรา

การประชุมครั้งนี้จะจัดขึ้นที่ COEX Mall ซึ่งเป็นศูนย์ประชุมและห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ครับ ซึ่งมีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ และแหล่งช็อปปิ้งครบครันอีกด้วย เจอกันที่เกาหลีครับ .....

06 พฤษภาคม 2553

SWC2010 - 14th IEEE International Symposium on Wearable Computers


ไม่ได้แนะนำการประชุมวิชาการในบล็อกมานานเลยนะครับ เพราะผมเองก็ไม่มีกระจิตกระใจจะเดินทางออกนอกประเทศ ห่วงบ้าน ถ้าบ้านเมืองเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ก็ขออยู่ในเมืองไทยนี่แหล่ะ ไม่อยากจะไปลอยเคว้งคว้างอยู่ในต่างประเทศ แต่ช่วงนี้ ดูมีแววว่าบ้านเมืองน่าจะดีขึ้น พอที่จะเดินทางออกไปไหนได้บ้าง ผมก็เลยขอนำการประชุมวิชาการที่เห็นว่าน่าสนใจมาเสนอครับ

วันนี้ผมขอเสนอการประชุมที่มีชื่อว่า ISWC2010 - 14th IEEE International Symposium on Wearable Computers ซึ่งจะจัดขึ้นที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ระหว่างวันที่ 10-13 ตุลาคม 2553 นี้ ซึ่งกำหนดส่งบทความ ภายใน 21 พ.ค. 2553 นี้ครับ ยังไม่รู้ว่าจะมีเลื่อนหรือไม่ ถ้าใครอยากไปคงต้องเริ่มเขียนแล้วล่ะครับ

ในระยะหลังๆ นี้ คอมพิวเตอร์เริ่มเขยิบเข้ามาใกล้ตัวเรามากขึ้นทุกที จากที่เคยอยู่บนโต๊ะ มาอยู่บนตัก มาอยู่บนฝ่ามือ ตอนนี้คอมพิวเตอร์กำลังจะมาอยู่แนบกับตัวเรา มาอยู่ติดผิวหนังเรา ใกล้หัวใจเรา ใต้ฝ่าเท้าเรา หรือแม้กระทั่งกำลังจะเข้าไปอยู่ในตัวเรา การประชุมนี้จะเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ของการประมวลผลที่สวมใส่ได้ เนื้อหาการประชุมที่แสดงในเว็บไซต์ก็มี

1. Wearable Systems
. Innovations in wearable system design and electronic textiles
. Wearable sensors, wearable displays and actuators, novel input devices
. Interaction design, industrial design of wearable systems
. Wearable sensing to detect the wearer's context or location, activity recognition
. Software and service architectures, infrastructure based as well as ad-hoc systems
. Wearable operating systems, dependability, fault-tolerance, and security
. Networks, wireless networks, body networks, and interaction with other systems
. Cooperative wearables, ensembles of wearable artefacts, coordination of wearables
. Techniques for power management, heat dissipation, and manufacturing issues

2. Usability, HCI and Human Factors in Wearable Computing
. Human factors issues with and ergonomics of body worn computing systems
. User modeling, user evaluation, usability engineering of wearable systems
. Systems and designs for combining wearable and pervasive/ubiquitous computing
. Hands-free interfaces, speech-based interaction, sensory augmentation
. Haptics in wearable systems, wearable robots
. Social implications, health risk, environmental and privacy issues
. Wearable technology for social-network computing, visualization and augmentation

3. Applications of Wearable Systems
. Industrial environments: improving work flow, security, and worker conditions
. Wearable systems as part of augmented reality, training, and collaborative work
. Formal evaluation of wearable technologies, comparisons with others
. Wearables, electronic jewelry and smart clothing in culture, fashion and the arts
. Health care devices, 'in vivo' monitoring of patients, sports and fitness applications
. Empowering people with disabilities, assisted living technologies
. Smart Phone as wearable application platform
. Advanced HCI for TV, Home theater(LCD TV)

ใครสนใจก็สมัครดูนะครับ อาจจะได้ไปเจอกันที่เกาหลี .....

18 พฤศจิกายน 2552

IEEE Nano 2010 & Nano Korea 2010



วันนี้ผมขอนำการประชุมประจำปีทางด้านนาโนเทคโนโลยีที่สำคัญงานหนึ่ง มาฝากกันครับ โดยในปีนี้แวะกลับมาจัดที่ทวีปเอเชียอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งปกติผมก็จะเน้นเอาเฉพาะการประชุมแถวๆ ไม่ไกลจากบ้านเรามานำเสนอกันครับ การประชุมนี้มีชื่อว่า IEEE NANO 2010 (10th International Conference on Nanotechnology) ซึ่งในปีนี้มีความน่าสนใจขึ้นไปอีก เพราะไปจัดร่วมกับงาน NANO KOREA 2010 ทำให้งานนี้จึงมีทั้งการประชุมแบบวิชาการหนักๆ ร่วมกับการแสดงนิทรรศการทางด้านเทคโนโลยี และการแสดงสินค้าทางนาโนเทคโนโลยีในลักษณะเทรดแฟร์ด้วยครับ
IEEE NANO 2010 จะจัดระหว่างวันที่ 17-20 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ซึ่งเป็นช่วงหน้าร้อนที่อากาศในเกาหลีจะค่อนข้างสบายๆ สถานที่ที่ใช้จัดคือ KINTEX เป็นศูนย์ประชุมนานาชาติในจังหวัด Gyeonggi-do (คยองกิ-โด) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกรุงโซล และสนามบินนานาชาติอินชอน นั่งรถบัสหรือรถไฟประมาณ 70 นาที หัวข้องานวิจัยที่เป็นที่สนใจของการประชุมนี้ ก็คล้ายๆ กับปีก่อนๆ ได้แก่

Nanoelectronics (More Moore, More than Moore and Beyond-CMOS)
Nano-Optics, Nano-Photonics, Plasmonics, Nano-Optoelectronics
Nanofabrication, Nanolithography, Nano-Manipulation, Nanotools
Nanomaterials and Nanostructures
Nanocarbon, Nanodiamond, Graphene and CNT Based Technologies
Nano-Sensors and Nano-Membranes
Modeling and Simulation
System Integration (Nano/Micro/Macro), NEMS, and Actuators
Molecular Electronics, Inorganic Nanowires, Nanocrystals, Quantum Dots
Spintronics, Nanomagnetics
Nano-Bio Fusion, Nano-Biology, Nanomedicine
Nano-Circuits and Architectures, Reliability of Nanosystems
Nano-Robotics
Nano-Energy (Photovoltaics, Hydrogen Storage)
Nanotoxicalogy, Environment/Health/Safety (EHS)


ถ้าใครสนใจก็รีบเตรียมบทความที่จะส่งนะครับ กำหนดส่งบทคัดย่อคือวันที่ 1 มีนาคม 2553 สำหรับตัวผมเองจะไปอีกงานที่ญี่ปุ่นครับ แล้ววันหลังผมจะนำมาเล่าให้ฟังครับว่าเป็นงานประชุมอะไร งานที่ผมจะไปนี้ จัดที่เกียวโตครับ
(ภาพบน - รูปของสาวๆ โชนยอชิแด (Girls Generation) ซึ่งท่านผู้อ่านจะเห็นคัตเอาท์ใหญ่ของพวกเธอ ทันทีที่ก้าวย่างเข้าสู่อาคารผู้โดยสาร สนามบินนานาชาติอินชอน ปัจจุบัน สาวๆ เกาหลีได้รับการจัดอันดับว่าเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกไปแล้ว)

08 พฤศจิกายน 2552

Inspiration Economy - เศรษฐกิจแบบแรงบันดาลใจ (ตอนที่ 1)


หมู่นี้ผมได้ข่าวท่านนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไปปาฐกถาตามงานต่างๆ ซึ่งท่านพูดถึงเรื่อง Creative Economy หรือ เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ บ่อยมาก นัยว่าในมุมมองของท่านนั้น คนไทยเราน่าจะมีความคิดสร้างสรรค์ค่อนข้างดี เศรษฐกิจแบบนี้จึงน่าจะเหมาะกับบ้านเรามากกว่า Knowledge-Based Economy หรือเศรษฐกิจฐานความรู้ ซึ่งเคยถูกใช้เป็นเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนสังคมไทย ในยุคของนายกรัฐมนตรีคนก่อน คือ พตท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร แต่ในที่สุด พวกเราเองคงจะรู้ตัวว่า สังคมไทยเป็นสังคมฐานความรู้ไม่ได้ เพราะเรายังไม่มีศักยภาพในการผลิตความรู้ขึ้นใช้เอง เนื่องจากสังคมของเรายังอ่อนแอ ในเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งโดยทั่วไป เขามักจะวัดกันที่ผลงานตีพิมพ์ระดับสากล และการจดสิทธิบัตร ซึ่งเรายังแพ้ประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์

เท่าๆที่ผมติดตามข่าวท่านนายกฯ ไปพูดที่นั่นที่นี่ ผมถึงเพิ่งเข้าใจความหมายของ Creative Economy ที่ท่านนายกฯ กำลังพูดถึง เพราะท่านเน้นความเป็นไทย อันได้แก่ ความสามารถด้านศิลปะต่างๆ งานหัตถกรรม จิตรกรรม วิจิตรศิลป์ และอื่นๆ ที่เราสั่งสมมาจากสมัยโบราณ ไม่ใช่ Creative Economy ที่อยู่บนฐานของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่เป็น Creative Economy ที่อยู่บนฐานของศิลปวัฒนธรรม ที่เป็นจุดเด่นของประเทศเรา ซึ่งอันที่จริงก็เป็นสิ่งที่น่าจะถูกต้องครับ เพียงแต่ สินค้าที่เราคิดว่า creative ต่างๆ นี้ มันสามารถที่จะส่งออกไปยังตลาดโลกได้จริงหรือไม่ ? ตลาดต่างๆ นอกประเทศไทยจะพึงพอใจสินค้าทางด้านศิลปวัฒนธรรมของเรามากเพียงใด เราจะแข่งกับสินค้าอารมณ์จากเกาหลีได้หรือ ???

Creative Economy วางจุดโฟกัสที่ตัวผู้ผลิตสินค้าว่าต้องมีความคิดสร้างสรรค์สูง ผลิตสิ่งที่เป็นของใหม่ๆ มีความโดดเด่น เป็นตัวของตัวเอง ในขณะที่เศรษฐกิจอีกแบบที่ผมกำลังจะพูดถึงนี้คือ Inspiration Economy จะวางจุดโฟกัสที่ผู้ซื้อครับ เพราะเศรษฐกิจแบบนี้ ตัวสินค้าจะไปสร้างแรงบันดาลใจให้ตลาด ให้ผู้ซื้อเกิดความอยากได้ รวมถึงไปสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ผลิตเจ้าอื่น อยากทำตาม อยากพัฒนาตัวสินค้าใหม่ๆ ที่ตอบสนองแรงบันดาลใจเหล่านี้ เป็นเศรษฐกิจที่มีแรงลอยตัว และหนุนให้เกิดการสร้างสรรค์ ทั้งคนผลิตและคนใช้ หลายๆ ประเทศที่มีนวัตกรรมสูง อย่างประเทศสแกนดิเนเวีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น กำลังมุ่งสู่เศรษฐกิจแนวนี้ครับ ซึ่งวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตใจ และ ประสาทวิทยา สามารถให้เหตุผลได้ ในตอนหน้าผมจะมาเล่าให้ฟังครับ ว่าการเข้าใจสมองมนุษย์ และศาสตร์การรับรู้ของคน ทำให้เราสามารถสร้างสินค้าแบบบันดาลใจได้ ......

09 มกราคม 2551

Smart Highway - เมื่อทางหลวงก็มีหัวคิด


ทุกๆ เช้า ก่อนจะขับรถออกจากบ้านเพื่อมาทำงานที่มหาวิทยาลัยมหิดล ถนนพระราม 6 นอกจากจะเข้าไปตรวจสอบสภาพอากาศ ที่คณะวิทยาศาสตร์ว่าเป็นยังไง อุณหภูมิเท่าไหร่ มีแดดมั้ย ผมก็จะต้องเข้า web site ของการทางพิเศษ เพื่อตรวจสอบดูก่อนว่าการจราจรบนทางด่วนเป็นอย่างไร รถหายติดหรือยัง บางทีแปดโมงครึ่งก็หายติดแล้ว บางวันอาจต้องรอถึง 9 โมง เมื่อออกจากบ้านขึ้นทางด่วนไปถึงถนนพระราม 6 ส่วนใหญ่ก็จะค่อนข้างแม่น ใช้เวลาบนทางด่วนเพียง 10-15 นาทีเท่านั้น ไม่ทราบว่าทางด่วนของเราใช้คนคอยดูกล้องวงจรปิด แล้วป้อนข้อมูลเข้าอินเตอร์เน็ต หรือว่าใช้ซอฟต์แวร์เพื่อตรวจสอบแบบเรียลไทม์


สิ่งที่ผมกล่าวมานั้น คงเป็นจุดเริ่มต้นของทางหลวงของอนาคต หรือ Smart Highway ซึ่งถนนหนทางจะกลายมาเป็นสิ่งที่มีหัวคิด ไม่ใช่เป็นเพียงสิ่งของไร้วิญญาณ ที่วางตัวเฉยปล่อยให้รถของเราวิ่งไปบนตัวมัน แต่ถนนอัจฉริยะนี้จะคอยอำนวยความสะดวกให้เรา คอยรับใช้เราให้ขับรถไปถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย ด้วยความเร็วที่ทางหลวงสมัยนี้ให้แก่เราไม่ได้ กรมทางหลวงเกาหลีใต้ได้ริเริ่มโครงการในฝัน Smart Highway ขึ้นแล้วในปีนี้ โดยสนับสนุนเงินเกือบ 162 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่ออัดฉีดเข้าไปให้แก่โครงการวิจัยต่างๆ ให้เริ่มวางแผนและออกแบบ Smart Highway โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ได้ต้นแบบ Blueprint ของ Smart Highway งบประมาณจำนวนนี้ เฉพาะทำวิจัยเท่านั้น ไม่ได้รวมงบก่อสร้างถนนจริง โดยจะสนับสนุนงานวิจัยทางด้าน วัสดุปูพื้นถนนแบบใหม่ เซ็นเซอร์ต่างๆ ที่ใช้ตรวจสอบผิวทาง การจราจร สัญญาณอันตราย ระบบไอทีของทางหลวง ระบบนี้จะช่วยให้ยวดยานสามารถขับขี่ได้ที่ความเร็ว 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อย่างปลอดภัย ระบบเซ็นเซอร์ และ ระบบไอทีจะติดต่อคอยอำนวยความสะดวกให้คนขับรู้ถึงสภาพอากาศ สภาพถนน การจราจร อุบัติเหตุ น่าอิจฉาคนเกาหลีจัง ..........

13 ธันวาคม 2550

Nano in Korea - นาโนเกาหลี


วันนี้ nanothailand ขอพูดเรื่องเกาหลีต่อนะครับ เพราะยังเห่อๆ อยู่ เกาหลีเป็นประเทศที่เริ่มต้นใหม่ หลายๆเรื่องจริงๆ เพราะถึงแม้เขาจะมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่าประเทศไทย แต่เพราะเขาถูกญี่ปุ่นยึดครองไปซะ 35 ปี เมื่อสหประชาชาติมาปลดปล่อยประเทศของเขา ภายหลังจากญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงคราม เกาหลีก็ต้องพบกับสงครามภายในที่แบ่งประเทศออกเป็นเหนือกับใต้ ไทยเองก็เคยช่วยเกาหลีหลายอย่าง ทั้งการส่งทหารไปช่วย การไปให้ความรู้ในเรื่องเกษตรกรรม แต่วันนี้เกาหลีแซงหน้าเราไปแล้ว


ถ้าประเทศไทยคิดจะมองหาแม่แบบในการพัฒนาด้านนาโนเทคโนโลยี สหรัฐอเมริกาและ สหภาพยุโรปคงไม่ใช่แน่ๆ ประเทศในเอเชียที่มีความเจริญทางด้านเศรษฐกิจน่าจะเป็นแม่แบบที่ดีกว่า แต่คงไม่ใช้ญี่ปุ่นที่ออกจะดูห่างไกลจากประเทศไทยมากในแง่ของ GDP ประเทศที่เราน่าจะมองก็คงเหลือแค่เกาหลีใต้ เพราะไต้หวันยังมีสถานภาพเป็นเพียงเขตเศรษฐกิจ ซึ่งหากคิดรวมกับจีนแล้วก็คงไม่ใช่แม่แบบที่ดีของประเทศไทย เกาหลีใต้สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาจากการมีอุตสาหกรรมเหล็กที่เข้มแข็ง ต่อมาก็สามารถจับกระแสของวิทยาศาสตร์พื้นผิวได้จนกระทั่งพัฒนามาเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของโลก โดยมีความโดดเด่นกว่าไต้หวันมากในแง่ที่ว่าเกาหลีใต้สามารถพัฒนาตัวเอง จนหลุดพ้นบ่วงที่ยังผูกรัดไต้หวันอยู่กับการเป็นแค่ผู้ถูกว่าจ้างให้ผลิต (OEM) ปัจจุบันตราสินค้าอย่าง Samsung และ LG ถือเป็นตราสินค้าที่มีคุณภาพ ได้รับการยอมรับทั่วโลก ทั้ง 2 บริษัทนี้ยังเป็นผู้นำในนวัตกรรมหลายๆอย่าง ซึ่งแม้แต่ SONY ยังต้องให้ความเกรงใจ เกาหลีใต้ค่อนข้างจะมีความได้เปรียบตรงที่ผู้บริโภคในประเทศจำนวนเกือบ 50 ล้านคน เป็นเสมือนห้องปฏิบัติการขนาดใหญ่ที่พร้อมรับทดสอบนวัตกรรมใหม่ๆทางเทคโนโลยี ซึ่งเมื่อบริษัทในเกาหลีผลิตสินค้าใหม่ๆออกมา ก็สามารถใช้ตลาดในประเทศ ที่มีทัศนคติในการลองของใหม่ทดสอบการใช้งานก่อน ทำให้มีเวลาในการปรับปรุงคุณภาพ เมื่อส่งออกสู่ตลาดโลกจึงมีความเข้มแข็งของตราสินค้ามาก

ความเป็นห้องปฏิบัติการขนาดใหญ่ของผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ทำให้ประเทศนี้เป็นประเทศแห่งจอแสดง ผลแบบ LCD แบบสี มีติดตั้งกับโทรศัพท์สาธารณะ Kiosk จอโฆษณาต่างๆ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ต้องเห็นจอ LCD นอกจากนี้จอแสดงผลแบบอินทรีย์เปล่งแสง (OLED) หรือแบบท่อนาโนของคาร์บอนก็คาดว่าจะออกมาให้ชาวเกาหลีใต้ได้ใช้กันในไม่ช้านี้


ประเทศเกาหลีใต้นั้นมีโครงสร้างการให้ทุนที่หลากหลายมาก และมีการให้ทุนจากบริษัท เอกชนมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก โครงการทางด้านนาโนเทคโนโลยีระดับชาติของเกาหลีใต้อย่างเช่น Tera-level Nanodevice (TND) ริเริ่มเมื่อปี ค.ศ. 2000 มีลักษณะจำเพาะและโดดเด่นมาก ดูแปลกกว่าประเทศอื่นๆตรงที่ว่า โครงการนี้ตั้งเป้าไว้ที่การเป็นผู้นำทางด้านนาโนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งแม้ปัจจุบันก็ยังไม่มีใครตอบได้ว่าหน้าตาของนาโนอิเล็กทรอนิกส์เป็นอย่างไร แม้จะเป็นโครงการที่มุ่งเป้าไปที่ผลิตภัณฑ์เป็นอย่างมาก แต่ในรายละเอียดจะเป็นเรื่องของการพัฒนาวิทยาศาสตร์พื้นฐานหลากหลายสาขา ลักษณะของโครงการแม้จะมุ่งเป้าชัดทั้งๆที่เป้าก็ยังไม่นิ่งนัก แต่ก็ปล่อยให้โครงการดำเนินไปตามธรรมชาติของการพัฒนาของเทคโนโลยี หากฝันของโครงการนี้เป็นจริง เกาหลีใต้จะเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในอีก 10 ปีข้างหน้า แทนที่สหรัฐอเมริกา

11 ธันวาคม 2550

Visiting Korea - Touch and Feel the Sense of Experience Economy





กลับมาจากประเทศเกาหลีแล้วครับ ไม่ได้อัพเดต Blog เสียหลายวัน ต้องขออภัยท่านผู้อ่านด้วยครับ วันนี้ก็จะมีเรื่องเกี่ยวกับประเทศเกาหลีใต้ มาเล่าให้ฟังนะครับ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับความเป็น Experience Economy ของเขา อย่างที่ nanothailand เคยเล่าให้ฟังว่า Experience Economy หรือ เศรษฐกิจฐานจินตนาการ เป็นที่ ที่ซึ่ง มูลค่าของสินค้าขึ้นกับ ความรู้สึก ความฝัน จินตนาการ ประสบการณ์ ที่ผู้บริโภคได้รับ อย่างเช่นที่ Nokia มีสโลแกนว่า Connecting People ซึ่งเขาไม่ได้ขายมือถือ แต่เขาขายประสบการณ์ของการอยู่ในโลก แห่งการปฏิสัมพันธ์อย่างไร้ขอบเขต โดยประเทศที่เป็นผู้นำในการนำ Experience Economy นั้นจะต้องเป็นประเทศที่มีนวัตกรรมสูง อย่างประเทศ Nordic หรือ ประเทศทางแถบสแกนดิเนเวียนั่นแหละครับ ส่วนทางเอเชีย ตอนนี้ประเทศเกาหลีถือว่ากำลังเจริญรอยตามกลุ่มประเทศ Nordic ครับ บริษัทผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่ที่สุดของโลก ก็คือ Samsung เขาพยายามสื่อสารกับลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์ของเขาว่า สิ่งที่ลูกค้าซื้อไปจาก Samsung ไม่ใช้สินค้าที่เป็นสิ่งของ แต่เป็นประสบการณ์ที่ดีในการใช้สินค้านั้นๆ โลกส่วนตัวที่ลูกค้าได้รับตั้งแต่ในห้องนอน ได้แก่ จอ LCD, TV, DVD แอร์ เครื่องฟอกอากาศ มาถึงห้องนั่งเล่น ที่มีโฮมเธียเตอร์ ห้องครัวที่มี ตู้เย็นของ Samsung ให้ประสบการณ์ที่บูติค ออกไปทำงานก็พกโทรศัพท์มือถือของ Samsung ที่มีนวัตกรรมล้ำยุคเทียบเท่า i-Phone


nanothailand ไปเกาหลีครั้งนี้ ถึงรู้ว่าเกาหลีไม่ได้ขายทัวร์อีกแล้ว แต่เขาขายประสบการณ์ ในความเป็นเกาหลี เริ่มตั้งแต่การไปเดินเล่นบนเกาะนามี สถานที่ถ่ายทำละครสุดซึ้งเรื่อง Winter Sonata ซึ่งเป็นที่รู้จักในหมู่คนไทยในชื่อ Winter Love Song หรือ เพลงรักในสายลมหนาว การได้ไปถ่ายรูปกลางทิวสน และ ดงแปะก๊วย ทำให้ได้สัมผัสประสบการณ์ อันสุดแสนโรแมนติกของ Winter Love Song เสมือนหนึ่งได้ไปอยู่ในละครเรื่องนั้นเลยทีเดียว จากนั้นได้เข้าไปพักที่ Ski Resort เพื่อรอเล่นสกีในตอนเช้า ณ ยอดเขาที่เรียกว่า High 1 ได้รับประสบการณ์การนอนพื้นแบบเกาหลีที่เรียกว่ากอนโดะ โดยเขาจะเป่าอากาศร้อนเข้าไปในช่องอากาศใต้พื้นเพื่อทำความร้อนให้แก่ห้อง การนอนพื้นจะช่วยทำให้ผู้นอนได้รับความอบอุ่นอย่างเต็มที่ในฤดูหนาว เพราะที่นอนจะดูดซับความร้อนจากพื้น ในขณะที่หมอนที่บรรจุเปลือกธัญพืชจะไม่ดูดซับความร้อน ทำให้นอนได้อย่างอุ่นสบาย การเล่นสกีที่เกาหลีถือว่าคุ้มค่า เพราะมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีไม่แพ้ในออสเตรียเลย ถือว่าเป็น Ski Destination ที่ขายประสบการณ์แบบเอเชีย หลังจากเหน็บหนาว และ เหนื่อยเมื่อยล้ากับประสบการณ์สกี เขาก็พาไปอาบน้ำแร่ ผู้หญิงเกาหลีมีผิวขาวสวย เนียนใส เพราะเขาชอบแช่น้ำแร่ ชอบขัดผิวกันเป็นประจำ สำหรับคนไทยเรา ไม่ใคร่จะเข้าไปสปากันมากนัก แต่สำหรับคนเกาหลีเป็นเรื่องปรกติเลยครับ อาบน้ำแร่สบายตัวแล้ว วันรุ่งขึ้นก็ไปดึงประสบการณ์ความเป็นเด็กออกมา ที่สวนสนุกของบริษัท Samsung ที่มีชื่อว่า Everland


Touch and Feel the Sense of Experience Economy ของ nanothailand ในทริปนี้ ถือเป็นเพียงส่วนหนึ่ง คือบริเวณจังหวัดทางภาคเหนือของเกาหลีเท่านั้น ประเทศนี้ยังมีสิ่งที่น่าสนใจให้ค้นหาอีกมากมายครับ จริงๆ แล้ว ถามว่าประเทศไทยจะทำการท่องเที่ยวแบบ Experience Tourism แบบเค้าได้ไหม ตอบว่าจริงๆ ประเทศเราก็เริ่มมีการทำแบบนี้บ้างแล้วครับ ในภาคเหนือ แล้วก็แถบเขาใหญ่ถิ่นคาวบอยของเรา เพียงแต่ เกาหลีเขาร่วมมือกันทำเป็นระบบเครือข่ายที่ใหญ่มาก นโยบายสั่งตรงลงมาจากรัฐบาลเลย ของเรายังเป็นลักษณะ Bottom-Up คือผู้ประกอบการร่วมใจกันทำ รัฐบาลขิงแก่ไม่ค่อยถนัดงานเชิงรุกครับ แต่ก็หวังว่ารัฐบาลหน้าจะได้มือเจ๋งๆ มาทำงานเหมือนช่วงรุ่งเรืองของไทยเมื่อ 4 ปีที่แล้วครับ

06 ธันวาคม 2550

Korea Trip


nanothailand ขอพักไปเที่ยวเกาหลีนะครับ ระหว่างวันที่ 6-10 ธันวาคม 2550 ไม่ได้เอาเครื่อง notebook ไป กะจะไปเที่ยวเต็มที่ คงไม่ได้อัพเดต Blog ในช่วง 4-5 วันนี้ เจอกันใหม่วันที่ 11 ธ.ค. 50 ครับ .......

13 ตุลาคม 2550

ความสวยงามของวัฒนธรรมทีม


ช่วงหลังๆ จะเห็นได้ว่าศิลปบันเทิงของเกาหลีตีตลาดเอเชียกระจุยกระจาย ไม่ว่าจะภาพยนตร์ ละคร ดนตรี รวมไปถึงการท่องเที่ยว เกาหลีใต้เขามีความแข็งแรงมากๆเลยครับ ในเรื่องของการทำงานเป็นทีม เขายกทัพเอาศิลปบันเทิงทุกอย่างออกมาขายข้างนอก โดยช่วยเหลือเกื้อกูลกันทั้งภาครัฐและเอกชน ในวงการดนตรีของเกาหลีเอง วงดนตรีที่ประสบความสำเร็จมักจะเป็นวงดนตรีที่มีศิลปินหลายๆ คน ลองคลิ๊กไปดู Music Video ของวงโซนยอซิแดที่ http://www.pingbook.com/mv/list.php?id=247 ดูสิครับ เขาทั้งร้องทั้งเต้นได้สวยงามมากๆ มีเอกลักษณ์ในเรื่องท่าเต้น เขาทำงานประสานงานกันได้ดีมากๆ ในวงนี้จะดูไม่ออกเลยว่าใครเด่นที่สุด เพราะแต่ละคนจะส่งต่อจุดสนใจไปยังอีกคนเสมอๆ ความสวยงามของโซนยอซิแด จึงอยู่ที่การทำงานประสานกันทั้งทีม ลีลาท่าเต้นที่สอดคล้องกัน มี symmetry มี synchronization หากทีมวิจัยทางด้านนาโนของเรา สามารถรวมความเชี่ยวชาญ และทำงานประสานกันแบบนี้ได้ nanothailand ว่าเราเป็นที่หนึ่งในโลกในเรื่องนั้นๆ ได้เลย โซนยอซิแด เป็นวงดนตรีที่เล่นกัน 9 คน ถ้าเป็นทีมวิจัยก็ถือว่าเป็นทีมใหญ่ระดับ Center of Excellence แต่จริงๆ แล้วทีมเล็กก็อาจประสบความสำเร็จในระดับ Team of Excellence ได้เช่นกัน ลองคลิ๊กไปชม Music Video ของวง KARA ที่ http://www.pingbook.com/mv/list.php?id=160 ดูสิครับ เขาเป็นวงดนตรีระบบทีมขนาดกะทัดรัดที่โดดเด่นมากๆ ดึงจุดเด่นของแต่ละคนมาสร้างเอกลักษณ์เฉพาะได้ ถึงจะมีจำนวนคนน้อยกว่าโซนยอซิแด เขาก็ทำได้ดีในระดับสู้ได้ หากลองสังเกตเพลง โซนยอซิแดเน้นเพลง Dance ที่ไปเรื่อยๆ โดยมีการไหลของดนตรีแบบยาวๆ แต่ KARA จะเน้นดนตรีเป็นจังหวะ เพราะตัวเล่นน้อยกว่า มีการย้อนของท่อนเพลง ทำดนตรีไหลยาวมากไม่ได้ เพราะตัวเล่นน้อยกว่า การทำวิจัยทางนาโนก็เหมือนกัน ทีมเล็กก็สู้ทีมใหญ่ได้ แต่ต้องเลือกโจทย์ให้เหมาะกับขนาดของทีม และต้อง Focus ในความได้เปรียบของทีม

(ภาพด้านบนซ้าย - ศิลปินโซนยอซิแด, ภาพขวา - ศิลปิน KARA)

13 กันยายน 2550

อยากเป็นที่หนึ่ง ไทยต้องเร่งสร้างทีม ลดบทบาทตัวบุคคล


ปัญหาในวงการวิจัยของไทยที่คอยบอนไซประเทศมาหลายสิบปีเรื่องหนึ่งก็คือ วัฒนธรรมการทำงานแบบ "ข้ามาคนเดียว" ของนักวิจัยไทย ที่ชอบเล่นบท superman ทำงานคนเดียว ที่เหลือเป็นนักศึกษา แต่ในระยะ 2-3 ปีมานี้ ภายหลังจากมีการรายงานถึงความอ่อนแอของงานวิจัยไทยที่เกิดจากการชอบทำงานคนเดียว ซึ่งจัดทำโดย สกอ. ร่วมกับ สกว. หน่วยงานให้ทุนต่างๆ ก็เริ่มเน้นการให้ทุนแบบรวมกลุ่มมากขึ้น ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) เริ่มการจัดตั้ง Center of Excellence หรือ COE ตามมหาวิทยาลัยหลักทั่วประเทศตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยมุ่งสร้างทีมที่มีเอกลักษณ์ NECTEC - The Best of NSTDA ก็เริ่มจัดตั้ง COE บ้างแล้วในปีนี้ สกอ. มีทุนสร้าง Research Group ที่เน้นทีมมากกว่าตัวบุคคล แม้แต่ สกว. ซึ่งมีประเพณีการให้ทุนที่เน้นตัวบุคคลมาแต่ไหนแต่ไร แต่ได้ยินมาว่า ทุนทางด้านนาโนเทคโนโลยีของ สกว. จะ upgrade ขึ้นไปชูทีมเวอร์ค มากกว่าตัวบุคคล อย่างที่เคยทำ


ในโลกของงานวิจัยสมัยใหม่ เหลือที่ว่างให้ศิลปินเดี่ยวน้อยลงทุกที nanothailand ชอบคำพูดของผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมาก ท่านเป็นอธิการบดี ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ท่านกล่าวว่า "สมัยนี้ถ้ายังทำงานวิจัยคนเดียว เป็นศิลปินเดี่ยว ก็ต้องไปยืนเล่นตามชานชาลารถไฟเท่านั้น" หากมองออกไปข้างนอก เอาใกล้ๆตัวก่อน สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม เขารวมกันเป็นทีมทั้งนั้น ยิ่งออกไปไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และ อเมริกา กระแสการจัดตั้ง Center of Excellence ที่ทำกันมาหลายปีก็ยังแรงอยู่ ทุนเมกะโปรเจคต์ของยุโรปที่เรียกว่า FP7 บอกเลยว่าไม่ต้อนรับข้ามาคนเดียว


(ภาพซ้ายมือ - แม้แต่ในวงการดนตรี ก็ยังต้องมากันเป็นทีม ในภาพเป็นศิลปินวงโซนยอชิแด ที่อาศัยความเป็นทีม สร้างความโด่งดังไปทั่วเอเชีย ศิลปินในเกาหลีอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Super Junior ที่มีอยู่ 10 คน KARA ที่มีอยู่ 4 คน Wonder Girls ที่มี 5 คน ล้วนแสดงให้เห็นว่า หากประเทศไทยยังเน้นบุคคลเดี่ยวๆ อยู่ ตายแน่ๆ)