31 มีนาคม 2552

The World without Us - ถ้าโลกนี้ไม่มีเรา (ตอนที่ 5)



หายไปหลายวันเลยครับ ช่วงนี้ยุ่งๆนิดนึง วันนี้เลยต้องมาอัพเดตหน่อยครับ จริงๆก็ง่วงนอนแล้วครับ แต่ไม่อยากให้ขาดช่วงนานเกินไป วันนี้ฝนตกหนักมากครับ บังเอิญตอนช่วงที่ฝนตกอย่างหนักนั้น ผมได้ไปทำธุระบนอาคารสูงแห่งหนึ่ง กลางกรุงเทพ อยู่สักชั้น 22 ได้เห็นเมฆ Cumulonimbus หรือเมฆพายุฝนเคลื่อนเข้าปะทะอาคารต่างๆ แล้วปล่อยน้ำฝนตกลงมาอย่างหนักอยู่เกือบชั่วโมง ตลอดช่วงที่ฝนตกหนักนั้น มองไปทางไหนก็ไม่เห็นอะไร มีแต่ม่านสายฝน ผมก็อดนึกไปไม่ได้ครับว่า หากวันหนึ่งน้ำทะเลหนุนสูงจนท่วมพื้นที่กรุงเทพฯทั้งหมด โดยประชากรเมืองหลวงแห่งนี้ได้อพยพย้ายหนีขึ้นไปตั้งรกรากกันที่สระบุรีหมดแล้ว ตึกรามบ้านช่องที่ถูกทิ้งไว้จะมีสภาพอย่างไร สภาพเมืองร้างจะอยู่ให้เห็นได้นานถึงสัก 100 ปีไหม หรือว่ามันจะถูกน้ำทะเลกัดกร่อนจนจมหายไปหมด ?


มีสถานที่หนึ่งในเกาหลีใต้ซึ่งเป็นดินแดน ที่สามารถจำลองสถานการณ์การหายไปของมนุษย์ได้ดีทีเดียวเลยครับ ที่นั่นคือ DMZ หรือ Demilitarized Zone หรือ เขตปลอดทหาร ซึ่งเป็นเขตเส้นแบ่งระหว่างเกาหลีเหนือ และ เกาหลีใต้ ที่มีความยาว 250 กิโลเมตร และ มีความกว้าง 4 กิโลเมตร พื้นที่ DMZ นี้ไม่มีมนุษย์เข้าไปย่ำกรายมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1953 ตามข้อกำหนดการหยุดยิงระหว่างประเทศทั้งสอง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ บริเวณนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ และเป็นพื้นที่เกษตรกรรมมากว่า 5,000 ปีแล้ว ในช่วงที่ผ่านมา 50 ปีนั้น สภาพพื้นที่แถบนั้นได้กลับคืนสู่สภาพป่า (โดยไม่ต้องปลูกเลย เพราะจริงๆแล้ว ป่าจะกลับมาเองถ้าคนออกไป ไม่จำเป็นต้องไปปลูก) แถมยังมีสัตว์ป่าหลายชนิด นกหายากที่คิดว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว ได้เพิ่มจำนวนขึ้น นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกได้อาศัยพื้นที่ DMZ นี้เองครับ ในการศึกษาสภาพพื้นที่ภายหลังจากมนุษย์สูญหายไปแล้ว Professor Edward O. Wilson แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาดกล่าวว่า "หากมนุษย์หายไปจากโลกใบนี้ ไม่เพียงแต่สิ่งปลูกสร้างที่มนุษย์สร้างไว้จะถูกธรรมชาติกลืนกิน แต่ธรรมชาติจะเรียกคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเราเคยไปทำให้ยุ่งเหยิง เช่น พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ ที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อการเกษตร จะไม่สามารถแข่งขันกับพันธุ์พื้นเมือง หรือ พันธุ์ป่า ในธรรมชาติได้ สิ่งมีชีวิตดัดแปรเหล่านั้น เมื่อไร้มนุษย์คอยดูแลให้การช่วยเหลือ มันก็จะค่อยสูญหายไป แม้แต่สุนัขที่พวกเราเลี้ยงก็จะไม่สามารถอยู่รอดหรอกครับ ผมเชื่อว่าในเวลาสัก 2-3 พันปี โลกจะกลับไปอยู่ในสภาพเดิมก่อนที่จะมีอารยธรรม"


คืนนี้ก่อนนอน .... ลองนอนจินตนาการดูนะครับว่า หากพรุ่งนี้ตื่นมาแล้วพบว่าโลกนี้ไม่มีใครอยู่อีกแล้ว เหลือเราเพียงคนเดียว เราจะทำอะไรในวันนั้น ...........

26 มีนาคม 2552

Plastic Electronics Asia 2009


พลาสติกอิเล็กทรอนิกส์ เป็นการประยุกต์ใช้พลาสติกนำไฟฟ้าหรือโมเลกุลอินทรีย์เพื่อสร้างวงจร หรือเป็นฐานรองสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อันมีผลทำให้เกิดกระบวนการใหม่ในการประกอบอุปกรณ์ รวมไปถึงคุณสมบัติใหม่ ซึ่งทำให้เกิดการประยุกต์ใช้งานได้เพิ่มเติมหรือใหม่ไปจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน มีคำศัพท์ใหม่ๆ ที่ท่านผู้อ่านอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้ว เช่น Organic Electronics, Flexible Electronics, Printed Electronics, Electronic Textile, Rollable Electronics, Foldable Electronics แม้กระทั่ง Edible Electronics ก็ยังมี พวกนี้ล้วนเป็นคำที่เรียกสิ่งที่อยู่ในวงการ Plastic Electronics ที่กำลังอยู่ในเวลานี้ครับ

เมื่อเดือนกันยายน ปี 2007 ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมและชมนิทรรศการเกี่ยวกับ Plastic Electronics ที่เมือง Frankfurt ประเทศเยอรมัน ซึ่งในครั้งนั้นก็ได้ไปเห็นผลิตภัณฑ์หลายๆตัว ที่เป็นต้นแบบเชิงพาณิชย์แต่ยังไม่ได้ทำตลาด ซึ่งผ่านมาเกือบ 2 ปีผลิตภัณฑ์เหล่านั้นก็ได้เริ่มแทรกซึมเข้ามาในตลาดแล้ว ถ้าท่านผู้อ่านอยากลองไป update ความรู้ทางด้านนี้ จริงๆแล้วก็อาจจะไม่จำเป็นต้องไปถึงยุโรปก็ได้ครับ เพราะงานประชุมตอนนี้ก็มีเวอร์ชันเอเชียแล้ว โดยในปีนี้จะจัดกันที่ เมืองไทเป บนเกาะไต้หวัน งานประชุมและนิทรรศการนี้มีชื่อเต็มๆว่า The 2nd Asia Plastic Electronics Conference and Showcase ซึ่งจะจัดระหว่างวันที่ 8-10 มิถุนายน พ.ศ. 2552

จะว่าไปแล้ว การที่ Plastic Electronics แวะมาจัดที่ไต้หวันก็บอกอะไรเหมือนกัน เพราะไต้หวันเป็นเมืองหลวงแห่งอิเล็กทรอนิกส์ของโลก โดยเฉพาะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบราคาถูก ไต้หวันเป็นโรงงานผลิตของโลกทางด้านเซมิคอนดักเตอร์ การที่ Plastic Electronics มาบุกเกาะนี้ จึงแสดงสัญญาณว่าศาสตร์ทางด้านนี้พร้อมผลิตขายราคาถูกแล้ว โดยงาน Plastic Electronics Asia 2009 จะโฟกัสไปที่เทคโนโลยีหลักเพียง 4 ตัวเท่านั้นได้แก่ Flexible Display & Lighting, Organic Photovoltaics, RFID และ Integrated Components ค่าลงทะเบียนสำหรับภาคอุตสาหกรรมค่อนข้างแพงครับ แต่สำหรับมหาวิทยาลัยจะลดราคาลงมาอยู่ที่ 326 ปอนด์

ครั้งหน้า ผมจะมาแนะนำงานประชุมและนิทรรศการที่เป็นคู่แข่งกับงานนี้ แต่จัดที่โตเกียวครับ

23 มีนาคม 2552

Google Energy - กูเกิ้ลธุรกิจพลังงาน (ตอนที่ 3)


แผนการในการผงาดขึ้นมาเป็นยักษ์ใหญ่ในธุรกิจพลังงานของกูเกิ้ล นั้นถูกวางไว้อย่างแยบยลครับ เนื่องจากกูเกิ้ลเป็นบริษัทของคนรุ่นใหม่ จึงมองว่า น้ำมันกับก๊าซธรรมชาติเป็นเรื่องของอดีต เขาจึงไม่ไปลงทุนทางด้านนี้ แต่จะลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและการอนุรักษ์พลังงานอย่างเป็นระบบ ก่อนหน้านี้ผมก็ได้กล่าวถึงโครงการทางด้านพลังงานหมุนเวียนที่กูเกิ้ลได้ริเริ่มไปกันบางแล้วนะครับ วันนี้ผมจะขอพูดถึงโครงการอนุรักษ์พลังงานของกูเกิ้ลกันบ้าง

กูเกิ้ลมีแผนการใหญ่ที่จะเข้าไปสร้างธุรกิจทางด้านอนุรักษ์พลังงานครับ แต่เรื่องนี้ผมจะขออุบเอาไว้ก่อน ค่อยพูดในตอนหลังๆ แต่วันนี้ขอพูดเรื่องที่ใกล้ตัวของกูเกิ้ลเอง เนื่องจากบริษัทนี้เป็นบริษัททำเรื่อง Search Engine หรือเครื่องมือค้นหาในอินเตอร์เน็ต จึงต้องมีเครื่องแม่ข่ายขนาดใหญ่ติดตั้งทั่วโลก กูเกิ้ลพยายามทำให้ศูนย์ข้อมูลที่เรียกว่า Data Center เหล่านั้นใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ซึ่งผมได้พูดไปบ้างแล้ว ซึ่งตอนนี้กูเกิ้ลได้ชื่อว่าเป็นศูนย์ข้อมูลที่ประหยัดพลังงานที่สุดในโลก กูเกิ้ลได้เริ่มสร้างพัฒนาให้สำนักงานของตนเองเป็นอ็อฟฟิศประหยัดพลังงาน ด้วยการใช้หลอดไฟแบบใหม่ทั้งหมด ลดการใช้ไฟในตอนกลางวันด้วยการออกแบบอาคารให้ใช้แสงธรรมชาติ พัฒนาซอฟต์แวร์จัดการพลังงานในเครื่องคอมพิวเตอร์ ติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจการเคลื่อนที่ในอาคารเพื่อประหยัดไฟฟ้าส่องสว่าง กูเกิ้ลยังพัฒนาระบบติดตามการใช้พลังงานในสำนักงานใหญ่ เพื่อให้รู้ว่าพลังงานถูกใช้ไปในกิจกรรมอะไรบ้าง เท่าไหร่ ซึ่งจะนำมาสู่วิธีการปฏิบัติงานที่ใช้ไฟฟ้าน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

นอกจากนั้น กูเกิ้ลยังได้ร่วมมือกับบริษัทอินเทล เพื่อพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ที่ประหยัดพลังงาน มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2007 แล้ว และได้ดำเนินการเพื่อให้ปี ค.ศ. 2010 โลกจะลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการทำงานของคอมพิวเตอร์ให้ได้สัก 54 ล้านตันต่อปี ซึ่งคาร์บอนจำนวนนี้เท่ากับจากการปลดปล่อยของรถยนต์ 11 ล้านคัน

วันหลังจะมาคุยต่อเรื่องนี้อีกนะครับ ..........

21 มีนาคม 2552

Machine Vision - การมองเห็นประดิษฐ์ (ตอนที่ 1)


ศาสตร์ทางด้าน Artificial Sense หรือ สัมผัสประดิษฐ์ นั้นกำลังมาแรงครับ ศาสตร์ทางด้านนี้จะทำให้ความเป็นสิ่งมีชีวิตกับความเป็นจักรกล เขยิบเข้ามาใกล้ชิดกัน ศาสตร์นี้จะนำเอาความรู้สึกเข้าไปใส่ให้จักรกล และนำเอาความสามารถของจักรกลเข้าไปใส่ให้แก่สิ่งมีชีวิต การมองเห็นเป็นสัมผัสอย่างหนึ่งที่สิ่งมีชีวิตประเภทสัตว์ต้องการมีเอาไว้เพื่อเอาตัวรอด และดำรงชีพ ตั๊กแตนมีระบบการมองเห็นที่ไวมากจนมันสามารถหลบหลีกการบินชนกันในฝูงที่มีความหนาแน่นเป็นล้านตัว นกอินทรีย์มีดวงตาที่สามารถซูมภาพจากระยะหลายกิโลเมตร การนำเอาระบบการมองเห็นไปใส่ให้แก่หุ่นยนต์ หรือ จักรกล (เช่น คอมพิวเตอร์) จึงเป็นความฝันของวิศวกรรมเลียนแบบธรรมชาติ (Biomimetic Engineering) ระบบการมองเห็นที่ว่านี้ไม่ใช่เพียงแค่กล้องรับภาพเท่านั้นนะครับ แต่ต้องมีการวิเคราะห์และประมวลผลด้วยว่า ภาพนั้นคืออะไร มีความหมายอย่างไร ซึ่งจะนำไปสู่การตัดสินใจทำกิจกรรมต่างๆ ท่านผู้อ่านอาจจะเคยได้ใช้กล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ๆ ที่มีฟังก์ชันตรวจสอบการยิ้มของผู้ถูกถ่ายรูป โดยกล้องจะทำการกดชัตเตอร์ทันทีที่มีการยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้าของคนที่เรากำลังจะเก็บภาพ


ฟังก์ชันตรวจสอบการยิ้มที่ผมยกตัวอย่างนั้น ถือว่าเป็นระบบการมองเห็น Machine Vision อย่างง่ายๆ นะครับ เพราะจริงๆ แล้ว เทคโนโลยี Machine Vision ยังมีคุณูปการมีมากมาย มีโอกาสและความเป็นไปได้ในการนำไปใช้งานอีกมากมายเลยล่ะครับ บริษัท Omron ในประเทศญี่ปุ่นได้ออกวางจำหน่ายระบบตรวจสอบการยิ้ม เพื่อนำไปตรวจสอบการยิ้มของพนักงานขายของตามห้างร้านต่างๆ ว่ามีการยิ้มกับลูกค้าเพียงพอหรือไม่ บริษัท Fujitaka ในประเทศญี่ปุ่นได้ใช้เทคโนโลยีในการตรวจสอบใบหน้าของผู้ที่จะมาหยอดเหรียญซื้อบุหรี่ที่ตู้ว่าเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ หากเครื่องมองว่าคนที่มาซื้อเป็นเด็ก มันก็จะไม่ขายให้ ซึ่งจากการทดสอบนั้นพบว่าเครื่องขายบุหรี่อัตโนมัติของ Fujitaka นั้นมีความแม่นยำมากกว่าพนักงงานหน้าผับที่คอยตรวจสอบไม่ให้เด็กเข้าไปใช้บริการเสียอีก

วันหลังผมจะมาเล่าเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้อีกนะครับ ......................

20 มีนาคม 2552

TAITA2009 - International Conference on Agroinformatics



การประชุมทางด้านเกษตรแม่นยำสูง หรือ Precision Agriculture ในแต่ละปีนั้นจะมีทวีปละครั้งเท่านั้นครับ ก็คือที่อเมริกา ที่ยุโรป และที่เอเชีย ซึ่งเขาก็จะจัดแข่งกันทุกปี ปีนี้ในแถบเอเชียก็จะมีงาน 2009 International Conference on Agroinformatics ซึ่งจัดโดย สมาคมเทคโนโลยีสารสนเทศเกษตรแห่งไต้หวัน (Taiwan Agricultural Information Technology Association หรือ TAITA) โดยจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 3-6 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ที่นครไทเป บนเกาะไต้หวัน กำหนดส่ง abstract ก็อีกไม่นานแล้วครับ นั่นคือวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552 หัวข้อที่สนใจได้แก่


  • Farm Management and Information
  • Agricultural disasters prevention
  • New trends in agroinformatics
  • E-commerce marketing
  • Education and Training
  • Knowledge management & Database systems
  • Other related topics

18 มีนาคม 2552

The World without Us - ถ้าโลกนี้ไม่มีเรา (ตอนที่ 4)


ถ้าวันหนึ่งเราเรียกประชุมสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกใบนี้ แล้วถามว่าหากให้ที่ประชุมโหวตเลือกสิ่งมีชีวิตชนิดนึงที่อยาก vote ออกมากที่สุด มนุษย์คงจะถูก vote ให้ออกไปจากโลกใบนี้ ผมค่อนข้างเชื่อว่าแม้แต่สุนัข ซึ่งถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์ ก็คงจะต้องยกมือช่วยสิ่งมีชีวิตตัวอื่นๆโหวตด้วยเช่นกัน แค่ระยะเวลาเพียงไม่กี่พันปี มนุษย์ได้ผลาญผืนแผ่นดินไป 1 ใน 3 ของโลกเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การสร้างเมือง การเกษตร เหมืองแร่ อุตสาหกรรม การทหาร เป็นต้น ทั้งนี้ประมาณกันว่า มนุษย์บริโภคผลผลิตของโลกทั้งหมดที่ผลิตได้ในหนึ่งปี ไปถึง 40% หากมองท้องฟ้าในยามค่ำคืน ก็จะพบว่าแสงสว่างที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ได้ทำให้เกิดมลภาวะทางแสง ซึ่งทำให้ไม่สามารถที่จะมองเห็นดวงดาวในยามค่ำคืนได้ ประมาณกันว่า 85% ของท้องฟ้าเหนือยุโรปมีมลภาวะทางแสง 65% ในสหรัฐอเมริกา และ 98.5% ในญี่ปุ่น ส่วนในประเทศอย่าง เยอรมัน ออสเตรีย เบลเยี่ยม และ เนเธอร์แลนด์ นั้นแทบไม่มีที่ใดเลยที่ไม่มีแสงรบกวนในยามค่ำคืน ดังนั้น หากมนุษย์ถูกบังคับให้ย้ายออกไปจากบ้านหลังนี้ สถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมของโลกจะดีขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

หากมนุษย์หายไปในบัดดล "ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง หรือมากสุด 48 ชั่วโมง เราจะเริ่มเห็นไฟฟ้าในหลายๆเมืองดับลงครับ เพราะไม่มีใครเอาเชื้อเพลิงไปใส่ในเครื่องปั่นไฟ" Gordon Masterton ประธานสถาบันวิศวกรรมโยธาแห่งลอนดอนกล่าวอย่างมั่นใจ ถึงแม้สถานีไฟฟ้าบางแห่งที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมหรือเซลล์สุริยะ จะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ต่อไปก็ตาม แต่เมื่อขาดมนุษย์มาดูแลระบบจ่ายไฟ (Electrical Grid) ก็จะทำให้การจ่ายไฟฟ้าขาดช่วงและหยุดลงในเวลาไม่กี่สัปดาห์ เมื่อไม่มีไฟฟ้า ระบบจักรกลต่างๆก็จะค่อยๆหยุดทำงานลงในที่สุด เมืองต่างๆจะเงียบเหงาปราศจากเสียงการทำงานของจักรกล อาคารส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาให้อยู่ได้ 60 ปี สะพานได้ 120 ปี เขื่อนอยู่ได้ 250 ปี โดยที่ต้องมีการบำรุงรักษาตามเวลา แต่ถ้าหากไม่มีมนุษย์แล้วละก็ สิ่งเหล่านี้จะผุพังลงอย่างรวดเร็วไม่น่าเชื่อ หากคุณผู้อ่านขับรถออกไปตามย่านชานเมือง จะเห็นตึกทรงห้องแถวร้างมากมาย ที่หลงเหลือจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ระยะเวลาแค่ 12 ปีที่ไม่มีมนุษย์ดูแลนั้น เราอาจคิดว่าตึกนั่นร้างมาเกือบ 50 ปี อาคารหลายๆแห่งมีพืชหยั่งรากลงไปในคอนกรีต จนสามารถเติบโตบนซอกตึกได้ บ้านที่มีคนอยู่ พืชและแมลงจะเข้ามากัดกร่อนทำลายอาคารเหล่านั้นทีละน้อย บ้านเรือนและอาคารที่ไม่มีคนอยู่ เมื่อมีพายุผ่านเข้ามาจนทำให้เกิดความเสียหาย ก็จะไม่มีการซ่อมแซม ความเสียหายแม้เพียงเล็กน้อยที่หลังคาโดยไม่มีคนซ่อม จะเป็นจุดเริ่มที่ทำให้อาคารทั้งหลังพังลงมาภายในเวลาอีกสิบหรือยี่สิบปีได้

14 มีนาคม 2552

Intelligent Toilet - ส้วมอัจฉริยะ


ทุกครั้งที่ผมเดินทางไปญี่ปุ่นกับเพื่อนๆ พวกเราจะมีความสุขมากกับเรื่อง 2 เรื่อง เรื่องแรกคือเรื่องกิน อาหารในญี่ปุ่นมีหลากหลายทั้งรูปแบบ และราคา ถ้าไปอยู่นานๆ พวกเราก็จะชอบไปนั่งเปลี่ยนร้านกันไปเรื่อยๆในแต่ละวัน บางทีก็ขึ้นรถไฟไปกินกันที่เมืองอื่นเปลี่ยนบรรยากาศ อีกเรื่องที่เรามีความสุขก็คือเรื่อง "ถ่าย" เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าด้านชักโครกและส้วมที่สุดในโลกแล้วครับ ........

เมื่อครั้งที่ท่าน Sir John Harington ได้ประดิษฐ์โถอึชักโครกขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1596 (สมัยเดียวกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช) กล่าวกันว่าผลงานประดิษฐ์ชิ้นนี้ได้ถูกนำไปทดลองใช้ครั้งแรกโดย สมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบธที่ 1 พระองค์ทรงมีพระเกษมสำราญมากกับการทดลองใช้ ถึงกับนำบทความที่มีรายละเอียดการประดิษฐ์ของนวัตกรรมชิ้นใหม่นี้ ติดเอาไว้ที่ข้างฝาหน้าโถชักโครก เพื่อที่พระองค์จะได้ชื่นชมความสะดวกสบายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ แต่อนิจจา .... หลังจากนั้นเป็นต้นมาหลายร้อยปี เทคโนโลยีของโถอึก็ไม่ได้มีความก้าวหน้าขึ้นอีกเลย มีแต่เพียงการเปลี่ยนแปลงรูปร่างโถหรือวัสดุที่ใช้บ้าง แต่หลักการก็ยังคล้ายๆเดิม

แต่เดี๋ยวก่อนครับ ..... ขณะนี้บริษัท Toto แห่งญี่ปุ่น ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชักโครกขายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้คิดค้นนวัตกรรมส้วมอัจฉริยะขึ้นมา เจ้าผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีชื่อว่า Neorest 600 นี้ไม่มีโถน้ำวางอยู่ข้างหลังให้เกะกะรำคาญใจ เมื่อผู้ใช้เดินเข้าตรงเข้าไปเพื่อจะใช้งาน ฝาปิดโถอึจะเปิดออกเพื่อพร้อมทำงาน เจ้า Neorest 600 นี้ทำงานด้วย remote control มันมีฟังก์ชันทำโถนั่งให้อุ่นสำหรับอากาศในเมืองหนาว มันมีฟังก์ชันสำหรับคุณผู้หญิง มีฟังก์ชันสำหรับผู้ชายถ้าต้องการฉี่เฉยๆ ด้วยการยกฝานั่งขึ้น แล้วเอาลงมาวางไว้เหมือนเดิมเมื่อเราเดินจากไป เจ้า Neorest 600 ช่วยทำให้ไม่ต้องใช้กระดาษชำระเลยด้วยซ้ำ เพราะหลังจากฉีดน้ำล้างทำความสะอาดให้เมื่อเราเสร็จภารกิจแล้ว มันจะพ่นลมอุ่นเพื่อทำให้ก้นเราแห้ง โถอึนี้ถูกออกแบบทางสถาปัตยกรรมมาให้น้ำที่นำอึลงไปนั้น หมุนวนแบบไซโคลน ซึ่งจะทำให้ประหยัดน้ำมาก (ใช้น้ำ 6 ลิตรต่อการใช้) โถอึนี้มีระบบกำจัดกลิ่น และเมื่อเราลุกออกไป มันจะปิดฝาของมันเอง

ผมยังไม่เคยใช้เจ้า Neorest 600 หรอกครับ แค่ใช้น้องๆ ของเจ้าตัวนี้ที่โรงแรมและสนามบินก็แฮปปี้แล้ว ......

13 มีนาคม 2552

โลกควรดีใจที่เศรษฐกิจแย่




ช่วงนี้เจอใครๆ ก็จะบ่นกันอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกก็คือเศรษฐกิจที่นับวันมีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ ผมไปเดินห้าง เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นใครจับจ่ายใช้สอยกันเหมือนเมื่อก่อน แต่ละคนคอยมองหาแต่ของลดราคา เพื่อนๆบอกว่าให้เก็บเงินสดไว้ พยายามอย่าใช้ถ้าไม่จำเป็น อีกเรื่องที่คนบ่นกันมากก็คือเรื่องอากาศที่ร้อนอบอ้าว บางคนลาพักร้อนไปเที่ยวต่างจังหวัด กลับมาแล้วก็บ่นว่านอนอยู่บ้านสบายกว่า ตอนนี้ใครที่ยังไม่เชื่อว่าโลกร้อนขึ้นจริงๆ คนก็จะมองหน้าแล้วถามว่า "คุณไปอยู่ไหนมา"


เรื่องทั้ง 2 เรื่องที่ว่ามานี้ ดูเหมือนจะเชื่อมโยงกันแล้วครับ นั่นคือ เรื่องที่เศรษฐกิจแย่ๆ นั้นแหล่ะครับ จะช่วยทำให้เรื่องที่ 2 คือ โลกร้อนนั้นช่วยผ่อนคลายลง ในการประชุมเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศโลกที่กรุงโคเปนไฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2552 ที่ผ่านมานี้ นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง Professor Nicholas Stern ได้ให้ปาฐกถาว่า "โลกเราควรดีใจสิครับ ที่เศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก เพราะนี้คือวิธีแก้โลกร้อนที่ชะงัดและได้ผลที่สุด เพราะขณะนี้การปลดปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศลดลงอย่างวูบวาบ เพราะโรงงานปิด คนใช้รถน้อยลง เดินทางน้อยลง และลดกิจกรรมต่างๆที่เคยมีจนมากเกินไป"


จริงๆ แล้วการที่เศรษฐกิจสหรัฐพังทลายลงมานั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากที่น้ำมันมีราคาสูงจนไปทำให้ฟองสบู่ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แตก ถึงแม้ตอนนี้ราคาน้ำมันจะตกต่ำลงไปแล้ว แต่สหรัฐฯก็เข็ดหลาบจากพลังงานฟอสซิล และเริ่มหันมาหาพลังงานสะอาดแทน เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐสภาสหรัฐฯได้ผ่านกฏหมายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีการนำเงินกว่า 100,000 ล้านเหรียญไปใช้เพื่อทำให้อเมริกาสามารถปลดแอกตัวเองจากน้ำมัน การลงทุนต่างๆของสหรัฐฯนั้น จะทำให้เกิดการสร้างงานแบบใหม่ที่เรียกว่า Green Jobs การที่เศรษฐกิจโลกย่ำแย่นั้น กลับจะเป็นผลดีเสียด้วยซ้ำกับสิ่งแวดล้อมโลก เพราะแรงงานจะถูกลง ทำให้สามารถจ้างแรงงานจำนวนมาก เพื่อมาปฏิรูประบบนำส่งพลังงานไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทั้งในยุโรปและอเมริกา บริษัท ห้างร้าน ต่างๆ จะพยายามทำงานให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งก็จะมีผลต่อการปลดปล่อยคาร์บอนน้อยลงไป ดังนั้นในช่วงที่เศรษฐกิจแย่ๆ อยู่นี้ เราควรจะรีบเร่งปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตเสียใหม่ งานแบบใดที่ทำให้โลกร้อนก็ให้มันหมดไป สร้างอาชีพใหม่ๆที่เป็น Green Jobs นี่คือโอกาสของเราที่จะช่วยโลกแล้วครับ ในช่วงที่เศรษฐกิจแย่ๆนี่แหล่ะ .......

11 มีนาคม 2552

Robowife - หุ่นยนต์ภรรยาหลวง


สมัยนี้ผู้หญิงอยู่เป็นโสดมากขึ้น (Click เพื่ออ่านผลวิจัย "ผู้หญิงเรียนด้านวิทย์-เทคโน แต่งงานน้อย) ส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้หญิงสมัยนี้สามารถทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องง้อผู้ชายอีกต่อไป (ปัจจัยอีกอย่างที่คนเราแต่งงานน้อยลง ก็คือเรื่องเลี้ยงดูเด็กที่ยากขึ้นทุกวัน ซึ่งผมได้เคยเขียนเรื่อง I, Nanny - หุ่นยนต์พี่เลี้ยงเด็ก ไปก่อนหน้านี้แล้วครับ) จะว่าไปแล้ว โดยเฉลี่ยนั้น .... ผู้หญิงไทยกลับมีหน้าที่การงานดีกว่าผู้ชายไทยเสียด้วยซ้ำ ผมชอบไปเดินเล่นแถวๆย่านธุรกิจ และนั่งเล่นบนรถไฟฟ้า BTS พบว่า มีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น ผู้ชายหายไปไหนกันหมดครับ? ถ้าอยากพบคำตอบ ลองไปดูตามอู่รถทัวร์ รถตู้ รถแท็กซี่ รถสองแถว รถเมล์ใหญ่เมล์เล็ก รถตุ๊กตุ๊ก คิวมอเตอร์ไซค์ ฯลฯ ผู้ชายจะยึดทำเลเหล่านั้นเป็นอาชีพ ซึ่งแทบจะไม่มีผู้หญิงทำ ดังนั้นในสังคมธุรกิจแบบที่เรียกว่า White Collar หรือ "ใส่เสื้อเชิ้ตมาทำงาน" ผู้หญิงจึงกำลังเผชิญกับการแข่งขันในการมีคู่ เพราะผู้ชายหายากลงทุกที ทุกที ...... (Click เพื่อฟังเพลง "ผู้ชายดีดีหายไปไหนหมด")

ถ้านี่ยังเป็นข่าวร้ายไม่พอสำหรับคุณผู้หญิง ผมมีเรื่องจะมาเล่าอีกเรื่องหนึ่งครับ .... คือต่อไปนี้คุณผู้หญิงจะมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างแล้วครับ นั่นคือ หุ่นยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อจะมาทำหน้าที่ศรีภรรยาให้กับคุณผู้ชาย หุ่นยนต์ Aiko นี้สร้างโดยนักประดิษฐ์ชาวแคนาดาชื่อ Le Trung หน้าตาของ Aiko นั้นประมาณว่ามีอายุราวๆ 20 ปี มีหุ่นขนาด 32-23-33 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่กำลังสวยพอดีๆ มีหน้าตาที่สวยเก๋และเส้นผมที่ส่องประกาย

Aiko เธอถูกฝึกให้เป็นภรรยาที่เอาใจใส่สามี ในแต่ละวันนั้น เธอจะทำความสะอาดบ้าน อ่านหนังสือพิมพ์ให้ฟัง บอกเรื่องพยากรณ์อากาศ ชาวทำบัญชี รินเครื่องดื่มให้ เมื่อสามีเธอขับรถเข้าไปในเมือง เธอจะไปด้วยและจะช่วยบอกทางให้ ทุกๆเย็น เธอจะนั่งที่โต๊ะอาหารกับสามีของเธอถึงแม้เธอจะไม่หิวเลยก็ตาม Le Trung กล่าวว่า "ทุกวันนี้ ผมยังไม่ได้มีอะไรกับเธอบนเตียงครับ แต่อีกไม่นานผมจะทำให้ซอฟต์แวร์ของเธอ มีความต้องการในเรื่องเหล่านี้รวมอยู่ด้วย" จริงๆแล้วตอนนี้ Aiko มีความรู้สึกด้านสัมผัส ซึ่งเธอจะสามารถเข้าใจและตอบสนองสัมผัสทางกายที่กระทำต่อเธอ เธอจำหน้าคนได้ และสามารถพูดมากกว่าหมื่นประโยค ตอนนี้ Le Trung กำลังหาผู้สนับสนุนเพื่อทำให้ Aiko เดินได้เหมือนมนุษย์ และเมื่อเวลานั้นมาถึง Aiko จะเป็นตัวแปรหนึ่งที่สำคัญต่อคำถามที่ว่า "ทำไมผู้หญิงแต่งงานน้อยลง ......"

10 มีนาคม 2552

Mixed Reality - เมื่อความฝัน ผสมพันธุ์กับ ความเป็นจริง (ตอนที่ 4)


คุณผู้อ่านแยกความฝันออกจากความจริงได้ไหมครับหากกำลังฝันอยู่ แน่นอนครับว่า เมื่อเราตื่นอยู่เราก็จะรู้ว่าความฝันนั้นมันเจือจางกว่าความจริงมาก รายละเอียดมันน้อยกว่าความเป็นจริงมาก ในทางศาสนาพุทธแล้ว เขาบอกว่าคนเราเมื่อใกล้จะตาย จะเกิดนิมิตขึ้นมา ซึ่งจะพาเราไปจุติในโลกใหม่ตามนิมีตที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาของลมหายใจสุดท้าย ผู้รู้บางท่านกล่าวว่า ตัวนิมิตนี้จะคล้ายกับความฝัน เราควบคุมไม่ได้ มันจะเกิดขึ้นเองตามแต่กรรมที่เราทำในชาตินี้ แล้วตัวมันนี่แหล่ะจะเป็นผู้สร้างภพต่อไปของเรา กล่าวกันว่า คนที่อยู่ในอาการโคมา คือ กึ่งเป็นกึ่งตายนั้น ก็จะวนเวียนอยู่ในความฝัน บางทีเมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว ก็สามารถเล่าได้เป็นตุเป็นตะว่าเดินทางไปไหนต่อไหนมาบ้าง

ศาสตร์ทางด้าน Mixed Reality หรือ Augmented Reality ตอนนี้มีความก้าวหน้ามากครับ และอนาคตศาสตร์นี้จะมีคุณประโยชน์อย่างมากในหลายๆวงการ รวมถึงการรักษาโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสมองด้วย ศาสตร์นี้เป็นการผสมผสานวิทยาศาสตร์ (โลกแห่งความจริง) กับศิลปศาสตร์ (โลกแห่งความฝัน) เข้าด้วยกัน

Mixed Reality เป็นเทคโนโลยีในการสร้างสภาพแวดล้อมใหม่ขึ้นมา ซึ่งสิ่งของที่มีตัวตนอยู่จริงๆ จะอยู่ร่วมกับสิ่งของที่สร้างขึ้นมา (Digital Object) โดยสิ่งของทั้ง 2 ประเภทเหล่านั้นจะอยู่ร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์กัน เหมือนประหนึ่งว่าสิ่งของที่เป็นของเสมือนนั้นมีตัวตนจริงๆ (ในทางกลับกัน สิ่งของที่อยู่ในโลกแห่งความจริง ก็จะเสมือนกับว่าเป็นสิ่งของที่อยู่ในโลกแห่งความฝันไปด้วยเช่นกันเพราะสิ่งของดิจิตอลก็จะรับรู้สภาพหรือความเป็นดิจิตอลของสิ่งนั้น

ลองชมวิดีโอข้างล่างนี้นะครับ เป็นเรื่องราวของชายผู้หนึ่งซึ่งเข้าไปสร้าง Digital Object ต่างๆ ขึ้นมา แล้วพยายาม Load ข้อมูลเหล่านั้น เข้าไปยังสมองของหญิงที่ตนรัก เพื่อรักษาอาการทางสมองของเธอ .......


09 มีนาคม 2552

Google Energy - กูเกิ้ลธุรกิจพลังงาน (ตอนที่ 2)


ใครจะรู้ล่ะครับ อีกหน่อยยักษ์ใหญ่ทางด้านพลังงานของโลกอาจจะเป็นบริษัทกูเกิ้ลก็ได้ กูเกิ้ลเริ่มลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดมากกว่าบริษัทน้ำมันเสียอีกครับ ผมจะทยอยนำข่าวความคืบหน้าในเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังเรื่อยๆ ครับ

กูเกิ้ลมีวิสัยทัศน์ว่า พลังงานสะอาดจะต้องทำให้มีราคาถูกกว่าถ่านหิน จึงจะแก้ปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลได้ กูเกิ้ลจึงลงทุนในเรื่องของการวิจัยและพัฒนาพลังงานหมุนเวียน ทั้งพลังงานลม พลังงานใต้พิภพ พลังงานแสงอาฑิตย์ กูเกิ้ลลงเงินในบริษัทพลังงานที่จัดตั้งใหม่ (Start-Up) มากมาย เช่น Makani Power Inc ซึ่งพัฒนาพลังงานลม (ลงไปมากกว่า 400 ล้านบาท) eSolar Inc ซึ่งพัฒนาพลังงานแสงอาฑิตย์แบบนำพาความร้อน (ลงไป 350 ล้านบาท) AltaRock Energy Inc ซึ่งพัฒนาพลังงานจากความร้อนใต้พิภพ (ลงไป 210 ล้านบาท) และยังมีบริษัทเล็กๆ อื่นๆ อีก ที่พัฒนาเทคโนโลยีทางด้านรถไฟฟ้าที่ชาร์จจากไฟบ้าน (plug-in)


กูเกิ้ลได้ริเริ่มโครงการหนึ่งที่มีชื่อว่า RechargeIT โดยนำรถยนต์ไฮบริดจำนวน 16 คัน ซึ่งใช้ได้ทั้งไฟฟ้าและน้ำมัน มาให้พนักงานอาสาสมัครได้ใช้งานจริงๆในชีวิตประจำวัน โดยรถยนต์เหล่านี้จะมีอุปกรณ์รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลติดตั้งในรถ เพื่อเก็บข้อมูลและนำมาประมวลผลว่าการใช้รถไฮบริด ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้จริงๆ เท่าไร กูเกิ้ลได้ทำการทดลองมาเป็นปีแล้ว และตอนนี้มีแผนจะเพิ่มจำนวนรถไฮบริดเป็น 100 คัน ซึ่งจะทำให้กูเกิ้ลสามารถที่จะสร้างโครงสร้างพื้นฐานในระดับต้นแบบ เพื่อรองรับการใฃ้รถยนต์ไฮบริดได้ในอนาคต เช่น ระบบการชาร์จไฟอัจฉริยะ ซึ่งจะทำให้รถยนต์ไฮบริดที่วิ่งไป วิ่งมา สามารถที่จะรู้ว่าจะชาร์จไฟที่ไหน ใช้เวลาเท่าไร เพื่อวิ่งไปไหน ในอนาคตการขับรถไปจอดที่ห้างสรรพสินค้า ก็สามารถชาร์จไฟให้รถในขณะที่ซื้อสินค้าได้ กูเกิ้ลได้นำข้อมูลต่างๆ ออนไลน์ให้สาธารณะได้ดูด้วย เป็นของฟรีสไตล์กูเกิ้ล ..........


(ภาพบน - เจ้าของบริษัท Google กำลังสาธิตการนำไฟฟ้าจาก solar cell มาเสียบให้รถยนต์ไฮบริด)

05 มีนาคม 2552

Robot Evolution - หุ่นยนต์วิวัฒน์


ช่วงนี้วงการวิทยาศาสตร์กำลังเฉลิมฉลองโอกาสครบรอบ 150 ปี ทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชาร์ล ดาร์วิน ซึ่งทฤษฎีสะท้านโลกนี้ได้นำดาวเคราะห์ของเราออกจากความงมงายในเรื่องพระเจ้าสร้างโลก ทำให้พวกเราประจักษ์ชัดว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายนั้นวิวัฒนาการมาจากกระบวนการทางเคมีที่เริ่มจากขั้นตอนง่ายๆ ไปสู่ความซับซ้อน ชาร์ล ดาร์วิน ได้เชื่อมโยงหลักฐานต่างๆอย่างมีระบบ ทำให้เราเข้าใจความมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตต่างๆ และที่สำคัญก็คือกระบวนการทางธรรมชาติที่เรียกว่า Natural Selection (การคัดเลือกตามธรรมชาติ) นั้นได้ถูกเปิดเผยออกมา ทำให้เรารู้ว่าโลกที่เราอาศัยอยู่ขณะนี้ มีการแข่งขันระหว่างสายพันธุ์ต่างๆ อยู่ตลอดเวลา เมื่อไรที่สายพันธุ์ของเราอ่อนแอ ก็จะถูกแทนที่ด้วยสายพันธุ์อื่นๆ ได้เช่นกัน

แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้านั้น อาจไม่ได้มีแค่สิ่งมีชีวิตเท่านั้นที่จะเข้ามาแข่งขันเพื่อเป็นสายพันธุ์ที่ธรรมชาติคัดเลือก ทั้งนี้เพราะตอนนี้หุ่นยนต์แบบชีวะ ก็เริ่มมีวิวัฒนาการแบบสิ่งมีชีวิตแล้วล่ะครับ มีการวิจัยที่พยายามทำให้หุ่นยนต์สามารถที่จะมี evolution ได้แบบสิ่งมีชีวิต นักวิจัยได้พัฒนาหุ่นยนต์ที่เรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวเอง เช่น หุ่นยนต์ที่มีล้อ สามารถที่จะเรียนรู้ที่จะเดินหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้ เมื่อเราติดเซ็นเซอร์เพิ่มเติม หุ่นยนต์ก็จะเรียนรู้ที่จะใช้อุปกรณ์ที่ติดตั้งเพิ่มเอง พอลองผิดลองถูกไปสักพัก มันก็จะใช้อุปกรณ์ใหม่ได้อย่างคล่องแคล่ว นักวิจัยได้ลองใส่ล้อเพิ่มเข้าไปให้หุ่นยนต์ หุ่นยนต์สามารถที่จะเรียนรู้อุปกรณ์ที่เพิ่มเข้ามา ลองผิดลองถูกว่ามันมีข้อได้เปรียบอย่างไร เพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์ หากอุปกรณ์ส่วนใดบกพร่อง มันจะเรียนรู้เพื่อที่จะอยู่กับของที่ยังมีอยู่ ในภาพยนตร์เรื่อง wall-e นั้น เจ้าหุ่นกระป๋องเก็บขยะ เรียนรู้ที่จะ recycle สายพานล้อของมัน จากตัวที่เสียไปแล้ว


การหลอมรวมระหว่างวิศวกรรมศาสตร์ กับ ชีววิทยา กำลังเกิดขึ้นทุกหนแห่งครับ ตอนนี้วิศวะไม่เรียนชีววิทยาแบบแต่ก่อน คงจะไม่ได้แล้วครับ .................

02 มีนาคม 2552

How Love Works - นี่หรือที่เรียกว่ารัก (ตอนที่ 2)


นักวิทยาศาสตร์เริ่มจะเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วล่ะครับว่า ความรักเป็นกระบวนการทางชีววิทยาในสมอง และเจ้าความสิเน่หานี้เองที่ทำให้มนุษย์มีความแตกต่างจากสัตว์ ความรักเป็นตัวขับเคลื่อนความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์เรา สารเคมีที่หลั่งในสมองเมื่อเรามีความรัก นั้นทำให้เราอยากมีครอบครัวและมีลูกมีหลาน เมื่อเรามีลูกแล้ว เคมีเหล่านั้นก็ต้อนเราให้พยุงครอบครัวเพื่อช่วยกันดูแลเด็กให้เติบโต ความรักจึงมีเคมีและชีววิทยาเป็นพื้นฐานสำคัญ มนุษย์เรานั้นมีเรื่องรักโรแมนติกกันทั้งนั้นไม่ว่าชาติใดภาษาใด นั่นเป็นหลักฐานว่าความรักอยู่ในพันธุกรรมของเรา

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า คนเรามี template ของคนที่เราอยากได้เป็นคู่ครองอยู่ในจิตใต้สำนึก บางคนเรียกสิ่งนี้ว่า "เนื้อคู่" (Click เพื่ออ่านนิยามของ "เนื้อคู่" ในทางพุทธศาสนา) บางคนเรียกสิ่งนี้ว่า "สเป็ก" บางคนเรียกว่า "ชายในฝัน" (Click เพื่อฟังเพลงชายในฝันของ Jetseter) และเจ้าสิ่งนี่แหล่ะที่ทำให้คนเราเห็นใครคนหนึ่งแยกแตกต่างออกมาจากคนอื่นเพียงครั้งแรกที่เห็น ซึ่งเรามักจะคิดว่ามันเป็น "รักแรกพบ" นักวิจัยหลายๆกลุ่มเสนอว่า คนเรามักจะถูกดึงดูดโดยเพศตรงข้ามที่มีบางส่วนที่คล้ายพ่อแม่เรา หรือแม้กระทั่งคล้ายตัวเราเอง มีการทดลองครั้งหนึ่งที่นำเอาภาพใบหน้าของผู้ถูกทดลอง ไปแปลงด้วยวิธีทางคอมพิวเตอร์ ให้เปลี่ยนเป็นหน้าของเพศตรงข้าม แล้วเอาภาพที่แปลงแล้วนี้มาผสมกับภาพอื่นๆ นำไปให้ผู้ถูกทดลองเลือกว่าชอบหน้าแบบใดที่สุด ผลก็คือผู้ถูกทดลองจะเลือกภาพที่มาจากใบหน้าของตัวเอง โดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ตัวเลย ผมเองก็เคยได้ยินว่า คนที่เป็นเนื้อคู่กันจะหน้าคล้ายกัน สมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็เคยถูกทักว่าหน้าคล้ายกับแฟนตัวเอง นี่คงเป็นคำตอบได้ครับ ......

วันหลังจะกลับมาคุยเรื่องนี้ต่อนะครับ ................

01 มีนาคม 2552

Google Energy - กูเกิ้ลธุรกิจพลังงาน (ตอนที่ 1)


ในระยะหลังๆนี้ บริษัทที่รุ่งๆในเรื่องของพลังงานทางเลือก กลับไม่ใช่บริษัทที่เคยทำเรื่องพลังงานมาก่อน อย่างเช่น บริษัทน้ำมัน แต่กลับเป็นบริษัททางด้านไอที เช่น ไอบีเอ็ม ซึ่งในตอนที่แล้ว ผมได้นำมาเล่าให้ฟังแล้วว่า ไอบีเอ็มได้รับสัมปทานจากประเทศมอลต้า ให้ทำระบบ Smart Grid สำหรับไฟฟ้าและน้ำประปา โดยจะทำให้บ้านจำนวน 250,000 หลัง เข้ามาอยู่ในระบบการใช้พลังงานอย่างเฉลียวฉลาด

อีกบริษัทหนึ่งที่น่าจับตามองมากๆ และมีโอกาสที่จะเข้ามาเป็นเจ้าพ่อธุรกิจพลังงานที่ยิ่งใหญ่ของโลกในอนาคต นั่นก็คือ Google ครับ ตอนนี้ Google มีโครงการริเริ่มทางด้านพลังงานหลายๆอย่างที่น่าทึ่ง บริษัทนี้ได้ลงทุนติดตั้งแผงเซลล์สุริยะบนหลังคาของสำนักงานใหญ่ทั้งหมด ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 1.6 เมกะวัตต์ ซึ่งเพียงพอที่จะให้พลังงานแก่บ้านทั้งหมด 1,000 หลัง ได้อย่างสบาย กูเกิ้ลบอกว่าแผงโซลาเซลล์เหล่านี้จะคืนทุนได้ภายใน 7.5 ปี

กูเกิ้ลยังลงทุนวิจัยในเรื่องของการประหยัดพลังงานอย่างซีเรียสด้วย โครงสร้างพื้นฐานด้านการคำนวณของกูเกิ้ลนั้น ถูกออกแบบมาให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมาก กูเกิ้ลออกแบบศูนย์ข้อมูลให้มีความสามารถในการใช้พลังงานอย่างฉลาด อาคารศูนย์ข้อมูลถูกออกแบบให้มีการกระจายและถ่ายเทความร้อนที่ดี กูเกิ้ลได้ศึกษาว่า การ search หนึ่งครั้งนั้นจะใช้พลังงานทั้งหมดประมาณ 0.0003 kWh นั่นหมายความว่าระหว่างการ search หนึ่งครั้งนั้น คอมพิวเตอร์ของผู้ใช้นั้นเผาผลาญพลังงานมากกว่าที่ Google Search ทำงานเสียอีก กูเกิ้ลได้ออกแบบอาคารศูนย์ข้อมูลที่ใช้น้ำที่หมุนเวียน (Recycled Water) เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เก่าและปลดประจำการจะถูกจัดการให้ถูกนำไปรีไซเคิลอย่างถูกวิธี

ตอนต่อไป ผมจะค่อยๆเล่าต่อนะครับว่า Google วางแผนอย่างไรในการก้าวไปเป็นยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของอนาคต


(ภาพด้านบน - Google ติดตั้งแผงโซลาเซลล์บนหลังคาเกือบทุกอาคารของสำนักงานใหญ่)