แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ genetics แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ genetics แสดงบทความทั้งหมด

27 กุมภาพันธ์ 2553

The Mathematics of Beautiful Girls- คณิตศาสตร์ของคนสวย (ตอนที่ 4)


ผมมีคนใกล้ๆตัวหลายคนที่เป็นโสด ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง ก่อนหน้านี้ผมเคยเขียนอธิบายว่า เหตุใดผู้หญิงสวยมากๆ ถึงไม่มีคู่ ซึ่งสรุปความได้ว่า ความสวยของผู้หญิงนั่นแหล่ะที่เป็นตัวผลักให้ผู้ชายออกไปอยู่ห่างๆ เธอ ต่อจากนั้นมา ผมก็ได้รับคำถามมาอีกว่า อ้าว ... แล้วถ้าผู้หญิงที่ไม่ได้สวยขนาดนางฟ้า ก็ไม่ได้จะมีสมการที่ทำให้ผลักผู้ชายออกไปจากชีวิตเธอ แต่เหตุไฉน ผู้หญิงที่หน้าตาปานกลาง น่ารัก หรือ บ้านๆ ยังหาแฟนไม่ได้ .... อืม .... อย่างนี้คณิตศาสตร์คงอธิบายไม่ได้แล้วครับ แต่ผมมีคำอธิบายจากชีววิทยาเชิงวิวัฒนาการครับ (Evolutionary Biology)

วันนี้ผมนั่งสแกน journal เล่นๆ ก็ไปเจอบทความหนึ่งครับ ตีพิมพ์ในวารสาร Animal Behaviour ฉบับเดือนมีนาคม 2010 นี้ (รายละเอียดเต็มคือ Jonathan P. Drur, "Immunity and mate choice: a new outlook", Animal Behaviour 79 (2010), pp. 539-545) ซึ่งเป็นรายงานเชิงปริทรรศน์ที่น่าสนใจมากครับ เขาบอกว่า การที่คนเราเลือกคู่กันนั้น ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมากก็คือ เรื่องของระบบภูมิคุ้มกัน ร่างกายของเราถูกโปรแกรมมาให้หาคู่ครองที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่ครอบคลุมโรคต่างๆ โดยเราจะเลือกหาคู่ที่มีภูมิต้านทานในสิ่งที่เราไม่มี ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้ลูกหลานของเรา จะได้พันธุกรรมที่มีภูมิต้านทานโรคครอบคลุมโรคต่างๆ ให้ได้มากที่สุด

คราวนี้มาถึงคำถามที่ว่า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า คู่ครองที่เหมาะสมของเราที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่ทดแทนของเรา คือใคร นักวิทยาศาสตร์บอกว่า เราจะรู้ด้วยการมองและการได้กลิ่น แต่ปัจจัยเรื่องรูปร่างหน้าตาที่เก็บข้อมูลระบบภูมิคุ้มกันนั้น ยังเป็นปริศนาอยู่ครับว่าทำงานอย่างไร แต่เรื่องของกลิ่นนี่ เราพอมีความรู้บ้างแล้วว่า ข้อมูลเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันของเรา มันถูกปล่อยออกมากับเหงื่อครับ ซึ่งจะทำให้อีกฝ่ายได้กลิ่น

รายงานวิจัยอีกฉบับในวารสารเดียวกัน จากนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยเวสเทอร์นออสเตรเลีย ได้ระบุว่าผู้หญิงที่ครอบครองยีนที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันอย่างหลากหลาย จะมีโอกาสหาสามีได้ง่ายกว่าผู้หญิงที่มีชุดของยีนแคบๆ จากการศึกษานิสิตจำนวน 150 คน โดยให้นิสิตหญิงเหล่านั้นตอบคำถามต่างๆ แล้วนำไปวิเคราะห์ร่วมกับ DNA ของพวกเธอ ทำให้ทราบว่า คนที่มียีนของระบบภูมิคุ้มกันหลากหลายกว่า ไม่ค่อยมีประวัติการเจ็บไข้ได้ป่วยเท่าไหร่ ซึ่งเธอเหล่านั้น ก็มักจะมีประวัติว่ามีแฟนให้เลือกอยู่เรื่อยๆ หัวกระไดห้องแล็ปไม่เคยแห้ง แตกต่างจากนิสิตหญิงที่มีชุดของยีนแคบๆ มักจะครองความเป็นโสดอยู่เสมอ

สรุปก็คือ ชุดยีนของระบบภูมิคุ้มกันโรคนี่เอง คือ "แรงแห่งรัก" ที่ผลักดันให้เราถวิลหาคู่ครองที่จะมาช่วยเติมเต็มชุดยีนที่เรามีอยู่โดยไม่รู้ตัว ....

(รูปด้านบน - ผู้หญิงอ้วนทางขวามือของรูป คงจะมียีน MHC ที่หลากหลายกว่าผู้หญิงสวยทางซ้ายมือ ชายหนุ่มผู้นี้ถึงได้สิเน่หาเธอมากกว่า ด้วยหวังว่า ชุดยีนของหญิงคนนี้ จะมาช่วยเติมอีกส่วนที่ขาดหายไปจาก DNA ของเขา ....)

16 กันยายน 2552

The Future of Agriculture - อนาคตของเกษตรกรรม (ตอนที่ 4/8)


ช่วง 2-3 วันนี้ผมมาทำงานภาคสนามที่ไร่องุ่นครับ เลยนึกอยากจะเขียนอะไรที่เกี่ยวกับเกษตรสักหน่อย จะได้กลมกลืนกับบรรยากาศป่าเขา คืนนี้ผมนอนอยู่ในไร่ ข้างนอกมืดและก็เงียบมากเลยครับ แต่มีอินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียม ซึ่งทีมวิจัยของเราได้มาติดตั้งระบบ Wi-Fi ที่สามารถใช้ในบริเวณกว้างในไร่ ก็เลยยังรู้สึกไม่เหงาเท่าไหร่ครับ

วันนี้ผมขอคุยต่อเกี่ยวกับ อนาคตของเกษตรกรรมในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่า จากปัญหาประชากรที่มากขึ้น สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้การปลูกพืชมีผลผลิตที่ลดลงนั้น จำเป็นที่จะต้องมีการสร้างพืชซูเปอร์เก่งหรือ Supercrop ขึ้นมาให้ได้ครับ ซึ่งตอนนี้นักวิทยาศาสตร์สนใจที่จะสร้างยอดมันสำปะหลังขึ้นมา เพราะมันเป็นพืชอาหารที่มีราคาถูก แถมสามารถขึ้นได้ในสภาพอากาศที่ยอดแย่ เจ้ามันสำปะหลังนี้มีผู้คนใช้มันเป็นอาหารทั่วโลกอย่างน้อย 250 ล้านคน มันจึงเป็นพืชที่นักวิทยาศาสตร์อยากจะพัฒนาให้เป็นยอดพืชมากที่สุด

ปัญหาของมันสำปะหลัง ก็คือ มันเป็นอาหารที่มีเหล็ก สังกะสี วิตะมินเอ และวิตะมินอี ค่อนข้างน้อยไปหน่อย นักวิทยาศาสตร์ก็เลยอยากจะพัฒนาพันธุกรรมของพืชชนิดนี้ให้มีธาตุอาหารสำคัญๆ ให้มากขึ้น และมีความทนทานต่อเชื้อไวรัสที่มักจะเข้าทำลายพืชชนิดนี้ โครงการ Biocassava Plus ที่สนับสนุนโดยมูลนิธิบิลแอนด์เมลินดา เกตส์ ได้พัฒนายอดมันสำปะหลังขึ้นมาด้วยวิธีพันธุวิศวกรรม ซึ่งได้รับอนุญาตให้ทำการทดลองในระดับผลิตจริงในหลายประเทศในทวีปแอฟริกาแล้ว ซึ่งประเทศเหล่านี้ไม่สนใจว่าพืชดังกล่าวจะเป็น GMO หรือไม่ ขอให้มีกินไว้ก่อนเป็นใช้ได้


ถึงแม้พืช GMO จะถูกต่อต้านเพียงไรก็ตาม นักวิเคราะห์ก็ยังเชื่อว่า วันหนึ่งยอดพืชหรือ Supercrop จะต้องเป็นอนาคตของเกษตรกรรมแน่ๆ ครับ

05 สิงหาคม 2552

Electromicrobiology - จุลชีววิทยาอิเล็กทรอนิกส์ (ตอนที่ 2)


วันนี้ผมขอมาเล่าต่อในเรื่องของ Electromicrobiology นะครับ ศาสตร์ทางด้านนี้กำลังจะกลายมาเป็นที่สนใจมากขึ้นเรื่อยๆ เครก เวนเตอร์ (Craig Venter) นักพันธุศาสตร์ชื่อดัง ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการถอดรหัสพันธุกรรมของมนุษย์ได้เป็นคนแรก เมื่อ ค.ศ. 2001 ได้เคยกล่าวไว้ว่า "เรามียีนอยู่ 20 ล้านยีนในมือ ซึ่งผมจะเรียกว่า องค์ประกอบการออกแบบแห่งอนาคต เราสามารถใช้สิ่งเหล่านี้สร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมา ไม่มีข้อจำกัด ขึ้นอยู่กับจินตนาการเท่านั้น" ล่าสุด เวนเตอร์ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากบริษัท Exxon Mobil เป็นจำนวนเงินสูงถึง 600 ล้านเหรียญ (ประมาณ 21,000 ล้านบาท) เพื่อพัฒนาสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ (Synthetic Organism) ที่สามารถผลิตเชื้อเพลิงเหลว สำหรับยานยนตร์ต่างๆ โดยไม่ต้องมีการดัดแปลงเครื่องยนต์

จุลชีววิทยาสมัยใหม่ กำลังจะเป็นทางออกหลายๆ เรื่องครับ ไม่ว่าจะเป็น การผลิตพลังงาน การผลิตยา และที่คาดไม่ถึงคือ การนำเอาสิ่งมีชีวิตเล็กๆ มาทำงานทางด้านประมวลผล .....

เมื่อเร็วๆนี้เอง ได้มีการตีพิมพ์บทความวิจัยเรื่องหนึ่งในวารสาร Journal of Biological Engineering (รายละเอียดเต็มคือ Baumgardner J, Acker K, Adefuye O, Crowley ST, Deloache W, Dickson JO, Heard L, Martens AT, Morton N, Ritter M, Shoecraft A, Treece J, Unzicker M, Valencia A, Waters M, Campbell AM, Heyer LJ, Poet JL, Eckdahl TT, "Solving a Hamiltonian Path Problem with a bacterial computer", Journal of Biological Engineering 2009, 3:11doi:10.1186/1754-1611-3-11) ซึ่งได้เสนอแนวคิดในการนำแบคทีเรียมาทำหน้าที่ประมวลผล โดยคณะวิจัยนี้เรียกเจ้าแบคทีเรียประมวลผลนี้ว่า Bacterial Computer ผมขอตั้งชื่อไทยว่า "คอมพิวเตอร์แบคทีเรีย" ก็แล้วกันครับ นักวิจัยได้ทดลองความสามารถในการแก้โจทย์ที่เรียกว่า Hamiltonian Path ว่าเจ้าคอมพิวเตอร์แบคทีเรียที่สร้างขึ้นมานี้จะสามารถแก้โจทย์นี้ ได้หรือไม่

Hamiltonian Path เป็นปัญหาโจทย์ที่เป็นที่รู้จักกันดีในนามของ The Salesman Problem ยกตัวอย่างก็คือ ถ้าจะให้เซลล์แมนคนหนึ่งเดินทางไปขายของในประเทศฝรั่งเศส โดยต้องเดินทางไปขายของที่เมือง 10 เมือง โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องผ่านแต่ละเมืองเพียงครั้งเดียวเท่านั้น รวมระยะทางทั้งหมด ต้องทำให้ได้ระยะทางใกล้ที่สุด ความยากของโจทย์ข้อนี้ก็คือ เซลล์แมนคนนี้มีทางเลือกถึง 3.5 ล้านทางเลือก โดยมีคำตอบที่ถูกเพียง 1 คำตอบครับ

แต่คอมพิวเตอร์แบคทีเรียของคณะวิจัยนี้ ได้โจทย์ Hamiltonian Path ที่ง่ายกว่ามากครับ คือเซลล์แมนมีเมืองที่จะผ่านเพียง 3 เมืองครับ โดยนักวิจัยได้ดัดแปลง DNA ของแบคทีเรีย ส่วนทางเลือกในการผ่านเมืองจากถูกเข้ารหัสด้วยการรวมตัวกันของยีน ที่จะทำให้แบคทีเรียเรืองแสงเป็นสีแดง หรือ เขียว ซึ่งหากแบคทีเรียตัวใดเรืองแสงสีเหลือง (แดง + เขียว) ก็จะถือเป็นคำตอบที่ถูกต้อง ผลก็คือนักวิจัยพบว่ามีแบคทีเรียส่วนหนึ่งที่สามารถค้นหาคำตอบนี้ได้ นี่เป็นจุดเริ่มต้นในการใส่โจทย์ที่ยากๆ ให้แก่แบคทีเรียในอนาคตครับ


ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับศาสตร์ทางด้านนี้มาเล่าต่อวันหลังนะครับ ..................

30 มิถุนายน 2552

The Science of Ageing - ชราศาสตร์: ศาสตร์แห่งการแก่ (ตอนที่ 2)


ในคราที่เจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงรถม้าหนีพระราชบิดา ออกประพาสนอกพระราชวังนั้น ได้ทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้ง 4 อันได้แก่ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และ นักบวช ซึ่งเหล่าเทพยดาได้เชิญชวนกันมานิรมิต ให้ทอดพระเนตรตลอดเส้นทางพระดำเนิน ทำให้พระองค์ทรงเกิดมีความทุกข์ในพระหฤทัย และเกิดความเบื่อหน่ายในกามสุข อยากจะเสด็จออกพนวชเพื่อค้นหาความจริงของชีวิต ซึ่งต่อมาพระองค์ได้บรรลุสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ในจำนวนเทวทูตทั้ง 4 ที่ได้ออกมาแสดงตนแก่พระสิทธัตถะจนเป็นเหตุให้พระองค์ออกผนวชนั้น "คนแก่" ถือเป็นมูลเหตุที่น่าจะสำคัญที่สุด เพราะได้ทำให้พระองค์สลดพระทัย ครุ่นคิดถึงตัวพระองค์เองว่าอีกไม่ช้าไม่นาน พระองค์จะต้องประสบกับภาวะดังกล่าวด้วยพระองค์เอง และแล้วในราตรีหนึ่ง พระสิทธัตถะได้ทรงตื่นบรรทม รับสั่งนายฉันนะ อำมาตย์ ให้นำม้ากัณฐกะออกไปส่งพระองค์ ณ ริมฝั่งแม่น้ำอโนมานที หลังจากทรงข้ามแม่น้ำพ้นเขตกรุงกบิลพัสดุ์แล้ว พระองค์ทรงปลงพระโมลี อธิษฐานจิตขอถือเพศบรรพชิตนับแต่นั้น

เราเชื่อตลอดมาว่า ความแก่ เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่กำลังหาทางที่จะหยุดยั้งเจ้าสิ่งนี้ มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากขึ้นมากขึ้นทุกที ที่เชื่อว่าอีกหน่อยมนุษย์จะอยู่ได้เกิน 100 ปี และตามทฤษฎีแล้ว เราน่าจะยืดอายุของคนเราให้อยู่ได้เป็น 1,000 ปีเสียด้วยซ้ำ ไมเคิล โรส (Michael Rose) ศาสตราจารย์ทางด้านชีววิทยาวิวัฒนาการ แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เออร์วิน (UC Irvine) ผู้สร้างผลงานก้องโลกในการยืดอายุแมลงวัน กล่าวว่า "ผมทำวิจัยด้านอมตะศาสตร์ครับ เมื่อสัก 20 ปีก่อนหน้านี้ ใครก็ตามที่เสนอแนวคิดเรื่องการชะลอการแก่ จะถูกมองเป็นตัวประหลาด หรือไม่ก็หลุดโลกไปเลย แต่ตอนนี้สิครับ มีแต่ใครๆ พูดถึงมันว่าไอเดียนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปได้"

รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ค่อนข้างให้ความสนใจในเรื่องของชราศาสตร์ และ อมตะศาสตร์ ไม่เช่นนั้นก็คงจะไม่ทุ่มเงินวิจัยลงไป สำหรับเรื่องเหล่านี้ เป็นเงินถึง 2.4 พันล้านเหรียญต่อปี (หรือประมาณ 95,000 ล้านบาทต่อปี) หรอกครับ การวิจัยในเรื่องของชราศาสตร์ เพื่อเป้าหมายในการยืดอายุขัยของมนุษยชาติ ก่อนหน้านี้จะมองไปที่พันธุศาสตร์ หรือ Genetics เป็นหลัก แต่ในปัจจุบันนี้ ศาสตร์นี้อาศัยหลากหลายศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นตัวคูณที่ทำให้เกิดอัตราเร่งในงานวิจัยด้านนี้


ถึงแม้ มนุษย์เกือบทุกคน อยากใช้ชีวิตนานๆ เท่าที่จะนานได้ แต่ใช่ว่าทุกคนจะเห็นด้วยกับการยืดอายุขัยของมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งไม่อยากให้มีการยืดอายุขัยของคน เพราะเกรงว่าจะทำให้จำนวนประชากรของมนุษย์ล้นโลก และคนเหล่านี้ยังเห็นความจำเป็นที่จะต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย และเชื่อว่ามนุษย์เราถูกกำหนดมาให้แก่และต้องตายทุกคน แต่คนที่เชียร์เรื่องนี้ขาดใจ กลับเห็นว่า เป็นการกลัวที่ไม่เข้าเรื่อง โดยให้เหตุผลว่า การที่ประชากรโลกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็จะมีกำลังสมองมากขึ้นๆ และจะเป็นตัวเร่งทำให้เกิดความก้าวหน้าในเรื่องอวกาศ มนุษย์สามารถระบายประชากรส่วนหนึ่งไปอยู่ดาวดวงอื่นๆได้

01 มิถุนายน 2552

Scent of Love - กลิ่นไอรัก


ท่านผู้อ่านที่เลี้ยงสุนัขอยู่ อาจจะเคยสังเกตว่าเวลาใครมาที่บ้าน สุนัขมักจะเข้าไปขอดมกลิ่นตัว บางทีมันจะวนเวียนเข้าไปดมอยู่หลายครั้ง ถ้าหากใครที่เคยมาบ้านเราเมื่อนานมาแล้ว และคนๆนั้นเป็นคนที่เคยดีต่อมัน หลังจากดมกลิ่นแล้วมันจะกระดิกหางดีใจทันที เชื่อไหมครับว่าจริงๆแล้วมนุษย์เราก็มีความสามารถในการจดจำกลิ่นตัวของมนุษย์ได้เช่นเดียวกัน แต่เราไม่ค่อยได้ใช้มันเท่าไรนัก ผมมีลูก 2 คน และตัวผมเองก็สามารถจดจำกลิ่นตัวของลูกทั้งสองคนได้ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร ลูกชายและลูกสาวของผมมีกลิ่นแก้มที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นกลิ่นที่ผมจำได้ขึ้นใจ

ก่อนหน้านี้ นักวิจัยได้ทำการศึกษากลิ่นตัวจากหนู พบว่าหนูแต่ละตัวมีกลิ่นตัวที่แตกต่างกัน ซึ่งทำให้หนูตัวอื่นจำแนกแยกแยะ และระบุได้ว่า หนูตัวไหนเป็นตัวไหน นักวิจัยยังสามารถระบุกลุ่มยีนที่มีอิทธิพลต่อกลิ่นตัวของมันได้อีกด้วย ซึ่งมีอย่างน้อย 50 ยีน โดยยีนกลุ่มนี้มีชื่อว่า Major Histocompatibility Complex (MHC) ซึ่งยีนกลุ่มนี้ก็ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย นักวิจัยพบว่าหากยีนดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไป แม้เพียงยีนเดียว ก็ทำให้คนเรามีกลิ่นตัวเปลี่ยนไปอย่างมาก ในสัตว์จำพวกหนูนั้น กลิ่นตัวจะมีผลตัวการเลือกคู่ เป็นที่ทราบกันมาบ้างว่าตัวเมียจะเลือกตัวผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่แตกต่างจากมัน คืออาจมียีนตัวที่มันไม่มี เพื่อให้ลูกน้อยในอนาคตของมันมีส่วนผสมของระบบภูมิคุ้มกันที่หลากหลาย ผลจากการวิจัยในมนุษย์ก็ให้ผลเช่นเดียวกันครับ คุณสุภาพสตรีจะพึงพอใจกับคุณผู้ชายที่มียีน MHC แตกต่างไปเล็กน้อยจากเธอ โดยเธอจะไม่ชายตาเหลียวแลผู้ชายที่มียีน MHC เหมือนกับเธอเปี๊ยบ หรือไม่ก็แตกต่างไปอย่างสุดขั้ว ความสามารถในการเลือกคู่ที่จะทำให้ลูกน้อยในอนาคตของเธอมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีนั้น ก็มาจากความสามารถในการได้กลิ่นไอรักของเธอนั่นเอง

30 พฤษภาคม 2552

The Science of Aging - ชราศาสตร์: ศาสตร์แห่งการแก่ (ตอนที่ 1)


ในคืนวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 เมื่อเกือบสองพันหกร้อยปีมาแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงปฐมเทศนา แก่ปัญจวคีย์ทั้ง 5 ซึ่งการแสดงธรรมในครั้งนั้นเป็นผลให้มีพระรัตนตรัยเกิดขึ้นครบองค์บริบูรณ์ เทศนากัณฐ์แรกขององค์ตถาคตนั้นรู้จักกันดีในนามว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ซึ่งว่าด้วยเรื่องของอริยสัจสี่ ปฏิปทาที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์คือมรรคมีองค์แปด และส่วนที่สุดสองอย่างอันบรรพชิตไม่ควรเสพ พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมในเรื่องของความทุกข์อันเกิดจาก ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ในที่สุดของความทุกข์ 4 อย่างนี้ ความแก่เป็นความทุกข์ของมนุษยชาติ และเป็นปริศนาที่วิทยาศาสตร์ต้องการไขกุญแจความลับในเรื่องนี้มาโดยตลอด


อะไรที่เป็นกลไกควบคุมเรื่องความแก่ สัตว์อย่างเต่าสามารถมีอายุยืนยาวได้นานนับร้อยๆ ปี แต่ทำไมสัตว์ขนาดเดียวกันชนิดอื่นถึงอยู่ได้แค่ 10 ปี หนูมีอายุขัยประมาณ 2 ปีแต่ญาติห่างๆของมันคือกระรอกกางปีก กลับอยู่ได้เป็น 20 ปี ไม่ต้องอะไรมาก ลิงชิมแปนซี ญาติห่างๆของเราที่มีรหัสพันธุกรรม 99% เหมือนกับพวกเรา แต่พวกเรามีอายุขัยมากกว่าพวกมันถึง 2 เท่า


สถาบันชราศาสตร์แห่งชาติ (National Institute on Aging หรือ NIA) เป็นองค์กรหลักแห่งหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ทำวิจัยเรื่องนี้โดยตรง พร้อมกับให้ทุนวิจัยแก่มหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อทำวิจัยเพื่อไขปริศนาของการแก่ วิธีการหนึ่งทีเขาใช้ก็คือคอยติดตามดูว่ายีนตัวไหนที่ออกฤทธิ์หรือแสดงออก (Gene Expression) บ้างเมื่อเนื้อเยื่อต่างๆ เริ่มแก่ลง ซึ่งจะติดตามดูพร้อมๆกันในเนื้อเยื่อหลายๆ แห่ง ว่ายีนทำงานมากขึ้นหรือน้อยลง ซึ่งจะนำไปสู่ความสัมพันธ์ของกลไกการแสดงออกของรหัสพันธุกรรม นักวิจัยพบว่าเนื้อเยื่อแต่ละชนิดแสดงอาการแก่ไม่เท่ากันเมื่อเวลาผ่านไป ด้วยเทคนิคที่พัฒนาขึ้นนี้ นักวิจัยสามารถที่จะติดตามการแสดงออกของยีนนับพันตัว ได้พร้อมๆกันในเนื้อเยื่อ 16 แห่ง ซึ่งทำให้สามารถเฝ้าดูรูปแบบหรือ Pattern ของการทำงานของยีนในเนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆที่กำลังแก่ ว่ามีลักษณะอย่างไร


ก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าปัจจัยหลัก 2 อย่างที่ทำให้สัตว์โลกทั้งหลายต้องแก่ตัวลง คือ (1) การเสียหายของเนื้อเยื่อ (2) เมตาบอลิซึ่มที่เกิดช้าลง แต่งานวิจัยในระยะหลังๆ นี้กลับพบว่า ในการศึกษาหลายๆ ครั้ง กลับมีผลที่ขัดแย้งกันเอง เช่น การแสดงออกของยีน เนื้อเยื่อในตับ สมอง และ กล้ามเนื้อ ไม่ค่อยจะเปลี่ยนไปนักเมื่อสัตว์แก่ลง ในขณะที่เนื้อเยื่อในปอด ตา และไทมัส มีการแสดงออกของยีนเปลี่ยนแปลงเยอะมาก


ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 2,500 ปีที่แล้ว ก่อนที่พระพุทธองค์จะทรงดับสังขารเพื่อเสด็จสู่ปรินิพพาน ใต้ต้นสาละ เมืองกุสินาราพระองค์ทรงได้ให้ปัจฉิมโอวาทแด่พระภิกษุสงฆ์ที่เข้าเฝ้าอยู่ ณ ที่นั้น ความว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอันว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่นให้ บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด”


ชราศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่กำลังมาแรงในศตวรรษนี้ครับ เพราะเทคโนโลยีระดับโมเลุกล และนาโนเทคโนโลยี ได้เปิดมุมมองหลายๆอย่าง ทำให้เราเข้าใจในเรื่องของความแก่มากขึ้น แต่ท้ายที่สุด เทคโนโลยีของเราจะสามารถเอาชนะการเสื่อมถอยของสังขารได้หรือไม่ เวลาเท่านั้นที่ตอบได้ ........