แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ funding แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ funding แสดงบทความทั้งหมด

13 พฤศจิกายน 2550

จับตาดูประเทศเพื่อนบ้าน เทียบศักยภาพนาโนกับไทย


การวิจัยทางนาโนศาสตร์ (Nanoscience) สามารถแบ่งออกเป็น สาขาการสังเคราะห์และเตรียมนาโนวัสดุ การประกอบอุปกรณ์ การบูรณาการระบบ และการโมเดลและออกแบบโครงสร้างนาโน ส่วนด้านนาโนเทคโนโลยี แบ่งเป็นสาขานาโนอิเล็กทรอนิกส์ นาโนวัสดุ และ นาโนชีววิทยา เมื่อเทียบสถานภาพกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม จีน มาเลเซีย และ สิงคโปร์ โดยประเมินจากการประชุมวิชาการที่เป็นงานใหญ่ประจำปีของแต่ละประเทศ พบว่าในเรื่องของการสังเคราะห์และเตรียมนาโนวัสดุนั้น ประเทศไทยไม่ได้ด้อยไปกว่าประเทศใดในย่านนี้ โดยเฉพาะวัสดุจำพวกเซรามิกส์และพอลิเมอร์ สำหรับเวียดนามนั้นค่อนข้างเก่งในเรื่องของวัสดุนาโนจำพวกเซรามิกส์ ที่ใช้ทางด้านอิเล็กทรอนิกส์และแม่เหล็ก ในเรื่องของการประกอบอุปกรณ์นั้น แม้ประเทศไทยจะตามหลังประเทศทางตะวันตกทั้งหลาย รวมทั้งประเทศเอเชียที่มีความก้าวหน้า อย่าง เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน แต่เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านก็ถือว่าเราไม่แพ้ใคร สำหรับเรื่อง MEMS (Micro-electromechanical system) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของนาโนอิเล็กทรอนิกส์นั้น ประเทศไทยกับมาเลเซียถือว่าเป็นคู่แข่งกัน โดยเวียดนามยังห่างชั้นกับไทยอยู่ สาขาที่ประเทศไทยยังมีความอ่อนแออยู่ค่อนข้างชัดคือ สาขานาโนชีววิทยา ซึ่งยังมีการทำวิจัยค่อนข้างน้อย ทำให้ประเทศไทยตามหลังสิงคโปร์อยู่ห่างๆ

อนาคตของอุตสาหกรรมไทย ขึ้นกับความสามารถในการแข่งขันด้านนาโนเทคโนโลยีของประเทศ โดยปัจจัยหลักมาจากงานวิจัยพื้นฐานที่ต้องมีกลไกที่แข็งแรงมาเชื่อมโยงเพื่อนำไปสู่ปลายทางให้ได้ โดยหากเราไม่คิดเริ่มจะทำอะไรในวันนี้ เราจะแพ้ประเทศที่พัฒนาเรื่องนี้หลังเราในไม่ช้านี้ จริงๆ แล้วประเทศไทยมีกลไกในการเชื่อมโยงงานวิจัยพื้นฐานและประยุกต์ให้ไปสู่การใช้ประโยชน์ในระดับดีทีเดียว เช่น โครงการวิจัยและพัฒนาร่วมรัฐและเอกชน โครงการหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา (University Business Incubator - UBI) โครงการหน่วยจัดการทรัพย์สินทางปัญญา (Technology Licensing Office – TLO) โครงการสร้างผู้ประกอบการใหม่ เป็นต้น โดยโครงการเหล่านั้นเน้นการสนับสนุนงานวิจัยที่มีความพร้อมสู่การประยุกต์ใช้ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการจดสิทธิบัตร การถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ผู้ใช้ หรือ แม้กระทั่งการตั้งบริษัท Start-Up ขึ้นมาเองเพื่อดำเนินการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือเทคโนโลยี สิ่งที่ประเทศไทยต้องทำก็คือพยายามต่อท่อโครงการวิจัยพื้นฐานที่มีศักยภาพ ให้ไปสู่โครงการเหล่านั้นให้ได้ มิฉะนั้น เมื่อหน่วยงานให้ทุนที่เน้นปลายทางเหล่านี้เดินต่อไปได้สักระยะหนึ่งก็จะขาดน้ำเลี้ยง เพราะได้ทำการ shopping โครงการวิจัยดีๆไปหมดแล้ว นี่คือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ เราจะได้เห็นหน่วยงานต่างๆ แย่งกันสนับสนุนโครงการที่มีศักยภาพปลายทางเพื่อเก็บผล แต่งานรดน้ำ พรวนดิน ให้ปุ๋ย จะมีคนทำน้อยลง


(ภาพด้านบน - ตุ๊กตาแต่งกายชุดประจำชาติของเวียดนาม ประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังผงาดมาแข่งไทยทุกๆ ด้าน)

25 ตุลาคม 2550

ใกล้เข้ายุคนาโนอุตสาหกรรมแล้ว ไทยต้องรีบตื่นตัว



นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา นาโนเทคโนโลยีได้กลายมาเป็นกระแสตื่นตัวไปทั่วโลก ได้เกิดโปรแกรมการสนับสนุนการวิจัยทางด้านนาโนเทคโนโลยีในระดับวาระแห่งชาติในหลายประเทศ ประเทศไทยเองได้ริเริ่มโครงการนาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2546 ห่างจากสหรัฐอเมริกาเพียง 3 ปีเท่านั้น ทำให้ประเทศไทยไม่ตกกระแสการแข่งขัน อย่างไรก็ตาม ประเทศคู่แข่งของไทย ทั้งเวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์ ล้วนแล้วแต่มีโครงการนาโนเทคโนโลยีแห่งชาติเหมือนกัน โดยทั้งสามประเทศเริ่มเน้นหนักไปในเรื่องของการพัฒนานาโนเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรม ในระยะ 2-3 ปีมานี้ อุตสาหกรรมไทยหลายแขนงแสดงความต้องการที่จะนำนาโนเทคโนโลยีมาใช้ปรับปรุงการผลิต หรือ ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ หรือ เพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ เช่น ปตท. ซีเมนต์ไทย เบทาโกร บริษัทเหล่านั้นตระหนักว่าบริษัทคู่แข่งต่างชาติต่างมีเทคโนโลยีนี้ในมือ นอกจากนั้นยังมีบริษัทขนาด SME จำนวนมากขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ที่มีความต้องการนาโนเทคโนโลยีเข้าไปใช้ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ เช่น บริษัทผลิตเลนส์แว่นตา บริษัทผลิตเครื่องกรองน้ำ บริษัทผลิตสุขภัณฑ์ บริษัทผลิตสี บริษัทผลิตวัสดุก่อสร้าง บริษัทผลิตเครื่องดื่ม ฯลฯ แม้แต่สปาก็ยังอยากมีนาโนเทคโนโลยีไปใช้เสริมแบรนด์


ประเทศไทยเองมีกลไกหลายอย่างพร้อมที่จะสนับสนุนให้อุตสาหกรรมในประเทศเข้าสู่ยุคนาโนอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานให้ทุนอย่าง สกว. ที่สนับสนุนงานวิจัยระดับพื้นฐาน ที่นับวันจะมีความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะสาขานาโนเทคโนโลยีนั้น พบว่า งานวิจัยพื้นฐานเท่านั้นที่สามารถเข้าไปเพิ่มมูลค่าสิ่งของในอุตสาหกรรมได้จริง สกอ. มีกลไกของหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันอุดมศึกษา (University Business Incubator หรือ UBI) และ หน่วยจัดการทรัพย์สินทางปัญญา (Technology Licensing Office หรือ TLO) โดย UBI จะทำหน้าที่บ่มเพาะ emerging ideas, emerging innovation, emerging business ให้สามารถเป็นบริษัทตั้งใหม่หรือ Start-Up Company ให้ได้ ซึ่ง ประเทศไทยเราขาดมาก ในขณะที่ประเทศแถบสแกนดิเนเวียมีความก้าวหน้าทางด้านนี้สูงมาก ส่วนงานวิจัยระดับบนๆ ที่เป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ไปเสริมความแข็งแกร่งของคลัสเตอร์หลักๆ ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็น อาหาร ยานยนตร์ ยางพารา กุ้ง อิเล็กทรอนิกส์ ก็มีหน่วยงานอย่าง สวทช. ดูแลอยู่ โดยเฉพาะ NECTEC นั้นปีหน้าเขาเน้นเทคโนโลยีเกิดใหม่ที่จะมีผลกระทบสูงต่อวิถีชีวิตในโลกอนาคต เช่น Smart Home, Smart Farm, Plastic Electronics ซึ่งแน่นอน นาโนเทคโนโลยีก็เป็นองค์ประกอบของเทคโนโลยีเกิดใหม่เหล่านั้นด้วย


(ภาพด้านซ้าย - คลิ๊กที่รูปเพื่อขยาย - แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของการตั้งศูนย์เฉพาะทางทางด้านนาโนศาสตร์ และ นาโนเทคโนโลยีในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่นับวันจะมุ่งไปทางการประยุกต์ใช้ หรือ ทางอุตสาหกรรมมากขึ้น)

16 กันยายน 2550

ไทยขยับตัว หน่วยงานให้ทุนช่วยขนของจากหิ้งไปห้าง


นักวิจัยไทยตกเป็นจำเลยสังคมมานานแล้ว เรื่องที่ทำงานวิจัยแล้วมักจะไปจบที่หิ้ง จริงๆก็จะไปโทษนักวิจัยอย่างเดียวไม่ได้ ยิ่งงานวิชาการในมหาวิทยาลัย เป้าหมายหลักคือการผลิตคน และสร้างองค์ความรู้ให้แข็งแกร่ง ดังนั้นผลงานในลักษณะของที่ขึ้นหิ้ง จึงเป็นดัชนีชี้วัดหลัก อีกอย่างหนึ่งก็คือ ในอดีตที่ผ่านมา กลไกที่จะเชื่อมโยงงานบนหิ้งเหล่านั้น ออกไปสู่ห้าง ไปสู่ผู้ใช้ แทบจะไม่มีเลย

แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอดีต เพราะปัจจุบันหน่วยงานให้ทุนของไทยหลายๆ หน่วยงานได้มีโครงการ หรือ กลไก ต่อท่องานวิจัยเหล่านั้นให้ออกไปสู่ผู้ใช้ และ ภาคอุตสาหกรรม เช่น สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา หรือ สกอ. มี University Business Incubator หรือ UBI ในมหาวิทยาลัยหลักและรองทั่วประเทศกว่า 35 มหาวิทยาลัยแล้ว โดยมุ่งเป้าไปที่การสร้างและบ่มเพาะวิสาหกิจจัดตั้งใหม่ ที่เรียกว่า Start-Up Company นอกจากนั้น สกอ. ยังสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยใหญ่ 10 แห่ง จัดตั้ง Technology Licensing Office หรือ TLO เพื่อทำหน้าที่ผลักดันให้คณาจารย์จดสิทธิบัตรมากขึ้น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย หรือ สกว. โดยฝ่ายวิชาการ ซึ่งเล่นงานพื้นฐานเพื่อผลิต paper มาตลอดเวลากว่า 10 ปี ตอนนี้มีของบนหิ้งมากมาย ก็เริ่มขยับตัว คัดเลือกของในหิ้งไปสู่ห้าง โดยในปี 2550 นี้ได้ร่วมกับ สสว. แห่งกระทรวงอุตสาหกรรม ทำโครงการวิจัยพื้นฐานเพื่ออุตสาหกรรม โครงการนี้จะช่วยผลักดันให้นักวิจัยพื้นฐานที่มีประวัติการทำวิจัยพื้นฐานเข้มแข็ง ได้ร่วมทำงานกับภาคอุตสาหกรรม เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ หรือ แก้ปัญหาให้แก่ภาคอุตสาหกรรม โดยใช้นวัตกรรมกับองค์ความรู้ที่สะสมมา เป็นการระบายของจากหิ้งไปสู่ห้างที่ชาญฉลาด อีกหน่วยงานที่ทำเรื่องนี้มานาน และประสบความสำเร็จสูงก็คือ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA ที่เน้นงานวิจัยที่เกือบจะเสร็จ และมี potential สูงให้ไปสู่อุตสาหกรรม โดย NIA จะให้ทุนไปที่อุตสาหกรรมโดยตรง

จริงๆ แล้ว ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่ต่างประเทศชอบใช้มาก แต่ยังไม่มีทำกันในบ้านเราก็คือ Technology Incubator ซึ่งในสหรัฐฯ มักจะตั้งชื่อให้เก๋ไก๋ว่า Center for Emerging Technologies โดยหน่วยงานประเภทนี้จะเน้นการสร้างบริษัทไฮเทค หรือ มีนวัตกรรมสูงขึ้นมา ซึ่งน่าจะเหมาะกับนาโนเทคโนโลยี วันหลัง nanothailand จะนำเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังครับ

(ภาพซ้ายมือ - หน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ชูธงการสร้างและพัฒนาผู้ประกอบการท้องถิ่น ให้เข้มแข็ง โดยอาศัยทรัพยากรของมหาวิทยาลัย)

13 กันยายน 2550

อยากเป็นที่หนึ่ง ไทยต้องเร่งสร้างทีม ลดบทบาทตัวบุคคล


ปัญหาในวงการวิจัยของไทยที่คอยบอนไซประเทศมาหลายสิบปีเรื่องหนึ่งก็คือ วัฒนธรรมการทำงานแบบ "ข้ามาคนเดียว" ของนักวิจัยไทย ที่ชอบเล่นบท superman ทำงานคนเดียว ที่เหลือเป็นนักศึกษา แต่ในระยะ 2-3 ปีมานี้ ภายหลังจากมีการรายงานถึงความอ่อนแอของงานวิจัยไทยที่เกิดจากการชอบทำงานคนเดียว ซึ่งจัดทำโดย สกอ. ร่วมกับ สกว. หน่วยงานให้ทุนต่างๆ ก็เริ่มเน้นการให้ทุนแบบรวมกลุ่มมากขึ้น ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) เริ่มการจัดตั้ง Center of Excellence หรือ COE ตามมหาวิทยาลัยหลักทั่วประเทศตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยมุ่งสร้างทีมที่มีเอกลักษณ์ NECTEC - The Best of NSTDA ก็เริ่มจัดตั้ง COE บ้างแล้วในปีนี้ สกอ. มีทุนสร้าง Research Group ที่เน้นทีมมากกว่าตัวบุคคล แม้แต่ สกว. ซึ่งมีประเพณีการให้ทุนที่เน้นตัวบุคคลมาแต่ไหนแต่ไร แต่ได้ยินมาว่า ทุนทางด้านนาโนเทคโนโลยีของ สกว. จะ upgrade ขึ้นไปชูทีมเวอร์ค มากกว่าตัวบุคคล อย่างที่เคยทำ


ในโลกของงานวิจัยสมัยใหม่ เหลือที่ว่างให้ศิลปินเดี่ยวน้อยลงทุกที nanothailand ชอบคำพูดของผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมาก ท่านเป็นอธิการบดี ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ท่านกล่าวว่า "สมัยนี้ถ้ายังทำงานวิจัยคนเดียว เป็นศิลปินเดี่ยว ก็ต้องไปยืนเล่นตามชานชาลารถไฟเท่านั้น" หากมองออกไปข้างนอก เอาใกล้ๆตัวก่อน สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม เขารวมกันเป็นทีมทั้งนั้น ยิ่งออกไปไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และ อเมริกา กระแสการจัดตั้ง Center of Excellence ที่ทำกันมาหลายปีก็ยังแรงอยู่ ทุนเมกะโปรเจคต์ของยุโรปที่เรียกว่า FP7 บอกเลยว่าไม่ต้อนรับข้ามาคนเดียว


(ภาพซ้ายมือ - แม้แต่ในวงการดนตรี ก็ยังต้องมากันเป็นทีม ในภาพเป็นศิลปินวงโซนยอชิแด ที่อาศัยความเป็นทีม สร้างความโด่งดังไปทั่วเอเชีย ศิลปินในเกาหลีอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Super Junior ที่มีอยู่ 10 คน KARA ที่มีอยู่ 4 คน Wonder Girls ที่มี 5 คน ล้วนแสดงให้เห็นว่า หากประเทศไทยยังเน้นบุคคลเดี่ยวๆ อยู่ ตายแน่ๆ)