30 กรกฎาคม 2551

Geoengineering - อภิมหาโปรเจคต์ เปลี่ยนฟ้าแปลงโลก (ตอนที่ 4)


ก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปลดปล่อยออกมาหลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมตลอด 200 ปีที่ผ่านมานั้น เกิดขึ้นจากการที่มนุษย์เอาแหล่งคาร์บอนที่สะสมอยู่ใต้แผ่นดินออกมาเผาผลาญเพื่อผลิตพลังงาน ในเมื่อเรานำเอาคาร์บอนจากใต้ดินมาใช้ ทำไมเราถึงไม่อัดคาร์บอนไดออกไซด์ที่เหลือจากการเผาผลาญนั้น กลับไปอยู่ใต้โลกเหมือนเดิม ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่แค่แนวคิดหรือนิยายวิทยาศาสตร์หรอกครับ บริษัทสไลป์เนอร์ (Sleipner) แห่งนอร์เวย์ได้ดำเนินการปั๊มคาร์บอนไดออกไซด์กลับลงไปเก็บใต้ผิวโลกลึกลงไปกว่า 1 กิโลเมตร จำนวนกว่า 20,000 ตันทุกๆสัปดาห์ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1996 แล้ว ซึ่งก็นับว่าคุ้มเพราะที่ประเทศนอร์เวย์นั้น ผู้ที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศจะต้องเสียภาษี 50 เหรียญสหรัฐทุกๆ 1 ตัน ตอนนี้แหล่งขุดเจาะก๊าซธรรมชาติหลายๆแหล่งทั่วโลก ต่างก็สนใจที่จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งก๊าซในทะเลจีนใต้ ออสเตรเลีย อลาสก้า เป็นต้น คาร์บอนไดออกไซด์สามารถที่จะอัดลงไปทั้งใต้ดิน ไปเก็บในเหมืองถ่านหินที่ปิดแล้ว แหล่งแร่ใต้ดินที่เลิกใช้ แหล่งน้ำมันและก๊าซที่ดูดออกมาหมดแล้ว


อีกวิธีหนึ่งทำได้โดยการเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ใต้ท้องทะเล จะว่าไปศักยภาพของมหาสมุทรในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์นั้นมีสูงมาก ปัจจุบันนี้มหาสมุทรก็เก็บคาร์บอนไว้แล้วถึง 40,000 พันล้านตัน ในขณะที่ชั้นบรรยากาศเก็บคาร์บอนไว้เพียง 750 พันล้านตันเท่านั้น เราสามารถนำคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีทั้งหมดในชั้นบรรยากาศตอนนี้ ฝังไว้ในทะเลได้อย่างไม่มีปัญหาเลย วิธีการนั้นก็มีได้หลายวิธีด้วยกัน เช่น การปั๊มคาร์บอนไดออกไซด์ลงไปใต้ทะเลลึก 3 กิโลเมตร ซึ่งภายใต้ความดันขนานนั้น คาร์บอนไดออกไซด์จะอยู่ในรูปของเหลวที่จมดิ่งที่ท้องทะเล ซึ่งจะอยู่ได้หลายพันปี เทคโนโลยีอื่นๆ เช่นการปั๊มก๊าซลงไปปล่อยใต้ทะเลในระยะที่ไม่ลึกมากนัก เช่นสักไม่เกิน 1000 เมตร ก็สามารถทำได้ แต่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะมีโอกาสปลดปล่อยกลับสู่ชั้นบรรยากาศได้

28 กรกฎาคม 2551

ยุคแห่งการแต่งงานข้ามศาสตร์ วิทย์ + มนุษย์ + สังคม มาถึงแล้ว


ตลอด 200 ปีที่ผ่านมา วิทยาศาสตร์ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เรียนรู้แยกจากกัน ยิ่งเรียนสูงก็ยิ่งลึกลงไปในสาขาของตน แต่เมื่อต้นศตวรรษที่ 21 นี้เอง ที่เกิดมีมหกรรมการแต่งงานข้ามศาสตร์กันขนานใหญ่ ภายในส่วนของวิทยาศาสตร์เอง เกิดศาสตร์ใหม่ๆ ขึ้นมามากมาย เช่น Bioinformatics เกิดจากการแต่งงานของวิทยาการคอมพิวเตอร์กับชีววิทยา Biophysics เกิดจากการแต่งงานของชีววิทยากับฟิสิกส์ Biorobotics เกิดจากการแต่งงานของหุ่นยนต์ศาสตร์กับชีววิทยา Bionics เกิดจากการแต่งงานของวัสดุศาสตร์กับการแพทย์ Molecular Electronics เกิดจากการแต่งงานของเคมีกับวิศวกรรมไฟฟ้า เป็นต้น ..... จากนี้ไปเราจะเริ่มเห็นการแต่งงานข้ามศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่กว่าเก่าอีกครับ เพราะจะเป็นการแต่งงานข้ามไปข้ามมาระหว่าง วิทยาศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และ สังคมศาสตร์ ด้วยครับ ขอยกตัวอย่างเช่น Social Intelligence ซึ่งเป็นศาสตร์ว่าด้วยความสามารถในการรับรู้ การเข้าใจ การจัดการเพื่อจะอยู่ร่วมกันในสังคม ซึ่งศาสตร์นี้กำลังจะมีประโยชน์มากเลยล่ะครับในการสร้างสังคมของหุ่นยนต์ที่อยู่เป็นฝูง (Swarm Robots) ให้สามารถร่วมกันทำงานเป็นหมู่เหล่าได้ ซึ่งก็เป็นศาสตร์อีกศาสตร์หนึ่งที่เรียกว่า Swarm Intelligence ซึ่งความรู้ทางสังคมศาสตร์จะมีประโยชน์มาก ในการสร้างพฤติกรรมหมู่ให้ฝูงหุ่นยนต์ที่เป็นปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence)


อีกศาสตร์หนึ่งที่เป็นการแต่งงานข้ามศาสตร์ระหว่างวิทยาศาสตร์ กับ สังคมศาสตร์ ที่ผมขอยกตัวอย่างคือ Neuroeconomics ผมไม่ทราบชื่อภาษาไทยครับ เป็นการแต่งงานข้ามสายพันธ์ระหว่าง Neuroscience + Economics + Psychology ซึ่ง Neuroscience หรือประสาทวิทยานั้นเป็นเรื่องของการศึกษาเพื่อเข้าใจการทำงานของระบบประสาทของสิ่งมีชีวิต เช่น ระบบสัมผัส การรับรู้ การคิด กิจกรรมต่างๆของสมอง ในขณะที่เศรษฐศาสตร์นั้นเป็นเรื่องของการศึกษาเกี่ยวกับกิจกรรมการผลิต การกระจายและการบริโภคสินค้า-บริการ เมื่อทั้ง 3 ศาสตร์มาแต่งงานกันได้ Neuroeconomics จะได้ศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการตัดสินใจของมนุษย์ในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ว่าสมองทำงานอย่างไรในการชั่งใจ จำแนกแยกแยะเรื่องของการได้-เสีย กับการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ศาสตร์นี้เองที่เริ่มมีการทำวิจัยเยอะมากครับ บริษัทใหญ่ๆที่ขายของเก่งๆ มีนักวิจัยทางด้านนี้ เพราะเขาจะออกแบบสินค้าให้ตรงกับการทำงานของสมองของผู้ซื้อ ผมเคยอ่านบทความหนึ่งใน Newsweek ที่ตีแผ่ความลับของพรรครีพลับบิกัน ที่เขาสามารถเอาชนะเลือกตั้งครั้งที่แล้วมาได้ เพราะเขาใช้ศาสตร์นี้ช่วยในการสะกดจิตของผู้ลงคะแนนนี่เองครับ

27 กรกฎาคม 2551

จับตาดู Precision Agriculture ที่อินเดีย


นขณะที่ประเทศไทยกำลังเกาะกระแสเกษตรอินทรีย์อย่างเอาจริงเอาจัง ประเทศอินเดียซึ่งกำลังจะกลายมาเป็นคู่แข่งทางด้านเกษตรของไทยในอนาคต กำลังจะกระโดดไปสู่การเกษตรของศตวรรษที่ 21 นั่นคือ เกษตรแม่นยำสูง (Precision Agriculture) ซึ่งมีแนวคิดที่ว่า พืชพันธุ์ที่ปลูก และ สภาพล้อมรอบ (ดิน น้ำ แสง อากาศ) ในไร่นา มีความแตกต่างกัน ในแต่ละบริเวณ แม้จะอยู่ในไร่เดียวกันก็ตาม สภาพล้อมรอบที่แตกต่างนี้ มีผลให้การเกิดผลผลิต แตกต่างกันได้ ดังนั้นการปรับการดูแลให้เหมาะสมกับ สภาพที่แตกต่างนั้น จะทำให้สามารถสร้างผลผลิต อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด เกษตรแม่นยำสูงจึงเป็นกลยุทธ์ในการทำการเกษตร ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเกษตรกรสามารถจะปรับการใช้ทรัพยากร ให้สอดคล้องกับสภาพของพื้นที่ย่อยๆ รวมไปถึงการดูแล อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็น การหว่านเมล็ดพืช การให้ปุ๋ย การใช้ยาปราบศัตรูพืช การไถพรวนดิน การรดน้ำ การคัดเลือกผลผลิต การเก็บเกี่ยวผลผลิต


อินเดียเป็นประเทศแรกในเอเชียที่บรรจุ Precision Agriculture ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ซึ่งก็มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางว่าจะทำได้จริงหรือ เพราะไร่นาในอินเดียค่อนข้างมีขนาดเล็ก อีกทั้ง 30% ของประชากรอยู่ใต้เส้นแบ่งความยากจน แต่ว่าในขณะนี้ได้มีนักวิจัยจำนวนมาก สนใจเข้ามาทำงานด้านนี้มากขึ้น จนมีการเสนอให้อินเดียทำการติดตั้ง Differential GPS หรือ DGPS ให้ครอบคลุมทั้งประเทศอินเดีย ซึ่งจะช่วยให้ความแม่นยำของระบบ GPS ในอินเดียมีเพียงพอที่จะใช้ทำกิจกรรมต่างๆในไร่ โดยการใช้รถอัตโนมัติ เช่น การพรวนดิน การหว่านเมล็ด การหยอดปุ๋ย เป็นต้น อุตสาหกรรมเกษตรอันหนึ่งที่น่าจับตามองของเขาก็คือ ชา ปัจจุบันอินเดียปลูกชาได้ถึง 850 ล้านตัน ซึ่งคิดเป็น 30% ของทั้งโลก แต่ในช่วงหลังๆ นี้การแข่งขันในตลาดชาจาก เคนยา ศรีลังกา และ อินโดนีเซีย สูงมาก ทำให้ภาคอุตสาหกรรมและรัฐบาลอินเดียมีความตื่นตัวที่จะนำ Precision Farming เข้ามาใช้ในเรื่องของชา เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมชาของอินเดียให้นำหน้าคู่แข่ง ....... วันหลังผมจะมาเล่าต่อนะครับ .................

25 กรกฎาคม 2551

Chembot - หุ่นยนต์เปลี่ยนรูปได้ (ตอนที่ 2)


วันนี้ผมขอมาคุยต่อเรื่องของ Shape-Shifting Robot หรือ หุ่นยนต์เปลี่ยนรูปได้ ต่อนะครับ เจ้า Chembot กำลังเป็นกระแสที่มาแรงอยู่ในขณะนี้ เพราะกองทัพสหรัฐฯ ให้ความสนใจที่จะพัฒนามันขึ้นมา โดยล่าสุดได้คัดเลือกให้บริษัท iRobot รับงานมูลค่าหลายล้านเหรียญสหรัฐนี้ไปเพื่อพัฒนาต้นแบบหุ่นยนต์ที่เปลี่ยนรูปร่างได้ โดยเนื้อหาคร่าวๆ ที่กองทัพต้องการคือ หุ่นยนต์ที่มีความอ่อนนุ่ม ยืดหยุ่น และสามารถที่จะปรับเปลี่ยนรูปร่าง เพื่อแทรกตัวเข้าไปในสถานที่ที่มนุษย์ไม่อาจเข้าถึงได้ง่าย (เข้าใจว่าจะเป็นพวกซอกเล็ก ซอกน้อย ถ้ำ หรือ รอยแตกต่างๆ เพื่อทำการสปาย หรือ ค้นหา) หุ่นยนต์นี้นอกจากเปลี่ยนรูปร่างได้แล้ว ยังต้องสามารถบรรทุกน้ำหนักอุปกรณ์เพื่อไปปฏิบัติการทางทหารได้ด้วย ทีมงานของ iRobot ประกอบด้วยพนักงานของบริษัท iRobot เอง ร่วมกับคณาจารย์และทีมงานของ Harvard University และ MIT ซึ่งมีทั้งวิศวกรหุ่นยนต์ นักเคมี นักวัสดุศาสตร์ วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ สำหรับบริษัท iRobot เองนั้นเคยมีผลงานกระหึ่มโลกในการผลิตหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่มีชื่อว่า Roomba ซึ่งได้กลายมาเป็นของฮิตที่สุดในโลกหุ่นยนต์ จะเรียกว่าเป็น iPod ในโลกหุ่นยนต์เลยก็ว่าได้ครับ

24 กรกฎาคม 2551

Plant Intelligence - ต้นไม้ไม่ได้โง่ (ตอนที่ 1)


เมื่อตอนผมเป็นเด็ก ผู้ใหญ่เคยสอนเราว่าการฆ่าสัตว์เป็นบาป ผมเคยถามกลับไปว่าแล้วตัดต้นไม้ล่ะ บาปมั้ย ผู้ใหญ่ตอบว่าไม่ ผมถามอีกว่าทำไม พวกเขาตอบว่าเพราะต้นไม้มันไม่มีวิญญาณ ผมถามต่ออีกว่ารู้ได้ยังไง พวกเขาไล่ให้ผมไปไกลๆ ซึ่งผมก็ได้ฝังใจตั้งแต่นั้นมาว่า ต้นไม้ไม่มีวิญญาณ ไม่มีจิตใจ แต่พวกมันมีชีวิต แต่เมื่อไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบหลักฐานหลายๆอย่าง ต้นไม้ไม่ได้โง่อย่างที่พวกเราเคยคิดกันแล้วล่ะครับ มันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ผ่านกลไกทางกลิ่น หรือ โมเลกุลเคมี ซึ่งก็ยังไม่ทราบแน่ชัดนักว่าทำงานอย่างไร เมื่อเร็วๆนี้ได้มีรายงานในวารสาร Proceedings of the National Academy of Science (PNAS) ฉบับวันที่ 6 พฤษภาคม 2551 ถึงกับว่าต้นไม้สามารถควบคุมอากาศเองได้ โดยนักวิจัยที่ Scottish Association for Marine Science ได้ร่วมกับ University of Manchester ได้ศึกษาพบว่าพืชทะเลจำพวกหญ้าทะเล ที่อยู่รวมกันจำนวนมากๆ นั้น มีความสามารถในการสร้างวันที่มีเมฆมากให้แก่ชายทะเลที่มันอยู่อาศัย ที่มันชอบทำอย่างนั้น เพราะวันที่มีเมฆมากทำให้พวกมันอยู่กันอย่างสบายไม่ร้อนเกินไป เพราะหากมีแสงแดดส่องมากเกินไป พวกมันจะเสียความชื้น และรู้สึกเครียด ซึ่งพวกมันจะช่วยกันปล่อยแอโรซอลของไอโอไดด์ ซึ่งจะลอยขึ้นไปช่วยในการก่อตัวของไอน้ำให้เป็นเมฆ เหนือสถานที่ที่มันอาศัย ฟังแล้วก็อึ้งนะครับ วันหลังผมจะกลับมาเล่าถึงความฉลาดของพืชอีกนะครับ .......

22 กรกฎาคม 2551

Floating City - หนีโลกร้อนไปพักผ่อนในเมืองลอยน้ำ


ช่วง 2-3 ปีมานี้ ใครๆก็ต่างพยายามคิดสรรหาวิธีการสารพัดสารเพ เพื่อมาบรรเทาปัดเป่าปัญหาสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้ผมเคยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับอภิมหาโปรเจคต์แก้โลกร้อนที่มีชื่อว่า "วิศวกรรมดาวเคราะห์ (Geoengineering)" ซึ่งยังมีอีกหลายตอน ยังเล่าไม่หมดครับ วันนี้ผมขอมาเพิ่มเติมถึงโปรเจคต์อลังการอีกโปรจคต์หนึ่ง สำหรับคนที่อยากหนีโลกร้อน ไปอยู่ในเมืองลอยน้ำที่มีชื่อว่า Lilypad ซึ่งออกแบบโดย Vincent Callebaut ซึ่งได้ออกแบบให้มีอาคาร บ้านเรือน คอนโดมิเนียม ร้านรวงต่างๆ และระบบขนส่งมวลชน สามารถบรรจุประชากรได้ถึง 50,000 คน เมืองลอยน้ำนี้ใช้พลังงานจากแสงอาฑิตย์และพลังงานลม พลังงานคลื่น ที่มีอยู่เหลือเฟือในมหาสมุทร อีกทั้งยังมีการ recycle ทุกสิ่งทุกอย่าง มีโรงงานไฟฟ้าจาก Biomass ด้วย ผู้ออกแบบตั้งใจจะทำให้เมืองนี้พึ่งตัวเองทางด้านอาหาร และพลังงานได้ จึงต้องมีการเกษตรในเมืองนี้ด้วย เดิมทีผู้ออกแบบตั้งใจจะให้เมืองนี้เป็นที่หลบภัยสำหรับผู้อพยพหนีน้ำท่วม ที่เกิดจากการละลายของน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือ จนทำให้เมืองชายฝั่งถูกน้ำทะเลท่วมหมด เหมือนในภาพยนตร์เรื่อง Water World แต่ทว่า .... พอหลายๆ คนได้เห็นการออกแบบที่น่าอยู่มาก ก็ชักอยากจองเข้าอยู่ก่อนถึงเวลาเสียอีกครับ .......

21 กรกฎาคม 2551

Transformer 2


ช่วงนี้ผมพูดถึงเรื่องหุ่นยนต์บ่อยหน่อยนะครับ เพราะกำลังเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจมาก หลังจากเด็กไทยไปคว้าแชมป์หุ่นยนต์โลกมาหมาดๆ และในเดือนพฤศจิกายน 2551 ที่จะถึงนี้ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ IEEE Robio 2008 อีกทั้งตอนนี้ทั่วโลกกำลังแข่งขันกันพัฒนาหุ่นยนต์กัน โดยเฉพาะกองทัพสหรัฐฯ ที่ต้องการสร้างสนามรบอัจฉริยะ (Intelligent Battlefield) ที่ทำงานด้วยซอฟต์แวร์ เซ็นเซอร์ หุ่นยนต์ โดยใช้มนุษย์น้อยที่สุด


มีข่าวดีมาบอกท่านผู้อ่านที่เป็นแฟนภาพยนตร์ Transformers ครับ เพราะตอนนี้เขากำลังถ่ายทำ Transformers 2 กันครับ โดยเริ่มเปิดกล้องเมื่อเดือนพฤษภาคม 2551 ที่ผ่านมานี้เองครับ คาดว่าจะออกฉายในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552 หลังภาพยนตร์ Terminator 4 ประมาณ 1 เดือน ข่าวว่าผู้สร้างคือ Michael Bay ทุ่มทุนมหาศาลครับ ประมาณ 151 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อทำให้ภาค 2 นี้ยิ่งใหญ่กว่าภาคแรก โดยภาคนี้เขาเล่ากันว่าในท้องเรื่องพวกหุ่นยนต์พวก Decepticons จะไปออกอาละวาดทั่วโลก ทั้งในยุโรปและเอเชีย มีข่าวลือต่างๆนานาในอินเตอร์เน็ตพยายามเดาเนื้อเรื่อง ว่าจะเดินยังไง แต่ทางผู้สร้างก็ปิดเงียบ ไม่ปล่อยให้เนื้อหาและรายละเอียดหลุดลอดออกมา เท่าที่ผมติดตามและจับความในเว็ปไซต์ต่างๆ พอจะทราบมาว่าเจ้าตัว Starscream ซึ่งเป็นลูกน้องคนสนิทของ Megatron ได้หนีกลับไปตามพวก Decepticons กลับมาที่โลก มาช่วย Megatron ที่ถูกทิ้งซากไว้ที่พื้นทะเล คราวนี้ Megatron จะมาฟอร์มใหญ่มาก สามารถที่จะ morph ไปเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินได้ด้วย

20 กรกฎาคม 2551

Terminator 4 - เมื่ออนาคตกำลังเริ่มต้น


ช่วงหลังๆนี้ จะเห็นว่ากองทัพสหรัฐฯ ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาหุ่นยนต์เพื่อทำสงครามมากขึ้นเรื่อยๆ ไล่ไปตั้งแต่ UAV ที่มีลักษณะเหมือนหุ่นยนต์มากขึ้น การว่าจ้างให้ผลิต Packbot สำหรับทหารราบเป็นจำนวนมาก หุ่นยนต์แบบสวมใส่ได้สำหรับการทหาร หุ่นยนต์ที่ปรับเปลี่ยนรูปร่างได้ (Shape-shifting Robot) กองทัพอเมริกันยังทุ่มงบไปที่การพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ทำให้การรบเป็นลักษณะอัตโนมัติมากขึ้น คือควบคุมสนามรบด้วยระบบซอฟต์แวร์กันเลยครับ ชักคล้ายๆ Skynet ในภาพยนตร์เรื่อง Terminator เข้าไปทุกทีๆ แล้วครับ ผมได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ทั้ง 3 ภาค ที่ชอบมากที่สุดคือภาคแรกครับ เพราะเป็นการเปิดมุมมองใหม่ถึงเรื่องของการข้ามอนาคต และก็เรื่องของสังคมหุ่นยนต์ที่อยู่ได้ด้วยตัวเอง เหมือนเป็นระบบนิเวศน์หนึ่งเลยทีเดียว ตอนนี้มีข่าวว่า Terminator 4 หรือ T4 กำลังถ่ายทำอยู่ครับ เพื่อออกฉายในปี ค.ศ. 2009 เนื้อเรื่องจะเป็นการเปิดฉากมหาสงครามระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักรอย่างแท้จริง เพราะภาคก่อนหน้าทั้ง 3 ภาค เป็นเรื่องก่อนมหาสงครามนี้ทั้งสิ้น ภาค 4 นี้จะเป็นเนื้อเรื่องของอนาคตใน ปี ค.ศ. 2018 ที่มนุษย์ผู้สร้างหุ่นยนต์ จะต้องสงครามห้ำหั่นกับพวกมัน ถ้ามนุษย์แพ้ หุ่นยนต์จะเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ที่ครองโลกมนุษย์ ซึ่งแนวคิดนี้ก็อยู่ในแนวทางเดียวกับภาพยนตร์เรื่อง Matrix ที่เคยทำให้หลายๆ คนที่ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ อดคิดไม่ได้ว่าตัวเราเองนั้น กำลังใช้ชีวิตอยู่ในโลกจริงๆ หรืออยู่ใน Matrix ที่ภูมิปัญญาอื่นสร้างเอาไว้กันแน่ .........


ชมตัวอย่างภาพยนตร์ Terminator 4 The Future Begins ข้างล่างครับ .......

19 กรกฎาคม 2551

Wearable Robot - ชุดหุ่นยนต์สวมได้


ท่านผู้อ่านที่เคยได้ดูภาพยนตร์เรื่อง Iron Man คงจะอดสงสัยไม่ได้ว่า ชุดเหล็กที่พระเอกของเราสวมใส่นั้น ทำไมมันช่างแสนจะสุดยอดอะไรปานนั้น ทั้งกันกระสุน กันระเบิด เหาะเหินเดินอากาศได้ แถมทำให้เป็นมนุษย์จอมพลัง ยกโยนโยกรถได้ทั้งคัน จริงๆแล้ว Iron Man ก็ยังเป็นอะไรที่ไม่เว่อร์มากมายนัก เมื่อเทียบกับชุด Tuxedo ที่เฉินหลงสวมใส่เมื่อหลายปีก่อน ที่ทำให้เขากลายเป็นยอดมนุษย์ที่สามารถต่อสู้เหล่าร้าย ด้วยพลังกังฟูที่โปรแกรมอยู่ในชุด Tuxedo ตัวนั้น เจ้าชุด Tuxedo ยอดมนุษย์มีมิติและรูปทรงที่ไม่แตกต่างจาก Tuxedo ธรรมดาตัวหนึ่ง ในขณะที่ชุดที่ Iron Man สวมใส่นั้น มีลักษณะเหมือน Wearable Robot หรือหุ่นยนต์ที่สวมได้ ซึ่งทำจากนาโนวัสดุพิเศษติดตั้งอุปกรณ์ไฮเทค

จริงๆแล้ว วิสัยทัศน์ของภาพยนตร์เรื่อง Iron Man ก็ไม่ได้เหนือความเป็นจริงจนเกินไป เพราะกระทรวงกลาโหมสหรัฐได้ให้ความสนใจกับเทคโนโลยีนี้มากครับ และแอบให้การสนับสนุนบริษัท Raytheon พัฒนาชุดหุ่นยนต์สำหรับสวมใส่มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 และเพิ่งมาเปิดเผยต้นแบบแรกก่อนหนังเรื่อง Iron Man จะออกฉาย ทีมพัฒนาซึ่งนำโดย Dr. Stephen Jacobsen ได้กล่าวว่า "โครงการนี้เป็นส่วนผสมระหว่าง งานศิลปะ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรม และ สถาปัตยกรรม ครับ บางคนบอกผมว่างานนี้มันสุดยอดเลย แต่บางคนก็หาว่าผมบ้าไปแล้ว ผมเชื่อว่าคนกับหุ่นยนต์สามารถทำงานร่วมกันได้ โดยคนทำงานอยู่ข้างในหุ่นยนต์" ถ้าใครพอจะจำภาพยนตร์เรื่อง Aliens ได้ตอนใกล้ๆจบ นางเอกได้สวมใส่หุ่นยนต์ยกของตัวหนึ่งเพื่อสู้กับเจ้าเอเลี่ยนส์ แต่หุ่นตัวที่ Jacobsen กำลังสร้างพัฒนานั้นเล็กกว่าและคล่องแคล่วกว่ามาก เมื่อถูกถามว่าได้ไปดูหนังเรื่อง Iron Man มั้ย Jacobsen ตอบว่า "แน่นอนครับ ผมชอบดูหนัง มันช่วยกระตุ้นจินตนาการให้แก่งานของเรา"

17 กรกฎาคม 2551

Chembot - หุ่นยนต์เปลี่ยนรูปได้ (ตอนที่ 1)


หายไปหลายวันครับ เพิ่งกลับมาจากงานประชุม ThinFilms 2008 ที่สิงคโปร์ครับ ........ ใครที่เคยได้ชมภาพยนตร์เรื่อง Terminator 2 น่าจะจำหุ่นยนต์ที่มีชื่อว่า T-1000 เจ้าหุ่นตัวนี้มีรูปร่างบึกบึนน้อยกว่าหุ่นตัวแรกมาก (Model 101) มันถูกส่งมาเพื่อกำจัดลูกชายของ Sarah Conner ภายหลังจากเจ้าหุ่นตัวแรกที่มีรูปร่างบึกบึนกว่ามากได้ปฏิบัติการเพื่อฆ่า Sarah Conner ล้มเหลว แถมยังไปช่วยทำให้นางได้กำเนิดลูกชาย ผู้ที่จะมาเป็นผู้นำเผ่าพันธุ์มนุษยชาติ เพื่อทำสงครามต่อสู้กับหุ่นยนต์เสียอีก แม้ว่าเจ้าหุ่น T-1000 จะไม่ล่ำบึกเหมือนหุ่นตัวแรกที่ส่งมา แต่มันมีความสามารถพิเศษคือ สามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างได้ ประกอบตัวเองได้ แถมยังซ่อมแซมตัวเองได้ ด้วยแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่องนี้ เมื่อปีที่แล้ว หรือ ค.ศ. 2007 นี้เอง กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ประกาศเปิดรับข้อเสนอโครงการเพื่อพัฒนาหุ่นยนต์ประเภท Chembot หรือ Chemical Robot หรือในวงการจะใช้คำเรียกว่า Shape-Shifting Chembot โดยนิยามกว้างๆ ของหุ่นยนต์ประเภทนี้ก็คือ

  • มีความยืดหยุ่นได้ทั้ง 3 มิติ- มีความสามารถในการแตกตัวออก และประกอบรวมเข้าใหม่ได้
  • สามารถทำงานได้ทั้งในโหมดอัตโนมัติ และควบคุมจากระยะไกล
  • มีความทนทานต่อสภาวะแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลง อุณหภูมิ ความดัน ความชื้น และรังสี
  • มีผิวที่อ่อนนุ่ม ทนทานต่อแรงกดโดยไม่แตก
  • มีโครงสร้างที่สามารถประกอบกลับมาอยู่ในรูปร่างตั้งต้นได้- มีประสาทสัมผัสทางกาย (Tactile Sensing)
  • มีความสามารถในการบรรทุกน้ำหนักได้

หลังจากนั้นได้มีบริษัทหลายบริษัทส่งข้อเสนอโครงการเข้ามา ซึ่งบริษัท iRobot ได้งานนี้ไปครับ วันหลังจะมาเล่าต่อนะครับ

10 กรกฎาคม 2551

ถุงเท้านาโนกลิ่นมะนาว


ท่านผู้อ่านคงเคยจะได้ยินเรื่องที่กลุ่มนักวิจัยไทยได้พัฒนา เสื้อนาโน ซึ่งก็อาศัยหลักการขจัดแบคทีเรีย ด้วยการติดอนุภาค Silver Nano ลงไปบนเส้นใยผ้า โดยแต่ละทีมวิจัยก็กล่าวอ้างต่างๆ ว่าของตนเองติดได้ทนกว่า นานกว่า บางทีมก็บอกว่าตนเองคิดค้นวิธีที่จะผลิตได้มากกว่า ถูกกว่า สุดแล้วแต่จะคิดมุกเด็ดเพื่อบอกความแตกต่างของสิ่งที่ตนเองทำ เนื่องจากงานเกี่ยวกับ Silver Nano ในเมืองไทยมีคนทำเยอะมาก การแข่งขันจึงสูงนั่นเองครับ


ปัญหาอย่างหนึ่งที่เกี่ยวกับเสื้อนาโน และการใช้อนุภาค Silver Nano ก็คือ มันจะใช้ไม่ได้ผลหากเป็นเสื้อกีฬา รองเท้า ถุงเท้าที่ผู้สวมใส่มีเหงื่อมากๆ ซึ่งประสิทธิภาพของ Silver Nano จะลดฮวบลงไป ทำให้มีกลิ่นส่วนเหลือปลดปล่อยออกมามาก จนทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าผลิตภัณฑ์ใช้ไม่ได้จริงอย่างที่คุยไว้ ซึ่งก็จะเป็นผลเสียต่อภาพลักษณ์ของเทคโนโลยีนี้ จึงทำให้นักวิจัยในประเทศโปรตุเกสได้พัฒนาแค็ปซูลจิ๋วเพื่อเก็บกักกลิ่นมะนาวที่หอมชื่นใจ และพร้อมปลอดปล่อยเวลาที่มีเหงื่อมากๆ ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะมาทำงานเสริมกับ Silver Nano ได้ ผลงานนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Industrial & Engineering Chemistry Research ในหัวข้อ “Microencapsulation of Limonene for Textile Application” (Vol. 47, No. 12, Pages 4142–4147, June 18, 2008) ซึ่งนักวิจัยหวังว่าจะนำไปใช้งานในผลิตภัณฑ์หลากชนิดไม่เฉพาะเสื้อนาโน หรือ ผ้านาโน เท่านั้น

09 กรกฎาคม 2551

หลังคารถโซลาร์เซลล์


เมื่อ 2-3 วันก่อน บริษัทโตโยต้าได้ออกมาประกาศว่าจะติดตั้งแผง Solar Cell บนหลังคารถให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานของรถยนต์ Toyota Prius โดย Solar Cell ที่ติดตั้งนี้จะมีรูปทรงสอดประสาน เป็นส่วนหนึ่งของหลังคารถเลย เรียกว่าตัวหลังคารถก็คือแผง Solar Cell เช็ด ขัด ล้าง ได้ตามปรกติครับ เป็นที่รู้กันว่ารถยนต์ Toyota Prius เป็นรถยนต์แบบไฮบริดที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 2 แบบ คือทั้งใช้น้ำมัน และ มอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งตั้งแต่ผลิตครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1997 โตโยต้าขายรถประเภทนี้ไปทั้งหมด 1 ล้านคันแล้ว โตโยต้ากล่าวว่าหลังคาโซลาร์เซลล์นี้จะช่วยในเรื่องของการประหยัดแอร์ และช่วยลดความร้อนที่เกิดขึ้นจากหลังคาเมื่อต้องแสงอาฑิตย์


อันที่จริงก่อนหน้านี้ได้มีบริษัทหัวใสที่มีชื่อว่า Solar Electrical Vehicles ได้ทำการติดตั้ง Solar Cell เข้ากับหลังคารถประเภทไฮบริดทั้งหลาย รวมทั้ง Prius ซึ่งสามารถผลิตพลังงานได้ประมาณ 200-300 วัตต์ ซึ่งใช้ชาร์จแบตเตอรีเสริม หลังจากติดตั้ง Solar Cell แล้วรถสามารถขับเคลื่อนได้กว่า 36 กิโลเมตรต่อวันด้วยการใช้ไฟฟ้า หรือคิดเป็นการประหยัดน้ำมันได้ 29% ระบบนี้มีราคาประมาณ 2000-4000 เหรียญสหรัฐ ซึ่งบริษัทอ้างว่าผู้ใช้จะคืนทุนได้ภายใน 2-3 ปีเองครับ

06 กรกฎาคม 2551

สัตว์เลี้ยงในฟาร์มไม่โง่


ท่านผู้อ่านหลายๆท่าน ที่มีประสบการณ์ในการเลี้ยงสุนัข ก็คงจะเคยคุยกับเขาด้วยภาษามนุษย์ สุนัขเป็นสัตว์เลี้ยงที่ฉลาด และสอนให้ทำนู่นทำนี่ได้ แถมน่ารักอีกด้วย แต่จริงๆแล้วก็เคยมีงานวิจัยหลายๆเรื่อง ที่พยายามบอกว่าพวกสัตว์เลี้ยงในฟาร์มที่เราใช้รับประทานกันนั้น ก็มีความเฉลียวฉลาดพอดู มีงานวิจัยจำนวนหนึ่งที่พิสูจน์ว่าหมูฉลาดกว่าหมาเสียอีก Jack Russel นักวิจัยที่ Babraham Institute ที่เมืองแคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษได้กล่าวว่า "หมูฉลาดครับ มันเป็นสัตว์ขี้สงสัย และก็ช่วยตัวเองได้ดีทีเดียว มันชอบสูดดมหานู่นหานี่ สำรวจไปทั่ว และก็ชอบตระเวณไปเรื่อยเหมือนเด็กซุกซน" งานวิจัยของเขายังบอกว่าไก่เลี้ยงในฟาร์มสามารถฝึกให้มันช่วยเหลือตัวเอง ปรับอุณหภูมิร้อนหนาวในคอกเลี้ยงได้ Professor Donal Broom แห่งมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ได้ทำงานวิจัยเรื่องวัวจนได้ผลสรุปว่า วัวเป็นสัตว์ที่มีความฉลาด มันพัฒนาความสัมพันธ์แบบเพื่อนกับมนุษย์ได้ ทั้งยังพบว่ามันตื่นเต้นที่รู้ว่ามันได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติม หรือว่าได้แก้ปัญหาอะไร
ผมยังจำได้ว่าตอนเด็กๆ อายุสัก 7-8 ขวบ ตอนที่ผมไปเที่ยวบ้านคุณย่าที่จังหวัดเพชรบุรีช่วงปิดเทอม ผมได้วิ่งไปดูเขามาต้อนฝูงวัวขึ้นรถบรรทุก พวกมันวิ่งหนีสุดชีวิต ตอนถูกจับ มันกรีดร้องหากันอย่างน่าเวทนา ผมเข้าไปดูพวกมันใกล้ๆ เห็นน้ำตาที่ไหลออกจากดวงตาของพวกมัน ผมถามคนแถวนั้นว่ามันร้องไห้ทำไม เขาบอกว่ามันรู้ว่าจะถูกนำไปฆ่าที่โรงฆ่าสัตว์ ซึ่งก็ทำให้ผมเลิกกินเนื้อวัวนับตั้งแต่นั้น

รู้อย่างนี้ว่าสัตว์เลี้ยงในฟาร์มที่เราๆ ท่านๆ รับประทานกันอยู่นั้นไม่โง่เลย ทำให้พาลไปถึงคำถามว่า เราควรกินเนื้อสัตว์พวกนี้มั้ย .... Jane Goodall ผู้บุกเบิกศึกษาเรื่องลิงชิมแปนซีบอกว่า "ฉันเลิกทานเลยเมื่อรู้อย่างนี้ ที่คนอื่นๆยังทานอยู่ก็เพราะเขาไม่ได้ค่อยได้คิดเรื่องนี้ดีๆนัก" ด้วยเหตุที่สัตว์เลี้ยงในฟาร์มฉลาดอย่างนี้นี่เองมั๊งครับ เลยทำให้สหภาพยุโรปเริ่มจะเข้มงวดกับผู้ส่งออกไก่จากประเทศไทยกันแล้ว ว่าต้องเลี้ยงให้ดีๆ ให้คำนึงสวัสดิภาพสัตว์เลี้ยงด้วย ซึ่งเทคโนโลยี Smart Farm สามารถเข้ามาช่วยในเรื่องนี้ได้ครับ ......

05 กรกฎาคม 2551

Energy Farm & Micropower (ตอนที่ 3)


วันนี้กลับมาคุยกันต่อถึงแนวโน้มของการผลิตพลังงานใช้เองกันในบ้าน หรือ ชุมชน เพื่อผลิตพลังงานพอเพียง ซึ่งกำลังเป็นกระแสที่มาแรงมากในกลุ่มประเทศยุโรป แต่กลับค่อนข้างเหงาๆในบ้านเรา จะว่าไปแล้วเรื่องของการผลิตพลังงานไฟฟ้าเพื่อใช้เองในบ้านและชุมชนนั้น Thomas Edison ได้คิดเรื่องนี้มาตั้งแต่เขาประดิษฐ์หลอดไฟเมื่อปี ค.ศ. 1879 แล้ว เขาได้ออกแบบบ้านพลังงานพอเพียงที่ปั่นไฟฟ้าใช้จากพลังงานลม แต่ก็เพราะ George Westinghouse ที่ทำให้แนวคิดของเอดิสันต้องพับไป โดยเขาเสนอให้มีโรงไฟฟ้าเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าปริมาณมากๆ แล้วส่งไปให้บ้านเรือนใช้กันผ่านสายส่ง โดยมีสถานีย่อยเพื่อแปลงแรงดันไฟฟ้า จริงๆแล้ว วิธีการหลังนี้เป็นวิธีที่ประสิทธิภาพต่ำเอามากๆเลยล่ะครับ โรงไฟฟ้ามีประสิทธิภาพเพียง 30% เพื่อเปลี่ยนพลังงานเคมีจากน้ำมันหรือก๊าซ มาเป็นไฟฟ้า แถมอีก 7% ของพลังงานสูญไฟฟ้าก็เสียไปกับสายส่ง แต่วิธีการนี้ก็ใช้กันเรื่อยมา ตลอด 100 กว่าปีที่ผ่านมานี้ ไม่มีใครคิดอะไรมาก เพราะเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ใช้ผลิตไฟฟ้านั้นแสนจะถูก หากแต่ ณ วันนี้ ที่ราคาน้ำมันดิบสูงถึง 140 เหรียญสหรัฐ โลกเลยโหยหาอยากกลับไปใช้วิธีของเอดิสันกันแล้วครับ ในขณะนี้ประเทศเยอรมันมีการใช้ Solar Cell มากที่สุดในโลกครับ ใน 3 ปีที่ผ่านมา (ค.ศ. 2005-2007) มีบ้านจำนวน 400,000 หลังคาติดแผง Solar Cell ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้ถึง 3000 เมกะวัตต์ มากพอที่จะทดแทนโรงไฟฟ้าได้ทั้งหมด 6 โรง ที่เมือง Aachen ในเยอรมัน เกษตรกรได้หมักซังข้าวโพดแล้วนำ Biogas มาใช้โดยต่อท่อเข้าไปกับท่อก๊าซของรัฐ สามารถเลี้ยงบ้านเรือนได้ถึง 5,000 ครัวเรือน ธุรกิจพลังงานในอนาคตจึงเป็นธุรกิจครัวเรือนไปแล้วครับ ถึงเวลาหรือยังที่เมืองไทยจะเริ่มคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ........

03 กรกฎาคม 2551

Citysense - เซ็นเซอร์สำหรับเหยี่ยวราตรี


สมัยก่อนตอนที่ผมยังเป็นนักศึกษาป.ตรี หลังสอบเสร็จ พวกเรามักจะถามกันว่าคืนนี้ไปไหนดี เพื่อนคนนึงมักจะตอบว่า "ก็ไปที่คนเยอะๆ" หลายๆครั้งที่พวกเราผิดหวังเพราะไปแล้วก็หง่าวแหง่ว เพราะไม่มีใครเลย ..... แต่เดี๋ยวก่อนครับ ...... ตอนนี้เราสามารถหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดู เปิด Google Map แล้วค้นหาได้เลยครับว่า คืนนี้ ที่ไหนมีคนเยอะๆ


ศาสตราจารย์ท่านหนึ่งชื่อ Tony Jebara เป็นศาสตราจารย์หนุ่มไฟแรง สอนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ได้เกิดไอเดียปิ๊งขึ้นมาว่า เออ ..... พวกเหยี่ยวราตรีเนี่ย เขาก็คงอยากไปดื่มไปเที่ยวเฮฮาปาร์ตี้ สังสรรกันในที่ที่มีคนเยอะๆ ทำไมเราถึงไม่ทำอะไรสักอย่างที่มันไฮเทคให้พวกนี้ได้ใช้ได้เล่น จะได้หาที่ไปได้ถูกใจ ว่าแล้วท่านก็ตัดสินใจตั้งบริษัทขึ้นมาร่วมกับศาสตราจารย์ Alex (Sandy) Pentland แห่ง MIT บริษัทนี้มีชื่อว่า Sense Networks ซึ่งมีพันธกิจพัฒนาระบบเครือข่ายเพื่อหยั่งรู้กิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น ณ สถานที่ต่างๆ โดยอาศัยระบบ Machine Learning โดยบริษัทนี้ก็เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อว่า Citysense ซึ่งมันจะวิเคราะห์ข้อมูลการใช้มือถือของผู้คน การใช้ Wi-Fi และสัญญาณโทรคมนาคมต่างๆ เพื่อให้รู้ว่ามีผู้คนอยู่แถวไหนบ้าง มันยังมีความฉลาดที่จะวิเคราะห์ว่าผู้คนชอบไปเดินช็อปปิ้งที่ไหน อยู่นานมั้ย ไปกินไปดื่มตรงไหนบ้าง ตอนนี้โปรแกรมตัวนี้มีให้เล่นในหลายๆ เมืองใหญ่ในสหรัฐแล้วครับ อีกหน่อยคงมาถึงกรุงเทพฯ บ้านเรา ........ ส่วนตัวผมเองนั้น ของเล่นชิ้นใหม่นี้คงไม่มีประโยชน์อะไร เพราะเลิกเที่ยวเตร่กลางคืนไปนานแล้ว แต่สำหรับคนหนุ่มสาว อย่าลืมมองหาของเล่นชื้นใหม่นี้ มาใช้ดูนะครับ

02 กรกฎาคม 2551

Solar Island - โรงไฟฟ้าลอยน้ำ


อย่างที่ผมพูดเสมอๆ ล่ะครับว่า ประเทศที่มีนวัตกรรมด้านพลังงานแสงอาฑิตย์มากที่สุดในโลก ไม่ใช่อเมริกา ไม่ใช่ยุโรป ไม่ใช่ญี่ปุ่น ไม่ใช่เกาหลี แต่เป็นประเทศเจ้าของน้ำมันอย่างสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (United Arab Emirates) ที่สร้างเมืองพลังงานสะอาดอย่าง Masdar City และนวัตกรรมด้านเปลี่ยนฟ้าแปลงดินหลายโครงการ อย่างเช่น Palm Island และ The World เกาะที่สร้างขึ้นมาเป็นรูปแผนที่โลกอย่างอลังการ



ล่าสุด ประเทศ UAE มาด้วยความคิดเจ๋งๆ ที่จะสร้างเกาะผลิตพลังงานไฟฟ้าจากโซล่าเซลล์ โดยต้นแบบที่จะผลิตขึ้นมาเพื่อทดสอบในทะเลนี้ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 100 เมตร มีกำลังผลิตไฟฟ้า 1 เมกะวัตต์ โซลาร์เซลล์ที่ใช้บนเกาะนี้เป็นแบบ Thermal ไม่ใช่ Photovoltaic กล่าวคือไม่ได้เปลี่ยนแสงไปเป็นไฟฟ้าโดยตรง แต่แสงอาฑิตย์จะไปเผาน้ำให้ร้อนในท่อให้ร้อน แล้วน้ำร้อนเหล่านี้จะไปปั่นเครื่องปั่นไฟแบบกังหันความร้อน จากนั้นก็จะนำไฟฟ้าไปเปลี่ยนน้ำทะเลให้เป็นไฮโดรเจนอีกทอดหนึ่ง เกาะพลังงานนี้จะผลิตไฮโดรเจนได้ด้วยตนเอง แค่ปล่อยให้มันลอยของมันไป พอถึงเวลา เรือบรรทุกไฮโดรเจนอัดก็จะไปรับไฮโดรเจนที่อัดไว้กลับมาบนฝั่ง การทำเช่นนี้ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีสายส่งไฟฟ้าจากเกาะนี้มายังบนฝั่ง คาดว่าเกาะนี้จะเริ่มถูกทดสอบในช่วงปลายปี ค.ศ. 2008 นี้ หลังจากนั้นทีมงานจะทำการสร้างเกาะที่มีขนาดใหญ่กว่า ที่เส้นผ่านศูนย์กลาง 1 กิโลเมตร ลองนึกภาพมีจานใหญ่ๆ มาลอยเท้งเต้งเต็มเลยในอ่าวไทย ก็คงแปลกตาดีครับ อีกหน่อย พื้นที่ในทะเลอาจจะต้องมีการแบ่งสิทธิ์ นส. 3 เหมือนพื้นที่บนดินแล้วครับ ......