ช่วงนี้เจอใครๆ ก็จะบ่นกันอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกก็คือเศรษฐกิจที่นับวันมีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ ผมไปเดินห้าง เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นใครจับจ่ายใช้สอยกันเหมือนเมื่อก่อน แต่ละคนคอยมองหาแต่ของลดราคา เพื่อนๆบอกว่าให้เก็บเงินสดไว้ พยายามอย่าใช้ถ้าไม่จำเป็น อีกเรื่องที่คนบ่นกันมากก็คือเรื่องอากาศที่ร้อนอบอ้าว บางคนลาพักร้อนไปเที่ยวต่างจังหวัด กลับมาแล้วก็บ่นว่านอนอยู่บ้านสบายกว่า ตอนนี้ใครที่ยังไม่เชื่อว่าโลกร้อนขึ้นจริงๆ คนก็จะมองหน้าแล้วถามว่า "คุณไปอยู่ไหนมา"
เรื่องทั้ง 2 เรื่องที่ว่ามานี้ ดูเหมือนจะเชื่อมโยงกันแล้วครับ นั่นคือ เรื่องที่เศรษฐกิจแย่ๆ นั้นแหล่ะครับ จะช่วยทำให้เรื่องที่ 2 คือ โลกร้อนนั้นช่วยผ่อนคลายลง ในการประชุมเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศโลกที่กรุงโคเปนไฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2552 ที่ผ่านมานี้ นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง Professor Nicholas Stern ได้ให้ปาฐกถาว่า "โลกเราควรดีใจสิครับ ที่เศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก เพราะนี้คือวิธีแก้โลกร้อนที่ชะงัดและได้ผลที่สุด เพราะขณะนี้การปลดปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศลดลงอย่างวูบวาบ เพราะโรงงานปิด คนใช้รถน้อยลง เดินทางน้อยลง และลดกิจกรรมต่างๆที่เคยมีจนมากเกินไป"
จริงๆ แล้วการที่เศรษฐกิจสหรัฐพังทลายลงมานั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากที่น้ำมันมีราคาสูงจนไปทำให้ฟองสบู่ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แตก ถึงแม้ตอนนี้ราคาน้ำมันจะตกต่ำลงไปแล้ว แต่สหรัฐฯก็เข็ดหลาบจากพลังงานฟอสซิล และเริ่มหันมาหาพลังงานสะอาดแทน เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐสภาสหรัฐฯได้ผ่านกฏหมายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีการนำเงินกว่า 100,000 ล้านเหรียญไปใช้เพื่อทำให้อเมริกาสามารถปลดแอกตัวเองจากน้ำมัน การลงทุนต่างๆของสหรัฐฯนั้น จะทำให้เกิดการสร้างงานแบบใหม่ที่เรียกว่า Green Jobs การที่เศรษฐกิจโลกย่ำแย่นั้น กลับจะเป็นผลดีเสียด้วยซ้ำกับสิ่งแวดล้อมโลก เพราะแรงงานจะถูกลง ทำให้สามารถจ้างแรงงานจำนวนมาก เพื่อมาปฏิรูประบบนำส่งพลังงานไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทั้งในยุโรปและอเมริกา บริษัท ห้างร้าน ต่างๆ จะพยายามทำงานให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งก็จะมีผลต่อการปลดปล่อยคาร์บอนน้อยลงไป ดังนั้นในช่วงที่เศรษฐกิจแย่ๆ อยู่นี้ เราควรจะรีบเร่งปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตเสียใหม่ งานแบบใดที่ทำให้โลกร้อนก็ให้มันหมดไป สร้างอาชีพใหม่ๆที่เป็น Green Jobs นี่คือโอกาสของเราที่จะช่วยโลกแล้วครับ ในช่วงที่เศรษฐกิจแย่ๆนี่แหล่ะ .......