22 ธันวาคม 2555

BIG DATA - ยุคข้อมูลใหญ่มหึมา มาถึงแล้ว (ตอนที่ 2)



ในยุคที่ระบบเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เชื่อมโยงกันทั้งโลก ทำให้การจะทำอะไรสักอย่างที่เมื่อก่อนเราคิดว่ามันง่าย กลับกลายเป็นเรื่องยาก สิ่งที่เราคิดว่าถูกสำหรับสังคมเรา อาจจะเป็นสิ่งที่ผิดในสังคมโลก ซึ่งหากเราจะฝืนเชื่อในแบบของเราต่อไปไม่แคร์ประเทศอื่นก็คงทำได้แต่ไม่ยั่งยืน แม้แต่ประเทศที่เคยปิดตัวเองและคิดว่าตัวเองสามารถอยู่ได้ไม่ต้องพึ่งใครอย่างพม่า สุดท้ายก็ต้องเปิดประเทศ อดีตนายกฯ ทักษิณของไทยถูกศาลอาญาประเทศไทยสั่งจำคุกดดีที่ดินรัชดาฯ กลายเป็นผู้ร้ายข้ามแดนที่ต้องหลบหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ แต่กลับกลายเป็นว่าตัวเขาเองสามารถเดินทางไปไหนต่อไหนได้ทั่วโลกอย่างไม่จำกัด โดยตำรวจสากลไม่สนใจที่จะแตะต้องหรือนำตัวส่งกลับประเทศไทยแต่อย่างใด นั่นแสดงว่า โลกไม่ได้ให้ความสนใจต่อคำตัดสินของศาลไทย แถมกลับมองเห็นว่าคำสั่งศาลไทยเป็นคำสั่งที่ไม่มีความหมายในเวทีโลก  แต่เมื่อเทียบกับอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ ที่เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อจะเดินทางไปยังต่างประเทศ กลับถูกปฏิเสธไม่ให้ไป ไม่ว่าจะเป็น เขมร บรูไน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดิอารเบีย รัสเซีย   ยุทธการโลกล้อมประเทศไทยนี้ ทำให้เกิดคำถามว่า คนในประเทศของเรานั้น มีศักยภาพในการเท่าทันพลวัตในมิติต่างๆ ของเวทีโลกอันซับซ้อนนี้หรือไม่

ระบบเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันทั้งโลกนี้ ทำให้ความเป็นตัวของตัวเองทางด้านวิถีชีวิตก็เป็นไปได้ยากมากๆ ทุกอย่างต้องไหล ต้องพลิ้วไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งโลก คนที่ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จะเข้าใจดีว่า ราคาทอง น้ำมัน และหุ้น มีความอ่อนไหวกับแทบจะทุกๆ เรื่องที่ไม่ได้เกิดในเมืองไทย เช่น ปัญหาหนี้ยุโรป ปัญหาหน้าผาการคลังในสหรัฐฯ ปัญหาเงินฝืดในญี่ปุ่น ปัญหาเศรษฐกิจในจีน  ในระยะหลังๆ มีกระแสเงินทุนไหลเข้าอาเซียนมาก ทำให้ราคาหลักทรัพย์ต่างๆ ของอาเซียนเพิ่มขึ้นอย่างมากมายจนเอาไม่อยู่ ถ้าคุณจะเล่นหุ้นสักตัวในตลาดหุ้น ก็จะพบว่าวัน ๆ คุณจะเจอกับข้อมูล Big Data จำนวนมหาศาลที่จะไหลเข้ามาเพื่อให้คุณวิเคราะห์และตัดสินใจว่าจะซื้อหรือจะขายหุ้นตัวนั้นดี ซึ่งเป็นข้อมูลที่ทั้งเกี่ยวและไม่เกี่ยวกับบริษัทนั้น คุณจะต้องดูให้หมดทั้งเรื่องการเมือง แนวโน้มต่างๆ ทั้งในประเทศไทยและในโลก

ผมยกตัวอย่าง ผมมีหุ้นตัวหนึ่ง เป็นบริษัที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและขายอาหารสัตว์ มาดูกันครับว่า ราคาของหุ้นตัวนี้จะขึ้นกับอะไรบ้าง 

ผมซื้อหุ้นตัวนี้เพราะความที่ผมมีความหลงไหลเรื่องของเกษตรเป็นทุนอยู่แล้ว หุ้นตัวนี้ไม่ค่อยมีใครสนใจ เพราะมันเป็นหุ้นเกษตรที่เติบโตเป็นวัฏจักร ราคาหุ้นตัวนี้ไม่แพง (ต่ำกว่า 10 บาท) ให้ปันผลปีละประมาณ 6-10% ซึ่งผมก็พอใจกับผลตอบแทนประมาณนี้ สำหรับหลายๆ คนมองว่าหุ้นตัวนี้น่าเบื่อ เพราะว่าราคามันไม่ไปไหนเลยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แต่ผมเห็นว่าเป็นบริษัทที่มีความมั่นคง เพราะบริษัทนี้มีกระแสเงินสดดี ไม่ค่อยมีหนี้ แถมมีกำไรสะสมเป็นพันล้าน ถึงแม้ผลประกอบการในปี 2555 นี้จะไม่เติบโตเนื่องมาจากต้นทุนด้านวัตถุดิบปีนี้มีราคาค่อนข้างสูง อันเนื่องมาจากปัญหาภัยแล้งในปีก่อนหน้า ทำให้ราคาข้าวโพดแพงมาก แต่ราคาอาหารสัตว์กลับไม่ได้ปรับขึ้น อย่างไรก็ดี จากการดูราคาข้าวโพดล่วงหน้า ส่งมอบในเดือนมีนาคม 2556 มีราคาถูกลงมาก อันเนื่องมาจากพายุแซนดี้ทำให้เกิดฝนตกมากในสหรัฐฯ เมื่อเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา ทำให้จะมีผลผลิตข้าวโพดเพิ่มขึ้นมากจนทำให้ราคาส่งมอบลดต่ำลง ดังนั้น ในปีหน้าหุ้นตัวนี้น่าจะมีผลประกอบการดี ซึ่งจะส่งผลให้มีเงินปันผลสูงขึ้น และเมื่อเงินปันผลสูงขึ้น นักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นตัวนี้ก็จะสนใจแล้วเข้ามาซื้อ ทำให้ราคาของหุ้นตัวนี้สูงขึ้นมาก ซึ่งก็จะทำให้ผมสามารถทำกำไรจากหุ้นตัวนี้ได้ในปีหน้า

แค่นี้ก็น่าจะเป็นข่าวดี แต่ทว่า ... ในชีวิตจริงมันไม่ง่ายอย่างนั้นเลยครับ เพราะอาหารสัตว์จะขายได้ดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับมีคนเลี้ยงสัตว์เพื่อการบริโภคมากหรือไม่ ซึ่งในที่นี้คือ หมู เมื่อมีคนเลี้ยงหมูมาก ก็จะใช้อาหารสัตว์มาก ซึ่งก็จะทำให้บริษัทที่ผมถือหุ้นอยู่นี้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่ว่า เมื่อมีคนเลี้ยงหมูมาก ก็จะเกิด supply ขึ้นในตลาดจำนวนมาก ทำให้ราคาเนื้อหมูลดต่ำลง ซึ่งก็จะทำให้คนเลี้ยงหมูได้กำไรน้อยลง คนเลี้ยงหมูก็อาจจะพยายามลดต้นทุนด้วยการเลี้ยงหมูน้อยลง ใช้อาหารหมูจากบริษัทนี้น้อยลง โดยผสมอาหารจากธรรมชาติเข้าไปด้วย บริษัทที่ผมถือหุ้นอยู่ก็อาจจะต้องลดราคาอาหารสัตว์ลงเพื่อจูงใจให้มีการซื้อมากขึ้น หรือหากคงราคาเดิมไว้ ก็จะมียอดขายลดลง แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน การที่คนเลี้ยงหมูมากขึ้น ก็ไม่จำเป็นที่จะส่งผลดีต่อกิจการที่ผมซื้อหุ้นไว้เสมอไป ราคาของหุ้นตัวนี้ที่จะผมหวังจะทำกำไรให้ผมสูงๆ ได้ ก็จะขึ้นลงเป็นวัฏจักร ... แน่นอน ถ้าผมต้องการทำกำไรจากหุ้นตัวนี้ ผมจะต้องทำการบ้านที่หนักหน่วง กับข้อมูลปัจจัยต่างๆ ที่จะมีผลต่อราคาหุ้นตัวนี้ มันเป็นข้อมูลที่ใหญ่ เป็น Big Data จริงๆ

ในช่วงปลายปี 2555 ได้เกิดปรากฏการณ์ที่เงินทุนไหลเข้าเรียกว่า Fund Flow ไหลเข้ามาทางเอเชียเป็นประวัติการณ์ ทำให้ดัชนีหลักทรัพย์ของไทยไหลขึ้นอย่างน่าตกใจ ราคาหุ้นยกตัวแทบจะทั้งกระดาน แต่หุ้นเกษตรตัวนี้ของผมกลับไม่กระดิกไปไหน มันยังขึ้นๆ ลงๆ ตามปริมาณการซื้อขายไปมาเล็กๆ น้อยๆ นักลงทุนส่วนมากมองว่าหุ้นตัวนี้น่าเบื่อที่สุด แต่มันกลับเป็นหุ้นสุดเลิฟของผม และผมเชื่อว่ามันจะเป็นหุ้นที่ดีต่อไป และทำกำไรให้ผมได้อย่างยั่งยืน ......

12 ธันวาคม 2555

Connectome - คอนเน็คโทม (ตอนที่ 5)




(ภาพจาก http://wallpapersup.net/tom-clancys-ghost-recon/)

ในบริบทของสงครามการสู้รับแห่งโลกปัจจุบัน ได้แบ่งยุทธภูมิออกเป็น 4 โดเมน คือ บก น้ำ อากาศ และ อวกาศ โดยในระยะหลัง ๆ นี้ สงครามได้พัฒนาออกไปอีกจนครอบคลุมโดเมนที่ 5 นั้นคือ Cyberspace ดังนั้นกองทัพที่ทันสมัยในศตวรรษที่ 21 จึงต้องมีการจัดทัพถึง 5 ทัพตามโดเมนที่กล่าวมา .... ทว่า ... ยังมีอีกโดเมนหนึ่งที่กำลังทวีความสำคัญ และจะทำให้มิติของการทำสงครามมีความซับซ้อนมากขึ้นไปอีก โดเมนใหม่นี้ก็คือ ..... สมองและจิตใจของนักรบ

จะว่าไปแล้วการรบในอดีต เรื่องของสมองและจิตใจของทหารก็ถูกนำมาใช้ในการกำหนดยุทธศาสตร์ ซึ่งโดยมากจะทำเพื่อให้ฝ่ายที่มีกำลังน้อยกว่าสามารถสู้รบกับกองทัพขนาดใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามได้ ดังเช่น เมื่อครั้งที่ขงเบ้งกำลังจะสิ้นลมนั้น แม้กองทัพของพระเจ้าเล่าเสี้ยนจะถึงซึ่งความโศกาอาดูรแต่เพียงใด ก็จำต้องนำศพของขงเบ้งขึ้นนั่งแท่นบัญชาการรบ ตามอุบายที่ขงเบ้งกำชับไว้ก่อนเสียชีวิต นัยว่าเมื่อกองทัพของสุมาอี้เห็นศพของขงเบ้งแล้ว ก็จักเข้าใจผิดคิดว่าขงเบ้งยังมีชีวิตอยู่ ด้วยความเกรงกลัวกลอุบายต่างๆ ของขงเบ้ง สุมาอี้ได้สั่งให้ชะลอทัพไว้ไม่ให้เข้าตีทัพของขงเบ้ง ซึ่งกำลังล่าทัพกลับเข้าไปยังเมืองเสฉวน แม้ชีวิตของท่านจะวายชนม์ไปแล้วก็ตาม ศพของท่านก็ยังช่วยทำให้กองทัพถอยกลับเข้าที่ตั้งอย่างปลอดภัย ช่วยรักษาชีวิตทหารได้หลายหมื่นค หรือแม้แต่สำหรับประเทศไทยเอง องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็ทรงใช้ยุทธวิธีในการสร้างความเกรงกลัวแก่ทหารพม่าอยู่บ่อยครั้ง นำกองทัพไทยเอาชนะในทุกสมรภูมิ ทั้งๆ ที่มีกำลังพลน้อยกว่าหลายเท่าตัว

ปัจจุบัน กองทัพสหรัฐฯ ได้ให้ความสนใจต่อโดเมนของสมองและจิตใจเป็นอย่างมาก และได้ลงทุนวิจัยเป็นเม็ดเงินมหาศาล เพื่อค้นหาความลับในการทำงานของสมอง ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ การตอบสนองต่อสภาวะกดดันต่าง ๆ ในสนามรบ ไปจนถึงการนำสัญญาณสมองมาใช้เพื่อควบคุมจักรกลต่าง ๆ ที่ใช้ในสงคราม (Brain Computer Interface หรือ BCI) รัฐบาลสหรัฐฯ เองได้จัดสรรงบประมาณให้แก่โครงการ Human Connectome Project เพื่อจัดทำแผนที่การทำงานของสมองมนุษย์ในระดับเซลล์ประสาท นัยว่านอกจากจะมีคุณูปการต่อวงการวิทยาศาสตร์ และสาธารณสุขแล้ว ยังจะส่งผลให้กองทัพสหรัฐฯ สามารถนำไปต่อยอดเพื่อพัฒนาอาวุธที่ทรงอานุภาพในการเป็นมหาอำนาจทางทหารอย่างไร้เทียมทาน

BCI สามารถนำมาใช้งานในสนามรบได้กว้างขวางไม่ว่าจะเป็นการใช้สมองควบคุมอากาศยาน รถถัง อาวุธต่าง ๆ ทำให้หน่วยรบมีความคล่องตัวในการใช้อาวุธเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย สัญญาณประสาทสามารถนำไปใช้ควบคุมอุปกรณ์ที่เพิ่มสมรรถนะมนุษย์ (Human Performance Enhancement) อย่างชุดกระดอง Exoskeleton ที่เมื่อทหารสวมใส่เข้าไปแล้ว จะสามารถแบกสัมภาระในมากกว่าปกติ สามารถยกอาวุธอย่างปืนกล M60 ได้อย่างสบาย นอกจากนั้น BCI ยังอาจใช้กับทหารที่บาดเจ็บในสนามรบ เพื่อติดต่อทางความคิดกับผู้ช่วยเหลือ หรือแม้แต่ทหารพิการสามารถใช้มันเพื่อควบคุม แขนและขากล (Bionic Amputees)

คลื่นลูกใหม่ของเทคโนโลยีทางด้านสมองและจิตใจกำลังจะถาโถมเข้ามาทั้งในระบบเศรษฐกิจ และการทหาร ประเทศไทยของเราเมื่อไหร่จะตื่นรับรู้เรื่องนี้กับเขาบ้างหนอ .....