30 ตุลาคม 2551

The Post-American World - โลกยุคใหม่ที่ไม่คลั่งไคล้อเมริกา (ตอน 2)


หน้าที่ผมในบล็อกนี้คือนำแนวโน้ม และ กระบวนทัศน์ใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นมาสู่ท่านผู้อ่าน และ สิ่งที่ผมคิดว่ากำลังจะเกิดขึ้นในวันนี้ คือ การล่มสลายของลัทธิอเมริกันนิยมครับ แม้แต่ในวงการวิทยาศาสตร์เอง อเมริกากำลังจะเสียความเป็นเบอร์หนึ่งไปแล้วครับ รางวัลโนเบลในปีนี้แทบจะไม่มีคนอเมริกันเข้ารับรางวัลเลย ถึงเวลาที่กระบวนยุทธ์ของไทยต้องเลิกตามก้นอเมริกาแล้วครับ เราต้องหาพันธมิตรอื่นที่มีศักยภาพจะมาแทนที่อเมริกาเช่น ยุโรป จีน เกาหลี



เมื่อตอนผมเป็นเด็ก จำได้ว่าผมเคยคลั่งไคล้ประเทศสหรัฐอเมริกาเอามากๆ ตอนเรียนอยู่ประถมศึกษาปีที่ 5 ผมได้เขียนจดหมายถึงท่านเอกอัครราชฑูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย แสดงความชื่นชมในประเทศของท่าน และขอข้อมูลประเทศของท่านมาศึกษา เพราะที่โรงเรียนไม่ค่อยมีให้อ่าน ท่านก็ใจดี ตอบจดหมายกลับและยังส่งแผนที่ฉบับใหญ่แบบโปสเตอร์ของอเมริกามาให้ แถมด้วยหนังสือเกี่ยวกับประเทศนี้อีกกอง ยิ่งทำให้ความฝันและลุ่มหลงประเทศที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้เพิ่มเป็นทวีคูณ

ในยุคนั้น เด็กๆในรุ่นผมล้วนฝันที่จะได้ไปเยี่ยมชม ฝันที่จะได้ไปเรียนต่อที่อเมริกา ผมได้ไปอเมริกาครั้งแรกหลังจากจบปริญญาเอกที่ยุโรป รู้สึกตื่นตาตื่นใจมาก แต่ในช่วงที่ผมเดินทางไปอเมริกานั้น กลับเป็นช่วงไม่กี่เดือนก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งเวลา ณ จุดนั้น อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการเสื่อมถอยของประเทศนี้ ประเทศที่ผมเคยรักและเคยชื่นชมเมื่อครั้งยังเด็ก

ม.จ.สิทธิพร กฤษดากร บิดาของวงการเกษตรแผนใหม่ เคยกล่าวไว้ว่า "เงินทองคือมายา ข้าวปลาเป็นของจริง" ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นแม่แบบของระบบทุนนิยมก้าวหน้า มีนวัตกรรมทางการเงินมากมาย ที่ช่วยให้ประเทศนี้สร้างความมั่งคั่งจากมายาทางการเงิน อเมริกามีวิธีการเงินต่อเงินที่เรียกว่าอนุพันธ์ (Derivatives) ทำให้เกิด Layer ของเงินหลายๆชั้นเหนือการผลิตที่เป็นของจริง แต่ด้วยความโลภของระบบทุนนิยมแบบสหรัฐอเมริกา ภายในวันเดียวมูลค่าของตลาดหุ้น Wall Street หายไป 35,000,000,000,000 บาท ครับ เทียบเท่ากับงบประมาณรัฐบาลไทย 20 ปี ระบบการเงินที่เป็นมายาตอนนี้กำลังจะถูกปฏิรูปแล้วครับ ทุนนิยมแบบสหรัฐอเมริกาที่อิงอยู่กับอิสรภาพทางการเงิน และ ตลาดเสรี จะถูกแทนที่ด้วยทุนนิยมแบบสร้างสรรค์ (Creative Capitalism) มีจริยธรรม มีระเบียบ มีความเป็นอยู่ที่ดีของสังคมก่อนผลกำไร ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นทุนนิยมแบบยุโรป หรือ อาจเป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบไทย (Sufficiency Economy) ที่มีความเป็นสังคมนิยมปะปนนิดๆ พวกเราต้องเตรียมตัวรับเผาจริงในปี 2552 ที่จะถึงนี้นะครับ วิกฤตครั้งนี้ เชื่อกันว่าจะอยู่นานถึงปี ค.ศ. 2013 เลยครับ แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว ยังไงๆ เราก็มีข้าวปลาที่เป็นของจริง !!!!!

25 ตุลาคม 2551

ต้นไม้ไม่ได้โง่ (ตอนที่ 5) - ดอกไม้ใช่ไร้หัวใจ


กลับมาเล่าต่อถึงความรู้ใหม่ๆ ที่นักวิจัยเพิ่งจะมาตื่นตัวเมื่อไม่กี่ปีมานี้นะครับว่า ต้นไม้นั้นก็มีระดับของการรับรู้มากกว่าที่เคยคิดกัน มันไม่ใช่เพียงสิ่งมีชีวิตเฉื่อยๆ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในช่วง 10 ปีหลังนี้เริ่มไขปริศนาเรื่องนี้แล้วครับ ทั้งๆที่พระพุทธองค์ท่านอาจเคยค้นพบความลับข้อนี้กว่า 2,500 ปีมาแล้ว ตลอดชีวิตของพระตถาคต พระองค์ทรงประสูติ ตรัสรู้ และ ปรินิพพาน โดยอาศัยโคนต้นไม้ ทรงให้ความเคารพแก่ต้นไม้โดยมีพระวินัยข้อห้ามไม่ให้ภิกษุรื้อถอน ตัด ต้นไม้ โดยปราศจากเหตุอันควร


ล่าสุดก็มีข่าวใน Science Daily ฉบับวันที่ 24 ตุลาคม 2551 (รายงานในวารสาร Journal of Biological Chemistry) เกี่ยวกับดอก Red hibiscus หรือ ชบาแดง ที่สามารถจะเลือกคู่ครอง ด้วยการรับ หรือ ปฏิเสธเกสรตัวผู้ที่ล่องลอยมาตามลม หรือ มากับแมลง ซึ่งค้นพบโดยทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยมิสซูรี่ Bruce McClure หัวหน้าทีมวิจัยกล่าวว่า "ต้นไม้ไม่ได้ใช้การมองเห็นเพื่อเลือกคู่ครองหรอกครับ มันใช้การสัมผัสระดับโมเลกุล เพื่อบอกว่า คู่ของมันเหมาะกับมันไหม" เขากล่าวต่อว่า "และคู่ที่มันอยากได้ มันก็ประกาศติดไว้บนเกสรตัวเมียนั่นแหล่ะครับ ซึ่งเป็นโปรตีนที่จะเกิดอันตรกริยาเฉพาะกับโปรตีนของเกสรตัวผู้ที่มันอยากได้เป็นคู่ครอง" เมื่อโปรตีนที่เป็นคู่ที่ถูกต้องได้รับการยอมรับ กระบวนการปฏิสนธิจึงจะเริ่มขึ้น ความรู้ครั้งนี้มีประโยชน์มากครับ เพราะว่าหากเรามีองค์ความรู้ในเรื่องของการผสมเกสร เราก็สามารถที่จะออกแบบพืช GMO ที่ไม่เกิดการปนเปื้อนในธรรมชาติได้ โดยการทำให้มันเป็นหมัน หรือ เกสรตัวผู้ของมันถูกปฏิเสธโดยเกสรตัวเมียของพืชตามธรรมชาติ ตอนนี้พืช GMO ถูกรังเกียจโดยสาธารณะก็เพราะความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพืชของเรานั้น จริงๆยังมีน้อยครับ เมื่อเรารู้น้อยเราก็ควรจะรอให้เข้าใจก่อน เพราะว่า .... ต้นไม้ไม่ได้โง่ เราควรจะปฏิบัติต่อเขาให้ถูกต้องครับ .......

24 ตุลาคม 2551

Games Science - วิทยาศาสตร์ของเกมส์ (ตอนที่ 3)

















เล่าต่อนะครับ เรื่องที่ผมได้ไปดูงานทางด้าน Entertainment Science ที่ Department of Games Science ของ Tokyo Polytechnic University (TPU) หลังจากได้แวะดูสตูดิโอ ห้องเล่นเกมส์บอร์ด ห้องเล่นเกมส์ตู้ ห้องเล่นวิดีโอเกมส์ เขาก็พาไปดูห้องเขียนโปรแกรมเกมส์ ซึ่งก็เหมือนห้องคอมพิวเตอร์ทั่วๆไป เพียงแต่จะมีระบบคอมพิวเตอร์กริดความเร็วสูง เพื่อทำงานซิมูเลชั่นที่ต้องการคอมพิวเตอร์ความสมรรถะสูง นักศึกษาในปีสูงๆ จะมานั่งโปรแกรมเพื่อสร้างเกมส์ในห้องนี้ครับ จากนั้นเขาก็พาไปดู Human Product Design Center ซึ่งเป็นที่ออกแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่นี่มีห้องสำหรับทำงานสร้าง prototype ซึ่งนักศึกษาจะใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น เครื่องกลึง เครื่องตัด และพวก Rapid Prototyping Machine หรือ CNC ผลิตสิ่งของต้นแบบที่พวกเขาคิดไว้ สถาบันหรือภาควิชาเกมส์ของที่นี่จึงมีครบถ้วนตั้งแต่ต้นนำ ไปจนถึงปลายน้ำเลยครับ ซึ่งจริงๆ แล้วก็ยังมีอีกหลายส่วนที่ผมไม่ได้มีโอกาสไปดู เช่น เรื่องของ Manga หรือ การออกแบบการ์ตูน จะเห็นได้ว่า Games Science เป็นการผสมผสานความรู้ทางด้าน คอมพิวเตอร์ ฟิสิกส์ ศิลปกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ และ วิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งทำให้ที่นี่มีจุดเด่นในฐานะตักศิลาของการผลิตบุคลากรด้านเกมส์ของโลกเลยครับ การได้ไปเยี่ยมชมภาควิชาที่มีคนออกแบบเกมส์ Pac-Man อันโด่งดังทำงานเป็นศาสตราจารย์อยู่ที่นี่ จึงนับเป็นความภาคภูมิใจจริงๆ

อุตสาหกรรมเกมส์วิดิโอของโลกนั้นมีมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านบาท มากกว่างบประมาณแผ่นดินของประเทศไทยเกือบ 2 เท่าครับ นักวิเคราะห์เชื่อว่าอุตสาหกรรมนี้มีความเข้มแข็งมาก และไม่สะทกสะท้านต่อปัญหาเศรษฐกิจ หรือ พิษแฮมเบอร์เกอร์ ถึงแม้จะเกิดอะไรขึ้น ผู้คนก็ยังเล่นเกมส์ แต่ปัญหาที่ท้าทายนักออกแบบเกมส์ก็คือ ทำยังไงถึงจะทำให้ผู้หญิงเล่นและจ่ายเงินเพื่อเล่นเกมส์ เพราะคอเกมส์ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นผู้ชาย ปัญหานี้มีมูลค่านับแสนล้านบาทเลยครับ ถ้าใครแก้ได้ และนี่เองครับคืองานของ Games Science หรือ วิทยาศาสตร์ของเกมส์ !!!!!

23 ตุลาคม 2551

Mixed Reality - เมื่อความฝัน ผสมพันธุ์กับ ความเป็นจริง (ตอนที่ 1)

ในช่วงหลังๆ ผมได้พยายามบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับแนวโน้มใหม่ๆ ที่แสดงถึงการหลอมรวมกันระหว่างวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ กับ ศิลปศาสตร์ ซึ่งแนวโน้มนี้กำลังเกิดขึ้นมาเป็นกระแสที่แรงมาก ทั้งในวงการอุตสาหกรรม วงการมหาวิทยาลัย วงการการเมืองและการทหาร ในทศวรรษต่อไป ใครก็ตามที่ยังเผลอคิดว่าสายวิทย์กับสายศิลป์ยังต้องแยกกันอยู่ แยกกันเรียน แยกกันทำงาน จะกลายเป็นคนโลกเก่าไปแล้วครับ


วันนี้ผมจะมาพูดถึงศาสตร์ของการผสมผสานวิทยาศาสตร์ (โลกแห่งความจริง) กับศิลปศาสตร์ (โลกแห่งความฝัน) เข้าด้วยกันศาสตร์หนึ่ง ศาสตร์นั้นมีชื่อว่า Mixed Reality ครับ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีในการสร้างสภาพแวดล้อมใหม่ขึ้นมา ซึ่งสิ่งของที่มีตัวตนอยู่จริงๆ จะอยู่ร่วมกับสิ่งของที่สร้างขึ้นมา (Digital Object) โดยสิ่งของทั้ง 2 ประเภทเหล่านั้นจะอยู่ร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์กัน เหมือนประหนึ่งว่าสิ่งของที่เป็นของเสมือนนั้นมีตัวตนจริงๆ (ในทางกลับกัน สิ่งของที่อยู่ในโลกแห่งความจริง ก็จะเสมือนกับว่าเป็นสิ่งของที่อยู่ในโลกแห่งความฝันไปด้วยเช่นกัน เพราะสิ่งของดิจิตอลก็จะรับรู้สภาพหรือความเป็นดิจิตอลของสิ่งนั้น งง... ไหมครับ .... ถ้าใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง The Matrix ก็จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยาก เพราะโลกของความเป็นจริง ที่เราคิดว่าเป็นจริงนั้น แท้ที่จริงแล้วมันถูกสร้างขึ้นในสมองของมนุษย์ (ในภาพยนตร์ The Matrix) ในขณะที่ตัวจริงของคนผู้นั้นยังนอนอยู่ใน capsule ที่เรียงรายกันเป็นชั้นๆ ในห้องโถงขนาดมโหฬาร และคนที่นอนฝันเหล่านั้น สมองของเขาก็ถูกหลอกให้หลงคิดไปว่าเขากำลังอาศัยในโลกที่มีตัวตนจริงๆ


ผมเคยได้ยินมาว่า คนเราก่อนจะตาย จะเกิดนิมิตรขึ้นมา ซึ่งจะพาเราไปจุติในโลกใหม่ตามนิมีตรที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาของลมหายใจสุดท้าย ผู้รู้บางท่านกล่าวว่า ตัวนิมิตรนี้จะคล้ายความฝัน เราควบคุมไม่ได้ มันจะเกิดขึ้นเองตามแต่กรรมที่เราทำในชาตินี้ แล้วตัวมันนี่แหล่ะจะเป็นผู้สร้างภพต่อไปของเรา ผมฟังดูแล้วก็ โอ้โฮ ..... ไม่น่าเชื่อว่าในเรื่องของ Mixed Reality ที่ผมกำลังศึกษาวิจัยอยู่นี้มันจะมาสอดคล้องกับความเชื่อทางพุทธได้อย่างเหมาะเหมง เพราะเทคโนโลยี Mixed Reality นั้น จะต้องทำให้ผู้ใช้แยกไม่ออกครับว่า ในสภาพแวดล้อมที่ถูกสร้างขึ้นมานั้น อะไรคือของหลอก อะไรคือของจริง นั้นคือไปหลอกอายตนะของคนเราให้คล้อยหลงไปเลย


ผมจะมายกตัวอย่างในตอนต่อไปครับ เพื่อให้เห็นภาพชัดของงานประยุกต์ของ Mixed Reality ................

21 ตุลาคม 2551

ยอดเทคโนโลยีในอีก 10 ปีข้างหน้า (ตอนที่ 3) - เมื่อพันธุกรรรมกลายเป็นสินค้าออนไลน์


วันนี้มาเล่าให้ฟังต่อนะครับ ถึงยอดเทคโนโลยีที่วารสาร Nature ขึ้นลิสต์ไว้ว่าจะเป็นที่กล่าวขานถึง หรือ มีผลกระทบสูงในอีก 10 ปีข้างหน้า .......

Personal Genomics กำลังจะเป็นเทคโนโลยีใหม่มาแรงที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ โดยผู้ที่กำลังจะนำเทคโนโลยีนี้มาสู่เรากลับไม่ใช่บริษัททางด้านเทคโนโลยีชีวภาพ หรือ การแพทย์ ครับ แต่กลับเป็นบริษัท Google ครับ นี่แหล่ะครับผมถึงพูดบ่อยๆว่า การทำงานข้ามศาสตร์มีความสำคัญ นักเทคโนโลยีชีวภาพส่วนใหญ่ชอบมุดตัวใน Lab ไม่ค่อยได้คุยกับชาวบ้าน ต่างจากนัก IT ที่คุยเก่ง ทำงานเป็นทีมเก่ง และทำงานข้ามศาสตร์ข้ามสาขาเก่ง ในที่สุดก็เป็นนัก IT ที่นำเอาเทคโนโลยีเกิดใหม่นี้ไปเผยแพร่ และกำลังจะทำเงินทำทองในอีก 10 ปีข้างหน้าครับ ......

เมื่อเดือนธันวาคม 2550 บริษัท 23andMe ซึ่งถือหุ้นใหญ่โดย Google ได้เปิดตัวสินค้าใหม่ที่จะนำโลกของจีโนมสารสนเทศแบบส่วนตัว มาสู่สาธารณชน เป็นชุด Kit ที่ลูกค้าที่สนใจจะถุยน้ำลายลงไปในหลอด แล้วส่ง FedEx กลับไปที่บริษัท จากนั้นบริษัทจะทำการตรวจวิเคราะห์ DNA ของลูกค้าผู้นั้น ในเวลา 2-3 สัปดาห์ ผลการตรวจ DNA จะถูกส่งมาทาง e-mail สินค้าตัวนี้ตอนเปิดตัวมีราคาสูงถึง 1000 เหรียญสหรัฐ แต่เพราะคงามฮิตติดตลาด ทำให้ราคาได้ลดลงมาอยู่ที่ 399 เหรียญเมื่อเดือนกันยายน 2551 นี้เองครับ

สิ่งที่ Personal Genomics ของ Google จะบอกเราก็เช่น เรามีขี้หูแบบเปียกหรือแห้ง เรามียีนที่ช่วยให้หน้าไม่แดงเวลาดื่มไวน์ไหม จมูกของเราดมกลิ่นได้ดีหรือไม่ค่อยได้เรื่อง เรามียีนเป็นคนตัวสูงหรือเปล่า สีของตาเป็นสีอะไร แล้วตอนแก่ๆ เราจะเป็นโรคปวดหลังหรือเปล่า จะมีโอกาสเป็นเบาหวานมากน้อยแค่ไหน มีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งชนิดใดได้บ้าง มียีนต้านทานโรคเอดส์บ้างมั้ย แล้วมาลาเรียล่ะมีโอกาสเป็นมั้ย มียีนที่ช่วยทางด้านความจำหรือเปล่า สำหรับผมแล้ว สนนราคา 399 เหรียญสหรัฐเพื่อรู้เกี่ยวกับตัวเราได้มากมายเช่นนี้ คุ้มค่ามากทีเดียวเชียวครับ ยิ่งกว่านั้นเรายังจะได้ข้อมูลย้อนกลับไปดูบรรพบุรุษว่ามาจากเชื้อชาติใด เช่น ทางแม่มาจากยุโรปหรือเอเชียเหนือ ทางพ่อมียีนทางชนชาติใด ยิ่งถ้าเราแชร์แลกเปลี่ยนข้อมูลส่วนนี้เทียบกับญาติๆ ของเราดู ก็จะยิ่งสนุก เพราะเหมือนวิ่งย้อนไปในกาลเวลา ตามหาญาติกาในอตีตา ได้เลยครับ

ที่สำคัญทาง Google ได้เปิดชุมชนคนแชร์พันธุกรรมขึ้นใน Web ด้วย ลูกค้าที่ใช้บริการนี้สามารถที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลของตนเอง ที่พอใจจะให้คนอื่นๆได้ใช้ ทำให้ข้อมูล Genetics กลายเป็นสื่อทางสังคมออนไลน์ไปแล้วครับ ผู้คนแวะเข้ามาทักทายพูดคุยแลกเปลี่ยนในเรื่องที่เกี่ยวกับพันธุกรรมของตน บางคนก็มาหาญาติในอดีต บางคนก็มาหาข้อมูลใครเป็นโรคนู้นโรคนี้บ้าง หมดยุคที่หมอมากำหนดชีวิตผู้คนแล้วครับ คนธรรมดาอย่างเราก็มีสิทธิ์รู้ว่าจะเกิดโรคอะไรแล้วหาทางรักษาเองได้
ก่อนจบผมขอเฉลยความลับในความสำเร็จของ Google ครับ เพราะทั้ง Larry Page และ Sergey Brin เจ้าของ Google นั้นมีเมียเป็นนักชีววิทยา นี่แหล่ะครับเรียกว่าแต่งงานข้ามศาสตร์จริงๆ ใครอยากประสบความสำเร็จแบบเขาทั้งคู่ ก็ลองๆ จีบนักชีววิทยาใกล้ๆตัวดูสิครับ .......
(ภาพบน: Larry Page ผู้ร่วมก่อตั้ง Google สวมเสื้อ Lab เปิดตัวสินค้าที่จะนำโลกของ Genomics มาสู่ชาวบ้านร้านตลาด อย่างที่เคยนำเทคโนโลยีดาวเทียมมาสู่คนเดินถนนอย่างเรา ผ่าน Google Earth)

19 ตุลาคม 2551

Crash Avoidance Technology - เทคโนโลยีหลีกเลี่ยงการชน


ว่ากันว่า พัฒนาการด้านยานยนตร์ในทศวรรษถัดไป นอกจากจะมุ่งไปที่การทำให้รถยนต์สามารถใช้พลังงานทางเลือกได้หลากหลายแล้ว ในเรื่องของระบบความปลอดภัยกำลังจะเป็นหัวข้อที่มาแรง เนื่องจากพัฒนาการทางด้านเซ็นเซอร์แบบ MEMS (Microelectromechanical Systems) ที่ก้าวหน้าขึ้นในราคาถูกลง ปกติเซ็นเซอร์แบบนี้ก็ใช้เพื่อเปิดระบบถุงลมนิรภัยอยู่แล้ว แต่ตอนนี้มันกำลังจะเข้าไปอยู่ในล้อ เพื่อตรวจวัดความดันลมยางแบบไร้สายครับ ทำให้ผู้ขับขี่รู้สถานภาพความดันลมยาง ณ เวลาจริง


อีกก้าวที่สำคัญคือเทคโนโลยีในการหลีกเลี่ยงการชน ซึ่งจะทำให้รถยนต์มีความปลอดภัยก้าวไปอีกขั้นเลย เมื่อเดือนสิงหาคม 2008 ที่ผ่านมาบริษัทวอลโว่ ได้นำเอารถยนต์ Volvo XC60 ไปแสดงในงานมอเตอร์โชว์ที่ซิดนีย์ ซึ่งติดตั้งระบบการหลีกเลี่ยงชนท้ายรถยนต์คันหน้าที่ถูกตั้งชื่อว่า "City Safety" ซึ่งจะเหมาะกับการขับรถในเมืองซึ่งใช้ความเร็วไม่สูงนัก ระบบนี้จะเปิดตัวเองเมื่อรถยนต์ที่เราขับกับรถยนต์คันหน้า มีความเร็วแตกต่างกันน้อยกว่า 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในระยะ 6 เมตร ซึ่งก็จะเกิดขึ้นเมื่อเราขับรถจี้ก้นรถคันหน้าใกล้ๆ มันจะคอยตรวจวัดรถคันหน้าด้วยแสงเลเซอร์ และเมื่อมันรู้สึกว่ารถของเรากำลังจะพุ่งเข้าใส่รถคันหน้าจนมีเกิดการชน มันจะทำการเบรคทันที วอลโวยอมรับว่าผู้ขับขี่ไม่ควรวางใจระบบนี้ จนทำให้เกิดการประมาท เพราะระบบอาจทำงานไม่ทันในกรณีที่รถที่ติดตั้งระบบนี้พุ่งเข้าหารถคันหน้าอย่างเร็วเกินกว่าจะเบรคทัน ซึ่งในกรณีนี้หากเกิดการชนขึ้น การมีระบบนี้ก็จะลดความรุนแรงของอุบัติเหตุลงได้


ผมจะมาเล่าต่อในเรื่องนี้อีกครับ เพราะรถยนต์กำลังจะเป็น Intelligent System ลำดับแรกๆ ในชีวิตประจำวันของเราครับ ..........

18 ตุลาคม 2551

International Conference on Tea Production and Tea Products


วันนี้ผมมีการประชุมหนึ่งมาแนะนำครับ เป็นการประชุมที่จัดขึ้นในประเทศไทย ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย การประชุมนี้มีชื่อว่า International Conference on Tea Production and Tea Products ซึ่งจะจัดระหว่างวันที่ 26-28 พฤศจิกายน 2551 นี้ครับ แต่กำหนดส่ง abstract ยังไม่หมดครับ จะหมดวันที่ 31 ตุลาคม 2551 ยังพอมีเวลาเขียนส่ง การประชุมครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและกระทรวงวิทยาศาสตร์ ร่วมกับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสถาบันเกษตรใกล้เขตร้อนแห่งมลรัฐหูนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งการจัดประชุมครั้งนี้ก็ถือเป็นการเฉลิมฉลองโอกาสครบรอบ 10 ปีของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงด้วยครับ ท่านที่เคยไปมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ก็คงจะทราบดีถึงความสวยงามของภูมิทัศน์ ทั้งสภาพภูมิประเทศ และ อาคารต่างๆในมหาวิทยาลัย สวยงามประดุจรีสอร์ทเชียวครับ เท่าที่ผมทราบ ผมไม่เคยได้เห็นการประชุมนานาชาติเกี่ยวกับเรื่องของชาในประเทศไทยมาก่อน ดังนั้นการประชุมครั้งนี้จึงมีความสำคัญมากเลยสำหรับผู้คนที่มีความเกี่ยวข้องกับชา ทั้งผู้ปลูก ผู้แปรรูป ผู้ส่งออก ผู้สนับสนุนและส่งเสริมวิชาชีพทางด้านนี้ ตัวผมเองก็คิดจะไปร่วมงานนี้ โดยการส่งผลงานเกี่ยวกับ Electronic Nose หรือ จมูกอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับใช้ดมชา เพื่อควบคุมการผลิต และคุมคุณภาพการหมักใบชา อีกงานที่จะส่งไปก็คือการนำเทคโนโลยี Smart Farm ไปใช้ในไร่ชา


เนื้อหาของการประชุมจะมีการบรรยายโดยผู้แทนจาก EU เกี่ยวกับโอกาสทางการตลาดของใบชา การรายงานสถานภาพเกี่ยวกับการผลิตชาและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับชา จากผู้แทนของประเทศต่างๆ ได้แก่ จีน อินเดีย ไทย ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ศรีลังกา ไต้หวัน และเวียดนาม การเสนอผลงานทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับชาทั้งแบบ Oral และ Poster การเสวนาและอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีการทัวร์ไร่ชาที่ดอยแม่สลอง โรงงานผลิตชาในจังหวัดเชียงราย การเยี่ยมชมโครงการหลวงดอยตุง งานประชุมนี้จึงมีความน่าสนใจหลายๆอย่าง ที่ไม่รู้ว่าจะมีแบบนี้อีกครั้งเมื่อไหร่ ..... น่าไปจริงๆ ครับ ........



(ภาพบน - บรรยากาศของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีความสวยงามติดอันดับประเทศ)

17 ตุลาคม 2551

Games Science - วิทยาศาสตร์ของเกมส์ (ตอนที่ 2)


สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ผมเพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่นครับ นอนแอ้งแม้งอยู่บ้าน 1 วัน พอมีแรงมาอัพเดตเรื่องราวที่ยังคั่งค้าง เกี่ยวกับ Games Science ที่ผมได้ไปดูมาที่ Department of Games Science ของ Tokyo Polytechnic University (TPU) ซึ่งภาควิชานี้สอนในระดับปริญญาตรี เพื่อผลิตนักออกแบบการ์ตูน อะนิเมชัน และเกมส์ต่างๆ ครับ เป็นหลักสูตร 5 ปี ที่นี่เขามีสตูดิโอเพื่อบันทึกท่าทางการเดิน กระโดดโลดเต้น การเต้น การเคลื่อนไหว ของกล้ามเนื้อและอวัยวะต่างๆ ของคน เพื่อนำมาทำเป็นข้อมูลดิจิตัล เพื่อใส่เข้าไปในอะนิเมชันและเกมส์ได้ เขามีห้องสำหรับเล่มเกมส์วางแผน พวกบอร์ดเกมส์ทั้งหลาย โดยคอร์สของบอร์ดเกมส์นี้ เด็กๆก็จะต้องมาฝึกนั่งเล่นกันทุกวัน เป็นเวลา 3 เดือน เพื่อผ่านวิชานี้ โดยเด็กๆจะได้ฝึกการวางแผน เรื่องของตรรกะต่างๆในเกมส์ และ กลยุทธ์ต่างๆ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างวิธีการคิดแท็กติกต่างๆแก่เด็กนักศึกษา เพื่อสามารถไปออกแบบเกมส์แบบดิจิตัลได้ ผมได้เข้าไปดูห้องที่มีเครื่องเกมส์ตู้เหมือนในห้างสรรพสินค้า วางเรียงกันเต็มไปหมด ทีแรกนึกว่าเป็นห้องให้เด็กเล่นเกมส์คลายเครียด แต่อาจารย์ที่พาชมบอกว่า ห้องนี้เป็นห้องสำหรับให้นักศึกษาคุ้นเคยกับบรรยากาศที่เกมส์ตู้จะไปอยู่ และเพื่อให้นักศึกษาได้เล่นเกมส์ที่เป็นที่นิยม เพื่อหาจุดอ่อนและจุดแข็งของเกมส์แต่ละชนิด ต่อไปเขาพาผมไปเดินชมห้องวิดีโอเกมส์ ซึ่งมีจอทีวี LCD ขนาดใหญ่ เรียงรายเต็มไปหมด ในห้องนี้จะมีเกมส์ของ Playstation และ Nintendo นักศึกษาจะมาใช้ห้องนี้เพื่อศึกษาเกมส์ประเภทเล่นกับ TV โดยจะมาจับกลุ่มวิเคราะห์เกมส์ หรือทำการบ้านที่อาจารย์มอบหมายมา บางกลุ่มก็เล่นเกมส์ประเภท Multiplayer สู้กัน แล้วก็ถกเถียงวิเคราะห์กันอย่างเคร่งเครียด (แต่ใบหน้ายิ้มที่เห็นพวกเราเข้ามาดู) ผมจะมาเล่าต่ออีกนะครับ กลัวจะยาวไปสำหรับตอนนี้ เรื่องของการเกิด Convergence ของ Art กับ Science ยังมีต่ออีกครับ เพราะนี่คือกระบวนทัศน์ใหม่ของทศวรรษต่อไปจริงๆ ...............

12 ตุลาคม 2551

Intelligent Vending Machine - ตู้หยอดเหรียญอัจฉริยะ (ตอนที่ 3)


สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ยังอยู่ญี่ปุ่นครับ แต่คืนพรุ่งนี้จะไปพักโรงแรมในสนามบินนาริตะ เพื่อเตรียมบินกลับเมืองไทยแล้วครับ เนื้อหาที่จะนำมาเล่าก็เลยยังวนเวียนอยู่แถวๆ นี้ครับ ตลอดเวลา 10 กว่ากันที่ผมอยู่ในญี่ปุ่น เวลาเดินทางไปไหน หากเห็นตู้หยอดเหรียญก็จะเข้าไปดู มันเป็นความเพลิดเหลินอย่างหนึ่งครับ เพราะไม่ว่าจะเดินไปที่ไหน มันก็ตามเราไปทุกที่ หลายๆตู้ที่แวะไปดูก็จะเก็บรูปเอากลับไปดูที่เมืองไทย มาว่ากันต่อในเรื่องของตู้หยอดเหรียญที่ ยิ่งนานวันจะฉลาดล้ำขึ้นไปเรื่อยๆ บริษัท M-one Cafe พยายามเอาใจคอกาแฟที่ชอบดื่มกาแฟสด และรู้สึกหงุดหงิดกับรสชาติของกาแฟที่ออกมาจากตู้หยอดเหรียญ จริงๆแล้ว กาแฟหยอดตู้ก็สามารถเซิร์ฟในถ้วยกระดาษร้อนๆ และมีตัวเลือกได้ค่อนข้างมาก ทั้ง เอสเพรสโซ คาปูชิโน ลาเต้ แต่ M-one เขาอยากให้ตู้หยอดเหรียญสำหรับกาแฟมีความฉลาดข้ามขั้นไปเลย คือให้ผู้ซื้อมีอิสรภาพในการกำหนดรสชาติที่ตัวเองต้องการ เหมือนกับการปรุงเอง ซึ่งอิสรภาพที่ได้มานี้มากกว่าการไปนั่งสั่งกาแฟสดด้วยการปรุงจากมนุษย์ในร้านกาแฟเสียด้วยซ้ำ เพราะผู้ซื้อสามารถควบคุมการปรุงได้จากการเฝ้าดูจอ LCD ที่ตู้โดยการใช้ Touch-screen สั่งเลือกสูตรกาแฟที่ตนชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นความเข้มข้นของกลิ่นรส ความหวาน ความมันของนม ถ้าจะดื่มกาแฟเย็นก็เลือกขนาดของก้อนน้ำแข็งที่ต้องการได้ เครื่องจะตัดน้ำแข็งในขนาดตามนั้นให้สดๆ เลยครับ ตอนนี้ตู้หยอดเหรียญจำนวนมาก นอกจากจะรับเหรียญแล้ว ยังสามารถใช้บัตรโดยสารสมาร์ทการ์ดมาแตะที่ตู้แทนการใช้เหรียญ ตู้ก็จะหักเงินในบัตรเอง โดยเฉพาะตู้หยอดเหรียญที่สถานีรถไฟไฟ้าทั้งหลาย ซึ่งหลายๆตู้ สามารถหักเงินผ่านโทรศัพท์มือถือได้ แค่นำไปแตะเท่านั้น เดี๋ยวนี้บริษัทโฆษณาสินค้าทั้งหลายก็นิยมโปรโมตสินค้า โดยการส่ง e-mail ไปเข้ามือมือลูกค้า เช่นให้เครื่องดื่มโค้กฟรี 1 กระป๋อง เพียงนำบาร์โค้ดที่ส่งไปทาง e-mail เอาไปให้ตู้หยอดเหรียญสแกน โดยหันหน้าจอมือถือไปทางเครื่องสแกน โค้กก็จะหล่นลงมาให้ดื่ม

10 ตุลาคม 2551

Games Science - วิทยาศาสตร์ของเกมส์ (ตอนที่ 1)


สวัสดีครับ ยังอยู่แถวญี่ปุ่นอยู่ครับ เมื่อวานนี้ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมชม Department of Games Science ของ Tokyo Polytechnic University (TPU) ซึ่งรายละเอียดในการเข้าชมในครั้งนี้นั้น ผมขอนำมาเล่าในตอนหน้าครับ แต่สำหรับตอนแรกนี้ผมจะเล่าเกี่ยวกับศาสตราจารย์ท่านหนึ่ง ที่ทำงานอยู่ในภาควิชาเกมส์ ของมหาวิทยาลัยนี้ครับ ท่านชื่อว่า ศาสตราจารย์ Toru Iwatani ซึ่งท่านเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่ TPU เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2007 นี้เอง (ก่อนหน้านี้ท่านทำงานในบริษัท Namco Bandai ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นในการผลิตและขายเกมส์ตู้หยอดเหรียญทั้งหลาย นั่นแหล่ะครับ) พร้อมๆกับการเปิดภาควิชาใหม่ Department of Games ของมหาวิทยาลัยนี้ จะว่าไปแล้วภาควิชานี้ก็เปิดขึ้นมาเพื่อต้อนรับท่านนั้นแหล่ะครับ ความสำคัญของท่านต่อโลกของเกมส์หรืออุตสาหกรรมเกมส์ (Game Industry) หากผมเอ๋ยขึ้นมา ท่านผู้อ่านก็จะร้องอ๋อเลยครับ เพราะศาสตราจารย์ Toru Iwatani เป็นผู้คิดค้นเกมส์ Pac-Man ที่โด่งดังนั่นเอง ท่านได้รับสมญานามว่าเป็น บิดาของวีดิโอเกมส์ ท่านเริ่มต้นทำงานที่บริษัท Namco ในปี ค.ศ. 1977 ในเวลาแค่ 3 ปีท่าน คือปี ค.ศ. 1980 ได้คิดค้นเกมส์สะท้านโลก Pac-Man ซึ่งระบาดไปทั่วโลกเลยในสมัยนั้น เกมส์ Pac-Man ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของ Popular Culture แห่งยุค 80 เชียวครับ เพราะมันก่อให้เกิดปรากฏการณ์ทางสังคมหลายๆด้าน ที่หล่อหลอมผู้คนรวมทั้งวัยรุ่นในยุคนั้น เรียกว่า 94% ของคนที่เล่นเกมส์ในสมัยนั้นต้องเคยเล่นเกมส์นี้ ซึ่งตั้งแต่นั้นมาก็ยังไม่เคยมีเกมส์อะไรที่ทำได้แบบนี้เลยนะครับ


ก่อนที่ศาสตราจารย์ Toru Iwatani จะย้ายจากบริษัท Namco มาอยู่ที่ Tokyo Polytechnic University (TPU) นั้น ท่านได้เป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทนี้ ท่านได้เคยให้สัมภาษณ์ว่า ตลอดเวลา 30 ปีที่ท่านทำงานอยู่ในบริษัทนี้นั้น แม้ท่านจะยังรักในการพัฒนาเกมส์ แต่ก็ต้องตัดใจ มาทำงานที่ท่านคิดว่าสังคมต้องการให้ท่านทำ นั่นคือมาเป็นอาจารย์สอนหนังสือในมหาวิทยาลัย เพื่อพัฒนาเด็กรุ่นใหม่ ที่จะเป็นนักออกแบบเกมส์ใหม่ๆ ในอนาคต ท่านได้กล่าวว่า "ผมรู้สึกว่าเด็กหนุ่มสาวสมัยนี้ มีความลุ่มหลงต่อเกมส์กว่าแต่ก่อนมาก และผมก็ตระหนักว่าการศึกษาในเรื่องดังกล่าวมีความสำคัญ ดังนั้นเมื่อ TPU เสนอมาว่าจะตั้งภาควิชาเกมส์ขึ้น และต้องการให้ผมไปสอนที่นั่น ผมก็ตัดสินใจรับในทันทีครับ"


ตอนหน้าผมจะมาเล่าต่อนะครับ ..... วิทยาศาสตร์ของเกมส์ จริงแล้วก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของ การแต่งงานระหว่างวิทยาศาสตร์ กับ ศิลปศาสตร์ ซึ่งเป็นกระบวนทัศน์ใหม่ในทศวรรษต่อไปครับ ..........
(ภาพบน: เกมส์ Pac-Man ได้เป็นสัญลักษณ์ของ Popular Culture ในยุค 80 และกลายเป็นงานศิลป์ที่จัดแสดงในปารีส)

06 ตุลาคม 2551

The Art of Science - The Science of Art - เมื่อวิทยาศาสตร์กลับมาคืนดีกับศิลปศาสตร์


ศตวรรษที่ 21 เป็นศตวรรษแห่งการหลอมรวมตัวของวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ครับ หลังจากทั้งสองศาสตร์นี้ได้แยกร้างห่างเหินจากกันมานานหลายร้อยปี ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช พระองค์ทรงแผ่ขยายพระราชอำนาจ ด้วยมุ่งหวังจะเสาะหาช่างศิลป์และงานศิลปวิทยาการต่างๆ แม้แต่เจงกิสข่านที่เป็นที่รับรู้กันถึงความโหดร้าย เมื่อเข้าตีเมืองใดหากเมืองนั้นมิยอมศิโรราบแต่โดยดีแต่แรก หากข่านพระองค์นี้บุกเข้าเมืองได้ ก็จะสังหารประชากรในเมืองนั้นจนหมดสิ้น เหลือไว้แต่ช่างศิลป์เท่านั้น ที่เจงกิสข่านจะโปรดงดโทษชีวิตให้ แถมยังจะนำกลับไปเลี้ยงดูอย่างดี ภายใต้จักรวรรดิ์มองโกลที่เรามักคิดว่ามีแต่ความป่าเถื่อนนั้น ว่ากันว่าในช่วงที่เจงกิสข่านยังมีชีวิตอยู่นั้น ศิลปวิทยาการทั้งหลายของโลกถือว่าอยู่ในช่วงเจริญสูงสุดยุคหนึ่งทีเดียว

แต่แล้วหลังจากยุคกลางในยุโรปสิ้นสุดลง เริ่มจากความเสื่อมของคริสตจักรโรมันคาทอลิก หลังสมัยของกาลิเลโอ ในศตวรรษที่ 16 วิทยาศาสตร์ก็เปิดม่านหนียุคมืดออกมาด้วยการหันหลังให้กับศิลปศาสตร์อย่างสิ้นเชิง วิทยาศาสตร์ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าและความเชื่อทางศาสนาทั้งหมด เรื่องของจิตใจเป็นเรื่องของศิลปะ ไม่อยู่ในบริบทของวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องที่เป็นนามธรรมที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่เมื่อขึ้นต้นศตวรรษใหม่ ศาสตร์ที่เรียกว่า Mind Science หรือ Cognitive Science กำลังจะพาวิทยาศาสตร์กลับไปหาศิลปศาสตร์อีกครั้งแล้วครับ

ผมได้ไปเที่ยวชมงาน CEATEC 2008 ที่จิบะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์งานใหญ่ประจำปี พบว่าเกิดการแต่งงานระหว่างวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นที่นั่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์มือถือ จอดิสเพลย์ gadget ต่างๆ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า หุ่นยนต์ ล้วนใช้แนวทางทางด้านศิลปะในการขายสินค้า ต่างจากแต่ก่อนที่การประชาสัมพันธ์สินค้าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยีว่ามันทำอะไรได้บ้าง แต่งานนี้เขาบอกว่าสินค้าทำให้คุณ Feel อย่างไร สินค้านี้จับความเข้าใจ ความรู้สึก หรือ สัมผัส ของเราได้อย่างไร ที่ผมชอบมากก็คือ การ present ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีดาวเทียมที่ทำสามารถทำแผนที่ 3 มิติ ของพื้นผิวโลกด้วยเรดาห์ (รูปบนและรูปด้านขวา) เขาให้นักดนตรีสาวสวย 2 คนมาสีไวโอลินกับเชลโล ประกอบการบรรยาย ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนล่องลอยไปในอวกาศพร้อมๆ กับดาวเทียมดวงนั้น ...................

Intelligent Vending Machine - ตู้หยอดเหรียญอัจฉริยะ (ตอนที่ 2)


ยังวนเวียนอยู่แถวญี่ปุ่นนะครับ ตู้หยอดเหรียญในญี่ปุ่นเกิดขึ้นมาตั้งแต่ ค.ศ. 1890 หรือเกือบ 120 ปีก่อนครับ ถึงวันนี้การพัฒนาตู้หยอดเหรียญก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ มันมีความเฉลียวฉลาดและทำอะไรได้มากขึ้นเยอะเลยครับ บริษัท Fuji Electric ได้คิดค้นตู้หยอดเหรียญที่ใช้พลังงานจากโซลาร์เซลล์เพื่อทำความเย็นให้แก่สินค้าข้างใน ที่ด้านข้างของมันมีมอสเขียวๆขึ้นอยู่ เพื่อเป็นฉนวนความร้อนและเพิ่มความเขียวขจี แก่สภาพแวดล้อมตรงที่ตู้มันไปวางตั้งอยู่ อีกความฉลาดหนึ่งที่ตู้หยอดเหรียญยุคใหม่มีก็คือ ความสามารถในการเดาอายุของผู้หยอดเหรียญ ซึ่งจะมีประโยชน์มากสำหรับตู้หยอดเหรียญเพื่อซื้อบุหรี่ บริษัท Fujitaka ได้ประดิษฐ์ตู้หยอดเหรียญที่ใช้เทคโนโลยี Face Recognition เพื่อทำการประเมินอายุของผู้ซื้อบุหรี่ที่ตู้ ด้วยการใช้กล้องเก็บภาพหน้าของผู้หยอดเหรียญ แล้วทำการวิเคราะห์รูปทรงของใบหน้า ความเต่งตึงของผิวหน้า ลักษณะของเส้นรอบๆดวงตา แล้วทำการเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลของใบหน้าคน ในช่วงอายุต่างๆ ในฐานข้อมูลที่มีอยู่มากถึง 100,000 ใบหน้า ตู้นี้จะปฏิเสธการขายหากมันคิดว่าคนซื้อเป็นเยาวชน แล้วในกรณีที่ผู้ซื้อเกิดเป็นคนหน้าอ่อนกว่าอายุมากๆ ล่ะจะทำอย่างไร สำหรับกรณีที่ผู้ซื้อเป็นผู้ใหญ่แบบ Baby-Faced แล้วเครื่องปฏิเสธการขาย ก็ยังสามารถซื้อได้โดยนำบัตรประชาชนมาให้ตู้สแกน มันก็จะยอมขายให้ โดยเก็บข้อมูลความผิดพลาดในการคำนวณเอาไว้ด้วย เพื่อปรับปรุงความฉลาดของมันต่อไป แม้ว่าปัจจุบันความถูกต้องในการคำนวณของมันจะมีเพียง 90% เท่านั้น (ทุกๆ 100 คน มันจะเดาผิด 10 คน) แต่ในอนาคตพลังของซอฟต์แวร์ปัญญาประดิษฐ์จะสูงขึ้น เพื่อลดข้อผิดพลาดให้ลดลงไปเรื่อยๆครับ บริษัทเดียวกันนี้ยังได้นำตู้หยอดเหรียญที่แนะนำที่กินข้าว ที่เที่ยว ให้แก่ผู้หยอดเหรียญที่มากดซื้อกาแฟทานด้วยครับ โดยใช้จอภาพแบบ Touch-Screen ให้ผู้ซื้อใช้เล่นแพนและซูมแผนที่ มันก็จะโฆษณาแนะนำว่ามีร้านไหนอร่อยแถวนี้ สามารถบอกเจ้าตู้ฉลาดนี้ว่าเราอยากทานอะไรเป็นพิเศษ มันจะโชว์แผนที่ให้ และพูดบอกเราว่าให้เดินไปทางไหน เลี้ยวตรงไหน

04 ตุลาคม 2551

Intelligent Vending Machine - ตู้หยอดเหรียญอัจฉริยะ (ตอนที่ 1)


ท่านผู้อ่านที่เคยอยู่อพาร์ทเมนท์คงจะคุ้นเคยกับเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญนะครับ เดี๋ยวนี้หาค่อนข้างง่าย เป็นความสะดวกสบายอย่างหนึ่งไปแล้วในเมืองไทย แต่เครื่องหยอดเหรียญเพื่อกดขนม หรือ เครื่องดื่มออกมานั้นอาจจะไม่ค่อยแพร่หลายเท่าไรนักในบ้านเรา ผมก็เคยเห็นบ้างในมหาวิทยาลัยบ้านเรา แต่ที่ญี่ปุ่น เครื่องหยอดเหรียญเพื่อซื้อเครื่องดื่ม บุหรี่ ขนม หรือแม้แต่ของเล่น นั้นพบได้ทั่วไป เรียกว่าเดินออกจากโรงแรมไปซัก 1 ป้ายรถเมล์ ก็เจอเป็นสิบๆเครื่องแล้ว ตามลานจอดรถก็มี ปากซอยก็มี บนชานชาลารถไฟก็มี ออกไปเดินเล่นข้างๆท้องนาในชนบทก็ยังเจอเลยครับ แถมมีของแปลกๆ อย่างไข่ไก่ เป็นต้น บางทีผมยังอดสงสัยไม่ได้ว่าบริษัทที่ติดตั้งเครื่องหยอดเหรียญเหล่านี้จะจำได้ไหมว่าตนเองเอาเครื่องไปวางไว้ที่ไหนบ้าง แถมยังต้องไปคอยเอาของไปเติมด้วย ปรากฎว่าเครื่องเหล่านี้ในญี่ปุ่นเขาเชื่อมโยงกับเครือข่ายไร้สายหมดครับ ซึ่งมันจะส่งข้อมูลของสินค้าที่ขายดี ขายไม่ดี ไปยังศูนย์ข้อมูล ซึ่งมันก็จะแจ้งเตือนเมื่อสินค้าใกล้จะหมดด้วย ตู้หยอดเหรียญในญี่ปุ่นมีเยอะเสียจนเขามีการจัดงานแสดงสินค้าและนิทรรศการเกี่ยวกับตู้หยอดเหรียญโดยเฉพาะ อย่าง Vendex Japan มีบริษัทมาแสดงสินค้าในงานถึง 194 บริษัท จำนวน 822 บูธ ซึ่งมีผู้มาเที่ยวชมงานจำนวน 150,000 คน ทั้งๆที่เก็บค่าเข้าชมงานคนละ 500 บาท ว่ากันว่าในญี่ปุ่นตอนนี้มีตู้หยอดเหรียญจำนวน 5,405,300 ตู้ครับ หรือมีตู้หยอดเหรียญ 1 ตู้ต่อประชากร 23 คน ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในโลก ครึ่งหนึ่งของ 5 ล้านกว่านี้เป็นตู้สำหรับกดเครื่องดื่มไร้อัลกอฮอล์ครับ ประมาณ 118,000 ตู้จะเป็นของแปลกที่ไม่น่าเอามาใส่ในตู้ ไม่ว่าจะเป็น มีดโกนหนวด ถุงเท้า ไข่ไก่ น่าทึ่งมากครับมี 5,500 ตู้ที่เป็นบะหมี่กระป๋อง เขาสำรวจออกมาพบว่า 22% ของคนตอบแบบสำรวจนั้นใช้ตู้หยอดเหรียญอย่างน้อยวันละครั้ง ทำให้รายได้ของตู้หยอดเหรียญทั้งหมดรวมทั้งปีมีมูลค่าถึง 7,000,000,000,000 เยน หรือ ประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท มากกว่างบประมาณของรัฐบาลไทยใน 1 ปีเสียอีกครับ


ชีวิตในโลกอนาคตนั้น นับวันจักรกลที่มีความฉลาดจะยิ่งเข้ามาวนเวียนในชีวิตประจำวันของพวกเรามากขึ้นเรื่อยๆ พรุ่งนี้จะมาเล่าต่อนะครับ .....

02 ตุลาคม 2551

Nano Projector - โปรเจ็คเตอร์นาโน


ตอนนี้ผมอยู่ญี่ปุ่นครับ วันนี้จึงขออัพเดตบล็อกด้วยเรื่องของเทคโนโลยีที่ย่อขนาดลงเรื่อยๆ เพราะประเทศนี้ก็เติบโตทางเศรษฐกิจด้วยการย่อขนาดข้าวของเครื่องใช้ให้เล็กลง และในวันนี้เครื่องฉายภาพหรือเจ้าโปรเจ็กเตอร์ที่เราคุ้นเคยกันดีกับงานพรีเซ็นต์ต่างๆ นั้นได้ย่อส่วนจากที่เคยถือไปถือมาหนักอึ้ง ตอนนี้มีขนาดแค่กระดาษ A4 และล่าสุดนี้มีขนาดแค่ฝ่ามือเท่านั้นเองครับ ในช่วงแค่เดือนสองเดือนนี้มีการเปิดตัวโปรเจ็คเตอร์จิ๋วหลายยี่ห้อเลยครับ ผมขอยกตัวอย่าง เอาของไต้หวันก่อนนะครับ บริษัท Aiptek ได้เปิดตัวโปรเจ็คเตอร์จิ๋วชื่อว่า The Mint V10 ที่ใช้เทคโนโลยี LED ที่มีอายุใช้งานนานถึง 20,000 ชั่วโมง โปรเจ็คเตอร์ตัวนี้หยิบออกมาก็ฉายภาพได้เลยไม่ต้องอุ่นเครื่อง ด้วยระยะห่าง 1.8 เมตรมันสามารถฉายภาพที่มีขนาด 50 นิ้ว อีกตัวอย่างหนึ่งเป็นยี่ห้อที่เรารู้จักกันดีจากญี่ปุ่นครับ นั่นคือ Toshiba ซึ่งได้เปิดตัวโปรเจ็คเตอร์ขนาดฝ่ามือที่มีน้ำหนักแค่ 100 กรัม มันสามารถฉายภาพที่มีขนาดถึง 100 นิ้วได้เลยครับ รูปทรงก็ค่อนข้างสวยงามครับ และล่าสุดบริษัท 3M ได้เปิดตัวโปรเจ็คเตอร์ขนาดจิ๋วด้วยอีกจ้าวนึง ดังแสดงในรูปข้างบนครับ จะเห็นว่าขนาดเหมาะมือมาก ได้ข่าวมาว่าราคาแค่หมื่นต้นๆ ซึ่งถือว่ายังแพงอยู่ แต่คงจะถูกลงมาในระดับสี่ส้าห้าพันในเวลาไม่ถึงปีหรอกครับ ที่ผมสนใจที่สุดก็คือ 3M เขาวางแผนว่าจะเอาโปรเจ็คเตอร์จิ๋วนี้ไปใส่ในโทรศัพท์มือถือด้วยครับ


ท่านผู้อ่านจะเห็นว่าตอนนี้ถึงยุคของ เทคโนโลยีบรรจบ (Convergent Technologies) แล้วครับ ศาสตร์ต่างๆเริ่มมาคุยกัน แต่งงานกันแล้วออกลูกออกหลานเป็นศาสตร์ใหม่ๆ นี่แหล่ะครับ ยิ่งคุยกันก็ยิ่งเข้าใจ ถึงยุคบูติคแล้วครับ