22 มีนาคม 2555

Robotics Asia 2012


เมื่ออาเซียนเชื่อมโยงถึงกันหมดในปี พ.ศ. 2558 ประเทศที่ถูกมองว่าจะแข่งกันในเรื่องของเทคโนโลยีมี 3 ประเทศคือ สิงคโปร์ มาเลเซีย และ เมืองไทยของเรา ในระยะหลังๆ จะสังเกตได้ว่ามาเลเซียเริ่มจัดงานประชุม นิทรรศการ และเทรดแฟร์ทางด้านเทคโนโลยีมากขึ้น อย่างเห็นได้ชัด (สำหรับสิงคโปร์นั้นไม่ต้องพูดถึง เขาจัดของเขาตลอดอยู่แล้วครับ) มาเลเซียต้องการเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียนทางด้านนาโนเทคโนโลยี และ ระบบออโตเมชั่น ล่าสุด มาเลเซียต้องการจะเป็นศูนย์กลางทางด้านหุ่นยนต์ศาสตร์ในภูมิภาคอาเซียน ในปีนี้มาเลเซียจึงดึงนิทรรศการทางด้านหุ่นยนต์มาจัดที่กัวลาลัมเปอร์ คืองาน Robotics Asia ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-12 กรกฎาคม 2555 ที่อาคาร Putra World Trade Center กรุงกัวลาลัมเปอร์ งานนี้จะมีเทคโนโลยีหุ่นยนต์ที่ใช้ในงานประยุกต์ในด้านต่างๆ มาแสดง ทั้งด้านเกษตร การบิน อวกาศ การแพทย์และสุขภาพ การศึกษา โดยมี Theme ของงานเป็น "Robotics at Home, Work and Play" โดยผู้จัดหวังว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานจากในภูมิภาคประมาณ 20,000 คน

19 มีนาคม 2555

Plant Intelligence - ต้นไม้ไม่ได้โง่ (ตอนที่ 13)


บ่ายวันหนึ่งเมื่อประมาณ 2555 ปีที่แล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จข้ามแม่น้ำหิรัญญวดี เข้าสู่สาลวโนทยาน คืออุทยานซึ่งสะพรึงพรั่งด้วยต้นสาละ แล้วประทับ ณ แท่นบรรทมระหว่างต้นสาละคู่ เพื่อเตรียมเสด็จสู่มหาปรินิพพาน พระอานนท์ได้ทูลเชิญเสด็จเพื่อไปปรินิพพานในเมืองใหญ่ แทนที่จะเป็นในป่าใกล้เมืองเล็กๆ เพื่อให้สมฐานะและพระเกียรติแก่พระศาสดาของโลก พระพุทธเจ้าได้ตรัสตอบพระอานนท์ว่า “อานนท์ เธออย่ากล่าวอย่างนั้นเลย ชีวิตของตถาคตเป็นชีวิตแบบอย่าง ตถาคตนิพพานไปแต่เพียงรูปเท่านั้น แต่เกียรติคุณของเราคงอยู่ต่อไป เราต้องการให้ชีวิตนี้งามทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด อานนท์เอย ตถาคตอุบัติแล้วเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชน เมื่ออุบัติมาสู่โลกนี้ เราเกิดแล้วในป่านามว่าลุมพินี เมื่อตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เราก็ได้บรรลุแล้วในป่าตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แขวงเมืองราชคฤห์มหานคร เมื่อตั้งอาณาจักรแห่งธรรมขึ้นเป็นครั้งแรกได้สาวกเพียง ๕ คน เราก็ตั้งลงแล้ว ณ ป่าอิสิปตนมิคทายะ เขตเมืองพาราณสี ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแห่งเ เราก็ควรนิพพานในป่าเช่นเดียวกัน"

ระยะหลังๆ มานี้ นักวิทยาศาสตร์เริ่มค้นพบหลักฐานใหม่ๆ ที่แสดงให้เห็นว่า ต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ธรรมดา แต่อาจมีความรู้สึกนึกคิด จนถึงขั้นมีปัญญาสามารถแก้ปัญหาได้ นานมาแล้ว ที่วิทยาศาสตร์บอกว่าต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทื่อๆ นอกจากจะเคลื่อนที่ไปมาไหนไม่ได้แล้ว ยังไร้ซึ่งประสาทสัมผัส และระบบรับรู้ ไม่มีความรู้สึก อารมณ์ และความฉลาด แต่ผลการวิจัยใหม่ๆ ที่เปิดเผยออกมาเรื่อยๆ กลับชี้ให้เห็นว่ามันเป็นความเชื่อที่ผิด

เมื่อไม่กี่วันมานี้ ได้มีรายงานวิจัยที่เปิดเผยเกี่ยวกับความสามารถในการฝึกได้ของพืชครับ ซึ่งสิ่งที่ทำให้พืชเป็นสิ่งมีชีวิตที่ฝึกฝนได้ก็คือ "ความจำ" นั่นเอง รายงานนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Communications โดยคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยเนบราสกา-ลินคอร์น (University of Nebraska-Lincoln) ประเทศสหรัฐอเมริกา (รายละเอียดเพื่อการอ้างอิงคือ Yong Ding, Michael Fromm, Zoya Avramova. Multiple exposures to drought 'train' transcriptional responses in Arabidopsis. Nature Communications, 2012; 3: 740 DOI: 10.1038/ncomms1732) ซึ่งนักวิจัยได้ค้นพบว่าพืชมีความสามารถในการจดจำคืนวันแห่งความแห้งแล้ง และมันสามารถที่จะเรียนรู้เพื่อปรับตัว ทำให้มันมีความสามารถในการที่จะอดทน และเอาตัวรอดจากความแห้งแล้งที่อาจจะผ่านเข้ามาอีกในอนาคต

นักวิจัยได้เปรียบเทียบระหว่างพืชที่ถูกฝึกให้เจอภัยแล้งจำลองหลายๆ ครั้ง กับพืชที่ไม่เคยฝึกเลย พบว่าพืชที่เคยถูกฝึก เมื่อเจอกับภัยแล้ง มันจะจดจำสภาวะที่มันเคยเจอได้ มันจะปรับตัวได้เร็วกว่า ทำให้มันไม่สูญเสียน้ำได้ง่าย จากการศึกษากลไกการทำงานในระดับโมเลกุล ทำให้พบว่า ปฏิกริยาเคมีต่างๆ ในพืชที่ถูกฝึกเอาไว้ เมื่อมันเจอภัยแล้งของจริง มันจะมีสภาพคล้ายๆ กับช่วงที่มันได้ฝึก องค์ความรู้ที่ได้นี้ อาจจะทำให้สักวันหนึ่ง เราสามารถที่จะทำวิศวกรรมเพื่อให้ได้พืชที่ต้องการน้ำน้อย และสามารถให้ผลผลิตได้แม้จะประสบกับสภาวะภัยแล้งน้ำก็ตาม อย่างไรก็ตาม นี่เพิ่งเป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น เรายังต้องแสวงหาความรู้อีกมากว่าความสามารถของพืชมีอะไรอีกบ้าง

ในตอนบ่ายของวันเพ็ญเดือน 6 เมื่อประมาณ 2555 ปีที่แล้วนั้นเอง เหนือขึ้นไปจากแท่นบรรทมของพระพุทธองค์ ต้นสาละทั้งคู่ได้ออกดอกสะพรั่งเต็มต้น โปรยดอกตกถูกพระพุทธสรีระประหนึ่งจะถวายบูชาแด่พระพุทธองค์ ซึ่งเป็นการผิดปรกติ เพราะเวลานั้นไม่ใช่เวลาที่ต้นสาละจะออกดอก พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสต่อพระอานนท์ว่า "ดูก่อน อานนท์ เราสรรเสริญการบูชาเช่นนี้ แต่ไม่ถือว่าเป็นการบูชาอันประเสริฐ เป็นการดีถ้าหากพุทธบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมวินัยให้สมควรแก่ธรรมที่เราได้ตรัสไว้แล้วนั้น เราสรรเสริญว่า เป็นการบูชาที่ประเสริฐสุด"

15 มีนาคม 2555

Bionic Insect - แมลงชีวกล (ตอนที่ 10)


ผมเขียนบทความเรื่องแมลงชีวกล ตอนแรก ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2009 และผมก็ทยอยเล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเรื่อยๆ จากที่ได้ติดตามดูความคืบหน้ามาเป็นระยะเวลา 3 ปีนั้น ได้มีความก้าวหน้าในเรื่องนี้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากครับ หลายมหาวิทยาลัยสามารถที่จะควบคุมการบินของแมลง โดยการฝังวงจรอิเล็กทรอนิกส์เข้าไปในสมองแมลงแล้ว รวมทั้งยังมีความก้าวหน้าในด้านต่างๆ ซึ่งผมจะนำมาเล่าเพิ่มเติมให้ฟังในวันนี้

โครงการวิจัยแมลงชีวกลนี้ เกิดจากแนวคิดของ DARPA (หน่วยงานให้ทุนวิจัยของเพนทากอน) ที่ต้องการจะนำแมลงมาใช้เป็นอุปกรณ์เพื่อการทหาร โดยการฝังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เข้าไปที่ตัวแมลง แล้วทำให้แมลงทำงานแบบที่สั่งได้ เป็นชีวิตกึ่งจักรกล DARPA ต้องการเอาแมลงชีวกลนี้ไปใช้เพื่อ

(1) การลาดตระเวณในเมือง เพื่อสืบราชการลับและเก็บข้อมูล โดยแมลงอาจติดตั้งกล้องขนาดจิ๋ว ไมโครโฟน แล้วส่งเข้าไปหาข่าว บันทึกภาพและการสนทนาของเป้าหมาย และเก็บข้อมูลสภาพแวดล้อมโดยสามารถเล็ดลอดเข้าไปในเคหสถานของเป้าหมายได้ง่าย

(2) แทรกซึมเข้าไปในฐานที่ตั้งของข้าศึก
โดยหน่วยรบพิเศษสามารถปล่อยฝูงแมลงชีวกลนี้เข้าไปในฐานที่มั่นของข้าศึก เพื่อสืบทราบตำแหน่งยุทโธปกรณ์หลัก การวางกำลังของข้าศึก และเก็บข้อมูลอื่นๆ

(3) ตามหาเป้าหมายที่ต้องการ
เช่น การหาตำแหน่งที่แน่นอนของพลซุ่มยิงฝ่ายศัตรู หาตำแหน่งของหัวหน้าผู้ก่อการร้าย หรือ เก็บภาพจุดที่จะเข้าจู่โจม โดยเฉพาะสงครามในสภาพที่เป็นเมือง

(4) ใช้บรรทุกสัมภาระซึ่งอาจเป็นอุปกรณ์ หรือ สารเคมี หรือ สารชีวภาพ เพื่อภารกิจบางอย่าง

(5) ใช้ไปเก็บตัวอย่างในพื้นที่เสี่ยง เช่น ตัวอย่างดิน ตัวอย่างน้ำ

โดยงานวิจัยด้านแมลงชีวกลนี้ เท่าที่ผู้อ่านได้สำรวจเปเปอร์ต่างๆ พบว่าไม่มีประเทศไหนในโลก นอกจากสหรัฐอเมริกาที่ทำวิจัยในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะอันที่จริง ความก้าวหน้าในการวิจัยเรื่องนี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้ได้เทคโนโลยีแมลงกึ่งจักรกลแล้ว องค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาแมลงยังสามารถต่อยอดไปยังศาสตร์อื่นๆ ได้อีกหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นอากาศยาน หุ่นยนต์ศาสตร์ ประสาทวิทยา หรือแม้กระทั่งการรักษาโรคสมอง หลายคนคิดว่าแมลงเป็นสัตว์ที่กระจอก ดูง่ายไม่ซับซ้อน และคงคิดว่าถ้าเรารู้จักแมลงดีแล้ว คงจะต่อยอดสูงขึ้นไปเพื่อทำอะไรกับสัตว์ใหญ่ๆ แต่แท้จริงแล้ว แมลงมีความซับซ้อนไม่แพ้สัตว์ใหญ่เลย แถมแมลงหลายชนิดยังมีพฤติกรรมแบบฝูงที่ซับซ้อน และฉลาดอีกต่างหากด้วย

ความที่แมลงเป็นสัตว์เล็ก ทำให้การจะนำอุปกรณ์จิ๋วไปติดไว้กับแมลง ก็จะมีปัญหาเรื่องพลังงานที่จะใช้สำหรับอุปกรณ์นั้น เราต้องการเทคโนโลยีแบตเตอรีขนาดจิ๋ว ที่มีความจุสูงแต่น้ำหนักเบา นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยเคส เวสเทอร์น รีเสริฟ (Case Western Reserve University) ได้ศึกษาวิธีการนำพลังงานในตัวแมลงมาใช้ เพราะเมื่อแมลงกินอาหารเข้าไป มันก็จะย่อยให้ได้น้ำตาล ซึ่งเป็นสารให้พลังงานในการดำรงชีพของมัน ดังนั้นการนำเอาสารพลังงานของมันมาใช้จึงนับเป็นแนวคิดที่ฉลาดมากๆ ครับ จากผลงานวิจัยที่เปิดเผยในวารสาร Journal of the American Chemical Society (รายละเอียดเต็มเพื่อการอ้างอิงคือ Michelle Rasmussen, Roy E. Ritzmann, Irene Lee, Alan J. Pollack and Daniel Scherson, "An Implantable Biofuel Cell for a Live Insect", Journal of the American Chemical Society 2012, 134(3), pp 1458-1460) นักวิจัยได้ทำการสอดขั้วไฟฟ้าเข้าไปตัวของแมลงสาบ ซึ่งสามารถวัดกระแสไฟฟ้าที่ไหลออกมาได้ประมาณ 60 ไมโครแอมป์ต่อตารางเซ็นติเมตร โดยมีความต่างศักย์ 0.2 โวลต์ กระแสปริมาณนี้ถึงแม้จะไม่มาก แต่ก็เพียงพอสำหรับการป้อนให้แก่อุปกรณ์ขนาดจิ๋ว ซึ่งอาจพัฒนาขึ้นได้ในอนาคต โดยอาจจะประจุกระแสไฟฟ้าดังกล่าวเข้าเก็บไว้ในแบตเตอรีขนาดจิ๋วตลอดเวลา แล้วค่อยนำออกมาใช้ในเวลาที่ต้องการ ซึ่งการเสียบขั้วไฟฟ้าเพื่อไปดักจับอิเล็กตรอนจากตัวของแมลงสาบเพื่อนำออกมาใช้นี้ แมลงสาบก็ไม่ได้เจ็บและรำคาญแต่อย่างใดครับ เพราะระบบไหลเวียนเลือดของมันนั้น ไม่เหมือนกับมนุษย์เรา มันไม่ได้เป็นเส้นเลือดแบบของเรา แต่เป็นช่องเปิดที่มีของเหลวไหลผ่านได้ง่าย

เล่าต่อในตอนหน้านะครับ ....

14 มีนาคม 2555

ICFPE2012 - The 2012 International Conference on Flexible and Printed Electronics



วันนี้ผมมีการประชุมวิชาการทางด้านเทคโนโลยีที่น่าสนใจ มานำเสนอสำหรับคนที่ชอบประเทศญี่ปุ่นครับ งานประชุมนี้มีชื่อว่า ICFPE2012 ซึ่งมีชื่อเต็มว่า The 2012 International Conference on Flexible and Printed Electronics ซึ่งจะจัดขึ้น ณ มหาวิทยาลัยโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นระหว่างวันที่ 5-8 กันยายน พ.ศ. 2555 โดยมีกำหนดส่งบทคัดย่อไม่เกินวันที่ 21 เมษายน 2555 ครับ ยังพอมีเวลารีบปั่นงานส่งครับผม งานประชุมนี้ เห็นว่าได้รับการยืนยันว่าจะมี ศาสตราจารย์ ไออิจิ เนกิชิ (Professor Ei-ichi Negashi) ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในปี 2010 มาเป็นองค์ปาฐกด้วยครับ จริงๆ แล้วศาสตราจารย์ เนกิชิ เนี่ย ท่านได้รับรางวัลโนเบลจากผลงานการคิดค้นปฏิกริยาเคมีสังเคราะห์ ซึ่งพักหลังนี้ ท่านเริ่มมาสนใจงานทางด้านอินทรีย์อิเล็กทรอนิกส์ (Organic Electronics) ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการทำวงจรอิเล็กทรอนิกส์แบบใหม่ โดยใช้สารอินทรีย์เป็นวัสดุในการทำลายวงจร ต่างจากเทคโนโลยีปัจจุบันที่ใช้สารอนินทรีย์เป็นวัสดุทำวงจรไฟฟ้า ซึ่งอินทรีย์อิเล็กทรอนิกส์จะเป็นพื้นฐานของการทำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต

ด้วยการมองการณ์ไกล บริษัทโซนีจึงได้แต่งตั้งให้ศาสตราจารย์ เนกิชิให้เป็นที่ปรึกษาด้านบริหารงานวิจัยของบริษัทโซนี ในสาขาอินทรีย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยท่านจะให้คำปรึกษาแก่คณะผู้บริหาร และคณะวิจัยในการดำเนินโครงการทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ทั้งนี้ ในระยะหลังๆ บริษัทโซนีได้ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีอินทรีย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นอย่างมาก โดยโครงการเด่นๆ ที่ทางโซนีทำอยู่ก็เช่น จอภาพอินทรีย์เปล่งแสง (OLED) เซลล์สุริยะแบบอินทรีย์ (Organic Solar Cell) แบตเตอรีแบบอินทรีย์ (Organic Battery) และพลาสติกที่ทำมาจากผัก (Vegetable-Based Plastics) โดยมือสังเคราะห์วัสดุขั้นเทพอย่างศาสตราจารย์ เนกิชิ จะเข้ามาช่วยทำให้โซนีมีความได้เปรียบในเรื่องการค้นหา วัสดุใหม่ สำหรับพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทในอนาคต

นอกจากจะมีองค์ปาฐกระดับรางวัลโนเบลแล้ว งานนี้ยังมีผู้บรรยายระดับเทพหลายคน เช่น Ryoji Chubachi รองประธานบริษัทโซนี มี Professor Michael Graetzel จากสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงทางด้าน การสร้างอุปกรณ์โซลาร์เซลล์แบบอินทรีย์ และยังมี Kinam Kim ประธานอำนวยการบริหาร Samsung Advanced Institute of Technology

ในระยะหลังๆ เราจะเห็นว่า การประชุมทางวิทยาศาสตร์จะมีภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นเรื่อย ๆ และมีลักษณะเป็น Global ด้วย กล่าวคือ การวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชน ไม่ได้จำกัดแต่ในฐานการผลิตที่เป็นประเทศของตนเองอีกแล้ว ปัจจุบัน บริษัทเอกชนได้เข้าไปว่าจ้างอาจารย์ และ ทีมวิจัยที่อยู่ตามมหาวิทยาลัยในประเทศต่างๆ ให้ทำวิจัยให้ตน ในประเทศไทยเอง เริ่มมีบริษัทต่างชาติหลายแห่งแล้วครับ ที่เข้ามาว่าจ้างให้อาจารย์ในมหาวิทยาลัยในบ้านเราทำงานวิจัยให้ โดยมีการให้เงินทุน และให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษาของเรา ให้ทำโจทย์วิจัยที่พวกเขาสนใจ เราจะเห็นได้ว่า วิทยาศาสตร์เองก็เริ่มเป็นเรื่องของการ Outsourcing คือเราจะทำเฉพาะส่วนที่เราถนัดจริงๆ ส่วนที่คนอื่นทำเก่งกว่าเราก็ไปจ้างเขาทำ เพื่อที่เราจะได้นำแต่ส่วนที่เป็นของดีๆ มาประกอบกันเป็นผลงานที่เยี่ยมยอดได้

แล้วการประชุมนี้มีหัวข้อที่น่าสนใจอะไรบ้าง เรามาดูกันนะครับ ....

Organic and Printed Electronics
New printing materials for flexible and E-paper display
Advanced flexible display technologies
Business strategy, outlook and development for flexible display
Digital fabrication for flexible and printed electronics
Printing process of organic devices
Printed solar system, organic thin film and DSSC
Printed devices for bio and medical applications
Organic sensing devices and related nano-technologies
Printed and flexible sensors and sensor integration
Organic materials and devices for information and communication
Printed organic thin film transistors
Organic light emitting materials and devices-OLED and OFET
Printable organic and polymer light-emitting diodes and displays
Flexible metal oxide thin-film transistors
Low temperature processing of ceramic-based thin film
Nano inks and related technology
Green Printed Electronics
Packaging and interconnects for advanced flexible and printable circuit boards
Stretchable Electronics
Characterization and development of substrates, sealing materials and relate d device properties
Web handling and related technologies
Precision Coating, Drying, and Foaming
Printed intelligence from roll-to-products
Roll-to-roll printing systems for flexible and printed electronics
Diversity of printing technology for electronic device manufacturing
Organic semiconductor materials
Crystal structure and morphology design in organic semiconductors
Integrated transistors and circuits on flexible subst
Charge dynamics in organic semiconductors

แล้วพบกันที่โตเกียวครับ ....

09 มีนาคม 2555

Geoengineering - เทคโนโลยีเปลี่ยนฟ้าแปลงปฐพี (ตอนที่ 11)


Geoengineering หรือ วิศวกรรมดาวเคราะห์ เป็นศาสตร์ในการนำเอาเทคโนโลยีต่างๆ หลากหลายชนิดทั้ง ฟิสิกส์ โยธา อวกาศวิศวกรรมธรณี เคมี นาโนเทคโนโลยี พันธุวิศวกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ และอื่นๆ เข้ามาปรับเปลี่ยนคุณสมบัติของดาวเคราะห์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อจะทำให้ดาวเคราะห์เป้าหมายเหมาะที่สิ่งมีชีวิตจะอยู่ได้ ในอดีตเราเคยมีแนวคิดจะนำ Geoengineering ไปใช้กับดาวอังคาร แต่ปัจจุบันดาวเคราะห์ที่ต้องการเทคโนโลยีนี้ก็คือ โลกที่เราอาศัยอยู่นี่แหล่ะครับ เพื่อที่จะแก้ปัญหาโลกร้อนที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่ บทความตอนที่ผ่านๆ มา ผมได้ทยอยนำเอาความก้าวหน้าทางด้าน Geoengineering ที่สามารถนำมาใช้แก้โลกร้อนได้ มีตั้งแต่ การปลูกป่าในทะเล การสร้างโดมพลาสติกครอบเมืองทั้งหมด แล้วใช้ระบบปรับอากาศแทน การสร้างร่มบังแดดในอวกาศให้โลก การใช้ฝูงเรือสร้างเมฆบังแดดในชั้นบรรยากาศ ไปจนกระทั่งการสร้างเมืองลอยน้ำเพื่อย้ายไปอยู่ในทะเล เป็นต้น วันนี้เราจะกลับมาคุยเรื่อง Geoengineering กันต่อนะครับ หลังจากไม่ได้พูดเรื่องนี้มาเสียนาน

เทคโนโลยีที่ผมจะนำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ เกิดขึ้นจากการที่นักธุรกิจหัวสมัยใหม่กลุ่มหนึ่ง เริ่มเบื่อกับวิธีการแก้ปัญหาโลกร้อนแบบหน่อมแน้ม ไม่ว่าจะเป็นพลาสติกชีวภาพ ไบโอดีเซล สินค้าลดโลกร้อนประเภทต่างๆ ที่แห่กันออกมาทำตลาด หรือแม้กระทั่งธุรกิจที่หากินกับโลกร้อน ประเภท คาร์บอนเครดิต หรือ พวกจัดการคาร์บอนฟรุตพริ้น พวกเขามองว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เป็นแก่นสาร ไม่ยั่งยืน เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุแบบขอไปที ซึ่งทำให้ตายก็ไม่สามารถแก้โลกร้อนได้ พวกเขาจึงรวมกลุ่มกันตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อแก้โลกร้อนแบบฉีกไอเดียเก่าๆ กระจุย กระเจิง ไปเลยครับ หลักคิดของพวกเขาก็ง่ายๆ ไม่มีอะไร กล่าวคือ ในเมื่อคาร์บอนไดออกไซด์เป็นสาเหตุทำให้โลกร้อน เราก็กำจัดมันเสีย ถ้ามีเทคโนโลยีนี้ซะอย่าง ใครจะผลิตคาร์บอนไดออกไซด์มากแค่ไหน จะทำอะไรก็ปล่อยไป ไม่ยาก เพียงไปดักจับและกำจัดมันออกไปเสียก็สิ้นเรื่อง ฟังดูง่ายนะครับ แต่ความคิดของพวกเขาก็ไม่น่าจะผิดเสียทีเดียว หากพิจารณาว่า มหาเศรษฐีระดับโลกอย่าง บิล เกตส์ ได้เข้ามาเป็นนักลงทุนรายใหญ่ของพวกเขา

ก่อนหน้านี้ บิล เกตส์ ก็ได้ยื่นขอจดสิทธิบัตรจำนวน 5 เรื่อง ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับวิธีการหยุดพายุเฮอริเคน ด้วยการนำอุปกรณ์ที่สามารถปั๊มน้ำทะเลที่อยู่บนผิวน้ำ ให้ไหลลงไปสู่บริเวณใต้น้ำที่ลึกลงไป ซึ่งจะมีอุณหภูมิต่ำกว่ามาก หากนำอุปกรณ์ดังกล่าวไปปล่อยด้วยปริมาณที่มากพอ วิธีการนี้จะช่วยในการลดอุณหภูมิของผิวมหาสมุทร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการก่อตัวของพายุเฮอริเคน ในสิทธิบัตรนี้ยังเสนอวิธีการที่จะนำเงินทุนมาสร้างและปล่อยอุปกรณ์ดังกล่าวลงไปในทะเล ด้วยการเก็บหัวคิวจากค่าประกันความเสียหายที่เกิดจากพายุเฮอริเคน ในบริเวณที่มีโอกาสประสบภัยสูง

ดังนั้นการที่ บิล เกตส์ เข้ามาสนับสนุนด้านเงินทุนแก่บริษัทตั้งใหม่ ที่จะประกอบธุรกิจดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จึงถือเป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นว่าธุรกิจนี้มีอนาคต และการแก้ไขปัญหาโลกร้อนด้วยเทคโนโลยี Geoengineering เป็นสิ่งที่จะเป็นกระแสหลักในอนาคต บริษัทที่ว่านี้มีชื่อว่า Carbon Engineering ซึ่งตั้งขึ้นโดย เดวิด ไคธ์ (David Keith) ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองคาลการี (Calgary) ในแคนาดา ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางทางด้านน้ำมันและก๊าซของแคนาดา ไคธ์ เป็นนักฟิสิกส์และนักภูมิอากาศวิทยา และยังเป็นศาสตราจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยคาลการี (University of Calgary) อีกด้วย ไคธ์ทำวิจัยเพื่อที่จะพัฒนากระบวนการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ โดยจะลดต้นทุนในการดักจับก๊าซ ซึ่งปัจจุบันมีราคาแพงถึง 30,000 บาทต่อตัน ให้ลดลงไปต่ำกว่า 3,000 บาทต่อตัน ซึ่งเป็นราคาที่บริษัทน้ำมันยินดีจ่ายในการซื้อก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาใช้ ทั้งนี้ ได้มีผลงานวิจัยที่ระบุว่า เราสามารถที่จะลดต้นทุนในการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ที่ราคาประมาณ 450 บาทต่อตัน ได้ด้วยซ้ำ

บริษัท Carbon Engineering นี้ มีเป้าหมายเชิงธุรกิจที่จะนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ดักจับมานั้นไปขายให้แก่บริษัทขุดเจาะน้ำมัน โดยบริษัทขุดเจาะน้ำมันจะอัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงไปใต้ดิน เข้าไปในหลุมเจาะ เพื่อเข้าไปแทนที่น้ำมันที่ขุดเจาะขึ้นมาใช้ ซึ่งจะทำให้ได้น้ำมันออกมามากขึ้น เทคโนโลยีนี้เรียกว่า Enhanced Oil Recovery (EOR) ซึ่งจะทำให้ได้น้ำมันมากกว่าปกติ โดยรัฐบาลสหรัฐประมาณว่า การขุดเจาะแบบอัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงไปแทนที่น้ำมันนั้น จะทำให้ได้น้ำมันมากถึง 89 พันล้านบาร์เรล ในประเทศสหรัฐอเมริกา มากกว่าเดิมถึง 4 เท่า จะเห็นได้ว่า ใครก็ตามที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์พร้อมขายสำหรับการขุดเจาะน้ำมันแบบนี้ในอนาคต จะรวยแค่ไหน

การดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเคยถูกปรามาสว่าไม่มีทางเป็นไปได้ กำลังจะกลายเป็นธุรกิจที่มีอนาคต เป็นเทคโนโลยีที่แก้โลกร้อนได้จริง จากการเปลี่ยนมุมมองว่าคาร์บอนไดออกไซด์เป็นขยะ ให้กลายมาเป็นทรัพยากรที่มีค่า มีราคา นั่นเอง โดยโรงงานดักจับนี้สามารถตั้งที่ไหนก็ได้ในโลก

05 มีนาคม 2555

Avatar - กายอวตาร (ตอนที่ 7)


เมื่อประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมทางด้านอนาคตศาสตร์ที่มีชื่อ Global Future 2045 ซึ่งจัดที่กรุงมอสโก โดยการประชุมนี้ได้รวบรวมนักอนาคตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายท่าน มหาเศรษฐีนักลงทุนข้ามชาติ นักวิทยาศาสตร์จากหลากหลายสาขา เช่น ฟิสิกส์ ชีววิทยา นักมนุษยวิทยา นักสังคมศาสตร์ หุ่นยนต์ศาสตร์ นักจิตวิทยา ประสาทวิทยา จักรวาลวิทยา นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานให้ทุนทั้งในวงการรัฐบาลและกลาโหม โดยเนื้อหาของการประชุมนั้น เป็นการระดมแนวคิด และจัดวางยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีล้ำยุค ที่จะเป็นพื้นฐานการอยู่รอดของมนุษยชาติในปี ค.ศ. 2045 โดยมีการวางเป้าหมายของการประชุมดังนี้

- การอภิปราย การสาธิต ผลงานวิจัยและพัฒนาล่าสุดทางด้าน วิทยาศาสตร์ทางจิต หุ่นยนต์ศาสตร์ และการโมเดลระบบของสิ่งมีชีวิต
- การประเมินเทคโนโลยีสำคัญๆ ที่จะทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่ ในวิถีดำรงชีพของมนุษย์
- การสังคายนา ญาณทัศน์แห่งอนาคต ว่าอารยธรรมของมนุษย์จะพัฒนาไปอย่างไร บนแนวคิดของประวัติศาสตร์มหภาค (Big History)

ประธานในการจัดงานคือ ดมิทรี อิทสคอฟ (Dmitry Itskov) มหาเศรษฐีเจ้าพ่อวงการสื่อแห่งรัสเซีย ซึ่งหลงใกลในแนวคิดเกี่ยวกับกายอวตาร เขามองว่า เทคโนโลยีในอนาคตสามารถที่จะยืดอายุขัยของมนุษย์ออกไปได้ โดยการดึงจิตใจของมนุษย์ออกมาจากร่างกายที่มีวันเสื่อม ไปสู่กายใหม่ที่สร้างขึ้นจากวัสดุที่สามารถเปลี่ยนอะไหล่ได้เรื่อยๆ หรือแม้กระทั่ง ไปสู่กายละเอียดที่เป็นโฮโลแกรมก็ได้ อิทสคอฟมองภาพของพัฒนาการร่างกายมนุษย์ จาก A ไปสู่ D ดังนี้

Body A - เป็นร่างกายที่สองของเรา โดยสามารถทำงานภายใต้การควบคุมของเรา ผ่านระบบเชื่อมโยงทางประสาท แบบเดียวกับในภาพยนตร์เรื่อง Avatar กายที่สองนี้อาจจะเป็นกายเนื้อทำจากวัสดุอินทรีย์ หรืออาจจะเป็นหุ่นยนต์ หรือผสมผสานกัน ก็ย่อมได้ แต่น่าจะเป็นลักษณะของหุ่นยนต์มากกว่า เพราะจะมีความทนทานต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า อิทสคอฟดังเป้าไว้ว่า เราต้องมีเทคโนโลยีนี้ภายในปี ค.ศ. 2020 อีกแค่ 8 ปีเองนะครับเนี่ย

Body B - เมื่อเรามีเทคโนโลยีในการผลิตร่างกายที่สองแล้ว ทำไมเราไม่ย้ายไปอยู่ในร่างกายนั้นเสียเลย เพราะร่างกายตามธรรมชาติที่พ่อแม่ให้เรามานั้น นับวันก็มีแต่จะเสื่อมถอย อิทสคอฟมองว่า Body B นี้จะเป็นบ้านใหม่สำหรับคนแก่ที่ร่างกายเสื่อมจนยากที่จะซ่อม คนเป็นโรคร้ายแรงที่ไม่สามารถกู้คืนได้แล้ว คนที่ได้รับอุบัติเหตุร้ายแรง ดังนั้น ถ้าจิตใจของคนเราสถิตย์อยู่ที่สมอง เราก็น่าจะย้ายสมองจากร่างกายที่พ่อแม่ให้มา ไปสู่ร่างกายใหม่ โดยเพียงแค่หล่อเลี้ยงสมองให้สามารถทำงานอยู่ได้ก็พอ ส่วนร่างกายที่สมองไปอยู่นั้น จะเป็นร่างกายแบบไหน ก็ไม่สำคัญ ขอให้มันทำงานและสามารถอุ้มชูสมองที่ย้ายมาอยู่ให้ได้ก็พอ อิทสคอฟมองภาพของเทคโนโลยีที่ว่านั้นในปี ค.ศ. 2025 ซึ่งผมมองว่าไม่น่าจะทำทัน

Body C - ข้อเสียของ Body B คือ แม้ร่างกายจะเป็นวัสดุสังเคราะห์แต่ส่วนสมองก็ยังเป็นเนื้อหนัง เป็นวัสดุชีวภาพที่มีความเสื่อม และซ่อมแซมให้อยู่นานๆ ไม่ได้ง่ายนัก ดังนั้น หากเราแทนที่สมองชีวะนั้นด้วยสมองสังเคราะห์ (Artificial Brain) ก็จะทำให้ทั้งร่างกายและสมอง อยู่บนแพล็ตฟอร์มเดียวกัน สิ่งที่ต้องทำให้ได้สำหรับการสร้าง Body C ก็คือ เราต้องสามารถย้ายส่วนที่เป็นจิตใจ (ข้อมูลต่างๆ ความจำ ความรู้สึกนึกคิด) ออกจากสมองชีวะ ไปสู่สมองใหม่ให้ได้ อิทสคอฟอยากให้มีเทคโนโลยีที่ว่านี้ในปี ค.ศ. 2035 หรืออีก 23 ปีข้างหน้า ซึ่งในเวลานั้น อิทสคอฟจะมีอายุ 54 ปี

Body D - ในเมื่อเรามีเทคโนโลยีในการย้ายจิตใจจากสมองหนึ่ง ไปสู่อีกสมองหนึ่งได้ ทำไมเราจะต้องแคร์ที่จะให้จิตใจยึดติดอยู่กับกายหยาบล่ะครับ อิทสคอฟมองว่า หากจิตใจสามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่ขึ้นกับสังขาร (Medium Independent) เราก็สามารถจะสังเคราะห์กายละเอียดเพื่อให้จิตใจสถิตย์อยู่ได้ เช่น สร้างกายละเอียดออกมาในลักษณะโฮโลแกรม ตามแต่จิตจะนึกเอาว่าอยากให้เป็นอย่างไร ส่วนจิตใจที่เราสกัดออกมาจากสมองใน Body A นั้น เราสามารถที่จะให้เค้าดำรงอยู่แบบผูกโยงกับกายละเอียด หรือสถิตย์อยู่ในระบบ Cloud Intelligence ที่มีโครงข่ายอยู่ทั่วโลกก็ได้

เมื่อประมาณ 2,600 ปีที่แล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้กรุงพาราณสี สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงพระธรรมที่มีชื่อว่า อนัตตลักขณสูตร โดยมีเนื้อความตอนหนึ่งว่า "..... ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล .... รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่ารูปเธอทั้งหลายพึงพิจารณารูปนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา ...... " เมื่อจบธรรมเทศนาบทนี้แล้ว พระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้ถึงการพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ภิกษุปัญจวัคคีย์ทั้งหมดดำรงอยู่ในพระอรหัตผล ในครั้งนั้น โลกจึงได้มีพระอรหันต์เกิดขึ้นแล้ว ๖ องค์

01 มีนาคม 2555

Intelligent Battlefield - เทคโนโลยีสนามรบอัจฉริยะ (ตอนที่ 11)


ในปี พ.ศ. 2328 พระเจ้าปดุง กษัตริย์ของพม่าได้กรีฑาทัพเข้ามาบุกประเทศไทย มีกองกำลังอันแสนยานุภาพถึง 9 ทัพ รวมกำลังพลมากถึง 144,000 นาย โดยมีเป้าหมายที่จะทำลายกรุงเทพมหานคร และราชอาณาจักรสยามให้พินาศย่อยยับ เหมือนเช่นที่เคยทำกับกรุงศรีอยุธยา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้แต่งทัพออกไปตั้งรับที่บริเวณทุ่งลาดหญ้า หรือที่เรามักคุ้นเคยกันในนามของ "เขาชนไก่" จ.กาญจนบุรี โดยมี สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เป็นแม่ทัพใหญ่ ทัพไทยได้เข้าไปสกัดกั้นไม่ให้ทัพพม่าทั้ง 9 ทัพได้เข้ามารวบรวมกำลังพลกันได้ อีกทั้งยังได้จัดกำลังไปตัดการลำเลียงเสบียงของพม่าเพื่อให้กองทัพขาดเสบียงอาหาร เนื่องจากกำลังฝ่ายไทยมีน้อยกว่าพม่าค่อนข้างมาก (2-3 เท่าตัว) จึงได้วางอุบาย โดยทำเป็นถอยกำลังออกในเวลากลางคืน ครั้นรุ่งเช้าก็ให้ทหารเดินเข้ามาผลัดเวร เสมือนว่ามีกำลังมากกว่ามาเพิ่มเติมอยู่เสมอ เมื่อทัพพม่าเริ่มขาดแคลนเสบียงอาหารเนื่องจากมีกำลังพลจำนวนมาก แต่ถูกตัดเสบียงโดยทหารไทยตลอดเวลา ที่สำคัญพม่าคิดว่ากองทัพไทยมีกำลังมากกว่า ทำให้ไม่กล้าจะบุกเข้ามาโจมตี รีๆ รอๆ จะให้กองทัพที่เหลือเข้ามาสมทบ สมเด็จพระบวรราชเจ้า มหาสุรสิงหนาทเมื่อสบโอกาสจึงได้โจมตีทัพพม่าจนแตกกระเจิง และถอยทัพกลับไปในที่สุด

สำหรับแม่ทัพนายกองสมัยใหม่ ท่านเหล่านั้นอาจคิดว่ากลอุบายลวงตานิ่มๆ แบบนี้ถึงจะใช้ได้กับสงครามเมื่อ 200 กว่าปีที่แล้ว แต่มันคงไม่สามารถใช้กับการรบในสมัยนี้ได้หรอก แต่เมื่อสักประมาณ 2 สัปดาห์ที่แล้วนี่เอง DARPA (หน่วยงานให้ทุนวิจัยทางด้านกลาโหมของสหรัฐอเมริกา) ได้ประกาศจะให้ทุนวิจัยที่มีมูลค่า 120 ล้านบาท เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่จะใช้หลอกลวงการรับรู้ของข้าศึก เพื่อที่จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดการมึนงง สับสน จนทำให้มีการตัดสินใจหรือปฏิบัติการล่าช้า ผิดพลาด หรือแม้กระทั่ง ยุติปฏิบัติการไปในที่สุด

DARPA มองว่าหากเราเข้าใจการทำงานของสมองในการรับรู้สิ่งต่างๆ อย่างถ่องแท้ เราก็สามารถพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถสร้างภาพลวงทั้งทางการมองเห็น และการได้ยิน ต่อพลรบของข้าศึกได้ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพอังกฤษได้ว่าจ้างให้นักมายากล สร้างภาพลวงตาว่ามีเรือดำน้ำ และกองทัพรถถัง จนทำให้กองทัพเยอรมันเกิดการลังเลในการบุกโจมตี DARPA ต้องการเข้าใจกลไกการทำงานของการรับรู้ ความคิด การตัดสินใจ เพื่อที่จะจัดการกับการรับรู้ของพลรบฝ่ายตรงข้ามได้ ก่อนหน้านี้ก็มีงานวิจัยหลายชิ้นที่สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดดังกล่าว เช่น การปล่อยคลื่นเสียงเข้าไปในหัวโดยตรง เพื่อให้คนที่ได้ยินเสียง มีความรู้สึกว่าเป็นเสียงที่เกิดขึ้นมาเองในหัว เหมือนมีพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาบอกหรือพูดให้ได้ยินจากข้างใน ซึ่งเราสามารถใส่เสียงที่เหมือนพระเจ้ามาบอกว่า "วางอาวุธเถอะลูก ยอมแพ้เถิดเจ้า" อะไรทำนองนั้น หรือการปล่อยคลื่นไมโครเวฟเข้าสู่สมองเพื่อให้เกิดการมึนงง ตัดสินใจช้า จนกระทั่งอาเจียน ทำให้กองทัพข้าศึกอ่อนเพลีย หมดเรี่ยวหมดแรงที่จะต่อสู้

ย้อนกลับไปเมื่อ 200 กว่าปีที่แล้ว เมื่อพระเจ้าปดุงได้ตัดสินใจถอนทัพกลับไปนั้น เทคโนโลยีหลอกลวงการรับรู้ของข้าศึก ได้รักษาชีวิตของทหารทั้งฝ่ายพม่าและฝ่ายไทยได้จำนวนมาก การครอบครองเทคโนโลยีที่ทำให้สงครามสามารถยุติได้โดยสูญเสียชีวิตมนุษย์น้อยที่สุด กำลังเป็นสิ่งที่กองทัพในอนาคตทุกแห่งในโลกต้องการ