แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Arab แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Arab แสดงบทความทั้งหมด

03 พฤษภาคม 2553

Vertical Farm - ทำไร่บนตึกสูง (ตอนที่ 4)


หลายๆ ครั้งที่ผมได้รับเชิญไปเป็นวิทยากร เพื่อบรรยายในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสมัยใหม่กับการเกษตร ผมมักจะพูดถึงเรื่องของการเกษตรในร่ม ที่นับวันจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องของการทำฟาร์มในแนวดิ่ง (Vertical Farm) ซึ่งผมมักจะเสนอในที่ประชุมเหล่านั้นว่า มันจะช่วยทำให้เกษตรย้ายจากชนบทมาสู่เมือง ซึ่งหากมีการจัดการที่ดี จะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากๆ เพราะหากสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง ผืนดินในชนบทจำนวนมากจะถูกคืนแก่ธรรมชาติ การเกษตรในเมือง (Urban Agriculture) จะเป็นอะไรที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะเมืองเป็นที่ที่บริโภคผลผลิตทางการเกษตรเหล่านั้น เวลาที่ผมพูดเรื่องนี้ เมื่อผมมองสายตาของผู้ฟัง ผมรู้ว่าท่านเหล่านั้นไม่เชื่อ หรือ อย่างน้อยก็สงสัยกับสิ่งที่ผมพูด .....

แต่ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ที่ ดูไบ เมืองในทะเลทรายที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก ให้มาใช้ชีวิตหรูหราอย่างในเทพนิยายอาหรับราตรี ดูไบสร้างสิ่งมหัศจรรย์ทางวิศวกรรมยุคใหม่มาแล้วนับไม่ถ้วน แล้วทำไมดูไบจะคิดนอกกรอบ ทำในสิ่งที่ประเทศอื่นยังไม่ยอมทำอย่าง ฟาร์มบนตึกระฟ้า อย่างโครงการ Oasis Tower ที่กำลังจะสร้างในอุทยานธุรกิจซาบีล (Zabeel Park) ที่กำลังจะกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ชิ้นต่อไปของดูไบ ซึ่งมีเป้าหมายจะเป็นตัวอย่างเพื่อแสดงให้ประเทศอาหรับอื่นๆ เห็นว่า การผลิตอาหารได้เอง เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ และแนวคิดนี้จะเหมาะสมกับประเทศในทะเลทรายเป็นอย่างมาก เพราะการทำไร่ทำนาในพื้นที่เรียงกันในแนวดิ่ง ถือว่ามีประสิทธิภาพสูงสุดแล้ว สำหรับพื้นที่ในทะเลทราย เพราะการใช้น้ำจะมีประสิทธิภาพสูงสุด ของเสียหลายอย่างถูกนำกลับมาใช้ใหม่ ทำให้มีของเสียปล่อยสู่ธรรมชาติน้อยมาก อาคาร Oasis Tower แห่งนี้ ได้รับการคาดหวังว่าจะสามารถผลิตอาหารได้พอเพียงสำหรับประชากรจำนวนมากถึง 40,000 คนเลยครับ โดยมันจะลดการใช้พลังงานจากภายนอก ด้วยการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลมที่พัดผ่านตัวอาคาร รวมไปถึงเซลล์สุริยะที่เคลือบผิวตัวอาคารทั้งหมดจะช่วยผลิตพลังงานไฟฟ้าได้อีกด้วย

12 สิงหาคม 2552

The Future of Agriculture - อนาคตของเกษตรกรรม (ตอนที่ 1)


จะตลกไหมครับหากผมจะพูดว่า ในอนาคตประเทศอาหรับจะกลายมาเป็นประเทศเกษตรกรรมล้ำหน้า หรือว่า ในอนาคตประเทศไทยจะกลายมาเป็นประเทศผู้ส่งออกไวน์รายใหญ่ แล้วคอยดูต่อไปนะครับว่า เรื่องแบบนี้ไม่ได้อยู่ไกลเกินฝัน อีกไม่นาน เราจะเริ่มเห็นการเคลื่อนไหวในวงการเกษตรกรรม ที่อาจทำให้โลกพลิกซ้ายพลิกขวาไปเลยครับ

บทความชุดนี้ ผมจะนำเทคโนโลยีที่ผมคิดว่าจะเป็นอนาคตของวงการเกษตรกรรม ที่จะนำไปสู่การปฏิวัติเกษตรกรรมครั้งที่ 2 มาเล่าให้ฟังครับ

เทคโนโลยีที่ผมอยากแนะนำในวันนี้คือ Indoor Farming หรือการทำไร่ทำนาในร่ม ซึ่งอาจจะหมายถึงการทำในโรงเรือน (Green House) การทำไร่ในอาคารสูง (Vertical Farming) หรืออาจทำในเมืองในแหล่งธุรกิจอย่างสีลม (Downtown Farming) ซึ่งผมเคยพูดไปก่อนหน้านี้แล้วเกือบทั้งหมดครับ ซึ่งในระยะหลังๆ นี้ แนวคิดการทำเกษตรกรรมในพื้นที่ทะเลทรายกำลังมาแรงครับ มีการทดลองสร้างโรงเรือนเกษตรกรรมในทะเลทรายที่อยู่ไม่ไกลจากทะเล โดยโรงเรือนเหล่านี้อาศัยพลังงานจากแสงอาฑิตย์ และพลังงานลม เพื่อผันน้ำจากทะเลเข้ามาเปลี่ยนให้เป็นน้ำจืด สำหรับรดน้ำให้แก่พืช รวมทั้งสร้างความชื้นในโรงเรือนเพื่อให้พืชสามารถเจริญเติบโตได้ สำหรับเมืองไทยแล้ว การทำ Indoor Farming เคยถูกมองว่าไม่จำเป็นในอดีต แต่เมื่อสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงไป แนวคิดในการทำ Indoor Farming ก็เริ่มมีความสำคัญกับพืชหลายชนิด โดยเฉพาะพืชที่มีมูลค่า เช่น กล้วยไม้ ผักห้าง ไม้ดอกต่างๆ ข้อดีของเกษตรกรรมในร่มก็คือ เราสามารถทำเกษตรกรรมที่ใดก็ได้ พืชชนิดใดก็ได้ เพราะอีกหน่อย พื้นที่เกษตรกรรมเหมาะๆ มีแต่จะหายาก มีที่ตรงไหนทำได้ ก็ต้องเอาตรงนั้น เทคโนโลยีนี้จึงใช้กันมากขึ้นทุกที แม้แต่ในประเทศที่ปลูกอะไรก็ขึ้นอย่างบ้านเรา

18 พฤษภาคม 2552

Dubai Food City - ดูไบเมืองแห่งอาหาร


ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกตกต่ำอย่างตอนนี้ ผมมักจะได้ยินคนพูดกันอยู่บ่อยๆว่า "ไม่ต้องกลัว เมืองไทยยังไงก็ไม่อดตาย ยังไงคนก็ยังต้องกิน" หลายคนฝากความหวังว่าเมืองไทยยังไงก็เป็นครัวโลก เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ยิ่งตอนนี้ประชากรโลกเพิ่มขึ้น ดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงทำให้หลายประเทศผลิตอาหารไม่พอกิน ประเทศอาหรับถึงจะเป็นเศรษฐีน้ำมัน มีเงินก็ต้องนำมาซื้ออาหารจากเรา แต่ทว่า ....... ความคิดแบบนี้ระวังจะใช้ได้อีกไม่นานหรอกครับ ด้วยวิศวกรรมเปลี่ยนฟ้าแปลงดิน Geoengineering อีกหน่อยประเทศทะเลทรายอาจจะผลิตอาหารได้มากกว่าประเทศที่อุดมสมบูรณ์อย่างเราก็ได้ วันนี้ผมนำโครงการหนึ่งที่จะขับเคลื่อนความฝันของอาหรับ เพื่อไปสู่ประเทศที่ผลิตอาหารได้เอง โครงการนั้นคือ Dubai Food City

ปัจจุบันประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ต้องนำเข้าอาหารถึง 90% เชียวครับ ดังนั้นหาก Dubai Food City นี้ทำให้ประเทศนี้ไม่ต้องนำเข้าอาหารอีกต่อไป ก็ถือเป็นสิ่งที่คุ้มค่าแก่การลงทุน ก่อนหน้านี้ประเทศอาหรับได้ไปลงทุนทางด้านการเกษตรในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องข้าวในเวียดนาม เรื่องผักในชิลี และซูดาน ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นคงในด้านอาหาร อีกทั้งกะว่าจะเป็นผู้ส่งออกผลผลิตการเกษตรจากดินแดนที่ตนเข้าไปร่วมลงทุน ก่อนหน้านี้หากยังจำได้ว่า ซาอุดิอารเบียเคยคิดจะเข้ามาลงทุนปลูกข้าวในประเทศไทย แต่ถูกต่อต้านอย่างหนัก ทั้งนี้เขาต้องการเรียนรู้การปลูกข้าว เพื่อนำเทคโนโลยีกลับไปทำในบ้านเขาซึ่งเขาจะปลูกในเรือนควบคุมสภาพอากาศ

Dubai Food City จะเป็นเมืองที่ใช้พลังงานทางเลือก โดยทั้งเมืองจะผลิตพลังงานใช้เองทั้งหมดจากแหล่งพลังงานทางเลือกต่างๆ เช่น Solar Concentrator แต่ละอาคารจะมีเซลล์สุริยะแบบฟิล์มบางบนผิวทั้งหมด ทางเท้ามีระบบเก็บเกี่ยวพลังงานจากการเดินของคน มีเรือนปลูกผัก ผลไม้ ควบคุมสภาพอากาศ มีฟาร์มเลี้ยงสัตว์น้ำที่ล้ำสมัยที่สุดในโลก มีระบบการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่

ฟังดูก็ต้องกลับมาคิดว่า ประเทศอู่ข้าวอู่น้ำอย่างเรา จะปล่อยให้เกษตรยังเป็นแบบที่ไม่ต้องดูแลมาก แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนครับ .....

19 ธันวาคม 2551

The International Conference For Nanotechnology Industries 2009


มี conference ทางด้านนาโนเทคโนโลยีมากฝากแบบด่วนๆ ครับ เพราะกำหนดส่ง abstract ใกล้เข้ามาแล้วครับ นั่นคือ The International Conference For Nanotechnology Industries 2009 ซึ่งจัดโดย King Saud University ที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดิอารเบีย ระหว่างวันที่ 5-7 เมษายน 2552 กำหนดส่ง abstract นั้นเป็นวันที่ 7 มกราคม 2552 ครับ หัวข้อของการประชุมก็มีดังต่อไปนี้ครับ

  • Nanoparticles and Quantum dots.
  • Nanowires , Nanotubes and Carbon Nanotubes.
  • Thin film. Nanocomposite. Nanocoating.
  • Nanobiotechnology (drug delivery , nanomedicine , nanobioimaging , DNA-based nanotechnology).
  • Nanoscale; computation & modeling.
  • Nanolithography and Nanofabrication.
  • Educational & Training Aspects of Nanoscience.
  • Role of nanotechnology in advancing knowledge-based economy.
  • Application of Nanotechnology in :
  1. Water treatment.
  2. Environment.
  3. Energy.
  4. Electronics and Optoelectronics.

การประชุมครั้งนี้น่าสนใจตรงที่ ผู้จัดยกเว้นค่าลงทะเบียนให้ผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมดครับ ดังนั้นก็เสียค่าค่าเดินทาง กับโรงแรม ก็สามารถไปเข้าร่วมงานนี้ได้แล้วครับ ก็ถือว่าเศรษฐีน้ำมันเขาจัดแบบไม่หวังกำไรเลย ซาอุดิอาระเบียเองนั้นก็เป็นประเทศล่าสุดที่ทุ่มทุนมหาศาล เพื่อเข้าร่วมขบวนรถไฟเพื่อเป็นมหาอำนาจทางด้านนาโนเทคโนโลยี มีการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางนาโนเทคโนโลยี โดยศูนย์นี้จะดำเนินการวิจัยมุ่งเป้าในศาสตร์แนวหน้าของโลก ได้แก่ การพัฒนาเซลล์สุริยะ การเปลี่ยนน้ำทะเลเป็นน้ำจืด และปิโตรเคมียุคนาโน (ประเทศอาหรับมีแผนจะเป็นศูนย์กลางปิโตรเคมีของโลก ดังนั้นในอนาคตอันใกล้ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีของไทย ไม่ว่าจะเป็น เครือซีเมนต์ไทย ปตท. ทีพีไอ จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะต้นทุนแพงกว่า) อีกทั้งตอนนี้ซาอุดิอาระเบียกำลังให้ความสนใจเป็นอย่างมากกับ Precision Agriculture หรือ เกษตรความแม่นยำสูง ซึ่งปัจจุบันนั้นมีมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นผู้นำในศาสตร์ด้านนี้ครับ และเราต้องรีบทำงานเพื่อแข่งกับการเข้ามาของประเทศอาหรับครับ เพื่อให้ประเทศไทยยังรักษาความเป็นครัวของโลกอยู่ได้

02 กรกฎาคม 2551

Solar Island - โรงไฟฟ้าลอยน้ำ


อย่างที่ผมพูดเสมอๆ ล่ะครับว่า ประเทศที่มีนวัตกรรมด้านพลังงานแสงอาฑิตย์มากที่สุดในโลก ไม่ใช่อเมริกา ไม่ใช่ยุโรป ไม่ใช่ญี่ปุ่น ไม่ใช่เกาหลี แต่เป็นประเทศเจ้าของน้ำมันอย่างสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (United Arab Emirates) ที่สร้างเมืองพลังงานสะอาดอย่าง Masdar City และนวัตกรรมด้านเปลี่ยนฟ้าแปลงดินหลายโครงการ อย่างเช่น Palm Island และ The World เกาะที่สร้างขึ้นมาเป็นรูปแผนที่โลกอย่างอลังการ



ล่าสุด ประเทศ UAE มาด้วยความคิดเจ๋งๆ ที่จะสร้างเกาะผลิตพลังงานไฟฟ้าจากโซล่าเซลล์ โดยต้นแบบที่จะผลิตขึ้นมาเพื่อทดสอบในทะเลนี้ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 100 เมตร มีกำลังผลิตไฟฟ้า 1 เมกะวัตต์ โซลาร์เซลล์ที่ใช้บนเกาะนี้เป็นแบบ Thermal ไม่ใช่ Photovoltaic กล่าวคือไม่ได้เปลี่ยนแสงไปเป็นไฟฟ้าโดยตรง แต่แสงอาฑิตย์จะไปเผาน้ำให้ร้อนในท่อให้ร้อน แล้วน้ำร้อนเหล่านี้จะไปปั่นเครื่องปั่นไฟแบบกังหันความร้อน จากนั้นก็จะนำไฟฟ้าไปเปลี่ยนน้ำทะเลให้เป็นไฮโดรเจนอีกทอดหนึ่ง เกาะพลังงานนี้จะผลิตไฮโดรเจนได้ด้วยตนเอง แค่ปล่อยให้มันลอยของมันไป พอถึงเวลา เรือบรรทุกไฮโดรเจนอัดก็จะไปรับไฮโดรเจนที่อัดไว้กลับมาบนฝั่ง การทำเช่นนี้ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีสายส่งไฟฟ้าจากเกาะนี้มายังบนฝั่ง คาดว่าเกาะนี้จะเริ่มถูกทดสอบในช่วงปลายปี ค.ศ. 2008 นี้ หลังจากนั้นทีมงานจะทำการสร้างเกาะที่มีขนาดใหญ่กว่า ที่เส้นผ่านศูนย์กลาง 1 กิโลเมตร ลองนึกภาพมีจานใหญ่ๆ มาลอยเท้งเต้งเต็มเลยในอ่าวไทย ก็คงแปลกตาดีครับ อีกหน่อย พื้นที่ในทะเลอาจจะต้องมีการแบ่งสิทธิ์ นส. 3 เหมือนพื้นที่บนดินแล้วครับ ......

30 มิถุนายน 2551

The Rise of Oil and the End of Oil Business


ข่าวที่ประเทศซาอุดิอาระเบียจะมาตั้งบริษัทเพื่อปลูกข้าวในประเทศไทย เป็นเรื่องจริงจัง ไม่ใช่เรื่องที่ปลุกกระแสขึ้นมาใช้เล่นงานคู่แข่งในทางการเมือง ไม่ใช่แค่ซาอุฯ เท่านั้นหรอกครับที่อยากเข้ามา ชาติอาหรับทั้งหลายอยากเข้ามาทั้งนั้น แล้วเขาไม่ได้มองแค่เรื่องข้าวเท่านั้น เขาคิดจะเข้ามาในประเทศไทย เพื่อพัฒนาระบบเกษตรความแม่นยำสูง และ ฟาร์มอัจฉริยะ เพื่อใช้ผลิตพืชผลเกษตรแบบทันสมัย แล้วขายให้ได้ราคาอย่างน้ำมันด้วย เขามองว่าทรัพยากรน้ำมันใต้ดินของเขานั้นมันไม่จีรัง เงินกำไรที่ได้จากน้ำมันในช่วงนี้ เขาใช้มันทุกบาททุกสตางค์เพื่อพัฒนาประเทศ วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ธุรกิจใหม่ ไม่ว่าจะเป็นพลังงานทางเลือก นาโนเทคโนโลยี ปิโตรเคมี การท่องเที่ยว การแพทย์ การศึกษา เขาตั้งใจจะเป็นศูนย์กลางการเงินของโลก ศูนย์กลางเทคโนโลยีพลังงานทางเลือก ศูนย์กลางการแพทย์ ศูนย์รวมการศึกษา เงินที่ได้จากน้ำมันตอนนี้ เขาทุ่มเททางนี้หมด จะเห็นว่ามีโปรเจคต์ใหม่ๆ ออกมาเพียบที่ทำให้โลกตะลึง ไม่ว่าจะเป็น Masdar City เมืองพลังงานทางเลือก งานอลังการแนว Geoengineering อย่าง Palm Island ผู้นำของซาอุดิอาระเบียกล่าวว่า ธุรกิจน้ำมันของซาอุฯนั้นมีมูลค่า 1/3 ของ GDP ซึ่งถือว่าสูงเกินไป เพราะธุรกิจน้ำมันมีลักษณะ Capital-Intensive หรือใช้ทุนเยอะ แต่เกิดการจ้างงานน้อย ธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่น้ำมัน จะจ้างงานได้มากกว่าเยอะ ซาอุจึงจำเป็นต้องสร้างธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับน้ำมันขึ้นมามากๆ เห็นหรือยังครับ ประเทศไทยไม่น่าภูมิใจเลยที่บริษัท ปตท. ของเราติด 500 อันดับของโลก เพราะบริษัทนี้ไม่ได้สร้างงานให้คนไทยนักหรอกครับ เห็นวิสัยทัศน์ประเทศที่เป็นเจ้าของทรัพยากรน้ำมันแล้วก็อึ้ง .......


ไม่แปลกหรอกครับที่เขาให้ความสนใจลงทุนเรื่องเกษตรในประเทศไทย เพราะอีกไม่นาน เขาต้องการมาเรียนรู้การผลิตอาหารในบ้านเรา อีกอย่างตอนนี้เขาพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งกำลังขึ้นมาแข่งขันกับ ปตท. และ SCG ของเราครับ เขากำลังสร้างโรงงานผลิตปุ๋ยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปุ๋ยที่ผลิตได้ก็จะมาตีตลาดบ้านเราในไม่ช้า ผลิตภัณฑ์พลาสติกของเขาก็จะมาใช้ทางการเกษตรและอาหารในบ้านเราด้วย นี่แหล่ะครับ เขาใช้น้ำมัน เพื่อจะออกจากธุรกิจน้ำมัน ..........

03 มิถุนายน 2551

น้ำมันลิตรละ 70 บาท (ตอนที่ 2)


ดูเหมือนคำทำนายที่ว่าสิ้นปีนี้ เราจะได้เห็นราคาน้ำมันดิบถังละ 200 เหรียญสหรัฐ และน้ำมันเบนซิน 95 ที่ลิตรละ 70 บาท จะปรากฏภาพอันน่ากลัวชัดขึ้นเรื่อยๆ แล้วล่ะครับ เพราะแม้แต่รัฐมนตรีคลังของเราเองก็เริ่มพูดแล้วว่า เขากลัวว่าสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ คนไทยคงจะได้เห็นน้ำมันลิตรละ 50 บาทกัน ก่อนหน้านี้เรามักจะโทษพวกกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ว่าเข้าไปเก็งกำไรราคาน้ำมัน ทำให้น้ำมันแพงขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงตอนนี้ทิศทางของความเชื่อกำลังจะพุ่งไปสู่ทฤษฎี Peak Oil หรือ Hubbert Peak Theory ที่กล่าวว่าโลกเรากำลังถึงจุด Peak Oil ซึ่งหลังจากจุดนี้แล้ว การผลิตน้ำมันจะค่อยๆ ลดลงๆ ไปเรื่อยๆ จนไม่มีน้ำมันเหลือให้ใช้อีกต่อไป ผลการศึกษาตามแนวของ Hubbert Peak Theory แต่ไหนแต่ไรก็บอกว่าโลกเข้าใกล้ยุค End of Oil แล้ว ในช่วง ค.ศ. 2000 - 2015 นี้แหล่ะ ได้เห็น Peak Oil แน่ๆ ครับ แต่ที่ผ่านมาคนใช้น้ำมันกลับไม่ยอมทำใจรับกับความจริงอันเจ็บปวดนี้ โลกเราใช้น้ำมันกันอย่างขาดสติมาตลอดหลายปีมานี้


ถ้ายังจำได้ ผมเคยเขียนเอาไว้สัก 2 เดือนก่อน ซึ่งตอนนั้นน้ำมันหยุดพักอยู่ที่ลิตรละประมาณ 35 บาท ว่า OPEC กำลังจะทดสอบราคาน้ำมันที่ลิตรละ 40 บาท เพราะลิตรละ 40-50 บาท เป็นราคาทางจิตวิทยาที่จะกำหนดตลาดให้ลดการใช้น้ำมัน ในขณะที่ราคามากกว่าลิตรละ 50 บาทอาจนำไปสู่การถดถอยของเศรษฐกิจโลก ดังนั้นน้ำมันลิตรละ 40-50 บาท จะเป็นอะไรที่ทำให้ Supply กับ Demand พอเหมาะพอดี หากราคาสูงขนาดนี้ แล้วคนยังไม่ลดการใช้ นั่นย่อมแสดงว่า Peak Oil มาถึงแล้วล่ะครับ เพราะ OPEC เองก็ไม่อยากขึ้นราคามากไปกว่านี้แล้ว แต่เป็นเพราะ OPEC ไม่สามารถผลิตเพิ่มแล้ว เพราะน้ำมันไม่มีจะดูดขึ้นมาต่างหาก


อีกไม่นาน เราจะได้ทดสอบกันแล้วครับว่าโลกมาถึง Peak Oil หรือยัง .......

24 พฤษภาคม 2551

น้ำมันลิตรละ 70 บาท


เมื่อ 2 ปีก่อน กลุ่มนักวิเคราะห์น้ำมันจำนวนหนึ่ง ได้ทำนายว่าน้ำมันดิบจะมีราคาพุ่งสูงขึ้นไปอยู่ที่ 200 เหรียญสหรัฐต่อบาห์เรลในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ณ วันนั้นราคาน้ำมันยังไม่ถึง 60 เหรียญต่อบาห์เรลเลยด้วยซ้ำ น้ำมันเบนซิน 95 ลิตรละไม่เกิน 25 บาท ตอนนี้น้ำมันเบนซิน 95 ลิตรละเกือบ 40 บาท กับราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยที่ 120 เหรียญต่อบาห์เรล ประมาณกันว่าหากราคาน้ำมันดิบขึ้นไปถึง 200 เหรียญ ราคาน้ำมันเบนซินก็น่าจะไปถึงลิตรละ 70 บาท แน่ๆ นักวิเคราะห์ได้กล่าวตลกๆ ว่า กระบวนการ Globalization จะเกิดย้อนกลับไปสู่กระบวนการ Localization นั่นก็คือ ผลิตที่ไหนก็ใช้ที่นั่น ปลูกที่ไหนก็กินที่นั่น เพราะการขนส่งข้ามเขต ข้ามประเทศไปไกลๆ จะมีราคาสูงกว่าของที่ผลิตอยู่ใกล้ๆ วัตถุดิบต่างๆ จะมีการใช้ในประเทศมากขึ้น เพราะไม่คุ้มค่าขนส่งอีกต่อไป สายการบินส่วนใหญ่จะล้มละลายและหยุดกิจการ อาจรวมไปถึงการบินไทยด้วย จะเหลือแต่สายการบินของอาหรับ เช่น เอมิเรตส์ แอร์ไลน์ ชีวิตความเป็นอยู่หน้าที่การงานจะกระทบหมด คนจะทำงานที่บ้านมากขึ้น ย้ายโรงเรียนลูกมาอยู่ใกล้บ้านมากขึ้น กระบวนการทุนนิยมจะย้อนกลับ คนจะซื้อของที่โชห่วยมากกว่าจะขับรถไปโลตัส


น้ำมันลิตรละ 70 บาทจะมาถึงเมื่อไหร่ล่ะครับ เมื่อเร็วๆนี้เอง Goldman Sachs ได้ออกมาประกาศว่าราคาน้ำมันดิบน่าจะวิ่งไปถึง 200 เหรียญสหรัฐต่อบาห์เรล ในเดือนธันวาคม 2551 นี้แล้วครับ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกาได้ออกมาอ้อนวอน OPEC ให้เพิ่มกำลังการผลิต ที่ OPEC ปฏิเสธพร้อมกล่าวโทษกองทุนต่างๆที่เก็งกำไรน้ำมัน รวมไปถึงค่าเงินของสหรัฐฯเองที่อ่อนลง เตรียมตัวเตรียมใจไว้นะครับ กับน้ำมันลิตรละ 70 บาท ที่กำลังจะมาถึง ........

16 มีนาคม 2551

อวสานของน้ำมัน (ตอนที่ 3) - Masdar Initiative


วันนี้ผมขอมาเล่าเรื่องของโครงการหนึ่ง ที่แสดงถึงวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่มาก เป็นโครงการที่ต้องการปลดแอกตัวเองจากน้ำมัน ทรัพยากรที่ทั้งโลกกำลังหิว แต่มีราคาที่แพงหูฉี่อยู่ในปัจจุบัน น่าแปลกที่ประเทศที่ต้องการดำเนินโครงการนี้ ให้เป็นตัวอย่างแก่ชาวโลก กลับไม่ใช่ประเทศที่ใช้น้ำมันมากที่สุดในโลกอย่างสหรัฐอเมริกา แต่กลับเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลางอย่าง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในเดือนมกราคมปี พ.ศ. 2551 นี้เอง ประเทศนี้ได้ออกมาประกาศที่จะสร้างเมืองในฝันกลางทะเลทราย ที่มีพื้นที่ขนาด 6 ตารางกิโลเมตร บรรจุประชากรได้ 50,000 คน และธุรกิจ 1,500 แห่ง เมืองนี้จะไม่ใช้น้ำมัน แต่เป็นพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากเซลล์สุริยะ โครงการในฝันที่กำลังเร่งสร้างให้ทันเปิดใช้ในปี พ.ศ. 2553 นี้มีชื่อว่า Masdar City ออกแบบโดยท่านลอร์ด Norman Foster นักออกแบบชาวอังกฤษที่เคยฝากผลงานการออกแบบสถาปัตยกรรมเลื่องชื่อ มากมายมาแล้วทั่วโลก เมืองนี้จะไม่มีรถราที่ใช้น้ำมันมาวิ่งให้กวนใจ ประชากรจะใช้รถไฟฟ้าแบบรางเบาที่เชื่อมโยงทั้งเมือง หรืออาจจะใช้สิ่งที่เรียกว่ากระสวยขับเอง (Automated Transport Pod) ที่วิ่งอัตโนมัติจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง ทุกๆจุดในเมืองจะถูกออกแบบให้อยู่ห่างจากจุดขึ้นรถสาธารณะไม่เกิน 200 เมตร เมืองนี้จะถูกเชื่อมโยงกับอาบูดาบี ซึ่งเป็นเมืองหลวงด้วยรถไฟความเร็วสูง ในเรื่องของการกำจัดขยะนั้น เมืองจะถูกออกแบบให้ 99% ของขยะถูกจัดการให้นำกลับมาใช้ใหม่ รวมไปถึงน้ำด้วย


ความเจ๋งของเมืองนี้ทำให้ Norman Foster ผู้ออกแบบถึงกับบ่นออกมาว่า "ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็พึ่งพาน้ำมันเต็มๆตัว ไม่คิดถึงการทำอะไรแบบนี้ ทำไมประเทศยุโรปที่มีทั้งพื้นฐานทางปัญญาและทรัพยากรที่แข็งแกร่งไม่สามารถที่จะริเริ่มเมืองแบบนี้ ผมถามตัวเองอยู่บ่อยๆว่า ทำไมโครงการแบบนี้ที่พร้อมจะเกิดขึ้นที่ไหนในโลกก็ได้ที่มีความก้าวหน้าสูง กลับมาเกิดขึ้นที่นี่ ........"

14 มีนาคม 2551

The End of Oil - อวสานของน้ำมัน (ตอนที่ 2)


กับคำถามที่ว่า ตอนนี้โลกถึงจุดสูงสุดของกำลังการผลิตน้ำมันดิบ หรือ Peak Oil แล้วหรือยัง เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมาอย่างน้อยก็ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 ซึ่งเป็นปีที่ราคาน้ำมันเริ่มถีบตัวสูงขึ้นมาเรื่อยๆ อันเนื่องมาจากเศรษฐกิจของจีนที่บูมขึ้นมา ทำให้ความต้องการน้ำมันเพิ่มขึ้น เมื่อมาเจอผลพวงจากเหตุการณ์ 11 กันยายน ก็ทำให้ทั่วโลกเป็นห่วงตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมันสำคัญ ส่งผลทำให้เกิดการเก็งกำไรราคาน้ำมันขึ้นมาซ้ำเติมอีก นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน หรือ OPEC ก็มีอำนาจต่อรองเหนือผู้ใช้น้ำมันตลอดมาจนถึงปัจจุบัน จนสามารถกำหนดกำลังการผลิตและราคาตามใจได้ ทำให้คำถามที่ว่า Peak Oil เกิดขึ้นหรือยัง ยิ่งตอบได้ยาก เพราะราคาน้ำมันที่สูงในปัจจุบัน อาจเป็นผลมาจากการเมือง มากกว่าความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์ ที่ต้องการรู้ว่า น้ำมันใกล้หมดหรือยัง


ผลการศึกษาตามแนวของ Hubbert Peak Theory แต่ไหนแต่ไรก็บอกว่าโลกเข้าใกล้ยุค End of Oil แล้ว ในช่วง ค.ศ. 2000 - 2015 นี้แหล่ะ ได้เห็น Peak Oil แน่ๆ แต่ค่ายที่มองโลกในแง่ดีก็ค้านมาตลอด เช่น International Energy Agency (IEA) ได้ออกรายงานเล่มหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว โดยบอกว่า Peak Oil ยังอยู่อีกไกล โดยกล่าวว่าโลกเราซึ่งใช้น้ำมันกันวันละ 86 ล้านบาร์เรล จะมีความต้องการน้ำมันดิบเพิ่มเป็นวันละ 95.8 ล้านบาร์เรลในปี ค.ศ. 2012 ซึ่งเฉพาะ OPEC ก็น่าจะสามารถรองรับได้ น้ำมันที่ OPEC ผลิตนั้น เป็นน้ำมันในรูปแบบธรรมดา หรือ Conventional ซึ่งขุดเจาะบนแผ่นดิน หรือไหล่ทวีป แต่โลกเรายังมีน้ำมันประเภทอื่นๆ เช่น น้ำมันในทะเลลึก และ ทรายน้ำมัน ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการนำมาใช้ น้ำมันประเภทหลังนี้เองที่ต้องลงทุนสูงในการนำออกมาใช้ ดังนั้นไม่ว่าฝ่ายสนับสนุน Peak Oil หรือฝ่ายคัดค้าน ล้วนเห็นตรงกันว่ายุคของน้ำมันราคาถูกนั้นจบลงแล้ว - The End of Cheap Oil - ซึ่งเราคงไม่มีโอกาสได้กลับไปเห็นน้ำมันเบนซินลิตรละ 10 บาท อีกต่อไปแล้ว


ในขณะที่ประเทศอาหรับผู้ขายน้ำมันเอง ตอนนี้เขาเริ่มปันเอาผลกำไรมาพัฒนาพลังงานทางเลือกกันแล้ว แต่ประเทศไทยผู้ใช้น้ำมันยังไม่ค่อยเอาจริงเอาจัง เพราะคิดว่าราคาน้ำมันอาจจะกลับไปถูกเหมือนเดิม วันหลังผมจะมาเล่าให้ฟังครับว่า อาหรับเขากำลังพัฒนาไปเป็นศูนย์กลางแห่งพลังงานทางเลือกของโลกกันอย่างไร .......

01 มีนาคม 2551

ซาอุดิอาระเบียร่วม IBM ตั้งศูนย์ความเป็นเลิศนาโนเทคโนโลยี


ช่วงนี้ประเทศที่ร่ำรวยน้ำมันในตะวันออกกลางทั้งหลาย ล้วนพยายามขับเคลื่อนตัวเองไปสู่ประเทศที่มีความก้าวหน้าสูง โดยพยายามผันกำไรจากรายได้น้ำมัน ที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ให้มาพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ดูไบพยายามสร้างสถาปัตยกรรมริมทะเลที่เก๋ไก๋ที่สุดในโลก สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์สร้างเมืองแห่งพลังงานทางเลือกขึ้น เพราะรู้ว่าอนาคตของพลังงานจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับน้ำมันอีกต่อไป ชาติอาหรับต่างรู้ดีเช่นนี้ จึงพยายามนำผลกำไรที่กอบโกยได้ในช่วงนี้ มาลงทุนให้เป็นผู้นำในด้านที่จะเป็นอนาคต เพื่อจะได้อยู่รอดหลังยุคน้ำมัน

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา องค์กรวิจัยแห่งชาติที่ดูแลด้านการวิจัยของซาอุดิอาระเบีย ที่มีชื่อว่า King Abdulaziz City for Science and Technology ได้ร่วมกับบริษัท IBM เพื่อจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางนาโนเทคโนโลยี (Nanotechnology Centre of Excellence) โดยศูนย์นี้จะดำเนินการวิจัยมุ่งเป้าในศาสตร์แนวหน้าของโลก ได้แก่ การพัฒนาเซลล์สุริยะ การเปลี่ยนน้ำทะเลเป็นน้ำจืด และปิโตรเคมียุคนาโน (ประเทศอาหรับมีแผนจะเป็นศูนย์กลางปิโตรเคมีของโลก ดังนั้นในอนาคตอันใกล้ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีของไทย ไม่ว่าจะเป็น เครือซีเมนต์ไทย ปตท. ทีพีไอ จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะต้นทุนแพงกว่า) น่าชื่นชมประเทศซาอุฯ ที่การตั้งศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติของเขา ค่อนข้างมีทิศทาง ซึ่งก็เน้นทำที่ 3 เรื่องนี้เท่านั้น ในขณะที่ของเรายังไม่หาจุดเน้นไม่เจอ และก็ยังเป็นความถนัดของคนไทย ที่ชอบทำวิจัยในเรื่องที่ตนเองถนัด มากกว่าประเทศถนัด

(ภาพบน - แม้แต่ประเทศที่ร่ำรวยน้ำมันอย่างซาอุดิอาระเบีย ก็ทุ่มพัฒนาเทคโนโลยีเซลล์สุริยะ เพื่อเป็นพลังงานทางเลือก)