วิเคราะห์สถานภาพทางด้านนาโนศาสตร์ และ นาโนเทคโนโลยี ของประเทศไทย เปรียบเทียบกับ ประเทศคู่แข่ง เพื่อช่วยผลักดันให้ประเทศไทย เป็น Nano Valley of ASEAN
16 สิงหาคม 2556
PhyCS 2014 - International Conference on Physiological Computing Systems
กระแสความร้อนแรงของ Google Glass และ Smart Watch ที่กำลังเกิดขึ้นในโลกของคอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์ นับเป็นตัวจุดพลุ ที่จะทำให้ตลาดของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบสวมใส่ได้ (Wearable Electronics) เติบโตในอนาคตอีกไม่นานจากนี้ครับ เมื่อรวมกับแนวโน้มของประชากรสูงวัยที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้อุปกรณ์สำหรับช่วยเหลือในการดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง (Pervasive Healthcare) น่าจะได้รับความนิยมมากขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งทำให้นักเทคโนโลยีหลายๆ กลุ่มในโลก เร่งมือในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เรียกว่า Physiological Computing Systems หรือ ระบบตรวจวัดทางสรีรวิทยา ซึ่งเป็นเทคโนโลยีในการเฝ้าดู และตรวจวัด พารามิเตอร์ทางสุขภาพของมนุษย์ ซึ่งในที่นี้ก็มักจะต้องเป็นอุปกรณ์ที่สวมใส่ได้ เพื่อที่จะสามารถเก็บข้อมูลความเป็นไปของร่างกายผู้สวมใส่ได้ตลอดเวลา
การประชุมประจำปีที่มีชื่อว่า International Conference on Physiological Computing Systems จึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยน เรียนรู้ระหว่างวิศวกร นักคอมพิวเตอร์ศาสตร์ แพทย์ และ บุคลากรทางสาธารณสุข ที่มีความสนใจในการพัฒนาระบบตรวจวัดทางสรีรวิทยา โดยการประชุม PhyCS 2014 นี้จะจัดขึ้นที่กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส ระหว่างวันที่ 7-9 มกราคม 2557 โดยมีกำหนดส่งผลงานบทความฉบับเต็มในวันที่ 15 กันยายน 2556
หัวข้อที่เป็นที่สนใจของการประชุมก็ได้แก่
AREA 1: DEVICES
Biomedical Devices for Computer Interaction
Haptic Devices
Brain-Computer Interfaces
Health Monitoring Devices
Physiology-driven Robotics
Wearable Sensors and Systems
Cybernetics and User Interface Technologies
AREA 2: METHODOLOGIES AND METHODS
Biosignal Acquisition, Analysis and Processing
Pattern Recognition
Neural Networks
Processing of Multimodal Input
Observation, Modeling and Prediction of User Behavior
Computer Graphics and Visualization of Physiological Data
Video and Image Analysis for Physiological Computing
Motion and Tracking
AREA 3: HUMAN FACTORS
User Experience
Usability
Adaptive Interfaces
Human Factors in Physiological Computing
Learning and Adaptive Control of Action Patterns
Speech and Voice Data Processing
AREA 4: APPLICATIONS
Physiology-driven Computer Interaction
Biofeedback Technologies
Affective Computing
Pervasive Technologies
Augmentative Communication
Assistive Technologies
Interactive Physiological Systems
Physiological Computing in Mobile Devices
20 เมษายน 2556
Body Electronics - อิเล็กทรอนิกส์บนผิวกายมนุษย์ (ตอนที่ 6)
(Picture from http://engtechmag.wordpress.com/2011/08/24/electronic-skin-to-monitor-heart-rate-an-annotated-graphic/)
นับตั้งแต่มีการค้นพบอิเล็กตรอนในปี ค.ศ. 1897 โดย เจ เจ ทอมป์สัน มนุษย์เราก็แสวงหาวิธีการนำเอาอิเล็กตรอนมาใช้ประโยชน์ ซึ่งการใช้ประโยชน์อยู่ใน 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือ ไฟฟ้า และ อิเล็กทรอนิกส์ เราใช้ไฟฟ้าในแง่ของพลังงานไฟฟ้า ที่หล่อเลี้ยงสังคมเมืองในเกือบทุกๆ อย่าง ออฟฟิศ บ้าน ห้างสรรพสินค้า ไฟส่องถนน แม้แต่รถยนต์ในอนาคตก็จะใช้พลังงานไฟฟ้าแทนที่น้ำมัน ส่วนในเรื่องของอิเล็กทรอนิกส์นั้น เป็นเรื่องของความสะดวกสบายเหนือขึ้นมาอีก อิเล็กทรอนิกส์ใช้อิเล็กตรอนทำงานในการประมวลผลเชิงตรรกะ และมันเป็นพื้นฐานของอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ โทรทัศน์ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น พัดลม เรียกว่าเรากำลังอาศัยอยู่ในยุคของปัญญาที่มีพื้นฐานบนการทำงานของอิเล็กตรอน
อิเล็กทรอนิกส์ในยุคปัจจุบันนั้น ทำงานโดยอาศัยวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้วัสดุประเภทที่เรียกว่าวัสดุอนินทรีย์ เช่น ซิลิกอน ทองแดง อลูมิเนียม เป็นต้น แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ได้เกิดแนวคิดของวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้วัสดุอินทรีย์ เช่น พอลิเมอร์นำไฟฟ้า ท่อนาโนคาร์บอน กราฟีน เป็นต้น ซึ่งอิเล็กทรอนิกส์แบบหลังนี้ มักจะเรียกกันว่า อิเล็กทรอนิกส์แบบอ่อน (Soft Electronics) เพราะอิเล็กทรอนิกส์แบบนี้ สามารถที่จะทำวงจรให้มีความยืดหยุ่น (Flexible Electronics) ซึ่งต่างจากอิเล็กทรอนิกส์แบบเก่า ที่มักจะอยู่บนแผ่นวงจรที่แข็งและแตกหักได้ อิเล็กทรอนิกส์แบบอ่อนนี้ยังมีข้อดีที่สามารถผลิตด้วยกรรมวิธีใหม่ๆ เช่น สามารถพิมพ์ลายวงจรด้วยเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ต (Printable Electronics) หรือกระบวนการพิมพ์อื่นๆ แบบเดียวกับที่ใช้ผลิตหนังสือ และ นิตยสาร ซึ่งทำให้อิเล็กทรอนิกส์แบบนี้เป็นทางเลือกใหม่ สำหรับงานประยุกต์ใหม่ๆ ในอนาคต
อิเล็กทรอนิกส์แบบอ่อนนี้เอง ที่กำลังกลายมาเป็นกระแสใหม่ที่กำลังร้อนแรงในวงการอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งก่อให้เกิดการต่อยอดไปสู่อิเล็กทรอนิกส์แบบใหม่อื่นๆ อีกมากมาย เช่น อิเล็กทรอนิกส์แบบสวมใส่ได้ (Wearable Electronics) อิเล็กทรอนิกส์บนผิวหนัง (Epidermal Electronics) อิเล็กทรอนิกส์แบบฝังในร่างกาย (Implantable Electronics) ซึ่งจะเห็นได้ว่าอิเล็กทรอนิกส์ทั้ง 3 แบบนี้ ได้เขยิบเข้ามาใกล้ชิดกับร่างกายมนุษย์มากขึ้นตามลำดับ กล่าวคือ Wearable Electronics นั้น เข้ามาแนบใกล้ร่างกายแบบไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่ก็ยังอยู่นอกร่างกาย ส่วน Epidermal Electronics นั้น เป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่แนบไปกับผิวหนังของเราเลย เรียกว่าใกล้กว่า Wearable Electronics เข้ามาอีก ส่วน Implantable Electronics นั้นเข้าไปอยู่ในร่างกายของคนเรากันเลยครับ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า แนวโน้มของมนุษย์เราจะค่อยๆ หลอมรวมกับจักรกลมากขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งพวกเราพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีมากขึ้นเท่าไหร่ เราจะยิ่งรู้สึกว่าที่พระเจ้าให้มานั้นมันไม่เพียงพอแล้ว ต้องใส่นู่นใส่นี่เพิ่มเข้าไป อย่างที่ผมมักจะพูดประจำว่าเรื่องของ Man-Machine Integration หรือการบูรณาการระหว่างมนุษย์กับจักรกลมันเป็นแนวโน้มของศตวรรษที่ 21 ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจะเริ่มเห็นมนุษย์กึ่งจักรกล (Bionics) หรือจักรกลกึ่งมนุษย์ (Biomimics) มากขึ้นเรื่อยๆ ครับ
ครั้งหน้าผมจะมาพูดถึง Epidermal Electronics หรือวงจรอิเล็กทรอนิกส์บนผิวหนังนะครับ
09 กันยายน 2555
Body Electronics - อิเล็กทรอนิกส์บนผิวกายมนุษย์ (ตอนที่ 5)
วิวัฒนาการของเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมานี้ได้ก้าวหน้าไปมาก ตอนผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เครื่องคอมพิวเตอร์ที่จุฬาฯ มีขนาดใหญ่กว่าห้องนั่งเล่นที่บ้านอีกครับ พอผมขึ้นปี 2 เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (Desktop Computer) ก็ออกมา ราคาประมาณ 200,000 บาท พอผมจบปริญญาเอก มาใช้คอมพิวเตอร์แบบ Laptop เครื่องแรกในชีวิตราคาเป็นแสน แล้วเครื่องคอมพิวเตอร์ก็วิวัฒนาการมาเป็น notebook มาเป็น netbook มาเป็น Tablet เมื่อก่อนนี้ การจะได้เป็นเจ้าของคอมพิวเตอร์สักเครื่องเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่ปัจจุบันในบ้านผมเอง มีเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดต่างๆ มากกว่า 10 เครื่อง ไม่นับสมาร์ทโฟน ซึ่งหากจะถือว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แบบหนึ่งก็ย่อมได้
แนวโน้มสำคัญอันหนึ่งของอิเล็กทรอนิกส์ก็คือ มันพยายามจะติดตามเราไปทุกที่ เครื่องคอมพิวเตอร์ Desktop มันตามเราไปไหนมาไหนไม่ได้ ก็เลยต้องมีเครื่อง Laptop ซึ่งในภายหลัง มันก็มารู้ตัวว่ามันใหญ่เกินไปที่จะตามเราไปไหนมาไหนได้สะดวก มันจึงต้องออกลูกมาเป็นเครื่อง notebook ซึ่งตามเราไปไหนสะดวกขึ้นหน่อย โดยมันก็พัฒนามาเป็นเวอร์ชันที่เบามากขึ้นไปอีกในชื่อว่า netbook แต่ในภายหลัง มันก็เพิ่งรู้ตัวว่ามันยังมีขนาดใหญ่เกินไปที่จะติดตามเราไปนั่งชิล ๆ ตามร้านกาแฟ บรรยากาศดีๆ มันก็เลยถูกแทนที่ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์แบบ Tablet
แต่อีกไม่นานหรอกครับ หลังจากเด็ก ป.1 ได้มีโอกาสใช้ Table กันหมดแล้ว พวกเราจะเริ่มรู้สึกว่า Tablet ก็ยังเป็นอะไรที่เทอะทะ พกไปพกมาไม่สะดวก ดังนั้นก้าวต่อไปของคอมพิวเตอร์จะเข้าสู่ยุคคอมพิวเตอร์ที่สวมใส่ได้ (Wearable Computer) ซึ่งจะทำให้เรามีพลังในการประมวลผลแบบเคลื่อนที่ ที่คล่องตัวและสะดวกสบายขึ้นไปอีก สิ่งที่เราสวมใส่ในอนาคตไม่ว่าจะเป็นแว่นตา รองเท้า เสื้อผ้า จะมีคอมพิวเตอร์ฝังตัวอยู่
ท่านผู้อ่านอาจจะเคยได้ยินเรื่องที่กูเกิ้ลกำลังจะทำแว่นตาที่มีจอแสดงผลอยู่บนแว่น ซึ่งเมื่อเราสวมใส่แว่นตานี้แล้ว จะทำให้เสมือนเรามีจอคอมพิวเตอร์อยู่ตรงหน้า โครงการนี้มีชื่อว่า Google Glass ซึ่งได้ยินมาว่ากูเกิ้ลจะปล่อยแว่นตาแสดงผลนี้ออกมาให้นักพัฒนา App ได้เล่นกันประมาณต้นปี แล้วหลังจากนั้นก็จะปล่อยออกมาให้ผู้บริโภคทั่วไปได้ซื้อมาใช้ ด้วยสนนราคาประมาณพอๆ กับสมาร์ทโฟนหล่ะครับ เจ้า Google Glass นี้จะทำให้เรามีคอมพิวเตอร์พกพาอยู่ที่แว่นของเราเลย เบื้องต้นที่ผมทราบคือ เราจะควบคุมการทำงานของแว่นตาซึ่งรันอยู่บนระบบปฏิบัติการ android ผ่านทางเสียง และสมาร์ทโฟน แต่ผมเชื่อว่า ในอนาคตเราสามารถควบคุมแว่นตาโดยการใช้ท่าทางของดวงตา (Eye Gesture) เช่น การกรอกลูกตาไปมา การหยีตา หลี่ตา ทำตาซึ้ง ทำตาดุ กระพริบตา โดยแว่นจะต้องจดจำท่าทางเหล่านั้น แล้วแปลความหมายเป็นคำสั่ง เช่น สั่งให้ถ่ายวีดิโอ สั่งให้เปิด App สั่งให้ค้นหาข้อมูลต่างๆ เป็นต้น
และเมื่อใดก็ตาม ที่เรารู้สึกว่าการสวมใส่คอมพิวเตอร์นั้นยังไม่สะดวกพอ ยุคต่อไปเราก็คงจะต้องการให้คอมพิวเตอร์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเรา เพื่อที่เราจะได้ไปไหนมาไหนกับมันได้ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้เวลาอาบน้ำ .....
** โครงการ Wearable Intelligence มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับการสนับสนุนจาก ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่ง ชาติ **
16 มิถุนายน 2555
Bionic Insect - แมลงชีวกล (ตอนที่ 11)
วันนี้ขอกลับมาเขียนบทความเกี่ยวกับแมลงสักหน่อยนะครับ เนื่องจากช่วงนี้ที่ห้องแล็ปมีการทำการทดลองเกี่ยวกับแมลงพอดี ช่วงนี้ก็เลยกลับมาอินเรื่องนี้สักนิดนึง
ในระยะหลังๆ นี้แมลงเป็นที่สนใจในทางวิศวกรรมศาสตร์มากครับ หน่วยงานให้ทุนวิจัยด้านกลาโหมของสหรัฐอเมริกาที่รู้จักกันในชื่อว่า DARPA ได้อัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมากเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี ในการบังคับให้เจ้าแมลงมาทำงานเป็นทหารให้กองทัพสหรัฐฯ ในบทความก่อนหน้านี้ ผมได้ทยอยนำรายละเอียดเกี่ยวกับงานวิจัยของมหาวิทยาลัยหลายๆ แห่งที่ได้รับทุน มาเล่าสู่กันฟังไปพอสมควรแล้ว วันนี้ขอมาเล่าเกี่ยวกับประโยชน์ในการศึกษาวิธีการบินของแมลงกันหน่อยนะครับ เพราะความรู้ที่ได้จากการศึกษาว่าแมลงทำการบินอย่างไรนี้ จะมีประโยชน์มากมาย ทั้งในเรื่องของการสร้างหุ่นยนต์บินได้ หรือ อากาศยานอื่นๆ รวมไปถึง แม้แต่รถยนต์อัจฉริยะที่ขับเคลื่อนได้เอง เป็นต้น
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา มีรายงานวิจัยในวารสาร Proceeding of the National Academy of Science (Andrew K. Dickerson, Peter G. Shankles, Nihar M. Madhavan, and David L. Hu, Mosquitoes survive raindrop collisions by virtue of their low mass, Proceeding of the National Academy of Science, doi:10.1073/pnas.1205446109) ซึ่งได้ไขข้อข้องใจที่มีมานานแล้ว เกี่ยวกับคำถามที่ว่า ทำไมยุงและแมลงบางชนิดสามารถบินลุยฝนได้โดยไม่เป็นอะไร ตัวผมเองก็เคยเอาน้ำจากฝักบัวสาดไปที่ยุง และที่น่าแปลกใจคือ หลายต่อหลายครั้ง ที่เจ้ายุงสามารถบินออกมาโดยไม่เป็นอะไรเลย อะไรทำให้มันคงกระพันชาตรี ทั้งๆ ที่น้ำฝนที่ตกลงมามีขนาดของมวลหนักกว่ามันถึง 50 เท่า และมีความเร็วกว่า 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ก็จะเหมือนการที่คนเราเดินฝ่ารถปิกอัพขนาด 3 ตันที่ตกลงมาจากท้องฟ้า นั่นเลยครับ
นักวิทยาศาสตร์พบว่า การที่ยุงมีน้ำหนักเบาแต่กลับมีกระดองที่แข็งแรง (exoskeleton หรือเปลือกที่ห่อหุ้มร่างกายของแมลง) จะทำให้มันสามารถทนทานต่อเม็ดฝนได้ เมื่อฝนตกลงมาใส่ตัวมัน มันจะผ่อนตัวลงไปกับเม็ดฝน ทำให้พลังงานจลน์ของเม็ดฝนไม่ได้ถ่ายทอดไปสู่ตัวมัน จึงไม่เกิดการกระแทกที่ทำให้บาดเจ็บ จากนั้นในช่วงเวลาที่มันกำลังร่วงลงมากับเม็ดฝน มันจะค่อยๆ ผลักตัวเองบินออกมาจากเม็ดฝนให้ได้ อันตรายอย่างเดียวของมันก็คือ หากมันบินต่ำเกินไปแล้วถูกเม็ดฝน มันอาจจะบินออกมาไม่ทันหากเม็ดฝนพามันตกกระทบพื้น จากความรู้ที่ได้นี้ นักวิทยาศาสตร์สามารถที่จะนำไปออกแบบอากาศยานขนาดจิ๋ว หรือ MAV ได้ (Micro-aerial Vehicle) ซึ่งปัจจุบัน หัวข้อวิจัยนี้กำลังเป็นที่นิยมกันทั่วโลก
นอกจากนั้นยังมีนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยเดร็กเซล (Drexel University) ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (Natinal Science Foundation หรือ NSF)ได้ศึกษาหลักอากาศพลศาสตร์ (aerodynamics) หรือการไหลของอากาศผ่านปีกของแมลงเต่าทอง เพื่อทำให้แมลงสามารถยกตัวขึ้นได้ ซึ่งความรู้ที่ได้นี้จะช่วยในการสร้างอากาศยานในอนาคตที่สามารถลอยขึ้นและลงจอดได้แบบแมลง
แมลงเป็นสัตว์ที่มีวิวัฒนาการการบินที่น่าทึ่ง ครั้งหน้าที่คุณเห็นมันบินผ่านมา อย่าลืมลองสังเกตมันด้วยนะครับ แล้วคุณอาจจะค้นพบบางสิ่งที่คุณไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับมันก็ได้ .....
15 มีนาคม 2555
Bionic Insect - แมลงชีวกล (ตอนที่ 10)

ผมเขียนบทความเรื่องแมลงชีวกล ตอนแรก ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2009 และผมก็ทยอยเล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเรื่อยๆ จากที่ได้ติดตามดูความคืบหน้ามาเป็นระยะเวลา 3 ปีนั้น ได้มีความก้าวหน้าในเรื่องนี้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากครับ หลายมหาวิทยาลัยสามารถที่จะควบคุมการบินของแมลง โดยการฝังวงจรอิเล็กทรอนิกส์เข้าไปในสมองแมลงแล้ว รวมทั้งยังมีความก้าวหน้าในด้านต่างๆ ซึ่งผมจะนำมาเล่าเพิ่มเติมให้ฟังในวันนี้
โครงการวิจัยแมลงชีวกลนี้ เกิดจากแนวคิดของ DARPA (หน่วยงานให้ทุนวิจัยของเพนทากอน) ที่ต้องการจะนำแมลงมาใช้เป็นอุปกรณ์เพื่อการทหาร โดยการฝังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เข้าไปที่ตัวแมลง แล้วทำให้แมลงทำงานแบบที่สั่งได้ เป็นชีวิตกึ่งจักรกล DARPA ต้องการเอาแมลงชีวกลนี้ไปใช้เพื่อ
(1) การลาดตระเวณในเมือง เพื่อสืบราชการลับและเก็บข้อมูล โดยแมลงอาจติดตั้งกล้องขนาดจิ๋ว ไมโครโฟน แล้วส่งเข้าไปหาข่าว บันทึกภาพและการสนทนาของเป้าหมาย และเก็บข้อมูลสภาพแวดล้อมโดยสามารถเล็ดลอดเข้าไปในเคหสถานของเป้าหมายได้ง่าย
(2) แทรกซึมเข้าไปในฐานที่ตั้งของข้าศึก โดยหน่วยรบพิเศษสามารถปล่อยฝูงแมลงชีวกลนี้เข้าไปในฐานที่มั่นของข้าศึก เพื่อสืบทราบตำแหน่งยุทโธปกรณ์หลัก การวางกำลังของข้าศึก และเก็บข้อมูลอื่นๆ
(3) ตามหาเป้าหมายที่ต้องการ เช่น การหาตำแหน่งที่แน่นอนของพลซุ่มยิงฝ่ายศัตรู หาตำแหน่งของหัวหน้าผู้ก่อการร้าย หรือ เก็บภาพจุดที่จะเข้าจู่โจม โดยเฉพาะสงครามในสภาพที่เป็นเมือง
(4) ใช้บรรทุกสัมภาระซึ่งอาจเป็นอุปกรณ์ หรือ สารเคมี หรือ สารชีวภาพ เพื่อภารกิจบางอย่าง
(5) ใช้ไปเก็บตัวอย่างในพื้นที่เสี่ยง เช่น ตัวอย่างดิน ตัวอย่างน้ำ
โดยงานวิจัยด้านแมลงชีวกลนี้ เท่าที่ผู้อ่านได้สำรวจเปเปอร์ต่างๆ พบว่าไม่มีประเทศไหนในโลก นอกจากสหรัฐอเมริกาที่ทำวิจัยในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะอันที่จริง ความก้าวหน้าในการวิจัยเรื่องนี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้ได้เทคโนโลยีแมลงกึ่งจักรกลแล้ว องค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาแมลงยังสามารถต่อยอดไปยังศาสตร์อื่นๆ ได้อีกหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นอากาศยาน หุ่นยนต์ศาสตร์ ประสาทวิทยา หรือแม้กระทั่งการรักษาโรคสมอง หลายคนคิดว่าแมลงเป็นสัตว์ที่กระจอก ดูง่ายไม่ซับซ้อน และคงคิดว่าถ้าเรารู้จักแมลงดีแล้ว คงจะต่อยอดสูงขึ้นไปเพื่อทำอะไรกับสัตว์ใหญ่ๆ แต่แท้จริงแล้ว แมลงมีความซับซ้อนไม่แพ้สัตว์ใหญ่เลย แถมแมลงหลายชนิดยังมีพฤติกรรมแบบฝูงที่ซับซ้อน และฉลาดอีกต่างหากด้วย
ความที่แมลงเป็นสัตว์เล็ก ทำให้การจะนำอุปกรณ์จิ๋วไปติดไว้กับแมลง ก็จะมีปัญหาเรื่องพลังงานที่จะใช้สำหรับอุปกรณ์นั้น เราต้องการเทคโนโลยีแบตเตอรีขนาดจิ๋ว ที่มีความจุสูงแต่น้ำหนักเบา นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยเคส เวสเทอร์น รีเสริฟ (Case Western Reserve University) ได้ศึกษาวิธีการนำพลังงานในตัวแมลงมาใช้ เพราะเมื่อแมลงกินอาหารเข้าไป มันก็จะย่อยให้ได้น้ำตาล ซึ่งเป็นสารให้พลังงานในการดำรงชีพของมัน ดังนั้นการนำเอาสารพลังงานของมันมาใช้จึงนับเป็นแนวคิดที่ฉลาดมากๆ ครับ จากผลงานวิจัยที่เปิดเผยในวารสาร Journal of the American Chemical Society (รายละเอียดเต็มเพื่อการอ้างอิงคือ Michelle Rasmussen, Roy E. Ritzmann, Irene Lee, Alan J. Pollack and Daniel Scherson, "An Implantable Biofuel Cell for a Live Insect", Journal of the American Chemical Society 2012, 134(3), pp 1458-1460) นักวิจัยได้ทำการสอดขั้วไฟฟ้าเข้าไปตัวของแมลงสาบ ซึ่งสามารถวัดกระแสไฟฟ้าที่ไหลออกมาได้ประมาณ 60 ไมโครแอมป์ต่อตารางเซ็นติเมตร โดยมีความต่างศักย์ 0.2 โวลต์ กระแสปริมาณนี้ถึงแม้จะไม่มาก แต่ก็เพียงพอสำหรับการป้อนให้แก่อุปกรณ์ขนาดจิ๋ว ซึ่งอาจพัฒนาขึ้นได้ในอนาคต โดยอาจจะประจุกระแสไฟฟ้าดังกล่าวเข้าเก็บไว้ในแบตเตอรีขนาดจิ๋วตลอดเวลา แล้วค่อยนำออกมาใช้ในเวลาที่ต้องการ ซึ่งการเสียบขั้วไฟฟ้าเพื่อไปดักจับอิเล็กตรอนจากตัวของแมลงสาบเพื่อนำออกมาใช้นี้ แมลงสาบก็ไม่ได้เจ็บและรำคาญแต่อย่างใดครับ เพราะระบบไหลเวียนเลือดของมันนั้น ไม่เหมือนกับมนุษย์เรา มันไม่ได้เป็นเส้นเลือดแบบของเรา แต่เป็นช่องเปิดที่มีของเหลวไหลผ่านได้ง่าย
เล่าต่อในตอนหน้านะครับ ....
24 ตุลาคม 2553
Augmented Human 2011

บ่อยครั้งเวลาผมได้ยินใครๆ พูดถึงคนพิการ ผมก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่า โลกเรานี้หนอ ทำไมจึงแบ่งมนุษย์ออกเป็น 2 จำพวก คือ คนปกติ กับ คนพิการ โดยกลุ่มคนประเภทหลังนี้มีสมรรถภาพทางร่างกาย (และในบางครั้ง ก็หมายรวมสมรรถภาพทางใจ หรือทางความคิดด้วย) ด้อยกว่าคนทั่วไป เอ้า .. คราวนี้ ถ้าเราลองมาคิดเล่นๆ ดูนะครับว่า สมมติว่าในอนาคต เรามีเทคโนโลยีที่จะทำให้มนุษย์ธรรมดา มีสมรรถภาพทางร่างกาย (หรืออาจจะทางใจด้วย) สูงขึ้นเกินกว่ามนุษย์สามัญได้ และเทคโนโลยีเหล่านี้ก็เข้าถึงได้เฉพาะคนบางกลุ่มเท่านั้น ... ทีนี้ต่อไป เราจะไม่แบ่งมนุษย์ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ ผู้พิการ คนธรรมดา และคนเหนือธรรมดา กันหรอกหรือ ?
ที่สำคัญ เหตุการณ์ที่ผมยกขึ้นมาเล่นๆนี้ มันมีโอกาสเกิดขึ้นจริงๆ เสียด้วย เพราะในช่วงไม่กี่ปีมานี้ หัวข้อวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มสมรรถภาพของมนุษย์ กำลังเป็นที่สนใจกันอย่างมาก มีการประชุมทางวิชาการที่เกี่ยวข้องมากมายเกิดขึ้นทั่วโลกครับ และการประชุมที่ผมจะนำมาแนะนำกันในวันนี้ ถือว่าเป็นการประชุมระดับครีมของคนที่ทำวิจัยทางด้านนี้เลยครับ
การประชุมที่มีชื่อว่า Augmented Human 2011 นี้จะจัดขึ้นที่กรุงโตเกียว ระหว่างวันที่ 12-14 มีนาคม 2554 สถานที่ที่ใช้จัดประชุมนี้มีความน่าสนใจมากครับ เพราะอยู่ในย่านที่มีชื่อว่า โอไดบะ (Odaiba) ซึ่งเป็นเกาะที่มนุษย์สร้างขึ้น ย่านนี้มีสิ่งน่าสนใจมากมายเลยครับ ทั้งแหล่งช้อปปิ้ง แหล่งบันเทิงเริงใจ พิพิธภัณฑ์ และหอประชุมที่ใหญ่โตโอฬารมาก ที่สำคัญมันเป็น 1 ใน 2 ย่านของกรุงโตเกียวที่ติดกับทะเลครับ จึงได้บรรยากาศของเกาะฮ่องกงและสิงคโปร์แถมมาอีกด้วย
กำหนดส่งผลงาน (เปเปอร์เต็ม) คือวันที่ 23 ธันวาคม 2553 ครับ หัวข้อที่เป็นที่สนใจของการประชุมนี้ ได้แก่
- Augmented and Mixed Reality
- Internet of Things
- Augmented Sport
- Sensors and Hardware
- Wearable Computing
- Augmented Health
- Augmented Well-being
- Smart Artifacts & Smart Textiles
- Augmented Tourism and Games
- Ubiquitous Computing
- Bionics and Biomechanics
- Training/Rehabilitation Technology,
- Exoskeletons
- Brain Computer Interface
- Augmented Context-Awareness
- Augmented Fashion
- Safety, Ethics and Legal Aspects
- Security and Privacy Aspects
น่าสนใจกันขนาดนี้ ทั้งสถานที่จัดประชุม และหัวข้อที่เสนอในการประชุม งานนี้คงต้องไปให้ได้ครับ ...
01 ตุลาคม 2553
ยุคแห่ง Supersoldier มาถึงแล้ว (ตอนที่ 4)

ภายหลังจากสมเด็จพระนารายณ์ทรงทำการรัฐประหาร ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินจากพระเจ้าอา และปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แล้ว ได้ทรงเกรงว่า การบริหารราชการแผ่นดินในกรุงศรีอยุธยา อาจไม่ปลอดภัยนัก เพราะยังมีเหล่าอำมาตย์ขุนนางที่ยังมีใจจงรักภักดีกับราชนิกูลอื่น อาจคิดคดเป็นกบฎชิงราชบัลลังค์จากพระองค์ได้ จึงทรงโปรดให้มีการสร้างราชธานีแห่งที่สองขึ้นที่ลพบุรี และทรงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่นั่น ตลอดรัชสมัยของพระองค์ได้ทรงวางใจในการใช้ทหารรับจ้างชาวต่างชาติ ให้เป็นทหารราชองครักษ์ ดูแลรักษาพระองค์และพระราชวัง ด้วยทหารรับจ้างเหล่านั้นมีการจัดกำลังรบ ที่เข้มแข็งและมีระเบียบวินัยสูง อีกทั้งยังมีการฝึกฝนและเชี่ยวชาญในการสู้รบด้วยปืนไฟ ทำให้เป็นที่เกรงขาม แม้ทหารรักษาพระองค์ชาวต่างชาติเหล่านี้ จะมีกำลังเพียง 500 คนเท่านั้น แต่ supersoldier เหล่านี้เอง ที่ได้ช่วยรักษาราชบัลลังค์ของพระองค์ให้ยาวนานได้ถึง 32 ปี มากที่สุดของพระมหากษัตริย์ไทยในราชอาณาจักรอยุธยาตอนปลาย
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านอาวุธที่มีชื่อว่า Raytheon ได้เปิดตัวชุดกระดองสวมใส่ (Exoskeleton) ที่มีชื่อว่า XOS 2 หลังจากที่เคยเปิดตัวเวอร์ชันแรกไปเมื่อปี 2008 ซึ่งนำมาสู่การสร้างภาพยนตร์เรื่อง Iron Man ชุดกระดองสำหรับทหาร XOS 2 นี้ได้รับการปรับปรุงจากเวอร์ชันแรกค่อนข้างมาก มันกินพลังงานแค่ครึ่งเดียวของเวอร์ชันก่อน ชุดกระดองของ Raytheon ใช้แหล่งพลังงานที่แตกต่างจากชุดกระดองของที่อื่น โดยมันมีเครื่องปั่นไฟขนาดเล็กที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายใน แทนที่จะเป็นแบตเตอรี่ลิเธียมที่มักจะใช้กัน
เจ้าชุดกระดองนี้ จะช่วยให้ทหารสามารถยกของที่มีน้ำหนัก 23 กิโลกรัม ขึ้นมาแบบ ชิว ชิว ด้วยแขนเพียงข้างเดียว ทางกองทัพสหรัฐฯ ได้วางแผนที่จะนำชุดกระดองนี้ไปใช้ในสนามรบในปี ค.ศ. 2015 ให้ได้ ชุดกระดองนี้ จะช่วยทำให้ทหารลาดตระเวณ สามารถแบกน้ำหนักเดินทางด้วยเท้าเปล่าได้ระยะทางไกลๆ รวมทั้ง ทหารราบยังสามารถใช้ปืนกลที่มีอำนาจการยิงรุนแรง ด้วยการใช้ทหารควบคุมเพียงคนเดียวเท่านั้น ด้วยชุดกระดองนี้ จะทำให้หมู่ทหารราบ กลายเป็นหน่วยรบขนาดเล็กที่มีอำนาจทำลายล้างสูง และเป็นที่เกรงขามยิ่ง
28 กรกฎาคม 2553
ยุคแห่ง Supersoldier มาถึงแล้ว (ตอนที่ 3)

09 มิถุนายน 2553
Bionic Insect - แมลงชีวกล (ตอนที่ 9)

01 มีนาคม 2553
Body Electronics - อิเล็กทรอนิกส์บนผิวกายมนุษย์ (ตอนที่ 4)

25 กุมภาพันธ์ 2553
ยุคแห่ง Supersoldier มาถึงแล้ว (ตอนที่ 2)

14 กุมภาพันธ์ 2553
Avatar - กายอวตาร (ตอนที่ 3)

24 มกราคม 2553
ยุคแห่ง Supersoldier มาถึงแล้ว

สวัสดีครับ หายไปหลายวันเลยครับ ผมไปประชุมที่อุบลราชธานี 4 วันครับ ถึงแม้จะต่ออินเตอร์เน็ตได้ แต่ไม่ได้เป็นอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ก็เลยไม่ค่อยอยากเล่นเท่าไหร่ วันนี้ผมมาพักที่สุรสัมนาคาร ในมหาวิทยาลัยสุรนารี อินเตอร์เน็ตค่อนข้างเร็ว เหมือนที่กรุงเทพฯ ก็เลยอัพบล็อกหน่อยครับ พอดีมีเรื่องน่าสนใจมารายงานครับ
ก่อนหน้านี้ ผมเคยรายงานเรื่องของ Bionics ซึ่งเป็นแนวคิดในการสร้างอวัยวะกล เพื่อเสริมสมรรถนะและขีดความสามารถทางร่างกาย ของผู้บกพร่องทางกายภาพให้สามารถดำรงชีวิตเช่นคนปรกติ หรือส่งเสริมให้ผู้มีกายภาพปกติมีความสามารถเหนือมนุษย์ทั่วไป เทคโนโลยีหนึ่งที่สามารถทำเช่นนั้นได้ก็คือ Exoskeleton หรือโครงกระดูกนอกร่างกาย ที่เมื่อเราสวมใส่เข้าไปแล้ว จะสามารถยกของหนักๆ เดิน หรือ วิ่งแบกน้ำหนักของเหล่านั้นไปไกลๆ โดยไม่เหน็ดเหนื่อย เมื่อเราสวมใส่ Exoskeleton เข้าไป มันจะพยายาม sync (synchronize) กับร่างกายของเรา เช่น หากเราก้าวขาจะเดิน มันก็จะช่วยเราออกตัวก้าวไปเอง เมื่อเราจะหยุด มันก็จะหยุดด้วย ถ้าสวมที่แขน เวลาเราออกแรงยกของ มันจะช่วยออกแรงพยุงให้ ทำให้น้ำหนักที่เรารู้สึกยกจะเบากว่าน้ำหนักจริง เช่น หากเรายกของที่หนัก 100 กิโลกรัม ก็จะเหมือนยกของที่หนักสัก 20 กิโล เป็นต้น
ล่าสุดบริษัทล็อคฮีด (Lockheed) ซึ่งรู้จักกันดีในฐานะบริษัทอาวุธที่ใหญ่มากของสหรัฐอเมริกา ได้ผลิตเจ้า Exoskeleton ที่ใช้ชื่อทางการค้าว่า Human Universal Load Carrier หรือ HULC ออกมาขายให้กองทัพแล้วครับ ทั้งนี้บริษัทล็อคฮีดได้ซื้อสิทธิ์ในเทคโนโลยีตัวนี้มาจาก มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบอร์คลีย์ (UC Berkeley) แล้วนำมาพัฒนาต่อเพื่อขายในเชิงพาณิชย์ เจ้าหุ่น HULC นี้อาศัยพลังงานจากเซลล์เชื้อเพลิง ทหารสามารถใช้มันเดินทั้งวันได้ 3 วันติดต่อกัน จึงจะเติมพลังงานหนึ่งครั้ง ซึ่งก็คือเมธานอล
ชุด HULC นี้จะทำให้ทหารสหรัฐฯ กลายเป็นยอดทหารขึ้นมาทันที เพราะมันจะทำให้ทหารที่สวมใส่ชุดนี้ สามารถแบกรับน้ำหนักสัมภาระได้มากถึง 100 กิโลกรัม นักวิเคราะห์มองว่าการมีชุดนี้อย่างน้อย 1 ชุดในหน่วยทหารราบขนาดเล็ก จะช่วยเพิ่มสมรรถนะในการรบของหน่วยได้อย่างมาก เราอาจจะติดปืนกลหนักซึ่งปกติจะต้องอาศัยทหาร 2 คนช่วยกันขนย้าย ได้บนลำตัว หรือบนไหล่ของทหารผู้นั้นโดยตรง โดยปืนกลนี้จะสามารถหันไปตามการหันตัวของทหาร และสามารถยิงด้วยรีโมทคอนโทรล ลองนึกถึงหุ่นยนต์คนเหล็ก Terminator สิครับว่า มันจะน่ากลัวขนาดไหน
05 มกราคม 2553
Bionic Insect - แมลงชีวกล (ตอนที่ 8)

27 ธันวาคม 2552
Body Electronics - อิเล็กทรอนิกส์บนผิวกายมนุษย์ (ตอนที่ 3)

ปัญหาหนึ่งครับ ที่นักวิจัยจะต้องแก้ให้ได้ ก่อนที่ความฝันเรื่องอิเล็กทรอนิกส์บนผิวกายมนุษย์จะเป็นจริงได้ นั่นคือเรื่องของพลังงาน ที่อุปกรณ์จิ๋วพวกนี้จะใช้ ว่าจะเอามาจากไหน ผมจะมาคุยต่อเรื่องนี้วันหลังนะครับ
23 ธันวาคม 2552
Avatar - กายอวตาร (ตอนที่ 2)

วันหลังค่อยคุยเรื่องนี้ต่อครับ .....
05 ธันวาคม 2552
Body Electronics - อิเล็กทรอนิกส์บนผิวกายมนุษย์ (ตอนที่ 2)

ยุคแห่งการรวมเข้าเป็นหนึ่งระหว่างมนุษย์-จักรกล (Man-Machine Integration) กำลังจะเกิดขึ้นแล้วครับ เป็นยุคที่จิตใจ กับ วัสดุ จะเข้ามาบรรจบกัน (Mind-Materials Convergence) ดังที่เราจะเห็นจาก งานวิจัยทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ ทั่วโลกต่างมุ่งไปในแนวนี้ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาหุ่นยนต์ที่ใช้หลักชีววิทยา อารมณ์ประดิษฐ์ อวัยวะกลสำหรับมนุษย์และสัตว์ สิ่งมีชีวิตสังเคราะห์ชีวจักรกล และอีกมากมาย เครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ที่เราถือไปถือมา จะเริ่มเคลื่อนเข้าไปใกล้ชิดกับผิวกายของเรามากขึ้น จนกระทั่งจะเข้าไปฝังตัวในเรือนกายของเรา และอีกต่อไปมันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกายเรา ดั่งกายอวตารที่จะทำให้ชราภาพของมนุษย์เป็นเรื่องของอดีต
ทุกๆ ปี จะมีการประชุมของนักวิจัย ที่ทำงานทางด้านเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายบนผิวกายมนุษย์ (Body Area Networks) โดยในปี ค.ศ. 2010 จะมีการจัดประชุมกันที่ เกาะคอร์ฟู ประเทศกรีซ การประชุมที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า The 5th International Conference on Body Area Networks นี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-12 กันยายน พ.ศ. 2553 เนื้อหาของการประชุมเกี่ยวข้องกับเรื่องของเทคโนโลยีที่ทำให้อุปกรณ์คุยกันทั้งในร่างกาย บนผิวกาย และระหว่างผิวกายของมนุษย์ ระบบตรวจวัดสถานภาพทางด้านสุขภาพ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้พลังงานจากร่างกายมนุษย์ เป็นต้น นับว่าเป็นการประชุมที่น่าสนใจมากเลยครับ
นอกจากนี้แล้ว ยังมีอีกการประชุมหนึ่งที่น่าสนใจครับ คือ 2010 International Conference on Body Sensor Networks (BSN 2010) ซึ่งจะจัดที่ Biopolis ประเทศสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 7-9 มิถุนายน 2553 ซึ่งก็น่าสนใจเพราะไม่ไกลจากบ้านเรา เนื้อหาการประชุมที่เขาสนใจก็คือ เรื่องของอิเล็กทรอนิกส์ที่สวมใส่ได้ อาภรณ์อัจฉริยะ อุปกรณ์ทางการแพทย์บนผิวกาย ระบบตรวจวัดภายในบ้าน
เท่าที่ผมติดตามสถานภาพทางด้านนี้ในประเทศไทย พบว่ามีความสนใจกันมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ แต่ยังไม่ค่อยมีการวิจัยทางด้านนี้มากนัก อาจจะเป็นเพราะว่าเรายังไม่มีการบูรณาการงานวิจัยข้ามสาขากันมาก เหมือนในต่างประเทศ ผมจะมาคุยต่อวันหลังนะครับ ......
30 พฤศจิกายน 2552
กายอวตาร (ตอนที่ 1)

21 พฤศจิกายน 2552
Body Electronics - อิเล็กทรอนิกส์บนผิวกายมนุษย์ (ตอนที่ 1)

13 กันยายน 2552
Wearable Robot - หุ่นยนต์สวมใส่ได้สำหรับผู้สูงวัย
