แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ natural intelligence แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ natural intelligence แสดงบทความทั้งหมด

19 มีนาคม 2555

Plant Intelligence - ต้นไม้ไม่ได้โง่ (ตอนที่ 13)


บ่ายวันหนึ่งเมื่อประมาณ 2555 ปีที่แล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จข้ามแม่น้ำหิรัญญวดี เข้าสู่สาลวโนทยาน คืออุทยานซึ่งสะพรึงพรั่งด้วยต้นสาละ แล้วประทับ ณ แท่นบรรทมระหว่างต้นสาละคู่ เพื่อเตรียมเสด็จสู่มหาปรินิพพาน พระอานนท์ได้ทูลเชิญเสด็จเพื่อไปปรินิพพานในเมืองใหญ่ แทนที่จะเป็นในป่าใกล้เมืองเล็กๆ เพื่อให้สมฐานะและพระเกียรติแก่พระศาสดาของโลก พระพุทธเจ้าได้ตรัสตอบพระอานนท์ว่า “อานนท์ เธออย่ากล่าวอย่างนั้นเลย ชีวิตของตถาคตเป็นชีวิตแบบอย่าง ตถาคตนิพพานไปแต่เพียงรูปเท่านั้น แต่เกียรติคุณของเราคงอยู่ต่อไป เราต้องการให้ชีวิตนี้งามทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด อานนท์เอย ตถาคตอุบัติแล้วเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชน เมื่ออุบัติมาสู่โลกนี้ เราเกิดแล้วในป่านามว่าลุมพินี เมื่อตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เราก็ได้บรรลุแล้วในป่าตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แขวงเมืองราชคฤห์มหานคร เมื่อตั้งอาณาจักรแห่งธรรมขึ้นเป็นครั้งแรกได้สาวกเพียง ๕ คน เราก็ตั้งลงแล้ว ณ ป่าอิสิปตนมิคทายะ เขตเมืองพาราณสี ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแห่งเ เราก็ควรนิพพานในป่าเช่นเดียวกัน"

ระยะหลังๆ มานี้ นักวิทยาศาสตร์เริ่มค้นพบหลักฐานใหม่ๆ ที่แสดงให้เห็นว่า ต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ธรรมดา แต่อาจมีความรู้สึกนึกคิด จนถึงขั้นมีปัญญาสามารถแก้ปัญหาได้ นานมาแล้ว ที่วิทยาศาสตร์บอกว่าต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทื่อๆ นอกจากจะเคลื่อนที่ไปมาไหนไม่ได้แล้ว ยังไร้ซึ่งประสาทสัมผัส และระบบรับรู้ ไม่มีความรู้สึก อารมณ์ และความฉลาด แต่ผลการวิจัยใหม่ๆ ที่เปิดเผยออกมาเรื่อยๆ กลับชี้ให้เห็นว่ามันเป็นความเชื่อที่ผิด

เมื่อไม่กี่วันมานี้ ได้มีรายงานวิจัยที่เปิดเผยเกี่ยวกับความสามารถในการฝึกได้ของพืชครับ ซึ่งสิ่งที่ทำให้พืชเป็นสิ่งมีชีวิตที่ฝึกฝนได้ก็คือ "ความจำ" นั่นเอง รายงานนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Communications โดยคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยเนบราสกา-ลินคอร์น (University of Nebraska-Lincoln) ประเทศสหรัฐอเมริกา (รายละเอียดเพื่อการอ้างอิงคือ Yong Ding, Michael Fromm, Zoya Avramova. Multiple exposures to drought 'train' transcriptional responses in Arabidopsis. Nature Communications, 2012; 3: 740 DOI: 10.1038/ncomms1732) ซึ่งนักวิจัยได้ค้นพบว่าพืชมีความสามารถในการจดจำคืนวันแห่งความแห้งแล้ง และมันสามารถที่จะเรียนรู้เพื่อปรับตัว ทำให้มันมีความสามารถในการที่จะอดทน และเอาตัวรอดจากความแห้งแล้งที่อาจจะผ่านเข้ามาอีกในอนาคต

นักวิจัยได้เปรียบเทียบระหว่างพืชที่ถูกฝึกให้เจอภัยแล้งจำลองหลายๆ ครั้ง กับพืชที่ไม่เคยฝึกเลย พบว่าพืชที่เคยถูกฝึก เมื่อเจอกับภัยแล้ง มันจะจดจำสภาวะที่มันเคยเจอได้ มันจะปรับตัวได้เร็วกว่า ทำให้มันไม่สูญเสียน้ำได้ง่าย จากการศึกษากลไกการทำงานในระดับโมเลกุล ทำให้พบว่า ปฏิกริยาเคมีต่างๆ ในพืชที่ถูกฝึกเอาไว้ เมื่อมันเจอภัยแล้งของจริง มันจะมีสภาพคล้ายๆ กับช่วงที่มันได้ฝึก องค์ความรู้ที่ได้นี้ อาจจะทำให้สักวันหนึ่ง เราสามารถที่จะทำวิศวกรรมเพื่อให้ได้พืชที่ต้องการน้ำน้อย และสามารถให้ผลผลิตได้แม้จะประสบกับสภาวะภัยแล้งน้ำก็ตาม อย่างไรก็ตาม นี่เพิ่งเป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น เรายังต้องแสวงหาความรู้อีกมากว่าความสามารถของพืชมีอะไรอีกบ้าง

ในตอนบ่ายของวันเพ็ญเดือน 6 เมื่อประมาณ 2555 ปีที่แล้วนั้นเอง เหนือขึ้นไปจากแท่นบรรทมของพระพุทธองค์ ต้นสาละทั้งคู่ได้ออกดอกสะพรั่งเต็มต้น โปรยดอกตกถูกพระพุทธสรีระประหนึ่งจะถวายบูชาแด่พระพุทธองค์ ซึ่งเป็นการผิดปรกติ เพราะเวลานั้นไม่ใช่เวลาที่ต้นสาละจะออกดอก พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสต่อพระอานนท์ว่า "ดูก่อน อานนท์ เราสรรเสริญการบูชาเช่นนี้ แต่ไม่ถือว่าเป็นการบูชาอันประเสริฐ เป็นการดีถ้าหากพุทธบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมวินัยให้สมควรแก่ธรรมที่เราได้ตรัสไว้แล้วนั้น เราสรรเสริญว่า เป็นการบูชาที่ประเสริฐสุด"

12 มิถุนายน 2554

Connectome - คอนเน็คโทม (ตอนที่ 3)



การสร้างแผนที่ของสมอง แม้จะเป็นเรื่องที่ยาก แต่ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะการรู้แผนที่สมอง แม้จะเพียงบางส่วนก็ตาม จะมีคุณูปการต่อวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างประมาณมิได้ ความรู้นี้จะทำให้เราสามารถรักษาโรคต่างๆได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น โรคสมองเสื่อมต่างๆ โรคจิตประสาท อาการอยากจำกลับลืม อยากลืมกลับจำ อีกทั้งยังนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถใกล้เคียงมนุษย์ได้อีกด้วย คอนเน็คโทมจึงกลายมาเป็นกระแสที่มาแรงของวงการวิทยาศาสตร์ในช่วงเวลานี้เลยครับ

วิธีการหนึ่งในการศึกษาการทำงานของสมองก็คือ การสร้างสมองจำลอง (Simulated Brain) ขึ้นมาเพื่อศึกษากระบวนการทำงานต่างๆ ของมัน ในปี ค.ศ. 2005 สถาบันสมองและจิตใจ (Brain and Mind Institute) แห่งเมืองโลซาน สวิตเซอร์แลนด์ ได้ริเริ่มโครงการที่เรียกว่า Blue Brain Project ซึ่งเป็นโครงการระยะยาวที่จะศึกษาสมองด้วยการจำลองคอมพิวเตอร์ โดยอาศัยโมเดลที่สร้างขึ้นมาจากข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ได้จากการทดลอง ซึ่งเป็นข้อมูลการทำงานในระดับเซลล์จนถึงการทำงานระดับโมเลกุลในสมองเลยทีเดียว ในขั้นต้น โครงการได้สนใจศึกษาสมองส่วนที่เรียกว่า Neocortical column ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสมองส่วนที่ทำงานในระดับสูง คือระดับของสติและปัญญาเลยทีเดียว สมองส่วนนี้มีลักษณะทรงกระบอกเล็กๆ ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5 มิลลิเมตรและยาว 2 มิลลิเมตร ซึ่งประกอบไปด้วยเซลล์สมองจำนวน 60,000 เซลล์ สมองส่วนเล็กๆ รูปทรงกระบอกนี้ อยู่ในพื้นที่ของสมองส่วนที่เรียกว่า Neocortex ซึ่งสมองส่วนนี้เอง มีทรงกระบอก Neocortical column อยู่ถึง 1,000,000 อัน ดังนั้นการจำลองสมองส่วนที่เป็นทรงกระบอกเล็กๆ นี้ก็ว่ายากแล้ว จะเห็นว่ายังเทียบไม่ได้กับสมองส่วน Neocortex ที่บรรจุมันอยู่เลยครับ

การศึกษาสมองในส่วนของ Neocortical column นับว่าเป็นข้อดี เพราะว่าสมองส่วนนี้ มีความคล้ายคลึงกันสำหรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมด น่าจะเป็นเพราะธรรมชาติได้เรียนรู้ที่จะเลือกใช้เทคโนโลยีที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล จึงได้ copy สมองส่วนนี้ให้สัตว์ประเภทเดียวกันได้ใช้งาน เช่น หนู หรือ คน ก็มีสมองส่วนนี้ที่คล้ายกันมาก เพียงแต่ของคนเรามีขนาดที่ใหญ่กว่า และในสมอง Neocortex ของคนก็มีจำนวนทรงกระบอกนี้มากกว่าหนูเยอะ

นักวิจัยได้ลองเอาสมองส่วน Neocortical column ไปใส่ในโปรแกรมจำลองสภาพความจริงเสมือน (Virtual Reality) ที่มีสัตว์จำลอง โดยให้สมองส่วนนี้จำลองอยู่ในสมองของสัตว์ตัวนี้ แล้วปล่อยเจ้าสัตว์นี้ให้หากินอยู่ในสภาพความจริงเสมือน เพื่อที่จะได้สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นในสมองจำลองส่วนนี้ ทำให้พบว่าสัตว์ตัวนี้เรียนรู้สิ่งต่างๆ และสร้างความทรงจำขึ้นมาได้อย่างไร ตลอดจนการเรียกใช้งานความจำของมัน

นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งในความพยายามที่จะสร้างแผนที่ของสมองครับ บทความซีรีย์นี้ยังมีอีกนะครับ ......

15 มีนาคม 2554

Connectome - คอนเน็คโทม (ตอนที่ 1)



ในช่วงที่ผมเริ่มทำวิจัยทางด้านนาโนเทคโนโลยีเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1995 หรือประมาณ 15 ปีที่แล้ว เป็นช่วงแรกๆ ที่ในประเทศสหรัฐอเมริกาเพิ่งจะเริ่มมีคนพูดถึงคำว่า นาโนเทคโนโลยี กันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่คนไทยเองนั้นก็ยังไม่รู้จักคำว่านาโนเทคโนโลยีกันเท่าไหร่นัก ผมเคยพูดๆไว้กับเพื่อนๆว่า คอยดูนะต่อไปไม่เกิน 10 ปี ศาสตร์ทางด้านนี้จะบูมและจะมีการทำวิจัยกันทั่วโลก ถ้าอยากได้ทุนวิจัยก็รีบๆ มาทำความรู้จักศาสตร์ด้านนี้ไว้นะ ต่อจากนั้น ในที่สุดประเทศไทยก็ก่อตั้งศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติในปี ค.ศ. 2003 มีการให้ทุนวิจัยทางด้านนี้มากมาย นักวิจัยชาวไทยก็แห่มาทำวิจัยทางด้านนี้กันขนานใหญ่ เพราะมีเงินทุนวิจัยหลั่งไหลเข้ามามากมาย

ในช่วงนั้น ... ผมเริ่มมองหาศาสตร์ใหม่ๆ เพื่อหนีออกไป ช่วงนั้น เพื่อนฝูงถามผมว่าหลังยุคนาโนจะมีอะไรมาอีก ... ผมบอกกับเพื่อนๆ ว่า ยังมีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง ที่เป็นความลับมานานแสนนาน ยังมีคนทำทางด้านนี้น้อย แต่เป็นศาสตร์เปลี่ยนโลกเลยแหล่ะ นั่นคือเรื่องของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับจิตใจ (Mind Sciences) ซึ่งปัจจุบันเราทำได้แค่เพียงการปะติดปะต่อความรู้ที่เป็นชิ้นเล็กๆ เข้าด้วยกันเท่านั้น แต่ความรู้ที่เพิ่มขึ้นเพียงนิดหน่อยในศาสตร์ทางด้านนี้ อาจมีประโยชน์มหาศาลในการพัฒนาเทคโนโลยีเลยทีเดียว ไม่เหมือนงานทางด้านนาโนเทคโนโลยี ที่การตีพิมพ์ผลงานวิชาการ 1 เรื่อง แทบจะไม่มีผลต่อการเพิ่มพูนประโยชน์อะไรนัก ... แต่การไขปัญหา 1 เรื่องที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์จิตใจ 1 เรื่อง จะมีผลกระทบตามมาอีกมากมายเลย

วิทยาศาสตร์ปัจจุบัน นับตั้งแต่ยุคของนิวตันเมื่อเกือบ 400 กว่าปีที่แล้ว แยกจิตใจออกจากวัตถุ (Mind vs Matter) ตลอดระยะเวลา 400 ปีนี้ พวกเราพัฒนาความรู้และศาสตร์ต่างๆ ตลอดจนเทคโนโลยีมากมาย บนพื้นฐานของแนวคิดนี้ เราแยกซอฟต์แวร์ กับ ฮาร์ดแวร์ ออกจากกัน แต่ในช่วง 20 ปีหลังมานี้ เราถึงเริ่มประจักษ์แจ้งว่า ปรากฎการณ์หลายอย่างที่เกี่ยวกับจิตใจ มันมีความเชื่อมโยงกับร่างกายที่เราอาศัยอยู่ (Mind-Body Interactions) โดยความรู้แบบแยกส่วนที่เรามีอยู่เดิมมันให้คำตอบดีๆ แก่เราไม่ได้

ยิ่งในระยะหลังๆ เราเริ่มพัฒนาหุ่นยนต์ หรือระบบออโตเมชั่นต่างๆ โดยต้องการใส่ปัญญา (Intelligence) เข้าไปในระบบเหล่านั้น เราก็เริ่มตระหนักว่าความเข้าใจในเรื่องความคิด (Thought) จิตใจ (Mind) อารมณ์ (Emotion) ความรู้สึก (Feeling) ความระลึกรู้ (Conciousness) เป็นสิ่งที่ยังรู้น้อยมากๆ เรายังขาดโมเดลที่ใช้อธิบายการทำงานของกระบวนการเหล่านี้ ที่ผ่านมา การพัฒนาหุ่นยนต์ให้มีความรู้สึกแบบเดียวกับมนุษย์ก็จะติดขัดที่ปัญหาของโมเดลที่แหล่ะครับ ทั้งๆ ที่เราสามารถพัฒนาเทคโนโลยีที่ตรวจจับสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นผิวหนังประดิษฐ์ (Electronic Skin) จมูกอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Nose) ระบบมองเห็นภาพ (Machine Vision) สำหรับหุ่นยนต์ได้อย่างก้าวหน้าแล้วก็ตาม แต่กระบวนการของการประมวลความรู้สึกภายในนี่สิครับ เรายังมีความรู้ในเชิงวิทยาศาสตร์น้อยมากๆ (ในพุทธศาสนามีการบรรยายเรื่องกระบวนการประมวลผลสัมผัสได้อย่างละเอียดมาก เรียกว่าวงจรปฏิจจสมุปบาท) จนทำให้เรายังไม่สามารถสร้างหุ่นยนต์ที่มีกระบวนการคิด หรือกระบวนการใช้ปัญญาให้เหมือนมนุษย์ได้

นี่แหล่ะครับ คือศาสตร์ที่ผมคิดว่าจะครองศตวรรษที่ 21 ... น่าเสียดายที่ประเทศไทยแทบจะไม่มีนักวิทยาศาสตร์ทางด้านนี้เลย และมีโอกาสที่เราจะตกรถขบวนนี้ เมื่อลองคิดเล่นๆ ว่าในอนาคตอีก 20-30 ปีข้างหน้า สิ่งของที่อยู่รอบๆ ตัวเราจะประกอบด้วยหรือทำงานด้วยสมองประดิษฐ์ (Artificial Brain) ที่ทำงานเหมือนมีจิตใจกันหมด ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ บ้าน ทีวี ตู้เย็น ทางหลวง สะพาน เราจะต้องอาศัยอยู่ในโลกของสภาพล้อมรอบอัจฉริยะ (Ambient Intelligence) แต่ประเทศเรากลับยังไม่ค่อยตระหนักในเรื่องนี้เท่าไรเลยครับ

จริงๆ แล้ววันนี้ ผมยังไม่ได้เข้าเรื่อง Connectome เลยครับ แค่มาเกริ่นๆ คร่าวๆ เท่านั้นว่า ศาสตร์ทางด้าน Connectome นี่แหล่ะครับ ที่จะเป็นประตูเข้าไปสู่ความเข้าใจที่มากขึ้นในเรื่องจิตใจของเรา เป็นครั้งแรกในรอบ 2500 กว่าปีภายหลังจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ค้นพบความรู้ทางด้านนี้ ที่มนุษย์รุ่นหลังจะเริ่มเข้าไปทำความเข้าใจจากอีกมุมมองหนึ่งว่า พระองค์ได้ค้นพบอะไร ....

แล้วมาคุยกันต่อในตอนต่อๆ ไปครับ ....

(ภาพบน - เป็นภาพโมเดลที่อธิบายความเชื่อมโยงของเส้นใยประสาทในสมองมนุษย์)

17 กันยายน 2553

Collective Intelligence - ปัญญาสะสม (ตอนที่ 3)


เมื่อคราวก่อน ผมได้ทิ้งปริศนาเอาไว้ให้คิดกันเล่นๆ นะครับว่า ทำไมความเฉลียวฉลาดของประชากร และเหรียญรางวัลโอลิมปิกวิชาการ ถึงไม่เกี่ยวกับความเจริญของประเทศ ทั้งนี้ ประเทศที่มีคนฉลาดน้อยกว่าประเทศไทย แถมไม่ได้เหรียญรางวัลโอลิมปิก ก็อาจจะมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมไปถึงความเจริญทางเศรษฐกิจมากกว่าประเทศไทยได้อย่างสบายๆ

จริงๆ แล้ว นักวิทยาศาสตร์มีทฤษฎีหลากหลายมาก เพื่อใช้อธิบายว่าทำไมมนุษย์สายพันธุ์นีอันเดอธาล (Neanderthals) ที่ครองโลกเมื่อ 300,000 ปีที่แล้ว ถึงสูญสิ้นเผ่าพันธุ์เมื่อประมาณ 30,000 ปีที่แล้ว โดยถูกแทนที่ด้วยบรรพบุรุษของพวกเรา ทั้งๆ ที่มนุษย์นีอันเดอธาลมีขนาดของสมองใหญ่กว่าพวกเรา และเชื่อกันว่ามีความเฉลียวฉลาดกว่าพวกเราเสียอีก แต่ทฤษฎีหนึ่งที่น่าเชื่อถือนั้น มีชื่อว่า "the Great Leap Forward" ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่บรรพบุรุษของเรา ได้เกิดการยกเครื่องทางด้านสังคม ชีวิตความเป็นอยู่ มีการประดิษฐ์คิดค้น สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ อย่างขนานใหญ่ จนทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถจะมาต่อกรกับบรรพบุรุษของเราได้เลย ทั้งๆ ที่ฝ่ายนั้นมีความเฉลียวฉลาดมากกว่าพวกเรา แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ไปอย่างไม่ทันตั้งตัว

หลังจากที่บรรพบุรุษของเราได้อพยพออกจากแอฟริกา เมื่อ 100,000 ปีที่แล้ว พวกเขาเหล่านั้นต้องระหกระเหิน ระเหเร่ร่อน ออกไปอยู่ตามที่สถานที่ต่างๆ ในทวีปเอเชีย เนื่องจากพวกนีอันเดอธาลได้ยึดครองยุโรปไว้เกือบหมดแล้ว บรรพบุรุษของเราไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องกระจัดกระจายกันไปอยู่ตามแหล่งหากินต่างๆ ในเอเชีย เพราะในช่วงเวลานั้นเทคโนโลยีของบรรพบุรุษเรา มิอาจจะต่อกรกับมนุษย์นีอันเดอธาลได้เลย แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไปอีก 55,000 ปี บรรพบุรุษของเราได้กลับไปที่ทวีปยุโรปอีกครั้ง พร้อมกับเทคโนโลยีที่สูงกว่า และได้ขจัดมนุษย์นีอันเดอธาลออกไปจนหมด ... เกิดอะไรขึ้นในช่วง 55,000 ปีนั้น ทำไมพวกเราที่มีความฉลาดมากกว่า ถึงได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดจนอีกฝ่ายไม่สามารถจะตั้งตัวได้ติด

ในระหว่างที่บรรพบุรุษของเราอาศัยอยู่อย่างกระจัดกระจายไปทั่วทวีปเอเชียนั้น แต่ละชนเผ่าก็อยู่อาศัยหากินกันไปตามแหล่งต่างๆ ในช่วงนี้ได้เกิดการพัฒนาสิ่งต่างๆ ที่ค่อนข้างแตกต่างกันไปตามถิ่นที่อยู่ ทั้งนี้ได้เกิดปรากฎการณ์หนึ่งขึ้นก็คือ ผู้คนเหล่านั้นได้มีการแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ผ่านการ "เดินทางท่องเที่ยว" และ "ค้าขาย" มนุษย์ที่อยู่ห่างออกไปหลายพันกิโลเมตร สามารถสร้างเครื่องมือเพื่อใช้ในการดำรงชีพ ด้วยการ "เลียนแบบ" สิ่งที่มนุษย์แหล่งอื่นๆ ได้ทำขึ้นก่อนหน้า โดยไม่ต้องไปเรียนรู้ใหม่ การ "แลกเปลี่ยน" สินค้าเกิดขึ้นพร้อมๆกับ การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี เกิดการเลียนแบบกัน เกิดการต่อยอดนำสิ่งที่ทำไว้แล้ว มาพัฒนาขึ้นให้เหมาะสมกับถิ่นที่อยู่ ดังนั้นทำให้เผ่าพันธุ์ของเราเกิดสิ่งที่เรียกว่า "Collection of Brains" ซึ่งทำให้สามารถสร้างเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนมากๆ ได้ ต่างจากพวกนีอันเดอธาลที่มีสมองใหญ่กว่า แต่ไม่สามารถที่จะระดมสมองหลายๆ สมองมาร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้ สุดท้ายก็ต้องสูญพันธุ์

"การแลกเปลี่ยนความคิดและความรู้" ผสมผสานกับการ "เลียนแบบ" และ "ต่อยอด" นี่เองครับ ที่เป็นกุญแจสู่ความสำเร็จของบรรพบุรุษเรา ในวงการวิชาการและวงการเทคโนโลยี สาขาไหนที่เจริญมากๆ สังเกตว่าจะมีการจัด Conference บ่อยกว่าสาขาที่ไม่เจริญ การได้ไปเห็นไปฟังคนที่มาพูดใน conference บางทีช่วยทำให้เราประหยัดเวลาวิจัยได้เป็นปีเลย ด้วยการ "แลกเปลี่ยน" "เลียนแบบ" และ "ต่อยอด" นี่เอง ...


19 สิงหาคม 2553

Collective Intelligence - ปัญญาสะสม (ตอนที่ 2)


หลายๆ ครั้งที่ผมและเพื่อนๆ ได้มีโอกาสไปนั่งสังสรรกันตามประสา พวกเราก็๋มักจะสนทนาเรื่องที่เกี่ยวกับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เรามักจะประเมินกันว่า ตอนนี้ประเทศไหนนำหน้าหรือตามหลังเรา หัวข้อหนึ่งที่เพื่อนๆ ของผมมักจะนำเสนอสู่วงสนทนาเสมอๆ ก็คือ ประเทศไทยมีเด็กเก่งๆ ที่ไปแข่งขันวิทยาศาสตร์โอลิมปิก สามารถคว้าเหรียญทองกลับมาได้มากมายทุกๆ ปี แต่กลับไม่มีประโยชน์ใดๆ เลยกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ประเทศไทยก็ยังด้อยพัฒนากว่าหลายๆ ประเทศที่ไม่ได้เหรียญเหล่านี้เลย นี่มันอะไรกันครับ ??? ครั้งหนึ่ง ผมเคยปรารภกลับเพื่อนๆ ว่า เอ่อ .... ผมคิดว่า ผมพอจะรู้คำตอบเรื่องนี้แล้วล่ะ ... โดยแท้จริงแล้ว การที่ประเทศใดประเทศหนึ่งมีประชากรที่ฉลาดจำนวนมากนั้น มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของประเทศนั้นเลย ... จริงๆ แล้วประเทศที่มีคนหัวปานกลาง ก็อาจกลายเป็นมหาอำนาจทางเทคโนโลยีก็ได้ ...


ก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาทางด้านสายพันธุ์ของมนุษย์ ก็ต้องปวดหัวเป็นอย่างมากกับคำถามที่ว่า เพราะเหตุใด มนุษย์สายพันธุ์นีอันเดอธาล (Neanderthals) ที่ครองโลกเมื่อ 300,000 ปีที่แล้ว ถึงถูกรุกล้ำและแทนที่โดยบรรพบุรุษของเรา จนสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปในที่สุดเมื่อประมาณ 30,000 ปีที่แล้ว ทั้งๆ ที่มนุษย์นีอันเดอธาลมีขนาดของสมองใหญ่กว่าพวกเรา และเชื่อกันว่ามีความเฉลียวฉลาดกว่าพวกเราเสียอีก แต่กลับถูกสายพันธุ์ที่ฉลาดน้อยกว่า เข้าครอบครองจนสูญพันธุ์ไป

จากการขุดค้นหาหลักฐานต่างๆ นั้น นักวิทยาศาสตร์ได้พบว่า เมื่อประมาณ 100,000 กว่าปีที่แล้ว มนุษย์นีอันเดอธาลมีเทคโนโลยีก้าวหน้ากว่าบรรพบุรุษของพวกเราที่เป็น โฮโมเซเปียน (Homo Sapiens) มาก ทำให้บรรพบุรุษของเราต้องเร่ร่อนหนีออกไปอยู่ในทวีปเอเชีย โดยมนุษย์นีอันเดอธาลได้ครอบครองทวีปยุโรปทั้งหมด จนเมื่อเวลาผ่านไปถึงเมื่อ 45,000 ปีที่แล้ว พวกบรรพบุรุษของเราก็ได้กลับมาที่ทวีปยุโรป ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่า และได้กำจัดมนุษย์นีอันเดอธาลออกไปจนหมด นักวิทยาศาสตร์ต่างฉงนว่า ในช่วงเวลา 55,000 ปีนั้น เทคโนโลยีของพวกนีอันเดอธาลไม่ได้ก้าวหน้าพัฒนาไปอีกเลย มนุษย์เหล่านี้ไม่รู้จักสร้างเมือง ไม่รู้จักการเกษตร รวมไปถึงยาสีฟัน ทำไมมนุษย์สายพันธุ์ที่มีความเฉลียวฉลาด กลับด้อยพัฒนากว่าบรรพบุรุษของเรา ???

แล้วผมจะไขข้อข้องใจว่า ทำไมความเฉลียวฉลาดของประชากร และเหรียญรางวัลโอลิมปิกวิชาการ ถึงไม่เกี่ยวกับความเจริญของประเทศ ในตอนต่อๆ ไปครับ ....

01 สิงหาคม 2553

Plant Intelligence - ต้นไม้ไม่ได้โง่ (ตอนที่ 12)


เรื่องของภูมิปัญญาในพืช หรือ Plant Intelligence ผ่านมาถึงตอนที่ 12 แล้วนะครับ เรื่องนี้เป็นอะไรที่น่าสนใจ และผมเชื่อว่า วิทยาศาสตร์ในทศวรรษต่อไป จะเปิดเผยความลับเกี่ยวกับพืชออกมาเรื่อยๆ เราจะได้พบกับความรู้ใหม่ ความน่าประหลาดใจเกี่ยวกับพืชอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และความรู้นี้แหล่ะครับ จะนำไปสู่การแก้ปัญหาหลายๆอย่าง ทั้งทางด้าน อาหาร เกษตร พลังงาน สิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังจะมีประโยชน์ในด้านเทคโนโลยีบางอย่างที่เราอาจจะไม่เคยคาดคิดมาก่อน

เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2553 ที่ผ่านมานี้เอง ได้มีรายงานวิจัยฉบับหนึ่งตีพิมพ์ในวารสาร The Plant Cell (รายละเอียดเต็มคือ Magdalena Szechyska-Hebda, Jerzy Kruk, Magdalena Górecka, Barbara Karpiska and Stanisaw Karpiski, "Evidence for Light Wavelength-Specific Photoelectrophysiological Signaling and Memory of Excess Light Episodes in Arabidopsis", Plant Cell (2010), DOI:10.1105/tpc.109.069302) ที่เปิดเผยว่าพืชก็มีระบบประสาทเหมือนกับสัตว์ โดยพืขจะอาศัยการส่งข้อมูลผ่านเซลล์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า bundle sheath cell ซึ่งเป็นเซลล์ที่หุ้มอยู่รอบขอบผนังท่อลำเลียงอาหารของพืช ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์เคยคิดว่าเซลล์ชนิดนี้ทำหน้าที่ตรึงคาร์บอนไดออกไซด์เอาไว้ ไม่เคยคิดว่าเซลล์เหล่านี้จะทำหน้าที่พิเศษขึ้นมาอีกอย่าง นั่นก็คือ เป็นเซลล์ที่ใช้ส่งสัญญาณ/ข้อมูล ไปทั่วต้นพืช เฉกเช่นเซลล์ประสาทของสัตว์

นักวิจัยได้ทดลองฉายแสงไปที่ใบของต้นพืชทดลองเพียงแค่ใบเดียวเท่านั้น แสงที่ความยาวคลื่นดังกล่าว สามารถใช้กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของพืชได้ ซึ่งพืชจะเข้าใจว่าตอนนี้ กำลังเข้าสู่ฤดูกาลที่อาจมีศัตรูพืชแล้ว นักวิจัยพบว่าหลังจากส่องแสงไปที่ใบพืชเพียงแค่ใบเดียว แล้วตรวจวัดภูมิคุ้มกันของพืชทั่วลำต้น ผลก็คือ พบว่าพืชได้เปิดใช้ระบบภูมิคุ้มกันทั่วลำต้นแล้ว นั่นแสดงว่าพืชมีการส่งข้อมูลจากใบไม้ที่ถูกแสงกระตุ้น ไปยังใบไม้ใบอื่น และเซลล์อื่นๆ ทั่วทั้งลำต้น ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานว่าน่าจะผ่านเซลล์ bundle sheath cell นี้เอง เนื่องจากสามารถตรวจพบสัญญาณไฟฟ้าที่เซลล์ดังกล่าว มีลักษณะเป็นคลื่นสัญญาณคล้ายกับเซลล์ประสาทของสัตว์

นักวิจัยกำลังสงสัยว่าพืชอาจมีการเรียนรู้และจดจำ ลักษณะและความจำเพาะของฤดูกาลต่างๆ เมื่อข้อมูลสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป มันจะสามารถตรวจพบและเตรียมตัวรับมือกับภัยคุกคามต่างๆ ...

01 พฤษภาคม 2553

Are We Simulated in Computer ? - ฤาโลกนี้เป็นเพียงฝัน (ตอนที่ 7)

บทความชุด "ฤาโลกนี้เป็นเพียงฝัน" มาถึงตอนที่ 7 แล้วนะครับ แต่ผมอยากให้ท่านผู้อ่านย้อนกลับไปอ่านชุดบทความนี้ในตอนที่ 1 สักนิดครับ โดยเฉพาะส่วนหนึ่งของบทความตอนนั้น ซึ่งผมเขียนว่า "..... Dr. Nick Bostrom ผู้อำนวยการสถาบันอนาคตของมนุษยชาติ (Future of Humanity Institute) แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด เชื่อว่าพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีของสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงใดก็ตาม (รวมไปถึงโลกของเรานี้ด้วย) ไม่ว่าที่ใดในจักรวาล จะต้องไปถึงจุดที่สามารถสร้างคอมพิวเตอร์ที่มีพลังประมวลผลสูงมาก และสูงกว่าพลังประมวลผลของสมองมนุษย์ทุกสมองในโลก และหากคอมพิวเตอร์มีศักยภาพไปถึงจุดนั้นแล้ว เชื่อว่าจะต้องมีใครที่คิดอยากจะซิมูเลชั่นสิ่งมีชีวิตต่างๆ บนโลก ซึ่งกำลังประมวลผลที่มหาศาลนี่เอง ทำให้การจำลองเหตุการณ์และสิ่งมีชีวิตต่างๆ ทำได้เหมือนจริงมากเสียจนผู้ถูกจำลองไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว ตนเองเป็นชีวิตที่จำลองขึ้นมา ......."

ดูเหมือนว่า สิ่งที่ ดร.บอสตรอม ทำนายไว้ จะเกิดขึ้นเร็วเกินคาดครับ เพราะทางสหภาพยุโรปได้มีดำริที่จะสร้างโมเดลที่จะอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลก รวมไปถึงให้สามารถที่จะทำนายเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ในลักษณะเดียวกับที่นักอุตุนิยมวิทยาสามารถที่จะพยากรณ์อากาศได้จากโมเดลคอมพิวเตอร์ของสภาพอากาศ โครงการที่มีมูลค่ากว่า 1 พันล้านยูโร (ประมาณ 50,000 ล้านบาท) นี้จะรวมเอาโมเดลสำคัญๆ ทางด้านวิทยาศาสตร์ สังคม เศรษฐศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม (techno-socio-economic-environmental) เข้ามาบูรณาการเป็นหนึ่งเดียว นับเป็นครั้งแรกในโลก ที่มีการหลอมรวมศาสตร์ต่างๆ เข้ามาเพื่อทำการจำลองสถานการณ์บนโลกอย่างซับซ้อน และเต็มไปด้วยรายละเอียดจากทั้งมุมมองของวิทยาศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ อย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน โมเดลนี้จะวิ่งบนโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผลขนาดใหญ่ ข้อมูลจำนวนมากจากหลากหลายมิติ และมุมมอง จะถูกป้อนเข้าไปประมวลผล ณ เวลาจริง โครงการนี้จะทำให้เราสามารถที่จะพยากรณ์เหตุการณ์บางอย่าง ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ล่วงหน้า เพื่อให้เราสามารถเตรียมพร้อมหรือปรับตัวได้ทันท่วงที เช่น การเกิดฟองสบู่แตกทางด้านการเงิน การเกิดโรคระบาด กรณีพิพาทต่างๆ ทางสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือแม้กระทั่งใช้วางแผนในการทำสงคราม หรือการรักษาสันติภาพ เป็นต้น

ถึงแม้รายละเอียดของโครงการนี้ ยังไม่ได้มีการเปิดเผยเท่าไรนัก แต่ผมก็พอจะประเมินได้ว่า โครงการนี้จะต้องมีการนำนักวิทยาศาสตร์ชั้นยอด จากมหาวิทยาลัยต่างๆ หลากหลายศาสตร์ เข้ามาร่วมทำงานกัน และอาจจะมีเอกชนที่อยากลงขัน เพื่อมีส่วนในการใช้ข้อมูลหรือโมเดลดังกล่าวนี้ เช่น บริษัทประกัน บริษัทลงทุนขนาดยักษ์ หรือแม้แต่ Google เอง ก็คงต้องการที่จะสร้างโมเดลของโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ เมื่อถึงเวลานั้น เราก็เพียงแค่เข้า Google เพื่อ search หาเหตุการณ์แบบเรียลไทม์ (Real-time) ที่กำลังเกิดขึ้น หรือหาว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า ......

18 มีนาคม 2553

Plant Intelligence - ต้นไม้ไม่ได้โง่ (ตอนที่ 11)


สวัสดีครับท่านผู้อ่าน พรุ่งนี้ผมจะไปทำงานภาคสนามทางภาคเหนือสักอาทิตย์นึงครับ แต่ก็จะพยายามเข้ามาอัพเดตครับ ถ้าคืนไหนมีเวลาว่างๆ

เรื่องของพืช เป็นอะไรที่วิทยาศาสตร์ในยุคนี้เริ่มกลับมาค้นหาเชิงลึก ดังที่ผมชอบที่จะนำเรื่องความฉลาดของพืชมาเล่าให้ท่านฟังบ่อยๆ นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะค้นพบข้อมูลบางอย่างที่บ่งชี้ว่าพืชมี "ปัญญา" รู้จักแก้ปัญหา มันสามารถสื่อสารระหว่างกันได้ มันมีระบบสังค แค่นี้สำหรับบางคนก็แปลกใจแล้วครับ ว่าพืชคุยกันสื่อสารกันได้ด้วยเหรอ แล้วถ้าผมจะบอกท่านผู้อ่านต่อไปอีกว่า พืชก็สามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ด้วยนะ ท่านผู้อ่านคงจะยิ่งประหลาดใจ หาว่าผมพูดเล่น ....

ท่านผู้อ่านที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่อง Avatar จะสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยากครับ เราจะเห็นว่าชาวนาวีในภาพยนตร์เรื่องนี้ ใช้ชีวิตแอบอิงกับต้นไม้ ตั้งแต่การอยู่อาศัยเป็นนิคมบนต้นไม้ใหญ่ อาหารการกิน ยารักษาโรค แม้แต่การเลือกคู่ครอง ยังต้องไปแสดงบทรักใต้ต้นไม้ที่เป็นจิตวิญญาณของชนเผ่าที่มีชื่อว่า Eywa ต้นไม้ต้นนี้มีรากอากาศ ที่มีปลายประสาทมากมาย ซึ่งสามารถนำมาเชื่อมต่อกับปลายประสาทของชนเผ่า Navi ได้ ชนเผ่านี้จะสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกับต้นไม้ต้นนี้ได้ แม้กระทั่งหากมีใครต้องหมดอายุขัยที่จะต้องตายไป ร่างของเขานั้นจะถูกนำไปไว้ใต้ต้นไม้นี้ เพื่อให้ปลายประสาทของต้นไม้มาต่อเชื่อมกับสมองของคนที่จะตาย เพื่อที่ข้อมูล ความรู้ ปัญญาต่างๆ ของคนผู้นั้นจะถูกถ่ายเทไปที่ต้นไม้ องค์ความรู้ที่สะสมมาของผู้ที่จากไปก็จะไม่สูญหายไปไหน แค่นี้ยังไม่พอครับ .... ต้นไม้ต้นนี้ยังเชื่อมกับต้นไม้อื่นๆ ผ่านปลายประสาทที่ราก โยงใยกันเป็นเครือข่ายที่ไม่รู้จบ ทำให้ต้นไม้ทั้งหมดของดาวเคราะห์ที่มีชื่อว่า แพนดอรา นี้เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายประมวลผลที่ซับซ้อนมากครับ

แล้วตอนหน้า ผมจะนำรายงานการวิจัยฉบับหนึ่ง ที่ค้นพบว่า พันธุกรรมของมนุษย์ มีส่วนเชื่่อมโยงกับต้นไม้ เหมือนกับว่า เรากับต้นไม้ ก็ไม่ได้ห่างไกลกันมากครับ ....

16 กุมภาพันธ์ 2553

Are We Simulated in Computer ? - ฤาโลกนี้เป็นเพียงฝัน (ตอนที่ 6)


ท่านผู้อ่านเคยฝันดีดีไหมครับ ดีเสียจนเรารู้สึกเสียดายที่ต้องตื่นขึ้นมาเสียก่อน บางครั้งเราฝันดีเสียจนต้องกลับไปนอนต่อเพื่อจะฝันเรื่องเดิมต่อ แต่มันไม่เป็นเช่นนั้นสิครับ เรากลับไม่สามารถที่จะฝันเรื่องนั้นต่อได้อีกแล้ว .....

มีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งที่คิดว่า โลกที่เรากำลังอาศัยอยู่นี้ จริงๆ แล้ว อาจจะเป็นโลกที่จำลองอยู่ในคอมพิวเตอร์ก็ได้ แต่เพราะความเสมือนจริงของมันมากเสียจน เราไม่อาจจะแยกแยะระหว่างโลกจำลอง กับโลกจริงๆได้ นักวิทยาศาสตร์ตั้งคำถามอย่างนี้ครับว่า ....

(1) เราจะมีวิธีพิสูจน์ไหม ว่าโลกที่เราอาศัยอยู่นี้เป็นโลกจริง หรือโลกจำลอง ?

(2) โลกจำลองกับโลกจริง มีอะไรที่แตกต่างกัน ?

(3) เราจะปฏิบัติตนอย่างไร หากเรารู้ว่าเรากำลังอาศัยอยู่ในโลกจำลองอยู่ ?

แน่นอนครับว่า โลกจริงมีอยู่แน่ๆ ไม่เช่นนั้นจะมีโลกจำลองได้อย่างไร เพราะจะต้องมีโลกจริงๆ อย่างน้อย 1 โลก เอาไว้เป็นที่ตั้งของคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง ที่เอาไว้ใช้รันโลกจำลอง แต่ไม่ได้หมายความว่า โลกจำลองนี้ จะไม่มีคอมพิวเตอร์จำลอง ที่รันโลกจำลองอีกชั้นหนึ่ง หรืออาจจะมีโลกจำลองซ้อนๆ กันไปเรื่อยๆ ... งงไหมครับ ???

แต่เราจะรู้ว่าโลกที่เราอาศัยอยู่นี้เป็นโลกจริงหรือโลกจำลองได้อย่างไร ... มีนักฟิสิกส์ชื่อว่า Bin-Guang Ma ได้เสนอว่า การที่เราจะรู้ว่าเราอาศัยอยู่ในโลกจริงหรือไม่นั้น เราก็ต้องมีจุดอ้างอิง เช่น ถ้ามีโลกจำลองให้เปรียบเทียบ ก็แสดงว่าเราอาศัยอยู่ในโลกจริง หรือ ถ้ามีโลกจริงให้เปรียบเทียบ นั่นแสดงว่าเรากำลังอาศัยอยู่ในโลกจำลอง อธิบายง่ายๆ เหมือนถ้าเราอยากจะรู้ว่าเรากำลังหยุดนิ่งหรือเคลื่อนที่อยู่ เราก็ต้องมีวัตถุอื่นเป็นจุดอ้างอิง ถ้าเราเห็นว่าวัตถุอื่นๆ อยู่นิ่งกันไปหมด นั่นแสดงว่าเรากำลังหยุดนิ่ง แต่ถ้าเห็นวัตถุอื่นเคลื่อนใกล้เข้ามาหรือไกลออกไป ก็แสดงว่าเรากำลังเคลื่อนที่อยู่

การที่เราต้องมีจุดอ้างอิงเพื่อรู้ว่าเรามีตัวตนจริงๆ หรือไม่ แสดงให้เห็นว่า ความมีตัวตน หรือ การมีอยู่จริง เป็นเรื่องของสัมพัทธภาพ (Relativity) ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้สังเกตด้วยครับ หากเราเป็นผู้สังเกตเสียเอง เราก็จะบอกว่าเราเองนั่นแหละอาศัยในโลกของจริง ส่วนโลกที่มาอ้างอิงนั้นเป็นโลกจำลอง โดยผู้สังเกตจากอีกโลกหนึ่ง จะพูดว่าตัวเขาต่างหากที่อาศัยอยู่ในโลกของจริง แต่ตัวเราอาศัยในโลกจำลอง

ในคำสอนของพุทธศาสนานั้นมีความเชื่อเรื่องภพภูมิอยู่ ซึ่งบอกว่าเมื่อเราตายจากโลกนี้ไปแล้ว เราจะไปจุติในภพภูมิใหม่ซึ่งรันขนานกับภพภูมิที่เราเคยอยู่เดิม หรือว่าพระพุทธองค์ได้ทรงค้นพบความลับที่เกี่ยวกับโลกจำลองเมื่อ 2,600 ปีที่แล้ว ????

30 มกราคม 2553

Plant Intelligence - ต้นไม้ไม่ได้โง่ (ตอนที่ 10)


เมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว องค์สมเด็จพระบรมศาสดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงค้นพบว่า พืชเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ธรรมดา พระองค์ทรงบัญญัติพระวินัย มิให้พระภิกษุสงฆ์ตัดถอนต้นไม้โดยไม่มีเหตุอันควร ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ได้ใช้ต้นไม้เป็นสถานที่ ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน

นักวิทยาศาสตร์เริ่มหันมาสนใจความน่าทึ่งของต้นไม้มากขึ้นเรื่อยๆ ครับ ที่ผ่านมา ต้นไม้ถูกมองว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่แสนธรรมดา ไม่มีเรื่องของความฉลาดเลย แต่หลักฐานใหม่ๆ กลับปรากฎชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่า ต้นไม้อาจมีระบบสื่อสาร และระบบทางสังคม ที่ใช้ช่องทางที่แตกต่างจากพวกเราอย่างสิ้นเชิง ดังที่ผมได้นำมาเล่าให้ฟังในบทความเป็นตอนๆ ก่อนหน้านี้

ความน่าทึ่งเกี่ยวกับพืชในตอนนี้ที่ผมอยากนำมาเล่าให้ฟังก็คือ "ต้นสน" ซึ่งเป็นพืชที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่า 300 ล้านปี มันผ่านช่วงเวลาที่มีการเคลื่อนตัวของทวีปเมื่อ 250 ล้านปีที่แล้ว จากนั้นได้ผ่านมาอยู่ร่วมกับไดโนเสาร์ จนกระทั่งเกิดการชนของอุกกาบาตลูกใหญ่ที่ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ทั้งหมด มันก็ยังอยู่รอดมาได้ สนเป็นพืชที่ขึ้นอยู่ได้ทั่วโลก เฉพาะในแคว้นแยมแลนด์ (Jamtland) ของสวีเดนที่เดียว ก็มีมวลรวมของต้นสนมากกว่าน้ำหนักของมนุษย์รวมกันทั้งโลกอีกครับ

สิ่งที่น่าทึ่งอีกประการหนึ่งของสนก็คือ มันมีดีเอ็นเอ (DNA) ยาวกว่ามนุษย์ถึง 7 เท่า ซึ่งป่านนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าในโครโมโซม 12 คู่ที่เก็บดีเอ็นเอเหล่านั้น มียีนอยู่กี่ตัว อาจจะเพราะด้วยขนาดอันมหึมาของรหัสพันธุกรรมของมัน จึงยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มไหนอยากจะไขปริศนานี้ เพราะอาจจะต้องมีค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาลเพื่อแลกกับความรู้ในเรื่องนี้

แต่เมื่อเร็วๆนี้ ทางรัฐบาลสวีเดนได้ตัดสินใจที่จะให้ทุน เพื่อถอดรหัสพันธุกรรมของสน ทั้งนี้เพราะ สน เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่สุดของสวีเดน เปรียบเช่น ข้าว ของเมืองไทยเราเลยครับ ศาสตราจารย์โอเว นิลสัน (Professor Ove Nilsson) ซึ่งเป็นประธานของโครงการนี้ได้กล่าวว่า "การมีแผนที่พันธุกรรมอย่างสมบูรณ์ของต้นสน จะปฏิวัติงานวิจัยเกี่ยวกับสนของประเทศสวีเดนเลยเชียวครับ และมันจะทำให้ต่อไปภายภาคหน้า เราจะนำต้นสนมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น"

ผมเคยเขียนเรื่อง นาโนวนศาสตร์ (Nanoforestry) และเคยพูดไว้ว่า ต้นไม้กำลังจะกลายมาเป็นสินค้ายุทธศาสตร์ ที่จะมาแทนปิโตรเคมีในอนาคตครับ .....

03 พฤศจิกายน 2552

Plant Intelligence - ต้นไม้ไม่ได้โง่ (ตอนที่ 9)


ช่วงนี้ผมมาทำงานภาคสนามที่ไร่องุ่นกรานมอนเต้ อ.ปากช่อง ครับ อากาศเริ่มหนาวเย็น ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดผ่านที่ไร่ กำลังค่อนข้างแรง ผมนอนอยู่ที่ไร่ ออกไปเดินเล่น ถึงกับหนาวสั่นเลยครับ

วันนี้ผมขอกลับมาพูดเรื่องความฉลาดของพืช ซึ่งกำลังเป็นศาสตร์ที่มาแรง เพราะเดิมนั้น ความรู้แบบบ้านๆ (Conventional Wisdom) บอกเราว่า พืชเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีจิตใจ จึงไม่มีความฉลาดแต่อย่างไร ตอนนี้ก็เป็นตอนที่ 9 แล้วนะครับ แรกๆที่ผมเขียนถึงเรื่องนี้ ก็ไม่คิดว่าจะพูดเรื่องนี้ได้นานขนาดนี้หรอกครับ แต่กลับพบว่ารายงานวิจัยใหม่ ก็มีออกมาตลอดเกี่ยวกับศาสตร์ทางด้านนี้

ล่าสุดมีรายงานวิจัยเกี่ยวกับความสามารถในการระลึกรู้เครือญาติของพืช ปรากฏในวารสารวิจัย Communicative and Integrative Biology (รายละเอียดเต็มเพื่อการอ้างอิงคือ Meredith L. Biedrzycki, Tafari A. Jilany, Susan A. Dudley and Harsh P. Bais, "Root exudates mediate kin recognition in plants", Communicative and Integrative Biology (2010), vol. 3, pp. 1-8) ซึ่งสิ่งที่รายงานนี้น่าตื่นเต้นมากครับ เพราะนักวิจัยพบว่าพืชรู้จักที่จะอาศัยอยู่กับญาติของมันอย่างประนีประนอม มีการร่วมกันใช้ทรัพยากรอย่างเป็นมิตร โดยหลีกเลี่ยงการชิงดีชิงเด่น !!!

นักวิจัยได้ศึกษาพืชชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Arabidopsis ซึ่งเป็นพืชที่มีการศึกษามากที่สุดชนิดหนึ่ง โดยในการศึกษาครั้งนี้ ได้ทำการสังเกตต้นพืชที่โตจากเมล็ดจำนวนมากถึง 3,000 เมล็ด ทั้งนี้พืชที่เมล็ดเกิดจากแม่ต้นเดียวกัน เวลามันเติบโต มันจะพยายามหลบหลีกกัน ไม่แย่งอาหารกัน การเจริญเติบโตของรากแต่ละต้นก็จะเป็นไปด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน เสมือนดั่งว่ามันเอื้ออาทรต่อกัน ในขณะที่รากของต้นพืชที่มาจากเมล็ดที่เกิดจากคนละแม่ มันจะไม่เกรงใจกัน การเจริญของรากจะเป็นไปอย่างก้าวร้าว แข่งขันเพื่อให้ได้อาหารมากที่สุด สำหรับต้นพืชที่มาจากแม่เดียวกัน แม้แต่ใบของมัน ยังพยายามหลีกๆ กันเลยครับ นักวิจัยได้สืบเสาะจนได้เบาะแสว่า รากของต้นพืชได้ปล่อยสารเคมีบางชนิดออกมา ซึ่งทำให้มันสามารถที่จะระลึกรู้หมู่ญาติของมันได้


ผมมีลูก 2 คนครับ ทุกๆครั้งที่ผมเห็นเขาทั้งสองทะเลาะกันแล้ว ก็อดนึกถึงการรู้จักรักพี่รักน้องของ Arabidopsis ไม่ได้ .....

29 ตุลาคม 2552

Are We Simulated in Computer ? - ฤาโลกนี้เป็นเพียงฝัน (ตอนที่ 5)


ในปี ค.ศ. 2002 สตีเฟน วูลแฟรม (Stephen Wolfram) นักฟิสิกส์ผู้โด่งดังจากผลงานซอฟต์แวร์ทางด้านคณิตศาสตร์ ที่มีชื่อว่า Mathematica ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่เด็กมหาวิทยาลัยปี 1 มักจะใช้แก้โจทย์แคลคูลัส ได้ตีพิมพ์หนังสือที่มีชื่อว่า A New Kind of Science ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับแนวคิดใหม่ ที่มองโลกแห่งความเป็นจริงทั้งหลายว่า สามารถที่จะจำลองได้ด้วยคอมพิวเตอร์ทั้งหมด เพราะจักรวาลที่เราอาศัยอยู่นี้ อยู่ภายใต้กฏทางฟิสิกส์ หากเราสามารถเข้าใจกฏต่างๆเหล่านั้นได้ ทุกอย่างก็จะจำลองได้หมด หนังสือเล่มนี้ได้ปอกเปลือกปรากฏการณ์ต่างๆในธรรมชาติ ที่สามารถโมเดลได้ด้วยคอมพิวเตอร์

ในช่วงที่ผมเรียนระดับปริญญาเอก ผมได้ทำวิทยานิพนธ์ทางด้านการจำลองคอมพิวเตอร์ (Computer Simulation) ของระบบโมเลกุล โดยปล่อยให้โมเลกุลจำนวนมากเคลื่อนที่ไปตามกฏของฟิสิกส์ โมเลกุลจะเคลื่อนที่ไปมา ชนกันบ้าง ดูดกันบ้าง วิ่งไปวิ่งมา ซึ่งสิ่งที่คำนวณออกมาได้จากคอมพิวเตอร์นี้ เมื่อนำมาเทียบเคียงกับผลจากการสังเกตด้วยการทดลอง พบว่ามีค่าใกล้เคียงกันมาก ในสมัยนั้น การทำการจำลองคอมพิวเตอร์ของระบบโมเลกุล เป็นสิ่งที่แปลกใหม่ แต่ในปัจจุบัน การจำลองคอมพิวเตอร์ได้ถูกนำมาแทนที่การทดลองหลายๆ ชนิดที่มีราคาแพง เสี่ยงภัย หรือไม่ก็เป็นงานน่าเบื่อ สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำทางด้านการทหารได้ในปัจจุบัน เพราะมีความก้าวหน้าทางด้านการจำลองคอมพิวเตอร์ของอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งตัวเองไปเที่ยวห้ามไม่ให้คนอื่นทำการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ทั้งใต้ดินและบนดิน เพราะตนเองมีขีดความสามารถในการจำลองการระเบิดด้วยคอมพิวเตอร์


ปัจจุบันเราได้นำการจำลองคอมพิวเตอร์มาใช้อย่างกว้างขวางในหลายสาขาวิชาทั้ง ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา วิศวกรรมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเงิน จิตวิทยา ไปจนถึงสังคมศาสตร์ การทหาร อุตุนิยมวิทยา การจราจร สิ่งแวดล้อม และอื่นๆ อีกมากมาย ในอนาคต เมื่อเรามีศักยภาพทางด้านการคำนวณก้าวหน้าขึ้นไประดับหนึ่ง เราคงจะเริ่มจำลองอารมณ์ ความรู้สึก ความรัก ไปจนถึงชีวิต ..... สิ่งที่เกิดขึ้นนี้อาจจะทำให้เราอยากตั้งคำถามเหมือนกันว่า .... ชีวิตที่เรากำลังอาศัยอยู่นี้ แฟนของเราที่เดินจูงมือกันอยู่ทุกวันนี้ รวมทั้งตัวเราเอง .... เป็นของจริง หรือ เกิดจากการจำลองกันแน่ ???

08 สิงหาคม 2552

Plant Intelligence - ต้นไม้ไม่ได้โง่ (ตอนที่ 8)


ตอนเด็กๆสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ผมมักจะได้รับรู้อยู่เรื่อยๆ ว่า พฤกษศาสตร์ในประเทศไทยนี้ช่างเป็นเรื่องที่ไม่น่าเรียนเอาเสียเลย ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยไหน หลักสูตรพฤกษศาสตร์ก็ไม่มีเด็กอยากเข้าไปเรียน เวลามองเข้าไปในภาควิชาพฤกษศาสตร์ ก็จะเห็นกระถางต้นไม้รกรก จัดได้น่าเบื่อมาก ......

นั่นเป็นเรื่องของอดีตไปแล้วครับ นับวัน นับวัน ศาสตร์ทางด้านนี้จะน่าศึกษา และน่าค้นหามากขึ้นเรื่อยๆ เลยครับ ต้นไม้มีอะไรที่น่าสนใจ น่าค้นหา ศาสตร์อื่นๆ เริ่มจะข้ามเข้ามาขอศึกษาต้นไม้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ประสาทวิทยา (Neuroscience) วิทยาศาสตร์การรับรู้ (Cognitive Science) หุ่นยนต์ศาสตร์ (Robotics) นาโนศาสตร์ (Nanoscience) ชีววิทยาโมเลกุล (Molecular Biology) จีโนมศาสตร์ (Genomics) ชีวกลศาสตร์ (Bionics) และอื่นๆอีกมากมาย ทำให้ตอนนี้ พฤกษศาสตร์เนื้อหอมมากๆ

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์เริ่มปรากฏชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าต้นไม้สื่อสารได้ มีความจำ หรือแม้แต่อาจจะมี "ปัญญา" เลยนะครับ ล่าสุดมีรายงานในวารสาร Ecology Letters (รายละเอียดเต็มเพื่อการอ้างอิงคือ Richard Karban and Kaori Shiojiri, "Self-recognition affects plant communication and defense", Ecology Letters (2009) vol. 12, pp. 502-506) โดยศาสตราจารย์ ริชาร์ด คาร์บาน (Richard Karban) แห่งภาควิชากีฏวิทยา มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เดวิส ได้ศึกษาพืชชนิดหนึ่งชื่อฝรั่งว่า Sagebrush (เป็นพืชพวกเดียวกับ โกฐจุฬาลัมพา) พืชตัวนี้มีความสามารถในการคุยกัน มันจะพยายามปกป้องพวกญาติๆ ของมันจากภัยอันตรายรอบตัว ด้วยการปล่อยสารระเหยบางชนิดออกมาเพื่อเตือนญาติๆ ของมันเมื่อแมลงมาบุกโจมตี นอกจากนี้มันยังปล่อยสารเคมีออกมาเพื่อป้องกันตัวด้วย เพื่อทำให้แมลงไม่อยากกินมันเป็นอาหาร ศาสตราจารย์คาร์บานได้ทดลองตัดกิ่งของมัน ซึ่งพบว่ามันจะปล่อยสารระเหยออกมา สารนี้จะทำให้ต้นอื่นๆ รอบๆตัวมันปล่อยเคมีบางชนิดเพื่อปกป้องตัวเองล่วงหน้า เป็นผลทำให้ต้นไม้บริเวณรอบๆ ไม่ค่อยมีแมลงเข้ามากินเท่าไหร่


ความเข้าใจในเรื่องการสื่อสารที่ดูเงียบๆ ซ่อนเร้นของพืชนี้ จะมีประโยชน์ในการออกแบบหุ่นยนต์ ที่สามารถสื่อสาร และปฏิบัติงาน โดยอาศัยและพรางตัวในสภาพแวดล้อม โดยสามารถเก็บเกี่ยวพลังงานได้เอง ...... เอาไว้มาคุยเรื่องนี้กันต่อครับ ..............

29 กรกฎาคม 2552

Collective Intelligence - ปัญญาสะสม


หายไปหลายวันนะครับ ช่วงหลายวันที่ผ่านมา ผมเจอประชุมแบบทั้งวันไปหลายวัน หมดเรี่ยวหมดแรงเลยครับ ระหว่างนั่งประชุมเนี่ย ผมใจลอยเผลอคิดไปว่าอะไรที่ทำให้พวกเราต้องมานั่งประชุมกัน ผมนั่งนึกไปถึงการประชุมอื่นๆ หลายๆแห่ง ที่ผมเคยไปนั่งประชุม แล้วก็นั่งคิดว่าทำไมคนเราถึงประชุมกันมากมายจังเลย แล้วมันคุ้มมั้ยเนี่ย เหตุผลหนึ่งที่ผมคิดได้ว่าทำไมพวกเราต้องมานั่งประชุมกันก็คือ พวกเราอยากได้ "ปัญญา" เพื่อนำไปใช้แก้ "ปัญหา" โดยต้องการใช้ที่ประชุมนั่นแหละ เพื่อสังเคราห์ "ปัญญาของกลุ่ม" หรือที่เขาเรียกว่า The Wisdom of Crowds ให้ได้ออกมา

แต่หลายๆ ครั้งที่ผมไปนั่งประชุม ผมกลับพบว่า ข้อสรุปของที่ประชุมมักจะออกมาจากความคิดของคนเพียงคนเดียวครับ ซึ่งเป็นคนที่เสียงดังที่สุด หรือ บางทีก็พูดมากที่สุด หรือบางทีก็เป็นที่เกรงอกเกรงใจที่สุด หรือ บางทีก็เป็นคนที่เกเรที่สุด หรือ บางทีก็เป็นคนที่พูดออกมาแล้วฟังดูดีที่สุด สรุปก็คือ การประชุมส่วนใหญ่นั้น มันไม่ได้ "ปัญญาของกลุ่ม" อย่างที่เราต้องการเลยครับ

แต่สำหรับสังคมของมด มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยครับ มดแต่ละตัวนั้นเป็นสัตว์ที่ไม่ฉลาดเท่าไหร่ ความคิดของมันก็ง่ายๆ แต่เมื่อมันมารวมกันเป็นฝูงแล้ว มันกลับสามารถทำอะไรที่ซับซ้อนเป็นทวีคูณ ถึงขนาดที่ว่า "ปัญญาของกลุ่ม" ของมดนั้นเหนือกว่าของมนุษย์มากเลยครับ ประสิทธิภาพการรวมหัวของมนุษย์นั้น สู้มดไม่ได้เลย

ศาสตราจารย์ สตีเฟน แพรต แห่งสำนักวิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ มหาวิทยาลัยแห่งรัฐอริโซน่า (Arizona State University) ผู้คร่ำหวอดในงานวิจัยทางด้านการพฤติกรรมสัตว์สังคมทั้งหลาย กล่าวว่า "สิ่งที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้ก็คือ มดแต่ละตัวรู้จักเพียงทางเลือกน้อยอย่าง ซึ่งเมื่อมดแต่ละตัวมาปฏิสัมพันธ์แบบหลวมๆ ก็สามารถเกิดโครงสร้างทางการตัดสินใจของกลุ่มขึ้นมา ซึ่งจะดูเป็นเหตุเป็นผล เพราะโครงสร้างนั้น มีฐานสนับสนุนที่แน่นอน" ไม่เหมือนการตัดสินใจของคน ที่มีทางออกหลายทางเลือก และไม่มีโครงสร้างที่คงที่ การระดมสมองหลายๆครั้งที่ผมเห็น เริ่มต้นได้ดี แต่มักจะมาจบกับการมั่วของคนเพียงคนเดียว

อาจารย์แพรตบอกว่า การที่มดตัดสินใจอย่างมีเหตุมีผลมากกว่าคน ไม่ได้แปลว่าคนโง่กว่ามด แต่เป็นเพราะการที่มดแต่ละตัวมีทางเลือกไม่กี่อย่าง ปัญญาสะสมที่เกิดจากการนำทางเลือกนั้นมารวมกัน จึงวางอยู่บนฐานที่แน่นอน โอกาสเกิดความผิดพลาดในห่วงโซ่ของการตัดสินใจจะน้อยลง สัตว์อย่างมดมีการเรียงลำดับของทางเลือกที่แน่นอน ในเรื่องของ แหล่งอาหาร การหาคู่ ตำแหน่งถิ่นที่อยู่ ขนาดของรัง ก่อนหน้านี้อาจารย์แพรตได้ศึกษาการเลือกรังของมด ซึ่งท่านพบว่า การเลือกรังของมด เป็นการตัดสินใจที่เป็น "ปัญญาสะสม" มดจะมีสายสืบออกไปทำการค้นหาตำแหน่งรังใหม่ โดยมันจะนับจำนวนมดที่มาชุมนุมอยู่ตรงตำแหน่งของรังใหม่ ที่ไหนมีมดมากที่สุด มันก็จะเอาตรงนั้น

ตอนนี้อาจารย์แพรตได้รับทุนจากกองทัพเรือสหรัฐฯ เพื่อที่จะทำการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์สำหรับใช้งานกับฝูงหุ่นยนต์ โดยทางกองทัพต้องการพัฒนาอาวุธที่สามารถทำงานได้ในสนามรบ หากการควบคุมส่วนกลางถูกทำลาย อาวุธที่เหลือต้องสามารถทำงานต่อโดยไร้การบังคับบัญชาได้

18 กรกฎาคม 2552

Are We Simulated in Computer ? - ฤาโลกนี้เป็นเพียงฝัน (ตอนที่ 4)




วันก่อนผมนำ DVD ภาพยนตร์เรื่อง The Matrix Reloaded กลับมาเปิดดูอีกครั้ง ก็ยังรู้สึกสนุกตื่นเต้นเหมือนเดิมครับ วันนี้เลยต้องกลับมาคุยเรื่องนี้ต่อครับเพราะค้างเอาไว้ ทั้งๆที่ยังมีเรื่องที่จะต้องคุยอีกเยอะ เกี่ยวกับประเด็นที่ว่า "พวกเรามีจริงหรือไม่?" หรือ "พวกเราเป็นแค่เกมส์ที่ใครกำลังเล่นอยู่หรือไม่?"


ในตอนก่อนๆ ผมได้พูดถึงความเป็นไปได้ในเรื่องที่ว่า เราอาจกำลังใช้ชีวิตอยู่ในการจำลองคอมพิวเตอร์ (Computer Simulation) ก็ได้ ในภาพยนตร์เรื่อง The Matrix นั้น การจะพิสูจน์เรื่องนี้ เราก็ต้องทานยาที่มอร์เฟียสเสนอให้ ถึงจะตื่นจากโลกจำลองมาอยู่ในโลกจริง ปัญหาก็คือ หากชีวิตของพวกเราอยู่ในคอมพิวเตอร์จริงๆละก็ เราก็ไม่มีของจริงให้ร่างสิงอยู่หลังจากตื่นขึ้นมาจากโลกจำลองเสียด้วยซ้ำ นั่นก็เพราะ พวกเราทั้งหมด โลกทั้งหมด นั้นไม่มีอยู่จริง


ทีนี้ เราจะทำตัวอย่างไรดี ถ้าหากตอนนี้เรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในโลกจำลอง หลายๆ คนอาจจะบอกว่า "ไม่เห็นจะสำคัญอะไรเลย หากเราอยู่ในโลกจำลอง แล้วจะไปแคร์ทำไมว่าจะต้องทำตัวอย่างไร ก็ในเมื่อมันไม่มีตัวตนจริงๆ แล้วนี่ ......"


David J. Chalmers ศาสตราจารย์ทางด้านฟิสิกส์ปรัชญา มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย กล่าวว่า "ถึงแม้โลกนี้จะไม่มีอยู่จริง และสิ่งรอบๆตัวเราเป็นการจำลองขึ้นมา คนเราก็ยังรู้สึกอยากใช้ชีวิตกับมันอยู่ดีแหล่ะครับ เพราะสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเราก็จะเสมือนจริง แถมพวกเรายังอยากทำตัวดีๆ เผื่อว่าชีวิตหลังความตายของเรา ซึ่งก็อาจจะจำลองในคอมพิวเตอร์อีกนั่นแหล่ะ จะเป็นชีวิตที่ดีขึ้น เพราะคนที่ออกแบบระบบจำลองนี้ขึ้นมา คงจะให้รางวัลแก่เรา หากเราประพฤติตัวดี"


Robin Hanson ศาสตราจารย์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัย จอร์จ เมสัน ได้ตีพิมพ์ผลงานเรื่อง "How to live in a simulation" ไว้ในวารสารวิจัยชื่อ Journal of Evolution and Technology ซึ่งเสนอแนวทางในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในโลกจำลอง ใจความหลักก็คือ พวกเราควรจะทำตัวเองให้น่าสนใจเข้าไว้ เพื่อที่ผู้ที่จำลองเรา เขาจะได้สนใจเรา เราควรใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน พยายามทำให้คนรอบข้างมีความสุข ทำให้คนเหล่านั้นสนใจคุณ ซึ่งจะทำให้ผู้ที่จำลองเราอยู่ อยากเก็บเราไว้ในการจำลองครั้งต่อไป


จริงๆ แล้วยังมีคำถามอีกมากมายครับ เช่น "ผู้ที่จำลองอยู่ชอบและสนใจเรื่องอะไร เราจะประพฤติตนอย่างไรให้ถูกใจท่าน ?" หรือ "เป็นไปได้ไหมที่ผู้ที่จำลองเราอยู่ ก็กำลังถูกจำลองในคอมพิวเตอร์อีกที โดยคนที่อยู่เหนือกว่า ?" ซึ่งจริงๆ ก็อาจจะมีอีกชั้นสูงขึ้นไปอีก จนกว่าเราจะพบชั้นบนสุดที่เป็นของจริง ไม่ใช่การจำลองขึ้นมาในคอมพิวเตอร์ เป็นโลกจริง ชีวิตจริง



ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ ณ ป่าไม้ประดู่ลาย เขตเมืองโกสัมพี ครั้งนั้น พระพุทธองค์ทรงใช้ฝ่าพระหัตถ์ถือเอาใบประดู่ลาย แล้วทรงตรัสถามพระภิกษุทั้งหลายว่า ใบประดู่ลายในฝ่าพระหัตถ์กับที่อยู่บนต้น อย่างไหนมีมากกว่ากัน พระภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลว่า ใบประดู่ลายที่อยู่บนต้นนั้นมีมากกว่า พระพุทธองค์จึงทรงตรัสอธิบายว่า ธรรมที่พระพุทธองค์ทรงหยั่งทราบด้วยพระปัญญาอันยิ่งนั้น มีมากกว่าธรรมที่พระองค์ทรงประกาศ เปรียบดังใบประดู่ลายที่อยู่บนต้นนั้น มีมากกว่าในฝ่าพระหัตถ์ แล้วพระพุทธองค์ทรงแสดงเหตุผลว่า เพราะเหตุใดจึงไม่ทรงแสดงธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ซึ่งเปรียบดังใบประดู่ลายบนต้น นั่นก็เพราะธรรมเหล่านั้น ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับทุกข์ ความสงบ ระงับ ความรู้ยิ่ง การตรัสรู้ และพระนิพพาน


นี่อาจเป็นเหตุผลที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงบอกพวกเราว่า พวกเราทั้งหมดกำลังอาศัยใน Computer Simulation เพราะถึงพระองค์จะบอกเรา พวกเราก็คงไม่เข้าใจ ..... หรือว่า พระผู้เป็นเจ้าในศาสนาต่างๆ นั้น ก็คือคนที่กำลังเล่นและจำลองเกมส์ชีวิตของพวกเราอยู่นั้นเอง ........

15 กรกฎาคม 2552

Plant Intelligence - ต้นไม้ไม่ได้โง่ (ตอนที่ 7)


วันนี้มาคุยเรื่องนี้กันต่อครับ ท่านผู้อ่านอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวของการเปิดเพลงให้สัตว์เลี้ยงฟัง อย่างเช่น ไก่จะไข่ดกขึ้นเมื่อเปิดเพลงให้ฟัง หรือแม้แต่พืชเอง ผมก็เคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้พูดกันมาปากต่อปาก แต่ที่อิตาลีเขามีการทดลองเปิดเพลงคลาสสิคให้ต้นองุ่นไวน์ฟัง โดยมีการวัดตัวบ่งชี้ต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเจริญเติบโตขององุ่น เทียบกับองุ่นที่ไม่ได้ฟังเพลง ซึ่งพบว่า องุ่นที่ฟังเพลงมีกิจกรรมของการเจริญเติบโตสูงกว่า โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลที่มันจะแตกกิ่งก้านสาขา เพื่อกำเนิดผลผลิต

ก่อนหน้านี้ เคยมีนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยในประเทศจีน รายงานเรื่องการใช้คลื่นเสียงให้พืชฟังมาแล้ว ปรากฏอยู่ในวารสาร Colloids and Surfaces B: Biointerfaces (รายละเอียดเต็มคือ Wang Xiujuan, Wang Bochu, Jia Yi, Liu Defang, Duan Chuanren, Yang Xiaocheng and Akio Sakanishi, "Effects of sound stimulation on protective enzyme activities and peroxidase isoenzymes of chrysanthemum", Colloids and Surfaces B: Biointerfaces (2003) vol. 27, pp. 59-63) ซึ่งในรายงานนี้ระบุว่า การเปิดเสียงให้แก่พืช ทำให้เอ็นไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของพืชทำงานได้ดีขึ้น ในรายงานนี้ ได้ระบุว่า เสียงที่เปิดให้พืชฟัง เป็นเสียงที่มีความดังและความถี่ ที่คงที่ ไม่ใช่เป็นการเปิดดนตรี

ดังนั้นการทดลองเปิดดนตรีคลาสสิคในไร่องุ่นของอิตาลีนี้ จึงถือว่าเป็นการทดลองแรกๆ ที่ให้พืชฟังเพลง แล้วมีการวัดค่าต่างๆ อย่างเป็นระบบ จนได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่าการเปิดเพลงช่วยเพิ่มผลผลิตได้ แต่น่าเสียดายครับ ที่ผมพยายามสืบค้นว่ามีการตีพิมพ์เรื่องนี้ในวารสารวิจัยหรือไม่ แต่ก็ไม่พบครับ อย่างนี้เลยยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเรื่องนี้น่าเชื่อถือได้แค่ไหน เพราะว่าในวงการวิชาการนั้นจะถือว่า ความรู้ที่ค้นพบได้หากไม่มีการรายงานในวารสารวิจัยเพื่อให้รับรู้กันอย่างกว้างขวาง ก็จะถือว่าความรู้นั้นยังเชื่อถือไม่ได้ครับ เพราะไม่มีผู้ประเมินหรือวิจารณ์ (Peer Review) ทำให้ถือได้ว่างานชิ้นนี้ยังไม่สมบูรณ์ครับ คนอื่นสามารถทำแข่งได้ครับ แล้วหากใครรายงานการค้นพบในวารสารวิจัยก่อนก็จะถือว่าคนนั้นเป็นเจ้าของผลงาน


เรื่องราวของ Plant Intelligence ยังไม่จบนะครับ วันหลังผมค่อยมาเล่าต่อนะครับ ......

13 กรกฎาคม 2552

Plant Intelligence - ต้นไม้ไม่ได้โง่ (ตอนที่ 6)


เรื่องของ Plant Intelligence กำลังมาแรงครับ เพราะว่าเรื่องนี้จะไปเกี่ยวโยงกับเทคโนโลยีสมัยใหม่หลายๆ เรื่อง เช่น เรื่องของหุ่นยนต์ การเกษตรแม่นยำสูง (Precision Agriculture) ประสาทวิศวกรรม (Neuroengineering) และแม้กระทั่งเรื่องของวัสดุปัญญา (Materials Intelligence) เป็นต้น ต่อแต่นี้ไป พฤกษศาสตร์ จะไม่ใช่ศาสตร์น่าเบื่ออีกแล้วครับ แต่จะเป็นศาสตร์ที่น่าตื่นเต้น น่าค้นหา และน่าเรียนครับ

ศาสตราจารย์ สเตฟาโน แมนคูโซ (Professor Stefano Mancuso) แห่งห้องปฏิบัติการวิจัยนานาชาติด้านประสาทชีววิทยาพืช (International Laboratory of Plant Neurobiology) เป็นผู้หนึ่งที่สนใจศึกษาเรื่องนี้ แบบเกาะติด มาเป็นระยะเวลานาน ท่านกล่าวว่า "ถ้าพวกคุณนิยามปัญญาว่าเป็นความสามารถในการแก้ปัญหาล่ะก็ พืชก็มีอะไรที่จะสอนพวกเราเยอะมากครับ จริงๆแล้ว การไม่มีสมอง ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีปัญญานะครับ" ผมชอบคำพูดนี้มากเลยครับ เพราะว่าผมกำลังทำงานวิจัยในเรื่องของวัสดุปัญญา (Materials Intelligence) ซึ่งมีระดับของความฉลาดน้อยกว่าพืชเสียอีก ในเมื่อพืชที่ไม่มีสมองก็มีปัญญาได้ ทำไมวัสดุที่มีความก้าวหน้ามากๆ เราจะใส่ความสามารถในการแก้ปัญหาให้มันไม่ได้หล่ะครับ เห็นหรือยังครับว่า การเรียนรู้ "ปัญญา" ของพืช นั้นมีประโยชน์ต่อนาโนเทคโนโลยีจริงๆ

อย่างที่ผมเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า เรื่องของ Plant Intelligence ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร องค์สมเด็จพระบรมศาสดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็ได้ทรงค้นพบเมื่อ 2,500 กว่าปีที่แล้วว่า พืชเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ธรรมดา พระองค์ทรงบัญญัติพระวินัย มิให้พระภิกษุสงฆ์ตัดถอนต้นไม้โดยไม่มีเหตุอันควร ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ได้ใช้ต้นไม้เป็นสถานที่ ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ก่อนหน้านี้ ชาลส์ ดาร์วิน ก็เคยตีพิมพ์ผลงานวิจัยที่มีชื่อว่า The Power of Movement in Plants ซึ่งได้เปิดเผยสมมติฐานที่พืชอาจเป็นสิ่งชีวิตที่ไม่ธรรมดา ก็แล้วทำไมที่ผ่านมา ความก้าวหน้าในศาสตร์ด้านนี้ถึงอืดอาดยืดยาดเสียเหลือเกิน อาจเป็นเพราะว่า ที่ผ่านมานั้น เราไม่เคยคิดว่าพวกมันฉลาดนั่นเอง

ในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมา เริ่มมีการศึกษาเกี่ยวกับความฉลาดของพืชกันมากขึ้น และก็ค้นพบว่าพืชมีการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวมัน อย่างซับซ้อน มันมีความสามารถในการสื่อสารกัน ส่วนในเรื่องของปัญญานั้น ยังไม่ค่อยมีใครสนใจศึกษาในประเด็นนี้ นอกจากศาสตราจารย์ แมนคูโซ คนนี้ครับ หลายปีก่อนหน้านี้ ท่านบอกว่าหาเงินทุนมาทำวิจัยยากมาก เพราะคนให้ทุนยังไม่เห็นความสำคัญของเรื่องนี้ แถมยังคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้ แต่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ท่านได้เงินก้อนโตมาจากมูลนิธิของธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งมูลนิธินี้ก่อตั้งขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์ในการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ไม่น่าเชื่อนะครับว่าเรื่องนี้จะไปเกี่ยวข้องกับศิลปวัฒนธรรมกับเขาด้วย .......


ตอนหน้าผมจะมาเล่าต่อนะครับ คราวนี้จะพาท่านผู้อ่านไปเที่ยวไร่องุ่นไวน์กันครับ ไปดูกันว่าต้นองุ่นไวน์เขาก็มีอารมณ์ศิลป์เหมือนกัน ......

16 พฤษภาคม 2552

Are We Simulated in Computer ? - ฤาโลกนี้เป็นเพียงฝัน (ตอนที่ 3)


ยุ่งแล้วล่ะสิครับ วันก่อนขณะขับรถกลับบ้านท่ามกลางสายฝนพรำ ลูกสาววัย 9 ขวบของผม อยู่ดีๆ ก็พูดโพล่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า "คุณพ่อคะ อะตอมว่าจริงๆแล้วเนี่ย พวกเราอาจจะเป็นเกมส์ที่เทวดากำลังเล่นกันอยู่ก็ได้นะ พวกเราเป็นตัวที่เทวดาปล่อยให้เล่นกันอยู่ในเกมส์ของเค้า" ผมได้ยินก็รู้สึกประหลาดใจเหมือนกัน เพราะตอนนั้นผมก็กำลังคิดอยู่เหมือนกันว่าไม่ได้เขียนเรื่องนี้ลง Blog มาสักพักแล้ว เพราะมีคิวเรื่องอื่นๆอยู่ที่อยากนำมาเล่า ผมถามลูกสาวผมกลับไปว่า "ทำไมหนูถึงคิดอย่างนั้นล่ะคะ" ลูกสาวผมตอบว่า "ก็เหมือนเกมส์ Spore ที่อะตอมเล่นที่มหาลัยไงคะ พวกตัวที่อะตอมสร้าง พวกเผ่าพันธุ์ของมันในเกมส์ มันก็ไม่รู้หรอกว่าเรากำลังเล่นมันอยู่ ....." ผมได้ยินลูกพูดอย่างนี้ทำให้ผมยิ่งเพิ่มความสงสัยมากยิ่งขึ้นไปอีกว่า ตกลงพวกเรามีจริงหรือไม่ หรือพวกเราเป็นเพียง สิ่งที่กำลัง simulated อยู่ในคอมพิวเตอร์ขนาดยักษ์ พวกเรามีตัวตนจริงๆ หรือไม่ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีหรือไม่มีอยู่จริง ??? ผมจะทยอยนำเรื่องนี้มาเล่านะครับ เพราะว่าเรื่องนี้คงต้องคุยกันอีกยาว !


ในช่วงหลังๆนี้ วิทยาศาสตร์ทั้งกายภาพและชีวภาพ และแม้แต่คณิตศาสตร์วิ่งเข้ามาศึกษาเรื่องจิตใจ หรือ Mind Sciences กันมากครับ ผมเชื่อว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จะเกิดการบูรณาการขนานใหญ่ระหว่างศาสตร์เหล่านี้ แม้แต่ในเรื่องของศิลปะก็จะเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของวิทยาศาสตร์ เกมส์ Spore ที่ลูกสาวของผมพูดถึงนั้น เป็นตัวอย่างของการหลอมรวมกันระหว่างศิลปะกับวิทยาศาสตร์ ซึ่งไม่ใช่แค่ในระดับผิวๆนะครับ แต่เป็นระดับปรัชญาเลยทีเดียว

เจ้าเกมส์ Spore นี้ เป็นเกมส์ที่มีสมมติฐานว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ได้ DNA มาจากดาวเคราะห์ดวงอื่น เกมส์จะเริ่มต้นด้วยการที่อุกกาบาตจากนอกโลกได้พา DNA จำนวนหนึ่งมาตกลงในมหาสมุทรของโลก ผู้เล่นต้องเริ่มเล่นจากสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว พามันหาอาหาร แลัวก็วิวัฒนาการจนขึ้นมาอยู่บนบก สร้างศักยภาพในการสื่อสาร สร้างสังคม ชนเผ่า ไปจนถึงอารยธรรมที่ก้าวหน้า เกมส์นี้จึงเล่นสนุกมาก เหมือนกับว่าเราเป็นพระเจ้าเลยทีเดียว แน่นอนครับว่าทุกเกมส์ยอมมีกฏ เกมส์นี้ก็มีกฏที่ต้องปฏิบัติตาม ในโลกแห่งความเป็นจริงที่เราอาศัยอยู่นี้ก็มีกฏแห่งกรรม เป็นตัวควบคุม ทำให้อดนึกไม่ได้ว่า พวกเราอาศัยอยู่ในเกมส์ที่รันอยู่หรือไม่
เรามาติดตามเรื่องนี้ต่อในวันหลังครับ ......

28 เมษายน 2552

นักวิจัยพบ มดเลือกบ้านพิถีพิถันกว่าคน


เมื่อกลางปี 2008 ผมได้มีประสบการณ์ในการออกไปตระเวณหาซื้อบ้านใหม่หลังหนึ่ง ซึ่งจริงๆแล้ว ผมแทบไม่ได้ตระเวณไปไหนเลย เพราะเมื่อเข้าไปที่หมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งก็ตัดสินใจจองบ้านหลังหนึ่งทันที โดยใช้ความรู้สึกมากกว่าตรรกะ หรือเหตุผลใดใด ซึ่งจริงๆแล้ว เท่าที่ผมได้คุยกับคนอื่นๆ ที่เลือกหาบ้านหลังใหม่ เขาเหล่านั้นก็จะมีเหตุผลร้อยแปดพันเก้าเพื่อมาช่วยตัดสินใจ บางคนตระเวณไปทั่ว ใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะตัดสินใจ เพราะบ้านเป็นสิ่งที่บางคนอาจจะต้องใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดอยู่ที่บ้านหลังที่ซื้อ แต่คุณผู้อ่านเชื่อไหมครับว่า ถึงแม้เราจะคิดว่ามนุษย์มีความพิถีพิถันในการเลือกบ้านเพียงใดก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วมนุษย์ก็จะใช้ความรู้สึกมากกว่าเหตุผลที่ตั้งขึ้นมา ซึ่งผมก็รู้ความลับข้อนี้ดี จึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาวิเคราะห์เจาะลึก สู้ใช้ความรู้สึกชอบไม่ชอบไปเลย

ล่าสุดนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยบริสตอล (University of Bristol) ที่มีชื่อว่า Dr. Elva Robinson สังกัดสำนักวิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ได้ศึกษาวิธีการเลือกรังของมด ด้วยการติดไมโครชิพส่งสัญญาณวิทยุ RFID ไว้กับตัวมด ซึ่งจะทำให้สามารถติดตามมดแต่ละตัวได้ ผลงานของเธอซึ่งตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ (Elva J. H. Robinson, Faith D. Smith, Kathryn M. E. Sullivan and Nigel R. Franks. Do ants make direct comparisons? Proceedings of the Royal Society B, April 22, 2009) ระบุว่ามดค่อนข้างเรื่องมากในการย้ายไปอยู่รังใหม่ มันจะส่งมดลาดตระเวณออกไปหารังที่ดีที่สุด โดยมดลาดตระเวณเหล่านั้นจะทำการเปรียบเทียบรังแต่ละรังว่าอันไหนดีกว่ากัน ซึ่งมดลาดตระเวณที่ส่งออกไปนั้น ก็จะเข้าไปอยู่ในรัง หากรังใดมีมดลาดตระเวณอยู่เป็นจำนวนมากกว่า แสดงว่ารังนั้นดี เหมาะแก่การอยู่อาศัย มดที่เหลือทั้งรังก็จะตามเข้าไปอยู่ในรังใหม่นั้นในที่สุด นักวิจัยพบว่ามดจะยอมเสียเวลาเดินทางไกลไปหารังที่ดีกว่า ถึงแม้จะมีตัวเลือกอีกอันที่อยู่ใกล้กว่ากันมากๆก็ตาม นักวิจัยยังพบว่าตรรกะในการเลือกบ้านของมดนั้น คงเส้นคงว่าและทำนายได้มากกว่ามนุษย์


หมู่นี้ผมสังเกตว่า .... การศึกษาแมลงกำลังเป็นประเด็นใหม่และศาสตร์ที่กำลังมาแรงครับ เพราะหากเราเข้าใจแมลง เราก็จะสามารถวิศวกรรมแมลงได้ ซึ่งสามารถนำไปสร้างหุ่นยนต์ หรือ ระบบอัจฉริยะอื่นๆ ที่อาศัยการทำงานเป็นฝูงหรือแบบสังคมประดิษฐ์

25 เมษายน 2552

Are We Simulated in Computer ? - ฤาโลกนี้เป็นเพียงฝัน (ตอนที่ 2)


โลกที่เราอาศัยอยู่นี้รวมทั้งพวกเราที่เกิดแก่เจ็บตายร่วมกันทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ อาจเป็นเพียงโปรแกรมซิมูเลชันที่กำลังรันอยู่ในคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ที่มีพลังประมวลผลสูงมาก ก็ได้นะครับ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเราเป็นเพียงแค่โปรแกรม ไม่ใช่ตัวจริงเป็นๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านอาจจะค้นพบจนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับที่ไปที่มาของพวกเราเมื่อ 2,600 ปีที่แล้ว แต่อาจเป็นเพราะว่าในสมัยนั้นการอธิบายสิ่งที่พระองค์ทรงค้นพบ (เรื่องที่ว่าพวกเราเป็นเพียงโปรแกรมซิมูเลชัน ?) อาจจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะอธิบายให้คนในสมัยนั้นเข้าใจ พระองค์จึงทรงเลือกที่จะสอนวิธีการพ้นทุกข์ เพื่อหยุดเวียนว่ายตายเกิด (เพื่อออกจากโปรแกรมซิมูเลชันนี้ไปตลอดกาล ?) พระองค์อาจทรงค้นพบกฏพื้นฐานของโปรแกรมซิมูเลชันที่ว่านี้ ซึ่งก็คือ "กฏแห่งกรรม" และการที่จะหยุดวงจรนี้ ก็ด้วยการสร้างพลังของ "สติ" ให้มากพอเพื่อที่จะหยุดโปรแกรมของเราเองตามทางของมรรคมีองค์ 8

ในภาพยนตร์เรื่อง The Matrix นั้น พระเอกของเราได้มีโอกาสเข้าไปพูดคุยกับ The Architect หรือตัวควบคุมหลักของ The Matrix ซึ่งเป็นโปรแกรมกลางที่ควบคุมหลักกฏแห่งกรรม และการเวียนว่ายตายเกิดของจิตมนุษย์ใน The Matrix ซึ่งเขาได้พบว่า โปรแกรมซิมูเลชันนั้นเป็นโปรแกรมที่ใหญ่มากๆ จึงมีรูโหว่มากมาย (Bugs ของโปรแกรม) ซึ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์เพี้ยนๆ ที่แหกกฏแห่งกรรมขึ้นมาได้ เช่น เรื่องผี เรื่องวิญญาณ เรื่องฮวงจุ้ย หรือไสยศาสตร์ต่างๆ ก็เกิดจากการเพี้ยนไปของโปรแกรมนี้เอง ทำให้คนบางกลุ่มมีความสามารถเหนือธรรมชาติ (Supernatural) เช่น มีเวทย์มนตร์ มีความสามารถทรงเจ้า มีสัมผัสลึกลับ ซึ่งจริงๆแล้ว พวกนี้ก็คือ Bugs ของโปรแกรมนั่นเอง แต่โดยทั่วไป ตัวโปรแกรมส่วนใหญ่จะรันถูกต้อง และเป็นไปตามกฏแห่งกรรมเสมอ

สมมติว่าพวกเราเป็นคนจริงๆ ตัวเป็นๆ ไม่ใช่โปรแกรมซิมูเลชันของคนอื่น นักวิทยาศาสตร์ก็เชื่อว่าพอถึงวันหนึ่งที่เราสามารถสร้างคอมพิวเตอร์ที่มีศักยภาพถึงจุดที่สามารถจำลองสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกได้ เราก็จะทำเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะขนาดตอนนี้ เรายังสร้างเกมส์ตั้งมากมายเอามาจำลองชีวิต ไม่ว่าจะเป็น Sim City, The Sims หรือ Spore ทีนี้มาถึงคำถามที่ว่าอีกนานเท่าไหร่ เราจะมีความสามารถขนาดนั้น นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าประมาณกลางศตวรรษนี้ เราน่าจะมีความสามารถขนาดนั้นครับ .......