27 มีนาคม 2553

Smart Dust - ฝุ่นฉลาด (ตอนที่ 5)



กลุ่มวิจัยทางด้าน MAV (Micro Aerial Vehicle) ที่เกาะติดเรื่องนี้มานาน มีหลายกลุ่มทั่วโลก วันนี้ผมขอแนะนำกลุ่มวิจัยหนึ่งที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ดินแดนแห่งดอกทิวลิปและกังหันลม กลุ่มวิจัยนี้มีชื่อว่า Delfly ซึ่งประกอบด้วยนักวิจัยจากหลายสถาบันมาร่วมมือทำงานกัน โดยมีทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเดลฟท์ (Delft University of Technology) เป็นทีมวิจัยแกนนำ กลุ่มวิจัย Delfly เริ่มตั้งทีมพัฒนา MAV มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 โดยได้เปิดตัวหุ่นบินจิ๋วมา 3 รุ่นแล้ว จุดเน้นหลักของหุ่นบินจิ๋ว Delfly ก็คือ มีลักษณะปีกบินเป็นแบบปีกกระพือ เจ้าหุ่นบินรุ่นแรกมีชื่อว่า Delfly I มันถูกออกแบบมาให้เลียนแบบการบินของแมลง มันมีปีก 2 คู่ที่จะทำหน้าที่กระพือรักษาระดับให้มันลอยอยู่ในอากาศนิ่งๆ (ซึ่งหุ่นบินแบบปีกแข็งทำไม่ได้) หรือเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ได้

เจ้าหุ่นรุ่นที่สองมีชื่อว่า Delfly II มันมีกล้องวีดิโอจิ๋วติดตั้งอยู่ด้วย การออกแบบยกเครื่องใหม่ทั้งหมดทำให้มันบินในแนวนอนด้วยความเร็วมากถึง 15 เมตรต่อวินาที สามารถหยุดนิ่งอยู่เฉยบนอากาศ และที่ร้ายกาจก็คือ มันสามารถบินถอยหลังก็ได้ นับว่ามีรูปแบบการเคลื่อนที่ที่ยืดหยุ่น สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายงานประยุกต์ ทีมวิจัยได้พัฒนาซอฟต์แวร์ในการประมวลผลภาพ เพื่อให้เจ้าหุ่นบินสามารถที่จะปฏิบัติการบิน โดยอาศัยการวิเคราะห์จากภาพที่มันเห็น



เจ้าหุ่นบินรุ่นที่สามมีชื่อว่า Delfly Micro หุ่นบินจิ๋วรุ่นนี้มีขนาดและน้ำหนักลดลงไปอย่างมากครับ ลำตัวมีความยาวเพียง 10 เซ็นติเมตร กับน้ำหนักเพียง 3 กรัม จึงนับเป็นหุ่นบินแบบปีกกระพือที่เล็กที่สุดในโลก ที่บรรทุกกล้องวีดิโอได้ เจ้าหุ่นรุ่นนี้นับเป็นความสำเร็จในการบูรณาการเทคโนโลยีหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของอากาศพลศาสตร์ กลศาสตร์ อิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีวิเคราะห์ภาพ เทคโนโลยีเครื่องกลจุลภาค เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า ถึงแม้เทคโนโลยีหุ่นบินจิ๋วจะมีความก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ระดับความก้าวหน้านี้ก็ยังห่างไกลจากแมลงในธรรมชาติมากเลยครับ ด้วยเหตุนี้จึงมีนักวิจัยอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่เชื่อในแนวทางของการสร้างหุ่นยนต์ที่คล้ายแมลง ด้วยคิดว่ายังไงพวกเราก็ไม่น่าจะเอาชนะธรรมชาติได้ นักวิจัยกลุ่มนี้คิดว่าน่าจะเอาแมลงนั่นแหล่ะมาทำหุ่นยนต์ ที่เรียกว่า แมลงชีวกล (Bionic Insect)

วันหลังมาคุยเรื่อง Smart Dust กันต่อครับ วันนี้ร้อนจริงๆ ไปหาโค้กดื่มดีกว่า ....

26 มีนาคม 2553

Smart Dust - ฝุ่นฉลาด (ตอนที่ 4)



เรื่องของเครือข่ายเซ็นเซอร์ไร้สาย (Wireless Sensor Networks หรือ WSN) กำลังเป็นประเด็นที่เป็นที่สนใจ ในวงการเทคโนโลยีหลายๆ แขนง ในวงการหุ่นยนต์เอง ก็มีความสนใจในการนำเทคโนโลยี WSN มาใช้กัน โดยพัฒนาหุ่นยนต์จิ๋ว ที่สามารถร่วมมือทำงานกันเป็นทีม หรือเป็นฝูง (Swarm) โดยหุ่นยนต์จิ๋วเหล่านั้น มีเซ็นเซอร์เพื่อตรวจวัดสิ่งต่างๆ ที่สามารถส่งข้อมูลระหว่างกันได้

ในวงการหุ่นยนต์บินได้ หรือ Unmanned Aerial Vehicle (UAV) นั้น ขณะนี้มีเทคโนโลยีหนึ่งที่กำลังมาแรงมาก นั่นคือ Micro Air Vehicle หรือ MAV ซึ่งเป็นหุ่นยนต์จิ๋วบินได้ที่มีขนาดเล็ก นัยว่าไม่ควรมีขนาดใหญ่กว่า 15 เซ็นติเมตร คณะวิจัยทั่วโลกกำลังขมักเขม้นกันพัฒนาเจ้า MAV นี้ให้เล็กลงไปอยู่ในขนาดของแมลง ถ้ามีน้องๆ กำลังจะไปเรียนต่อเมืองนอกมาถามผมว่า "เรียนอะไรดีครับ ที่มีอนาคต" ... นี่เลยครับ ไปเรียนเรื่อง MAV นี้เลย มีอนาคตและก็สนุกด้วย


งานวิจัยทางด้าน MAV แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทครับ คือ (1) MAV ปีกแข็ง เหมือนปีกเครื่องบิน ซึ่งจะทำให้มันสามารถร่อนได้เป็นระยะทางไกลๆ หุ่นบินประเภทนี้จะใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมาก แต่ก็จะมีข้อเสียตรงที่มันไม่สามารถหยุดสังเกตการณ์นิ่งๆ หรือเลี้ยวในมุมแคบ หรือฉวัดเฉวียนในซอกเล็กซอกน้อยได้ (2) MAV ปีกขยับได้เหมือนนกหรือแมลง หุ่นประเภทนี้มีข้อดีตรงที่ทำการผลิตโดยวิธีการทางไมโครอิเล็กทรอนิกส์ได้ดี การบังคับก็ทำได้ดี แต่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน (3) MAV ปีกหมุน เหมือนปีกเฮลิคอปเตอร์ มีข้อดีที่สามารถหยุดนิ่งในอากาศได้ เลี้ยวมุมแคบ ฉวัดเฉวียนในซอกมุมได้ดี แต่ใช้พลังงานมาก ทำให้ระยะเวลาในการปฏิบัติการสั้นกว่าหุ่นบินปีกนิ่ง

การจะเรียนเรื่องนี้ได้ก็ต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการบินของนกและแมลงครับ เพราะหุ่นบินพวกนี้บินคล้ายนกหรือแมลง มากกว่า เครื่องบินหรือเฮลิคอปเตอร์ขนาดใหญ่ๆ ระยะหลังๆ มานี้เราจึงเห็นวิศวกรรมเครื่องกลเข้ามาร่วมมือกับนักชีววิทยาด้านสัตว์ปีกและแมลง กันมากขึ้น

วันหลังมาคุยเรื่องนี้กันต่อครับ ....

25 มีนาคม 2553

Games Science - วิทยาศาสตร์ของเกมส์ (ตอนที่ 8)


มาคุยเรื่องนี้กันต่อนะครับ เรื่องที่ว่า "โลกของเกมส์กำลังจะหลอมรวมเข้ากับโลกของชีวิตจริง" ....

ในวีดิโอปาฐกถาของ ศาสตราจารย์เจส เชลล์ (Professor Jesse Schell) แห่งศูนย์เทคโนโลยีการบันเทิง มหาวิทยาลัยคาร์เนกี เมลลอน (Cargenie Mellon University) ซึ่งผมดูซ้ำแล้วซ้ำอีกมากกว่า 15 รอบแล้วนั้น .... ท่านได้กล่าวว่า เหตุที่คนติดเกมส์ใน Facebook มาก ก็เพราะมันเหมือนชีวิตจริง ระหว่างที่ผู้คนเล่นเกมส์เหล่านี้กับเพื่อนๆ ที่อยู่ใน Facebook เขาจะมีความรู้สึกว่าสิ่งนั้นๆ มีจริง เพราะมีคนที่เขารู้จักในชีวิตจริง กำลังเล่นเกมส์เหล่านั้นร่วมกันอยู่ เช่น ในเกมส์ Farmville นั้น ฟาร์มของเราจะเจริญงอกงามดี หากมีเพื่อนๆ เข้ามาช่วยรดปุ๋ยให้เรา ซึ่งเราสามารถที่จะตอบแทนคนเหล่านั้น ด้วยการเข้าไปในฟาร์มของเพื่อนบ้านเพื่อไปรดปุ๋ยให้เขา หรือ เราอาจจะส่งของขวัญไปให้ก็ได้



ถึงแม้คนที่เล่นเกมส์ Farmville จะไม่เคยเป็นเกษตรกร แต่เขาจะเอาจริงเอาจังกับมันมากๆ หลายๆ คนรู้สึกภูมิใจที่ตนเองมีระดับของประสบการณ์ในเกมส์สูงกว่าเพื่อนๆ เวลาเล่นเกมส์ Farmville ลูกชายของผมจะคอยดูว่าพี่แดง (ซึ่งเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของผม) ปลูกพืชอะไรอยู่ แล้วคะแนนของเขาตอนนี้มีโอกาสจะตีตื้นพี่คนนี้หรือไม่ ....

ศาสตราจารย์เจส กล่าวว่านับวันเกมส์จะเขยิบเข้ามาใกล้กับชีวิตจริงมากขึ้น ไม่ใช่สิ .... ชีวิตจริงขยับเข้าไปใกล้เกมส์มากขึ้น เวลาเราช้อปปิ้ง เราจะเลือกเอาสินค้าแบรนด์ที่เราจะได้คะแนนสะสมมากขึ้น เติมน้ำมันที่ปั๊มบางจากก็ได้คะแนน บินไปญี่ปุ่นก็ได้คะแนน รูดบัตรแพลตตินัมได้คะแนนมากกว่าบัตรทอง เติมเงินในช่วงพิเศษได้โบนัสโทรฟรี ซื้อของที่เซเว่นได้แสตมป์นำมาแลกของสะสมโดเรมอน

ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ Ford Fusion รถไฮบริดซึ่งสามารถนำพลังงานส่วนเกินไปเก็บในแบตเตอรี่ เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ ทำให้รถสามารถขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าร่วมกับเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมั ฟอร์ดได้ใส่เกมส์เข้าไปในคอนโซลของรถยนต์ หากผู้ขับขี่ขับรถดีๆ ไม่กระโชกโฮกฮาก รักษาระดับการขับขี่ที่ทำให้ประหยัดน้ำมัน ที่หน้าคอนโซลของรถจะมีต้นองุ่นค่อยๆ ผลิใบออกมาทีละใบ และมันจะเจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ หากเรารักษาระดับขับขี่อย่างนุ่มนวลเอาไว้ ในที่สุดเราจะได้ต้นองุ่นที่สมบูรณ์ .... ทว่า ... หากเรา จู่ๆ ก็เหยียบคันเร่ง กระชากพวกมาลัย ปาดซ้ายปาดขวา วิ่งเร็วๆ ผสมเบรคแรงๆ ใบของต้นองุ่นก็จะร่วงออกจนหมดต้น เกมส์ที่อยู่บนรถฟอร์ดรุ่นนี้ จึงปรับพฤติกรรมผู้ขับขี่ให้เป็นคนขบรถที่มีมรรยาทมากขึ้น เพราะเขาอยากจะปลูกต้นองุ่นให้ขึ้นทุกทริป

ว่างๆ มาคุยเรื่องนี้กันต่อครับ .....

(ภาพบน - คอนโซลของ Ford Fusion ที่นำเอาพฤติกรรมการขับขี่มาผูกกับการเล่นเกมส์)

22 มีนาคม 2553

Games Science - วิทยาศาสตร์ของเกมส์ (ตอนที่ 7)


สวัสดีครับท่านผู้อ่าน หายหน้าไปหลายวันเลยครับ ช่วงนี้ผมออกภาคสนามทางภาคเหนือ แต่ก็พยายามจะเข้ามาอัพเดตบล็อก เมื่อคืนนี้ผมมาพักที่อิมพีเรียลโกลเด้นไทรแองเกิ้ล ริมฝี่งโขง สามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน ครับ มาช่วงนี้จึงได้เห็นวิกฤตสองอย่างของคนที่นี่ คือ ระดับน้ำโขงที่ลดต่ำมากจริงๆ กับ ระดับความหนาแน่นของอนุภาคขี้เถ้าในอากาศที่สูงมาก บางครั้งทำให้รู้สึกอึดอัดหายใจไม่สะดวก

ทริปนี้ผมพาลูกๆ สองคนมาด้วย กับลูกศิษย์อีก 5 คน พอเราเข้า check in ที่โรงแรม คำถามแรกที่ลูกๆ ผมจะถามก็คือ "ที่นี่มีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงหรือป่าว" เพื่อที่ว่าก่อนนอน ลูกๆของผม รวมทั้งลูกศิษย์ของผมที่เดินทางมาด้วย จะได้เข้าไปเก็บพืชผลที่ปลูกเอาไว้ในเกมส์ Farmville บน Facebook ถ้าโรงแรมนั้นไม่มีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงให้ใช้ แต่ละคนก็มีโทรศัพท์มือถือ เพื่อใช้ต่อ GPRS/EDGE กันครบครัน จะติดเกมส์นี้อะไรปานนั้น ???

อย่างที่ผมเล่าให้ฟังในบทความตอนที่แล้วว่า สถิติคนเล่นเกมส์ Farmville ตอนนี้ (10 มีนาคม 2553) มีมากถึง 83 ล้านคนแล้ว เชื่อไหมครับว่า ทุกครั้งที่ผมเข้า check-in ที่โรงแรม หลังจากเข้าห้องพักได้แล้ว พอผมเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาดู ผมจะเห็นลูกศิษย์ของผมได้เข้ามาใน Facebook และเข้าไปเก็บพืชผักในเกมส์นี้เรียบร้อยแล้ว คือ ทำกิจกรรมปลอมๆ นี้ ก่อนที่จะทำเรื่องจริงอื่นๆ ที่ควรทำเสียอีก เช่น อาบน้ำอาบท่า เพื่อเตรียมออกไปทานข้าว .... เพราะอะไรหรือครับ ??

ผมเก็บความสงสัยเกี่ยวกับความลึกลับ และมนตร์เสน่ห์ของเกมส์ Farmville มานาน จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมได้ผ่านเข้าไปดูปาฐกถาหนึ่งบนอินเตอร์เน็ตโดยบังเอิญ ปาฐกถานี้บรรยายโดยศาสตราจารย์เจส เชลล์ (Professor Jesse Schell) แห่งศูนย์เทคโนโลยีการบันเทิง มหาวิทยาลัยคาร์เนกี เมลลอน (Cargenie Mellon University) ผมเปิดปาฐกถานี้ดูสัก 10 รอบได้มั้งครับ มันเป็นปาฐกถาที่ดีมากๆ ท่านมีลีลาการพูดที่สนุกมากๆ เป็นลีลาการพูดที่สามารถเปิดกระโหลกของคนฟังเพื่อออกมารับสิ่งใหม่ๆ ประเด็นสาระที่สำคัญของการบรรยายนี้ก็คือ การทำเกมส์ให้ผูกกับโลกความเป็นจริง หรือ การทำโลกความเป็นจริงให้ผูกติดกับเกมส์ !!!

แล้วผมจะนำประเด็นนี้มาเล่าให้ฟังนะครับ อาจจะเย็นนี้ก็ได้ กำลังจะ check out เพื่อเดินทางต่อครับ ....

18 มีนาคม 2553

Plant Intelligence - ต้นไม้ไม่ได้โง่ (ตอนที่ 11)


สวัสดีครับท่านผู้อ่าน พรุ่งนี้ผมจะไปทำงานภาคสนามทางภาคเหนือสักอาทิตย์นึงครับ แต่ก็จะพยายามเข้ามาอัพเดตครับ ถ้าคืนไหนมีเวลาว่างๆ

เรื่องของพืช เป็นอะไรที่วิทยาศาสตร์ในยุคนี้เริ่มกลับมาค้นหาเชิงลึก ดังที่ผมชอบที่จะนำเรื่องความฉลาดของพืชมาเล่าให้ท่านฟังบ่อยๆ นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะค้นพบข้อมูลบางอย่างที่บ่งชี้ว่าพืชมี "ปัญญา" รู้จักแก้ปัญหา มันสามารถสื่อสารระหว่างกันได้ มันมีระบบสังค แค่นี้สำหรับบางคนก็แปลกใจแล้วครับ ว่าพืชคุยกันสื่อสารกันได้ด้วยเหรอ แล้วถ้าผมจะบอกท่านผู้อ่านต่อไปอีกว่า พืชก็สามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ด้วยนะ ท่านผู้อ่านคงจะยิ่งประหลาดใจ หาว่าผมพูดเล่น ....

ท่านผู้อ่านที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่อง Avatar จะสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยากครับ เราจะเห็นว่าชาวนาวีในภาพยนตร์เรื่องนี้ ใช้ชีวิตแอบอิงกับต้นไม้ ตั้งแต่การอยู่อาศัยเป็นนิคมบนต้นไม้ใหญ่ อาหารการกิน ยารักษาโรค แม้แต่การเลือกคู่ครอง ยังต้องไปแสดงบทรักใต้ต้นไม้ที่เป็นจิตวิญญาณของชนเผ่าที่มีชื่อว่า Eywa ต้นไม้ต้นนี้มีรากอากาศ ที่มีปลายประสาทมากมาย ซึ่งสามารถนำมาเชื่อมต่อกับปลายประสาทของชนเผ่า Navi ได้ ชนเผ่านี้จะสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกับต้นไม้ต้นนี้ได้ แม้กระทั่งหากมีใครต้องหมดอายุขัยที่จะต้องตายไป ร่างของเขานั้นจะถูกนำไปไว้ใต้ต้นไม้นี้ เพื่อให้ปลายประสาทของต้นไม้มาต่อเชื่อมกับสมองของคนที่จะตาย เพื่อที่ข้อมูล ความรู้ ปัญญาต่างๆ ของคนผู้นั้นจะถูกถ่ายเทไปที่ต้นไม้ องค์ความรู้ที่สะสมมาของผู้ที่จากไปก็จะไม่สูญหายไปไหน แค่นี้ยังไม่พอครับ .... ต้นไม้ต้นนี้ยังเชื่อมกับต้นไม้อื่นๆ ผ่านปลายประสาทที่ราก โยงใยกันเป็นเครือข่ายที่ไม่รู้จบ ทำให้ต้นไม้ทั้งหมดของดาวเคราะห์ที่มีชื่อว่า แพนดอรา นี้เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายประมวลผลที่ซับซ้อนมากครับ

แล้วตอนหน้า ผมจะนำรายงานการวิจัยฉบับหนึ่ง ที่ค้นพบว่า พันธุกรรมของมนุษย์ มีส่วนเชื่่อมโยงกับต้นไม้ เหมือนกับว่า เรากับต้นไม้ ก็ไม่ได้ห่างไกลกันมากครับ ....

15 มีนาคม 2553

The Second Brain - สมองที่สอง (ตอนที่ 1)


ท่านผู้อ่านอาจจะเคยมีประสบการณ์ ได้คุยกับคนฉลาดๆ สิ่งที่เขาคนนั้นพูดออกมา เราจะรู้ได้เลยว่ามันเจ๋ง มันสุดยอด คนแบบนี้เขาเรียกว่าคนมี "กึ๋น" ซึ่งเจ้ากึ๋นที่ว่านี้ ถ้าเป็นภาษาฝรั่งมันหมายถึง Gut ซึ่งน่าจะอยู่แถวๆ บริเวณท้อง คนฉลาดพวกนี้ใช้ท้องคิดหรือไร ???

ฟังดูตลกนะครับ ถ้าหากมีคนบอกว่ามีใครใช้ท้องคิด แต่จริงๆ แล้ว นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่าคนเราอาจจะใช้ท้องช่วยคิดก็ได้ครับ ทั้งนี้ในระบบทางเดินอาหารของคนเรานั้น มีระบบประสาทที่ซับซ้อนซึ่งประกอบด้วยเซลล์ประสาทมากถึง 100 ล้านเซลล์ เป็นรองจากสมองเท่านั้นครับ ระบบประสาทที่ซับซ้อนนี้สามารถทำงานด้วยตนเองเป็นเอกเทศจากสมอง เพื่อทำหน้าที่รับสัมผัสสิ่งต่างๆ ที่อยู่ภายในระบบทางเดินอาหาร ตั้งแต่การขับเคลื่อนอาหารไปตามเส้นทางของมัน การบีบคลายกล้ามเนื้อเพื่อช่วยในการย่อย การปลดปล่อยสารเพื่อใช้ย่อยอาหาร ไปจนถึงการดูดซึมอาหาร และการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งหน้าที่ทั้งหมดนี้ทำโดยสมองที่สอง ส่วนสมองที่หนึ่งซึ่งอยู่ในกระโหลกของเรานั้น ไม่ได้ทำหน้าที่นี้เลยครับ แต่อย่างไรก็ตาม สมองที่สองของเราก็นำส่งข้อมูลผ่านเส้นใยประสาทไปสู่สมองที่หนึ่ง โดยจะแจ้งสถานภาพต่างๆ ไปยังสมองที่หนึ่ง แต่นักวิทยาศาสตร์ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า เส้นใยประสาทนั้นเดินสัญญาณแค่ทางเดียวเท่านั้น ซึ่งหมายถึง สมองที่สองจะไม่ได้รับข้อมูลหรือคำสั่งจากสมองที่หนึ่งเลย .... มันทำงานเองอย่างเป็นเอกเทศเกือบจะโดยสมบูรณ์ !!!

ถึงแม้สมองที่สองนี้จะไม่ได้ทำหน้าคิดโดยตรง เช่น มันไม่ได้ช่วยสมองตัดสินใจว่าจะใส่เสื้อสีแดงหรือเสื้อสีเหลือง แต่นักวิทยาศาสตร์พบว่า ภาวะทางอารมณ์ของคนเราขึ้นอยู่กับสมองที่สองค่อนข้างมาก หากสมองที่สองไม่สบอารมณ์ มันจะส่งข้อมูลไปยังสมองที่หนึ่ง อาการเกรี้ยวกราดในท้องเมื่อเกิดความเครียด ก็เป็นตัวอย่างที่ดีตัวอย่างหนึ่ง คนที่เครียดมากๆ จะทำให้ระบบทางเดินอาหารแปรปรวน โรคหลายชนิด เช่น โรคกรดไหลย้อน ก็อาจจะเกิดจากความผิดปกติของสมองที่สองนี้ ในทางกลับกัน ถ้าสมองที่สองมีสุขภาพดี ก็จะส่งผลให้สมองที่หนึ่งมีภาวะสุขภาพที่ดีได้เช่นกันครับ

ความรู้ตรงนี้ทำให้เราเห็นว่า ร่างกายของคนเราไม่ได้ควบคุมแบบรวมศูนย์ที่สมองที่เดียวครับ มันสามารถทำงานแบบกระจายอำนาจได้ด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการออกแบบจักรกลที่อาศัยการผสมผสานระหว่าง Centralized & Distributed Computation ครับ ....

14 มีนาคม 2553

Robotic Air Foce - กองทัพอากาศหุ่นยนต์ (ตอนที่ 1)


ช่วงนี้ห่างจากบล็อกไปหน่อยครับ เพราะต้องติดตามสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างกลุ่มเสื้อแดงกับกลุ่มอำมาตย์ ว่าจะพัฒนาไปอย่างไร จะคุยกันรู้เรื่องหรือไม่ ก็ให้เขาว่ากันไปครับ พวกเราเป็นนักวิทยาศาสตร์ ก็ทำหน้าที่ศึกษาวิจัย เพื่อพัฒนาสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศและมนุษยชาติของเราต่อไป อย่างไม่หยุดยั้งครับ

แนวโน้มของพัฒนาการด้านเทคโนโลยีกลาโหม ของสหรัฐอเมริกา นับวันจะก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ จนยากที่จะมีประเทศหรือกลุ่มต่อต้านที่จะต่อกรได้แล้ว ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ หน่วยงานทางด้านความมั่นคงในสหรัฐอเมริกามีการนำอากาศยานไร้นักบิน หรือที่เราเรียกสั้นๆว่า UAV (Unmanned Aerial Vehicle) ออกมาใช้ปฏิบัติภารกิจกันมากขึ้นเรื่อย หน่วยยามฝั่งของสหรัฐฯ ได้นำ UAV สัญชาติอิสราเอลที่มีชื่อว่า Heron เข้าประจำการเพื่อตรวจตราเรือต่างๆ ในน่านน้ำสหรัฐฯ เจ้า Heron นี้มีความยาวของปีก 16 เมตร สามารถรับน้ำหนักขึ้นบินได้มากถึง 1 ตันเลยครับ มันบินที่ระดับความสูง 10 กิโลเมตร สามารถบินขึ้นและลงจอด โดยไม่ต้องใช้การควบคุมจากมนุษย์ สามารถบินได้ 36 ชั่วโมง มีเซ็นเซอร์ต่างๆ มากมาย รวมทั้ง RADAR ด้วยครับ

กองทัพบกและกองทัพเรือสหรัฐฯ นั้นก็มีการพัฒนา UAV ของตนเอง เช่น กองทัพบกสหรัฐฯ มีการพัฒนาเฮลิคอปเตอร์ไร้คนขับที่มีชื่อว่า MQ-8B Fire Scout ซึ่งจะทำหน้าที่ตรวจสอบสนามรบ ช่วยเหลือทหารราบและทหารยานเกราะในการเข้าทำสงครามในระยะประชิด กองทัพเรืออเมริกันก็มีการพัฒนา UAV ที่ใช้ชื่อว่า Joint Unmanned Combat Air System ความเจ๋งของเจ้า UAV รุ่นนี้ก็คือ มันจะต้องสามารถบินขึ้นจากและบินลงสู่ ทางวิ่งบนดาดฟ้าของเรือบรรทุกเครื่องบินให้ได้ นี่ล่ะครับ เรื่องยาก

คราวนี้ก็มาถึงกองทัพอากาศสหรัฐกันบ้างครับว่า ทัพอื่นๆ เขาก็มีโครงการทำ UAV กันทั้งนั้น แล้วทำไมทัพฟ้าถึงยังไม่เห็นมีโครงการทางด้าน UAV ออกมาให้เห็นกันบ้างเล ในตอนต่อไป ผมจะเล่าให้ฟังครับว่า วิสัยทัศน์ของทัพฟ้าสหรัฐฯ นั้นยิ่งใหญ่เพียงใด แล้วมันจะเป็นสิ่งที่ทำให้กองทัพอากาศทั่วโลก รวมทั้งของประเทศไทยเรา กลายเป็นกองทัพโบราณได้อย่างไร ....




10 มีนาคม 2553

Games Science - วิทยาศาสตร์ของเกมส์ (ตอนที่ 6)



ท่านผู้อ่านที่ใช้ Facebook บางท่านอาจจะเคยได้เล่นเกมส์ Farmville ซึ่งเป็นเกมส์ที่จำลองผู้เล่นให้เป็น ชาวนาชาวไร่ ปลูกผัก ปลูกข้าว ทำสวน เลี้ยงสัตว์ ตลอดจนกิจกรรมอื่นๆในไร่นาของตน เพื่อที่จะสร้างรายได้ เป็นเงินจำลอง ที่สามารถนำไปซื้อของมาตกแต่งฟาร์มของเรา เราสามารถที่จะมีเพื่อนบ้านที่เป็นไร่นาใกล้เคียง ซึ่งสามารถเข้ามารดปุ๋ยให้แก่ไร่ของเรา เราสามารถที่จะแลกเปลี่ยนของขวัญของกำนัลแก่กันและกัน โดยยิ่งมีเพื่อนบ้านมาก ก็จะยิ่งมีความซับซ้อนของการเล่นมากขึ้น เราจะสามารถขยายฟาร์ม ส่งและรับของขวัญมากชิ้นขึ้น มีของให้สะสม แลกเปลี่ยนระหว่างเพื่อนฝูงที่เล่นด้วยกัน การเล่นเกมส์ จะทำให้เรามีประสบการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ (Experience Point หรือ XP) ซึ่งจะทำให้เราเลื่อนระดับไปปลูกพืชผัก ที่ปลูกยากมากขึ้นไปเรื่อยๆ เราจะได้พบกับประสบการณ์ใหม่ๆ ตลอดที่มีคะแนนของประสบการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ

Farmville เปิดตัวในเดือนมิถุนายน ปี 2009 โดยใน 24 ชั่วโมงแรก มีคนเข้ามาเล่นเกมส์นี้ 18,000 คน จากนั้นจำนวนคนเพิ่มขึ้นเป็นล้านคนใน 3 สัปดาห์ และเพิ่มเป็น 62 ล้านคนในเดือนตุลาคม 2009 วันนี้ 10 มีนาคม 2010 มีจำนวนผู้เล่นเกมส์ Farmville มากถึง 83 ล้านคน มากกว่าประชากรทั้งหมดของประเทศไทย

Farmville เป็นเกมส์คอมพิวเตอร์เกมส์เดียวที่ผมอนุญาตให้ลูกศิษย์ในกลุ่มวิจัยของผม สามารถเล่นได้ที่มหาวิทยาลัย อย่างเป็นทางการ !!! มันระบาดเข้ามาในห้องแล็ปของผมครั้งแรก เมื่อประมาณเดือนมกราคม 2553 ที่ผ่านมา โดยผมเป็นคนลองเล่นคนแรกขณะไปทำงานที่ไร่องุ่นกรานมอนเต้ ผมพบว่า การปลูกองุ่นใน Farmville มันง่ายกว่าการทำไร่องุ่นจริงๆ มาก นั่นคือเหตุผลที่ Farmville เป็นเกมส์ที่ชาวไร่ชาวนาในสหรัฐอเมริกานิยมเล่นมากที่สุด ฟิลิป แทน (Philip Tan) ผู้อำนวยการ Singapore-MIT Gambit Game Lab ซึ่งเป็นองค์กรร่วมทุนระหว่าง MIT กับรัฐบาลสิงคโปร์ กล่าวว่า "ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมือง เริ่มเบื่อหน่ายกับชีวิตอันทันสมัยในสังคมของเมืองใหญ่ คนเหล่านั้นใฝ่ฝันอยากจะมีที่ดินสักแปลง ปลูกพืชปลูกผักที่เขาอยากดูแล ปล่อยให้มันเติบโต แล้วก็เก็บเกี่ยวผลผลิต" .... นี่คือสิ่งที่ผมมักเห็น .... หนุ่มสาว คนรุ่นใหม่ ที่มักแวะเวียนเข้ามาชมวิถีชีวิตในไร่องุ่นที่เขาใหญ่ ....

ในตอนต่อไป ผมจะพาท่านผู้อ่านไปเปิดแนวคิด การมองชีวิตเป็นเกมส์ หรือ การมองเกมส์เป็นชีวิตจริง ....

(ภาพขวา - Mark Pincus ผู้ก่อตั้งบริษัท Zynga ใช้เวลาพัฒนาเกมส์ Farmville เพียง 5 สัปดาห์ แต่ภายในครึ่งปี มีผู้เข้ามาเล่นเกมส์นี้มากกว่า 60 ล้านคน เท่ากับประชากรของประเทศไทย)


07 มีนาคม 2553

Scent of Love - กลิ่นไอรัก (ตอนที่ 2)


ท่านผู้อ่านที่มีลูกแล้ว ผมเชื่อว่าน่าจะมีประสบการณ์ช่วงที่ลูกยังอยู่ในวัยเยาว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนแบเบาะ ที่เราจะอยากหอมลูกมากๆ เหมือนกับที่บางคนเขาเรียกว่า "อยากฟัด" เพราะเมื่อเราสูดกลิ่นไอของลูกเข้าไป เราจะเกิดความรู้สึกรัก ผูกพัน กับลูกของเราอย่างลึกซึ้ง คนที่มีลูกมากกว่าหนึ่งคน จะสามารถจำแนกได้ว่า ลูกของเราแต่ละคนนั้นมีกลิ่นตัวไม่เหมือนกัน เวลามีความเครียดไม่ว่าจากเรื่องงานหรืออะไรก็ตาม เมื่อกลับบ้านไปแล้วได้หอมกลิ่นแก้มของลูกแล้ว ความเหนื่อยทั้งหลายก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง

นักวิทยาศาสตร์สงสัยมานานแล้วล่ะครับว่า ความรักและความผูกพันอย่างลึกซึ้งนั้น อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับความสามารถในการสัมผัสกลิ่น แม้แต่ในมนุษย์กันเองก็เถิด ก่อนหน้านี้ ผมเคยนำมาเล่าให้ฟังว่า มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่ระบุว่า กลิ่นกายของฝ่ายตรงข้ามมีผลต่อการเลือกคู่ครอง โดยเจ้าตัวไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ โดยการได้กลิ่นกายที่บ่งบอกถึงความมีสุขภาพดี และมียีนของระบบภูมิคุ้มกันที่หลากหลาย ซึ่งสามารถจะทดแทนหรือเติมเต็มชุดพันธุกรรมของอีกฝ่ายได้ จะทำให้ได้รับการเลือกเป็นคู่กัน เหมือนในบทเพลงที่ร้องว่า "เนื้อคู่กันแล้ว ก็คงไม่แคล้วกันไปได้"

เร็วๆ นี้เองครับ ได้มีการรายงานถึงเรื่องของกลิ่นไอแห่งความรักในวารสาร Nature ฉบับออนไลน์วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2010 (doi:10.1038/nature08826) ซึ่งคณะวิจัยได้เปิดเผยผลการทดลองในหนูทดลอง โดยนำหนูทารกไปคลุกคลี คลอเคลีย กับหนูผู้ใหญ่ในระยะเวลาหนึ่ง หนูผู้ใหญ่กับหนูทารกจะมีโอกาสสัมผัสเคล้าคลอ ดมกลิ่นกันและกัน จากนั้นก็แยกหนูทารกออกมา ทิ้งระยะห่างไว้พักหนึ่งจึงนำหนูทารกชุดเดิมกลับมาให้อยู่กับหนูผู้ใหญ่อีก แต่ครั้งนี้ มีการผสมหนูทารกกลุ่มใหม่เข้าไปด้วย ผลก็คือ หนูผู้ใหญ่กลุ่มที่ฮอร์โมนวาโซเปรสซิน (Vasopression) ถูกบล็อกไม่ให้ทำงานนั้น ไม่สามารถจดจำหนูทารกตัวเดิมได้ รายงานนี้เป็นการเสริมความเชื่อที่ว่า ฮอร์โมนนี้มีส่วนโดยตรงกับการเกิดรักที่ฝังตรึง ซึ่งทำให้คนเรารักกันแนบแน่น โดยไปช่วยในการทำงานที่ทำให้มนุษย์สามารถได้กลิ่นไอรัก ....

06 มีนาคม 2553

Smound = Smell + Sound


เคยไหมครับที่เราออกไปรับประทานอาหารข้างนอก ในร้านที่บรรยากาศดีดี ถ้าเป็นอาหารฝรั่ง เรามักจะอยากฟังเพลงแจ๊สเบาๆ หรือหากดื่มกันด้วย ถ้าได้ฟังแนวเพลงเลาจ์ (Lounge music) ก็จะยิ่งทำให้อาหารอร่อย แต่ถ้าไปทานอาหารญี่ปุ่น แล้วได้ฟังเพลงญี่ปุ่น ก็จะยิ่งเจริญอาหารมาก ในขณะเดียวกันเวลาทานส้มตำกับลาบ แล้วได้ฟังเพลงหมอรำ นี่สิแซ่บอร่อยไปเลย ....

การรับประทานอาหารอร่อยๆ เคล้าคลอกับเสียงดนตรีที่เจริญหู ถือเป็นสุนทรีย์ของชีวิต .... เมื่อไม่นานมานี้เองครับ ได้มีการตีพิมพ์ผลงานวิจัยชิ้นหนึ่งในวารสาร Journal of Neuroscience (รายละเอียดเต็มเพื่อการอ้างอิงคือ Daniel W. Wesson, Donald A. Wilson, "Smelling Sounds: Olfactory–Auditory Sensory Convergence in the Olfactory Tubercle", Journal of Neuroscience 30 (2010) pp. 3013-3021) ที่เปิดเผยว่า การได้ยินเสียงมีผลต่อประสาทรับกลิ่นในหนูทดลอง โดยนักวิจัยได้ตรวจวัดการทำงานของประสาทสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับกลิ่น พบว่า เซลล์สมองบางส่วนก็มีการทำงานมากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงไปพร้อมๆ กับการรับกลิ่น โดยบางส่วนกลับทำงานน้อยลง แถมยังมีเซลล์สมองบางส่วนที่จะทำงานเฉพาะเมื่อมีเสียงและกลิ่นมาพร้อมๆ กัน นักวิจัยหวังว่าจากความรู้ตรงนี้ พวกเขาจะสามารถจดสิทธิบัตรเครื่องมือที่จะสร้างคลื่นเสียง ที่ไปทำให้ประสาทการดมกลิ่นของสุนัข ให้สามารถดมหาวัตถุระเบิดได้ดีขึ้น ซึ่งพวกเขาจำเป็นต้องศึกษาในรายละเอียดว่า คลื่นเสียงความถี่ใด ที่จะช่วยขยายสัญญาณประสาทสัมผัสกลิ่นของสุนัข

ตอนนี้ผมกำลังทดลองจิบไวน์ แล้วเปิดเพลงคลาสสิคฟังครับ มีความรู้สึกว่ารสชาติของไวน์นั้นสุดยอดจริงๆ .....

05 มีนาคม 2553

Kansei Engineering - วิศวกรรมอารมณ์ (ตอนที่ 3)


วิศวกรรมอารมณ์ เป็นเรื่องของการพัฒนาสินค้า โดยอาศัยการศึกษาการตอบสนองของผู้บริโภคในด้านต่างๆ ต่อตัวสินค้านั้น ผู้ผลิตสินค้าสามารถใช้เทคโนโลยีการตรวจวัดอาการของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น อากัปกริยา หน้าตา ท่าทาง ชีพจร การหายใจ การตอบสนองของกล้ามเนื้อ ไปจนกระทั่งใช้การสแกนสมองด้วยเครื่อง fMRI (Functional Magnetic Resonance Imaging)

บริษัทแคมเบลส์ (Campbell's) ผู้ผลิตซุปสำเร็จรูปยักษ์ใหญ่ ที่มียอดขายปีละกว่า 33,000 ล้านบาท ได้ใช้ศาสตร์ของวิศวกรรมอารมณ์ เพื่อกระตุ้นยอดขายซุปสำเร็จรูปของตนเอง เนื่องจากตลาดของซุปสำเร็จรูปนั้น มีลักษณะอุ้ยอ้ายเติบโตช้า แคมเบลส์จึงคิดอยากจะทำอะไรแบบยิ่งใหญ่สักครั้ง เพื่อทำให้ผู้บริโภคหันมาสนใจสินค้ามากขึ้น นั่นคือ การเปลี่ยนโฉมฉลากข้างกระป๋องรวมทั้งโลโก้ของบริษัท ที่ใช้มายาวนานนับร้อยปี ....

ก่อนหน้านี้ แคมเบลส์ได้วิจัยจนพบว่า การโฆษณาสินค้าผ่านสื่อใหญ่ๆ ไม่ได้ช่วยทำให้คนสนใจทานซุปมากขึ้นเลย แคมเบลส์จึงเปลี่ยนวิธีการที่เสียใหม่ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แคมเบลส์ได้ติดตั้งระบบเฝ้าติดตามพฤติกรรมของอาสาสมัคร 40 คน โดยระบบนี้จะทำการเฝ้ามองพฤติกรรมของลูกค้าเหล่านั้นในบ้าน รวมทั้งมีการตรวจวัดอาการทางร่างกายต่างๆ ผ่านเซ็นเซอร์ที่สวมใส่ได้ เช่น ชีพจร การหายใจ อัตราการเต้นของหัวใจ ความชื้นของผิวหนัง อากัปกริยา ท่าทาง การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ โดยมีการเก็บข้อมูลเมื่อลูกค้าทานซุป และออกไปชอปปิ้งในห้างสรรพสินค้า

ผลที่ได้ก็คือ แคมเบลส์เสนอให้มีการออกแบบฉลากใหม่ โดยจะไม่มีช้อนตักซุปในฉลากเวอร์ชันใหม่ เพิ่มไอน้ำอุ่นๆ ออกมาจากซุป ใช้ถ้วยที่ทันสมัยขึ้น และย้ายโลโก้สีแดงมาไว้ข้างล่าง เพื่อให้ลูกค้าจำแนกชนิดของซุปได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม ....

01 มีนาคม 2553

Body Electronics - อิเล็กทรอนิกส์บนผิวกายมนุษย์ (ตอนที่ 4)


เรากำลังอาศัยอยู่ในยุคแห่งการรวมเข้าเป็นหนึ่งระหว่างมนุษย์ กับ จักรกล (Man-Machine Integration) เป็นยุคที่จิตใจ กับ วัสดุ จะเข้ามาบรรจบกัน (Mind-Materials Convergence) อย่างที่ผมเรียนท่านผู้อ่านเสมอๆ ล่ะครับ กระบวนทัศน์ใหม่นี้ ต้องการการเปิดกว้างทางความคิดให้มากขึ้น ต้องการคนที่ทำงานข้ามศาสตร์ ข้ามสาขามากขึ้น เมื่อศาสตร์หลากสาขามาบรรจบ ความคิดจะบรรเจิด และจะบังเกิดความก้าวหน้าที่คาดไม่ถึงครับ ....

เมื่อประมาณปลายปี 2008 มีการตีพิมพ์ผลงานวิจัยหนึ่ง โดยนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบีย (University of British Columbia) ที่เปิดแนวคิดเกี่ยวกับการนำเอาน้ำตาลกลูโคสที่อยู่ในกระแสเลือดของมนุษย์ มาใช้เป็นพลังงานป้อนให้แก่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่ฝังอยู่ภายในหรือบนผิวกายมนุษย์ (รายละเอียดเต็มเพื่อการอ้างอิงคือ C.-P.-B. Siu, Mu Chiao, "A Microfabricated PDMS Microbial Fuel Cell", Journal of Microelectromechanical Systems 17 (2008) pp. 1329-1341.) งานวิจัยนี้ ฉายภาพให้เห็นอนาคตของการนำเอาพลังงานจากร่างกายของเราเอง มาหล่อเลี้ยงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ติดตั้งเข้าไปในร่างกายของเรา แทนที่จะใช้แบตเตอรีกระดุม เหมือนที่ทำกันอยู่ในปัจจุบัน ก่อนหน้านี้ ผมเคยเขียนเรื่องของหุ่นยนต์ที่รับประทานอาหารอินทรีย์ แบบเดียวกับสิ่งมีชีวิตทั่วไป ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า แนวโน้มของเทคโนโลยีในอนาคตกำลังเดินไปทางนี้ อีกหน่อย เราจะต้องทานข้าวร่วมกับจักรกลแล้วครับ ....

ผลงานวิจัยที่เสนอนั้น เป็นการนำเอาเซลล์เชื้อเพลิงจุลชีพ (Microbial Fuel Cell) ซึ่งบรรจุยีสต์ชนิดเดียวกับที่ใช้หมักเบียร์หรือเบเกอรี ซึ่งมีชื่อว่า Saccharomyces cerevisiae โดยเจ้ายีสต์ตัวนี้จะย่อยน้ำตาลกลูโคสในเลือดของเรา โดยจะได้อิเล็กตรอนออกมา นักวิจัยได้ใช้สารเคมีชนิดหนึ่งซึ่งสามารถผ่านเข้าไปในเซลล์ของยีสต์ แล้วไปขโมยเอาอิเล็กตรอนที่ผลิตได้ออกมาใช้งาน โดยมันจะเคลื่อนเข้าหาขั้วลบเพื่อไปปล่อยอิเล็กตรอน ในขณะที่ไฮโดรเจนไอออน จากเซลล์ของยีสต์จะเคลื่อนเข้าหาขั้วบวก ก่อให้เกิดกระแสไหลไปเลี้ยงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ได้

อนาคตเราคงจะได้เห็นว่า คนอ้วนจะกลายเป็นคนได้เปรียบ เพราะเขาหรือเธอสามารถใช้โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค หรือ กล้องถ่ายรูป ได้นานๆ ด้วยการอาศัยพลังงานจากพุงและต้นขา ....