แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ food แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ food แสดงบทความทั้งหมด

02 กันยายน 2557

เครื่องชิมต้มยำกุ้ง - Electronic Nose



ต้มยำกุ้งเป็นอาหารไทยที่ต่างชาติรู้จักมากที่สุด จนเอาไปตั้งเป็นชื่อของวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อ ปี ค.ศ. 2540 ในภัตตาคารอาหารไทยทั่วโลก ต้องมีต้มยำกุ้งในเมนูทุกร้าน ซึ่งรสชาติและสีสันก็จะมีความแตกต่างกันไปตามวัตถุดิบและสูตรของแต่ละร้าน

ซึ่งไอ้เจ้าความแตกต่างของแต่ละร้านนี่หล่ะครับที่น่าเป็นห่วง ไม่เหมือนกินแม็คโดนัลด์ที่มันเหมือนกันทุกที่ ดังนั้น ต้มยำกุ้งก็น่าจะมีสูตรกลาง หรือ ตำหรับกลางที่เป็นมาตรฐาน เพราะมันสำคัญมากในเรื่องของความเป็นแบรนด์ ที่ต้องคงและรักษาเอกลักษณ์ของรสชาติแท้ๆ เอาไว้ (ซึ่งตัวผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า รสชาติแท้ๆ มันเป็นอย่างไร) โดยการทำตามสูตรของแต่ละร้าน ก็อาจเบี่ยงเบนไปจากสูตรกลางได้ แต่ไม่ควรจะไปไกลจนกู่ไม่กลับ

ด้วยความร่วมมือกับบริษัทโมบิลิส ออโตมาต้า และสถาบันนวัตกรรมแห่งชาติ ทางหน่วยวิจัยของผมจึงได้พัฒนาเครื่องตรวจกลิ่นต้มยำกุ้งขึ้นมา ซึ่งมีลักษณะเป็นจมูกอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถจดจำ และจำแนกรายละเอียดของกลิ่นได้ โดยเครื่องนี้จะช่วยในการควบคุณภาพของต้มยำกุ้งที่จะส่งออกขายไปทั่วโลก และในร้านอาหารไทยทั่วโลก ให้มีต้มยำกุ้งรสชาติที่มีมาตรฐาน และรักษาเอกลักษณ์ของไทย

เจ้าเครื่องดมกลิ่น Electronic Nose นี้จะตรวจวัดโมเลกุลกลิ่นที่ออกมาจากต้มยำกุ้ง ทำให้รู้ว่ามีกลิ่นอะไร เท่าไหร่ และช่วยบอกว่าสูตรนี้ใช้ได้หรือไม่ เพราะกลิ่นของอาหาร เป็นตัวบอกความอร่อยครับ .... ส่วนในแง่รสชาติ เปรี้ยว หวาน เค็ม นั้น ทางทีมวิจัยอีกทีมหนึ่งที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จะเป็นคนทำครับ

Credit - Picture from Center of Nanotechnology, Faculty of Science, Mahidol University

31 สิงหาคม 2557

ไอบีเอ็ม บุกเบิกโลกแห่งอาหารดิจิตอล



ไอบีเอ็ม (IBM) วิจัยและพัฒนาอาหารแนวใหม่ หรือ การปรุงอาหารแบบจิตสัมผัส (Cognitive Cooking) โดยให้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ เรียนรู้สูตรอาหารในโลกทั้งหมด คอมพิวเตอร์จะประมวลผลว่าวัตถุดิบอะไร จากที่ไหน เอามาทำอะไรได้บ้าง มันจะประมวลผลโมเลกุลที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของอาหาร ว่าทำไมคนถึงเอาวัตถุดิบอันนี้ มาอยู่กับอันนั้น ... แล้วมันก็จะแนะนำเมนูอาหารใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งคนน่าจะกินแล้วถูกปาก ทั้งนี้ไอบีเอ็มได้ทดลองสูตรอาหารใหม่ โดยการส่งรถขายอาหารที่เรียกว่า Food Truck ออกไปให้บริการตามสถานที่ต่างๆ ทั่วสหรัฐ เพื่อเก็บข้อมูลว่าเมื่อคนกินแล้วจะรู้สึกอย่างไร ชอบหรือไม่

ในอนาคต ... ไอบีเอ็มต้องการจะเข้าไปเป็นผู้ให้บริการในอุตสาหกรรมอาหาร ตั้งแต่ระบบไอทีในการจัดส่งวัตถุดิบ การบริหารร้านอาหาร บริหารเครือข่ายโลจิสติกส์ ไปจนถึงการสร้างอาหารประดิษฐ์ชนิดใหม่สำหรับเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ซึ่งในอนาคต เนื่องจากไอบีเอ็มเป็นบริษัทที่ครอบครองสิทธิบัตรมากที่สุดในโลก และในสมัยที่เกิดเครื่องคอมพิวเตอร์แบบ PC ไอบีเอ็มเองก็เป็นผู้ให้สิทธิ์การผลิตคอมพิวเตอร์แก่บริษัทต่างๆ ... ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่า เมื่ออุตสาหกรรมอาหารเข้าสู่ยุคของการผลิตแบบ 3 มิติ เกิดเครื่องพิมพ์อาหารแบบต่างๆ เกิดขึ้น ไอบีเอ็มก็จะครอบครองสิทธิ์ต่างๆ ทั้งเครื่องพิมพ์ สูตรหมึกในการพิมพ์อาหาร (Food Ink) เครื่องกำเนิดรสชาติ (Favor Machine) ต่างๆ 

นับว่า เค้าคิดไกลจริงๆ นะครับ

Credit :
- Picture from http://payload.cargocollective.com/1/0/31063/386201/food_800.jpg
- Picture from http://blog.ice.edu/wp-content/uploads/2014/03/FoodTruck-PR-Photo-550x367.jpg

31 สิงหาคม 2556

Digital Food - อาหารดิจิตอล (ตอนที่ 5) ตอน เครื่องเลี้ยงแมลง



(Picture from http://www.dailymail.co.uk)

ความคิดสร้างสรรค์ที่น่ายกย่องเรื่องหนึ่งของคนอีสานคือ การรู้จักนำแมลงมาทำเป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็นหนอนรถด่วน ไข่มดแดง จิ้งหรีด ด้วงมะพร้าว ตัวอ่อนผึ้ง ตั๊กแตน เป็นต้น สหประชาชาติถึงกับรณรงค์ให้ประชากรโลกหันมากินแมลงกันเยอะๆ เพราะแมลงเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง อีกทั้งยังมีแมลงอยู่ตั้ง 1,900 ชนิดที่มนุษย์สามารถรับประทานได้ การเพาะเลี้ยงแมลงยังช่วยลดโลกร้อน เนื่องจากใช้พลังงานน้อยกว่าการเลี้ยงสัตว์พวก หมู ไก่ วัว มีการประเมินกันว่าในปี ค.ศ. 2050 โลกต้องการอาหารเนื้อสัตว์เพิ่มอีก 50% แล้วจะไปเอาเนื้อสัตว์จำนวนนี้มาจากไหนหล่ะครับ ก็ต้องแมลงนี่แหล่ะ โลกจึงต้องการธุรกิจฟาร์มเลี้ยงแมลงอย่างจริงจัง ..... ท่านผู้อ่านอาจจะตกใจ ถ้าผมจะบอกว่า ในภาคอีสานของเราเองนั้น มีการทำฟาร์มเลี้ยงจิ้งหรีดอยู่ถึง 20,000 ฟาร์ม และมีการผลิตแมลงสำหรับรับประทานมากถึงปีละ 7,500 ตันเลยทีเดียวครับ น่าสนใจมากครับ เราอาจจะกลายเป็นประเทศที่ผลิตแมลงส่งออกระดับโลกในไม่ช้านี้ก็ได้

ในช่วงหลังๆ นี้ ฝรั่งเริ่มมาสนใจในเรื่องของการบริโภคแมลงอย่างจริงจังมากขึ้น จนเกิดแนวคิดในเรื่องของการสร้างเครื่องเลี้ยงแมลงขึ้นมา เพื่อผลิตแมลงใช้บริโภคเองในบ้าน โดยต้องการให้เครื่องนี้เป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ประเภทหนึ่ง ไม่ต่างจากหม้อหุ้งข้าวอัตโนมัติ ซึ่งไม่นานมานี้เอง นักออกแบบสาวชาวออสเตรียชื่อ แคทรีนา อุงเกอร์ (Katharina Unger) ได้ออกแบบและสร้างเครื่องเลี้ยงตัวอ่อนแมลงที่ใช้ชื่อทางการค้าว่า Farm 432 โดยเครื่องนี้ทำงานแบบอัตโนมัติในการเลี้ยงตัวอ่อนแมลงชนิดหนึ่ง วิธีการทำงานคือ เราจะใส่ไข่ของแมลงเป้าหมายลงไปในช่องๆ หนึ่ง เหมือนใส่น้ำยาซักผ้าลงไปในเครื่องซักผ้าแหล่ะครับ จากนั้นเครื่องจะทำงานในการปรับสภาพอุณหภูมิและความชื้น ไข่จะฟักเป็นตัวแมลง แมลงจะผสมพันธุ์ และกินอาหารต่างๆ ที่เราจะป้อนเข้าไปในช่องวัตถุดิบ จากนั้นแมลงจะวางไข่ และไข่ฟักออกมาเป็นตัวอ่อน ตัวอ่อนจะไต่ขึ้นไปในช่องไต่ แล้วตกลงไปในถ้วยเก็บ เราก็เอาตัวอ่อนนั่นแหล่ะครับไปทำเป็นอาหารได้เลย โดยอาจจะแบ่งตัวอ่อนส่วนหนึ่ง นำกลับมาป้อนใส่เครื่องเพื่อผลิตตัวอ่อนแมลงไว้กินในมื้อต่อไป แคทรีนาบอกว่า เจ้าเครื่องที่เธอออกแบบนี้สามารถเปลี่ยนไข่ของแมลง 1 กรัม ให้เป็นอาหาร 2.4 กิโลกรัมได้ภายในเวลา 432 ชั่วโมง ไม่เลวเลยใช่มั้ยครับ

เห็นหรือยังครับว่า แนวคิดใหม่ๆ กระบวนทัศน์ใหม่ๆ ของการผลิตและบริโภคอาหาร เริ่มปรากฎชัดขึ้นเรื่อยๆ .... ท่านผู้อ่านพร้อมหรือยังครับ กับการเข้ามาของ Digital Food !!!

09 สิงหาคม 2556

Digital Food - อาหารดิจิตอล (ตอนที่ 4) ตอน Google Burger


(ในภาพ: Sergey Brin หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัท Google ผู้สนับสนุนโครงการ Google Burger ด้วยวิธีการปลูกเนื้อเยื่อ)

ยุ่งแล้วล่ะสิครับท่านผู้อ่าน ... ในบทความซีรีย์นี้เมื่อตอนที่แล้ว ผมเพิ่งจะพูดไปว่า คอยดูสิ บริษัทที่ทำเกษตรแบบซีพีอีกหน่อยจะล้าสมัย และล้มตายไปจากวงการธุรกิจ แต่บริษัทแบบกูเกิ้ล กับ ไอบีเอ็ม ที่ทำด้านไอที อีกหน่อยจะกลายมาเป็นยักษ์ใหญ่ทางด้านเกษตรและอาหารแทน .... เพิ่งพูดไป ไม่น่าเชื่อว่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ กูเกิ้ลได้ออกมาประกาศความสำเร็จในการผลิตแฮมเบอร์เกอร์ที่เกิดจากการเลี้ยงเนื้อเยื่อในหลอดแก้ว เป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งโครงการนี้ได้รับการสปอนเซอร์ด้วยเม็ดเงินมหึมาจาก เซอร์เก้ บริน (Sergey Brin) หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทกูเกิ้ล ทั้งนี้ในงานเปิดตัว ได้มีการนำเนื้อที่ได้จากการทดลองนี้ มาทอดด้วยเนยและน้ำมันพืชจากดอกทานตะวัน จากนั้นได้ให้นักชิม 2 คน ที่คัดเลือกมาให้ชิมแฮมเบอร์เกอร์แห่งโลกอนาคตนี้ ทำการชิมต่อหน้าผู้ชมจำนวนมาก ฮานนี รุทซเลอร์ (Hanni Rutzler) นักวิทยาศาสตร์ทางอาหารชาวออสเตรียได้บรรจงเคี้ยวแฮมเบอร์เกอร์นี้จำนวน 27 ครั้งก่อนที่จะกลืนเต็มๆ คำ ได้กล่าวว่า "มันเหมือนกับเนื้อจริงๆ มากครับ เพียงแต่ยังต้องปรับปรุงเรื่องรสชาติหน่อย" ส่วนนักชิมอีกท่านหนึ่งคือ จอร์ช ชอนวาลด์ (Josh Schonwald) ซึ่งเป็นนักเขียนเกี่ยวกับเรื่องข้าวปลาอาหาร ได้บอกว่า "สิ่งที่รู้สึกขาดไปคือไขมันครับ แต่ความรู้สึกจากการกัดและเคี้ยว บ่องตง ว่ามันเหมือนแฮมเบอร์เกอร์ที่ทำจากเนื้อจริงมากๆ"

เนื้อที่ปลูกขึ้นมาเหมือนเราปลูกพืชนี้ มีข้อดีมากมาย และมีโอกาสทำการตลาดจากข้อได้เปรียบเหนือคู่แข่งที่เป็นเนื้อจริงคือ

(1) เนื้อหลอดแก้วปลูกจากเซลล์เนื้อวัว แล้วทำให้มันโตขึ้นมาด้วยการป้อนอาหารเข้าไปที่เซลล์โดยตรง ทำให้มีประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรสูงมาก จึงเป็นเนื้อที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่า วัวตัวเต็มวัยตัวหนึ่ง ผายลมเอาก๊าซมีเธนออกมาปีละ 180 กิโลกรัม ซึ่งก๊าซมีเธนนี้เป็นก๊าซเรือนกระจก ที่ดักจับความร้อนในชั้นบรรยากาศของโลกได้ดีกว่า คาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25 เท่า การผลิตเนื้อวัวนั้นทำลายสิ่งแวดล้อมมากที่สุด เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับเต้าหู้ ซึ่งเป็นอาหารหลักของนักมังสวิรัติแล้ว มันใช้พื้นที่เกษตรกรรมมากกว่าเป็น 17 เท่า ใช้น้ำมากกว่า 26 เท่า ใช้เชื้อเพลิงมากกว่า 20 เท่า แถมยังใช้สารเคมีมากกว่าอีก 6 เท่า จากรายงานขององค์กรอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (UN's FAO) พบว่าอุตสาหกรรมปศุสัตว์ปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาทั้งหมด 18% ซึ่งมากกว่ารถยนต์ รถไฟ เรือ และเครื่องบิน รวมกันเสียอีก ดังนั้น การผลิตเนื้อวัวด้วยการปลูกเนื้อเยื่อ จะทำให้ผู้บริโภคที่มีความเป็นห่วงสิ่งแวดล้อมเลิกกินเนื้อวัวจริง แล้วหันมาบริโภคเนื้อปลูกมากขึ้นเรื่อยๆ

(2) การปลูกเนื้อในหลอดแก้ว ไม่ต้องมีการฆ่าวัวจริงๆ เป็นการผลิตอาหารไม่ต่างจากการปลูกพืช ซึ่งจะทำให้ตลาดมังสวิรัติยอมรับการทานเนื้อ เป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่ไม่ผิดศีลข้อที่ 1 จึงน่าจะมีอนาคต

(3) ถึงแม้เนื้อแฮมเบอร์เกอร์นี้จะเป็นเนื้อวัว แต่เกิดจากการปลูกขึ้นมา ไม่ได้มีการฆ่าวัว จึงน่าจะเจาะตลาดผู้ที่ทานเนื้อสัตว์แต่ไม่ทานเนื้อวัว โดยเฉพาะคนจีนที่นับถือพระโพธิสัตว์กวนอิม รวมไปถึงคนไทยส่วนใหญ่ที่ไม่ทานเนื้อวัวเพราะมีกลิ่น เนื้อที่ปลูกนี้เราสามารถ engineer กลิ่นให้เหมาะกับจมูกคนไทยได้

(4) เนื้อที่ปลูกปราศจากเชื้อโรค โดยเฉพาะโรควัวบ้า

(5) เทคโนโลยีนี้คิดโดยคนตะวันตก ดังนั้นอีกไม่นานเราจะเริ่มเห็นมาตรการต่างๆ ของประเทศตะวันตกที่จะกีดกันทางการค้า และสร้างเงื่อนไขใหม่ๆ ที่จะไม่ยอมรับเนื้อสัตว์ที่เกิดจากการเลี้ยง อีกไม่นาน การปลูกเนื้อสัตว์จะเริ่มระบาดไปสู่เนื้อหมู และ เนื้อไก่ ซึ่งประเทศไทยเป็นผู้นำในการส่งออก ทำให้การส่งเนื้อไก่ (จริงๆ) ไม่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค ไม่ว่าจะในเรื่องของความสะอาด ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และในเรื่องศีลธรรม ... คอยดูนะครับว่าเมื่อเขาทำเป็นอุตสาหกรรมได้เมื่อไหร่ ประเทศไทยรับผลกระทบเต็มๆ แน่ครับ

พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติมรรคมีองค์ 8 ว่าเป็นทางสายกลางที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้น สัมมาอาชีวะก็เป็นมรรคข้อหนึ่ง นั่นคือ การมีอาชีพที่สุจริตไม่เบียดเบียนผู้อื่น อาชีพการเลี้ยงสัตว์อย่างที่ทำกันในปัจจุบันเป็นอาชีพสุจริตแต่ก็ยังต้องเบียดเบียนชีวิตสัตว์ จึงอาจจะไม่ใช่สัมมาอาชีวะที่สมบูรณ์ แต่ในอนาคตการเลี้ยงสัตว์เพื่อนำมาเป็นอาหารจะเป็นสัมมาอาชีวะได้ เพราะเราจะไม่เลี้ยงสัตว์ แต่จะใช้การ "ปลูกสัตว์" แทนครับ

05 กรกฎาคม 2556

Digital Food - อาหารดิจิตอล (ตอนที่ 3)



(Picture from  spectrum.ieee.org)

ถ้าผมจะบอกว่า "ในอนาคต กูเกิ้ลและไอบีเอ็ม จะเป็นยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร ส่วนบริษัทซีพี จะหายไปจากประเทศไทย" ท่านผู้อ่านจะเชื่อไหมครับ วันนี้ผมจะขอกลับมาคุยต่อในเรื่องของเทคโนโลยี Digital Food ที่กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์ โดยผมจะขอเสนอมุมมองในภาพใหญ่ว่า Digital Food จะเข้ามาเปลี่ยนวิธีการกินของลูกหลานเราอย่างไร ซึ่งผมจะเสนอแนวคิดแบ่งเป็นระดับต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ดังนี้ครับ

(1) ในระดับต้นน้ำ ก็คือ การปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ เพื่อให้ได้อาหารเกิดขึ้น จะมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ที่ผมจะขอยกตัวอย่างให้ดูดังนี้ครับ

- แนวโน้มใหญ่อันหนึ่งน่าจะมาครับ นั่นคือ การ "ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์" จะเปลี่ยนไปเป็นการ "ปลูกสัตว์ เลี้ยงพืช" เปลี่ยนยังไง อ่านต่อข้างล่างครับ

- การปลูกสัตว์คืออะไร คือการที่เราผลิตเนื้อสัตว์ขึ้นมาโดยไม่ต้องมีการเลี้ยงสัตว์จริง มีการเสนอเทคโนโลยีขึ้นมาหลายชนิด ตั้งแต่การเลี้ยงเนื้อเยื่อสัตว์ โดยเพาะให้โตขึ้นมาจากสเต็มเซลล์ แบบเดียวกับการเพาะเมล็ดให้โตมาเป็นพืช เราอยากจะกินส่วนไหนมาก ก็ปลูกส่วนนั้น เช่น คนชอบกินน่องไก่ ก็ปลูกน่องไก่ขึ้นมาเยอะๆ การปลูกสัตว์ทำให้เราไม่ต้องฆ่าสัตว์ ไม่ต้องผิดศีลข้อ 1 ซึ่งก็จะทำให้คนที่กินมังสวิรัติหันมากินเนื้อปลูก นอกจากนั้นแล้วยังมีการเสนอแนวคิดในการเลี้ยงสัตว์แบบในภาพยนตร์เรื่อง The Matrix คือมีแต่ตัว แต่ไม่มีจิตใจ เพราะมีการตัดสมองส่วนความรู้สึกนึกคิดออกไป ทำให้สัตว์เลี้ยงมีแต่ตัว แต่ไม่มีหัวใจ (การคิด)

- การเลี้ยงพืช คือ การดูแลพืชจากเดิมที่เคยปลูกแล้วทิ้งๆ ไว้ ก็จะเป็นการดูแลเอาใจใส่อย่างแม่นยำ เหมือนการเลี้ยงสิ่งที่มีจิตใจ เพราะในระยะไม่กี่ปีมานี้ นักวิทยาศาสตร์พบหลักฐานใหม่ๆ ว่าพืชเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถเชิงตรรกะ เรียกว่ามี Intelligence หรือ ปัญญานั่นเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อน ดังนั้นความเข้าใจในเรื่องนี้มากขึ้น จะนำมาสู่การเลี้ยงพืชที่ให้ผลผลิตตามที่เราต้องการ

- การเกษตรแม่นยำสูง (Precision Farming) จะเข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญ เทคโนโลยีดิจิตอล จะช่วยให้การผลิตมีตรรกะ มีการประมวลผล มีการสนับสนุนด้วยข้อมูล เกษตรกรจะใช้ข้อมูลต่างๆ มากมายในการจัดการฟาร์ม ฟาร์มจะถูกเชื่อมโยงเข้ากับระบบคลาวด์ ฟาร์มจะเชื่อมโยงกับเขื่อนที่ปล่อยน้ำ เชื่อมโยงกับห้างสรรพสินค้า และผู้ใช้ผ่าน Sensor and Social Networks

(2) ในระดับกลางน้ำ คือการแปรรูปอาหาร การนำอาหารไปทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ แนวโน้มใหม่ที่น่าจะเกิดขึ้นคือ

- การผลิตอาหารจะใช้ระบบดิจิตอล และระบบติดตามมากขึ้น อาหารจากต้นน้ำจะมีระบบติดตามจนมาถึงการแปรรูป และไปสู่ผู้บริโภค เช่น หมูที่เลี้ยงจะมีไมโครชิพที่เรียกว่า RFID ติดไว้กับตัว เมื่อหมูถูกนำไปชำแหละเป็นเนื้อหมูใส่ในแพ็คเกจวางขายในห้างสรรพสินค้า ในแพ็คเกจจะมีแถบอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถติดตามได้ว่า เนื้อหมูนี้มาจากหมูตัวไหน ที่ฟาร์มอะไร เมื่อผู้ซื้อซื้อไปแล้วเกิดปัญหาเช่น ป่วยจากแบคทีเรียในเนื้อหมู จะสามารถติดตามได้เลยว่ากินหมูตัวไหน เลี้ยงที่ไหนเข้าไป

- อาหารจะผูกโยงกับเรื่องพลังงานและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เมื่อมีการนำเซ็นเซอร์ตรวจวัดไปใช้ในกระบวนการต้นน้ำมากขึ้น จะทำให้ผู้บริโภคสามารถรู้รายละเอียดของอาหารไปจนถึงว่าอาหารที่จะกิน มีส่วนเกี่ยวข้องกับโลกร้อนมากแค่ไหน ใช้พลังงานเท่าไหร่ในการผลิตต่อกิโลกรัม ผู้บริโภคจะปฏิเสธที่จะกินเนื้อไก่ที่เกิดจากการเลี้ยงไก่แบบแออัดยัดเยียด เหมือนที่บริษัทซีพีทำอยู่ในขณะนี้ 

- มีการนำเซ็นเซอร์มาใช้กับอาหารมากขึ้น เกิดเป็นบรรจุภัณฑ์ฉลาด (Smart Packaging) ที่มีการตรวจวัดอาหารแบบเรียลไทม์ เช่น เซ็นเซอร์ตรวจวัดความสุกของผลไม้ จะบอกว่าถ้าซื้อไปจะต้องกินภายในวันไหน เนื้อหมูสดหรือไม่ อาหารที่บรรจุเคยผ่านโกดังที่มีอุณหภูมิสูงเกินไปหรือไม่ แม้กระทั่งคุณภาพความน่ากินของอาหารที่ลดลงไปหากวางไว้นาน ก็อาจนำมาใช้ในการลดราคาอาหารลงแบบเรียลไทม์ก็ได้ (ในอนาคต ป้ายบอกราคาก็เป็นดิจิตอล LED กันหมด ผู้ซื้อสามารถใช้โทรศัพท์มือถือสแกนที่อาหาร เพื่อขอข้อมูลรายละเอียดได้ โดยนำมือถือไปแตะของที่จะซื้อ)

- จะมีสูตรอาหารใหม่ๆ มากขึ้น จะมีการนำเอาเทคโนโลยีเช่น จมูกอิเล็กทรอนิกส์ ลิ้นอิเล็กทรอนิกส์ มาใช้ทำมาตรฐานความอร่อย อาหารแต่ละแพ็คเก็จ แต่ละจานที่ออกไปจะรู้ความอร่อยเลยครับ มากไปกว่านั้นคือ คอมพิวเตอร์จะถูกนำมาใช้ออกแบบอาหารใหม่ๆ ที่มีรสถูกปากมนุษย์ เราจะมีตำหรับอาหารแปลกๆ ใหม่ๆ ออกมามากมายที่ไม่เคยมีมาก่อน

(3) ในระดับปลายน้ำ คือ ระดับผู้บริโภคอาหาร สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นคือ

- ระบบติจิตอลจะมาอยู่ในครัวมากขึ้น ตู้เย็นจะมีความฉลาดมากขึ้น มันจะเชื่อมโยงกับระบบอินเตอร์เน็ต ตู้เย็นฉลาดนี้จะต่อเชื่อมกับเซ็นเซอร์ตรวจวัดสุขภาพของบุคคลต่างๆ ในบ้าน มันจะแนะนำเมนูอาหารที่ควรรับประทาน หากผู้ใช้ยินยอม มันจะเชื่อมต่อสั่งของจากเทสโก้ โลตัสให้มาส่งของที่บ้าน มันจะคอยตรวจเช็คว่าอาหารใกล้หมดหรือยัง แล้วคอยจัดการตารางการสั่งของให้ ในตู้เย็นจะมีเซ็นเซอร์คอยตรวจจับคุณภาพของอาหารให้สดอยู่เสมอ

- จะมีสิ่งที่เรียกว่า Robot Chef เกิดขึ้น เราอาจจะเรียกว่าเป็น พ่อครัวหุ่นยนต์ หรือ พ่อครัวอิเล็กทรอนิกส์ มันจะเป็นเครื่องที่สร้างอาหารให้เรากิน โดยในเครื่องจะมีส่วนผสมอาหารต่างๆ เป็นตลับ คล้ายๆ ตลับหมึกในเครื่องพรินเตอร์นั่นหล่ะครับ เครื่องที่มีความซับซ้อนมากๆ ก็จะมีตลับวัตถุดิบจำนวนมาก โดยในตลับจะมีทั้งวัตถุดิบต่างๆ รสชาติ กลิ่น เมื่อเราอยากกินอะไร เราก็ไปกดโปรแกรม เจ้าเครื่องนี้ก็จะทำการพิมพ์อาหารออกมาโดยใช้วัสดุจากตลับนั้นแหล่ะครับ มันจะสร้างอาหาร ผสมส่วนผสมต่างๆ แล้วใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่ออุ่น ทำให้สุก หรือ ใช้แผ่นเย็นเพื่อทำให้เย็น ในกรณีที่เราสั่งของเย็น เช่น เฟรปเป้ ไอศกรีม เป็นต้น เอาไว้ผมจะค่อยเล่าเรื่องนี้อีกครั้งครับ วันนี้มีเวลาแค่นี้

เตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมท้อง เอาไว้กิน Digital Food กันได้เลยครับ .....

12 มิถุนายน 2556

Digital Food - อาหารดิจิตอล (ตอนที่ 2)



เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้มีโอกาสเข้าไปในงานเลี้ยงงานหนึ่ง ซึ่งมีไวน์ต่างๆ ให้ชิมฟรีตลอดงาน ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า ในสังคมของคนดื่มไวน์นี้ มันมีอาชีพหนึ่งที่เรียกว่า ซอมเมอลิเยร์ (Sommelier) ซึ่งหน้าที่ของคนทำอาชีพนี้คือ เป็นผู้ดูแลและให้คำแนะนำลูกค้าที่เข้ามารับประทานอาหารในร้าน (ซึ่งแน่ละ ต้องเป็นร้านหรูๆ ระดับภัตตาคาร หรือ โรงแรมหรู) โดยพิจารณารสนิยมการดื่มไวน์ของลูกค้า ว่าลูกค้าชอบดื่มไวน์แนวไหน สไตล์การดื่มเป็นอย่างไร ชอบไวน์บอดี้หนักหรือเบา มีองุ่นพันธุ์อะไรชอบเป็นพิเศษมั้ย จากนั้นก็นำเสนอไวน์ที่มีในร้านให้ลูกค้าเลือก ซึ่งจริงๆ แล้ว ซอมเมอลิเยร์ที่เก่ง นอกจากจะรู้เรื่องไวน์ขั้นเซียนแล้ว ยังจะต้องมีจิตวิทยาในการนำเสนอด้วยนะครับ เช่น ซอมเมอลิเยร์ไม่จำเป็นต้องนำเสนอไวน์ตัวที่แพงที่สุด ดีที่สุดในร้าน แต่ต้องนำเสนอไวน์ที่เหมาะสมที่สุด สำหรับความต้องการของลูกค้า ต้องดูว่าลูกค้าเป็นมือใหม่หรือป่าว จะได้แนะนำไวน์ที่ในระดับ Introduction เพื่อให้ลูกค้าเรียนรู้กลิ่นและรสชาติ ถือเป็นการ learning ของลูกค้าไปในตัว ทั้งนี้ หากลูกค้าสนใจอยากรู้อะไร สามารถสอบถามซอมเมอลิเยร์ได้ทุกเรื่อง และซอมเมอลิเยร์จะยินดีให้บริการตอบคำถามที่เขารู้ นี่คือความเป็นมืออาชีพของซอมเมอลิเยร์ เลยครับ นอกจากนี้แล้ว ซอมเมอลิเยร์ ยังรับหน้าที่ดูแล บริหารจัดการไวน์ในร้าน ทั้งการสั่งไวน์มา การเก็บรักษา เพื่อรักษามาตรฐานของร้านอีกด้วย

อีกเรื่องที่ผมเกือบลืมกล่าวถึง (ถ้าลืมหล่ะ แย่เลย) ก็คือ นอกจากซอมเมอลิเยร์จะนำเสนอไวน์ในร้านให้ตอบสนองต่อรสนิยม และความต้องการของลูกค้าแล้ว ซอมเมอลิเยร์ยังจะต้องเลือกไวน์ให้เข้ากับอาหารที่ลูกค้าจะสั่งมารับประทานอีกด้วย ซอมเมอลิเยร์ต้องพิจารณาว่าไวน์ขวดไหนจึงจะเหมาะกับอาหารที่สั่งมา ดื่มแล้วมันจะเข้ากันมั้ย อะไรแบบนี้ครับ อันนี้สิครับ เป็นศาสตร์ที่ผมต้องตั้งข้อสงสัยขึ้นมาแล้วหล่ะสิว่า ซอมเมอลิเยร์ใช้ทักษะอะไร มาตรฐานอะไร มากำหนดว่าอะไรที่เรียกว่าเข้ากัน หรือไปด้วยกันได้ อะไรที่เข้ากันไม่ได้ ดื่มและทานร่วมกันไม่ได้ .... หลักการอะไรล่ะ ที่บอกว่ามันเข้ากันได้ กลมกล่อม หรือ ไม่ได้เรื่อง .... หรือว่าสิ่งนี้มันเป็นแค่ความรู้สึกของซอมเมอลิเยร์เท่านั้น

จริงๆ แล้ว เรื่องของตำรับอาหารที่เป็นที่ชื่นชอบในเรื่องรสชาติ ความเอร็ดอร่อย ความกลมกล่อมและติดลิ้นนั้น จะว่าไปก็อาจจะเป็นเรื่องของภูมิปัญญาชาวบ้านก็ว่าได้ เพราะแต่ก่อนนั้น การที่จะรู้ว่าส่วนประกอบอะไร ควรจะใช้กับอาหารอะไร การจับคู่เอาวัสดุทางอาหาร นู่น นี่ นั่น มาผสมกัน โดยผ่านกระบวนการทางอาหารที่แตกต่างกัน จะตำ คลุก ทอด ปิ้ง ย่าง จนกระทั่งได้ตำรับอาหารที่เป็นที่ถูกอกถูกใจนั้น ล้วนผ่านวิวัฒนาการ การลองผิด ลองถูก มาหลายชั่วคน จนกระทั่งคนรุ่นหลังที่จดจำมา ก็ไม่รู้หรอกว่า ทำไมส่วนประกอบนี้ถึงต้องคู่กับอันนั้น ถึงจะอร่อย

ถ้าเรามองอาหารทั้งจาน เป็นเหมือนที่รวมของวัสดุต่างๆ ซึ่งจริงๆ แล้วก็คือโมเลกุลชนิดต่างๆ นั่นเอง การที่โมเลกุลต่างๆ เหล่านั้นมาอยู่รวมกัน แล้วทำให้ประสาทสัมผัสทางลิ้น และ จมูกที่ได้กลิ่นของเราเกิดชื่นชอบขึ้นมา ล้วนมีเหตุผล มีหลักการในตัวของมันเอง เช่น ต้มยำกุ้ง มีโมเลกุลอาหารและโมเลกุลกลิ่นชนิดต่างๆ ที่สร้างรสชาติและความอร่อยขึ้นมา ซึ่งสัดส่วนที่เหมาะสมของโมเลกุลเหล่านั้นที่มีอยู่ในตัวต้มยำกุ้ง ย่อมทำให้ต้มยำกุ้งเกิดความอร่อยขึ้นมา ทีนี้ หากเราใส่โมเลกุลที่แปลกๆ ลงไป หรือเปลี่ยนสัดส่วนของโมเลกุลที่เหมาะสม ก็อาจทำให้รสชาติของต้มยำกุ้งเปลี่ยนไปจนกระทั่ง "แหลกม่ายล่าย" เลยก็เป็นได้นะครับ

ถ้าสมมติฐานที่ผมกล่าวมามันมีหลักการที่เป็นไปได้ ทำไมเราจะไม่สามารถสร้างอาหารขึ้นมาจากการเอาโมเลกุลต่างๆ มาผสมกันล่ะครับ ดีไม่ดี เราอาจจะได้ตำรับอาหารแปลกๆ ใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน แถมอร่อยด้วย เผลอๆ ทำออกมาขายดีเป็นเทน้ำ เทท่า รวยไม่รู้เรื่องเลยนะครับ การที่เราสามารถสร้างอาหารด้วยการนำเอาโมเลกุลต่างๆ มาผสมกัน มีข้อดีมากมายคือ

(1) เราสามารถสร้างอาหารอะไรออกมาก็ได้ ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่สามารถทำงานแบบอัตโนมัติ เช่น การพิมพ์อาหารออกมาด้วย 3D Printing

(2) เราสามารถทดลองผสมนั่น ผสมนี้ เพื่อให้ได้สูตรอาหารที่อร่อย กลมกล่อม เป็นที่ชื่นชอบ โดยอาจทำบนคอมพิวเตอร์ด้วย Computer Simulation หรือ อาจจะใช้ระบบหุ่นยนต์ทำการทดลองผสมโมเลกุลอาหารในสูตรต่างๆ (Combinatorial Chemistry) เพื่อหาตำรับอาหารที่อร่อย

(3) อาหารจะเป็นสิ่งที่เป็นมาตรฐานมากขึ้น สามารถส่งสูตรอาหารผ่านระบบอินเตอร์เน็ต เพื่อไปทำการผลิตที่ใดก็ได้ ต้มยำกุ้งก็จะมีรสชาติเดียวกันทั่วโลก (แน่นอน สามารถเปลี่ยนแปลงตามรสนิยมของแต่ละชาติได้ โดยให้คอมพิวเตอร์ออกแบบ)

สำหรับวันนี้ แค่นี้ก่อนนะครับ วันหลังผมค่อยมาคุยต่อเรื่องนี้ครับ

26 พฤษภาคม 2556

ฤาจะสูญสิ้น กลิ่นกาแฟไทย (ตอนที่ 3) - The End of Thai Coffee



(Picture from http://depositphotos.com/)

เมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2556 ที่ผ่านมา ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้จากพื้นที่ 5 จังหวัด คือ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ ศรีสะเกษ มหาสารคาม และยโสธร เพิ่งได้รับการขึ้นทะเบียนสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications หรือ GI) อย่างเป็นทางการจากสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะจะทำให้ไทยสามารถส่งออกข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ไปยังกลุ่มตลาดบนของสหภาพยุโรปได้เพิ่มขึ้น

สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI เป็นการให้ความคุ้มครองชื่อหรือเครื่องหมายต่างๆ ที่เป็นชื่อเมือง หรือท้องถิ่น ที่ใช้บนฉลากของสินค้าต่างๆ โดยจะต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันทางภูมิศาสตร์ ทั้งนี้ GI มีความแตกต่างจากทรัพย์สินทางปัญญาประเภทอื่น กล่าวคือ ผู้เป็นเจ้าของไม่ใช่บุคคลหนึ่งบุคคลใด แต่เป็นกลุ่มชุมชน หรือ ผู้ประกอบการใดๆ ก็ตาม ที่มีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์นั้นๆ จึงจะสามารถใช้ชื่อ GI สำหรับผลิตสินค้านั้นได้ เช่น ไข่เค็มไชยา เฉพาะชาวไชยาเท่านั้นที่ทำขายได้ คนแถวราชบุรีมาทำขายแล้วใช่ชื่อไข่เค็มไชยา ถือว่าว่าละเมิดสิทธิ์ สิทธิในลักษณะดังกล่าวนี้ นักวิชาการบางท่านเรียกว่า “สิทธิชุมชน” ซึ่งไม่สามารถนำสิทธิที่ได้รับไปอนุญาตให้บุคคลอื่นใช้ต่อได้ ผู้ที่อยู่ในพื้นที่แหล่งภูมิศาสตร์นั้นๆ เท่านั้นที่มีสิทธิใช้

จากข้อมูลของกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ทำให้ทราบว่าในปัจจุบันประเทศไทยมีการประกาศขึ้นทะเบียนสินค้า GI ในประเทศไทยแล้วจำนวน 38 รายการ ซึ่งเป็นทั้งสินค้าที่มาจากภาคเกษตรกรรมโดยตรง และสินค้าที่มาจากภาคหัตถกรรมทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ เช่น ส้มโอนครชัยศรี ผ้าไหมแพรวากาฬสินธุ์ สับปะรดภูแลเชียงราย กาแฟดอยตุง ศิลาดลเชียงใหม่ ผ้าไหมยกดอกลำพูน เครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียง ร่มบ่อสร้าง สับปะรดนางแล ไวน์ที่ราบสูงภูเรือ ไข่เค็มไชยา ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ หมูย่างเมืองตรัง มะขามหวานเพชรบูรณ์ ชมพู่เพชร เป็นต้น

จากความสำเร็จที่ประเทศไทยสามารถขึ้นทะเบียน GI ของข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ใน EU ได้ ทำให้กรมทรัพย์สินทางปัญญามีดำริที่จะยื่นจดสินค้าอีก 2 ชนิดเพิ่มเติม ได้แก่ กาแฟดอยตุง และ กาแฟดอยช้าง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนับสนุน เพราะกาแฟไทย โดยเฉพาะกาแฟ 2 ยี่ห้อนี้ ขึ้นชื่อในเรื่องของความหอมและรสชาติที่อร่อย เปรียบเทียบกับกาแฟที่มาจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว และ เวียดนาม แล้ว เหมือนฟ้ากับเหว การจด GI ในยุโรป จะช่วยทำให้กาแฟไทยได้รับความยอมรับในเรื่องคุณภาพ และจะสามารถขายใน EU ที่ราคาแพงๆ ได้ เป็นการยกระดับกาแฟไทยให้ขึ้นไปอยู่แนวหน้าของโลก หนีประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามที่ผลิตกาแฟคุณภาพต่ำในปริมาณมากๆ แน่นอนหล่ะ ... ในอนาคตคนไทยก็คงจะต้องจ่ายแพงขึ้นเพื่อบริโภคกาแฟคุณภาพดีของไทย แต่ผมคิดว่ากาแฟรสชาติดีๆ แล้วจ่ายแพงอีกสักนิด ก็น่าจะดีกว่ากาแฟรสชาติทั่วๆ ไปแต่ขายราคาสตาร์บัค ที่มีอยู่ดาษดื่นตามร้านกาแฟทั้งหลาย

สำหรับกาแฟแล้ว การมี GI หรือ สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ถือว่าเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น กาแฟดอยตุง ปลูกในสภาพแวดล้อมที่เป็นดอย สูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่า 800 เมตร อยู่ในละติจูดที่เหมาะสม มีอากาศเย็นและปริมาณน้ำฝนที่เหมาะสม ทำให้เมล็ดกาแฟมีการสะสมสารหอมระเหย (Aroma Molecules) เข้าไปในเมล็ดในจำนวน และสัดส่วนของสารหอมระเหยแต่ละชนิด ที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง นั่นคือ แม้จะเป็นกาแฟพันธุ์เดียวกัน คัดเอาเมล็ดพันธุ์เหมือนๆ กัน แต่ไปปลูกที่อื่น เช่น บนดอยในประเทศเวียดนาม ก็ไม่สามารถที่จะผลิตกา แฟที่มีกลิ่นและรสชาติเหมือนกันได้ .... นั่นคือ กาแฟดอยตุง ต้องปลูกที่ดอยตุงเท่านั้น ที่อื่นเอาไปปลูกยังไง ก็ไม่มีทางทำให้รสชาติเหมือนกาแฟดอยตุง เช่นเดียวกับกาแฟดอยช้าง ที่เมื่อได้ดื่มแล้ว สำหรับคนที่มีความสามารถในการจดจำรสชาติ ก็จะสามารถจำแนกได้ว่าเป็นกาแฟมาจากดอยช้า ทั้งนี้เป็นเพราะสภาพแวดล้อมของพื้นที่ปลูก ทำให้รสชาติของกาแฟมีความแตกต่างกันนั่นเอง เช่นเดียวกับ เครื่องดื่มประเภทไวน์ ที่มีรสชาติแตกต่างกันตามพื้นที่เพาะปลูก

ดูเหมือนการสร้างอัตลักษณ์ให้แก่กาแฟไทยด้วยการจดทะเบียน GI จะค่อนข้างมาถูกทางแล้ว เพราะถือเป็นการยกระดับมาตรฐานของแบรนด์ไทย หนีคู่แข่งจากประเทศเวียดนาม แต่การมี GI เพียงอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถจะการันตีความได้เปรียบในระยะยาวได้ เพราะคู่แข่งก็สามารถจด GI ในภูมิศาสตร์ของเขาได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นกาแฟไทยจะต้องพยายามพัฒนา และรักษาคุณภาพของกลิ่นและรสชาติให้ดีกว่าคู่แข่ง พยายามนำความได้เปรียบในเรื่องของภูมิศาสตร์ที่ทำให้กาแฟของเรามีเอกลักษณ์เหนือคู่แข่งมาใช้ประโยชน์ พยายามรักษาเอกลักษณ์นั้นไว้ ซึ่งเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นแล้วในบ้านเราอย่างระบบ Smart Farm หรือ จมูกอิเล็กทรอนิกส์ จะสามารถเข้ามาช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันตรงนี้ได้ 

25 พฤษภาคม 2556

Digital Food - อาหารดิจิตอล (ตอนที่ 1)


(Picture from http://www.dreamstime.com/)

หลายๆ ครั้งที่ผมสังเกตพฤติกรรมการทานอาหารของลูก โดยเฉพาะของกินเล่น หรือ ของหวาน เวลาคุณยายซื้อของหวานมาจากตลาด เช่น ขนมเทียน ข้าวเหนียวถั่วดำ ลอดช่อง ปลากริมไข่เต่า แล้วนำมาเสนอให้เด็กๆ ทาน .... ลูกๆ ของผมจะบอก "กินไม่เป็น" แล้วก็วิ่งไปหยิบเถ้าแก่น้อย หรือ เลย์ คนละถุงแล้วหนีไปเลย ไม่น่าเชื่อว่าขนมไทยเหล่านี้อีกไม่นานก็จะสูญพันธุ์ เพราะเด็กๆ ที่เกิดมาในยุค The New Millenium หรือปี ค.ศ. 2000 ที่เราเรียกว่า Gen M หรือ Gen Z นี้ พวกเขาไม่รู้จักของกินยุคที่ผมเป็นเด็กอีกแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่คนรุ่นผมตายกันหมด ก็คงไม่มีใครมาทำ ข้าวเหนียวถั่วดำขายแล้วหล่ะครับ คงจะเหลือแต่ขนมถุงอุตสาหกรรมแบบที่ขายในเซเว่น

แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมรู้สึกกังวล เพราะพฤติกรรมการกินอาหารของมนุษย์มันก็เปลี่ยนไปตามบริบทโลก และวิถีชีวิตในยุคต่างๆ ไม่เช่นนั้น เราก็คงต้องไปอนุรักษ์การกินเนื้อสัตว์ดิบๆ ของมนุษย์ยุคก่อนค้นพบไฟกันเป็นแน่ และสิ่งที่ผมจะเขียนในบทความซีรีย์นี้ ท่านผู้อ่านจะได้พบกับแนวคิดอันยิ่งสุดโต่งเข้าไปอีก แบบว่าพลิกโลกเลย เพราะอาหารในอนาคต ที่มนุษย์ยุคลูกๆ ของผมจะรับประทาน มันจะเปลี่ยนไปจากอาหารยุคของเราอย่างสิ้นเชิง เราจะกินอาหารที่มีลักษณะเดิมจากวัตถุดิบตั้งต้น เช่น เมล็ดข้าว ขาไก่ ปีกไก่ น้อยลง  เราจะกินอาหารแบบที่เรียกว่า processed food เช่น แป้งจากข้าว นักเก็ตจากไก่ กันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยอาหารเหล่านั้นจะผลิตขึ้นมาจากกระบวนการใหม่ๆ เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น

- Vertical Farming หรือ การทำไร่ทำนาบนตึกสูง การผลิตอาหารจะเปลี่ยนจากการปลูกพืชผักกลางแจ้ง (Outdoor Agriculture) มาสู่ระบบ (Indoor Agriculture) กันมากขึ้น และจะเริ่มเปลี่ยนจากเกษตรในชนบท มาสู่เกษตรในเมือง (Urban Farming) เพราะอะไรหรือครับ เพราะว่าแนวโน้มในอนาคตนั้น ผู้คนจะย้ายเข้าสู่เมืองมากขึ้น (Urbanization) โดยสหประชาชาติประมาณว่าในปี ค.ศ. 2030 จะมีประชากรอาศัยในเมืองใหญ่ 5,000 ล้านคน จากประชากรทั้งหมด 8 พันล้านคน ดังนั้น หากกิจกรรมการผลิตอาหารย้ายมาอยู่ในเมือง จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน และเป็นการคืนพื้นที่เกษตรกรรมให้กลับสู่ธรรมชาติ การเกิด Vertical Farming ทำให้การผลิตทำในระบบปิด ในอาคารที่ควบคุมสิ่งแวดล้อมได้ ซึ่งแน่หล่ะครับ ระบบดิจิตอลต่างๆ จะเข้ามาช่วยทำให้สิ่งที่เป็นไปได้

- In Vitro Meat หรือ การผลิตเนื้อแบบหลอดแก้ว เป็นการผลิตเนื้อสัตว์ขึ้นมาโดยไม่ต้องเลี้ยงสัตว์ ไม่ต้องฆ่าสัตว์ อยากจะกินอะไร ก็ผลิตสิ่งนั้นขึ้นมา เช่น เนื้ออกไก่ หรือ ปีกไก่ ผลิตขึ้นมาโดยเลี้ยงเนื้อเยื่อนั้นขึ้นมา เป็นการเปลี่ยนจากเลี้ยงสัตว์ -> ปลูกสัตว์ แทน เหมือนปลูกต้นไม้ยังไงยังงั้นล่ะครับ และแน่นอน สิ่งนี้จะเกิดขึ้นพร้อมๆ กับ Vertical Farming คือระบบผลิตสามารถทำในอาคารสูง ในเมือง ไม่มีการปล่อยกลิ่นเหม็นสู่สิ่งแวดล้อมเหมือนฟาร์มหมู ฟาร์มไก่ ในปัจจุบัน และแน่นอนครับ การทำ In Vitro Meat จะต้องมีระบบดิจิตอลเข้ามาช่วยดูแล ถึงจะเป็นไปได้

- Synthetic Biology หรือ ชีววิทยาสังเคราะห์ เป็นการผลิตอาหารโดยการไปดัดแปลงให้สิ่งมีชีวิตบางชนิด เช่น จุลินทรีย์ ทำงานเป็นโรงงานในการผลิตสิ่งที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็น อาหาร ยา วิตะมิน อาหารเสริม ต่างๆ ทั้งโดยการดัดแปลงพันธุกรรม การไปเปลี่ยนเมตาบอลิซึม หรือ การสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาใหม่ (Novel Organism) ซึ่งแน่นอน ระบบดิจิตอลจะเข้ามาช่วยในการตรวจวัด ควบคุม การผลิตแบบใหม่นี้

- Desktop Manufacturing และ 3D Printing เป็นการผลิตอาหารขึ้นมาด้วยกระบวนการพิมพ์แบบ 3 D เช่น เราสามารถดาวน์โหลดสูตรการทำคัพเค้กมาจากอินเตอร์เน็ต แล้วส่งสูตรนี้ผ่าน WiFi ไปยังเครื่องพิมพ์ 3D ในครัวของเรา จากนั้นเครื่องพิมพ์จะทำการพิมพ์ขนมเค้กออกมา ซึ่งก็จะมีรสชาติ ความอร่อย ไม่ต่างจากเค้กที่เราไปซื้อกินตามร้านเบเกอรี่ แต่เราสามารถพิมพ์ทานเองที่บ้าน

นี่เป็นแค่ตัวอย่างที่ผมยกขึ้นมาให้เห็นภาพนะครับ ต่อไปเทคโนโลยี Digital Food จะค่อยๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย เตรียมตัวรับกับของอร่อยๆ ใหม่ๆ อาหารของคนยุคอนาคตกันครับ



03 มีนาคม 2556

ฤาจะสูญสิ้น กลิ่นกาแฟไทย (ตอนที่ 2) - The End of Thai Coffee



(ภาพจาก http://www.chiangraibulletin.com)

กาแฟไทยหอมๆ ช่วยเติมเต็มชีวิตของเราให้มีความสดชื่น เบิกบานทุกๆ เช้า นี่หล่ะครับ พระเอกตัวจริงที่คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย วันนี้เรามาคุยกันต่อเรื่องกาแฟไทยกันนะครับ

กาแฟไม่ใช่พืชพื้นเมืองของไทยก็จริง แต่เชื่อกันว่ามีการปลูกกาแฟในเมืองไทยกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้วครับ เมื่อประมาณห้าสิบกว่าปีที่แล้ว (พ.ศ. 2503) ประเทศไทยเคยมีพื้นที่ปลูกกาแฟเพียง 19,000 ไร่ โดยให้ผลผลิตได้แค่ 750 ตันเท่านั้น ทำให้ในช่วงนั้นประเทศไทยต้องนำเข้ากาแฟมากถึง 6,000 ตัน ทำให้รัฐบาลไทยเริ่มรณรงค์การปลูกกาแฟอย่างจริงจังนับตั้งแต่นั้น เพื่อจะเพิ่มพื้นที่ปลูกกาแฟให้เพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ นับตั้งแต่นั้นพื้นที่เพาะปลูกกาแฟก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2540 ปีเดียวกับวิกฤตการต้มยำกุ้ง ประเทศไทยมีพื้นที่เพาะปลูกกาแฟมากถึง 500,000 ไร่ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ แต่ทว่าหลังจากนั้น พื้นที่กาแฟไทยก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ จนคาดว่าในปีนี้น่าจะเหลือไม่ถึง 280,000 ไร่ โดยมีผลผลิตเหลือเพียง 40,000 ตัน จากที่เคยผลิตได้ 9 หมื่นตัน ซึ่งสวนทางกับความต้องการบริโภคกาแฟของคนไทยที่นับวันจะมีแต่มากขึ้นไปเรื่อยๆ โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% ทำให้คนไทยทุกวันนี้บริโภคกาแฟโดยเฉลี่ย 200 แก้วต่อคนต่อปี ซึ่งยังถือว่าสามารถเติบโตได้อีกนะครับ เพราะประเทศที่เป็นสังคมเมือง และมีคนชั้นกลางเป็นฐานเศรษฐกิจชาติอย่างญี่ปุ่นเขาดื่มกันมากถึง 500 แก้วต่อคนต่อปี ส่วนสหรัฐอเมริกายิ่งมากเข้าไปอีก ซดกันเป็นน้ำถึง 800 แก้วต่อคนต่อปีกันเลยทีเดียว

พื้นที่ปลูกกาแฟในประเทศไทยนั้น แบ่งออกเป็นโรบัสต้ามากถึง 95% มีกาแฟอราบิก้าเพียง 5% เท่านั้น โดยกาแฟโรบัสต้าปลูกมากทางภาคใต้ โดยเฉพาะชุมพรกับระนอง แต่ในระยะหลังๆ พื้นที่ปลูกลดลงไปเรื่อยๆ ทุกปี ส่วนกาแฟอราบิก้าที่มีความหอมละมุน และรสชาติอร่อยนั้น ชอบอากาศเย็น จึงมักปลูกในภาคเหนือ แถวจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ตาก น่าน เป็นกาแฟที่คนไทยนิยมบริโภค ขายได้ราคาดี  แนวโน้มมีความนิยมในการปลูกเพิ่มขึ้น แต่มีต้นทุนการดูแลรักษามากกว่ากาแฟจากประเทศลาว และ เวียดนาม กาแฟอราบิก้าไทยจึงต้องพยายามแข่งขันด้วยการชูเอกลักษณ์ด้านกลิ่น และ รสชาติ ที่ค่อนข้างแตกต่าง เพื่อให้สามารถขายได้ในราคาที่สูงกว่า จะว่าไป ใช่ว่าผมจะเข้าข้างประเทศตัวเองนะครับ แต่กาแฟไทยอร่อยกว่ากาแฟของลาว และ เวียดนามจริงๆ แต่เพราะการบริโภคของคนไทยในขณะนี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ จนกาแฟอราบิก้าไทยมีไม่เพียงพอ ดังนั้น ประเทศไทยจึงต้องนำเข้ากาแฟจากลาว และ เวียดนาม เพิ่มมากขึ้นทุกๆ ปี และหลังจากปี พ.ศ. 2558 เมื่อมีการเปิด AEC อย่างเต็มรูปแบบ กาแฟจากลาวและเวียดนามจะทะลุกเข้ามาเหมือนสึนามิ และอาจทำให้กลิ่นกาแฟไทยอันหอมกรุ่นเจือจางมากขึ้นไปกว่านี้อีก 

สินค้าที่ขายกลิ่นอย่างกาแฟ ให้ความสำคัญในเรื่องของกลิ่นในทุกขั้นตอนการผลิต เช่นในกระบวนการผลิตกาแฟ  ‘การคั่ว’ เป็นกระบวนการสำคัญที่สุดซึ่งกลิ่นรสสุดท้ายของกาแฟจะขึ้นอยู่กับวิธีการคั่ว ตลอดจนถึงสภาวะที่ใช้คั่ว   อีกทั้งยังมีขั้นตอนของการแยกสารที่ให้กลิ่นหอมเพื่อเป็นการถนอมกลิ่นไม่ให้สูญเสียไประหว่างการผลิต และพอหลังจากเมล็ดกาแฟผ่านการระเหยน้ำเพื่อสกัดความชื้นเรียบร้อยแล้วจึงทำการฉีดสารที่ให้กลิ่นหอมเข้ามา จนไปถึงกระบวนการบรรจุภัณฑ์ ซึ่งจะให้ความสำคัญกับเรื่องกลิ่นของเมล็ดกาแฟเป็นอย่างมาก  การตรวจวัดคุณภาพกลิ่นของกาแฟ ในปัจจุบันยังคงใช้ผู้เชี่ยวชาญเป็นหลัก ซึ่งผลการตรวจวัดกลิ่นนั้นมาจากความรู้สึก และประสาทสัมผัสของผู้ตรวจวัดที่ใช้คัดแยกระหว่างกลิ่นของกาแฟธรรมชาติกับกลิ่นของสิ่งแปลกปลอมอื่น โดยการตรวจวัดดังกล่าวนั้นย่อมเกิดความไม่แน่นอนของข้อมูลได้ง่ายเพราะผู้ตรวจวัดแต่ละบุคคลย่อมมีมาตรฐานที่ไม่เหมือนกัน  อีกทั้งยังส่งผลให้การกำหนดมาตรฐานกาแฟ ไม่มีความชัดเจนอีกด้วย โดยเมื่อประเทศไทยต้องเปิดประเทศเพื่อทำการค้าเสรี การตรวจวัดที่ไม่มีมาตรฐานที่แน่นอน ย่อมส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจกาแฟ ของไทยลดลง ทางภาควิชาฟิสิกส์และศูนย์นาโนเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้พัฒนาจมูกอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Nose) ขึ้นมา โดยหวังจะให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถยกระดับมาตรฐาน และยกระดับอุตสาหกรรมกาแฟได้ในอนาคต  อีกทั้งยังสอดคล้องกับแนวทางนโยบายของรัฐที่จะยกระดับคุณภาพ และประสิทธิภาพการผลิตอุตสาหกรรมกาแฟในประเทศเพื่อแข่งขันกับตลาดโลกอีกด้วย โดยจมูกอิเล็กทรอนิกส์ที่พัฒนาขึ้นนี้ จะเลียนแบบการดมกลิ่นของมนุษย์ แต่มีข้อดีกว่าตรงที่มันสามารถจดจำกลิ่นในรูปของข้อมูลดิจิตอล และสามารถนำข้อมูลกลิ่นมาเปรียบเทียบและแสดงผลในรูปของกราฟ หรือ การแสดงผลที่เข้าใจง่าย ทำให้คนที่ทำงานเพื่อควบคุมหรือพัฒนากลิ่นกาแฟ สามารถที่จะทำงานได้อย่างมีมาตรฐาน

วันหลังมาคุยเรื่องนี้กันต่อนะครับ

24 กุมภาพันธ์ 2556

ฤาจะสูญสิ้น กลิ่นกาแฟไทย (ตอนที่ 1) - The End of Thai Coffee




เกือบทุกครั้งที่ผมเดินทางไปทำงานภาคสนามหรือไปตระเวณไหว้พระตามต่างจังหวัด สิ่งที่นักเดินทางอย่างพวกเรา มักจะขาดไม่ได้ก็คือ กาแฟอเมซอน โดยเฉพาะเมนูอเมซอนปั่น ผมถือว่าเป็นกาแฟปั่นที่อร่อยที่สุดในโลก ด้วยสูตรปั่นเข้มข้นหวานมันที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ทำให้คนที่กินกาแฟแล้วใจสั่นอย่างผม ไม่อาจจะอดใจไหว ยอมใจสั่นทุกครั้งที่เข้าปั๊ม ปตท. แต่ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา รสชาติอเมซอนปั่นสุดโปรดของผมเริ่มเพี้ยนๆ ไป ถึงแม้จมูกของผมจะไม่ใช่ขนาด supersentitive แบบนักชิมไวน์มืออาชีพก็ตาม แต่ประสบการณ์เรื่องกลิ่นที่เกิดจากการทำวิจัยทางด้านนี้ของผมมาหลายปี ก็ทำให้ผมรู้สึกได้ว่ามันเริ่มมีอะไรทะแม่ง ๆ แล้วหล่ะ ผมได้ตระเวณชิมกาแฟอเมซอนปั่นหลายๆ ปั๊ม จากภาคกลางไปภาคเหนือ ก็ยิ่งทำให้เกิดความมั่นใจว่ารสชาติอมเซอนปั่นได้ผิดเพี้ยนไปจากเดิมอย่างมาก จากเดิมที่เคยหอมหวานมันอร่อย กลายเป็นเหลือแต่ หวานมัน แต่ความหอมอร่อยนั้นรู้สึกจะจืดจางไป สิ่งที่ผมได้ยินมาก็คือ กาแฟไทยเริ่มขาดตลาดเนื่องจากปริมาณผลผลิตที่ลดลง ผู้ประกอบการไทยจึงเริ่มนำเข้ากาแฟจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีราคาถูกกว่า แต่ก็มีคุณภาพที่ต่ำกว่ากาแฟไทยด้วย ดูเหมือนว่าปัญหานี้จะยิ่งวิกฤตในอนาคต เพราะกาแฟไทยจะมีผลผลิตต่ำลงเรื่อยๆ แต่การบริโภคของคนไทยนั้นกลับเพิ่มทุกปี ทำให้กาแฟ AEC เข้ามาตีตลาดจนทำให้คนไทยได้รับกลิ่นกาแฟไทยน้อยลงเรื่อยๆ น่าเสียดายมากครั

กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ทรงเสน่ห์ที่สุดในโลก ชาวตะวันตกทั้งยุโรปและอเมริกาเป็นกลุ่มประชากรที่บริโภคกาแฟมากที่สุดในโลก แต่พวกเขากลับปลูกมันไม่ได้ เพราะว่ากาแฟปลูกได้เฉพาะในพื้นที่เขตทรอปิกส์หรือเขตร้อนเท่านั้นครับ แม้ว่าบางสายพันธุ์จะชอบอากาศเย็นก็ตาม แล้วพวกเราเป็นเผ่าพันธุ์ที่ปลูกกาแฟได้ จะไปซื้อกาแฟจากยุโรปมากินทำไมหล่ะครับ จะว่าไปคนยุโรปก็เพิ่งจะรู้จักกาแฟหลังจากที่ชาวมุสลิมนำไปให้ลองชิม วัฒนธรรมไฮโซหลายๆ อย่างนั้น ในครั้งอดีตกาลก็ไม่ได้เจริญในยุโรปนะครับ ในยุคที่ชาวเยอรมันยังอาศัยอยู่บนต้นไม้หน่ะ ชาวอาหรับมีมหาวิทยาลัยกันแล้วด้วยซ้ำ ท่านผู้อ่านทราบหรือไม่ว่า ร้านกาแฟแบบ Starbuck หรือ True Coffee เนี่ยมันมีมาตั้งแต่ ค.ศ. 1473 หรือ พ.ศ. 2016 ก่อนที่ไทยเราจะเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1 เสียอีก โดยร้านนี้เปิดในนครอิสตันบูล เมืองหลวงของประเทศตุรกีในปัจจุบัน โดยผู้คนที่มานั่งที่ร้านนี้ เขาจะมาสรวลเสเฮหากัน ดื่มไปคุยไป ถึงแม้ในสมัยนั้นจะไม่มี Wi-Fi แต่การแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร กันก็เกิดขึ้นในร้านแบบนี้ นอกจากร้านกาแฟแล้ว อาณาจักรออตโตมัน หรือ ตุรกีในปัจจุบันยังเป็นต้นกำเนิดของ Social Networks หลายๆ เรื่องเลยครับ ไม่ว่าจะเป็น  การสร้างรีสอร์ทริมทะเล สปา สวนสาธารณะ ถนนคนเดิน ร้านโชว์ห่วย หรือแม้แต่ตลาดกลางทางด้านการเกษตร (อ.ต.ก.) 

จากข้อมูลในปี 2009 ประชากรโลกดื่มกาแฟกันวันละ 2 พันล้านกว่าถ้วย โดยมีวิสาหกิจที่ทำมาหาเลี้ยงชีพอันเกี่ยวข้องกับกาแฟอยู่ 25 ล้านแห่ง เฉพาะในประเทศบราซิลที่เดียว มีแรงงานที่เกี่ยวข้องกับการเก็บเกี่ยวกาแฟ 5 ล้านคน ซึ่งต้องดูแลต้นกาแฟที่มีมากถึง 3 พันล้านต้น ทั้งนี้การเพาะปลูกกาแฟต่างจากพืชอย่าง อ้อย หรือ มันสำปะหลัง ที่ยังต้องใช้แรงงานในการเก็บเกี่ยว และดูแลอย่างสม่ำเสมอ ยังไม่สามารถใช้เครื่องจักรกลมาทดแทนแรงงานมนุษย์ และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กาแฟไทยมีพื้นที่เพาะปลูกลดน้อยถอยลงทุกๆ ปี ผลผลิตโดยรวมของกาแฟทั่วทั้งโลกมีจำนวน 7.8 ล้านตัน (ข้อมูล 2009) โดยมีบราซิลผลิตมากที่สุดคือ 2.44 ล้านตัน เวียดนาม 1.18 ล้านตัน โคลัมเบีย 0.89 ล้านตัน อินโดนีเซีย 0.70 ล้านตัน อินเดีย 0.29 ล้านตัน สำหรับประเทศไทยเองเราเคยปลูกกาแฟได้เป็นอันดับ 3 ของอาเซียนรองจากเวียดนาม และอินโดนีเซีย อีกทั้งยังเคยเป็นประเทศส่งออกสำคัญในอาเซียน แต่ด้วยความต้องการบริโภคของคนไทยที่เพิ่มขึ้นในช่วงหลัง และ พื้นที่เพาะปลูกกาแฟไทยลดลง ทำให้เรากลายเป็นประเทศนำเข้าเมล็ดกาแฟ 

แล้วค่อยคุยกันต่อในตอนต่อไปนะครับผม

23 พฤศจิกายน 2552

The Future of Meat - อนาคตของอาหารเนื้อสัตว์ (ตอนที่ 6)


ตอนเด็กๆ ผมเคยครุ่นคิดว่า การที่คนเรารับประทานเนื้อสัตว์ ซึ่งเป็นการไปคร่าชีวิตผู้อื่น เพื่อที่จะนำเนื้อหนังของเขามาดำรงชีพนั้น เป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่ สัตว์เหล่านั้นจะต้องเจ็บปวดทรมานก่อนสิ้นลม โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่อย่างวัว ผมเคยเห็นมันร้องไห้กับตาตนเอง มันทุรนทุรายเพื่อหนีไม่ให้คนมาจับมันขึ้นรถไปโรงฆ่าสัตว์

นักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการบริโภคเนื้อสัตว์ ด้วยการทรมานชีวิตสัตว์ กำลังขวนขวายทำวิจัยเพื่อพัฒนาวิธีการปลูกเนื้อสัตว์ (in vitro meat) ซึ่งจะเป็นการได้เนื้อสัตว์มาจากการเพาะเลี้ยง เฉกเช่นเดียวกับการปลูกพืชให้ได้ผลผลิต การปลูกเนื้อสัตว์สามารถทำได้ด้วยการเพาะเลี้ยงเซลล์กล้ามเนื้อ ซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นใยที่มีความสามารถในการยืด-หดตัว ซึ่งเซลล์เหล่านี้จะมีหลอดเลือดหล่อเลี้ยง และมีชั้นไขมันเพื่อเป็นแหล่งพลังงาน องค์ประกอบง่ายๆ เหล่านี้ทำให้นักวิจัยเชื่อว่า อีกไม่นาน เราน่าจะปลูกเนื้อสัตว์สำหรับการบริโภคในเชิงพาณิชย์ได้

การปลูกเซลล์กล้ามเนื้อจะทำในของเหลวที่มีสารอาหารต่างๆ เช่น กรดอะมิโน น้ำตาลกลูโคส เกลือแร่ และ ซีรั่มซึ่งเลียนแบบสารละลายของเลือด นักวิจัยต้องใช้วิธีกระตุ้นให้เซลล์กล้ามเนื้อเหล่านั้นเติบโต เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหว ออกกำลังกาย ที่ทำให้กล้ามเนื้อเจริญเติบโต ซึ่งวิธีการที่นิยมใช้กันตอนนี้ คือการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า และการใช้ฮอร์โมน ศาสตราจารย์ มาร์ค โพสต์ (Professor Mark Post) แห่งภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งไอน์โฮเฟน (Eindhoven University of Technology) ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเดิมท่านเป็นหมอทางด้านหลอดเลือดหัวใจ (Angiogenesis) แล้วพลิกผันมาเป็นนักวิจัยชั้นนำทางด้านการปลูกสัตว์ไปแล้ว ซึ่งขณะนี้ประเทศเนเธอร์แลนด์ได้จัดตั้งคอนซอร์เทียมขึ้นมา เพื่อจะเป็นผู้นำในการพัฒนาการปลูกเนื้อสัตว์ ซึ่งเนื้อไก่กำลังเป็นที่สนใจในสหภาพยุโรป ศาสตราจารย์ โพสต์ ท่านได้กล่าวว่า "ผมคิดว่าไม่น่าเกิน 10 ปี เราจะสามารถผลิตเนื้อไก่แบบนักเก็ตส์ ได้"


หากคำกล่าวของศาสตราจารย์ โพสต์ เป็นจริง อีก 10 ปี เราจะเริ่มเห็นการกีดกันทางการค้าจากสหภาพยุโรป เนื้อไก่จริงจะเริ่มถูกกีดกัน ด้วยข้อหาทรมานสัตว์ ไก่ส่งออกของไทยที่มีมูลค่ากว่า 50,000 ล้านบาทต่อปี (พ.ศ. 2551) คงจะหาอนาคตไม่เจอ ...........

24 ตุลาคม 2552

อังกฤษทุ่ม 3.3 พันล้านเหรียญ วิจัยเกษตร-อาหาร


หายไปหลายวันครับ ผมเดินทางมาภาคเหนือครับ มาอยู่ที่ อ.ปาย แม่ฮ่องสอน พักอยู่กลางท้องนาเลยครับ ใกล้ชิดธรรมชาติมาก ตื่นเช้าขึ้นมาก็เห็นเขาผันน้ำจากลำน้ำปาย มาตามรางส่งน้ำเข้านา ท้องนาที่นี่ความสูงไม่เท่ากัน เขาจะทำแบบขั้นบันได ซึ่งทำให้การใช้น้ำมีประสิทธิภาพมาก พอน้ำเต็มระดับบนแล้ว น้ำจะค่อยๆ ไหลลงมาท่วมระดับที่อยู่ต่ำกว่า เท่าๆ ที่ผมเดินดู ผมรู้สึกว่าต้นข้าวที่เขาปลูกกันที่นี่ ผลผลิตไม่ค่อยสูง ต้นหนึ่งๆ มีเมล็ดข้าวไม่มาก ไม่เหมือนกับที่ผมเคยไปเห็นที่ญี่ปุ่น ต้นหนึ่งๆ จะมีแต่เมล็ดข้าว มากจนต้นเกือบจะล้ม ดังนั้นที่ผมเคยได้ยินว่า ประเทศเราปลูกข้าวเปลืองที่ดินมาก เพราะผลผลิตต่อไร่ต่ำเกือบที่สุดในโลก ก็น่าจะจริง ......


ผมเคยเขียนบ่อยๆ ว่า ประเทศไทยที่พวกเราภาคภูมิใจนักหนาว่า เก่งทางด้านเกษตรกรรม เป็นครัวของโลก อีกหน่อยอาจจะไม่มีที่ยืนในเรื่องเกษตรก็ได้นะครับ เพราะเริ่มมีประเทศที่อยากจะทำเกษตรเป็นครัวโลกแทนเรา มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วครับ ประเทศอาหรับที่รวยน้ำมันก็เริ่มทุ่มงบเพื่อพัฒนาการเกษตรในทะเลทราย ประเทศยุโรปเริ่มมีแนวคิดในการปลูกเนื้อสัตว์ (in vitro meat) เพื่อทดแทนการทำปศุสัตว์


ล่าสุด ทีมศึกษาสถานภาพและแนวโน้มด้านเกษตรและอาหาร ของสหราชอาณาจักร ได้ออกมาสรุปผลการศึกษา และเสนอให้รัฐบาลทุ่มงบวิจัยด้านเกษตรและอาหารปีละ 200 ล้านปอนด์ ตลอดช่วงระยะ 10 ปีต่อไปนี้ เพื่อที่จะทำให้โลกมีอาหารเพียงพอที่เลี้ยงประชากรโลกที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 9 พันล้านคนในอีก 40 ปีข้างหน้า ซึ่งรายงานนี้เสนอทุกวิถีทางที่จะทำให้เกิดความมั่นคงด้านอาหาร เช่น การพัฒนาพืชที่ทนต่ออากาศร้อน พืชที่ทนต่อพิษของโลหะ ข้าวที่ทนน้ำท่วม ซูเปอร์พืชที่ผลผลิตสูง รวมทั้งการกลับมาวิจัยและพัฒนาพืช GMO ด้วย

(ภาพบน - ภาพแสดงข้าวโตเร็ว เปรียบเทียบการเติบโตภายใน 5 วัน)

20 ตุลาคม 2552

The Future of Meat - อนาคตของอาหารเนื้อสัตว์ (ตอนที่ 5)


การที่คนเราหันมาบริโภคเนื้อสัตว์ (จริงๆ) กันน้อยลง แล้วหันไปทานเนื้อสัตว์ปลูก (in vitro meat) แทนในอนาคต นอกจากจะเป็นเรื่องดีในแง่ของความเป็นสัตว์ประเสริฐของมนุษย์เรา ที่จะได้เผื่อแผ่ความเมตตากรุณาให้แก่สัตว์อื่น จริงๆ แล้ว การบริโภคเนื้อสัตว์ให้น้อยลง นอกจากจะเป็นผลดีต่อสุขภาพของเราแล้ว มันยังเป็นผลดีต่อสุขภาพของโลกด้วยครับ

นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่า วัวตัวเต็มวัยตัวหนึ่ง ผายลมเอาก๊าซมีเธนออกมาปีละ 180 กิโลกรัม ซึ่งก๊าซมีเธนนี้เป็นก๊าซเรือนกระจก ที่ดักจับความร้อนในชั้นบรรยากาศของโลกได้ดีกว่า คาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25 เท่า การผลิตเนื้อวัวนั้นทำลายสิ่งแวดล้อมมากที่สุด เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับเต้าหู้ ซึ่งเป็นอาหารหลักของนักมังสวิรัติแล้ว มันใช้พื้นที่เกษตรกรรมมากกว่าเป็น 17 เท่า ใช้น้ำมากกว่า 26 เท่า ใช้เชื้อเพลิงมากกว่า 20 เท่า แถมยังใช้สารเคมีมากกว่าอีก 6 เท่า จากรายงานขององค์กรอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (UN's FAO) พบว่าอุตสาหกรรมปศุสัตว์ปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาทั้งหมด 18% ซึ่งมากกว่ารถยนต์ รถไฟ เรือ และเครื่องบิน รวมกันเสียอีก ดังนั้น เพียงแค่เราเปลี่ยนจากทานเนื้อ 1 กิโลกรัม มาเป็นเต้าหู้ 1 กิโลกรัม เราจะช่วยโลกนี้ได้มากแค่ไหน

สำหรับผู้ที่ไม่สามารถเลิกกินเนื้อสัตว์ได้ ลองชั่งใจดูนะครับระหว่างการกินเนื้อวัว เนื้อหมู หรือ เนื้อไก่ อะไรจะดีกว่ากันสำหรับโลกใบนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้วิจัยพบว่า การผลิตเนื้อวัว 1 กิโลกรัมนั้นใช้พื้นที่มากกว่าการผลิตเนื้อไก่ถึง 7 เท่า และมากกว่าเนื้อหมู 15 เท่า ดังนั้นผู้ที่ถือสัตยาธิษฐานกับพระโพธิสัตว์กวนอิม ว่าจะไม่รับประทานเนื้อวัว จึงถือเป็นการลดโลกร้อนอย่างอัตโนมัติครับ ........

The Future of Meat - อนาคตของอาหารเนื้อสัตว์ (ตอนที่ 4)


หายไป 2-3 วันครับ หลังกลับมาจากประชุมของ สกว. ที่ชะอำ ผมก็เป็นไข้ นอนซมอยู่ 2 วันครับ เมื่อคืนอยากจะลุกมาเขียน Blog ก็หมดแรง วันนี้พอลุกขึ้นได้แล้ว แต่พรุ่งนี้ก็ต้องออกเดินทางอีก พาครอบครัวไปพักผ่อนที่ เชียงใหม่ กับ ปาย ครับ ช่วงนี้ใกล้จะถึงหน้าท่องเที่ยวของภาคเหนือแล้ว เลยต้องรีบไปเที่ยวตัดหน้าคนอื่นครับ ไม่อยากไปตอนที่คนเยอะๆ ไปตอนนี้ก่อนคนอื่นจะได้ธรรมชาติใหม่ๆ สดๆ

ช่วงที่ผมไม่สบาย ผมมีความรู้สึกอยู่อย่างหนึ่งคือ ไม่อยากทานเนื้อสัตว์เลย อยากกินแต่ผักผลไม้ นี่ก็เป็นสิ่งบ่งชี้หนึ่งที่แสดงว่า ผักและผลไม้ เป็นสิ่งที่ร่างกายต้องการมากกว่าเนื้อสัตว์ เวลาคนเราเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย และต้องการฟื้นฟูสุขภาพ อีกทั้งคนที่ไม่ทานเนื้อสัตว์เลย ก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ แถมกลับพบว่ามีสุขภาพดีกว่าคนที่ทานเนื้อสัตว์เสียอีก แต่ถ้าเรายังไม่อาจที่จะเลิกทานเนื้อสัตว์ได้ มีทางเลือกอื่นๆ ไหม ที่จะเป็นการเบียดเบียนชีวิตอื่นให้น้อยลง ???


(1) เนื้อสัตว์ที่ปลูกได้ต้องเป็นเนื้อไก่ ซึ่งจะต้องมีรสชาติและรูปกาย (Texture) ไม่ต่างจากเนื้อไก่ของจริง โดยคนที่นิยมทานเนื้อสัตว์ กับ คนที่เป็นมังสวิรัติ ต้องทานแล้วถูกปาก
(2) เนื้อไก่ที่ปลูกขึ้นมานี้ ต้องผลิตในจำนวนที่มากพอจะขายได้ ด้วยราคาที่แข่งขันได้กับเนื้อไก่ของจริง (ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศไทย)
(3) ขณะนี้ทาง Peta ได้ทำการฝึกนักชิมประมาณ 10 คน เตรียมความพร้อมเพื่อจะชิมเนื้อไก่ที่เกิดจากการปลูก โดยจะใช้มาตรฐานการชิมเนื้อไก่ที่ได้รับการยอมรับ

ทาง Peta ได้กำหนด Deadline เอาไว้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2012 ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่าเป็นการกำหนดวันที่ค่อนข้างมองโลกในแง่ดีไปสักนิด เมื่อคำนึงถึงสถานการณ์ความก้าวหน้าในศาสตร์ของการปลูกสัตว์ในขณะนี้ ซึ่งถือว่ายังมีจำนวนนักวิจัยที่เข้ามาทำงานในด้านนี้น้อยมากๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลก เมื่อพิจารณาขนาดของอุตสากรรมนี้ว่ายิ่งใหญ่เพียงใด

แน่นอนครับ หากการปลูกสัตว์หรือ In vitro meat ทำได้เมื่อไหร่ ประเทศผู้ผลิตเนื้อไก่อันดับต้นๆ ของโลกอย่างประเทศไทยจะได้รับผลกระทบแน่นอน เพราะทางอียู จะกีดกันเนื้อไก่แท้ของเรา และโปรโมตให้เนื้อไก่ที่ผลิตจากการปลูกให้ขายดิบขายดีอย่างแน่นอน .....

04 ตุลาคม 2552

The Future of Meat - อนาคตของอาหารเนื้อสัตว์ (ตอนที่ 3)


วันนี้เป็นวันออกพรรษา หลายๆท่านคงจะออกไปทำบุญกัน ผมมีเพื่อนหลายคนครับที่พยายามจะงดดื่มเครื่องดื่มอัลกอฮอล์ ในระหว่างเข้าพรรษา (ผมก็เลิกเหล้าเข้าพรรษากับเขาเหมือนกันครับ แต่เบียร์ไวน์ ยังดื่มอยู่) แต่ส่วนหนึ่งก็พรรษาแตกกันใกล้ๆ จะออกนี้แล้ว บางคนก็อยู่มาถึงวันนี้ พรุ่งนี้คงไปฉลองกันใหญ่
วันนี้บรรยากาศออกแนวพุทธ พุทธ ผมเลยขอคุยต่อในเรื่องของแนวโน้มใหม่ ที่เราอาจจะมีโอกาสทำบาปน้อยลงจากการบริโภคเนื้อสัตว์ ในตอนที่แล้ว ผมได้พูดถึงเรื่องการ "ปลูกเนื้อสัตว์" หรือ in vitro meat ซึ่งจะทำให้เราปลูกสัตว์ได้เหมือนปลูกพืช ซึ่งเราจะสามารถปลูกน่องไก่ ตับหมู เนื้อสันนอก เนื้อสันใน เป็นต้น

ก่อนหน้านี้ ผมเคยพูดถึงเรื่องการทำไร่ในอาคารสูง ซึ่งว่ากันว่าจะเป็นอนาคตของเกษตรกรรม เพราะการผลิตพืชอาหาร จะย้ายจากชนบทมาสู่เมือง เป็นการนำสถานที่ผลิตมาอยู่ใจกลางสถานที่บริโภค เขาวิจัยออกมาแล้วครับว่า การอยู่ในเมืองมีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานและทรัพยาการมากกว่าการกระจายกันอยู่ในชนบท ถ้ามนุษย์ทั้งหมดย้ายเข้ามาอยู่รวมกันในเมือง เราสามารถคืนพื้นที่การเกษตรกลับสู่ธรรมชาติ ปล่อยให้ป่ากลับสู่สภาพเดิมของมัน การทำไร่ในอาคารสูงสามารถที่จะทำในจุดที่มีการบริโภค เช่น บนอาคารมีการผลิตพืชผักแล้วขายในซูเปอร์มาเก็ตชั้นล่างได้เลย หากนำเทคโนโลยีการทำไร่ในอาคารสูง มารวมกับเทคโนโลยีปลูกสัตว์ เราก็จะได้ระบบเกษตรกรรมในเมือง (Urban Agriculture) ที่สมบูรณ์แบบครับ มีทั้งการผลิตพืชและสัตว์ในเมือง เมืองจะเป็น Sustainable City ไม่ต้องพึ่งพาชนบทอีกต่อไป

อีกหน่อย วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา จะไม่มีรถติดแล้วครับ เพราะไม่ต้องมีใครกลับบ้านไปทำบุญแล้ว ในเมื่อชนบทไม่มีคนอยู่แล้ว ทุกที่ที่ไม่ใช่เมืองจะเป็นป่า และ อุทยานแห่งชาติ จะว่าไปแล้วในสมัยก่อน การตั้งอาณาจักรก็จะรวมกันอยู่ในชุมชนใหญ่ๆ เป็นนครและหัวเมืองเท่านั้น ไม่มีใครอยู่ในชนบทหรอกครับ เพิ่งจะไม่นานมานี้ ที่การทำเกษตรเพื่อเลี้ยงประชากรจำนวนมากขึ้นทำให้มนุษย์ไปบุกป่า และอาศัยอยู่ในชนบทมากขึ้น แต่ในอนาคตเราจะเลิกอยู่ในชนบท แล้วกลับมารวมกันอยู่เป็นเมืองใหญ่ เหมือนเดิมอีกครั้ง ...... ผมฝันถึงวันนั้นครับ .....


(ภาพบน - วัวเป็นสัตว์ที่น่ารักไม่ต่างอะไรจากหมีแพนด้า แต่เนื้อของมันก็อร่อย .... เมื่อไหร่เราจะเลิกเบียดเบียนพวกมันได้เสียที .....)

20 กันยายน 2552

The Future of Meat - อนาคตของอาหารเนื้อสัตว์ (ตอนที่ 2)


เหตุผลหนึ่งในการที่คนเราทานมังสวิรัติ ก็เพื่อจะเลิกเบียดเบียนชีวิตสัตว์ที่ต้องตกเป็นอาหารให้แก่มนุษย์เรา สัตว์เหล่านั้นไม่เพียงแต่ต้องเจ็บปวด ณ เวลาที่โดนฆ่าเพื่อนำมาทำอาหารเท่านั้น แต่อุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์แบบโรงเรือนที่ทำกันอยู่ในปัจจุบันนี้ ยังเป็นการทรมานพวกมันตั้งแต่เกิดจนตาย ในโรงเรือนเลี้ยงไก่ขนาด 25 x 100 เมตร มีไก่ใช้ชีวิตอยู่อย่างหนาแน่นนับหมื่นตัว หมูก็อยู่อย่างแออัดไม่แพ้กัน สัตว์เหล่านี้ไม่เคยได้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวัน มันตื่นขึ้นมากินอาหารที่ไหลผ่านมาด้วยระบบอัตโนมัติ ขับถ่ายแล้วก็นอน รอวันที่จะถูกนำไปประหาร

พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติมรรคมีองค์ 8 ว่าเป็นทางสายกลางที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้น สัมมาอาชีวะก็เป็นมรรคข้อหนึ่ง นั่นคือ การมีอาชีพที่สุจริตไม่เบียดเบียนผู้อื่น อาชีพการเลี้ยงสัตว์อย่างที่ทำกันในปัจจุบันเป็นอาชีพสุจริตแต่ก็ยังต้องเบียดเบียนชีวิตสัตว์ จึงอาจจะไม่ใช่สัมมาอาชีวะที่สมบูรณ์ แต่ในอนาคตการเลี้ยงสัตว์เพื่อนำมาเป็นอาหารจะเป็นสัมมาอาชีวะได้ เพราะเราจะไม่เลี้ยงสัตว์ แต่จะใช้การ "ปลูกสัตว์" แทนครับ

ในต่างประเทศได้มีการก่อตั้งองค์กรความร่วมมือเพื่อพัฒนาการปลูกเนื้อสัตว์ ที่เรียกว่า In Vitro Meat Consortium โดยจะร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อทำให้ต่อไป เราจะได้ไม่ต้องเลี้ยงสัตว์เพื่อเอาเนื้อมาทำอาหาร แต่เราจะใช้การปลูกเนื้อเยื่อ โดยการนำเซลล์กล้ามเนื้อของสัตว์ที่เราอยากกินมาเลี้ยง ด้วยการป้อนสารโปรตีนเข้าไป เซลล์ที่จะใช้เริ่มกระบวนการก็มักจะเป็นสเต็มเซลล์ของกล้ามเนื้อ ซึ่งจะต้องทำให้มีระบบเลือดไปหล่อเลี้ยงเซลล์เหล่านี้ เพื่อให้เซลล์มีการเติบโตเสมือนมันอยู่ในสัตว์จริงๆ ซึ่งก็มีคนพยายามจดสิทธิบัตรในเรื่องนี้แล้วด้วยครับ

16 กันยายน 2552

The Future of Agriculture - อนาคตของเกษตรกรรม (ตอนที่ 4/8)


ช่วง 2-3 วันนี้ผมมาทำงานภาคสนามที่ไร่องุ่นครับ เลยนึกอยากจะเขียนอะไรที่เกี่ยวกับเกษตรสักหน่อย จะได้กลมกลืนกับบรรยากาศป่าเขา คืนนี้ผมนอนอยู่ในไร่ ข้างนอกมืดและก็เงียบมากเลยครับ แต่มีอินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียม ซึ่งทีมวิจัยของเราได้มาติดตั้งระบบ Wi-Fi ที่สามารถใช้ในบริเวณกว้างในไร่ ก็เลยยังรู้สึกไม่เหงาเท่าไหร่ครับ

วันนี้ผมขอคุยต่อเกี่ยวกับ อนาคตของเกษตรกรรมในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่า จากปัญหาประชากรที่มากขึ้น สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้การปลูกพืชมีผลผลิตที่ลดลงนั้น จำเป็นที่จะต้องมีการสร้างพืชซูเปอร์เก่งหรือ Supercrop ขึ้นมาให้ได้ครับ ซึ่งตอนนี้นักวิทยาศาสตร์สนใจที่จะสร้างยอดมันสำปะหลังขึ้นมา เพราะมันเป็นพืชอาหารที่มีราคาถูก แถมสามารถขึ้นได้ในสภาพอากาศที่ยอดแย่ เจ้ามันสำปะหลังนี้มีผู้คนใช้มันเป็นอาหารทั่วโลกอย่างน้อย 250 ล้านคน มันจึงเป็นพืชที่นักวิทยาศาสตร์อยากจะพัฒนาให้เป็นยอดพืชมากที่สุด

ปัญหาของมันสำปะหลัง ก็คือ มันเป็นอาหารที่มีเหล็ก สังกะสี วิตะมินเอ และวิตะมินอี ค่อนข้างน้อยไปหน่อย นักวิทยาศาสตร์ก็เลยอยากจะพัฒนาพันธุกรรมของพืชชนิดนี้ให้มีธาตุอาหารสำคัญๆ ให้มากขึ้น และมีความทนทานต่อเชื้อไวรัสที่มักจะเข้าทำลายพืชชนิดนี้ โครงการ Biocassava Plus ที่สนับสนุนโดยมูลนิธิบิลแอนด์เมลินดา เกตส์ ได้พัฒนายอดมันสำปะหลังขึ้นมาด้วยวิธีพันธุวิศวกรรม ซึ่งได้รับอนุญาตให้ทำการทดลองในระดับผลิตจริงในหลายประเทศในทวีปแอฟริกาแล้ว ซึ่งประเทศเหล่านี้ไม่สนใจว่าพืชดังกล่าวจะเป็น GMO หรือไม่ ขอให้มีกินไว้ก่อนเป็นใช้ได้


ถึงแม้พืช GMO จะถูกต่อต้านเพียงไรก็ตาม นักวิเคราะห์ก็ยังเชื่อว่า วันหนึ่งยอดพืชหรือ Supercrop จะต้องเป็นอนาคตของเกษตรกรรมแน่ๆ ครับ

08 กันยายน 2552

The Future of Meat - อนาคตของอาหารเนื้อสัตว์ (ตอนที่ 1)


จำได้ว่าตอนเด็กๆ ผมเคยสงสัย และถามผู้ใหญ่ว่าทำไมคนเราถึงต้องกินสัตว์อื่น ไม่ว่าจะเป็น หมู เป็ด ไก่ ปลา กุ้ง หอย ฯลฯ ทำไมคนเราถึงต้องพรากชีวิตอื่นเพื่อเป็นอาหารให้ตัวเองอยู่รอด ทำไมเรากินหญ้าแบบวัวไม่ได้ เวลาผมเดินผ่านร้านข้าวหน้าเป็ดหรือข้าวมันไก่ เห็นเขาเอาเป็ดไก่ทั้งตัวมาแขวนเอาหัวลง ก็อดคิดไม่ได้ว่า นี่ถ้ามีสิ่งมีชีวิตที่เจริญกว่าพวกเรา เช่น มนุษย์ต่างดาว มาบุกยึดโลก มนุษย์ต่างดาวพวกนั้นอาจจะกินพวกเราเป็นอาหาร แล้วก็เอาพวกเรามาแขวนโชว์หน้าร้านอาหารแบบนี้บ้าง หรือ เราอาจจะโดนจับใส่ในเข่งแล้วมีมนุษย์ต่างดาวมาชี้ว่าวันนี้จะเอาคนไหนไปกินเป็นอาหารดี ......

ในระยะหลังๆ ได้เริ่มมีความสนใจที่จะผลิตอาหารประเภทเนื้อสัตว์ โดยไม่ต้องเลี้ยงสัตว์ (จะได้ไม่ต้องฆ่าสัตว์) หรือหากต้องฆ่าสัตว์ก็ขอให้สัตว์ไม่ทรมาน ไม่มีความเจ็บปวดเกิดขึ้น กันมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ จะว่าไปแล้วระบบปศุสัตว์หรือฟาร์มเลี้ยงสัตว์แบบอุตสาหกรรมที่ทำกันอยู่ในปัจจุบันมีข้อเสียหลายอย่างครับ เช่น (1) การเลี้ยงสัตว์ทำในคอกหรือโรงเรือนแออัด ทำให้สัตว์ทรมาน (2) มีโอกาสเกิดโรคระบาดได้ง่าย เพราะสัตว์อยู่กันอย่างแออัดยัดเยียด (3) มีการใช้ยาปฏิชีวนะค่อนข้างมาก เพราะไม่ต้องการให้เกิดโรคในข้อ 2 ยาพวกนั้นเหลือมาให้พวกเรานี่แหล่ะครับ รับประทานกัน (4) ฟาร์มเหล่านี้สร้างมลภาวะทางกลิ่นต่อชุมชนอาศัยที่อยู่ใกล้เคียง

ก่อนหน้านี้ ผมได้ออกไปปฏิบัติงานวิจัยภาคสนามที่ฟาร์มหมูแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ ฟาร์มแห่งนี้เริ่มมีปัญหากับชุมชนรอบข้างฟาร์ม เนื่องมาจากได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านในเรื่องของกลิ่นขี้หมู ทางฟาร์มต้องการให้นำ Electronic Nose ไปใช้ศึกษาการลดกลิ่นขี้หมูในฟาร์ม เนื่องจากเราเคยมีผลการทดลองวัดกลิ่นขี้หมูจากฟาร์มหมูที่ จ. ปราจีนบุรีมาก่อน ซึ่งมีผลการทดลองที่ค่อนข้างน่าพอใจว่า Electronic Nose น่าจะใช้เป็นเครื่องมือในการชี้วัด "การเหม็น" ของกลิ่นขี้หมูได้ เนื่องจากเรื่องของกลิ่นขี้หมูนี้ คนที่บอกว่าเหม็น อีกคนอาจบอกว่า "พอทนได้" ก็ได้ ดังนั้นเวลาจะเจรจาความกันมันเลยไม่เคยลงตัวเสียที
โดยปกติ ผมเป็นคนที่ไม่ชอบกินเนื้อสัตว์บก ประเภท หมู เป็ด ไก่ นัก ชอบกินอาหารทะเล โดยเฉพาะปลา มากกว่าครับ การที่ผมได้ไปเห็นเนื้อหมูจากแหล่งกำเนิด คือ ฟาร์มหมู เลยยิ่งทำให้ผมไม่อยากกินหมูเข้าไปใหญ่ มานั่งนึกดูว่า เป็นไปได้ไหมที่ในอนาคต เราสามารถที่จะ "ปลูก" เนื้อสัตว์ขึ้นมาเหมือนกับเราปลูกพืช ตอนหน้าผมจะมาเล่าต่อครับว่า เทคโนโลยีในการปลูกสัตว์อาจเป็นอนาคตของอาหารประเภทเนื้อสัตว์ก็ได้ครับ

03 สิงหาคม 2552

โลกร้อนคุกคามเกษตรกรรม


เมื่อกลางสัปดาห์ก่อน (28 กรกฎาคม 2552) มีข่าวเล็กๆ ข่าวหนึ่งที่น่าตกใจเกิดขึ้น ข่าวนั้นก็คือ มีการทดลองเดินเรือข้ามขั้วโลกเหนือ จากท่าเรือพาณิชย์ในยุโรปตะวันตก มายังเอเชียตะวันออก นัยว่าการทดลองนี้ทำเพื่อพิสูจน์ว่าการเดินเรือจากทวีปยุโรปมายังเอเชีย โดยไม่ต้องผ่านคลองสุเอซ และ ประเทศสิงคโปร์นั้น เป็นสิ่งที่กำลังจะเป็นไปได้ เนื่องจากน้ำแข็งทางขั้วโลกได้เริ่มละลาย ทำให้สิ่งกีดขวางการเดินเรือจะเริ่มหมดไป ซึ่งไม่แน่ว่าในอนาคต การเดินเรือจากเอเชียตะวันนออก ไปยังยุโรปจะทำได้เร็วขึ้น 2 เท่าตัว โดยผ่านทางขั้วโลกเหนือ เรื่องนี้ฟังดูน่าจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ผมก็อดตกใจไม่ได้ว่าโลกเราร้อนได้ขนาดนี้แล้วหรือ .......

และเมื่อเร็วๆนี้เอง ได้มีรายงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Chemical Ecology โดย ดร. รอส เกลียโดว์ (Ros Gleadow) แห่งมหาวิทยาลัยโมแนช ออสเตรเลีย (รายละเอียดเต็มเพื่อการอ้างอิงคือ Gleadow RM, Edwards E. and Evans JR (2009) Changes in nutritional value of cyanogenic Trifolium repens at elevated CO2. Journal Chemical Ecology 35, 476–47) ซึ่งได้ระบุว่าการที่บรรยากาศโลกมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้นนี้ ไม่ได้เป็นผลดีต่อพืชเลย ถึงแม้พืชจะใช้ก๊าซนี้ในการสังเคราะห์แสงก็เถอะ ผมอ่านดูทีแรกก็รู้สึกแปลกใจมากเลยครับ สงสัยอยู่เหมือนกันว่า อ้าว .... ก็พืชใช้คาร์บอนไดออกไซด์ในการสังเคราะห์แสง แต่พอมีเยอะๆ กลับไม่ชอบ มานึกถึงตอนผมไปโรงพยาบาล เคยเปิดเอาอ๊อกซิเจนมาลองหายใจดูเล่นๆ พบว่าแสบจมูกเหมือนกัน นั่นเพราะมีอ๊อกซิเจนเข้มข้นเกินไป ซึ่งแทนที่จะดีกลับไม่ดี

ในรายงานวิจัยของ ดร. เกลียโดว์ นั้นเธอได้บอกถึงเหตุผลของการที่คาร์บอนไดออกไซด์มีความเข้มข้นสูงขึ้น กลับไม่เป็นผลดีต่อพืชว่า เพราะเมื่อมีก๊าซนี้สูง พืชจะผลิตสาร Cynanogenic Glycosides ซึ่งสามารถแตกตัวได้ Hydrogen Cyanide ซึ่งเป็นพิษ ซึ่งสัตว์ที่มากินพืชก็จะได้รับสารพิษนี้ ผลการวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าพืชอย่างมันสำปะหลังจะมีผลผลิตต่ำลงในบรรยากาศก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สูงขึ้น นักวิจัยยังได้เรียกร้องให้มีการศึกษาวิจัย เพื่อพัฒนาพืชทนร้อน สำหรับทดแทนพันธุ์เดิมซึ่งผลผลิตนับวันจะยิ่งตกต่ำลงเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้ก็เคยมีการรายงานว่า ผลผลิตข้าวจะตกต่ำลง 10% ทุกๆ 1 องศาเซลเซียสที่ร้อนขึ้นในช่วงเวลากลางคืน

ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม แต่งานวิจัยพื้นฐานทางด้านการเกษตรของเรากลับไม่ค่อยมีใครทำเท่าไหร่ครับ อีกไม่กี่ปีข้างหน้า ประเทศไทยต้องการเกษตรกรรมแม่นยำสูง (Precision Agriculture) แล้วล่ะครับ .......

18 พฤษภาคม 2552

Dubai Food City - ดูไบเมืองแห่งอาหาร


ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกตกต่ำอย่างตอนนี้ ผมมักจะได้ยินคนพูดกันอยู่บ่อยๆว่า "ไม่ต้องกลัว เมืองไทยยังไงก็ไม่อดตาย ยังไงคนก็ยังต้องกิน" หลายคนฝากความหวังว่าเมืองไทยยังไงก็เป็นครัวโลก เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ยิ่งตอนนี้ประชากรโลกเพิ่มขึ้น ดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงทำให้หลายประเทศผลิตอาหารไม่พอกิน ประเทศอาหรับถึงจะเป็นเศรษฐีน้ำมัน มีเงินก็ต้องนำมาซื้ออาหารจากเรา แต่ทว่า ....... ความคิดแบบนี้ระวังจะใช้ได้อีกไม่นานหรอกครับ ด้วยวิศวกรรมเปลี่ยนฟ้าแปลงดิน Geoengineering อีกหน่อยประเทศทะเลทรายอาจจะผลิตอาหารได้มากกว่าประเทศที่อุดมสมบูรณ์อย่างเราก็ได้ วันนี้ผมนำโครงการหนึ่งที่จะขับเคลื่อนความฝันของอาหรับ เพื่อไปสู่ประเทศที่ผลิตอาหารได้เอง โครงการนั้นคือ Dubai Food City

ปัจจุบันประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ต้องนำเข้าอาหารถึง 90% เชียวครับ ดังนั้นหาก Dubai Food City นี้ทำให้ประเทศนี้ไม่ต้องนำเข้าอาหารอีกต่อไป ก็ถือเป็นสิ่งที่คุ้มค่าแก่การลงทุน ก่อนหน้านี้ประเทศอาหรับได้ไปลงทุนทางด้านการเกษตรในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องข้าวในเวียดนาม เรื่องผักในชิลี และซูดาน ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นคงในด้านอาหาร อีกทั้งกะว่าจะเป็นผู้ส่งออกผลผลิตการเกษตรจากดินแดนที่ตนเข้าไปร่วมลงทุน ก่อนหน้านี้หากยังจำได้ว่า ซาอุดิอารเบียเคยคิดจะเข้ามาลงทุนปลูกข้าวในประเทศไทย แต่ถูกต่อต้านอย่างหนัก ทั้งนี้เขาต้องการเรียนรู้การปลูกข้าว เพื่อนำเทคโนโลยีกลับไปทำในบ้านเขาซึ่งเขาจะปลูกในเรือนควบคุมสภาพอากาศ

Dubai Food City จะเป็นเมืองที่ใช้พลังงานทางเลือก โดยทั้งเมืองจะผลิตพลังงานใช้เองทั้งหมดจากแหล่งพลังงานทางเลือกต่างๆ เช่น Solar Concentrator แต่ละอาคารจะมีเซลล์สุริยะแบบฟิล์มบางบนผิวทั้งหมด ทางเท้ามีระบบเก็บเกี่ยวพลังงานจากการเดินของคน มีเรือนปลูกผัก ผลไม้ ควบคุมสภาพอากาศ มีฟาร์มเลี้ยงสัตว์น้ำที่ล้ำสมัยที่สุดในโลก มีระบบการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่

ฟังดูก็ต้องกลับมาคิดว่า ประเทศอู่ข้าวอู่น้ำอย่างเรา จะปล่อยให้เกษตรยังเป็นแบบที่ไม่ต้องดูแลมาก แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนครับ .....