05 มีนาคม 2555

Avatar - กายอวตาร (ตอนที่ 7)


เมื่อประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมทางด้านอนาคตศาสตร์ที่มีชื่อ Global Future 2045 ซึ่งจัดที่กรุงมอสโก โดยการประชุมนี้ได้รวบรวมนักอนาคตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายท่าน มหาเศรษฐีนักลงทุนข้ามชาติ นักวิทยาศาสตร์จากหลากหลายสาขา เช่น ฟิสิกส์ ชีววิทยา นักมนุษยวิทยา นักสังคมศาสตร์ หุ่นยนต์ศาสตร์ นักจิตวิทยา ประสาทวิทยา จักรวาลวิทยา นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานให้ทุนทั้งในวงการรัฐบาลและกลาโหม โดยเนื้อหาของการประชุมนั้น เป็นการระดมแนวคิด และจัดวางยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีล้ำยุค ที่จะเป็นพื้นฐานการอยู่รอดของมนุษยชาติในปี ค.ศ. 2045 โดยมีการวางเป้าหมายของการประชุมดังนี้

- การอภิปราย การสาธิต ผลงานวิจัยและพัฒนาล่าสุดทางด้าน วิทยาศาสตร์ทางจิต หุ่นยนต์ศาสตร์ และการโมเดลระบบของสิ่งมีชีวิต
- การประเมินเทคโนโลยีสำคัญๆ ที่จะทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่ ในวิถีดำรงชีพของมนุษย์
- การสังคายนา ญาณทัศน์แห่งอนาคต ว่าอารยธรรมของมนุษย์จะพัฒนาไปอย่างไร บนแนวคิดของประวัติศาสตร์มหภาค (Big History)

ประธานในการจัดงานคือ ดมิทรี อิทสคอฟ (Dmitry Itskov) มหาเศรษฐีเจ้าพ่อวงการสื่อแห่งรัสเซีย ซึ่งหลงใกลในแนวคิดเกี่ยวกับกายอวตาร เขามองว่า เทคโนโลยีในอนาคตสามารถที่จะยืดอายุขัยของมนุษย์ออกไปได้ โดยการดึงจิตใจของมนุษย์ออกมาจากร่างกายที่มีวันเสื่อม ไปสู่กายใหม่ที่สร้างขึ้นจากวัสดุที่สามารถเปลี่ยนอะไหล่ได้เรื่อยๆ หรือแม้กระทั่ง ไปสู่กายละเอียดที่เป็นโฮโลแกรมก็ได้ อิทสคอฟมองภาพของพัฒนาการร่างกายมนุษย์ จาก A ไปสู่ D ดังนี้

Body A - เป็นร่างกายที่สองของเรา โดยสามารถทำงานภายใต้การควบคุมของเรา ผ่านระบบเชื่อมโยงทางประสาท แบบเดียวกับในภาพยนตร์เรื่อง Avatar กายที่สองนี้อาจจะเป็นกายเนื้อทำจากวัสดุอินทรีย์ หรืออาจจะเป็นหุ่นยนต์ หรือผสมผสานกัน ก็ย่อมได้ แต่น่าจะเป็นลักษณะของหุ่นยนต์มากกว่า เพราะจะมีความทนทานต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า อิทสคอฟดังเป้าไว้ว่า เราต้องมีเทคโนโลยีนี้ภายในปี ค.ศ. 2020 อีกแค่ 8 ปีเองนะครับเนี่ย

Body B - เมื่อเรามีเทคโนโลยีในการผลิตร่างกายที่สองแล้ว ทำไมเราไม่ย้ายไปอยู่ในร่างกายนั้นเสียเลย เพราะร่างกายตามธรรมชาติที่พ่อแม่ให้เรามานั้น นับวันก็มีแต่จะเสื่อมถอย อิทสคอฟมองว่า Body B นี้จะเป็นบ้านใหม่สำหรับคนแก่ที่ร่างกายเสื่อมจนยากที่จะซ่อม คนเป็นโรคร้ายแรงที่ไม่สามารถกู้คืนได้แล้ว คนที่ได้รับอุบัติเหตุร้ายแรง ดังนั้น ถ้าจิตใจของคนเราสถิตย์อยู่ที่สมอง เราก็น่าจะย้ายสมองจากร่างกายที่พ่อแม่ให้มา ไปสู่ร่างกายใหม่ โดยเพียงแค่หล่อเลี้ยงสมองให้สามารถทำงานอยู่ได้ก็พอ ส่วนร่างกายที่สมองไปอยู่นั้น จะเป็นร่างกายแบบไหน ก็ไม่สำคัญ ขอให้มันทำงานและสามารถอุ้มชูสมองที่ย้ายมาอยู่ให้ได้ก็พอ อิทสคอฟมองภาพของเทคโนโลยีที่ว่านั้นในปี ค.ศ. 2025 ซึ่งผมมองว่าไม่น่าจะทำทัน

Body C - ข้อเสียของ Body B คือ แม้ร่างกายจะเป็นวัสดุสังเคราะห์แต่ส่วนสมองก็ยังเป็นเนื้อหนัง เป็นวัสดุชีวภาพที่มีความเสื่อม และซ่อมแซมให้อยู่นานๆ ไม่ได้ง่ายนัก ดังนั้น หากเราแทนที่สมองชีวะนั้นด้วยสมองสังเคราะห์ (Artificial Brain) ก็จะทำให้ทั้งร่างกายและสมอง อยู่บนแพล็ตฟอร์มเดียวกัน สิ่งที่ต้องทำให้ได้สำหรับการสร้าง Body C ก็คือ เราต้องสามารถย้ายส่วนที่เป็นจิตใจ (ข้อมูลต่างๆ ความจำ ความรู้สึกนึกคิด) ออกจากสมองชีวะ ไปสู่สมองใหม่ให้ได้ อิทสคอฟอยากให้มีเทคโนโลยีที่ว่านี้ในปี ค.ศ. 2035 หรืออีก 23 ปีข้างหน้า ซึ่งในเวลานั้น อิทสคอฟจะมีอายุ 54 ปี

Body D - ในเมื่อเรามีเทคโนโลยีในการย้ายจิตใจจากสมองหนึ่ง ไปสู่อีกสมองหนึ่งได้ ทำไมเราจะต้องแคร์ที่จะให้จิตใจยึดติดอยู่กับกายหยาบล่ะครับ อิทสคอฟมองว่า หากจิตใจสามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่ขึ้นกับสังขาร (Medium Independent) เราก็สามารถจะสังเคราะห์กายละเอียดเพื่อให้จิตใจสถิตย์อยู่ได้ เช่น สร้างกายละเอียดออกมาในลักษณะโฮโลแกรม ตามแต่จิตจะนึกเอาว่าอยากให้เป็นอย่างไร ส่วนจิตใจที่เราสกัดออกมาจากสมองใน Body A นั้น เราสามารถที่จะให้เค้าดำรงอยู่แบบผูกโยงกับกายละเอียด หรือสถิตย์อยู่ในระบบ Cloud Intelligence ที่มีโครงข่ายอยู่ทั่วโลกก็ได้

เมื่อประมาณ 2,600 ปีที่แล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้กรุงพาราณสี สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงพระธรรมที่มีชื่อว่า อนัตตลักขณสูตร โดยมีเนื้อความตอนหนึ่งว่า "..... ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล .... รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่ารูปเธอทั้งหลายพึงพิจารณารูปนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา ...... " เมื่อจบธรรมเทศนาบทนี้แล้ว พระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้ถึงการพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ภิกษุปัญจวัคคีย์ทั้งหมดดำรงอยู่ในพระอรหัตผล ในครั้งนั้น โลกจึงได้มีพระอรหันต์เกิดขึ้นแล้ว ๖ องค์

1 ความคิดเห็น:

  1. มนุษย์ผู้ไม่ยอมตาย จะสามารถทำทุกวิถีทาง ที่่่คิดว่าจะสามารถให้ตนเองดำรงชีวิตอยู่ได้ยั่งยืนตลอดไป เป็นการเอาชนะธรรมชาติ หรือเอาชนะกฏไตรลักษณ์ เพราะเขาเกิดมาไม่ลำบาก จึงต้องการเช่นนั้น แต่คนที่เกิดมาลำบากยากแค้นก็จะขอให้ไปเกิดใหม่อย่าให้ลำบากเลย ...นี่แหละ.มนุษย์ผู้จะเอาชนะธรรมชาติซึ่งเป็นความดับไปเป็นธรรมดา(ความตาย)เพราะคิดว่าตนเองไม่ใช่ธรรมชาติ แต่จริงแล้วมนุษย์ก็เพียงธุลีหนึ่งของจักรวาล ที่เปลี่ยนแปลงสถานะของธาตุไปตามเหตุปัจจัย..
    พระพุทธองค์ ตรัสว่า "สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา "

    ตอบลบ