แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ nano-environment แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ nano-environment แสดงบทความทั้งหมด

26 มิถุนายน 2551

Geoengineering - อภิมหาโปรเจคต์ เปลี่ยนฟ้าแปลงโลก (ตอนที่ 3)


เมื่อโลกร้อนเพราะแสงอาฑิตย์ส่องเข้ามามากเกินไป เราก็ต้องห่มผ้าให้โลก เพื่อให้โลกรับแสงอาฑิตย์น้อยลง ไอเดียอันบรรเจิดนี้มาจากศาตราจารย์ พอล ครูทเซล (Paul Crutzel) นักเคมีรางวัลโนเบล ค.ศ. 1995 ผู้ที่ค้นพบว่าของเสียที่ปล่อยออกมาจากอุตสาหกรรมทั้งหลายได้ขึ้นไปทำลายชั้นโอโซน แต่มาตอนนี้ท่านกลับเสนอให้ปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ถูกตราหน้าว่าเป็นมลพิษนี้ในบรรยากาศชั้นสตาร์โตสเฟียร์ เพื่อให้ก๊าซนี้สะท้อนแสงอาฑิตย์กลับเข้าไปในบรรยากาศ แล้วทำให้โลกเย็นลง การกระทำเช่นนี้เป็นการเลียนแบบการเกิดภูเขาไฟระเบิดนั่นเอง เพราะทุกครั้งที่มีการระเบิดของภูเขาไฟนั้น จะมีการปล่อยกลุ่มควัน เถ้าถ่าน และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ขึ้นสู่บรรยากาศชั้นบน ทำให้พื้นผิวโลกที่อยู่ใต้บริเวณนั้นเย็นลง ดังเช่น การระเบิดของภูเขาไฟปินาทูโบ (Pinatubo) ในประเทศฟิลิปปินส์เมื่อปี ค.ศ. 1991 นั้นได้ปลดปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ออกมาถึง 20 ล้านตัน ซึ่งมีผลให้อุณหภูมิของโลกลดลงถึง 0.5 องศาเซลเซียส ศาสตราจารย์พอลได้เสนอวิธีที่มีความเป็นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์โดยการปล่อยบอลลูนที่บรรจุก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ขึ้นไปปล่อยในชั้นบรรยากาศ หรืออาจบรรจุในถังแล้วยิงขึ้นไปด้วยปืนใหญ่ให้ไปแตกระเบิดออกในชั้นบรรยากาศ ท่านได้คำนวณจำนวนของก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ควรปล่อย ราคาของโครงการ รวมไปถึงรายละเอียดต่างๆ แนวความคิดอันสุดโต่งและล้ำลึกของท่านนี้ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก และมีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากพยายามทำวิจัยหาข้อมูลเพิ่มทั้งเพื่อยืนยันและหักล้างแนวคิดนี้ ศาสตราจารย์ครูทเซลได้กล่าวว่า หากโลกเราไม่มีความสามารถในการหยุดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ให้เร็วที่สุด นี่ก็อาจจะเป็นทางออกเดียวที่พอทำได้ที่จะหยุดโลกร้อน
ภาพบน - การระเบิดของภูเขาไฟปินาทูโบ (Pinatubo) ในประเทศฟิลิปปินส์เมื่อปี ค.ศ. 1991 นั้นได้ปลดปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ออกมาถึง 20 ล้านตัน ซึ่งมีผลให้อุณหภูมิของโลกลดลงถึง 0.5 องศาเซลเซียส

14 มิถุนายน 2551

Geoengineering - อภิมหาโปรเจคต์ เปลี่ยนฟ้าแปลงโลก (ตอนที่ 2)


วิศวกรรมดาวเคราะห์ หรือ Geoengineering กำลังจะกลายมาเป็นศาสตร์ที่จะเปลี่ยนแปลงโลก และการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใดๆ ที่กระทำโดยสิ่งมีชีวิตจะยิ่งใหญ่เท่านี้อีกแล้ว เพราะมันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงโลก เพื่อให้หลุดพ้นจาก Global Warming ลองจินตนาการถึงความยิ่งใหญ่ของโครงการนี้สิครับ ทะเลทรายที่มีแต่ทรายจะถูกเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้สามารถปลูกพืชได้ โดยการใช้พืชดัดแปรพันธุกรรม จะมีการปล่อยอนุภาคเหล็กลงไปในทะเลครั้งใหญ่ เพื่อช่วยให้พวกสาหร่ายและแพล็งตอนสามารถเจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้น และดูดกลืนคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดียิ่งขึ้น การปล่อยสารเคมีที่ช่วยรักษาชั้นโอโซน การปล่อยอนุภาคที่สะท้อนแสงอาฑิตย์ในชั้นบรรยากาศเพื่อลดแสงแดดที่ตกกระทบโลก การอัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากกระบวนการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอซซิล กลับลงไปใต้พื้นพิภพหรือพื้นทะเล ไปจนถึงการสร้างแผงเซลล์สุริยะ หรือ กระจกบานใหญ่ขนาดเป็นร้อยกิโลเมตร ในวงโคจรรอบโลกเพื่อลดแสงอาฑิตย์ที่ส่องเข้ามายังผิวโลก ซึ่งจะเห็นว่าหากต้องการเปลี่ยนฟ้าแปลงโลกให้ได้ผลจริงๆ จะต้องร่วมกันทำทั้งโลก และต้องทำหลายๆอย่างพร้อมๆ กันครับ อย่างไรก็ดีก็มีผู้ไม่เห็นด้วยกับ Geoengineering อยู่แน่นอนครับ กับประเด็นที่ว่า มนุษย์เรามีความรู้เกี่ยวกับความซับซ้อนและปฏิสัมพันธ์กันระหว่างระบบต่างๆที่มีขนาดใหญ่อย่างดาวเคราะห์เพียงพอแล้วหรือ แต่ผู้สนับสนุน Geoengineering ก็แย้งว่าการอยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไร ก็รังแต่จะรอวันสิ้นโลกเท่านั้น สู้เสี่ยงทำอะไรแบบมีสติก็น่าจะดีกว่า


วันหลังผมจะนำรายละเอียด ของวิธีการเปลี่ยนฟ้าแปลงโลก ที่มีการเสนอขึ้นมาเล่าให้ฟังครับ .......

11 มิถุนายน 2551

Geoengineering - อภิมหาโปรเจคต์ เปลี่ยนฟ้าแปลงโลก (ตอนที่ 1)


ไม่เป็นที่สงสัยกันอีกแล้วนะครับว่า Global Warming เกิดขึ้นจริงหรือไม่ คงเหลือคนจำนวนน้อยแล้วล่ะครับที่ยังไม่เชื่อเรื่องนี้ ซึ่งก็รวมไปถึงประธานาธิบดีบุชกับเจ้าของโรงไฟฟ้าถ่านหิน ข่าวร้ายก็คือว่าเราอาจจะไม่สามารถหยุดมันได้แล้วครับ หากยังทำอะไรกันแบบเล็กๆ ไม่เต็มที่ เช่น ลดการใช้น้ำมันหันไปใช้ Biofuel เพราะผ่านมา 10 ปีแล้วที่เรามี Kyoto Protocol แต่ปริมาณการปล่อย CO2 ก็ไม่ได้ลดลงเลย น้ำแข็งที่ขั้นโลกเหนือจะละลายจนไม่เหลือหลอในช่วงหน้าร้อนในอีกไม่เกิน 20 ปีข้างหน้า แต่เดี๋ยวก่อน ......ยังครับ .......ยังมีหวังที่จะหยุดโลกร้อน แต่เราต้องทำอะไรแบบใหญ่ๆ หนักๆ นั่นก็คือใช้การวิศวกรรมโลก หรือ Geoengineering หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Planetary Engineering ซึ่งหากเราคิดจะทำกันจริงๆ ก็จะกลายเป็นอภิมหาโปรเจคต์เปลี่ยนฟ้าแปลงโลก ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่กระทำโดยสิ่งมีชีวิต นับตั้งแต่มีโลกใบนี้ขึ้นมาเลยล่ะครับ


Geoengineering เป็นศาสตร์ในการนำเอาเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาปรับเปลี่ยนคุณสมบัติของดาวเคราะห์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อจะทำให้ดาวเคราะห์เหมาะที่สิ่งมีชีวิตจะอยู่ได้ ในอดีตแนวคิดของ Geoengineering เกิดขึ้นเพราะมนุษย์มีความใฝ่ฝันจะไปตั้งรกรากในอวกาศ เช่น ดาวอังคาร ซึ่งมีการเสนอวิธีการต่างๆมากมายครับ เพื่อเปลี่ยนสภาพของดาวอังคารให้สามารถอยู่ได้ เช่น การสร้างพื้นผิวต่าง (Terraforming) การสร้างทะเลสาบ การปรับเปลี่ยนบรรยากาศ ปรับอุณหภูมิของดาวเคราะห์ ซึ่งทำเพื่อให้เหมาะสำหรับสิ่งมีชีวิตอยู่อาศัย แล้วก็สร้างนิเวศน์ของสิ่งมีชีวิตขึ้นมา (Ecopoiesis) นาซ่าได้แอบดำเนินโครงการวิจัยลับๆ เกี่ยวกับการทำ Geoengineering เพื่อสร้างโลกใหม่บนดาวอังคาร ทำให้ดาวอังคารกลายเป็นโลกของสิ่งมีชีวิตให้ได้ ฟังดูเหมือนเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ใช่ไหมครับ .... แต่เดี๋ยวก่อนครับ .... ตอนนี้ดาวเคราะห์ที่อาจจะได้ทดสอบเทคโนโลยี Geoengineering นี้ไม่ใช่ดาวอังคารแล้วครับ แต่จะเป็นโลกใบนี้ที่เราอาศัยอยู่นี่เองครับ ..... เดิมพันคือการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ของเราเลยทีเดียว วันหลังผมจะมาเล่าต่อนะครับ ......

16 ธันวาคม 2550

รับสมัครนักศึกษา ป.โท ป. เอก เพื่อพัฒนา Smart Farm System


ประกาศ รับสมัคร นักศึกษาหลักสูตร Computational Science

ศูนย์นาโนศาสตร์ และ นาโนเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหิดล รับสมัคร นักศึกษา เข้าเรียนหลักสูตร Computational Science ระดับปริญญาโท และ ปริญญาเอก ผ่านระบบทางไกล โดยลงทะเบียนเรียน เพื่อรับปริญญาของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จ. นครศรีธรรมราช แต่ทำวิจัยและเรียนจริงที่ ศูนย์นาโนเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหิดล ถนนพระราม 6 เขตราชเทวี กรุงเทพฯ

ปริญญา:Master of Science (M.Sc.) and Doctor of Philosophy (Ph.D.) in Computational Science ออกโดย มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์

การเรียน การสอน: เรียนที่ ศูนย์นาโนเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหิดล ถนนพระราม 6 เขตราชเทวี ซึ่งเป็นหน่วยสนับสนุน (Satellite) ของหลักสูตรนี้ ดูรายละเอียดค่าเทอม และหลักสูตร

การทำวิทยานิพนธ์: ทำวิจัยที่ ศูนย์นาโนเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหิดล ถนนพระราม 6 เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ซึ่งจะมีการออกปฏิบัติการภาคสนาม ดอยแม่สลอง ดอยช้าง ดอยวาวี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ชุมพร สวนไวน์เขาใหญ่ มีการฝึกภาคธุรกิจกับบริษัท Start-Up Company ที่จัดตั้งจากงานวิจัย ได้แก่ บริษัท Nano-One และ บริษัท Crystal Research

หัวข้อวิทยานิพนธ์: ขณะนี้ เปิดรับนักศึกษาเพื่อทำวิทยานิพนธ์ ในการพัฒนา เทคโนโลยีเกษตรความแม่นยำสูง (Precision Farming) และ Nano Agriculture โดยมีหัวข้อวิจัย ได้แก่ (Download Brochure ...... version สิงหาคม 2007 )
  • Geomatics, GPS, Ambient Sensing, On-Site Delivery, Remote Sensing
  • พัฒนาเซ็นเซอร์เกษตร เซ็นเซอร์ตรวจสอบโมเลกุล
  • พัฒนา Electronic Nose, ซอฟท์แวร์ดูแลสวน ไร่นา ฟาร์มเกษตร
  • พัฒนา Environment Monitoring System
  • ระบบ IT สำหรับพืชมูลค่าสูง เช่น ชา กาแฟ ไวน์
  • Computer simulation เพื่อเข้าใจสภาวะอากาศ และปัจจัยล้อมรอบต่อผลผลิต
  • Microclimate and micro-environment monitoring and modeling
  • การนำไปใช้ในอุตสาหกรรม เกษตร สิ่งแวดล้อม ฟาร์ม และไร่นา
  • พัฒนาการบันเทิงรูปแบบใหม่ Innovative Entertainment, Ambient Intelligence (AmI)
  • การพัฒนาเทคโนโลยี Smart Farm, Smart Winery, Smart Environment

คุณสมบัติของนักศึกษา: จบการศึกษาระดับปริญญาตรี หรือ โท วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ ทุกสาขาวิชา เกษตรศาสตร์ อุตสาหกรรมเกษตร เทคโนโลยีการเกษตร สิ่งแวดล้อม

สนใจสมัครเข้าเรียน ติดต่อที่ ดร. ธีรเกียรติ์ เกิดเจริญ teerakiat@yahoo.com หรือ โทร 086-6037395

15 ตุลาคม 2550

Boutique Road - ถนนสายบูติค

ฟังชื่อบทความนี้แล้ว ท่านผู้ฟังอาจจะคิดว่า nanothailand กำลังจะพาท่านไปตะลุยแถวย่านสยามสแควร์ ป่าวครับ จริงๆ แล้วไม่ใช่เลยครับ Boutique Road ที่ nanothailand กำลังพูดถึงอยู่นี้ หมายถึงถนนที่ทำให้เกิดชีวิตสบายๆ ไม่สร้างภาระให้แก่เมือง เป็นถนนที่ทำความสะอาดตัวเองได้ ทำความสะอาดอากาศที่อยู่เหนือมันได้ อีกทั้งยังสร้างความสบายตาแก่บริเวณนั้น ไม่ใช่แค่เพียงพื้นถนนเท่านั้นที่มีความเป็นบูติค สิ่งประกอบอื่นๆที่อยู่กับมัน ไม่ว่าไฟจราจร ที่กั้นขอบทาง ป้ายสัญญาณต่างๆ ก็สามารถทำความสะอาดตัวเองได้ และคงความสวยงามได้ยาวนาน นักวิจัยได้พัฒนาพลาสติกที่สามารถนำไปเคลือบผิวป้ายจราจร และสัญญาณไฟ โดยพลาสติกเคลือบเหล่านั้นมีความขรุขระในระดับนาโน แบบเดียวกับใบบัวในธรรมชาติ ซึ่งเมื่อมีสิ่งสกปรกมาเกาะบนใบบัว มันจะไม่สามารถเกาะได้แน่น เมื่อมีฝนตกลงมา หยดน้ำจะไม่สามารถเกาะบนผิวใบบัวได้เพราะมันมีผิวที่ไม่ชอบน้ำ น้ำจึงมีสภาพเป็นก้อนกลมที่กลิ้งไปบนผิว และสามารถชำระอนุภาคของสิ่งสกปรกออกไปได้ สีที่ใช้ทาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆของถนน ไม่ว่าจะเป็นสะพาน ราวกั้นขอบทาง ก็มีส่วนผสมของอนุภาคนาโนไททาเนีย ที่มีความสามารถในการทำความสะอาดตัวเองได้เมื่อมีพลังงานแสง แอสฟัลต์ที่ใช้ปูพื้นถนนที่มีความสามารถในการทำความสะอาดตัวเองนี้ ได้มีการทดลองในหลายพื้นที่ของประเทศญี่ปุ่น และยุโรปแล้ว เสียดายจังครับที่เมืองไทยของเรา ยังไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้เลย ทั้งๆ ที่ในเมืองไทยเราก็มีคนที่สามารถเตรียมอนุภาคนาโนไททาเนียในปริมาณมากๆ ได้ nanothailand เคยไปเห็น ดร. เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ที่มหาวิทยาลัยมหิดล พาไปดูกระสอบอนุภาคไททาเนียเป็นกองๆ เลย น่าจะมีใครเอามาปูพื้นถนนสีลมสักช่วงหนึ่งก็ยังได้


ถนนสายบูติคนี่แหละครับ จะเป็นส่วนหนึ่งของ Boutique Economy ที่ nanothailand เคยพูดถึงก่อนหน้านี้ Boutique Economy ยังไม่มีคำแปลเป็นภาษาไทยครับ เพราะเป็นเรื่องใหม่ที่คนไทยอาจจะไม่คุ้นหูนัก เศรษฐกิจแบบบูติกเป็นพัฒนาการลำดับขั้นที่สูงขึ้นไปจาก Experience Economy ซึ่งสูงกว่า Knowledge-Based Economy, Industrial Economy และ Agriculture-Based Economy ตามลำดับ เศรษฐกิจแบบบูติกนี้ ผู้คนมีความเป็นอยู่แบบ มีความสุขกันทั่วหน้า อุตสาหกรรมไม่ปล่อยควันพิษและของเสียอีกต่อไป ถนนหนทาง บ้านเรือน ตึกรามอาคารต่างๆ ใช้วัสดุนาโนที่ทำความสะอาดตัวเองได้ การคมนาคมขนส่งใช้พลังงานสะอาด อาคารธุรกิจเป็นอาคารฉลาด มีระบบดูแลการใช้พลังงาน และบรรยากาศภายใน ฟังดูน่าอยู่ใช่ไหมครับ

(ภาพด้านบน - คลิ๊กที่ภาพให้ใหญ่ขึ้น - ถนนที่ทำความสะอาดตัวเองได้มีการทดลองแล้ว)

25 กันยายน 2550

เครือข่ายเซ็นเซอร์ สำหรับควบคุมการใช้น้ำในฟาร์มเกษตร


ไม่กี่วันก่อน nanothailand ได้เกริ่นเรื่อง Smart Farm กับนิยามของคำว่า เกษตรความแม่นยำสูง ไปนิดหน่อยแล้ว วันนี้จะมาเล่าในเทคโนโลยีบางตัวที่ Precision Farming นำมาใช้ เพื่อเก็บข้อมูลต่างๆของฟาร์ม อันจะนำไปสู่การตัดสินใจกระทำการหรือกิจกรรมต่อไป หากนาโนเทคโนโลยีทำให้เซ็นเซอร์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราได้ ก็เหมือนกับเรามีหูตาจมูกในทุกๆที่ และเป็นหูตาจมูกที่เก็บข้อมูลรายละเอียดทุกๆอย่างในทุกๆมุมของวิถีชีวิตเรา ซึ่งจะนำไปสู่การตัดสินใจหรือตอบสนองได้ทันเวลาในทุกๆเรื่อง ตัวอย่างที่ใกล้ตัวมากในอดีตนั้นข้อมูลน้ำในประเทศไทยไม่เคยมีใครรู้ว่าน้ำทั้งประเทศมีจำนวนเท่าไหร่ มีความต้องการใช้เท่าไหร่ ตัวเลขที่มีล้วนเป็นการประมาณทั้งสิ้น หากมีระบบเซ็นเซอร์แบบ Intelligent Grid เราจะมีตัวเลขทุกๆอย่างขึ้นมาทันที

จินตนาการถึงการติดตั้งเครือข่ายเซ็นเซอร์ซึ่งมีหน่วยประมวลผลขนาดจิ๋วในดิน และในเรือกสวนไร่นา เชื่อมโยงกันเป็นระบบ Intelligent Grid แบบไร้สาย โดยเม็ดเซ็นเซอร์เหล่านั้นจะบอกคอมพิวเตอร์ของเจ้าของสวนให้เริ่มสูบน้ำเข้าสวนหรือเริ่มฉีดน้ำเมื่อถึงจุดที่ความชื้นในดินลดลงมาก คอมพิวเตอร์กลางของแต่ละสวนจะรับข้อมูลจากคอมพิวเตอร์จิ๋วของเซ็นเซอร์และจะประมวลผลขั้นต้นก่อนที่จะส่งข้อมูลที่จำเป็นไปยังคอมพิวเตอร์ของกรมชล-ประทาน แล้วคอมพิวเตอร์กรมชลประทานจะคำนวณปริมาณน้ำที่จะปล่อย ทำให้ไม่ปล่อยน้ำมากเกินไปซึ่งอาจถูกระเหยโดยแสงแดดหมด หากน้ำที่ปล่อยออกมายังไม่พอ เพราะเซ็นเซอร์ตามเรือกสวนไร่นายังร้องขอน้ำอยู่ คอมพิวเตอร์ของชลประทานจะคำนวณข้อผิดพลาดในซอฟท์แวร์ว่ามีน้ำหายไปอย่างไร โดยเก็บข้อมูลอุณหภูมิและความเข้มแสงจากเครือข่ายเซ็นเซอร์ของสวนต่างๆตลอดแนวคลองส่งน้ำ เพื่อคำนวณว่าในฤดูกาลนี้ ซึ่งมีรูปแบบของอุณหภูมิแบบนี้ ความเข้มแสงแบบนี้ จะมีการระเหยของน้ำในอัตราเท่าใด ข้อมูลการปล่อยน้ำในแต่ละวันของแต่ละพื้นที่จะถูกส่งไปยังเขื่อนชลประทานที่คุมจำนวนน้ำทั้งหมด ข้อมูลของทุกเขื่อนถูกส่งไปยังศูนย์ข้อมูลของนายกรัฐมนตรี โดยข้อมูลความต้องการด้านชลประทานของทุกๆสวนและไร่นา บวกกับข้อมูล ของจำนวนน้ำที่มี บวกกับข้อมูลทางอุตุนิยมวิทยาของภูมิภาคทั้งหมดที่จะทำนายว่าจะมีน้ำเพิ่มอีกเท่าไหร่ ซอฟท์แวร์จะคำนวณภาวะวิกฤติเรื่องน้ำและจะส่ง SMS ไปยังมือถือของนายกรัฐมนตรีเพื่อทำการตรวจสอบและตัดสินใจสั่งการก่อนวิกฤติจะเกิดขึ้น ลองนึกถึงว่าหากระบบชลประทานของประเทศสามารถทำให้อยู่ในรูปของ reactive system ได้เช่นเดียวกับระบบจ่ายกระแสไฟฟ้าของประเทศ เทคโนโลยีนี้ก็สามารถส่งออกไปขายแก่ประเทศที่มีปัญหาการจัดการน้ำได้

(ภาพด้านบน - แสดงความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างน้ำกับสังคมเกษตรและอุตสาหกรรม หากมีเครือข่ายเซ็นเซอร์เราอาจควบคุมปริมาณน้ำดีกว่านี้ - click ไปที่รูปเพื่อขยายให้ใหญ่ขึ้น)

25 สิงหาคม 2550

Nanotechnology and Climate Change


งานประชุมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 33 ที่จะจัดขึ้นที่ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ระหว่างวันที่ 18-20 ตุลาคม 2550 นี้ได้ชูประเด็นเกี่ยวกับ Climate Change ให้เป็นเรื่องใหญ่ มีการนำนักวิชาการทั้งทางด้านธรณีวิทยา อุตุนิยมวิทยา นักสิ่งแวดล้อม นักสมุทรศาสตร์ มาร่วมเสวนา เพื่อยกประเด็นโลกร้อนให้เป็นเรื่องที่ประเทศไทยควรใส่ใจมากขึ้น น่าเสียดายที่หัวข้อของการอภิปรายนั้น ค่อนข้างเน้นไปที่เรื่องของการแสดงหลักฐานของภาวะโลกร้อน ซึ่งจริงๆ ก็เป็นที่ประจักษ์ชัด และ สังคมทั้งในระดับวิชาการ และ ภาคประชาชน ให้การยอมรับกันอย่างกว้างขวาง ประเด็นที่น่าเพิ่มเติมเข้ามาในรายการก็คือ เราจะแก้ไขภาวะโลกร้อนนี้อย่างไร หรือ จะปรับตัวอยู่กับมันอย่างไร ซึ่งเป็นประเด็นเชิงรุก ที่นักวิทยาศาสตร์ นักเทคโนโลยี หลากหลายสาขา รวมไปถึง ภาคธุรกิจ สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในปัญหานี้ ดังที่ Al Gore กล่าวไว้ว่า ภาวะโลกร้อนเป็นบททดสอบจริยธรรมของมนุษยชาติ

ในระยะหลังๆ นี้มีการพูดถึงความหวังในการนำนาโนเทคโนโลยี มาช่วยเรื่อง Climate Change กันมาก ในที่ประชุม สัมมนาในต่างประเทศ รวมไปถึงสื่อมวลชน กระทรวงสิ่งแวดล้อมของสหราชอาณาจักร ได้จัดทำรายงานที่มีชื่อว่า Environmentally beneficial nanotechnologies: barriers and opportunities ซึ่งพูดถึงเทคโนโลยี Fuel Cell, Solar Cell, Batteries ที่จะช่วยบรรเทาการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ นั่นเป็นเรื่องของการพยายามแก้ไข และ ลดภาวะโลกร้อน อีกเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นการปรับตัวให้อยู่กับโลกที่ร้อนนั้น รายงานนี้ไม่ได้พูดถึง ภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ฟ้าฝน ดินน้ำ ย่อมได้รับผลกระทบ การเกษตรที่เคยใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านจะใช้ไม่ได้อีกต่อไป เรื่องของเซ็นเซอร์ และ เครือข่ายการรับรู้ต่างๆ จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น เซ็นเซอร์จะมีความจำเป็นทั้งในไร่ นา เพื่อคำนวณการให้ปุ๋ยและน้ำที่สอดคล้องกับอากาศที่เปลี่ยนแปลง เซ็นเซอร์ในเมือง ในอาคารสำนักงาน ควบคุมการใช้พลังงาน คุณภาพอากาศ เซ็นเซอร์บนถนนและทางหลวง ช่วยให้การใช้ทางหลวงมีประสิทธิภาพ เครือข่ายอัจฉริยะเหล่านี้จะเริ่มแสดงบทบาทของมัน อีกไม่กี่ปีจากนี้

(ภาพขวามือ - ภูเขาน้ำแข็งที่เราเห็นลูกใหญ่ๆ นั้น มีส่วนฐานขนาดมหึมาที่ใหญ่กว่าเกือบสิบเท่า ซ่อนอยู่ใต้น้ำ หากธารน้ำแข็งที่เดิมอยู่บนพื้นดิน ไหลลงไปลอยเท้งเต้งในทะเล มันสามารถเพิ่มระดับความสูงของน้ำทะเลได้มากกว่า น้ำที่เกิดจากการละลายของมันเสียอีก)