แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ mind sciences แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ mind sciences แสดงบทความทั้งหมด

02 สิงหาคม 2556

Memetics Engineering - วิศวกรรมเปลี่ยนความคิดคน (ตอนที่ 1)



(Picture from http://www.npr.org/ แสดงให้เห็นการพับกระดาษชำระหน้าชักโครก ในโรงแรมต่างๆ ทั่วโลก ที่มักจะพับเป็นรูป V shape ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนพับคนแรก แล้วพับเพื่ออะไร แต่ Meme อันนี้มันได้ระบาดไปทั่วโลก แล้วยังมีวิวัฒนาการออกเป็นรูปร่างต่าง ๆ อย่างที่เห็นในภาพ)

ในปี ค.ศ. 1976 ริชาร์ด ดอว์กิน (Richard Dawkins) ปรมาจารย์ทางด้านชีววิทยาวิวัฒนาการ ได้ตีพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า The Selfish Gene (ยีนเห็นแก่ตัว) หนังสือเล่มนี้ซึ่งเป็นหนังสือที่ขายดีมากๆ (Bestseller) ได้มีการเสนอแนวคิดที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง ซึ่งดอว์กินเรียกมันว่า "มีม" (Meme) โดยเขาได้นิยามว่า มันเป็นอาการทางนามธรรม ที่มีความสามารถในการแพร่พันธุ์หรือขยายจำนวนได้ ไม่ว่าจะเป็น แนวความคิด สัญลักษณ์ อาการต่างๆ พฤติกรรม เมโลดี้ของดนตรี ถ้อยคำ ความเชื่อทางศาสนา แฟชั่น แบบบ้าน และอื่นๆ อีกมากมาย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ พอเกิดขึ้นมาแล้ว มันจะมีวิวัฒนาการ มีการขยายตัว มี mutation มีการคัดเลือกตามธรรมชาติ เสมือนมันเป็นสิ่งมีชีวิต มันอาจอยู่ได้นาน หรือ อาจตายไปในเวลาอันสั้น บางครั้ง meme มันขยายจำนวนไปมากๆ จนกลายมาเป็นสิ่งที่นิยมปฏิบัติกันไปเลย

ผมจะขอยกตัวอย่าง Meme ที่เกิดขึ้น จากนั้นก็แพร่พันธุ์ และวิวัฒนาการ ในสมองของคนไทย

- การทำบุญ 9 วัด เป็น meme ที่เกิดขึ้นจากคนกลุ่มเล็กๆ จากนั้นมันได้ขยายตัว และมีวิวัฒนาการไปด้วยระหว่างที่มันเพิ่มจำนวน จากเดิมการทำบุญ 9 วัด ทำกันในหมู่ผู้สูงอายุ แต่ตอนนี้คนหนุ่มสาวก็นิยม กลายเป็นทัวร์ แถมมีทัวร์ไปเมืองจีนไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ 9 แห่งเข้าไปอีก

- การที่คนนิยมไปเที่ยวปาย ต่อมาก็เชียงคาน ตอนนี้กำลังจะไปบูมที่เมืองน่าน การที่คนแห่แหนกันไปเที่ยวอัมพวา เดอะปาลิโอที่เขาใหญ่ ซานโตรินีพาร์คที่ชะอำ ล้วนเป็นการเอาอย่างกัน ทำตามกันทั้งสิ้น นั่นก็เพราะเจ้า Meme ได้แพร่ระบาดไปในสมองของคนเหล่านั้นนั่นเอง

- การมีกิ๊ก ก็เป็นการเอาอย่างกัน เป็น Meme ที่แพร่พันธุ์ในสมองคนไทยมาสักประมาณไม่น่าจะเกิน 10 ปีครับ แต่ก่อนนั้นเราเรียกการกระทำนี้ว่า "ชู้" แต่พอเปลี่ยนมาเป็น "กิ๊ก" แล้วดูเก๋ไก๋ ทำให้เจ้า Meme นี้ขยายตัวมากจนเกินขอบเขตและสร้างปัญหาสังคมขึ้นมามากมาย

- การเต้นโคโยตี้อย่างเอิกเกริกในงานต่างๆ แต่ก่อนเราเรียกการเต้นอย่างนี้ว่าจั๊มบ๊ะ ซึ่งต้องเต้นกันในสถานที่บันเทิงที่ขออนุญาต ไม่ได้เต้นโชว์กันอย่างเปิดเผยในงานมอเตอร์โชว์เหมือนเดี๋ยวนี้ คำว่า "โคโยตี้" มันก็มาจากภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง "Coyote Ugly" ที่นางเอก 3 คนเต้นโชว์ในผับ ซึ่งจากนั้น การเต้นจั๊มบ๊ะก็มาเปลี่ยนเป็นเต้นโคโยตี้ ซึ่งทำให้ฟังดูดี แล้วสังคมยอมรับมันมากขึ้นจนสามารถมาเต้นในที่สาธารณะได้ ... นี่ก็เป็นวิวัฒนาการของเจ้า Meme ตัวนี้นั่นเองครับ

- ความนิยมในการใช้ Line ก็เป็น Meme อย่างหนึ่งครับ คนส่วนใหญ่ ไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้ แค่เอาอย่างกัน

- ลัทธิธรรมกาย นี่ก็เป็น Meme อย่างหนึ่ง ซึ่งฝังตัวในสมองของคนกลุ่มหนึ่งอย่างเหนียวแน่น ซึ่งมันได้พยายามแพร่พันธุ์ไปสู่ผู้คนจำนวนมาก คนที่ถูกเจ้า Meme นี้ยึดครองจะยอมมอบกายถวายเงินให้แก่เจ้าลัทธิโดยไม่รู้ตัว

จะเห็นได้ว่า Meme เป็นอาการนามธรรมคล้ายๆ กับซอฟต์แวร์ ซึ่งต้องอาศัยบนฮาร์ดแวร์ที่เป็นสมอง จะมองว่า Meme นั้นเป็นไวรัสแบบหนึ่งก็ได้ครับ คือเมื่อมันฝังตัวบนพาหะได้แล้ว มันจะพยายามเพิ่มจำนวนให้มากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ใช่ว่ามันจะประสบความสำเร็จเสมอไป Meme บางตัวเพิ่มจำนวนรวดเร็วแต่แล้วกลับลดจำนวนลงแล้วสูญพันธุ์ไปในเวลาไม่นาน Meme บางตัวเพิ่มจำนวนไปเรื่อยๆ แต่ถูกรุกรานจาก Meme ตัวใหม่แล้วกลายพันธุ์ไป การเข้าใจศาสตร์ของ Meme แล้วดัดแปลงให้มันทำงานตามที่เราต้องการ กำลังจะกลายเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มีทั้งประโยชน์มากมายมหาศาล และมีโทษภัยที่น่ากลัวมากครับ แล้วผมจะนำมาเล่าให้ฟังในวันหลังครับ

12 ธันวาคม 2555

Connectome - คอนเน็คโทม (ตอนที่ 5)




(ภาพจาก http://wallpapersup.net/tom-clancys-ghost-recon/)

ในบริบทของสงครามการสู้รับแห่งโลกปัจจุบัน ได้แบ่งยุทธภูมิออกเป็น 4 โดเมน คือ บก น้ำ อากาศ และ อวกาศ โดยในระยะหลัง ๆ นี้ สงครามได้พัฒนาออกไปอีกจนครอบคลุมโดเมนที่ 5 นั้นคือ Cyberspace ดังนั้นกองทัพที่ทันสมัยในศตวรรษที่ 21 จึงต้องมีการจัดทัพถึง 5 ทัพตามโดเมนที่กล่าวมา .... ทว่า ... ยังมีอีกโดเมนหนึ่งที่กำลังทวีความสำคัญ และจะทำให้มิติของการทำสงครามมีความซับซ้อนมากขึ้นไปอีก โดเมนใหม่นี้ก็คือ ..... สมองและจิตใจของนักรบ

จะว่าไปแล้วการรบในอดีต เรื่องของสมองและจิตใจของทหารก็ถูกนำมาใช้ในการกำหนดยุทธศาสตร์ ซึ่งโดยมากจะทำเพื่อให้ฝ่ายที่มีกำลังน้อยกว่าสามารถสู้รบกับกองทัพขนาดใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามได้ ดังเช่น เมื่อครั้งที่ขงเบ้งกำลังจะสิ้นลมนั้น แม้กองทัพของพระเจ้าเล่าเสี้ยนจะถึงซึ่งความโศกาอาดูรแต่เพียงใด ก็จำต้องนำศพของขงเบ้งขึ้นนั่งแท่นบัญชาการรบ ตามอุบายที่ขงเบ้งกำชับไว้ก่อนเสียชีวิต นัยว่าเมื่อกองทัพของสุมาอี้เห็นศพของขงเบ้งแล้ว ก็จักเข้าใจผิดคิดว่าขงเบ้งยังมีชีวิตอยู่ ด้วยความเกรงกลัวกลอุบายต่างๆ ของขงเบ้ง สุมาอี้ได้สั่งให้ชะลอทัพไว้ไม่ให้เข้าตีทัพของขงเบ้ง ซึ่งกำลังล่าทัพกลับเข้าไปยังเมืองเสฉวน แม้ชีวิตของท่านจะวายชนม์ไปแล้วก็ตาม ศพของท่านก็ยังช่วยทำให้กองทัพถอยกลับเข้าที่ตั้งอย่างปลอดภัย ช่วยรักษาชีวิตทหารได้หลายหมื่นค หรือแม้แต่สำหรับประเทศไทยเอง องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็ทรงใช้ยุทธวิธีในการสร้างความเกรงกลัวแก่ทหารพม่าอยู่บ่อยครั้ง นำกองทัพไทยเอาชนะในทุกสมรภูมิ ทั้งๆ ที่มีกำลังพลน้อยกว่าหลายเท่าตัว

ปัจจุบัน กองทัพสหรัฐฯ ได้ให้ความสนใจต่อโดเมนของสมองและจิตใจเป็นอย่างมาก และได้ลงทุนวิจัยเป็นเม็ดเงินมหาศาล เพื่อค้นหาความลับในการทำงานของสมอง ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ การตอบสนองต่อสภาวะกดดันต่าง ๆ ในสนามรบ ไปจนถึงการนำสัญญาณสมองมาใช้เพื่อควบคุมจักรกลต่าง ๆ ที่ใช้ในสงคราม (Brain Computer Interface หรือ BCI) รัฐบาลสหรัฐฯ เองได้จัดสรรงบประมาณให้แก่โครงการ Human Connectome Project เพื่อจัดทำแผนที่การทำงานของสมองมนุษย์ในระดับเซลล์ประสาท นัยว่านอกจากจะมีคุณูปการต่อวงการวิทยาศาสตร์ และสาธารณสุขแล้ว ยังจะส่งผลให้กองทัพสหรัฐฯ สามารถนำไปต่อยอดเพื่อพัฒนาอาวุธที่ทรงอานุภาพในการเป็นมหาอำนาจทางทหารอย่างไร้เทียมทาน

BCI สามารถนำมาใช้งานในสนามรบได้กว้างขวางไม่ว่าจะเป็นการใช้สมองควบคุมอากาศยาน รถถัง อาวุธต่าง ๆ ทำให้หน่วยรบมีความคล่องตัวในการใช้อาวุธเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย สัญญาณประสาทสามารถนำไปใช้ควบคุมอุปกรณ์ที่เพิ่มสมรรถนะมนุษย์ (Human Performance Enhancement) อย่างชุดกระดอง Exoskeleton ที่เมื่อทหารสวมใส่เข้าไปแล้ว จะสามารถแบกสัมภาระในมากกว่าปกติ สามารถยกอาวุธอย่างปืนกล M60 ได้อย่างสบาย นอกจากนั้น BCI ยังอาจใช้กับทหารที่บาดเจ็บในสนามรบ เพื่อติดต่อทางความคิดกับผู้ช่วยเหลือ หรือแม้แต่ทหารพิการสามารถใช้มันเพื่อควบคุม แขนและขากล (Bionic Amputees)

คลื่นลูกใหม่ของเทคโนโลยีทางด้านสมองและจิตใจกำลังจะถาโถมเข้ามาทั้งในระบบเศรษฐกิจ และการทหาร ประเทศไทยของเราเมื่อไหร่จะตื่นรับรู้เรื่องนี้กับเขาบ้างหนอ .....

16 สิงหาคม 2555

Connectome - คอนเน็คโทม (ตอนที่ 4)



(Picture from http://sciencemedicine.wordpress.com)

ปีนี้เป็นปีพุทธชยันตี 2,600 ปีแห่งการตรัสรู้ ซึ่งชาวพุทธได้ถือโอกาสแสดงการระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงบำเพ็ญเพียร สั่งสมบารมี ในฐานะพระโพธิสัตว์มายาวนานถึง 20 อสงไขยกับอีกเศษแสนมหากัปป์ เพื่อที่จะตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ นำสิ่งที่พระองค์ค้นพบนี้มาบอกกล่าวแก่ชาวโลก สิ่งที่เป็นความลับมานานแสนนาน นั่นคือเรื่องของวัฏสงสาร การเวียนว่ายตายเกิด ความลับที่เกี่ยวกับจิตใจ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงค้นพบตั้งแต่ 2,600 ปีที่แล้ว แต่วิทยาศาสตร์พึ่งจะมาตื่นตัวเมื่อไม่นานมานี้เอง

สิ่งที่วิทยาศาสตร์ข้องใจมานานแสนนาน นั่นคือ ตกลงจิตใจคืออะไร มาอยู่กับร่างกายได้อย่างไร นักประสาทวิทยาเกือบทั้งหมดมีความเชื่อแบบวัตถุนิยมว่า จิตใจ ไม่มีจริง .... ความคิด ความรู้สึก อารมณ์ สติสัมปชัญญะ ทั้งหมดเกิดที่สมอง สมองเป็นตัวทำงาน เป็นเครื่องจักรของความคิด ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อร่างกายแตกดับ สมองตาย ตัวเราก็ไร้ตัวตน มันจะตายไปกับร่างกายนั่นเอง ในความคิดส่วนตัว ผมคิดว่า ความเชื่อแบบนี้ค่อนข้างจะสุดโต่งไปหน่อย เพราะแท้ที่จริง วิทยาศาสตร์ไม่ได้ขัดขวางแนวคิดที่ว่า จิตใจ เป็นสิ่งที่แยกออกมาจากร่างกาย และสามารถถ่ายเทไปยังร่างกายใหม่ได้ เพียงแต่ว่า ความก้าวหน้าในศาสตร์ทางด้านนี้ยังอ่อนเยาว์ เรายังต้องการความรู้ ความเข้าใจอีกมาก และต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์ความเชื่อนี้

เมื่อปี ค.ศ. 2009 สถาบันสาธารณสุขแห่งชาติ (NIH) สหรัฐอเมริกา ได้อนุมัติให้ดำเนินโครงการ Human Connectome Project หรือ โครงการทำแผนที่สมอง ซึ่งมีเป้าหมายจะไขความลับการทำงานของจิตใจ โดยการทำแผนที่รายละเอียดการทำงานของสมองในระดับเซลล์ประสาทเลยทีเดียว คือ เข้าไปดูว่าเซลล์ประสาทเชื่อมต่อกันอย่างไร ซึ่งถือว่าเป็นงานมหาโหดมากๆ เพราะเซลล์ประสาทหนึ่งเซลล์ มีการเชื่อมต่อกับเซลล์อื่นๆ ถึงประมาณ 7,000 เซลล์ ลองคิดดูแล้วกันครับว่า สมองของเรามีเซลล์ประสาทอยู่ 100,000,000,000 เซลล์ มันจึงเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะทำแผนที่จุดเชื่อมต่อนั้นได้หมด

ดังนั้น สิ่งที่โครงการนี้จะทำ จะไม่ใช่การสแกนสมองทั้งหมด แต่จะทำการสะสมองค์ความรู้ไปเรื่อยๆ โดยเจาะโจทย์เล็กๆ ไปทีละข้อ สองข้อ ในการนี้ นักวิจัยจะศึกษาคนจำนวน 1200 คน ซึ่งมุ่งไปที่ฝาแฝด และพี่น้อง จากครอบครัว 300 ครอบครัวที่สมัครใจ ซึ่งจะทำให้สามารถทำแผนที่สมองในเรื่องของความเกี่ยวข้องทางพันธุกรรม ทำให้รู้ว่าแฝดที่เหมือนกันเป๊ะ จะมีความแตกต่างในสมองตรงไหนบ้าง

เครื่องมือสำคัญในการทำแผนที่สมองก็คือเครื่อง MRI (Magnetic Resonance Imaging) ซึ่งเราอาจจะเคยเห็น หรือคุ้นเคยกันบ้าง ในโฆษณา ละคร หรือ หนัง ที่เราจะเห็นเครื่องใหญ่ๆ มีรูตรงกลาง แล้วให้คนนอนนิ่งๆ อยู่ข้างในเครื่อง ซึ่งจะทำการสแกนกิจกรรมของเซลล์ที่สนใจ โดยโครงการนี้จะมีการพัฒนาเครื่อง MRI ที่มีรายละเอียดสูง เพื่อติดตามการทำงานของเซลล์สมอง

วันหลังมาคุยกันต่อนะครับ ......

09 มิถุนายน 2555

Artificial Consciousness - สติประดิษฐ์ (ตอนที่ 2)


ในทางพระพุทธศาสนา สติ แปลว่า "ความระลึกได้ ความนึกขึ้นได้ ความไม่เผลอ ฉุกคิดขึ้นได้ การคุมจิตไว้ในกิจ หมายถึง อาการที่จิตนึกถึงสิ่งที่จะทำจะพูดได้ นึกถึงสิ่งที่ทำคำที่พูดไว้แล้วได้ เป็นอาการที่จิตไม่หลงลืม ระงับยับยั้งใจได้ ไม่ให้เลินเล่อพลั้งเผลอ ป้องกันความเสียหายเบื้องต้นยับยั้งชั่งใจไม่บุ่มบ่าม เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ความไม่ประมาท"

ในทางวิทยาศาสตร์ สติ คือ "การรู้ตัว การรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัว การตื่นตัวอยู่และมีความสามารถที่จะรับสัมผัสสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น รวมไปถึงความสามารถในการควบคุมตัวเอง" ความรู้ในทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าสติทำงานอย่างไร สติเกิดขึ้นมาจากกระบวนการในสมองได้อย่างไร นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ค่อยแน่ใจนักว่าสามารถที่จะสร้างคุณสมบัตินี้ในคอมพิวเตอร์ได้หรือไม่ นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มถึงกับบอกว่า ความรู้ที่มีในตอนนี้ยังไม่พอจะนิยามคำว่า "สติ" เสียด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์กลุ่มที่สนใจเรื่องสติประดิษฐ์ ก็ไม่ได้คาดหวังว่าเราจะต้องเข้าใจอะไรมากมายในเรื่องสติเสียก่อน ถึงจะทำอะไรได้ พวกเขาคิดว่าความรู้เรื่องนี้สามารถค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับพัฒนาการในเรื่องของ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม AI) ซึ่งถูกพัฒนามาก่อนหน้านี้หลายสิบปีแล้ว

ในทางปรัชญา สติมีองค์ประกอบใหญ่อยู่ 2 อย่างคือ (1) Access Consciousness หรือ สติที่เกี่ยวกับผัสสะ กับ (2) Phenomenal Consciousness สติในแง่มุมของปรากฏการณ์ อย่างเช่นสมมติว่าเรามองออกไปแล้วมองเห็นลูกบอล เจ้าตัว Access Consciousness จะทำงานโดยมันรับรู้แล้วบอกเราว่านั่นลูกบอลนะ จะเห็นว่าในแง่มุมของ Access Consciousness นี้ไม่ค่อยยาก เพราะเราสามารถโปรแกรมให้คอมพิวเตอร์ใช้การจดจำรูปแบบหรือ (pattern recognition) เพื่อให้จำแนกรู้ได้ว่านี่คือลูกบอล ซึ่งปัจจุบันเราก็ทำได้แล้ว แต่ถ้าเป็น Phenomenal Consciousness จะค่อนข้างซับซ้อนกว่า เพราะเกี่ยวข้องกับความรู้สึกทางอารมณ์ เช่น ความเจ็บปวด ความโกรธ ความกลัว แรงจูงใจ ความตื่นตัว การคาดเดาสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เช่น พอเราเห็นลูกบอลลอยมา สติประเภทนี้จะบอกให้รีบหลบไม่งั้นลอยมาลงหัวแน่

สำหรับความเป็นไปได้ในการสร้างสติประดิษฐ์ขึ้นมาบนแพล็ตฟอร์มอื่น ที่ไม่ใช่สมองมนุษย์นั้น นักวิทยาศาสตร์แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกมองว่าสติประดิษฐ์ไม่น่าจะสร้างขึ้นมาได้ ด้วยเหตุผลในเรื่องของฟิสิกส์ของวัสดุที่ประกอบขึ้นเป็นสมอง ซึ่งเกิดจากสารอินทรีย์ในธรรมชาติ กับวัสดุที่สร้างขึ้นมาเป็นคอมพิวเตอร์ องค์ประกอบย่อยๆ ที่แตกต่างกันนี้ เมื่อรวมกันขึ้นมาเป็นจักรกลแห่งความคิด (Thinking Machines) คือสมอง กับ คอมพิวเตอร์ นั้น สุดท้ายก็จะเกิดความแตกต่างขึ้นมากมาย ซึ่งมันก็มากพอที่จะทำให้เราไม่สามารถสร้างสติประดิษฐ์ให้เหมือนกับที่เรามีในสมอง

ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง ผมขอเรียกว่าพวก Blue Sky หรือกลุ่มฟ้าใส ซึ่งผมก็ขอเป็นสมาชิกของนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ครับ พวกฟ้าใสมองว่าอะไรๆ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น คนกลุ่มนี้กระตืนรื้อล้นเหลือเกินที่อยากให้เทคโนโลยีนี้เกิดขึ้น เพราะมันจะนำคุณประโยชน์มากมายมหาศาลมาสู่มวลมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้มองว่า สมองคือจักรกลอย่างหนึ่งที่ทำหน้าที่ต่างๆ สิ่งที่สมองคิดออกมา เป็นสถานภาพของหน้าที่ (Functionalities) ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความโกรธ ความกลัว รวมไปถึงเรื่องของสติได้ ดังนั้นหากเราโมเดลฟังก์ชันหน้าที่เหล่านั้นได้ด้วยคณิตศาสตร์และอัลกอริทึมต่างๆ เราก็สร้างสติประดิษฐ์ได้

แล้วมาคุยต่อนะครับ ......

02 มิถุนายน 2555

Artificial Consciousness - สติประดิษฐ์ (ตอนที่ 1)



เคยมีคนถามผมว่า อะไรคือ The Next Big Thing หรือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ครั้งต่อไปหลังยุคจีโนม ไอที และนาโนเทคโนโลยี ผมก็จะตอบเขาไปว่า Mind Sciences หรือ วิทยาศาสตร์ทางจิต คนส่วนใหญ่ทำหน้า งง หลายคนไม่เคยได้ยิน หรือ ไม่เคยคาดคิดว่า เรื่องที่วิทยาศาสตร์ถือว่าไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แม้กระทั่งเคยถูกกล่าวหาว่าเหลวไหลไม่มีจริง กำลังจะกลายมาเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ หรือ คลื่นลูกที่ 4 (The Fourth Wave) ในหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษย์

เมื่อร้อยปีที่แล้ว มนุษย์เราตื่นเต้นกับ "สิ่งที่เล็กที่สุด" อย่างอะตอมและโมเลกุล วิทยาศาสตร์พื้นฐานทั้งฟิสิกส์ เคมี ทุ่มเทความสนใจให้กับเรื่องที่เรามองไม่เห็นเพราะว่ามันเล็ก แต่ร้อยปีถัดไปจากวันนี้ เราจะตื่นเต้นกับ "สิ่งที่ลึกที่สุด" ซึ่งเป็นเรื่องที่เรามองไม่เห็น เพราะว่ามันเป็นนามธรรมในความรู้สึกของเรา เรื่องของจิตใจ อารมณ์และความรู้สึกนึกคิด นี่แหล่ะครับ จะเป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ในยุคต่อไปอยากค้นคว้า เพราะทุกวันนี้ เรามีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ (ในเชิงวิทยาศาสตร์) น้อยมากๆ

เมื่อ 200 ปีก่อนหลังเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม โลกเราทำมาค้าขายกันด้วยสินค้าอุตสาหกรรมที่ผลิตขึ้นมาเยอะๆ ผู้คนต่างย้ายถิ่นฐานจากไร่นาเข้าไปอยู่ในโรงงาน ทุกวันนี้เป็นยุคของไอที โลกเราทำมาค้าขายกันด้วยสินค้าความรู้ ประเทศที่ประชากรมีความรู้สูง ส่วนใหญ่ทำงานอยู่ที่บ้าน เศรษฐกิจโลกถูกขับเคลื่อนด้วยสารสนเทศและความรู้ มูลค่าของเศรษฐกิจไปอยู่ที่การแลกเปลี่ยนข้อมูล แลกเปลี่ยนสารสนเทศและความรู้กัน ถึงแม้เราจะบริโภคสิ่งของที่จับต้องได้มากขึ้นก็ตาม แต่เราก็บริโภคสิ่งของที่จับต้องไม่ได้มากขึ้นกว่าหลายเท่าตัว เรายอมเสียเงินเพื่อซื้อความบันเทิง ประสบการณ์ และความรู้
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตข้างหน้า สินค้าที่เราจะทำมาค้าขายกันจะเป็นเรื่องที่อยู่ภายในตัวมนุษย์นี่เอง นั่นคือ อารมณ์ ความรู้สึก จิตใจ เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น จะทำให้สิ่งที่เราจับต้องไม่ได้นี้ กลายเป็นสิ่งที่จะอยู่รอบๆ ตัวเราในทุกย่างก้าวของชีวิต ยุคแห่งคลื่นลูกที่สี่นี้ จะเป็นยุคที่จักรกลและมนุษย์ (Machine vs Man) มาเชื่อมโยงกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นยุคที่เราจะเข้าใจความเชื่อมโยงกันระหว่างสสารและจิตใจ (Mind vs Matter)  ซึ่งเป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์ไม่เคยย่างกรายเข้าไปในดินแดนนั้นเลย

ในบทความซีรีย์นี้ ผมจะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับศาสตร์ใหม่ที่จะมีความสำคัญเป็นอย่างมากในอนาคต นั่นคือ สติประดิษฐ์ หรือ Artificial Consciousness ซึ่งจะเป็นการนำสติหรือการระลึกรู้ถึงความเป็นตัวตน การมีอยู่ ความรู้สึกตัวในสภาวะธรรมต่างๆ รอบๆ ตัว ไปใส่ในจักรกล ซึ่งในอนาคต วัตถุต่างๆ สินค้าต่างๆ สภาพล้อมรอบตัวเรา บ้าน รถ อาคาร ถนนหนทาง อุปกรณ์ต่างๆ จะพัฒนาจากวัตถุที่ไม่มีชีวิตจิตใจ ไปสู่สภาพของชีวิตประดิษฐ์ (Artificial Life) สิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวเราจะสามารถรับรู้ สัมผัส และสื่อสารทางอารมณ์กับมนุษย์ได้ เรื่องของสติประดิษฐ์มีความสำคัญมาก เพราะเทคโนโลยีนี้จะทำให้จักรกล หรือ หุ่นยนต์ สามารถทำงานหรือ "ใช้ชีวิต" กับมนุษย์ได้อย่างราบรื่น

แล้วผมจะนำความก้าวหน้าในเรื่องนี้มาเล่าต่อไปในซีรีย์นี้นะครับ .....

17 พฤษภาคม 2555

Are We Simulated in Computer ? - ฤาโลกนี้เป็นเพียงฝัน (ตอนที่ 10)


ในทางพระพุทธศาสนานั้นภพภูมิที่เรียกว่าสวรรค์ หรือ เทวโลก เป็นสถานที่ที่สัตว์โลกมาบังเกิดในรูปแบบที่เรียกว่า โอปปาติกะ คือเกิดขึ้นมาเป็นตัวเป็นตนในสภาพที่โตเต็มที่ และไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ในการเกิด โดยกรรมที่บุคคลกระทำไว้ในภพภูมิก่อนหน้าจะเป็นตัวกำหนดว่า เทวดาตนนั้นจะมีสมบัติทิพย์ต่างๆ มากมายแค่ไหน มีอิทธิฤิทธิ์ ขนาดวิมาน จำนวนนางฟ้าที่จะมาปรนนิบัติ จะมากน้อยอย่างไรก็อยู่ที่บุญกรรมที่เคยสร้างไว้ ชีวิตในเทวโลกเป็นชีวิตทิพย์ เมื่อเทวดาหิวก็จะนิรมิตอาหารต่างๆ ขึ้นมารับประทาน โดยรสชาติความอร่อย ความหลากหลาย ความสวยงามน่ารับประทานก็ขึ้นกับเทวฤทธิ์ของตน สภาพแวดล้อมทิพย์ในเทวโลก เป็นสภาพที่สร้างขึ้นได้ กำหนดขึ้นได้ ตามกำลังสติปัญญาและกำลังกุศลของเทวดาแต่ละตนนั้นเอง

ในฐานะมนุษย์อย่างเรา เมื่อเรามองไปยังเทวโลก เราอาจจะมีความรู้สึกว่า สภาพทิพย์ในเทวโลกนั้นมันไม่ใช่ของจริง เป็นการสร้างขึ้นมาในจินตนาการของสิ่งมีชีวิตในภพนั้น ต่างๆ จากสภาพของภพภูมิของเราบนโลกมนุษย์ ที่ทุกอย่างรอบๆ ตัวเรานั้นเป็นของจริง มีตัวตน จับต้องได้ และเป็๋นไปตามกฏทางฟิสิกส์ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นโลกนั้นนิรมิตขึ้นมาไม่ได้เหมือนในเทวโลก ถ้าอยากเหาะได้ ก็ต้องสร้างยานพาหนะที่อาศัยแรงยกตัวด้วยกฎทางอากาศพลศาสตร์ อยากลอยน้ำได้ก็ต้องทำให้ตัวเรามีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำ อยากรับประทานอาหารอร่อย ก็ต้องปรุงแต่งจากวัตถุดิบที่ดี เครื่องเทศที่เหมาะสม ทุกสิ่งทุกอย่างทำขึ้นมาได้แต่ต้องเป็นไปตามกฎทางฟิสิกส์

อย่างไรก็ตาม มีนักวิทยาศาสตร์อยู่กลุ่มหนึ่งที่เริ่มเชื่อว่า โลกที่เราอาศัยอยู่นี้อาจจะไม่มีอยู่จริงก็ได้ สิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวเรา สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เราได้ยิน โลกที่เราอยู่รวมทั้งร่างกายนี้ เป็นสิ่งที่อาจจะจำลองขึ้นบนคอมพิวเตอร์ก็ได้ และการที่จะพิสูจน์เพื่อให้รู้ว่าเรากำลังอาศัยอยู่ในโลกจำลองนี้ อาจแทบเป็นไปไม่ได้เลย .... ไม่แน่เหมือนกันว่า เรื่องที่ว่านี้ อาจเป็นเรื่องๆ หนึ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้เมือ 2,600 ปีที่แล้ว แต่เป็นสิ่งที่พระองค์ไม่ได้ทรงนำมาเปิดเผย เพราะทรงเล็งเห็นว่าไม่ได้เป็นสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพ้นทุกข์ก็ได้ครับ

ถึงแม้การพิสูจน์ว่าโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ไม่ได้มีอยู่จริง แต่เกิดจากการจำลองในคอมพิวเตอร์จะเป็นไปได้ค่อนข้างยาก แต่แนวโน้มความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีในปัจจุบันนั้น ทำให้เราเริ่มเชื่อแล้วครับว่า ชีวิตจำลอง (Simulated Life) อาจมีอยู่จริงก็ได้ นักวิทยาศาสตร์ประมาณการว่าสมองของมนุษย์นั้น มีความสามารถในการประมวลผลได้ 10^19 ครั้งต่อวินาที (10 ยกกำลัง 19 หรือ 10 ล้านล้านล้าน ครั้งต่อวินาที) ซึ่งปัจจุบันเรามีกำลังการประมวลผลสูงสุดอยู่ที่หลัก 10^15 ครั้งต่อวินาที ซึ่งยังช้ากว่าสมองมนุษย์เกือบหมื่นเท่า แต่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าในปี ค.ศ. 2050 เราจะมีคอมพิวเตอร์ที่มีกำลังประมวลผลสูงกว่าสมองมนุษย์ เมื่อถึงวันนั้น ก็มีความเป็นไปได้ว่า เราจะจำลองสิ่งที่เกิดขึ้นบนสมองของเรา ขึ้นไปไว้บนคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกนึกคิด ความทรงจำต่างๆ ลองคิดดูสิครับว่า หากเราอัพโหลดข้อมูลในสมองของเราให้ไปอยู่ในคอมพิวเตอร์ได้ ความรู้สึกนึกคิด ความเป็นตัวตนของเรา ก็จะไปรันอยู่ในคอมพิวเตอร์ แล้วถ้าหากเราจำลองสถานการณ์ต่างๆ เช่น บ้าน รถ เพื่อนบ้าน โลกรอบๆ ตัวเรา ให้อยู่กับสมองจำลองของเราที่อัพโหลดขึ้นไปแล้ว มันก็จะไม่ต่างจากตัวเราได้ไปเป็นโอปปาติกะในโลกจำลองเลย นั่นคือ เราได้สร้างเทวโลกที่เราเองสามารถนิรมิตสิ่งต่างๆ เพื่อให้เราสามารถมีชีวิตอยู่ที่นั่นได้ ตราบจนนิรันด์กาล

05 มีนาคม 2555

Avatar - กายอวตาร (ตอนที่ 7)


เมื่อประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมทางด้านอนาคตศาสตร์ที่มีชื่อ Global Future 2045 ซึ่งจัดที่กรุงมอสโก โดยการประชุมนี้ได้รวบรวมนักอนาคตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายท่าน มหาเศรษฐีนักลงทุนข้ามชาติ นักวิทยาศาสตร์จากหลากหลายสาขา เช่น ฟิสิกส์ ชีววิทยา นักมนุษยวิทยา นักสังคมศาสตร์ หุ่นยนต์ศาสตร์ นักจิตวิทยา ประสาทวิทยา จักรวาลวิทยา นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานให้ทุนทั้งในวงการรัฐบาลและกลาโหม โดยเนื้อหาของการประชุมนั้น เป็นการระดมแนวคิด และจัดวางยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีล้ำยุค ที่จะเป็นพื้นฐานการอยู่รอดของมนุษยชาติในปี ค.ศ. 2045 โดยมีการวางเป้าหมายของการประชุมดังนี้

- การอภิปราย การสาธิต ผลงานวิจัยและพัฒนาล่าสุดทางด้าน วิทยาศาสตร์ทางจิต หุ่นยนต์ศาสตร์ และการโมเดลระบบของสิ่งมีชีวิต
- การประเมินเทคโนโลยีสำคัญๆ ที่จะทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่ ในวิถีดำรงชีพของมนุษย์
- การสังคายนา ญาณทัศน์แห่งอนาคต ว่าอารยธรรมของมนุษย์จะพัฒนาไปอย่างไร บนแนวคิดของประวัติศาสตร์มหภาค (Big History)

ประธานในการจัดงานคือ ดมิทรี อิทสคอฟ (Dmitry Itskov) มหาเศรษฐีเจ้าพ่อวงการสื่อแห่งรัสเซีย ซึ่งหลงใกลในแนวคิดเกี่ยวกับกายอวตาร เขามองว่า เทคโนโลยีในอนาคตสามารถที่จะยืดอายุขัยของมนุษย์ออกไปได้ โดยการดึงจิตใจของมนุษย์ออกมาจากร่างกายที่มีวันเสื่อม ไปสู่กายใหม่ที่สร้างขึ้นจากวัสดุที่สามารถเปลี่ยนอะไหล่ได้เรื่อยๆ หรือแม้กระทั่ง ไปสู่กายละเอียดที่เป็นโฮโลแกรมก็ได้ อิทสคอฟมองภาพของพัฒนาการร่างกายมนุษย์ จาก A ไปสู่ D ดังนี้

Body A - เป็นร่างกายที่สองของเรา โดยสามารถทำงานภายใต้การควบคุมของเรา ผ่านระบบเชื่อมโยงทางประสาท แบบเดียวกับในภาพยนตร์เรื่อง Avatar กายที่สองนี้อาจจะเป็นกายเนื้อทำจากวัสดุอินทรีย์ หรืออาจจะเป็นหุ่นยนต์ หรือผสมผสานกัน ก็ย่อมได้ แต่น่าจะเป็นลักษณะของหุ่นยนต์มากกว่า เพราะจะมีความทนทานต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า อิทสคอฟดังเป้าไว้ว่า เราต้องมีเทคโนโลยีนี้ภายในปี ค.ศ. 2020 อีกแค่ 8 ปีเองนะครับเนี่ย

Body B - เมื่อเรามีเทคโนโลยีในการผลิตร่างกายที่สองแล้ว ทำไมเราไม่ย้ายไปอยู่ในร่างกายนั้นเสียเลย เพราะร่างกายตามธรรมชาติที่พ่อแม่ให้เรามานั้น นับวันก็มีแต่จะเสื่อมถอย อิทสคอฟมองว่า Body B นี้จะเป็นบ้านใหม่สำหรับคนแก่ที่ร่างกายเสื่อมจนยากที่จะซ่อม คนเป็นโรคร้ายแรงที่ไม่สามารถกู้คืนได้แล้ว คนที่ได้รับอุบัติเหตุร้ายแรง ดังนั้น ถ้าจิตใจของคนเราสถิตย์อยู่ที่สมอง เราก็น่าจะย้ายสมองจากร่างกายที่พ่อแม่ให้มา ไปสู่ร่างกายใหม่ โดยเพียงแค่หล่อเลี้ยงสมองให้สามารถทำงานอยู่ได้ก็พอ ส่วนร่างกายที่สมองไปอยู่นั้น จะเป็นร่างกายแบบไหน ก็ไม่สำคัญ ขอให้มันทำงานและสามารถอุ้มชูสมองที่ย้ายมาอยู่ให้ได้ก็พอ อิทสคอฟมองภาพของเทคโนโลยีที่ว่านั้นในปี ค.ศ. 2025 ซึ่งผมมองว่าไม่น่าจะทำทัน

Body C - ข้อเสียของ Body B คือ แม้ร่างกายจะเป็นวัสดุสังเคราะห์แต่ส่วนสมองก็ยังเป็นเนื้อหนัง เป็นวัสดุชีวภาพที่มีความเสื่อม และซ่อมแซมให้อยู่นานๆ ไม่ได้ง่ายนัก ดังนั้น หากเราแทนที่สมองชีวะนั้นด้วยสมองสังเคราะห์ (Artificial Brain) ก็จะทำให้ทั้งร่างกายและสมอง อยู่บนแพล็ตฟอร์มเดียวกัน สิ่งที่ต้องทำให้ได้สำหรับการสร้าง Body C ก็คือ เราต้องสามารถย้ายส่วนที่เป็นจิตใจ (ข้อมูลต่างๆ ความจำ ความรู้สึกนึกคิด) ออกจากสมองชีวะ ไปสู่สมองใหม่ให้ได้ อิทสคอฟอยากให้มีเทคโนโลยีที่ว่านี้ในปี ค.ศ. 2035 หรืออีก 23 ปีข้างหน้า ซึ่งในเวลานั้น อิทสคอฟจะมีอายุ 54 ปี

Body D - ในเมื่อเรามีเทคโนโลยีในการย้ายจิตใจจากสมองหนึ่ง ไปสู่อีกสมองหนึ่งได้ ทำไมเราจะต้องแคร์ที่จะให้จิตใจยึดติดอยู่กับกายหยาบล่ะครับ อิทสคอฟมองว่า หากจิตใจสามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่ขึ้นกับสังขาร (Medium Independent) เราก็สามารถจะสังเคราะห์กายละเอียดเพื่อให้จิตใจสถิตย์อยู่ได้ เช่น สร้างกายละเอียดออกมาในลักษณะโฮโลแกรม ตามแต่จิตจะนึกเอาว่าอยากให้เป็นอย่างไร ส่วนจิตใจที่เราสกัดออกมาจากสมองใน Body A นั้น เราสามารถที่จะให้เค้าดำรงอยู่แบบผูกโยงกับกายละเอียด หรือสถิตย์อยู่ในระบบ Cloud Intelligence ที่มีโครงข่ายอยู่ทั่วโลกก็ได้

เมื่อประมาณ 2,600 ปีที่แล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้กรุงพาราณสี สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงพระธรรมที่มีชื่อว่า อนัตตลักขณสูตร โดยมีเนื้อความตอนหนึ่งว่า "..... ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล .... รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่ารูปเธอทั้งหลายพึงพิจารณารูปนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา ...... " เมื่อจบธรรมเทศนาบทนี้แล้ว พระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้ถึงการพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ภิกษุปัญจวัคคีย์ทั้งหมดดำรงอยู่ในพระอรหัตผล ในครั้งนั้น โลกจึงได้มีพระอรหันต์เกิดขึ้นแล้ว ๖ องค์

12 มิถุนายน 2554

Connectome - คอนเน็คโทม (ตอนที่ 3)



การสร้างแผนที่ของสมอง แม้จะเป็นเรื่องที่ยาก แต่ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะการรู้แผนที่สมอง แม้จะเพียงบางส่วนก็ตาม จะมีคุณูปการต่อวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างประมาณมิได้ ความรู้นี้จะทำให้เราสามารถรักษาโรคต่างๆได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น โรคสมองเสื่อมต่างๆ โรคจิตประสาท อาการอยากจำกลับลืม อยากลืมกลับจำ อีกทั้งยังนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถใกล้เคียงมนุษย์ได้อีกด้วย คอนเน็คโทมจึงกลายมาเป็นกระแสที่มาแรงของวงการวิทยาศาสตร์ในช่วงเวลานี้เลยครับ

วิธีการหนึ่งในการศึกษาการทำงานของสมองก็คือ การสร้างสมองจำลอง (Simulated Brain) ขึ้นมาเพื่อศึกษากระบวนการทำงานต่างๆ ของมัน ในปี ค.ศ. 2005 สถาบันสมองและจิตใจ (Brain and Mind Institute) แห่งเมืองโลซาน สวิตเซอร์แลนด์ ได้ริเริ่มโครงการที่เรียกว่า Blue Brain Project ซึ่งเป็นโครงการระยะยาวที่จะศึกษาสมองด้วยการจำลองคอมพิวเตอร์ โดยอาศัยโมเดลที่สร้างขึ้นมาจากข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ได้จากการทดลอง ซึ่งเป็นข้อมูลการทำงานในระดับเซลล์จนถึงการทำงานระดับโมเลกุลในสมองเลยทีเดียว ในขั้นต้น โครงการได้สนใจศึกษาสมองส่วนที่เรียกว่า Neocortical column ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสมองส่วนที่ทำงานในระดับสูง คือระดับของสติและปัญญาเลยทีเดียว สมองส่วนนี้มีลักษณะทรงกระบอกเล็กๆ ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5 มิลลิเมตรและยาว 2 มิลลิเมตร ซึ่งประกอบไปด้วยเซลล์สมองจำนวน 60,000 เซลล์ สมองส่วนเล็กๆ รูปทรงกระบอกนี้ อยู่ในพื้นที่ของสมองส่วนที่เรียกว่า Neocortex ซึ่งสมองส่วนนี้เอง มีทรงกระบอก Neocortical column อยู่ถึง 1,000,000 อัน ดังนั้นการจำลองสมองส่วนที่เป็นทรงกระบอกเล็กๆ นี้ก็ว่ายากแล้ว จะเห็นว่ายังเทียบไม่ได้กับสมองส่วน Neocortex ที่บรรจุมันอยู่เลยครับ

การศึกษาสมองในส่วนของ Neocortical column นับว่าเป็นข้อดี เพราะว่าสมองส่วนนี้ มีความคล้ายคลึงกันสำหรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมด น่าจะเป็นเพราะธรรมชาติได้เรียนรู้ที่จะเลือกใช้เทคโนโลยีที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล จึงได้ copy สมองส่วนนี้ให้สัตว์ประเภทเดียวกันได้ใช้งาน เช่น หนู หรือ คน ก็มีสมองส่วนนี้ที่คล้ายกันมาก เพียงแต่ของคนเรามีขนาดที่ใหญ่กว่า และในสมอง Neocortex ของคนก็มีจำนวนทรงกระบอกนี้มากกว่าหนูเยอะ

นักวิจัยได้ลองเอาสมองส่วน Neocortical column ไปใส่ในโปรแกรมจำลองสภาพความจริงเสมือน (Virtual Reality) ที่มีสัตว์จำลอง โดยให้สมองส่วนนี้จำลองอยู่ในสมองของสัตว์ตัวนี้ แล้วปล่อยเจ้าสัตว์นี้ให้หากินอยู่ในสภาพความจริงเสมือน เพื่อที่จะได้สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นในสมองจำลองส่วนนี้ ทำให้พบว่าสัตว์ตัวนี้เรียนรู้สิ่งต่างๆ และสร้างความทรงจำขึ้นมาได้อย่างไร ตลอดจนการเรียกใช้งานความจำของมัน

นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งในความพยายามที่จะสร้างแผนที่ของสมองครับ บทความซีรีย์นี้ยังมีอีกนะครับ ......

28 พฤษภาคม 2554

Avatar - กายอวตาร (ตอนที่ 6)


ในภาพยนตร์เรื่อง Avatar นั้น พระเอกของเรื่องสามารถใช้สมองควบคุมร่างกายอื่นจากระยะไกลได้ เสมือนว่าผู้บังคับหรือขับขี่ร่างกายนั้น ได้เข้าไปสิงสู่ในร่างนั้นจริงๆ โดยสามารถที่จะใช้ร่างนั้น เดิน เหิร ไปไหนมาไหนได้ดั่งใจ ที่สำคัญ ยังสามารถใช้ร่างดังกล่าว เรียนรู้ จดจำ และทำสิ่งใหม่ๆ ที่ร่างมนุษย์เดิมนั้นมิอาจทำได้ ในตอนจบของภาพยนตร์เรื่องนี้ ตัวพระเอกของเรื่องถึงกับทิ้งร่างมนุษย์ที่ทุพพลภาพ ไปอยู่ในร่างใหม่ได้อย่างเหลือเชื่อ

ในช่วง 4-5 ปีมานี้ ได้มีความสนใจเป็นอย่างมากในวงการวิทยาศาสตร์ ที่ต้องการให้มีการเชื่อมโยงระหว่างศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับร่างกายและจิตใจ กับศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับหุ่นยนต์และจักรกลต่างๆ (Mind and Machine Interaction) โดยมีความพยายามที่จะนำเอาสิ่งที่เป็นนามธรรมอย่างความรู้สึกนึกคิด จิตใจ อารมณ์ เข้าไปใส่ในหุ่นยนต์ เพื่อทำให้หุ่นยนต์มีความคิดจิตใจเหมือนมนุษย์ ในระยะหลังๆ ยิ่งไปกันใหญ่ ไปกันถึงขนาดที่จะ upload จิตใจของมนุษย์เราจากร่างกายเนื้อ ไปสู่ร่างกายใหม่ที่เป็นหุ่นยนต์ เพื่อที่เราจะได้มีชีวิตอย่างอมตะ ไม่แก่ ไม่เฒ่า ไม่เจ็บ ไม่ตาย เพราะร่างกายที่เป็นจักรกลนี้สามารถเปลี่ยนอะไหล่ใหม่ได้ทุกชิ้น

ในระยะหลังๆ เราจึงเริ่มเห็นนักวิทยาศาสตร์ชาติตะวันตกหันมาศึกษาเรื่องของจิตใจมากขึ้น หลายๆครั้งก็แอบมาศึกษาตำราทางพุทธศาสนา และนำไปใช้เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างโมเดลต่างๆ เพื่ออธิบายสิ่งที่เป็นนามธรรมหลายๆ อย่าง เช่น เรื่องของสติ (conciousness) ความรู้สึกมีอยู่หรืออัตตา (meta-awareness) เป็นต้น (หมายเหตุ: พุทธศาสนาพยายามสอนให้เห็นว่าตัวตนของเราเป็นอนัตตานะครับ ว่าเราไม่ใช่ตัวตน ไม่มีตัวตน แต่นักวิทยาศาสตร์พยายามเอาความเป็นตัวตนไปใส่ในหุ่นยนต์ คิดดูแล้วก็แปลกดี)

คำถามสำคัญของผู้คนที่ยังเคลือบแคลงในเรื่องความเป็นไปได้ของกายอวตารนี้ก็คือ เมื่อเรา upload จิตใจของเราจากกายเนื้อที่เราอาศัยอยู่นี้ ไปยังกายใหม่ ซึ่งอาจจะเป็นกายเนื้อ (Biological Body) หรืออาจเป็นกายจักรกล (Mechanical Body) หรืออาจเป็นกึ่งจักรกล (Bionic body) ก็ตามที ร่างใหม่ของเราที่เกิดขึ้นนี้โดยมีจิตใจของเราที่ถูก copy ไปใส่นี้ จะยังเป็นตัวเราอยู่หรือป่าว หรือเป็นเพียง copy หนึ่งของเรา ร่างเก่าที่มีจิตของเราสิงอยู่นั้นก็ยังคงอยู่ และรอวันตายลงไปเอง แล้วเราจะยอม shutdown ร่างกายเดิมหรือไม่ เพื่อให้ร่างกายใหม่ที่มีจิตของเราสิงสถิตย์อยู่นั้นได้ทำงานของมันอย่างเต็มที่

ที่เราคิดมากในเรื่องนี้ก็เพราะอะไรล่ะครับ ก็เพราะตัวเราคุ้นเคยอยู่กับสิ่งที่เป็นตัวตนเดียวเท่านั้น เช่น ตัวเราต้องมีแค่คนเดียว หรือมีเพียง copy เดียวเท่านั้น การอยู่รอดของเราก็คือการที่ตัวตนของเรานี้อยู่รอด เราจึงยังไม่อาจยอมรับได้กับการที่ถ้าจะมีใครก็ตามที่เหมือนเราเปี๊ยบทั้งฮาร์ดแวร์ (ร่างกาย) และซอฟต์แวร์ (จิตใจ) ที่จะสืบทอดทุกอย่างไปกับเรา ทั้งนี้เพียงเพราะว่าเรายังไม่คุ้นเคยกับมัน ก็เท่านั้นเอง ทุกวันนี้เราอาศัยการสืบทอดมรดกทางจิตวิญญาณของเรา สิ่งที่เราคิดอยากจะทำแต่ไม่ได้ทำ ผ่านไปยังลูกหลานของเรา เราทำได้แค่นั้น แต่บุคคลเหล่านั้นเค้าไม่ใช่ตัวเรา พวกเขาไม่มีทางทำได้เหมือนกับเราถ่ายทอดให้ใครสักคนที่เหมือนเราทุกประการไปทำหรอกครับ

จริงๆ แล้วในความเชื่อตามลัทธิพราหมณ์นั้น เทพเจ้ายังสามารถมีได้หลายร่าง หลายรูปแบบ ที่เรียกว่าอวตาร เช่น พระนารายณ์ นั้นสามารถแบ่งตนออกได้เป็น 3 คือ พระพรหม พระวิษณุ และ พระศิวะ ซึ่งมีหน้าที่สร้าง ดูแล และทำลาย ตามลำดับ ตัวของพระวิษณุเองสามารถที่จะอวตารออกเป็นปางต่างๆ นับจำนวนไม่ถ้วน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ต่างๆ แต่ถ้านับปางที่มีจุดประสงค์เพื่อมาช่วยเทวดา และมนุษย์โลกนี้มีทั้งหมด 25 ปาง แต่ปางที่ถือเป็นปางที่สำคัญที่สุดมี 10 ปาง ซึ่งทำให้ผมเห็นว่า การที่มนุษย์ธรรมอย่างพวกเราจะสามารถมีกายอวตารได้ ด้วยความช่วยเหลือจากเทคโนโลยีสมัยใหม่นั้น เป็นสิ่งที่อาจมีได้ และยอมรับได้ครับ

ว่างๆ เราจะมาคุยเรื่องนี้กันต่อครับ ......

15 มีนาคม 2554

Connectome - คอนเน็คโทม (ตอนที่ 1)



ในช่วงที่ผมเริ่มทำวิจัยทางด้านนาโนเทคโนโลยีเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1995 หรือประมาณ 15 ปีที่แล้ว เป็นช่วงแรกๆ ที่ในประเทศสหรัฐอเมริกาเพิ่งจะเริ่มมีคนพูดถึงคำว่า นาโนเทคโนโลยี กันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่คนไทยเองนั้นก็ยังไม่รู้จักคำว่านาโนเทคโนโลยีกันเท่าไหร่นัก ผมเคยพูดๆไว้กับเพื่อนๆว่า คอยดูนะต่อไปไม่เกิน 10 ปี ศาสตร์ทางด้านนี้จะบูมและจะมีการทำวิจัยกันทั่วโลก ถ้าอยากได้ทุนวิจัยก็รีบๆ มาทำความรู้จักศาสตร์ด้านนี้ไว้นะ ต่อจากนั้น ในที่สุดประเทศไทยก็ก่อตั้งศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติในปี ค.ศ. 2003 มีการให้ทุนวิจัยทางด้านนี้มากมาย นักวิจัยชาวไทยก็แห่มาทำวิจัยทางด้านนี้กันขนานใหญ่ เพราะมีเงินทุนวิจัยหลั่งไหลเข้ามามากมาย

ในช่วงนั้น ... ผมเริ่มมองหาศาสตร์ใหม่ๆ เพื่อหนีออกไป ช่วงนั้น เพื่อนฝูงถามผมว่าหลังยุคนาโนจะมีอะไรมาอีก ... ผมบอกกับเพื่อนๆ ว่า ยังมีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง ที่เป็นความลับมานานแสนนาน ยังมีคนทำทางด้านนี้น้อย แต่เป็นศาสตร์เปลี่ยนโลกเลยแหล่ะ นั่นคือเรื่องของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับจิตใจ (Mind Sciences) ซึ่งปัจจุบันเราทำได้แค่เพียงการปะติดปะต่อความรู้ที่เป็นชิ้นเล็กๆ เข้าด้วยกันเท่านั้น แต่ความรู้ที่เพิ่มขึ้นเพียงนิดหน่อยในศาสตร์ทางด้านนี้ อาจมีประโยชน์มหาศาลในการพัฒนาเทคโนโลยีเลยทีเดียว ไม่เหมือนงานทางด้านนาโนเทคโนโลยี ที่การตีพิมพ์ผลงานวิชาการ 1 เรื่อง แทบจะไม่มีผลต่อการเพิ่มพูนประโยชน์อะไรนัก ... แต่การไขปัญหา 1 เรื่องที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์จิตใจ 1 เรื่อง จะมีผลกระทบตามมาอีกมากมายเลย

วิทยาศาสตร์ปัจจุบัน นับตั้งแต่ยุคของนิวตันเมื่อเกือบ 400 กว่าปีที่แล้ว แยกจิตใจออกจากวัตถุ (Mind vs Matter) ตลอดระยะเวลา 400 ปีนี้ พวกเราพัฒนาความรู้และศาสตร์ต่างๆ ตลอดจนเทคโนโลยีมากมาย บนพื้นฐานของแนวคิดนี้ เราแยกซอฟต์แวร์ กับ ฮาร์ดแวร์ ออกจากกัน แต่ในช่วง 20 ปีหลังมานี้ เราถึงเริ่มประจักษ์แจ้งว่า ปรากฎการณ์หลายอย่างที่เกี่ยวกับจิตใจ มันมีความเชื่อมโยงกับร่างกายที่เราอาศัยอยู่ (Mind-Body Interactions) โดยความรู้แบบแยกส่วนที่เรามีอยู่เดิมมันให้คำตอบดีๆ แก่เราไม่ได้

ยิ่งในระยะหลังๆ เราเริ่มพัฒนาหุ่นยนต์ หรือระบบออโตเมชั่นต่างๆ โดยต้องการใส่ปัญญา (Intelligence) เข้าไปในระบบเหล่านั้น เราก็เริ่มตระหนักว่าความเข้าใจในเรื่องความคิด (Thought) จิตใจ (Mind) อารมณ์ (Emotion) ความรู้สึก (Feeling) ความระลึกรู้ (Conciousness) เป็นสิ่งที่ยังรู้น้อยมากๆ เรายังขาดโมเดลที่ใช้อธิบายการทำงานของกระบวนการเหล่านี้ ที่ผ่านมา การพัฒนาหุ่นยนต์ให้มีความรู้สึกแบบเดียวกับมนุษย์ก็จะติดขัดที่ปัญหาของโมเดลที่แหล่ะครับ ทั้งๆ ที่เราสามารถพัฒนาเทคโนโลยีที่ตรวจจับสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นผิวหนังประดิษฐ์ (Electronic Skin) จมูกอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Nose) ระบบมองเห็นภาพ (Machine Vision) สำหรับหุ่นยนต์ได้อย่างก้าวหน้าแล้วก็ตาม แต่กระบวนการของการประมวลความรู้สึกภายในนี่สิครับ เรายังมีความรู้ในเชิงวิทยาศาสตร์น้อยมากๆ (ในพุทธศาสนามีการบรรยายเรื่องกระบวนการประมวลผลสัมผัสได้อย่างละเอียดมาก เรียกว่าวงจรปฏิจจสมุปบาท) จนทำให้เรายังไม่สามารถสร้างหุ่นยนต์ที่มีกระบวนการคิด หรือกระบวนการใช้ปัญญาให้เหมือนมนุษย์ได้

นี่แหล่ะครับ คือศาสตร์ที่ผมคิดว่าจะครองศตวรรษที่ 21 ... น่าเสียดายที่ประเทศไทยแทบจะไม่มีนักวิทยาศาสตร์ทางด้านนี้เลย และมีโอกาสที่เราจะตกรถขบวนนี้ เมื่อลองคิดเล่นๆ ว่าในอนาคตอีก 20-30 ปีข้างหน้า สิ่งของที่อยู่รอบๆ ตัวเราจะประกอบด้วยหรือทำงานด้วยสมองประดิษฐ์ (Artificial Brain) ที่ทำงานเหมือนมีจิตใจกันหมด ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ บ้าน ทีวี ตู้เย็น ทางหลวง สะพาน เราจะต้องอาศัยอยู่ในโลกของสภาพล้อมรอบอัจฉริยะ (Ambient Intelligence) แต่ประเทศเรากลับยังไม่ค่อยตระหนักในเรื่องนี้เท่าไรเลยครับ

จริงๆ แล้ววันนี้ ผมยังไม่ได้เข้าเรื่อง Connectome เลยครับ แค่มาเกริ่นๆ คร่าวๆ เท่านั้นว่า ศาสตร์ทางด้าน Connectome นี่แหล่ะครับ ที่จะเป็นประตูเข้าไปสู่ความเข้าใจที่มากขึ้นในเรื่องจิตใจของเรา เป็นครั้งแรกในรอบ 2500 กว่าปีภายหลังจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ค้นพบความรู้ทางด้านนี้ ที่มนุษย์รุ่นหลังจะเริ่มเข้าไปทำความเข้าใจจากอีกมุมมองหนึ่งว่า พระองค์ได้ค้นพบอะไร ....

แล้วมาคุยกันต่อในตอนต่อๆ ไปครับ ....

(ภาพบน - เป็นภาพโมเดลที่อธิบายความเชื่อมโยงของเส้นใยประสาทในสมองมนุษย์)

08 พฤศจิกายน 2553

Science of Fear - วิทยาศาสตร์ของความกลัว (ตอนที่ 3)


เมื่อครั้งที่ขงเบ้งกำลังจะสิ้นลมนั้น แม้กองทัพของพระเจ้าเล่าเสี้ยนจะถึงซึ่งความโศกาอาดูรแต่เพียงใด ก็จำต้องนำศพของขงเบ้งขึ้นนั่งแท่นบัญชาการรบ ตามอุบายที่ท่านขงเบ้งกำชับไว้ก่อนเสียชีวิต นัยว่าเมื่อกองทัพของสุมาอี้เห็นศพของขงเบ้งแล้ว ก็จักเข้าใจผิดคิดว่าขงเบ้งยังมีชีวิตอยู่ ด้วยความเกรงกลัวกลอุบายต่างๆ ของขงเบ้ง สุมาอี้ได้สั่งให้ชะลอทัพไว้ไม่ให้เข้าตีทัพของขงเบ้ง ซึ่งกำลังล่าทัพกลับเข้าไปยังเมืองเสฉวน แม้ชีวิตของท่านจะวายชนม์ไปแล้วก็ตาม ศพของท่านก็ยังช่วยทำให้กองทัพถอยกลับเข้าที่ตั้งอย่างปลอดภัย ช่วยรักษาชีวิตทหารได้หลายหมื่นคน

การสร้างความกลัว หรือสงครามจิตวิทยาแก่ฝ่ายข้าศึก นอกจากจะช่วยทำให้ได้เปรียบในการรบแล้ว ยังอาจจะช่วยไม่ให้สงครามเกิดขึ้นได้อีกด้วย เรียกว่าเป็นการชนะก่อนที่จะรบเสียอีก ในอดีตกาล แม่ทัพนายกองที่มีความสามารถในการต่อสู้ จะสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้ทหารฝ่ายตรงข้ามได้มาก องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงใช้ยุทธวิธีในการสร้างความเกรงกลัวแก่ทหารพม่า นำกองทัพไทยเอาชนะในทุกสมรภูมิ ทั้งๆ ที่มีกำลังพลน้อยกว่าหลายเท่าตัว

เมื่อเดือนตุลาคม 2553 ที่ผ่านมา กองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้ประกาศเรียกข้อเสนอโครงการ เพื่อให้ทุนสนับสนุนการวิจัยภายใต้โครงการที่มีชื่อว่า Advances in Bioscience for Airmen Performance ซึ่งมีมูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท (49 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในระยะเวลา 6 ปี โครงการนี้มีขอบข่ายในการสนับสนุนการวิจัยที่จะเพิ่มขีดความสามารถของนักบินของกองทัพ ให้สามารถทำการรบได้นานขึ้น อึดขึ้น มีสมาธิมากขึ้น รวมไปถึงเพิ่มขีดความสามารถในการประมวลผลข้อมูลต่างๆ ในระหว่างยุทธการได้มากขึ้น แม่นยำขึ้น รวมไปถึงความสามารถของผู้บัญชาการสถานการณ์ให้มีการตัดสินใจได้อย่างถูกต้องมากขึ้น

แต่สิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดของโครงการนี้ก็คือ ทางกองทัพได้เสนอให้มีการวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่สามารถไปลดทอนขวัญ กำลังใจของข้าศึก หรือไปเพิ่มความกลัว หรือเกรงขามให้แก่ฝ่ายตรงข้าม โดยการเข้าไปรบกวน กระตุ้น เปลี่ยนแปลง กลไกและระบบการทำงานในสมองส่วนที่ควบคุมสมาธิ หรือ ความมั่นใจของทหารข้าศึก รวมไปถึงทำให้ข้าศึกมีความสามารถในการรับรู้ และตัดสินใจได้น้อยลง

ถ้าหากงานวิจัยดังกล่าวได้ผลจนนำไปสู่อาวุธที่สามารถลดทอนประสิทธิภาพของสมองมนุษย์ได้โดยตรงแล้ว ในอนาคต กองทัพสหรัฐฯ จะเป็นฝ่ายได้เปรียบจนยากที่จะหากองทัพใดในโลกมาต่อกรด้วย ทั้งความทันสมัยของอาวุธทำลายล้าง ความเยี่ยมยอดของกำลังพล และที่ขาดไม่ได้คือ อาวุธความกลัวที่สร้างความอ่อนแอให้แก่ฝ่ายศัตรู .....

10 สิงหาคม 2553

Robot Evolution - หุ่นยนต์วิวัฒน์ (ตอนที่ 7)


เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมได้สั่งซื้อ Lego Mindstorms NXT 2.0 จากอเมริกา นัยว่าจะเอามาไว้ใช้สอนให้น้องโมเลกุล หัดเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และเรียนเรื่องหุ่นยนต์ตั้งแต่เยาว์วัย ทันทีที่เขาได้เห็นกล่องของเจ้าหุ่นยนต์ตัวนี้ที่ส่งมาถึงบ้านเรา รอยยิ้มน่ารักๆ ใสๆ ของเด็กผู้ชายคนหนึ่งก็เปล่งประกายออกมา เป็นรอยยิ้มที่ผมรู้สึกอิจฉาเหลือเกิน ผมใฝ่ฝันถึงหุ่นยนต์แบบนี้ ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเล็ก แต่ไม่เคยคาดคิดว่า หุ่นยนต์ที่สามารถทำอะไรต่างๆ ได้มากมายแบบนี้ จะกลายเป็นของเล่นของเด็กอายุ 10 ขวบในสมัยของลูกผมเอง

ตัวผมเองนั้น มองหุ่นยนต์ในมุมที่แตกต่างจากผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆในประเทศไทย ผมไม่ได้สนใจหุ่นยนต์เตะฟุตบอล หรือ หุ่นยนต์แข่งชู้ตบาส แต่ผมสนใจหุ่นยนต์หาแมลง หรือ หุ่นยนต์เฝ้าบ้าน มากกว่า น่าเสียดายเหลือเกินครับที่ประเทศไทยของเรา ได้ไปคว้าชัย ได้ถ้วยแข่งขันเกี่ยวกับหุ่นยนต์มามากมาย แต่เรากลับมีความก้าวหน้าทางด้านหุ่นยนต์น้อยมาก ทั้งนี้ เป็นเพราะว่า เราไม่ได้ให้ความสำคัญในสิ่งที่เป็นหัวใจของหุ่นยนต์ ซึ่งนั่นก็คือ "ปัญญา" (Intelligence) รวมไปถึงเรื่องของสัมผัส (Sense) และอารมณ์ (Emotion) ซึ่งเป็นด้านอ่อน (Soft Side) ของหุ่นยนต์

เมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว ทางสหภาพยุโรปได้มีการจัดตั้งคอนซอร์เทียมที่เกี่ยวกับหุ่นยนต์ขึ้นมา มีชื่อน่ารักๆ ว่า FEELIX GROWING ซึ่งย่อมาจาก "FEEL, Interact, eXpress: a Global approach to development with interdisciplinary grounding" โดยมีกลุ่มวิจัยหลากหลายศาสตร์ เช่น หุ่นยนต์ จิตวิทยา ประสาทวิทยา วิศวกรรมไฟฟ้า เป็นต้น จาก 6 ประเทศ ได้เข้ามาร่วมมือกัน เพื่อพัฒนาหุ่นยนต์ที่สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากมนุษย์ได้ รวมทั้งสามารถตอบสนองต่อมนุษย์ในเชิงสังคม และเชิงอารมณ์ อย่างมีเหตุมีผล โดยนักวิจัยวางเป้าหมายว่า จะสามารถทำให้หุ่นยนต์ในอนาคตสามารถจะอยู่ในสังคมมนุษย์เพื่อทำหน้าที่ต่างๆ ได้อย่างราบรื่น ดังนั้นหุ่นยนต์ควรจะสามารถรู้จักอารมณ์ประเภทต่างๆ ของมนุษย์เรา เช่น ความโกรธ ความกลัว เพื่อที่มันจะปรับพฤติกรรมตัวเองให้เหมาะสมกับสถานการณ์เหล่านั้นได้

การที่หุ่นยนต์จะแยกแยะอารมณ์ของมนุษย์ได้ มันจะต้องสามารถรับรู้ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็น การเคลื่อนไหวของร่างกายมนุษย์ การแสดงออกทางสีหน้า ท่าทางและอากัปกริยาต่างๆ การแสดงออกทางสายตา เป็นต้น ซึ่งจริงๆ แล้ว ในแต่ละวัฒนธรรมก็มีการแสดงออกได้แตกต่างกัน แต่โครงการนี้จะเน้นไปที่ลักษณะทั่วๆ ไปของมนุษย์ ไม่ว่าจะชาติพันธุ์ใดก็ตาม โครงการนี้จะไม่เน้นการพัฒนาตัวฮาร์ดแวร์ของหุ่นยนต์ แต่จะใช้การนำฮาร์ดแวร์ที่มีอยู่แล้วในท้องตลาดมาใช้ ยกเว้นส่วนของใบหน้าหุ่นยนต์เท่านั้น ที่จะต้องทำขึ้นใหม่ เพื่อที่จะทำให้หุ่นยนต์สามารถแสดงอารมณ์ทางใบหน้าได้

นี่ล่ะครับ คือประเด็นที่ผมจะสอนลูก ในการโปรแกรมหุ่นยนต์ตัวแรกของเขา เพราะสิ่งนี้ก็คืออนาคต

09 กรกฎาคม 2553

Avatar - กายอวตาร (ตอนที่ 5)


ถ้าชาติหน้ามีจริง สิ่งที่คงจะทำให้ผมรู้สึกเป็นทุกข์และกังวลใจอย่างมากเรื่องหนึ่งก็คือ การที่คนเราจะต้องเริ่มเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่หมด เมื่อเราตายไปแล้ว และต้องไปเกิดใหม่ จะเป็นไปได้ไหม ที่เราจะสามารถนำพาความรู้ส่วนหนึ่ง ติดตามเราไปด้วยเมื่อเราจากโลกนี้ไป ...

นั่นเป็นความคิดของผมครับ แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์หลายคนที่ศึกษาเรื่องสมอง เขาก็คิดอีกมุมหนึ่งครับ เขาคิดว่า จะพอมีทางเป็นไปได้ไหม ที่เราจะเก็บรักษาความรู้ ความคิด ข้อมูลต่างๆ ในสมองของบุคคลที่กำลังจะตายเอาไว้ อย่างที่ผมเคยพูดในตอนก่อนหน้านี้ว่า มันเป็นความสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่เลยครับ ที่ทุกๆ ปี ที่เราต้องสูญเสียความรู้จำนวนมหาศาล ที่ต้องหายไปกับคนที่ตายประมาณปีละกว่า 50 ล้านคน ความรู้ต่างๆ ที่ตายไปกับคนเหล่านั้น มีค่าเท่ากับการเผาห้องสมุดรัฐสภาอเมริกัน (ที่มีขนาดใหญ่มากและใหญ่ที่สุดในโลก) ทิ้งถึงปีละ 3 ครั้งเลย พอจะมีเทคโนโลยีอะไรไหมที่จะเก็บความรู้ต่างๆ เหล่านั้นไว้

เราลองมาดูสถานภาพของเทคโนโลยี ที่ใช้ในการเชื่อมโยงสมองให้เข้ากับคอมพิวเตอร์กันดูนะครับ นักสมองวิทยาได้ใช้เครื่องตรวจวัดคลื่นสมอง หรือ electroencephologram (ชื่อย่อ EEG) ศึกษาเรื่องของสมองและความคิดมาเป็นระยะเวลานานพอควรแล้วครับ ซึ่งเมื่อก่อนมักจะใช้ในทางการแพทย์เพื่อรักษาโรค หรือเพื่อค้นคว้าเกี่ยวกับการทำงานของสมอง เพิ่งจะเร็วๆ นี้เองครับที่ EEG กลายมาเป็นเรื่องฮิตติดตลาดในศาสตร์ทางด้าน Brain-Computer Interface หรือ BCI ซึ่งก็คือการนำเอาคลื่นสมอง หรือความคิด มาใช้ในการสั่งการและควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ ที่สำคัญคือ เทคโนโลยีพวกนี้ เริ่มกลายเป็นสินค้าที่หาซื้อได้ในท้องตลาดแล้วครับ อย่างบริษัท Mattel ได้นำเอาเจ้าอุปกรณ์ EEG แบบง่าย มาแพ็คเกจขายเป็นเกมส์ที่มีชื่อว่า Mindflex ซึ่งหาซื้อได้ที่วอลมาร์ท หรือสั่งจากเว็บไซต์ Amazon ก็ได้ (ผมพยายามสั่งอยู่ครับ แต่เขายังไม่ยอมขายนอกสหรัฐฯ เดี๋ยวจะลองหาใน eBay) โดยเกมส์นี้จะมีสายรัดสำหรับสวมใส่ที่ศรีษะ ซึ่งมันจะอ่านคลื่นสมองของเรา เราสามารถจูนสมาธิไปที่ลูกบอล แล้วพยายามคิดให้ลูกบอลนี้เคลื่อนตัวผ่านสิ่งกีดขวางต่างๆ ไปให้ได้ ซึ่งก็จะมีด่านต่างๆ ให้เราทดลองฝึกสมอง เพื่อพาลูกบอลเคลื่อนที่ไป

วันหลังมาคุยเรื่องนี้กันต่อนะครับ ...

30 มิถุนายน 2553

Science of Boredom - ศาสตร์แห่งความเบื่อ (ตอนที่ 2)


ความเบื่อดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติ ที่มนุษย์แต่ละคนจะต้องพบเจอ บางคนอาจจะนานเป็นปีถึงจะมีอาการแบบนี้ครั้งหนึ่ง แต่สำหรับบางคน ความเบื่อสามารถมาเยี่ยมเยือนได้ทุกวี่วัน คนเหล่านี้น่าสงสารมากครับ เพราะว่าเจ้าความเบื่อนี่หล่ะ กำลังเป็นมัจจุราชเงียบ ที่จะมาเอาชีวิตเขาไปก่อนเวลาอันควร

ล่าสุดมีรายงานวิจัยที่เสนอผลการศึกษาว่า คนที่ขี้เบื่อจะมีอายุขัยสั้นลง (รายละเอียดเต็มคือ A. Britton and M.J. Shipley, "Bored to Death?", International Journal of Epidemiology (2010), doi:10.1093/ije/dyp404) ซึ่งนักวิจัยได้ทำการศึกษาข้าราชการที่ทำงานอยู่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ จำนวนกว่า 7,500 คน ซึ่งมีอายุระหว่าง 35-55 ปี บุคคลเหล่านี้ถูกสัมภาษณ์และเก็บข้อมูลมาตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1980 แล้ว ซึ่งในแบบสอบถามเหล่านั้นก็มีคำถามว่า "คุณรู้สึกเบื่อกับงานที่ทำหรือไม่?" รวมอยู่ด้วย นักวิจัยได้ติดตามดูว่าบุคคลเหล่านี้ มีใครเสียชีวิตไปแล้วบ้างก่อนเดือนเมษายน 2009 ผลที่ได้ก็คือ คนที่เคยตอบคำถามว่าเบื่อมากๆ นั้น มีโอกาสจะเสียชีวิตจากโรคหัวใจเป็น 2.5 เท่าของคนที่ตอบว่าไม่เบื่อ ข้อสรุปของบทความวิจัยนี้ก็คือ "คนขี้เบื่อจะอายุสั้นกว่าคนที่ไม่ขี้เบื่อ"

จริงเหรอครับที่ ความเบื่อทำให้ตายได้ นักวิจัยบอกอย่างนี้ครับว่า ความเบื่อเล็กๆ น้อย บ่อยๆ อาจจะไม่เป็นไร แต่หากเบื่อเรื้อรังก็จะมีผลต่อสุขภาพตามมา คนที่ขี้เบื่อจะแก้เบื่อด้วยการทำกิจกรรมที่ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ทานอาหารจุบจิบ ใช้สารเสพติด พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศต่างๆ เพื่อแก้เบื่อ ความเบื่อจะเหนี่ยวนำทำให้เกิดโรคซึมเศร้า เกิดความเครียด ทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมา ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะทำลายระบบหมุนเวียนของโลหิต และมีผลกระทบที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง

คนที่เบื่อเก่งๆ จะใช้ชีวิตแบบที่ไม่รักษาสุขภาพ ไม่ยอมออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายอ่อนแอ คนขี้เบื่อจะขี้เกียจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ลองทำในสิ่งท้าทาย ทำให้สมองตายด้าน คนขี้เบื่อจะขาดความอยากรู้อยากเห็น ไม่อยากรู้อะไรเพิ่มอีก คนเหล่านี้เมื่อมีอายุมากขึ้น สมองจะค่อยๆ เสื่อมถอย การที่คนเรามีความอยากรู้อยากเห็น จะช่วยชะลอความเสื่อมถอยเหล่านั้นได้ ทำให้สมองยังสดชื่นและคงความเป็นหนุ่มสาวอยู่ได้นานขึ้น คนที่มีใจอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ จึงแก่ช้ากว่าคนที่เบื่อในสิ่งรอบตัว

ว่างๆ มาคุยเรื่องนี้กันต่อครับ ...

18 มิถุนายน 2553

Science of Boredom - ศาสตร์แห่งความเบื่อ (ตอนที่ 1)


ความเบื่อ (boredom) ถูกนิยามว่าเป็นภาวะทางอารมณ์ชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากการไม่ได้ทำกิจกรรมสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นระยะเวลานานๆ หรือ เมื่อบุคคลใดเกิดภาวะไม่สนใจในสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ไม่น่าเชื่อครับว่า คำว่า boredom ในภาษาอังกฤษเองก็เพิ่งจะมีใช้กันเมื่อ 150 กว่าปีที่แล้วนี่เอง !! จริงหรือครับว่าคนในสมัยอยุธยาเขาไม่มีความเบื่อกัน มีแต่ความสนุกสนานกันตลอดเวลา ??

ทำไมเราจึงต้องสนใจกับศาสตร์แห่งความเบื่อนี่ล่ะครับ ทำไมเราจะต้องเข้าใจมัน ... จริงๆ แล้ว ความรู้ความเข้าใจในเรื่องของความเบื่อนี้จะนำมาสู่การรักษาโรคหลายๆ ชนิดที่เกี่ยวข้องกับมันครับ มีรายงานวิจัยจำนวนมากที่ชี้ให้เห็นว่า ความเบื่ออาจจะนำไปสู่ภาวะเสื่อมถอยทางสุขภาพทั้งทางกายและใจหลายๆ อย่าง ตั้งแต่ โรคอ้วนเพราะกินแก้เหงาแก้เซ็ง ติดเหล้าดื่มให้หายเบื่อ มีเซ็กส์มากให้หายเหงา สูบบุหรี่แก้เครียด ชอบพฤติกรรมเสี่ยงอย่างแข่งรถ การทะเลาะชกต่อย ทำลายข้าวของสาธารณะ แย่ไปเลยก็ไปติดยาเสพติดทั้งหลาย ติดการพนัน การทรมานตัวเองต่างๆ นานา ดังนั้นจะเห็นว่า ถ้าเราเข้าใจเรื่องความเบื่อได้ เราก็อาจจะแก้ปัญหาที่กล่าวมานี้ได้ครับ ในเมืองไทยเราเองนั้น มีปํญหาเหล่านี้ค่อนข้างเยอะ แต่เรายังไม่เคยพูดถึงเรื่องของความเบื่อ ที่นำมาสู่ปัญหาพวกนี้เลย

การศึกษาเรื่องของความเบื่อ อาจจะนำไปสู่เทคโนโลยีใหม่ๆ ได้อีกมากมายครับ ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถนำไปใช้แก้ความเบื่อ แทนพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำลายสุขภาพดังที่กล่าวมาข้างต้น หากใครคิดได้ มีไอเดียเจ๋งๆ ก็อาจจะรวยโดยไม่รู้ตัว จากการคิดค้นเทคโนโลยีแก้เบื่อเหล่านี้ บริษัทฟอร์ดได้ใส่เกมส์เข้าไปในรถ Ford Fusion ซึ่งเป็นรถประเภทไฮบริดที่สามารถนำพลังงานส่วนเกินไปเก็บในแบตเตอรี่ เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ ทำให้รถสามารถขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าร่วมกับเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน โดยเกมส์นี้จะอยู่บนคอนโซลรถยนต์ของฟอร์ด หากผู้ขับขี่ขับรถดีๆ ไม่กระโชกโฮกฮาก รักษาระดับการขับขี่ที่ทำให้ประหยัดน้ำมัน ที่หน้าคอนโซลของรถจะมีต้นองุ่นค่อยๆ ผลิใบออกมาทีละใบ และมันจะเจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ หากเรารักษาระดับขับขี่อย่างนุ่มนวลเอาไว้ ในที่สุดเราจะได้ต้นองุ่นที่สมบูรณ์ .... ทว่า ... หากเรา จู่ๆ ก็เหยียบคันเร่ง กระชากพวกมาลัย ปาดซ้ายปาดขวา วิ่งเร็วๆ ผสมเบรคแรงๆ ใบของต้นองุ่นก็จะร่วงออกจนหมดต้น เกมส์ที่อยู่บนรถฟอร์ดรุ่นนี้ จึงปรับพฤติกรรมผู้ขับขี่ให้ขับขี่อย่างมีมรรยาทมากขึ้น เป็นการเปลี่ยนความน่าเบื่อของการขับรถบนท้องถนน มาเป็นกิจกรรมดูแลองุ่น แทนที่จะไปขับปาดซ้ายปาดขวาเพื่อแก้เบื่อ ....

01 พฤษภาคม 2553

Are We Simulated in Computer ? - ฤาโลกนี้เป็นเพียงฝัน (ตอนที่ 7)

บทความชุด "ฤาโลกนี้เป็นเพียงฝัน" มาถึงตอนที่ 7 แล้วนะครับ แต่ผมอยากให้ท่านผู้อ่านย้อนกลับไปอ่านชุดบทความนี้ในตอนที่ 1 สักนิดครับ โดยเฉพาะส่วนหนึ่งของบทความตอนนั้น ซึ่งผมเขียนว่า "..... Dr. Nick Bostrom ผู้อำนวยการสถาบันอนาคตของมนุษยชาติ (Future of Humanity Institute) แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด เชื่อว่าพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีของสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงใดก็ตาม (รวมไปถึงโลกของเรานี้ด้วย) ไม่ว่าที่ใดในจักรวาล จะต้องไปถึงจุดที่สามารถสร้างคอมพิวเตอร์ที่มีพลังประมวลผลสูงมาก และสูงกว่าพลังประมวลผลของสมองมนุษย์ทุกสมองในโลก และหากคอมพิวเตอร์มีศักยภาพไปถึงจุดนั้นแล้ว เชื่อว่าจะต้องมีใครที่คิดอยากจะซิมูเลชั่นสิ่งมีชีวิตต่างๆ บนโลก ซึ่งกำลังประมวลผลที่มหาศาลนี่เอง ทำให้การจำลองเหตุการณ์และสิ่งมีชีวิตต่างๆ ทำได้เหมือนจริงมากเสียจนผู้ถูกจำลองไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว ตนเองเป็นชีวิตที่จำลองขึ้นมา ......."

ดูเหมือนว่า สิ่งที่ ดร.บอสตรอม ทำนายไว้ จะเกิดขึ้นเร็วเกินคาดครับ เพราะทางสหภาพยุโรปได้มีดำริที่จะสร้างโมเดลที่จะอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลก รวมไปถึงให้สามารถที่จะทำนายเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ในลักษณะเดียวกับที่นักอุตุนิยมวิทยาสามารถที่จะพยากรณ์อากาศได้จากโมเดลคอมพิวเตอร์ของสภาพอากาศ โครงการที่มีมูลค่ากว่า 1 พันล้านยูโร (ประมาณ 50,000 ล้านบาท) นี้จะรวมเอาโมเดลสำคัญๆ ทางด้านวิทยาศาสตร์ สังคม เศรษฐศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม (techno-socio-economic-environmental) เข้ามาบูรณาการเป็นหนึ่งเดียว นับเป็นครั้งแรกในโลก ที่มีการหลอมรวมศาสตร์ต่างๆ เข้ามาเพื่อทำการจำลองสถานการณ์บนโลกอย่างซับซ้อน และเต็มไปด้วยรายละเอียดจากทั้งมุมมองของวิทยาศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ อย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน โมเดลนี้จะวิ่งบนโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผลขนาดใหญ่ ข้อมูลจำนวนมากจากหลากหลายมิติ และมุมมอง จะถูกป้อนเข้าไปประมวลผล ณ เวลาจริง โครงการนี้จะทำให้เราสามารถที่จะพยากรณ์เหตุการณ์บางอย่าง ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ล่วงหน้า เพื่อให้เราสามารถเตรียมพร้อมหรือปรับตัวได้ทันท่วงที เช่น การเกิดฟองสบู่แตกทางด้านการเงิน การเกิดโรคระบาด กรณีพิพาทต่างๆ ทางสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือแม้กระทั่งใช้วางแผนในการทำสงคราม หรือการรักษาสันติภาพ เป็นต้น

ถึงแม้รายละเอียดของโครงการนี้ ยังไม่ได้มีการเปิดเผยเท่าไรนัก แต่ผมก็พอจะประเมินได้ว่า โครงการนี้จะต้องมีการนำนักวิทยาศาสตร์ชั้นยอด จากมหาวิทยาลัยต่างๆ หลากหลายศาสตร์ เข้ามาร่วมทำงานกัน และอาจจะมีเอกชนที่อยากลงขัน เพื่อมีส่วนในการใช้ข้อมูลหรือโมเดลดังกล่าวนี้ เช่น บริษัทประกัน บริษัทลงทุนขนาดยักษ์ หรือแม้แต่ Google เอง ก็คงต้องการที่จะสร้างโมเดลของโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ เมื่อถึงเวลานั้น เราก็เพียงแค่เข้า Google เพื่อ search หาเหตุการณ์แบบเรียลไทม์ (Real-time) ที่กำลังเกิดขึ้น หรือหาว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า ......

Avatar - กายอวตาร (ตอนที่ 4)


ตามแนวทางของพระพุทธศาสนานั้น มีความเชื่อว่าพวกเราไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์นั้น ต่างเวียนว่ายตายเกิด โดยเปลี่ยนจากรูปแบบหนึ่งไปเป็นอีกแบบหนึ่ง (พุทธศาสนาเรียกรูปแบบนี้ว่า ภพภูมิ) เช่น คนเรานั้น เมื่อตายไปแล้วก็อาจจะไปเกิดเป็นคนอีก หรืออาจจะไปเกิดเป็นกระต่ายก็ได้ แล้วแต่บุญแต่กรรมที่เราทำในชาตินี้ ... รวมกับที่เราสะสมกันมาในชาติก่อนๆ ด้วย คนเราเมื่อใกล้ตายนั้น จิตดวงสุดท้ายจะนำเราไปสู่ภพภูมิใหม่ ดังบันทึกในพระอภิธรรมที่ระบุไว้ว่า เมื่อภพภูมิปัจจุบันดับสูญลง ภพภูมิใหม่จะเกิดขึ้นทันที ....

สมัยที่ผมบวชเรียนเป็นพระภิกษุ ผมเคยถามท่านอาจารย์ว่า "ท่านอาจารย์ครับ คนเราเมื่อตายไปแล้ว สิ่งที่เราทำไว้ในชาตินี้เราก็ลืมหมด รวมทั้งสิ่งที่เราเรียนรู้ในชาตินี้ด้วย แล้วเราจะศึกษาพระปริยัติธรรมไปทำไมครับ หากเราไม่สามารถปฏิบัติเพื่อนิพพานในชาตินี้ ชาติหน้าเราเกิดมาก็ต้องมาเรียนใหม่" ผมเคยคิดเล่นๆ นะครับว่า ความรู้ต่างๆที่เราแสวงหา หรือร่ำเรียนกัน มันจะติดตัวเราไปได้ไหม เมื่อเราตายไปแล้ว น่าเสียดายนะครับ ที่คนเราเมื่อตายไปแล้ว สติปัญญาและความรู้ต่างๆที่สะสมไว้ในสมองของเรา ก็ต้องตายตามเราไปด้วย ทุกๆ ปีมีคนตายประมาณปีละ 50 ล้านกว่าคน ความรู้ต่างๆ ที่ตายไปกับคนเหล่านั้น มีค่าเท่ากับการเผาห้องสมุดรัฐสภาอเมริกัน (ที่มีขนาดใหญ่มากและใหญ่ที่สุดในโลก) ทิ้งถึงปีละ 3 ครั้งเลยทีเดียว

นักวิทยาศาสตร์กำลังคิดถึงความเป็นไปได้ในการก็อปปี้ความรู้และข้อมูลต่างๆ ในสมองของคนที่กำลังจะตาย เพื่อนำไปเก็บไว้ในฐานข้อมูล (upload) เพื่อไม่ให้ความรู้ต่างๆ นั้นสูญหายไปกับคนตาย และที่เจ๋งกว่านั้น หากเราสามารถที่จะถ่ายเทความรู้ต่างๆ นั้น download มาที่สมองของคนเป็น เพื่อให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่มีความรู้ความสามารถสืบทอดจากคนรุ่นก่อนๆ ได้ ตอนนี้ศาสตร์ที่เกี่ยวกับระบบประสาท สมอง สติ จิตใจ กำลังมาแรงมากๆ ครับ มีวารสารวิชาการเกิดใหม่มากมาย น่าเสียดายที่ในเมืองไทยของเรากลับมีความสนใจในเรื่องนี้น้อยมากๆ ทั้งๆ ที่ศาสตร์เหล่านี้ จะนำไปสู่เทคโนโลยีและงานประยุกต์อีกมากมายครับ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินไร้คนขับที่ควบคุมด้วยสมองประดิษฐ์ นวัตกรรมบันเทิง (Innovative Entertainment) ระบบ autopilot สำหรับรถยนต์ อวัยวะกลและอวัยวะทดแทน เป็นต้น

และถ้าหากความรู้ของเรามีมากไปถึงระดับหนึ่ง ก็อาจเป็นไปได้ที่เราจะถ่ายเทจิตใจของเราจากร่างที่กำลังจะตาย ไปสู่ร่างใหม่ที่สร้างขึ้นรอไว้เมื่อร่างเก่าใกล้หมดอายุ โดยไม่ต้องรอให้เวรกรรมพาเราไปจุติในภพใหม่เอง ......

08 เมษายน 2553

Robot Evolution - หุ่นยนต์วิวัฒน์ (ตอนที่ 6)


ในทางพุทธศาสนา เรามีความเชื่อว่ามนุษย์มีระดับสติ หรือความระลึกรู้ที่สูงกว่าสัตว์อื่นๆ มาก แม้แต่มนุษย์ด้วยกันก็มีระดับของสติต่างกัน พระอริยะบุคคลมีพลังของสติไวกว่ามนุษย์ปุถุชนทั่วไปมาก ท่านจึงรู้ตัวและสามารถระงับอารมณ์ หรือความอยากได้ทันท่วงที ซึ่งทำให้ท่านเหล่านั้นรู้เท่าทันภาวะความเป็นไป ของสิ่งที่มากระทบผัสสะต่างๆของท่าน


แต่มีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งที่เชื่อว่า สติหรือความระลึกรู้ เป็นเพียงซอฟต์แวร์ที่รันอยู่ในสมอง สามารถโมเดลด้วยคณิตศาสตร์ได้ อีกทั้งยังสร้างเพื่อนำไปใส่ในจักรกลได้ ศาสตร์นี้เราเรียกว่า สติประดิษฐ์ (Artificial Conciousness หรือ Machine Conciousness) ซึ่งเป็นหัวข้อที่กำลังมาแรงมากครับ ถึงขนาดที่มีวารสารวิจัยของประชาคมเขาเลย วารสารนี้มีชื่อว่า International Journal of Machine Conciousness ซึ่งเป็นวารสารสำหรับรายงานผลงานวิจัย ที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีพื้นฐาน ที่อธิบายการทำงานของสติประดิษฐ์ การออกแบบและพัฒนาจักรกลที่เลียนแบบการทำงานของมนุษย์ ความรู้ความเข้าใจในเรื่องสติและความระลึกรู้ เป็นต้น

ก่อนหน้านี้ได้เคยมีการออกแบบหุ่นยนต์ ที่มีความสามารถในการซ่อมแซม หรือรักษาตัวเอง หากมีความเสียหายเกิดขึ้น หุ่นยนต์ตัวนี้จะมีการทบทวนตนเองอยู่ตลอดเวลา (ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของสติ) ว่าตัวมันเองนั้นมีความสมบูรณ์ในการทำงานหรือไม่ มันจะคอยตรวจสอบตัวมันเอง หากมีอวัยวะส่วนใดบกพร่อง มันจะหาทางใช้งานส่วนที่เหลือ เพื่อให้มันยังปฏิบัติภารกิจได้ การรู้จักพิจารณาตนเองนี้ เป็นสมบัติของมนุษย์ ซึ่งการที่เราสามารถพัฒนาสมบัตินี้ให้หุ่นยนต์ ก็เท่ากับว่าเราสามารถทำให้หุ่นยนต์มีลักษณะใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้น

นักวิทยาศาสตร์ ได้ระบุอย่างคร่าวๆ ว่า ถ้าหากจะสร้างสติประดิษฐ์ขึ้นมา ก็ควรจะมีองค์ประกอบเหล่านี้ คือ (1) Awareness การรับรู้ข้อมูลที่เข้ามาทางผัสสะ ในทางพุทธศาสนาเราเรียกว่า "รูป" (2) Learning เมื่อมีการรับรู้เข้ามาแล้ว เกิดการเรียนรู้ว่าข้อมูลนั้นคืออะไร หรือที่เรารู้จักกันในทางพุทธศาสนาในชื่อว่า "เวทนา" แปลกไหมครับว่าความรู้พวกนี้ พุทธศาสนารู้มานานแล้ว (3) Anticipation เป็นความคาดหมายว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป โดยอาศัยความจำที่มีมาแต่ก่อน ในพุทธศาสนาเราเรียกว่า "สัญญา" (4) Subjective Experience ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่เหมือนมีตัวตน ระลึกถึงความมีอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับฝรั่งชาติตะวันตกที่จะเข้าใจ แต่ในศาสนาพุทธเราอาจเรียกว่านี่คือ "สังขาร หรือ วิญญาณ" ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของขันธุ์ 5

เข้าใจยากใช่มั้ยครับ วันหลังมาคุยเรื่องนี้ต่อครับ .....

16 กุมภาพันธ์ 2553

Are We Simulated in Computer ? - ฤาโลกนี้เป็นเพียงฝัน (ตอนที่ 6)


ท่านผู้อ่านเคยฝันดีดีไหมครับ ดีเสียจนเรารู้สึกเสียดายที่ต้องตื่นขึ้นมาเสียก่อน บางครั้งเราฝันดีเสียจนต้องกลับไปนอนต่อเพื่อจะฝันเรื่องเดิมต่อ แต่มันไม่เป็นเช่นนั้นสิครับ เรากลับไม่สามารถที่จะฝันเรื่องนั้นต่อได้อีกแล้ว .....

มีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งที่คิดว่า โลกที่เรากำลังอาศัยอยู่นี้ จริงๆ แล้ว อาจจะเป็นโลกที่จำลองอยู่ในคอมพิวเตอร์ก็ได้ แต่เพราะความเสมือนจริงของมันมากเสียจน เราไม่อาจจะแยกแยะระหว่างโลกจำลอง กับโลกจริงๆได้ นักวิทยาศาสตร์ตั้งคำถามอย่างนี้ครับว่า ....

(1) เราจะมีวิธีพิสูจน์ไหม ว่าโลกที่เราอาศัยอยู่นี้เป็นโลกจริง หรือโลกจำลอง ?

(2) โลกจำลองกับโลกจริง มีอะไรที่แตกต่างกัน ?

(3) เราจะปฏิบัติตนอย่างไร หากเรารู้ว่าเรากำลังอาศัยอยู่ในโลกจำลองอยู่ ?

แน่นอนครับว่า โลกจริงมีอยู่แน่ๆ ไม่เช่นนั้นจะมีโลกจำลองได้อย่างไร เพราะจะต้องมีโลกจริงๆ อย่างน้อย 1 โลก เอาไว้เป็นที่ตั้งของคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง ที่เอาไว้ใช้รันโลกจำลอง แต่ไม่ได้หมายความว่า โลกจำลองนี้ จะไม่มีคอมพิวเตอร์จำลอง ที่รันโลกจำลองอีกชั้นหนึ่ง หรืออาจจะมีโลกจำลองซ้อนๆ กันไปเรื่อยๆ ... งงไหมครับ ???

แต่เราจะรู้ว่าโลกที่เราอาศัยอยู่นี้เป็นโลกจริงหรือโลกจำลองได้อย่างไร ... มีนักฟิสิกส์ชื่อว่า Bin-Guang Ma ได้เสนอว่า การที่เราจะรู้ว่าเราอาศัยอยู่ในโลกจริงหรือไม่นั้น เราก็ต้องมีจุดอ้างอิง เช่น ถ้ามีโลกจำลองให้เปรียบเทียบ ก็แสดงว่าเราอาศัยอยู่ในโลกจริง หรือ ถ้ามีโลกจริงให้เปรียบเทียบ นั่นแสดงว่าเรากำลังอาศัยอยู่ในโลกจำลอง อธิบายง่ายๆ เหมือนถ้าเราอยากจะรู้ว่าเรากำลังหยุดนิ่งหรือเคลื่อนที่อยู่ เราก็ต้องมีวัตถุอื่นเป็นจุดอ้างอิง ถ้าเราเห็นว่าวัตถุอื่นๆ อยู่นิ่งกันไปหมด นั่นแสดงว่าเรากำลังหยุดนิ่ง แต่ถ้าเห็นวัตถุอื่นเคลื่อนใกล้เข้ามาหรือไกลออกไป ก็แสดงว่าเรากำลังเคลื่อนที่อยู่

การที่เราต้องมีจุดอ้างอิงเพื่อรู้ว่าเรามีตัวตนจริงๆ หรือไม่ แสดงให้เห็นว่า ความมีตัวตน หรือ การมีอยู่จริง เป็นเรื่องของสัมพัทธภาพ (Relativity) ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้สังเกตด้วยครับ หากเราเป็นผู้สังเกตเสียเอง เราก็จะบอกว่าเราเองนั่นแหละอาศัยในโลกของจริง ส่วนโลกที่มาอ้างอิงนั้นเป็นโลกจำลอง โดยผู้สังเกตจากอีกโลกหนึ่ง จะพูดว่าตัวเขาต่างหากที่อาศัยอยู่ในโลกของจริง แต่ตัวเราอาศัยในโลกจำลอง

ในคำสอนของพุทธศาสนานั้นมีความเชื่อเรื่องภพภูมิอยู่ ซึ่งบอกว่าเมื่อเราตายจากโลกนี้ไปแล้ว เราจะไปจุติในภพภูมิใหม่ซึ่งรันขนานกับภพภูมิที่เราเคยอยู่เดิม หรือว่าพระพุทธองค์ได้ทรงค้นพบความลับที่เกี่ยวกับโลกจำลองเมื่อ 2,600 ปีที่แล้ว ????

14 กุมภาพันธ์ 2553

Avatar - กายอวตาร (ตอนที่ 3)


การปลูกถ่ายอวัยวะ กำลังจะเป็นเทรนด์ใหม่ ที่จะช่วยยืดอายุขัยของมนุษย์ให้ยืนนานขึ้น เมื่อส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ก็จัดการเปลี่ยนมันเสียด้วยของใหม่ แค่นั้นยังไม่พอ เราเริ่มค้นหาที่จะปิดสวิตช์ยีนที่ทำให้คนเราแก่ ด้วยหวังว่า ร่างกายของเราจะได้ไม่ต้องไปรับรู้นาฬิกาชีวะ ที่คอยบอกเราว่าเราเริ่มแก่หรือยัง

สมมติว่าเรามีเทคโนโลยีที่จะสร้างร่างกายของเราขึ้นมาใหม่ทั้งหมด รวมทั้งสมอง เราจะสามารถถ่ายโอนความระลึกรู้ และความรู้สึกนึกคิดของเราจากร่างเก่า เพื่อเข้าไปอยู่ในร่างใหม่ได้หรือไม่ ? เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คิดแล้วก็ปวดหัวครับ สมมติว่าเราสามารถ copy สมองของเราทั้งหมด ไปสร้างสมองอันใหม่ที่เหมือนกับของเราเปี๊ยบเลย รวมทั้งร่างกายใหม่ด้วย เป็นคนเดียวกับเราเหมือนกันเดี๊ย เพียงแต่อวัยวะยังฟิตปั๋ง ใหม่ๆ ซิงๆ ยังไม่ใช้งานมากเหมือนของเรา ถามว่า คนๆ นั้น ยังเป็นตัวเราอยู่ไหม หรือเป็นคนใหม่ที่มีความรู้สึกนึกคิดคล้ายๆ กับเรา เท่านั้นเอง เพราะได้ copy สมองไปจากเรา เอายังงี้คิดง่ายๆ หากเราคิดว่าร่างกายใหม่ที่มีสมองของเรานั้น เป็นอวตารของเรา เราจะกล้าปิดสวิตช์ตัวเรา (ทำให้ร่างเก่าตาย) เพื่อเข้าไปอยู่ในร่างใหม่หรือไม่ ?

สำหรับนักวิทยาศาสตร์แล้ว เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ปวดหัวมาก เพราะตำราวิทยาศาสตร์ของตะวันตกไม่มีคำว่า "จิต" ซึ่งอาจจะเป็นซอฟต์แวร์ที่วิ่งอยู่บนสมองของเรา ซึ่งทุกวันนี้ วิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถหาวิธีศึกษามันได้ นักวิทยาศาสตร์จึงจำใจต้องผูกโยงอาการทางนามธรรมหลายอย่าง เช่น เรื่องของสติสัมปชัญญะ ความจำ ภาวะความสุข-เศร้า ว่าเป็นเรื่องของฮาร์ดแวร์ ซึ่งก็คือเซลล์สมองและกิจกรรมของมัน หลายๆ ครั้ง ภาวะของสติ ก็ยากที่จะอธิบายด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งขณะนี้มีเพียงวิธี Functional Magnetic Resonance Imaging (fMRI) เท่านั้น ที่เชื่อมโยงภาวะนามธรรมเหล่านั้นได้

วันหลังมาคุยเรื่องนี้ต่อนะครับ .....