วิเคราะห์สถานภาพทางด้านนาโนศาสตร์ และ นาโนเทคโนโลยี ของประเทศไทย เปรียบเทียบกับ ประเทศคู่แข่ง เพื่อช่วยผลักดันให้ประเทศไทย เป็น Nano Valley of ASEAN
26 พฤษภาคม 2556
ฤาจะสูญสิ้น กลิ่นกาแฟไทย (ตอนที่ 3) - The End of Thai Coffee
(Picture from http://depositphotos.com/)
เมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2556 ที่ผ่านมา ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้จากพื้นที่ 5 จังหวัด คือ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ ศรีสะเกษ มหาสารคาม และยโสธร เพิ่งได้รับการขึ้นทะเบียนสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications หรือ GI) อย่างเป็นทางการจากสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะจะทำให้ไทยสามารถส่งออกข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ไปยังกลุ่มตลาดบนของสหภาพยุโรปได้เพิ่มขึ้น
สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI เป็นการให้ความคุ้มครองชื่อหรือเครื่องหมายต่างๆ ที่เป็นชื่อเมือง หรือท้องถิ่น ที่ใช้บนฉลากของสินค้าต่างๆ โดยจะต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันทางภูมิศาสตร์ ทั้งนี้ GI มีความแตกต่างจากทรัพย์สินทางปัญญาประเภทอื่น กล่าวคือ ผู้เป็นเจ้าของไม่ใช่บุคคลหนึ่งบุคคลใด แต่เป็นกลุ่มชุมชน หรือ ผู้ประกอบการใดๆ ก็ตาม ที่มีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์นั้นๆ จึงจะสามารถใช้ชื่อ GI สำหรับผลิตสินค้านั้นได้ เช่น ไข่เค็มไชยา เฉพาะชาวไชยาเท่านั้นที่ทำขายได้ คนแถวราชบุรีมาทำขายแล้วใช่ชื่อไข่เค็มไชยา ถือว่าว่าละเมิดสิทธิ์ สิทธิในลักษณะดังกล่าวนี้ นักวิชาการบางท่านเรียกว่า “สิทธิชุมชน” ซึ่งไม่สามารถนำสิทธิที่ได้รับไปอนุญาตให้บุคคลอื่นใช้ต่อได้ ผู้ที่อยู่ในพื้นที่แหล่งภูมิศาสตร์นั้นๆ เท่านั้นที่มีสิทธิใช้
จากข้อมูลของกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ทำให้ทราบว่าในปัจจุบันประเทศไทยมีการประกาศขึ้นทะเบียนสินค้า GI ในประเทศไทยแล้วจำนวน 38 รายการ ซึ่งเป็นทั้งสินค้าที่มาจากภาคเกษตรกรรมโดยตรง และสินค้าที่มาจากภาคหัตถกรรมทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ เช่น ส้มโอนครชัยศรี ผ้าไหมแพรวากาฬสินธุ์ สับปะรดภูแลเชียงราย กาแฟดอยตุง ศิลาดลเชียงใหม่ ผ้าไหมยกดอกลำพูน เครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียง ร่มบ่อสร้าง สับปะรดนางแล ไวน์ที่ราบสูงภูเรือ ไข่เค็มไชยา ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ หมูย่างเมืองตรัง มะขามหวานเพชรบูรณ์ ชมพู่เพชร เป็นต้น
จากความสำเร็จที่ประเทศไทยสามารถขึ้นทะเบียน GI ของข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ใน EU ได้ ทำให้กรมทรัพย์สินทางปัญญามีดำริที่จะยื่นจดสินค้าอีก 2 ชนิดเพิ่มเติม ได้แก่ กาแฟดอยตุง และ กาแฟดอยช้าง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนับสนุน เพราะกาแฟไทย โดยเฉพาะกาแฟ 2 ยี่ห้อนี้ ขึ้นชื่อในเรื่องของความหอมและรสชาติที่อร่อย เปรียบเทียบกับกาแฟที่มาจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว และ เวียดนาม แล้ว เหมือนฟ้ากับเหว การจด GI ในยุโรป จะช่วยทำให้กาแฟไทยได้รับความยอมรับในเรื่องคุณภาพ และจะสามารถขายใน EU ที่ราคาแพงๆ ได้ เป็นการยกระดับกาแฟไทยให้ขึ้นไปอยู่แนวหน้าของโลก หนีประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามที่ผลิตกาแฟคุณภาพต่ำในปริมาณมากๆ แน่นอนหล่ะ ... ในอนาคตคนไทยก็คงจะต้องจ่ายแพงขึ้นเพื่อบริโภคกาแฟคุณภาพดีของไทย แต่ผมคิดว่ากาแฟรสชาติดีๆ แล้วจ่ายแพงอีกสักนิด ก็น่าจะดีกว่ากาแฟรสชาติทั่วๆ ไปแต่ขายราคาสตาร์บัค ที่มีอยู่ดาษดื่นตามร้านกาแฟทั้งหลาย
สำหรับกาแฟแล้ว การมี GI หรือ สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ถือว่าเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น กาแฟดอยตุง ปลูกในสภาพแวดล้อมที่เป็นดอย สูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่า 800 เมตร อยู่ในละติจูดที่เหมาะสม มีอากาศเย็นและปริมาณน้ำฝนที่เหมาะสม ทำให้เมล็ดกาแฟมีการสะสมสารหอมระเหย (Aroma Molecules) เข้าไปในเมล็ดในจำนวน และสัดส่วนของสารหอมระเหยแต่ละชนิด ที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง นั่นคือ แม้จะเป็นกาแฟพันธุ์เดียวกัน คัดเอาเมล็ดพันธุ์เหมือนๆ กัน แต่ไปปลูกที่อื่น เช่น บนดอยในประเทศเวียดนาม ก็ไม่สามารถที่จะผลิตกา แฟที่มีกลิ่นและรสชาติเหมือนกันได้ .... นั่นคือ กาแฟดอยตุง ต้องปลูกที่ดอยตุงเท่านั้น ที่อื่นเอาไปปลูกยังไง ก็ไม่มีทางทำให้รสชาติเหมือนกาแฟดอยตุง เช่นเดียวกับกาแฟดอยช้าง ที่เมื่อได้ดื่มแล้ว สำหรับคนที่มีความสามารถในการจดจำรสชาติ ก็จะสามารถจำแนกได้ว่าเป็นกาแฟมาจากดอยช้าง ทั้งนี้เป็นเพราะสภาพแวดล้อมของพื้นที่ปลูก ทำให้รสชาติของกาแฟมีความแตกต่างกันนั่นเอง เช่นเดียวกับ เครื่องดื่มประเภทไวน์ ที่มีรสชาติแตกต่างกันตามพื้นที่เพาะปลูก
ดูเหมือนการสร้างอัตลักษณ์ให้แก่กาแฟไทยด้วยการจดทะเบียน GI จะค่อนข้างมาถูกทางแล้ว เพราะถือเป็นการยกระดับมาตรฐานของแบรนด์ไทย หนีคู่แข่งจากประเทศเวียดนาม แต่การมี GI เพียงอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถจะการันตีความได้เปรียบในระยะยาวได้ เพราะคู่แข่งก็สามารถจด GI ในภูมิศาสตร์ของเขาได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นกาแฟไทยจะต้องพยายามพัฒนา และรักษาคุณภาพของกลิ่นและรสชาติให้ดีกว่าคู่แข่ง พยายามนำความได้เปรียบในเรื่องของภูมิศาสตร์ที่ทำให้กาแฟของเรามีเอกลักษณ์เหนือคู่แข่งมาใช้ประโยชน์ พยายามรักษาเอกลักษณ์นั้นไว้ ซึ่งเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นแล้วในบ้านเราอย่างระบบ Smart Farm หรือ จมูกอิเล็กทรอนิกส์ จะสามารถเข้ามาช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันตรงนี้ได้
03 มีนาคม 2556
ฤาจะสูญสิ้น กลิ่นกาแฟไทย (ตอนที่ 2) - The End of Thai Coffee
(ภาพจาก http://www.chiangraibulletin.com)
กาแฟไทยหอมๆ ช่วยเติมเต็มชีวิตของเราให้มีความสดชื่น เบิกบานทุกๆ เช้า นี่หล่ะครับ พระเอกตัวจริงที่คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย วันนี้เรามาคุยกันต่อเรื่องกาแฟไทยกันนะครับ
กาแฟไม่ใช่พืชพื้นเมืองของไทยก็จริง แต่เชื่อกันว่ามีการปลูกกาแฟในเมืองไทยกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้วครับ เมื่อประมาณห้าสิบกว่าปีที่แล้ว (พ.ศ. 2503) ประเทศไทยเคยมีพื้นที่ปลูกกาแฟเพียง 19,000 ไร่ โดยให้ผลผลิตได้แค่ 750 ตันเท่านั้น ทำให้ในช่วงนั้นประเทศไทยต้องนำเข้ากาแฟมากถึง 6,000 ตัน ทำให้รัฐบาลไทยเริ่มรณรงค์การปลูกกาแฟอย่างจริงจังนับตั้งแต่นั้น เพื่อจะเพิ่มพื้นที่ปลูกกาแฟให้เพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ นับตั้งแต่นั้นพื้นที่เพาะปลูกกาแฟก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2540 ปีเดียวกับวิกฤตการต้มยำกุ้ง ประเทศไทยมีพื้นที่เพาะปลูกกาแฟมากถึง 500,000 ไร่ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ แต่ทว่าหลังจากนั้น พื้นที่กาแฟไทยก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ จนคาดว่าในปีนี้น่าจะเหลือไม่ถึง 280,000 ไร่ โดยมีผลผลิตเหลือเพียง 40,000 ตัน จากที่เคยผลิตได้ 9 หมื่นตัน ซึ่งสวนทางกับความต้องการบริโภคกาแฟของคนไทยที่นับวันจะมีแต่มากขึ้นไปเรื่อยๆ โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% ทำให้คนไทยทุกวันนี้บริโภคกาแฟโดยเฉลี่ย 200 แก้วต่อคนต่อปี ซึ่งยังถือว่าสามารถเติบโตได้อีกนะครับ เพราะประเทศที่เป็นสังคมเมือง และมีคนชั้นกลางเป็นฐานเศรษฐกิจชาติอย่างญี่ปุ่นเขาดื่มกันมากถึง 500 แก้วต่อคนต่อปี ส่วนสหรัฐอเมริกายิ่งมากเข้าไปอีก ซดกันเป็นน้ำถึง 800 แก้วต่อคนต่อปีกันเลยทีเดียว
พื้นที่ปลูกกาแฟในประเทศไทยนั้น แบ่งออกเป็นโรบัสต้ามากถึง 95% มีกาแฟอราบิก้าเพียง 5% เท่านั้น โดยกาแฟโรบัสต้าปลูกมากทางภาคใต้ โดยเฉพาะชุมพรกับระนอง แต่ในระยะหลังๆ พื้นที่ปลูกลดลงไปเรื่อยๆ ทุกปี ส่วนกาแฟอราบิก้าที่มีความหอมละมุน และรสชาติอร่อยนั้น ชอบอากาศเย็น จึงมักปลูกในภาคเหนือ แถวจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ตาก น่าน เป็นกาแฟที่คนไทยนิยมบริโภค ขายได้ราคาดี แนวโน้มมีความนิยมในการปลูกเพิ่มขึ้น แต่มีต้นทุนการดูแลรักษามากกว่ากาแฟจากประเทศลาว และ เวียดนาม กาแฟอราบิก้าไทยจึงต้องพยายามแข่งขันด้วยการชูเอกลักษณ์ด้านกลิ่น และ รสชาติ ที่ค่อนข้างแตกต่าง เพื่อให้สามารถขายได้ในราคาที่สูงกว่า จะว่าไป ใช่ว่าผมจะเข้าข้างประเทศตัวเองนะครับ แต่กาแฟไทยอร่อยกว่ากาแฟของลาว และ เวียดนามจริงๆ แต่เพราะการบริโภคของคนไทยในขณะนี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ จนกาแฟอราบิก้าไทยมีไม่เพียงพอ ดังนั้น ประเทศไทยจึงต้องนำเข้ากาแฟจากลาว และ เวียดนาม เพิ่มมากขึ้นทุกๆ ปี และหลังจากปี พ.ศ. 2558 เมื่อมีการเปิด AEC อย่างเต็มรูปแบบ กาแฟจากลาวและเวียดนามจะทะลุกเข้ามาเหมือนสึนามิ และอาจทำให้กลิ่นกาแฟไทยอันหอมกรุ่นเจือจางมากขึ้นไปกว่านี้อีก
สินค้าที่ขายกลิ่นอย่างกาแฟ ให้ความสำคัญในเรื่องของกลิ่นในทุกขั้นตอนการผลิต เช่นในกระบวนการผลิตกาแฟ ‘การคั่ว’ เป็นกระบวนการสำคัญที่สุดซึ่งกลิ่นรสสุดท้ายของกาแฟจะขึ้นอยู่กับวิธีการคั่ว ตลอดจนถึงสภาวะที่ใช้คั่ว อีกทั้งยังมีขั้นตอนของการแยกสารที่ให้กลิ่นหอมเพื่อเป็นการถนอมกลิ่นไม่ให้สูญเสียไประหว่างการผลิต และพอหลังจากเมล็ดกาแฟผ่านการระเหยน้ำเพื่อสกัดความชื้นเรียบร้อยแล้วจึงทำการฉีดสารที่ให้กลิ่นหอมเข้ามา จนไปถึงกระบวนการบรรจุภัณฑ์ ซึ่งจะให้ความสำคัญกับเรื่องกลิ่นของเมล็ดกาแฟเป็นอย่างมาก การตรวจวัดคุณภาพกลิ่นของกาแฟ ในปัจจุบันยังคงใช้ผู้เชี่ยวชาญเป็นหลัก ซึ่งผลการตรวจวัดกลิ่นนั้นมาจากความรู้สึก และประสาทสัมผัสของผู้ตรวจวัดที่ใช้คัดแยกระหว่างกลิ่นของกาแฟธรรมชาติกับกลิ่นของสิ่งแปลกปลอมอื่น โดยการตรวจวัดดังกล่าวนั้นย่อมเกิดความไม่แน่นอนของข้อมูลได้ง่ายเพราะผู้ตรวจวัดแต่ละบุคคลย่อมมีมาตรฐานที่ไม่เหมือนกัน อีกทั้งยังส่งผลให้การกำหนดมาตรฐานกาแฟ ไม่มีความชัดเจนอีกด้วย โดยเมื่อประเทศไทยต้องเปิดประเทศเพื่อทำการค้าเสรี การตรวจวัดที่ไม่มีมาตรฐานที่แน่นอน ย่อมส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจกาแฟ ของไทยลดลง ทางภาควิชาฟิสิกส์และศูนย์นาโนเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้พัฒนาจมูกอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Nose) ขึ้นมา โดยหวังจะให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถยกระดับมาตรฐาน และยกระดับอุตสาหกรรมกาแฟได้ในอนาคต อีกทั้งยังสอดคล้องกับแนวทางนโยบายของรัฐที่จะยกระดับคุณภาพ และประสิทธิภาพการผลิตอุตสาหกรรมกาแฟในประเทศเพื่อแข่งขันกับตลาดโลกอีกด้วย โดยจมูกอิเล็กทรอนิกส์ที่พัฒนาขึ้นนี้ จะเลียนแบบการดมกลิ่นของมนุษย์ แต่มีข้อดีกว่าตรงที่มันสามารถจดจำกลิ่นในรูปของข้อมูลดิจิตอล และสามารถนำข้อมูลกลิ่นมาเปรียบเทียบและแสดงผลในรูปของกราฟ หรือ การแสดงผลที่เข้าใจง่าย ทำให้คนที่ทำงานเพื่อควบคุมหรือพัฒนากลิ่นกาแฟ สามารถที่จะทำงานได้อย่างมีมาตรฐาน
วันหลังมาคุยเรื่องนี้กันต่อนะครับ
24 กุมภาพันธ์ 2556
ฤาจะสูญสิ้น กลิ่นกาแฟไทย (ตอนที่ 1) - The End of Thai Coffee
เกือบทุกครั้งที่ผมเดินทางไปทำงานภาคสนามหรือไปตระเวณไหว้พระตามต่างจังหวัด สิ่งที่นักเดินทางอย่างพวกเรา มักจะขาดไม่ได้ก็คือ กาแฟอเมซอน โดยเฉพาะเมนูอเมซอนปั่น ผมถือว่าเป็นกาแฟปั่นที่อร่อยที่สุดในโลก ด้วยสูตรปั่นเข้มข้นหวานมันที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ทำให้คนที่กินกาแฟแล้วใจสั่นอย่างผม ไม่อาจจะอดใจไหว ยอมใจสั่นทุกครั้งที่เข้าปั๊ม ปตท. แต่ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา รสชาติอเมซอนปั่นสุดโปรดของผมเริ่มเพี้ยนๆ ไป ถึงแม้จมูกของผมจะไม่ใช่ขนาด supersentitive แบบนักชิมไวน์มืออาชีพก็ตาม แต่ประสบการณ์เรื่องกลิ่นที่เกิดจากการทำวิจัยทางด้านนี้ของผมมาหลายปี ก็ทำให้ผมรู้สึกได้ว่ามันเริ่มมีอะไรทะแม่ง ๆ แล้วหล่ะ ผมได้ตระเวณชิมกาแฟอเมซอนปั่นหลายๆ ปั๊ม จากภาคกลางไปภาคเหนือ ก็ยิ่งทำให้เกิดความมั่นใจว่ารสชาติอมเซอนปั่นได้ผิดเพี้ยนไปจากเดิมอย่างมาก จากเดิมที่เคยหอมหวานมันอร่อย กลายเป็นเหลือแต่ หวานมัน แต่ความหอมอร่อยนั้นรู้สึกจะจืดจางไป สิ่งที่ผมได้ยินมาก็คือ กาแฟไทยเริ่มขาดตลาดเนื่องจากปริมาณผลผลิตที่ลดลง ผู้ประกอบการไทยจึงเริ่มนำเข้ากาแฟจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีราคาถูกกว่า แต่ก็มีคุณภาพที่ต่ำกว่ากาแฟไทยด้วย ดูเหมือนว่าปัญหานี้จะยิ่งวิกฤตในอนาคต เพราะกาแฟไทยจะมีผลผลิตต่ำลงเรื่อยๆ แต่การบริโภคของคนไทยนั้นกลับเพิ่มทุกปี ทำให้กาแฟ AEC เข้ามาตีตลาดจนทำให้คนไทยได้รับกลิ่นกาแฟไทยน้อยลงเรื่อยๆ น่าเสียดายมากครับ
กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ทรงเสน่ห์ที่สุดในโลก ชาวตะวันตกทั้งยุโรปและอเมริกาเป็นกลุ่มประชากรที่บริโภคกาแฟมากที่สุดในโลก แต่พวกเขากลับปลูกมันไม่ได้ เพราะว่ากาแฟปลูกได้เฉพาะในพื้นที่เขตทรอปิกส์หรือเขตร้อนเท่านั้นครับ แม้ว่าบางสายพันธุ์จะชอบอากาศเย็นก็ตาม แล้วพวกเราเป็นเผ่าพันธุ์ที่ปลูกกาแฟได้ จะไปซื้อกาแฟจากยุโรปมากินทำไมหล่ะครับ จะว่าไปคนยุโรปก็เพิ่งจะรู้จักกาแฟหลังจากที่ชาวมุสลิมนำไปให้ลองชิม วัฒนธรรมไฮโซหลายๆ อย่างนั้น ในครั้งอดีตกาลก็ไม่ได้เจริญในยุโรปนะครับ ในยุคที่ชาวเยอรมันยังอาศัยอยู่บนต้นไม้หน่ะ ชาวอาหรับมีมหาวิทยาลัยกันแล้วด้วยซ้ำ ท่านผู้อ่านทราบหรือไม่ว่า ร้านกาแฟแบบ Starbuck หรือ True Coffee เนี่ยมันมีมาตั้งแต่ ค.ศ. 1473 หรือ พ.ศ. 2016 ก่อนที่ไทยเราจะเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1 เสียอีก โดยร้านนี้เปิดในนครอิสตันบูล เมืองหลวงของประเทศตุรกีในปัจจุบัน โดยผู้คนที่มานั่งที่ร้านนี้ เขาจะมาสรวลเสเฮหากัน ดื่มไปคุยไป ถึงแม้ในสมัยนั้นจะไม่มี Wi-Fi แต่การแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร กันก็เกิดขึ้นในร้านแบบนี้ นอกจากร้านกาแฟแล้ว อาณาจักรออตโตมัน หรือ ตุรกีในปัจจุบันยังเป็นต้นกำเนิดของ Social Networks หลายๆ เรื่องเลยครับ ไม่ว่าจะเป็น การสร้างรีสอร์ทริมทะเล สปา สวนสาธารณะ ถนนคนเดิน ร้านโชว์ห่วย หรือแม้แต่ตลาดกลางทางด้านการเกษตร (อ.ต.ก.)
จากข้อมูลในปี 2009 ประชากรโลกดื่มกาแฟกันวันละ 2 พันล้านกว่าถ้วย โดยมีวิสาหกิจที่ทำมาหาเลี้ยงชีพอันเกี่ยวข้องกับกาแฟอยู่ 25 ล้านแห่ง เฉพาะในประเทศบราซิลที่เดียว มีแรงงานที่เกี่ยวข้องกับการเก็บเกี่ยวกาแฟ 5 ล้านคน ซึ่งต้องดูแลต้นกาแฟที่มีมากถึง 3 พันล้านต้น ทั้งนี้การเพาะปลูกกาแฟต่างจากพืชอย่าง อ้อย หรือ มันสำปะหลัง ที่ยังต้องใช้แรงงานในการเก็บเกี่ยว และดูแลอย่างสม่ำเสมอ ยังไม่สามารถใช้เครื่องจักรกลมาทดแทนแรงงานมนุษย์ และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กาแฟไทยมีพื้นที่เพาะปลูกลดน้อยถอยลงทุกๆ ปี ผลผลิตโดยรวมของกาแฟทั่วทั้งโลกมีจำนวน 7.8 ล้านตัน (ข้อมูล 2009) โดยมีบราซิลผลิตมากที่สุดคือ 2.44 ล้านตัน เวียดนาม 1.18 ล้านตัน โคลัมเบีย 0.89 ล้านตัน อินโดนีเซีย 0.70 ล้านตัน อินเดีย 0.29 ล้านตัน สำหรับประเทศไทยเองเราเคยปลูกกาแฟได้เป็นอันดับ 3 ของอาเซียนรองจากเวียดนาม และอินโดนีเซีย อีกทั้งยังเคยเป็นประเทศส่งออกสำคัญในอาเซียน แต่ด้วยความต้องการบริโภคของคนไทยที่เพิ่มขึ้นในช่วงหลัง และ พื้นที่เพาะปลูกกาแฟไทยลดลง ทำให้เรากลายเป็นประเทศนำเข้าเมล็ดกาแฟ
แล้วค่อยคุยกันต่อในตอนต่อไปนะครับผม
21 กันยายน 2555
Monsoon and the Future of Thailand - มรสุมกับอนาคตของไทย (ตอนที่ 2)
ช่วงนี้คนไทยส่วนใหญ่อาจจะรู้สึกเป็นทุกข์และกังวลใจ กับสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน ที่ประเทศของเราประสบอยู่ ก่อนหน้านี้เพียงเดือนกว่าๆ ประเทศของเราประสบกับภาวะฝนแล้ง น้ำในเขื่อนใหญ่ๆ มีปริมาณน้ำในระดับที่ต่ำจนอาจไม่มีใช้ในช่วงหน้าแล้ง ทว่าหลังจากนั้นสัปดาห์เดียว ประเทศไทยต้องประสบภาวะอุทกภัยเป็นลูกโซ่ ไล่มาจากจังหวัดทางภาคเหนือ ลงมาเรื่อยๆ จนตอนนี้คนกรุงเทพฯ จำนวนมากนอนกันไม่หลับเลย กับภาวะที่ว่าไม่รู้จะต้องขนของหนีน้ำกันอีกไหม
ไม่ใช่แค่คนไทยเท่านั้นหรอกครับที่วิถีชีวิตกำลังตกอยู่ภายใต้ความไม่แน่นอนของสภาวะอากาศ เพราะจริงๆ แล้วเราเป็นส่วนหนึ่งของคนประมาณ 2,000 ล้านกว่าคน ที่ต้องใช้ชีวิตภายใต้อิทธิพลของระบบมรสุมเอเชียใต้ ซึ่งเป็นระบบอากาศที่มีความซับซ้อนมากที่สุดในโลก และครอบคลุมวิถีชีวิตของมนุษย์มากที่สุดในโลก ความเข้าใจในระบบมรสุม จะทำให้เราใช้ชีวิตที่รับมือกับความแปรปรวนได้มากขึ้น
อย่าว่าแต่คนธรรมดาเลยครับที่สับสนกับความแปรปรวนของมรสุม นักวิทยาศาสตร์ก็กำลังปวดหัวยิ่งกว่าอีกครับ เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีการรายงานวิจัยที่เกี่ยวกับสภาวะโลกร้อนจะส่งผลกระทบอย่างไรกับระบบมรสุมของเรา ในวารสาร Nature Climate Change ซึ่งทำการทบทวนบทความวิจัยอื่นๆ อีกประมาณ 100 รายการ ที่เกี่ยวกับผลกระทบของภาวะโลกร้อนต่อระบบมรสุม โมเดลส่วนใหญ่ให้ผลการศึกษาออกมาว่า ภาวะโลกร้อนจะทำให้ระบบมรสุมมีความเข้มข้นขึ้น นั่นคือฝนจะตกมากขึ้นในเอเชียใต้ ซึ่งรวมประเทศไทยด้วย แต่ข้อมูลที่ผ่านมาตลอด 60 ปีกลับพบว่าจำนวนฝนตกในประเทศอินเดียกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่ตลอดเวลา 60 ปีที่ผ่าน โลกเราได้ร้อนขึ้นไป 0.5 องศาเซลเซียสแล้ว
ก่อนหน้านี้ในปี พ.ศ. 2553 ประเทศไทยได้พบกับภาวะฝนแล้งในช่วงฤดูเพาะปลูก ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาคการเกษตรเป็นมูลค่ากว่า 13,000 ล้านบาท แต่ถัดมาอีก 1 ปี ในปี พ.ศ. 2554 เรากลับต้องประสบกับอุทกภัยครั้งใหญ่ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจทั้งประเทศเป็นมูลค่าสูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท มาคราวนี้ในปี ค.ศ. 2012 ประเทศไทยต้องประสบกับภาวะฝนแล้ง และ อุทกภัย ในปีเดียวกัน แถมห่างกันไม่ถึงเดือน
นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า ภาวะโลกร้อนน่าจะช่วยทำให้มรสุมมีความเข้มข้นมากกว่าที่จะทำให้มันอ่อนแรงลง นั่นคือ ปริมาณน้ำฝนในย่านนี้ควรจะสูงขึ้นโดยเฉลี่ย เพราะการที่อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 1 องศา เท่ากับจะมีปริมาณไอน้ำในอากาศที่เพิ่มขึ้น 7 เปอร์เซ็นต์ มีการประมาณกันว่าประมาณปี ค.ศ. 2050 โลกเราจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นประมาณ 2 องศา ซึ่งจะทำให้ฝนจะตกมากกว่าเดิมโดยเฉลี่ย 8-10 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม จำนวนวันที่ฝนตกในช่วงฤดูฝน (มิถุนายน - กันยายน) กลับจะลดลง เช่นในอินเดีย จะมีจำนวนวันที่ฝนตกประมาณ 60 วัน แต่ในอนาคตจะเหลือเพียง 40-50 วันเท่านั้น .... หมายความว่าอย่างไรครับ ... ก็หมายความว่า วันไหนที่ฝนตก ฝนจะตกหนักกว่าปกติ ซึ่งทำให้เรามีโอกาสเจอทั้งภัยแล้ง และ น้ำท่วม สลับกันง่ายขึ้น
น่าปวดหัวมั้ยครับ วันที่ฝนตกจะน้อยลง แต่ฝนจะตกหนักขึ้น ... แค่นี้ยังไม่พอนะครับ บริเวณที่ฝนตกชุกก็จะเปลี่ยนที่ด้วย หมายความว่าที่ๆ แต่ก่อนไม่ค่อยมีฝน หรือ ฝนแล้ง ต่อไปอาจจะกลายเป็นพื้นที่สีเขียว เช่น นักวิทยาศาสตร์พบว่า ฝนเริ่มตกมากขึ้นในมองโกเลีย ทั้งๆ ที่ประเทศนี้มีทะเลทรายเป็นบริเวณกว้าง แต่ในอนาคต มองโกเลีย อาจจะกลายมาเป็นประเทศเกษตรที่ผลิตอาหารได้เอง ในขณะที่ประเทศที่เคยมีฝนตกชุกอย่างเช่น อินเดีย ฝนกลับจะตกน้อยลง ทำให้การผลิตอาหารไม่เพียงพอในอนาคต ในประเทศไทยเองก็จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้แน่นอนครับ ดังนั้น พวกเราควรจะเตรียมตัวเตรียมใจ ยอมรับที่จะปรับตัวและอยู่ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงนี้หล่ะครับ
16 กันยายน 2555
Monsoon and the Future of Thailand - มรสุมกับอนาคตของไทย (ตอนที่ 1)
(Picture from http://captainkimo.com)
ผมคิดว่าช่วงนี้คนไทยคงจะรู้สึกสับสนเกี่ยวกับดิน ฟ้า อากาศ กันไม่น้อย ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่สัปดาห์ในเดือนสิงหาคม มีการปลุกกระแสขึ้นมาโจมตีรัฐบาลว่า "รัฐบาลประสบปัญหาเรื่องการจัดการน้ำ ไปปล่อยน้ำในเขื่อนออกหมดจนทำให้อาจไม่มีน้ำใช้ในหน้าแล้งปีหน้า รัฐบาลไม่รู้เหรอว่าปีนี้มันแล้ง" ซึ่งในภายหลังคุณปลอดประสพก็ได้ออกมาต่อว่าสื่อมวลชนว่า ฤดูฝนมันยังไม่หมดเลย จะมาบ่นอะไรตอนนี้ว่าแล้ง ให้ฤดูฝนหมดไปก่อนแล้วค่อยมาพูด .... และก็เหมือนคุณปลอดประสพจะสั่งฟ้าฝนได้ เพราะหลังจากนั้นไม่ถึงสัปดาห์ ฝนก็ตกอย่างหนักในภาคเหนือ จนกระทั่งน้ำท่วมหนักที่สุโขทัย ส่วนคนกรุงเทพฯ ก็เริ่มเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัดว่าน้ำกำลังจะท่วมภาคกลางและกรุงเทพฯ อีกครั้ง ทั้งๆ ที่น้ำในเขื่อนหลักๆ ที่มีผลต่อการควบคุมจัดการน้ำสำหรับที่ราบลุ่มภาคกลางนั้น ยังมีระดับน้ำเพียง 50-60% เท่านั้น
ความสับสนของคนไทยนี้เกิดขึ้น เพราะพวกเรามีความรู้น้อยมากเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า "มรสุม" ทั้งๆ ที่พวกเราอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มันเป็นเจ้าของ มรสุมเป็นระบบภูมิอากาศที่มีความซับซ้อนมาก แต่เป็นเรื่องที่ยังศึกษาและมีความเข้าใจน้อยมากอีกด้วย ทำให้นาซ่าเกิดความสนใจที่จะเข้ามาสำรวจและเก็บข้อมูลในบริเวณนี้ ภาวะโลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้นนี้เชื่อว่าจะทำให้ระบบมรสุมมีความซับซ้อนและเข้าใจยากขึ้นไปอีก ... ดังนั้น หากพวกเรายังไม่พยายามที่จะค้นคว้าศึกษาเรื่องมรสุม พวกเราก็จะทุกข์กับมันไปอีกนานเลยครับ
ในช่วงที่สื่อมวลชนและคนไทยกำลังด่าคุณปลอดประสพ เรื่องฝนแล้งอยู่นั้น คนไทยส่วนใหญ่คงไม่รู้ว่าข้ามไปในฝั่งพม่านั้นมีน้ำท่วมใหญ่ ทำลายพื้นที่การเกษตรหลายแสนไร่ ผู้คนต้องอพยพออกนอกพื้นที่หลายหมื่นคน แหล่งข่าวบางแหล่งบอกว่ามากถึง 85,000 คน แต่ในประเทศไทยบอกว่าฝนแล้ง ทำไมเป็นอย่างนั้นหล่ะครับ มันเกิดขึ้นได้อย่างไรที่เมืองไทยฝนแล้ง แต่ที่พม่าน้ำท่วม .... แต่ที่ทำให้สงสัยขึ้นไปอีกก็คือ เพียงแค่ 2 สัปดาห์ต่อมา พื้นที่ที่เราบอกว่าฝนแล้งไม่มีน้ำใช้ ได้กลายมาเป็นพื้นที่อุทกภัย เมื่อก่อนฝนแล้งกับน้ำท่วมจะเกิดคนละปี แต่เดี๋ยวนี้ฝนแล้งกับน้ำท่วมสามารถเกิดได้ในปีเดียวกัน แถมห่างกันแค่ 2 อาทิตย์ !!!
จริงๆ ก็ไม่ใช่แค่คนไทยหรอกครับที่ งง ... ในปีนี้ประเทศอินเดียประสบปัญหาฝนแล้งถึงกับไม่มีน้ำมาปั่นไฟฟ้าใช้ จนเกิดไฟฟ้าดับในอินเดียลามไปถึง 22 รัฐ มีคนได้รับผลกระทบจากไฟฟ้าดับถึง 620 ล้านคน คิดเป็นจำนวนประชากร 9% ของทั้งโลกเลยครับ ภาวะฝนแล้งนี้ยังอาจทำให้ข้าวปลา อาหาร ในอินเดียมีราคาสูงขึ้นในหน้าแล้งปีหน้า ซึ่งอาจจะลามไปทั้งโลกด้วยก็ได้ เชื่อไหมล่ะครับว่า อินเดียเจอกับฝนแล้งสลับไป สลับมา ในปีนี้แบบตั้งตัวตั้งใจแทบจะไม่ทันเลย คือเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนก็เกิดน้ำท่วม แล้วก็แล้ง แล้วก็มาท่วมในเดือนสิงหาคมอีก เมื่อวันสองวันที่ผ่านมาก็มีน้ำท่วมทางตอนเหนือ ในบริเวณที่ก่อนหน้านี้แล้งมากๆ
ระบบมรสุมที่ประเทศไทยอยู่ภายใต้อิทธิพลของเค้านี้มีอยู่ 2 ชนิดครับ คือ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ (ระหว่างเดือนพฤษภาคม ถึง กันยายน) และ มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ (ระหว่างเดือน ตุลาคม ถึง กุมภาพันธ์) ประเทศไทยเรานี้ถือว่าเป็นไข่ในหิน เพราะดินแดนภาคกลางและภาคเหนือของเราถูกปกป้องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้โดยประเทศพม่า ทำให้ในขณะที่พม่าน้ำท่วมเละตุ้มเป๊ะ แต่ของเรายังท่วมแบบเอาอยู่ ส่วนทางด้านตะวันออก เรามีเวียดนาม ลาว เขมร คอยปกป้องทำให้พายุที่เข้ามาจากแปซิฟิกลดความรุนแรงลง ประเทศไทยจึงเป็นประเทศที่มีน้ำในระดับพอดี ไม่มากเกินไป เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน นี่คือสิ่งที่เป็นความได้เปรียบของประเทศไทย ที่ทำให้การเกษตรของเราน่าจะเป็นผู้นำของอาเซียน
อย่างไรก็ตาม ระบบมรสุม ที่เป็นทั้งผู้ให้คุณและให้โทษนี้ กำลังได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนและกำลังเปลี่ยนพฤติกรรมไป อนาคตของประเทศไทยและพวกเราคนไทย ก็ขึ้นอยู่กับว่า เรามีความรู้ความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้แค่ไหน และเราจะจัดการกับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้หรือไม่ .....
04 กันยายน 2555
The Future of City - อนาคตของเมืองใหญ่ (ตอนที่ 4)
เมื่อก่อน เรามักคิดว่าเมืองจีนเป็นประเทศที่มีมลภาวะสูง และมีการใช้พลังงานที่ไร้ประสิทธิภาพ แต่วันนี้ความคิดนี้ล้าสมัยแล้วครับ แถมกลับกันด้วย ตอนนี้ประเทศไทยกลับกลายมาเป็นประเทศที่สิ่งแวดล้อมนับวันจะแย่กว่าเมืองจีน แถมคนไทยก็กลายเป็นประชากรที่มีการใช้พลังงานด้อยประสิทธิภาพเกือบจะที่สุดในโลก
ปัจจุบัน ประเทศจีนมีประชากร 1,300 ล้านคน มากกว่าครึ่งคือประมาณ 690 ล้านคนอาศัยอยู่ในเมือง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจีนได้สลัดทิ้งสังคม ชนบทไปเรียบร้อยแล้ว (ค่าเฉลี่ยของทั้งโลกคือ 50%) ก่อนหน้านี้คือในปี ค.ศ. 1980 ประเทศจีนมีประชากรอาศัยในเมืองเพียง 20% เท่านั้น แต่ในอีก 18 ปีข้างหน้าคือ ค.ศ. 2030 ประมาณกันว่า จีนจะมีประชากรเมืองมากถึง 75% ซึ่งเป็นปัญหาท้าทายนักวางผังเมืองของจีนเป็นอย่างมาก เมืองกว่า 650 เมืองในประเทศจีนกำลังสาละวนอยู่กับการก่อสร้าง เพื่อรองรับประชากรที่เคลื่อนย้ายจากชนบทมาสู่เมือง การเติบโตในแนวดิ่งของประเทศนี้จึงมีอัตราสูงที่สุดในโลก
รัฐบาลจีนกำลังให้ความสนใจกับแนวคิดในการสร้างเมืองใหม่ เป็นเมืองสะอาด มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน มีคุณภาพชีวิตที่ดี ที่เรียกว่า Ecocities คนไทยเอามาแปลเป็น เมืองสีเขียว เมืองนิเวศน์ เมืองเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เมืองปลอดมลพิษ ซึ่งสำหรับผมยังไม่ค่อยถูกใจกับคำแปลเท่าไหร่ครับ ดังนั้นผมขอให้ทับศัพท์ เหมือนกับที่คนไทยเราเรียก Eco car ว่า อีโค่คาร์ นะครับ โดยโครงการแรกๆ ที่จีนจะสร้างนั้นมีชื่อว่า Tianjin Eco-city ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลจีน กับ สิงคโปร์ ตั้งเป้าว่าในปี ค.ศ. 2020 จะสามารถรองรับประชากรได้ 350,000 คน
คนจีนชอบทำสิ่งท้าทาย แทนที่รัฐบาลจีนจะสร้าง Tianjin Eco-city บนผืนดินสะอาดที่มีความสวยงามตามธรรมชาติ แต่กลับไปเลือกที่ดินที่เกิดจากการถมขยะ สกปรกและถูกทอดทิ้ง โดยสิ่งแวดล้อมบริเวณนั้นถูกทำลายจนมนุษย์ไม่อาจอาศัยได้ นำมาสร้างเมืองที่สะอาดที่สุดในโลก ซึ่งเป็นความตั้งใจที่จะแสดงให้โลกเห็นว่าคนจีนทำได้ ซึ่งแน่นอนในอนาคต เทคโนโลยีนี้สามารถนำไปปรับปรุงที่ดินที่เสียแล้ว ที่ไหนก็ได้ในโลก
โครงการนี้ต้องใช้เวลาถึง 3 ปีในการทำความสะอาดที่ดิน เปลี่ยนที่ดินจากที่ถมขยะ เป็นทะเลสาบใสสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภค โดยการใช้เทคโนโลยีสุดล้ำ เมือง Tianjin Eco-city จะใช้พลังงานสะอาดทั้งจากเซลล์สุริยะ กังหันลม และเทอร์โมอิเล็กทริค (ระบบกำเนิดไฟฟ้าจากความร้อน) ประมาณ 20% เมืองนี้จะเป็นเมืองที่เรียกว่า Smart City จริงๆ เพราะมีการติดตั้งเซ็นเซอร์ไว้ทั่วเมือง ไฟฟ้าในเมืองหลายๆ จุดจะปิดเมื่อไม่มีผู้คน และจะเปิดเองเมื่อมีเสียงคนเดิน หน้าต่างของอาคารจะเปิดปิดม่านแสงเอง เพื่อควบคุมปริมาณแสงและอุณหภูมิในอาคาร มีระบบเก็บขยะอัตโนมัติ ที่ผมชอบมากๆ คือ เมืองนี้จะมีการใช้รถยนต์ไร้คนขับ โดยรถยนต์จะสื่อสารกันเป็นเครือข่ายและวิ่งจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง อย่างอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้ประชากรของเมืองไม่จำเป็นต้องขับรถเอง ช่วยลดปัญหาจราจรและอุบัติเหตุ
เมืองนี้น่าอยู่จริงๆ ครับ มีทางขี่จักรยาน และสวนธารณะทั่วเมือง ย่านดาวน์ทาวน์ของเมือง สามารถไปด้วยรถรางหรือขี่จักรยานอย่างสะดวกสบาย เมืองนี้จะดึงดูดอุตสาหกรรมสีเขียว บริษัทเทคโนโลยีต่างๆ ที่ทำงานด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industries) ตอนนี้มีบริษัททยอยเข้าไปอยู่แล้ว 600 บริษัท เมื่อเทียบกับเมือง Ecocities อื่นๆ ที่กำลังสร้างกันทั่วโลก เมือง Tianjin Ecocity นี้ถือว่าทำทีหลังแต่ดังกว่า เพราะระหว่างก่อสร้างก็มีคนทยอยเข้าไปอยู่แล้ว เพื่อไม่ให้เมืองนี้เป็นบ้านที่ 2 ของคนรวยในปักกิ่ง เมืองนี้จึงมีการสำรองพื้นที่ 20% ให้คนจนอยู่ได้ แนวคิดของเมืองนี้คือ การเป็นเมืองสีเขียวต้องไม่ใช่สิ่งหรูหรา แต่เป็นสิ่งที่แสวงหาได้
27 กรกฎาคม 2555
The Future of City - อนาคตของเมืองใหญ่ (ตอนที่ 3)
(Picture from http://www.freakingnews.com/)
ทศวรรษนี้ เรื่องของการทำให้สิ่งของและสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัว มีความฉลาด รู้จักคิด และอาจะเลยไปถึงการสัมผัสอารมณ์ ความรู้สึก และแลกเปลี่ยนเชิงอารมณ์กับมนุษยได้ น่าจะเป็นกระแสที่มาแรงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบ้านอัจฉริยะ (smart home) รถอัจฉริยะ (smart/intelligent vehicle) ฟาร์มอัจฉริยะ (smart farm) อาคารอัจฉริยะ (smart building) ทางหลวงอัจฉริยะ (smart highway) ระบบพลังงานอัจฉริยะ (smart grid) ไปจนถึงเมืองทั้งเมือง เป็นเมืองอัจฉริยะ (smart city)
เมืองใหญ่ๆ ทั่วโลก ล้วนใฝ่ฝันที่จะเป็นเมืองน่าอยู่ มีสภาพแวดล้อมที่น่ารื่นรมย์ ประชากรมีสุขภาพและสวัสดิภาพที่ดี สิ่งแวดล้อมในเมืองมีคุณภาพ การใช้พลังงานมีประสิทธิภาพ การขนส่งและการจราจรมีความสะดวกสบาย อาชีพการงานมีความมั่นคง มีความบันเทิงเริงใจ มีระบบการศึกษาที่ตอบสนองต่อความต้องการของทุกชนชั้น การเมืองมีความโปร่งใส มีการเอาใจใส่ในเรื่องผังเมือง เมืองมีอัตลักษณ์ มีเสน่ห์ มีการดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมและประเพณี และอื่นๆ อีกมากมาย เมืองอัจฉริยะอย่างแท้จริง ต้องสามารถทำให้ปัจจัยที่กล่าวมาส่วนใหญ่เป็นจริงได้ ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ผนวกกับการจัดการขั้นเทพ และความตั้งใจของภาคส่วนต่างๆ ที่ประกอบกันเป็นเมือง เราสามารถที่จะสร้างเมืองอัจฉริยะขึ้นที่ใดก็ได้บนโลกใบนี้ครับ
ตัวอย่างหนึ่งที่กำลังเป็นที่กล่าวขานกันมากในช่วง 2-3 ปีมานี้ และเป็นตัวอย่างที่เมืองใหญ่ทั่วโลกกำลังจับตามองก็คือ โครงการ Amsterdam Smart City ซึ่งเป็นความร่วมมือร่วมใจของภาครัฐและเอกชน ที่จะผลักดันให้เกิดนวัตกรรมใหม่สำหรับใช้ในเมืองใหญ่ โดยโครงการนี้มีจุดเน้นที่การประหยัดพลังงาน และใช้พลังงานในเมืองให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อเป็นการลดการปล่อยคาร์บอนเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ โครงการ Amsterdam Smart City นี้ประกอบด้วยโครงการย่อยๆ มากมาย ที่นำมาทดลองใช้พร้อมๆ กัน เป็นการทดลองนวัตกรรมต่างๆ ในพื้นที่จริง ซึ่งฉลาดมาก เพราะเป็นการทำการวิจัยโดยใช้เมืองทั้งเมืองเป็นห้องทดลอง
ผมขอยกตัวอย่างโครงการย่อยต่างๆ ที่มีการทดลองในเมืองอัมสเตอร์ดัมกันนะครับ ซึ่งโครงการย่อยต่างๆ เหล่านี้ เมื่อรวมกัน ก็จะทำให้เมืองนี้กลายเป็นเมืองอัจฉริยะ
- ติดตั้งระบบประหยัดพลังงานไฟฟ้าในบ้านหลายพันหลัง เพื่อช่วยลดการใช้กระแสไฟฟ้า ระบบสมาร์ทมิเตอร์ ที่ทำให้การเก็บข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้า และนำไปสู่การประหยัดพลังงาน
- การปล่อยเงินกู้ปลอดดอกเบี้ย เพื่อการปรับปรุงอาคารให้มีการลดการใช้พลังงาน เช่น การเปลี่ยนฉนวนความร้อนให้เป็นฉนวนความร้อนแบบใหม่ที่ดีกว่าเดิม การเปลี่ยนหลอดไฟทั้งหมดให้เป็นหลอดประหยัดพลังงาน
- โครงการ Climate Street ในย่านช็อปปิ้งหลักในเมืองอัมสเตอร์ดัม มีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ มีการใช้สมาร์มิเตอร์เพื่อติดตามการใช้พลังงานในย่านนี้ เปลี่ยนหลอดไฟทั้งหมดไปใช้หลอดไฟประหยัด เพิ่มประสิทธิภาพการทำความเย็น การทำความร้อนในห้างสรรพสินค้า และร้านค้าตลอดแนว ถังขยะอัจฉริยะที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงมีการนำรถขยะพลังงานไฟฟ้ามาใช้เก็บขยะในย่านนี้
- ทยอยติดตั้งสถานีชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่จะเริ่มมีการใช้งานมากขึ้นในอนาคต โดยสถานีชาร์จไฟเหล่านี้เชื่อมต่อเข้ากับระบบอินเตอร์เน็ต รถยนต์สามารถที่จะหาสถานีชาร์จที่ใกล้ที่สุดเพื่อเติมไฟ รวมทั้งสถานภาพการใช้งาน เช่น มีที่จอดชาร์จว่างอยู่หรือไม่
- จัดทำระบบรับซื้อพลังงานจากอาคารบ้านเรือนที่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ และ กังหันลมผลิตไฟฟ้า นำเข้าสู่ระบบจำหน่าย
- อาคารของรัฐบาลมีการติดตั้งระบบตรวจวัดการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์ และ ออนไลน์ เพื่อบอกให้ผู้ที่ทำงานอยู่ทราบตลอดเวลาว่ามีการใช้พลังงานอยู่เท่าไหร่ ทำให้เกิดความตระหนักในการลดการใช้พลังงานให้มากที่สุด เท่าที่ทำได้
- พัฒนาเทคโนโลยีอาคารอัจฉริยะ (Smart Building) เมืองใดก็ตามมีอาคารแบบนี้เยอะๆ เมืองนั้นก็มีสิทธิ์เป็น Smart City ได้ง่ายขึ้นครับ โดยในอาคารเหล่านี้จะมีการติดตั้ง Smart Meter, Smart Plug, Smart Lighting
- การทดลองผลิตไฟฟ้าใช้เองในอาคาร โดยการใช้เซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) เป็นการลดการใช้ไฟฟ้าจากระบบส่งของการไฟฟ้า
- การทดลองใช้เรือพลังงานไฟฟ้า โดยจัดทำสถานีชาร์จไฟฟ้าสำหรับเรือจำนวน 200 แห่งตลอดชายฝั่งของแม่น้ำ เพื่อให้เรือขนส่งหันมาใช้ไฟฟ้าทดแทนน้ำมันดีเซล ซึ่งก็ช่วยทำให้อากาศในเมืองอัมสเตอร์ดัมสะอาดขึ้น
- Vertical Farming คือการทดลองปลูกพืชผักสำหรับบริโภคในเมือง โดยในอนาคตอาจจะทดแทนพืชผักที่ต้องขนส่งมาจากชนบทได้ เป็นการทำให้เมืองอยู่ได้ด้วยตนเอง และไม่ต้องพึ่งพาภาคเกษตรในชนบทอีกต่อไป
- โรงเรียนอัจฉริยะ (Smart School) เป็นโครงการที่ส่งเสริมให้โรงเรียนต่างๆ ในอัมสเตอร์ดัมแข่งกันลดการใช้พลังงาน โดยครูและนักเรียนจะช่วยกันออกความคิด และพัฒนานวัตกรรมในการใช้พลังงานในโรงเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ
ถามว่าสิ่งที่อัมสเตอร์ดัมทำอยู่ กรุงเทพฯ จะทำบ้างได้มั้ย ผมคิดว่า คนไทยทำได้ครับ .....
25 กรกฎาคม 2555
Floating Nations - ประเทศลอยน้ำ (ตอนที่ 3)
(ภาพจาก http://www.architectureanddesign.com.au/)
ในสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้ไปออกภาคสนามแถวๆ จ.ชัยภูมิ ทำให้ผมมีโอกาสได้เห็นการก่อสร้างสถานีผลิตไฟฟ้าพลังงานงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) ในพื้นที่แถว จ.เพชรบูรณ์ และ จ.ชัยภูมิ ซึ่งทำให้ผมค่อนข้างปวดใจ เพราะถึงแม้เราจะได้พลังงานไฟฟ้าจาก Solar Farm ซึ่งกินอาณาบริเวณนับพันๆ ไร่ แต่เราก็ต้องสูญเสียที่ดินดีๆ ซึ่งสามารถใช้เพาะปลูกอาหารไปด้วย ปกติการก่อสร้าง Solar Farm ในประเทศที่มีความเจริญ อย่างในประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ ประเทศจีน มักจะทำในพื้นที่ที่ใช้ประโยชน์ที่ดินในการผลิตอาหารไม่ได้แล้ว เช่น ในทะเลทราย ส่วนในประเทศที่มีประชากรหนาแน่น และมีการใช้พื้นที่ค่อนข้างจะเต็มประสิทธิภาพอย่างเยอรมัน เขาก็จะมักจะติดตั้งเซลล์สุริยะบนหลังคาอาคารเป็นหลัก เช่น ติดตั้งในหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านไปเลย ผมไม่ค่อยเห็นการนำพื้นที่ทางการเกษตรไปสร้าง Solar Farm เลยครับ ก็เพิ่งเห็นในประเทศไทยนี่แหล่ะครับ .... ปวดใจจริงๆ .... เท่าที่ทราบมา เห็นว่ายังจะมีการก่อสร้างสถานีไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์นี้อีกหลายแห่งด้วยครับ
ประเทศไทยก็เหมือนหลายๆ ประเทศทั่วโลกหล่ะครับ ที่นับวัน ที่ดินดีๆ ที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูกจะน้อยลงไปเรื่อยๆ ทรัพยากรบนพื้นดินมีแต่จะหายากลงไปเรื่อยๆ ดังนั้น อนาคตอยู่ที่ทะเลและมหาสมุทรครับ ในศตวรรษที่ 21 ประเทศใดที่ไม่มีทางออกทะเล มีแต่จะต้องพึ่งพาประเทศอื่นๆ ส่วนประเทศที่มีทางออกทะเล รวมทั้งประเทศไทย ก็ต้องถามว่า ประเทศนั้นมีศักยภาพในการใช้ทรัพยกรและปกป้องผลประโยชน์ทางทะเลมากแค่ไหน เช่น การมีกองทัพเรือที่เข้มแข็ง มีเทคโนโลยีทางทะเล (Marine Technology) พร้อมแค่ไหน เพราะนอกจากประเทศเหล่านี้จะต้องแข่งขันเพื่อช่วงชิงทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล กับ ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคแล้ว ก็อาจจะต้องเผชิญการแข่งขันกับประเทศเกิดใหม่ ประเทศเล็กๆ ลอยน้ำ (Micronations) ที่พร้อมจะแข่งขันและประสานผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแบบใหม่ของศตวรรษที่ 21
ประเทศลอยน้ำจะเน้นระบบเศรษฐกิจที่ให้ผลตอบแทนสูง ดังนั้น อาชีพของประชากรส่วนใหญ่ของประเทศนี้จะเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ไอที เทคโนโลยีชีวภาพ การออกแบบ อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศลอยน้ำมีที่ตั้งในมหาสมุทร ประเทศเหล่านี้จึงมีความได้เปรียบในอุตสาหกรรมอีกด้านหนึ่ง ซึ่งต่อไปในอนาคต โลกอาจจะต้องพึ่งพาประเทศเหล่านี้เป็นอย่างมาก นั่นคือ การผลิตอาหารทะเล ประเทศลอยน้ำสามารถใช้ความได้เปรียบในการทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์น้ำในทะเลเปิด (Mariculture) ซึ่งกำลังได้รับการพัฒนาให้มีความก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันสามารถผลิตอาหารได้หลายชนิด ทั้ง กุ้ง หอย ปลา สาหร่าย ซึ่งเมื่อมีการจับสัตว์น้ำขึ้นมา ก็สามารถทำกรรมวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะทำเป็นอาหารสด แช่แข็ง หรือแปรรูป สามารถทำในทะเลได้เลย (เนื่องจากเป็นประเทศลอยน้ำอยู่ในทะเลอยู่แล้ว) ลองคิดดูสิครับว่า มูลค่าเศรษฐกิจจะมากขนาดไหน ปัจจุบัน ประชากรโลก 1 พันล้านคนบริโภคปลาเป็นอาหารโปรตีนหลัก มนุษย์บริโภคปลาสดเป็นจำนวนปีละ 120 ล้านตัน และจะมากขึ้นไปอีกเรื่อยๆ แต่จำนวนปลาที่จับได้มีแต่จะน้อยลง ทำให้ราคาของปลาทะเลในปัจจุบันสูงมาก โลกในอนาคตจึงต้องพึ่งพาการเลี้ยงสัตว์น้ำในทะเล เพื่อชดเชยการจับปลาแบบเดิมๆ
พลังงานก็อาจจะเป็นสินค้าอีกอย่างหนึ่ง ที่ประเทศลอยน้ำสามารถส่งออกไปขายยังประเทศที่อยู่บนชายฝั่ง เนื่องจากที่ดินในทะเลค่อนข้างจะฟรีและมีเหลือเฟือ ดังนั้น การสร้างสถานีผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำ (Solar Island) ก็ไม่ต้องปวดใจอีกต่อไป เพราะไม่ต้องไปแย่งพื้นที่เกษตรกรรม ในทะเลไม่ได้มีแต่แสงแดด แต่มีทั้งคลื่น ลม ซึ่งสามารถนำไปผลิตกระแสไฟฟ้าได้ รวมทั้งพลังงานไฟฟ้าผลิตจากการใช้ความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิของน้ำเย็นที่ระดับความลึกหลายร้อยเมตร กับ อุณหภูมิที่ผิวน้ำ (Ocean Thermal Energy Conversion) ซึ่งหากนำเทคโนโลยีอันหลังนี้มาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ประเทศลอยน้ำจะกลายเป็นเศรษฐีทางด้านพลังงานไปในทันทีครับ
03 กรกฎาคม 2555
Floating Nations - ประเทศลอยน้ำ (ตอนที่ 2)
เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัท Blueseed ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกมาประกาศว่า ในราวกลางปี ค.ศ. 2013 บริษัทจะเปิดเมืองลอยน้ำ ห่างจากชายฝั่งเมืองซาน ฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ออกไป 12 ไมล์ทะเล ซึ่งเป็นเขตของน่านน้ำสากล โดยเมืองลอยน้ำนี้ (ซึ่งเริ่มแรกน่าจะดัดแปลงจากเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่) จะรองรับบริษัทต่างๆ ที่ต้องมีการจ้างพนักงานต่างชาติที่ไม่สามารถจะได้วีซ่าเข้าทำงานในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ โดยมากเป็นบริษัทใน Silicon Valley โดยพนักงานต่างชาติเหล่านี้สามารถพำนักได้บนเมืองลอยน้ำนี้ โดยไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี พนักงานสามารถได้รับวีซ่าประเภท B1 เพื่อเข้าสหรัฐฯ ได้ ในลักษณะการเดินทางเพื่อไปพบลูกค้า ประชุม หรือปฏิบัติงานเชิงธุรกิจ หรือไปท่องเที่ยว โดยจะมีเรือเฟอรี่เดินทางระหว่างเมืองลอยน้ำนี้ กับ ชายฝั่งแคลิฟอร์เนีย ทุกวัน เมืองลอยน้ำนี้จะมีการจ้างลูกเรือเข้ามาดูแลวิถีชีวิต และความเป็นอยู่ของประชากร เพื่อให้เมืองพึ่งพาตัวเองได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น ตำรวจ แพทย์-พยาบาล พ่อครัวชั้นยอด ทนาย ช่าง นักดนตรี และอื่นๆ อีกมากมาย
สิ่งที่บริษัท Blueseed กำลังทำอยู่ นับว่าเป็นปฐมบทของแนวโน้มใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นในโลกครับ แนวโน้มที่ว่านี้ก็คือ ประเทศลอยน้ำ (Floating Nations หรือ Floating Countries) ซึ่งเป็นแนวคิดในการสร้างประเทศลอยน้ำได้ขึ้นมาในทะเลหรือมหาสมุทรที่เป็นน่านน้ำสากล ประเทศขนาดจิ๋ว (Micronation) แบบนี้สามารถกำหนดกฎหมายของตัวเองได้ สามารถที่จะคัดเลือกประชากรของประเทศตัวเองได้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกคนที่มีอันจะกิน กับ คนฉลาดๆ ที่สามารถจะเข้ามาพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศตัวเองได้ ในอนาคตเราจะเริ่มเห็นเมืองหรือประเทศลอยน้ำแบบ Blueseed นี้ลอยเป็นดอกเห็ด ตามชายฝั่งประเทศต่างๆ ทั่วโลก
แน่นอนว่า ถึงแม้ประเทศลอยน้ำนี้จะลอยไปอยู่ที่ไหนในโลกก็ได้ที่เป็นน่านน้ำสากล แต่ในความเป็นจริง ประชากรของประเทศลอยน้ำมักจะมีความผูกพันกับประเทศที่เป็นถิ่นกำเนิด (Host Nation) ซึ่งเป็นประเทศที่มันอยากลอยอยู่ใกล้ๆ เพราะอย่างไรเสีย ประเทศลอยน้ำนี้ก็ยังต้องพึ่งพาอาศัยทรัพยากรหลายๆ อย่างจากประเทศถิ่นกำเนิด โดยจะตอบแทนกลับคืนในแง่ของมูลค่าทางเศรษฐกิจต่างๆ เช่นเดียวกับที่ Blueseed ส่งกลับคืนในรูปของผลงานนวัตกรรมต่างๆ แก่ประเทศสหรัฐอเมริกา
ดังนั้นประเทศลอยน้ำที่เกิดใหม่จะต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
(1) ความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศแม่ (Host Nation)
(2) การมีผลประโยชน์ร่วมกันกับชุมชนแนวชายฝั่งที่ประเทศลอยน้ำไปลอยอยู่ใกล้ๆ เช่น การเป็นแหล่งท่องเที่ยว การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
(3) ความสามารถทางเศรษฐกิจ ประเทศลอยน้ำนี้มีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสูง จึงต้องสามารถสร้างรายได้มาชดเชยรายจ่ายทางด้านนี้
(4) ศีลธรรม ประเทศลอยน้ำจะอยู่ไม่ได้ถ้าเป็นแหล่งรวมคนที่ขาดศีลธรรม ประเทศลอยน้ำจึงต้องมีความเข้มงวดต่อกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอบายมุข หรือ ผิดกฏหมายสากล เช่น การหนีภาษี การค้ามนุษย์ ซ่องโจร เป็นต้น
(5) มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อธุรกิจ ไม่มีกฎหมายจุกจิก
(6) ลอยไปหาที่อยู่ใหม่ได้เมื่อถึงเวลา เช่น เมื่อเกิดปัญหากับประเทศที่ไปลอยอยู่ใกล้ๆ เป็นต้น
อีกไม่นานหรอกครับ เราคงจะได้ยินข่าวว่ามีคนไทยคนหนึ่งไปสร้างประเทศใหม่ เพราะกลับเข้าประเทศไทยไม่ได้ และเมื่อถึงวันนั้น ประเทศลอยน้ำอันนี้อาจมาลอยอยู่แถวปากอ่าวไทยก็ได้ .....
07 มิถุนายน 2555
Floating Nations - ประเทศลอยน้ำ (ตอนที่ 1)
ในช่วงที่ผมติดอยู่ในบ้านที่ถูกน้ำท่วม ที่ จ.นนทบุรี เป็นเวลา 45 วันนั้น หลังจากงานสูบน้ำและทำงานบ้านประจำวัน ผมมีเวลาค่อนข้างเยอะที่จะครุ่นคิดถึงแนวคิดต่างๆ แน่นอนว่าหลายๆ เรื่องก็จะเกี่ยวข้องกับน้ำ และเรื่องหนึ่งที่ผมคิดคือ ในอนาคตมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่ประเทศไทยจะตกอยู่ในสภาพ แห้ง 8 น้ำ 4 คือ แผ่นดินแห้งอยู่ 8 เดือน กับชุ่มน้ำอีก 4 เดือน ทั้งนี้หากคำนึงถึงความเป็นจริงที่ว่า ที่ราบลุ่มภาคกลางที่เป็นที่ตั้งของกรุงเทพและปริมณฑลมีแผ่นดินทรุดลงตลอดเนื่องจากการขยายตัวของเมือง เราต้องไม่ลืมว่า แผ่นดินที่เมืองหลวงของเราตั้งอยู่นี้เคยเป็นทะเลมาก่อน แต่เนื่องจากมีตะกอนที่แม่น้ำปิง วัง ยม น่าน พัดพามาทับถมนานนับพันปี จึงเกิดเป็นแผ่นดินที่ราบลุ่มเจ้าพระยาขึ้นมา แต่หลังจากพวกเราได้ตั้งรกรากแถบนี้ เราได้สร้างเขื่อนที่ดักตะกอนเอาไว้ รวมทั้งมีการควบคุมน้ำ มีการขุดลอกตะกอนในแม่น้ำทุกๆ ปี ทำให้ไม่เคยมีตะกอนใหม่ๆ มาทับถมพื้นดินที่เคยเป็นท้องทะเลนี้อีกเลย เราต้องยอมรับความจริงว่า พื้นดินนี้ย่อมทรุดตัวลงไปตามแรงกดทุกๆ ปี
แค่แผ่นดินทรุดตัวอย่างเดียวก็แย่แล้ว เรายังเจอโจทย์ (หรือ โจทก์) ใหม่อีกคือ น้ำทะเลที่สูงขึ้นอันเนื่องมาจากน้ำแข็งละลายในขั้วโลกเหนือ ซึ่งจะทำให้น้ำทะเลมีระดับสูงขึ้นในช่วงฤดูมรสุมของเรา นักวิทยาศาสตร์เคยประมาณเอาไว้ว่า อีกไม่เกิน 100 ปี ประเทศบังคลาเทศจะหายไปจากแผนที่โลก กรุงเทพฯ ของเราจะจมน้ำ
ในช่วงที่น้ำท่วม ผมเริ่มจะยอมรับความเป็นไปได้ที่ว่า เราอาจจะต้องใช้ชีวิตกับน้ำปีละ 2-4 เดือน ซึ่งอาจจะค่อยๆ กลายเป็นเรื่องปกติไปในอนาคต พอถึงหน้ามรสุม น้ำจะหลากมาท่วมหลังจากนั้นมันก็จะแห้ง เป็นวัฏจักรวนเวียนเช่นนี้ ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศกึ่งใต้น้ำ คือ เป็นประเทศที่มีแผ่นดิน 100% ผสมกับการมีแผ่นดิน 80% ในบางเวลา ทะเลจะค่อยๆ คืบคลานมากลืนกินแผ่นดินของเราไปอย่างช้าๆ
ทางฝั่งประเทศตะวันตกเอง เริ่มมีแนวคิดของการสร้างประเทศที่ลอยน้ำได้ (Floating Nations หรือ Floating Countries) ประเทศแบบนี้สามารถสร้างขึ้นมาโดยใครก็ได้ อาจเป็นรัฐบาล หรือ องค์กร หรือแม้แต่ คนๆเดียวที่มีสตางค์หน่อย (โดยเฉพาะคนที่ไม่มีประเทศจะอยู่) เราสร้างประเทศที่ลอยน้ำได้ซึ่งจะลอยไปที่ไหนก็ได้ในโลก เพราะในทะเลและมหาสมุทรนอกชายฝั่ง 12 ไมล์ทะเล นั้นถือว่าเป็นเขตทะเลสากล ประเทศนี้สามารถลอยไปลอยมาในทะเล ขอแต่ให้ห่างฝั่ง 12 ไมล์ทะเลเป็นใช้ได้ เนื่องจากเป็นประเทศที่ลอยน้ำได้ เราสามารถที่จะให้ประเทศนี้หนีพายุได้ หรือลอยไปยังบริเวณที่อากาศดีๆ แล้วลอยกลับมาที่เดิมเมื่อฤดูกาลที่เหมาะสมนั้นมาถึง การที่ประเทศลอยน้ำนี้อยู่ไม่ไกลจากฝั่งมากนัก ก็จะทำให้มีการเดินทางเข้า-ออก ด้วยเฮลิคอปเตอร์ หรือ เรือเฟอรี่ได้ง่าย หรือแม้แต่ประเทศลอยน้ำนี้จะมีสนามบินนานาชาติของตัวเองก็ย่อมทำได้
ถามว่า แล้วประเทศนี้จะเอาอะไรกิน ?
ด้วยความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีการเกษตร เราจะสามารถปลูกพืชแบบแนวดิ่งได้ (Vertical Farming) ซึ่งจะพอหล่อเลี้ยงประชากรในประเทศลอยน้ำ (ซึ่งอาจจะมีประชากรได้ตั้งแต่ 50,000 ถึงหลายแสนคน) เราสามารถทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในทะเลเปิดแบบ Smart Aquaculture ประเทศลอยน้ำสามารถผลิตพลังงานจากเซลล์สุริยะ กังหันลม รวมทั้งกังหันผลิตไฟฟ้าจากคลื่นในทะเล ประชากรที่อาศัยอยู่ในประเทศลอยน้ำนี้ จะเป็นประชากรระดับคุณภาพ ที่เข้ามาทำงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งอาจจะถูกห้ามในประเทศแม่ เช่น เรื่องจีเอ็มโอ หรือ โคลนนิ่ง เพราะอย่าลืมว่า ประเทศลอยน้ำ เป็นประเทศจริงๆ สามารถร่างรัฐธรรมนูญของตัวเอง ออกกฎหมายเอง ประเทศลอยน้ำนี้สามารถรับประชากรจากประเทศที่ไม่ลอยน้ำใดๆ ก็ได้ในโลก ให้เข้ามาทำงานช่วยผลักดันเศรษฐกิจของประเทศนี้ ซึ่งถึงแม้จะมีประชากรเพียงไม่กี่หมื่นคน ก็อาจจะผลิต GDP ได้มากกว่าประเทศไทยทั้งประเทศเสียอีก รายได้ของประเทศลอยน้ำจะมาจากสินค้าเทคโนโลยี ไอที นาโนเทคโนโลยี จีเอ็มโอ ซอฟต์แวร์ บันเทิงและการท่องเที่ยว ... ต้องไม่ลืมว่า ประเทศลอยน้ำนี้ สามารถออกกฎหมายของตัวเอง ซึ่งจะทำให้มีความคล่องตัวในการเอื้อต่อ ความต้องการของนักลงทุนจากแผ่นดินแม่
ในตอนต่อๆ ไป ผมจะมาเล่าความคืบหน้า เกี่ยวกับแนวคิดนี้ให้ฟังต่อนะครับ .....
03 พฤษภาคม 2555
The Future of City - อนาคตของเมืองใหญ่ (ตอนที่ 2)
ตอนที่ผมกลับมาจากต่างประเทศ แล้วเข้าทำงานเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ผมได้เรียนรู้ว่าอาจารย์มหาวิทยาลัยของไทยนั้น ทำงานวิจัยกันแค่ 1 ใน 10 ของจำนวนอาจารย์ทั้งหมด นี่ขนาดเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยอันดับต้นๆ ของประเทศแล้วนะครับ ยังน้อยขนาดนี้ เมื่อเทียบกับประเทศที่เจริญแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ยุโรป ที่อาจารย์มหาวิทยาลัยเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ทำงานวิจัย และที่ผมตกใจมากก็คือ งานวิจัยทั้งหมดที่ทำกันอยู่นั้น ผมก็ได้เรียนรู้อีกว่า มีเพียง 1 ใน 10 เท่านั้นครับที่มีประโยชน์ต่อประเทศไทย ที่เหลือมีประโยชน์กับประเทศอื่น นี่ถ้าเรามองว่ามหาวิทยาลัยเป็นเครื่องยนต์ ที่กำลังขับเคลื่อนประเทศไทยที่เป็นตัวรถ เครื่องยนต์ตัวนี้มีกำลังขับเคลื่อนเพียง 1% เท่านั้นครับ น่าตกใจมั้ยครับ แล้วเราจะมีกำลังอะไรไปแก้ไขปัญหาที่ประเทศเรา และทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ ซึ่งต้องอาศัยพลังปัญญาและเทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งนับวันจะทวีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะปัญหาโลกร้อน หรือ Climate Change
ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานี้ เรื่องของภาวะโลกร้อน มีความชัดเจนและแสดงออกอย่างรุนแรงขึ้น ตอนนี้ทั่วโลกมองว่าการแก้โลกร้อนมันใหญ่มาก สิ่งที่พอจะทำได้ตอนนี้คือ "การปรับตัว" ให้อยู่กับโลกร้อน ซึ่งมีเรื่องใหญ่ๆ อยู่ 4 เรื่องที่จะต้องปรับตัวให้ได้ คือ
(1) ระบบของชุมชนเมือง โดยเฉพาะเมืองใหญ่ที่จะเป็นศูนย์กลางประชากรโลกในอนาคต
(2) เรื่องน้ำ แม่น้ำ ชายฝั่ง
(3) เกษตรกรรม ป่าและธรรมชาติ
(4) สภาพสังคม
ซึ่งทั้ง 4 เรื่องนั้นมีความเชื่อมโยงกัน การแก้ปัญหาเรื่องใดเรื่องหนึ่งจะทำให้ปัญหาอีกเรื่องหนึ่งบรรเทาลงได้ เช่น ในอนาคตหากมีการย้ายเกษตรกรรมจากชนบทมาทำในเมือง (Urban Agriculture) ในลักษณะของเกษตรกรรมแนวตั้ง (Vertical Farming) ก็จะช่วยคืนพื้นที่เกษตรให้แก่ป่าและธรรมชาติได้ อย่างของประเทศไทยเอง หากมีการจัดการน้ำและแม่น้ำให้ดี ก็จะช่วยรักษาเมืองไม่ให้น้ำท่วม หรือหากมีการจัดการเมืองใหม่ ให้มีระบบการไหลของน้ำผ่านเมืองที่ดีขึ้น ก็จะรักษาแม่น้ำลำคลองและธรรมชาติ ให้อยู่ร่วมได้เช่นกัน
ดังนั้น กรุงเทพฯในอนาคตจะต้องเป็นเมืองฉลาด (Smart City) ที่มีระบบสัมผัส ที่จะสามารถรับรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ และสามารถปรับตัวรับกับสิ่งที่กำลังจะมา กรุงเทพฯ จะต้องมีระบบที่เชื่อมโยงกับระบบอุตุนิยมวิทยา ระบบเขื่อน ระบบชลประทาน ระบบขนส่งบทั้งหมดเป็นโครงข่ายประสาทขนาดใหญ่ เมื่อพายุไต้ฝุ่นกำลังจะขึ้นที่เมืองเว้ประเทศเวียดนาม กรุงเทพฯ ต้องสามารถที่จะวิเคราะห์ประมวลผลการเดินทางของพายุ ว่าจะผ่านที่ไหนบ้าง และหากผ่านเข้ามาในบริเวณภาคเหนือ จะต้องรู้ว่าน้ำฝนที่จะตกลงมามีปริมาณเท่าไหร่ กรุงเทพฯ จะต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลกับะบบเขื่อน และระบบชลประทานทั้งหมดได้ และต้องประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า ผสานกับข้อมูลน้ำและกำลังการสูบน้ำของกรุงเทพฯ เอง รวมไปถึงระดับน้ำขึ้นน้ำลงตามธรรมชาติของทะเล ทำให้มีการระบายน้ำออกอย่างฉลาด
นอกจากจะเป็นเมืองฉลาดที่มีระบบประสาทข้อมูลขั้นอัจฉริยะแล้ว เมืองฉลาดแห่งอนาคตจะต้องคำนึงถึงเรื่องสำคัญ 3 เรื่องด้วยกัน ได้แก่
(1) มีโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Structures)
(2) ระบบน้ำ (Water Systems)
(3) การใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพ (Energy Efficiency)
เมื่อคำนึงปัจจัยข้างต้น กรุงเทพฯ ของเราก็มีสิทธิ์เป็นเมืองฉลาดได้ครับ การมีโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะช่วยให้เราประหยัดพลังงานได้ นอกจากนั้น เราอาจลดการใช้พลังงานลงไปอีก หากเรามีระบบน้ำ คู คลอง หนองบึง ในเมืองมากขึ้น เพื่อให้น้ำเป็นแหล่งช่วยระบายความร้อน เพื่อลดการใช้เครื่องปรับอากาศ ช่วงที่ผมใช้ชีวิตอยู่ในบ้านที่โดนน้ำท่วมตลอด 45 วัน ทำให้ผมเรียนรู้ว่าบ้านที่มีน้ำล้อมรอบจะมีความเย็นสบายแค่ไหน เมืองในอนาคตอาจจะต้องเปลี่ยนถนนให้กลับมาเป็นน้ำมากขึ้น โดยเฉพาะเมืองริมทะเลอย่างกรุงเทพฯ ที่ธรรมชาติเองพยายามจะบอกอะไรเราโดยปล่อยน้ำมาท่วมใหญ่เมือปลายปี 2554
ประเทศในยุโรป กำลังระดมความคิดที่จะปรับเปลี่ยนเมืองของเขา ให้เป็นเมืองที่ปรับตัวและอยู่ได้กับภาวะโลกร้อน ถึงเวลาของกรุงเทพฯ ที่จะช่วยกันคิดหรือยังครับ ...
24 ตุลาคม 2552
อังกฤษทุ่ม 3.3 พันล้านเหรียญ วิจัยเกษตร-อาหาร

ผมเคยเขียนบ่อยๆ ว่า ประเทศไทยที่พวกเราภาคภูมิใจนักหนาว่า เก่งทางด้านเกษตรกรรม เป็นครัวของโลก อีกหน่อยอาจจะไม่มีที่ยืนในเรื่องเกษตรก็ได้นะครับ เพราะเริ่มมีประเทศที่อยากจะทำเกษตรเป็นครัวโลกแทนเรา มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วครับ ประเทศอาหรับที่รวยน้ำมันก็เริ่มทุ่มงบเพื่อพัฒนาการเกษตรในทะเลทราย ประเทศยุโรปเริ่มมีแนวคิดในการปลูกเนื้อสัตว์ (in vitro meat) เพื่อทดแทนการทำปศุสัตว์
ล่าสุด ทีมศึกษาสถานภาพและแนวโน้มด้านเกษตรและอาหาร ของสหราชอาณาจักร ได้ออกมาสรุปผลการศึกษา และเสนอให้รัฐบาลทุ่มงบวิจัยด้านเกษตรและอาหารปีละ 200 ล้านปอนด์ ตลอดช่วงระยะ 10 ปีต่อไปนี้ เพื่อที่จะทำให้โลกมีอาหารเพียงพอที่เลี้ยงประชากรโลกที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 9 พันล้านคนในอีก 40 ปีข้างหน้า ซึ่งรายงานนี้เสนอทุกวิถีทางที่จะทำให้เกิดความมั่นคงด้านอาหาร เช่น การพัฒนาพืชที่ทนต่ออากาศร้อน พืชที่ทนต่อพิษของโลหะ ข้าวที่ทนน้ำท่วม ซูเปอร์พืชที่ผลผลิตสูง รวมทั้งการกลับมาวิจัยและพัฒนาพืช GMO ด้วย
03 สิงหาคม 2552
โลกร้อนคุกคามเกษตรกรรม

18 มีนาคม 2552
The World without Us - ถ้าโลกนี้ไม่มีเรา (ตอนที่ 4)

13 มีนาคม 2552
โลกควรดีใจที่เศรษฐกิจแย่


08 ธันวาคม 2551
The World without Us - ถ้าโลกนี้ไม่มีเรา (ตอนที่ 3)


Alan Weisman ได้ค้นคว้าเพื่อตอบคำถามนี้ครับว่า หากมนุษย์หายไปจากโลกนี้ จะเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งต่างๆที่มนุษย์สร้างทิ้งเอาไว้ อาคารบ้านเรือน ถนนหนทาง โครงสร้างต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ชีวิตอื่นๆ ที่เหลืออยู่จะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไปบ้าง เขาได้เดินทางไปทั่วโลกเพื่อไปสัมภาษณ์นักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนักฟิสิกส์ นักธรณีวิทยา นักปฐพีวิทยา วิศวกร ศิลปิน นักสัตววิทยา นักชีววิทยา นักสมุทรศาสตร์ นักฟิสิกส์อวกาศ รวมไปถึงนักธรรมต่างๆ แม้แต่องค์ดาไล ลามะ ผู้นำจิตวิญญาณในพุทธศาสนามหายาน เนื่องจาก Weisman เป็นศาสตราจารย์สาขา Journalism and Latin American Studies อยู่ที่ University of Arizona ซึ่งเขาต้องสอนเพียงแค่ 1 วิชาในช่วงฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น เวลาที่เหลือเขาจึงว่างและสามารถเดินทางท่องเที่ยว เพื่อไปทำงานวิจัยในต่างแดนได้ทั่วโลก เขาได้เดินทางไปศึกษา DMZ หรือเขตปลอดทหาร ที่กั้นอยู่ระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ ซึ่งดินแดนนั้นเป็นที่ซึ่งมนุษย์ไม่ได้เข้าไปอยู่นานแล้ว โดยเขาได้ใช้ตัวอย่างของอารยธรรมมายา ที่หายสาบสูญไปทั้งๆที่เคยเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองที่สุดยุคหนึ่ง เมือง Chernobyl ในประเทศยูเครนหลังถูกทอดทิ้งเพียง 20 ปี Weisman ได้ข้อสรุปว่าหากมนุษย์เราหายไป โลกจะกลับกลายไปเป็นป่าที่สมบูรณ์ ภายในระยะเวลาไม่เกิน 500 ปี เหลือเพียงแต่พวกกากกัมมันตภาพรังสี พลาสติก กับรูปปั้นหน้าประธานาธิบดีสหรัฐ 4 ท่านที่แกะสลักจากหน้าผาหินแกรนิตที่ Mount Rushmore เท่านั้นที่จะเหลือเป็นหลักฐานความมีอยู่ของมนุษย์ไปอีกนาน
20 พฤศจิกายน 2551
Geoengineering - อภิมหาโปรเจคต์ เปลี่ยนฟ้าแปลงโลก (ตอนที่ 8)

เมื่อตอนเด็กๆ ผมจำได้ว่าในการ์ตูนญี่ปุ่นมีการพูดถึงเมืองที่อยู่ในโดมกระจกที่สร้างขึ้นมา เพื่อปกป้องผู้อยู่อาศัยภายในให้รอดพ้นจากมลภาวะที่เลวร้าย โดมกระจกนี้ใหญ่มากจนสามารถบรรจุเมืองทั้งเมืองเข้าไปได้เลย มีผู้คนอยู่อาศัยในนั้นหลายแสนคนหรืออาจเป็นล้านๆ เลย ในสมัยนั้นถึงแม้เรื่องภาวะโลกร้อนยังไม่เป็นที่รู้จักกันเลยก็ตาม แต่ความคิดเกี่ยวกับเรื่องสภาพบรรยากาศที่ถูกทำลายจากสารพิษต่างๆ รวมทั้งฝุ่นนิวเคลียร์ ทำให้สถาปนิกเริ่มมีไอเดียในเรื่องดังกล่าว
ผ่านมาเกือบ 30 ปีนับตั้งแต่ผมได้เห็นจินตนาการเหล่านั้นในการ์ตูน สิ่งก่อสร้างใหญ่โตเหล่านั้นกำลังจะถูกทำให้เป็นความจริงขึ้นมาแล้วครับ ที่สำคัญมันจะไม่เกิดเพียงหนึ่งหรือสองแห่ง แต่มันกำลังจะกลายเป็นกระแสที่บูมฮ็อตฮิต เพราะว่าด้วยสภาพภูมิอากาศของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้มนุษย์ไม่อยากทนทุกข์กับ ภาวะโลกร้อน วิธีการหนึ่งก็คือ การไปควบคุมสภาพภูมิอากาศให้เหมาะกับการอยู่อาศัยเสียเลย ด้วยการสร้างโดมใหญ่ๆ มาครอบคลุมตัวเอง คราวนี้อยากให้ฤดูกาลข้างในเป็นอย่างไรก็สามารถทำได้เลย ไม่ต้องไปรอหน้าร้อน หน้าหนาวเหมือนสมัยก่อน ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีการสร้างเมืองใหม่ที่มีชื่อว่า มาสดาร์ (Masdar City) ซึ่งเป็นเมืองพลังงานสะอาดที่สร้างขึ้นในทะเลทราย ทั้งๆ ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมัน แต่กลับอยากทำให้เมืองนี้ทั้งเมืองไม่ใช้น้ำมันเลย ในเดือนมกราคมปี พ.ศ. 2551 ประเทศนี้ได้ออกมาประกาศที่จะสร้างเมืองในฝันที่สามารถควบคุมสภาพภูมิอากาศได้ โดยมีที่ตั้งกลางทะเลทรายซึ่งจะใช้พื้นที่ขนาด 6 ตารางกิโลเมตร สามารถบรรจุประชากรได้ 50,000 คน และธุรกิจ 1,500 แห่ง เมืองนี้จะไม่ใช้น้ำมัน แต่เป็นพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากเซลล์สุริยะ โครงการในฝันที่กำลังเร่งสร้างให้ทันเปิดใช้ในปี พ.ศ. 2553 นี้ออกแบบโดยท่านลอร์ด นอร์แมน ฟอสเตอร์ (Norman Foster) นักออกแบบชาวอังกฤษที่เคยฝากผลงานการออกแบบสถาปัตยกรรมเลื่องชื่อ มากมายมาแล้วทั่วโลก เมืองนี้จะไม่มีรถราที่ใช้น้ำมันมาวิ่งให้กวนใจ ประชากรจะใช้รถไฟฟ้าแบบรางเบาที่เชื่อมโยงทั้งเมือง หรืออาจจะใช้สิ่งที่เรียกว่ากระสวยขับเอง (Automated Transport Pod) ที่วิ่งอัตโนมัติจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง ทุกๆจุดในเมืองจะถูกออกแบบให้อยู่ห่างจากจุดขึ้นรถสาธารณะไม่เกิน 200 เมตร เมืองนี้จะถูกเชื่อมโยงกับอาบูดาบี ซึ่งเป็นเมืองหลวงด้วยรถไฟความเร็วสูง ในเรื่องของการกำจัดขยะนั้น เมืองจะถูกออกแบบให้ 99% ของขยะถูกจัดการให้นำกลับมาใช้ใหม่ รวมไปถึงน้ำด้วย ความเจ๋งของเมืองนี้ทำให้ผู้ออกแบบถึงกับบ่นออกมาว่า "ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็พึ่งพาน้ำมันเต็มๆตัว ไม่คิดถึงการทำอะไรแบบนี้ ทำไมประเทศยุโรปที่มีทั้งพื้นฐานทางปัญญาและทรัพยากรที่แข็งแกร่งไม่สามารถที่จะริเริ่มเมืองแบบนี้ ผมถามตัวเองอยู่บ่อยๆว่า ทำไมโครงการแบบนี้ที่พร้อมจะเกิดขึ้นที่ไหนในโลกก็ได้ที่มีความก้าวหน้าสูง กลับมาเกิดขึ้นที่นี่ ........"
อีกโครงการยิ่งใหญ่ก็คือ Kazakhstan's Pleasure Dome หรืออีกชื่อหนึ่งว่า Khan Shatyry Entertainment Center ในประเทศคาซัคสถาน ซึ่งมีรูปร่างเหมือนเต้นท์สูงครอบคลุมอาณาบริเวณ 100,000 ตารางเมตร โดมกระจกแห่งนี้จริงๆ ก็ไม่ได้ทำด้วยกระจกหรอกครับ แต่เป็นพลาสติกชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Ethylene tetrafluoroethylene (ETFE) เป็นพลาสติกใสที่ทนทานต่อการกัดกร่อน และการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ภายในโดมมีทั้งสนามกอล์ฟ สระว่ายน้ำ ชายหาด สวนน้ำเล่นคลื่น ร้านค้ากว่า 250 ร้าน โรงภาพยนตร์ โดมอันยิ่งใหญ่แห่งนี้จะทำให้ประชากรของคาซัคสถาน สามารถมาเที่ยวชมเพื่อรับบรรยากาศทะเลของภูเก็ตแบบไม่ต้องบินมาจริงๆ ได้ตลอดปี ทั้งๆที่อากาศข้างนอกอาจหนาวถึง -35 องศาเซลเซียส
โครงการที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันอีกโครงการหนึ่งก็คือ รีสอร์ทสกีในร่ม (Indoor Ski Resort) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจะทำให้การเล่นสกีสามารถทำได้ทุกฤดูกาล ไม่ต้องกังวลกับความหนาของหิมะที่ลดลงทุกปีๆ ของถิ่นสกีในเทือกเขาแอลป์อีกต่อไป ภูเขาสกีเทียมลูกนี้มีความสูงเท่ากับตึก 35 ชั้น และจะสร้างขึ้นที่ Long Island ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะใช้เงินลงทุนประมาณ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในบริเวณใกล้กันจะมีกลุ่มของโรงแรมและรีสอร์ท สวนน้ำ ศูนย์ประชุม โรงไวน์ สวนแคมปิ้ง สปา ทะเลสาบ และสวนพฤกษศาสตร์ คาดว่าโครงการนี้จะทยอยเปิดใช้บางส่วนในปี ค.ศ. 2013 โดยโครงการเต็มรูปแบบจะใช้เวลาก่อสร้างทั้งหมด 10 ปี
18 พฤศจิกายน 2551
The World without Us - ถ้าโลกนี้ไม่มีเรา (ตอนที่ 2)

..... หากโลกนี้มีเราเพียงสองคน รักคงหลุดพ้นความวุ่นวาย ไม่มีกฏหมายมาตราใดลงโทษลงทัณฑ์รักสองเรา หากโลกนี้มีเราเพียงสองคน เริ่มต้นลงท้ายคงด้วยดี แผ่นดินทุกที่ย่อมมีเสรีเพาะปลูกวิญญาณรักสองเรา แต่โลกใช่มีเพียงรักสองเรา ผู้คนยังมัวเมาและงมงาย ถือเผ่าถือพันธ์กันต่อไป กีดกั้นทำลายคนด้วยกัน หากโลกนี้มีเราเพียงสองคน คงไม่ถูกโค่นต้นไม้รักของเรา ชีวิตเธอและฉันไม่ยืนยาว โลกเป็นของเราแต่ไม่เท่ากัน
ส่วนอีกเพลงหนึ่ง เป็นของวงเฉลียง ร้องไว้ประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว เป็นเพลงแจ๊สแต่มีชื่อที่แสนโรแมนติกว่า "ถ้าโลกนี้มีเราเพียงสองคน" มีเนื้อร้องดังนี้ครับ
.... ถ้าโลกนี้มีเราเพียงสองคน มองไปทางไหนก็สวยงาม มีเพียงเราสองเท่านั้นเองกับหวานใจ ดู ดู ดู ภูเขาทะเลกว้างฟ้าไกล ต่อให้ไกลแสนไกล จะไกลแสนไกล เราเป็นเจ้าของ เราคงจะรักกันทั้งวัน คงมีสวรรค์กันทั้งเดือนและทั้งปี ดู ดู ดู จะหันทางใดไม่เห็นมี ไม่มีผู้ใดไม่มีเลยแม้ใคร ขวางทางรักเรา สองเราชิด สองเราไม่เคยห่าง สองใจชิด สองใจไม่เคยต่าง สองเราเท่านั้นฉันเธอไม่มีใครอื่น ทั้งวันทั้งคืน ฝนพรำฟ้าครืน แดดใส ไม่มีใครเลย เวลาเราหิวก็สองคน จะกินข้าวเหนียวก๋วยเตี๋ยวไก่จะซื้อใคร ดู ดู ดู ตัดเย็บกางเกงเล่าร้านใด จัดงานฉลองเลี้ยงใคร ไม่มีมาสักราย ก็เลี้ยงกันสองคน มองไปทางไหนไม่เห็นใคร มีเพียงเราสองคนเท่านั้นเอง เท่านั้นเอง ฮือ ..ฮือ..ฮือ.. จะร้องจะรำให้ครื้นเครง ดนตรีต้องเล่นเอง ฟังกันร้องเอง ประสานเสียงเองฮือ..ไม่มีใครเลย ไม่มีใครเลย ไม่มีใครเลย ไม่มีใครเลย ไม่มีใครเลย ไม่มีใครเลย ไม่มีใครเลย ไม่มีใครเลย
นั่นเป็นจินตนาการของศิลปินครับ ที่มองว่าหากโลกนี้เหลือเพียงตัวเราและคนรัก มันก็คงมีความสุขดี คุณผู้อ่านหล่ะครับ เคยคิดแบบนี้ไหมครับ มนุษย์เราเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีอิทธิพลต่อโลกใบนี้สูงมาก อารยธรรมเราครองโลกเพียงแค่ 1 หมื่นปี ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้ ไดโนเสาร์ครองโลกมากกว่าร้อยล้านปี ยังทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไม่ได้เท่านี้ แต่ถ้าหากวันนี้มนุษย์หายไปทั้งหมดล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่าเพียงเวลาไม่ถึง 20 ปี โลกก็จะกลับมาเป็นเหมือนเก่าได้ไม่ยากครับ ตอนหน้ามาคุยกันต่อครับ .......
04 พฤศจิกายน 2551
The World without Us - ถ้าโลกนี้ไม่มีเรา (ตอนที่ 1)

15 กันยายน 2551
Geoengineering - อภิมหาโปรเจคต์ เปลี่ยนฟ้าแปลงโลก (ตอนที่ 7)

อีกแนวคิดของการทำวิศวกรรมดาวเคราะห์ที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชากรโลก จากพายุรุนแรงทั้งเฮอริเคน ไต้ฝุ่น ไซโคลน ที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ก็คือการไปหยุดพายุหรือดัดแปลงทิศทางการเคลื่อนที่ของพายุ ในขณะนี้นาซ่าได้ให้เงินสนับสนุนโครงการวิจัยเพื่อที่จะควบคุมพายุ ผลเบื้องต้นจากการจำลองคอมพิวเตอร์นั้นพบว่า พายุขนาดใหญ่นั้นมีความอ่อนไหวกับปัจจัยแวด
