13 มีนาคม 2551

The End of Oil - อวสานของน้ำมัน (ตอนที่ 1)


เมื่อประมาณ 50 ปีมาแล้ว M. King Hubbert นักธรณีวิทยา ได้ก่อตั้งทฤษฎีเพื่อใช้ทำนายอวสานของการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐว่าจะเกิดขึ้นในปี คศ. 1965-1970 การทำนายที่แม่นยำของเขา เป็นจุดกำเนิดของ Hubbert Peak Theory อันโด่งดังและใช้ต่อๆ กันมาเพื่อทำนายเวลาที่การผลิตน้ำมันของโลก จะไปถึงจุดสูงสุด และไม่สามารถจะเพิ่มกำลังผลิตได้อีก จุดนี้เราเรียกว่า Peak Oil หลังจากจุดนี้แล้ว การผลิตน้ำมันจะค่อยๆ ลดลงๆ ไปเรื่อยๆ จนไม่มีน้ำมันเหลือให้ใช้อีกต่อไป


การทำนายจุดที่จะเกิด Peak Oil ให้ได้อย่างแม่นยำนั้น สำคัญมาก เพราะเมื่อเกิด Peak Oil แล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือ ราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะปริมาณความต้องการมีมากกว่ากำลังผลิต ราคาสินค้าจะถีบตัวสูงขึ้นเพราะต้นทุนด้านพลังงาน เนื่องจากปิโตรเลียม เป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมหลายชนิด การผลิตพลาสติก ปุ๋ย ยา สารเคมี เครื่องอุปโภคบริโภคทั้งหลาย ต่างก็ใช้โมเลกุลอินทรีย์ที่อยู่ในน้ำมันดิบ หรือ ก๊าซธรรมชาติทั้งนั้น เมื่อต้นทุนแพงขึ้น โรงงานก็จะเริ่มลดการผลิต ส่งผลให้เกิดการว่างงานขึ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจถดถอยลดน้อยลง และสิ่งที่จะเกิดตามมาคือ สงครามแย่งชิงพลังงาน จะว่าไปสาเหตุที่ญี่ปุ่นส่งเครื่องบินไปถล่มหมู่เกาะฮาวายของสหรัฐอเมริกา อันเป็นชนวนแห่งสงครามมหาบูรพา ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้น ก็เกิดเพราะอเมริกาตัดการส่งน้ำมันไปยังญี่ปุ่นนั่นเอง


คำถามก็คือ Peak Oil จะเกิดเมื่อใด? หรือ มันเกิดขึ้นแล้วหรือยัง? ท่ามกลางการถกเถียงอย่างหนักระหว่าง 2 ค่าย พวกมองโลกแง่ดีบอกว่า โลกเรายังเหลือน้ำมันอีกมากมาย และยุคน้ำมันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ในขณะที่พวกมองโลกแง่ร้าย มองไปถึงขั้นว่า หลัง Peak Oil แล้ว อารยธรรมของโลกเราจะถูกทำลาย ระบบทุนนิยมที่มีฐานอยู่บนน้ำมันราคาถูก จะล่มสลาย เมื่อปี ค.ศ. 1999 นั้นราคาน้ำมันดิบยังอยู่ที่ 20 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลอยู่เลย ถ้าใครพอจำได้ ตอนนั้นเราเติมน้ำมันเบนซินกันลิตรละ 10 บาท แต่ตอนนี้ 30 กว่าบาทแล้ว ราคาน้ำมันดิบก็พุ่งมาอยู่ที่ 110 เหรียญต่อบาร์เรลแล้ว เรากำลังอยู่ในช่วงของ Peak Oil แล้วใช่ไหม ..... วันหลังผมจะมาคุยต่อนะครับ