แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ USA แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ USA แสดงบทความทั้งหมด

19 มิถุนายน 2555

Intelligent Battlefield - เทคโนโลยีสนามรบอัจฉริยะ (ตอนที่ 12)


กล่าวกันว่าเมื่อสหรัฐอเมริกาถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานในอีก 2 ปีข้างหน้า  อเมริกาจะยังเฝ้ามองอัฟกานิสถานจากระยะไกล ด้วยการฝังเซ็นเซอร์ตามจุดอ่อนไหวต่างๆ ทั่วชนบทของอัฟกานิสถาน แนวเขาและชายแดนที่เคยใช้เป็นเส้นทางของผู้ก่อการร้ายจะถูกตรวจวัดโดยเครือข่ายเซ็นเซอร์ไร้สาย (wireless sensor networks) เซ็นเซอร์ที่มีขนาดเล็ก และพรางตัวให้เหมือนหิน จะตรวจวัดแรงสั่นสะเทือนซึ่งทำให้รู้ว่ามีกองกำลังเดินทางเคลื่อนที่ผ่านมาหรือไม่ บางจุดอาจจะมีการติดกล้องขนาดจิ๋วเพื่อถ่ายภาพ คาดกันว่าอาจมีการวางเซ็นเซอร์เหล่านี้หลายหมื่นตัว เป็นเครือข่ายไร้สายขนาดใหญ่ที่จะเป็นมรดกชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งที่อเมริกาจะทิ้งไว้ให้อัฟกานิสถาน เครือข่ายเซ็นเซอร์เหล่านี้จะส่งข้อมูลผ่านกันเป็นทอดๆ โดยข้อมูลสามารถส่งมาที่เพนทากอน หรือ กองเรือสหรัฐฯ ที่ประจำการในมหาสมุทรอินเดีย ผ่านดาวเทียม หรือ อากาศยานสอดแนม ทำให้อเมริกายังคงมีตาทิพย์ที่จะตรวจความเป็นไปในพื้นที่เหล่านั้นอยู่

ถึงแม้ อเมริกาจะมีเทคโนโลยีสอดแนมจากบนฟ้าหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นดาวเทียมสอดแนม อากาศยานไร้นักบิน (UAV) แต่เทคโนโลยีเหล่านั้นก็มีขีดจำกัดหลายๆ อย่าง เช่น ดาวเทียมมีวงโคจรและคาบเวลาที่เป็นไปตามกฏฟิสิกส์ อีกทั้งยังอาจประสบอุปสรรคจากสภาพอากาศเลวร้ายได้ ทั้งดาวเทียมและเครื่องบินสอดแนมไม่สามารถจะเฝ้าดูพื้นที่เป้าหมายได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เหมือนพวกเซ็นเซอร์บนพื้นดิน (ในทางทหาร เรียกเซ็นเซอร์เหล่านี้ว่า Unattended Ground Sensors) เซ็นเซอร์พวกนี้ติดตั้งไว้ แล้วก็ลืมได้เลย ไม่ต้องมาดูแลอะไรอีก เมื่อมันจับสัญญาณที่เราสนใจได้ มันก็จะเก็บข้อมูลแล้วส่งข้อมูลมาให้เอง ปกติเซ็นเซอร์พวกนี้จะนอนหลับเพื่อเก็บพลังงานเอาไว้ใช้ยามจำเป็น แต่พวกมันจะคอยเงี่ยหูฟังอยู่เรื่อยๆ เมื่อมันตรวจเจอสิ่งผิดปกติ มันจะตื่นขึ้นมาเต็๋มที่เพื่อเก็บข้อมูล จากนั้นมันจะส่งข้อมูลไปยังศูนย์ข้อมูล การที่เซ็นเซอร์พวกนี้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการนอน ทำให้มันประหยัดพลังงานได้ กองทัพสหรัฐฯ คาดหวังว่า เซ็นเซอร์ที่นำไปติดตั้งในอัฟกานิสถานนั้นจะมีอายุการใช้งานไปได้ 10 - 20 ปีเลยทีเดียว
ก่อนหน้านี้ในสมัยสงครามเวียดนาม กองทัพสหรัฐฯ เคยทิ้งเครือข่ายเซ็นเซอร์จำนวนมาก ทางชายแดนตอนใต้ของประเทศลาว เซ็นเซอร์ที่ถูกทิ้งลงมาจะปักลงไปใต้ดิน แล้วโผล่มาแค่เสาอากาศซึ่งถูกออกแบบให้มีลักษณะคล้ายวัชพืช มันจะมีเซ็นเซอร์ตรวจวัดเสียงและแรงสั่นสะเทือนบนพื้นดิน ซึ่งสามารถตรวจการเคลื่อนไหวของพาหนะในระยะ 1 กิโลเมตร และการเคลื่อนของกำลังพลในระยะ 400 เมตร เมื่อกองทัพเวียดนามเคลื่อนที่ผ่านตามเส้นทางโฮจิมินห์ลงมา มันจะตรวจวัดและส่งข้อมูลกลับไปยังศูนย์ข้อมูล ซึ่งนำมาสู่การทิ้งระเบิดปูพรมในบริเวณนั้น ในช่วงสงครามเวียดนาม กองทัพสหรัฐฯ ได้ใช้ประโยชน์จากเซ็นเซอร์เหล่านี้สำหรับการเตือนล่วงหน้าถึงการเคลื่อนทัพของข้าศึก มีการติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดรอบๆ ฐานทัพที่สำคัญ ทำให้ทหารสหรัฐฯ สามารถป้องกันฐานที่มั่นได้หลายๆ ครั้ง จากการยิงหวังผลที่แม่นยำด้วยข้อมูลที่ส่งมาจากเซ็นเซอร์ ในปัจจุบันกองทัพสหรัฐฯ ได้ติดตั้งเครือข่ายเซ็นเซอร์ ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าเดิมมาก ไว้จำนวนนับหมื่นอัน รอบๆ ฐานที่มั่นในอิรักและอัฟกานิสถาน

ครั้งหน้ามาคุยเรื่องนี้กันต่อนะครับ .....

28 มิถุนายน 2554

โอบามาทุ่ม 15,000 ล้านบาท วิจัย Advanced Manufacturing Initiative



เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ประธานาธิบดีโอบามาได้เดินทางไปเยี่ยมชม มหาวิทยาลัยคาร์เนกี เมลลอน (Carnegie Mellon University) ซึ่งมหาวิทยาลัยนี้มีชื่อเสียงในเรื่องของเทคโนโลยีหุ่นยนต์ และยังเป็นที่ตั้งของศูนย์วิจัยหุ่นยนต์แห่งชาติ (National Robotics Engineering Center) อีกด้วย ทั้งนี้มหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้รับงบประมาณจำนวนมากจากเพนทากอน ในการพัฒนาระบบหุ่นยนต์สำหรับการทหาร มีโครงการวิจัยระดับแนวหน้ามากมาย ประธานาธิบดีได้มีเซอร์ไพรซ์สำหรับนักข่าวด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่ สำหรับสนุนการวิจัยเทคโนโลยีผลิตกรรมสำหรับยุคอนาคตที่มีชื่อ Advanced Manufacturing Partnership ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 15,000 ล้านบาท

โครงการ Advanced Manufacturing Partnership จะเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกลางสหรัฐ ภาคอุตสาหกรรม และมหาวิทยาลัยในการวิจัยเทคโนโลยีใหม่ที่จะบูรณาการศาสตร์ทางด้านไอที เทคโนโลยีชีวภาพ และนาโนเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาระบบการผลิตแบบใหม่ วัสดุแบบใหม่ เพื่อที่จะปฏิรูปการผลิตของสหรัฐฯ ให้มีความทันสมัยล้ำยุคกว่าใคร

ผู้ที่เป็นหัวหน้าโครงการวิจัยนี้ นายโอบามาได้มอบหมายให้ Mr. Andrew Liveris ซึ่งเป็นประธานบริษัทดาวเคมีคอล (Dow Chemical) และ Ms. Susan Hockfield อธิการบดีของสถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาจูเซตต์ (MIT) โดยเบื้องต้นจะมีมหาวิทยาลัยชั้นแนวหน้าของอเมริกามาเข้าร่วมหลายแห่งได้แก่ MIT มหาวิทยาลัยคาร์เนกี เมลลอน สถาบันเทคโนโลยีแห่งจอร์เจีย มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบอร์คลีย์ และมหาวิทยาลัยมิชิแกน ส่วนบริษัทที่เข้าร่วมก็มี แคเตอร์พิลลา ฟอร์ด คอร์นนิง ดาว ฮันนีเวลล์ อินเทล จอห์นสัน นอร์ทรอป กรัมแมน (บริษัทผลิตอาวุธ) พอร์คเตอร์แอนด์แกมเบิล สไตรเกอร์

เนื้อหาวิจัยที่โครงการนี้จะเน้นเป็นพิเศษได้แก่เรื่องของ

- การสร้างศักยภาพแก่อุตสาหกรรมการผลิตภายในประเทศ สำหรับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ โดยหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ กระทรวงความมั่นคงภายใน กระทรวงกลาโหม กระทรวงพลังงาน กระทรวงเกษตร กระทรวงพาณิชย์ จะเข้ามาร่วมกำหนดโจทย์การวิจัย ตัวอย่างเช่น เรื่องของแบตเตอรีความจุสูง นาโนคอมพอสิต การประกอบขึ้นรูปโลหะ การผลิตทางชีวภาพ พลังงานทางเลือก เป็นต้น

- การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการออกแบบวัสดุก้าวหน้า (Advanced Materials) ด้วยการย่นระยะเวลาของกระบวนการที่ใช้ในการออกแบบวัสดุไปจนถึงการผลิตใช้จริง การพัฒนาซอฟต์แวร์ การทำฐานข้อมูล และการ screening การทดลองเพื่อค้นหาวัสดุ

- การพัฒนาหุ่นยนต์ยุคต่อไป ให้สามารถทำงานเคียงข้างมนุษย์ ทั้งงานในโรงงาน งานโรงพยาบาล งานในสนามรบ การผ่าตัด ไปจนถึงงานในอวกาศ

- การพัฒนาระบบผลิตที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งรวมทั้งการยกเครื่องระบบการผลิตแบบเก่า ให้ประหยัดพลังงานมากขึ้นด้วย

เห็นแล้วก็อิจฉานะครับที่ประธานาธิบดีของเขา เอาเงินวิจัยมาแจกให้ถึงในมหาวิทยาลัยเลย .....

04 กรกฎาคม 2553

Intelligent Battlefield - เทคโนโลยีสนามรบอัจฉริยะ (ตอนที่ 4)


มีนายทหารท่านหนึ่ง เล่าให้ผมฟังว่า ทุกวันนี้ในประเทศเขมรยังมีกับระเบิดที่ฝังอยู่ใต้ดินมากถึง 1 ล้านลูก ถ้าจะเก็บให้หมด ด้วยอัตราที่ทำอยู่ตอนนี้ จะต้องใช้เวลา 100 ปีเลยทีเดียว ผมฟังแล้วก็เชื่อว่าท่านไม่ได้โม้ เมื่อตอนที่ผมได้มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวที่นครวัด แม้แต่ในสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งที่ผมเคยไป ก็มีป้ายปัก ห้ามไม่ให้เข้าไปในพื้นที่บางโซน ซึ่งอาจมีกับระเบิดฝังอยู่แล้วเคลียร์ยังไม่หมด ทุกๆ วันจะมีหน่วยทหารเข้าไปเก็บกู้ระเบิดเหล่านี้ แล้วทยอยเปิดพื้นที่ให้ใช้ นายทหารท่านนี้ยังเล่าว่า เมื่อก่อนเวลาพวกเขมรแดงหนีทหารเวียดนาม ก่อนนอนก็จะเอาระเบิดไปฝังไว้ในดินรอบๆ บริเวณที่ตนเองนอน พอตื่นขึ้นก็เคลื่อนพลออกไปเลย ไม่มีการไปเก็บระเบิดที่ฝังไว้ ท่านยังพูดติดตลกด้วยว่า มีเหมือนกันที่ คนที่ฝังระเบิดเหล่านั้น ย้อนกลับมาเหยียบกับระเบิดตายเสียเอง ....

ข้อมูลจากองค์การยูนิเซฟระบุว่า ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมานี้ กับระเบิดได้สังหารมนุษย์ไปกว่า 1 ล้านคนแล้ว โดยส่วนใหญ่เป็นเด็ก เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใช่ไหมครับ ที่ระเบิดโง่ๆ เหล่านั้นได้ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ไปมากมายขนาดนั้น แม้ความขัดแย้งของผู้ใช้กับระเบิดจะจบลงไปนานแล้วก็ตาม ...

แต่เทคโนโลยีสนามรบอัจฉริยะจะทำให้ความโหดร้ายของสมรภูมิรบ ที่มีต่อชีวิตของพลเรือนหมดไปครับ ระเบิดบื้อๆ จะถูกแทนที่ด้วยระเบิดฉลาด ที่จะทำงานเฉพาะกับทหารฝ่ายตรงข้าม เป็นระเบิดที่สามารถโปรแกรมสั่งการให้ระเบิดหรือไม่ระเบิด ตามเงื่อนไขที่ระบุได้ กองทัพสหรัฐฯกำลังทดลองกับระเบิดเหล่านี้ในภาคสนาม และเตรียมนำออกมาใช้เร็วๆ นี้ครับ กับระเบิดฉลาดจะมีเซ็นเซอร์ตรวจวัดสภาวะของสนามรบ มันจะเก็บข้อมูลแล้วส่งให้ผู้บัญชาการสนาม สามารถสั่งการเงื่อนไขการระเบิด กับระเบิดสามารถส่งข้อมูลระหว่างกันได้ มันสามารถทำงานเป็นเครือข่ายไร้สาย เช่น ระเบิดพร้อมๆ กัน เพื่อให้เป้าหมายใหญ่ๆ เกิดความเสียหาย หรือระเบิดส่งกันเป็นทอดๆ เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในสนามรบ กับระเบิดพวกนี้จะทำงานเฉพาะกับเป้าหมายที่เป็นข้าศึก มันจะรู้จักทหารพวกเดียวกันจากเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งไว้ หลังจากสงคราม ผู้บัญชาการสนามจะทราบว่ากับระเบิดใช้ไปหมดหรือยัง มีเหลือไว้หรือไม่ มันสามารถถูกโปรแกรมให้ทำลายตัวเองหากไม่ถูกใช้งานในเวลาที่กำหนด โดยจะระเบิดอย่างปลอดภัยด้วยเซ็นเซอร์ที่ตรวจได้ว่าไม่มีมนุษย์อยู่ในบริเวณทำลายล้าง

วันหลังมาคุยเรื่องนี้กันต่อนะครับ ...

15 มิถุนายน 2553

Intelligent Battlefield - เทคโนโลยีสนามรบอัจฉริยะ (ตอนที่ 3)


การทำให้สนามรบมีอัจฉริยภาพขึ้นมานั้น มีเทคโนโลยีต่างๆ ให้เลือกใช้มากมาย ซึ่งผมจะทยอยนำมาเล่าให้ฟังเรื่อยๆ ครับ แต่ช่วงแรกๆ นี้ ผมขอนำเสนอประเด็นที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีการวิเคราะห์ภาพ หรือ Machine Vision ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้ทั้งในสนามรบที่เป็นพื้นที่ปกติ เช่น ในทุ่งหญ้า ทะเลทราย ป่าเขา หรือเป็นพื้นที่ปิดอย่างในเมือง

จะว่าไป มหานครใหญ่ๆ ทั้งในประเทศแถบตะวันตก และในเอเชีย หรือแม้แต่ในกรุงเทพฯ ของเรา ก็มีกล้องวงจรปิดหรือ CCTV ติดตั้งกันอยู่มากมาย แต่ทว่ากล้องเหล่านั้นกลับไม่ได้เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายกัน แต่ละหน่วยงานมีกล้องวงจรปิดของตนเอง เอกชนอย่างเช่นธนาคารก็มี กล้องเหล่านี้ไม่ได้มีความเชื่อมโยงหรือประสานงานกันแต่อย่างใด ที่สำคัญ กล้องเหล่านี้ไม่ได้มีไว้เพื่อป้องกันเหตุร้ายเลย แต่มันมีเอาไว้เพื่อใช้ดูว่าใครเป็นจำเลย เมื่อเหตุร้ายนั้นผ่านไปแล้ว เทคโนโลยีนี้ไม่มีประโยชน์สำหรับสนามรบเลย เพราะในการรบ ทหารต้องการใช้ภาพที่เก็บได้เพื่อประเมินหรือวิเคราะห์สถานการณ์ ณ เวลาจริง อันจะนำไปสู่การตัดสินใจกระทำการใดใดก่อนที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น เช่น หากมีเครือข่ายกล้องวงจรปิดติดตั้งในบริเวณสี่แยกคอกวัวในวันที่ 10 เมษายน 2553 ผู้บัญชากองกำลังในเวลานั้นคงไม่บาดเจ็บขาขาด อีกหนึ่งนายต้องนอนเป็นเจ้าชายนิทรา และอีกหนึ่งนายเสียชีวิต ... เป็นอะไรที่น่าเศร้ามาก เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้ หากมีใช้เต็มรูปแบบ ยังมีราคาถูกกว่าเครื่องบิน F16 หนึ่งลำเสียอีก

การมีกล้องนับพันๆ ตัวติดตั้งทั่วกรุงเทพมหานคร จะไม่มีประโยชน์อันใดเลย หากให้มนุษย์มาเป็นผู้นั่งเฝ้าหน้าจอ เพราะถึงแม้จะมีกล้องเป็นพันๆ ตัว แต่ห้องควบคุมอาจจะบรรจุหน้าจอแสดงผลได้อย่างมากก็หลักร้อย แถมหน้าจอเป็นร้อยๆ จอก็อาจจะมีคนนั่งเฝ้าอยู่ไม่ถึงสิบคน สรุปคือ แต่ละคนมีภาระที่จะต้องสแกนหน้าจอไปพร้อมๆ กันหลายสิบหน้าจอ โดยที่ในขณะเดียวกัน ยังมีกล้องอีกเป็นร้อยๆ ตัวที่ถ่ายภาพเข้าไปโดยที่ไม่มีมนุษย์เฝ้ามอง

ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นจะต้องซอฟต์แวร์วิเคราะห์ภาพ ที่สามารถทำหน้าที่เฝ้ามองภาพจากกล้อง CCTV เหล่านั้นแทนมนุษย์ ซอฟต์แวร์นี้จะต้องมีความฉลาด ต้องถูกฝึกมาให้สังเกตในสิ่งที่เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงเหตุผิดปกติ เช่น หากมีรถต้องสงสัยวิ่งเข้ามาจากถนนเส้นหนึ่ง แล้วมันตรวจเจอ มันจะต้องสามารถติดตามรถคันนี้จากกล้องตัวหนึ่งไปยังกล้องอีกตัวหนึ่งได้ทันที มันจะต้องสามารถวิเคราะห์เส้นทางการวิ่งของรถคันนี้ได้ เมื่อมันจับภาพเลขทะเบียนได้ มันต้องมีความสามารถในการซูมภาพเข้ามา วิเคราะห์ภาพให้ได้ข้อมูลของเลขทะเบียน แล้วทำการติดต่อคอมพิวเตอร์ของกรมการขนส่งทางบก ทำการเปรียบเทียบหมายเลขทะเบียนกับรถว่าตรงกันหรือไม่ หากเลขทะเบียนไม่ตรงกัน แสดงว่ารถคันนี้ใช้เลขทะเบียนปลอม ซึ่งต้องเป็นของคนไม่ดีแน่ๆ อาจจะนำไปใช้ก่อเหตุ มันจะต้องสามารถทำการเตือนมนุษย์ที่รับผิดชอบได้ทันที

ระบบที่ผมพูดถึงนี้ มีการพัฒนาออกมาใช้แล้วครับ โดยบริษัท Abeo Technical Solutions โดยตั้งชื่อมันว่า AWARE (The Automated Warning and Response Engine) ในอนาคตคงจะมีคู่แข่งตามออกมาอีกหลายบริษัทครับ ...


13 มิถุนายน 2553

ทัพฟ้าสหรัฐ ผลิตปริญญาตรีสาขาการบิน UAV


ในช่วง 10 กว่าปีมานี้ เพนทากอนได้เริ่มปฏิรูปกองทัพสหรัฐอเมริกาอย่างขนานใหญ่ กองทัพขนาดใหญ่เทอะทะ กำลังจะปลี่ยนรูปแบบไปเป็นกองกำลังที่มีขนาดเล็กลง เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ไปประจำการที่ไหนก็ได้ในโลก ฐานทัพถาวรบนแผ่นดินเป็นสิ่งที่กำลังจะล้าสมัย และเปลี่ยนไปเป็นฐานทัพลอยน้ำ ที่ประกอบจากโมดุลต่างๆ ด้วยการระดมพลมาจากกองกำลังชั่วคราวที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก กองทหารประจำการแบบข้าราชการถูกแทนที่ด้วยกองกำลังทหารรับจ้าง และพนักงานชั่วคราวที่แฝงตัวในคราบนักท่องเที่ยว อาศัยอยู่ตามแหล่งต่างๆ ทั่วโลก คนเหล่านี้สามารถเปลี่ยนเป็นกำลังรบได้เมื่อถูกเรียกใช้ มีอะไรอีกหล่ะที่ยังล้าสมัยอยู่ .... อ๋อ ... นักบิน

กองทัพสหรัฐฯ เริ่มตระหนักดีว่า สงครามในอนาคตจะเริ่มนำชีวิตทหารเข้าไปเสี่ยงภัยน้อยลง แนวคิดในการนำหุ่นยนต์เข้ามาใช้ทำสงครามเริ่มเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะไปถึงจุดที่ทหารที่มีเลือดเนื้อถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ทั้งหมด อย่างน้อยก็ควรจะลดการเสี่ยงภัยของทหารด้วยการควบคุมยุทโธปกรณ์ จากระยะไกล ด้วยเหตุนี้เราจึงเริ่มเห็นเครื่องบินไร้นักบิน เข้ามาประจำการรบมากขึ้นเรื่อยๆ แรกๆ ก็เป็นแค่เครื่องบินสอดแนม ตรวจการณ์ ต่อมาก็เป็นเครื่องบินทิ้งระเบิด มีอำนาจทำลายล้าง และอีกไม่นานก็จะมีเครื่องบินรบ (Fighter Jet) ออกมาอีกด้วย

จะว่าไปแล้ว อากาศยานที่เรียกว่าไร้นักบิน (Unmanned Aerial Vehicle หรือ UAV) นี้จะไร้คนขับจริงๆ มันก็ไม่ใช่หรอกครับ เพราะจะว่าไปแล้ว UAV พวกนี้เป็นอากาศยานที่มีคนขับจากระยะไกลต่างหาก (Remotely Piloted Aircraft หรือ RPA) อากาศยานไร้นักบินที่ทิ้งระเบิดในอัฟกานิสถานนั้น ถูกควบคุมด้วยนักบินที่นั่งอยู่ในฐานทัพอากาศในมลรัฐเท็กซัส

เมื่อเร็วๆ นี้เอง ทางกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา ได้ออกมาประกาศว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีอาชีพนักบินเครื่องบินบังคับจากระยะไกล RPA อย่างเป็นจริงเป็นจังเสียที จึงได้มอบหมายให้กองบินที่ 558 ทำการผลิตนักบินบังคับจากระยะไกลในระดับปริญญาตรี ถึงแม้นักบินเหล่านี้จะไม่เคยขึ้นไปบินเครื่องบินจริงๆ เลยก็ตาม แต่เมื่อจบหลักสูตรแล้ว บุคคลเหล่านี้จะสามารถนำเครื่องบินขึ้น ลงจอด เติมน้ำมันกลางอากาศ ปฏิบัติการทางทหาร ได้ไม่ต่างจากนักบินในรูปแบบเดิม ในปี ค.ศ. 2010 นี้ มีนักเรียนเข้าเรียนในหลักสูตรนี้แล้วประมาณ 60 คน โดยกองบิน 558 คาดหวังว่าจะเพิ่มเป็น 120 คนในปี 2011 และ 150 คนต่อรุ่นในปี 2013 เพื่อป้องกันการขาดแคลนนักบินบังคับจากระยะไกลในอนาคต

06 มิถุนายน 2553

Intelligent Battlefield - เทคโนโลยีสนามรบอัจฉริยะ (ตอนที่ 2)


มีใครหรือ จะรู้โชค ชะตาตน
ข้านี้แหละ ฝึกฝน รู้ตนอยู่
วันเวลา มาใกล้ ใคร่ครวญดู
ต้องไปสู่ ความยาก ลำบากเอย .....

เป็นบทกวีที่ขงเบ้งได้ประพันธ์ขึ้น เพราะรู้ว่าชะตาชีวิต และความเป็นอยู่อย่างชาวไร่ชาวนาของตนกำลังจะสิ้นสุดลง เนื่องมาจากมีผู้มารอพบอยู่ด้านนอก คนผู้นั้นก็คือเล่าปี่ซึ่งกำลังมาขอเข้าพบ เพื่อขอร้องให้มาเป็นเสนาธิการทัพให้ ว่ากันว่า ขงเบ้งได้บำเพ็ญฌาณสมาบัติ จนบรรลุคุณวิเศษ มีตาทิพย์ หูทิพย์ และญาณทิพย์ เป็นผู้หยั่งรู้ดินฟ้าวายุ สามารถอ่านลำดับเหตุการณ์ทะลุปรุโปร่งทั้งใน อดีตกาล ปัจจุบันกาล และอนาคต แน่นอนว่า เสนาธิการที่มีคุณลักษณ์เช่นนี้ ย่อมเป็นที่หมายปองของกองทัพทุกแห่งในโลก

การมีตาทิพย์ เป็นความฝันของเหล่าขุนศึกตั้งแต่อดีตกาล มาจนถึงปัจจุบัน การได้เห็นพื้นที่การรบและดินแดนของศัตรู ทั้งในช่วงสงบศึกและระหว่างรบ เป็นยอดปรารถนาของเสนาธิการทหาร ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีในการส่งภาพวีดิโอจากสนามรบ ไปยังศูนย์บัญชาการได้ก็ตาม (อย่างที่ผมได้เล่าให้ฟังในตอนที่แล้ว) แต่การได้เห็นอย่างคนธรรมดาหรือทหารธรรมดา กับการที่ได้เห็นอย่างเสนาธิการ ย่อมมีความหมายและนัยยะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2553 ที่ผ่านมา DARPA หน่วยงานให้ทุนทางด้านกลาโหมของสหรัฐอเมริกา ได้จัดการประชุมหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานให้ทุน กับบริษัทและอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีการมองเห็น และการถ่ายภาพ DARPA ได้ประกาศจัดตั้งโครงการที่มีชื่อว่า Mind's Eye หรือ ดวงตาของจิตใจ นัยว่า DARPA อยากจะเห็นเทคโนโลยีใหม่ ที่สามารถวิเคราะห์ตีความหมายจากภาพ โดยปกตินั้น ขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี Machine Vision หรือโปรแกรมวิเคราะห์ภาพในปัจจุบัน สามารถจำแนกแยกแยะได้แล้วว่า สิ่งที่อยู่ในภาพคืออะไร เป็นคน เป็นรถถัง แต่ DARPA ต้องการมากกว่านั้น DARPA ต้องการมองเห็นที่มีจิตใจด้วย นั่นคือ มันต้องบอกได้ว่าวัตถุในภาพเป็นอะไร กำลังจะทำอะไร มีแนวโน้มอย่างไรต่อไป แล้วสามารถนำเอาประสบการณ์เก่ามาใช้วิเคราะห์ด้วย

เทคโนโลยีนี้มีประโยชน์มากครับ เพราะเมื่อนำมันไปติดตั้งในระบบตรวจการณ์ทั้งหลาย แล้วให้มันทำงานร่วมกันเป็นเครือข่าย ผู้ครอบครองเทคโนโลยีนี้จะเหมือนครอบครองสนามรบนั้นๆ เลย ลองคิดดูว่าหากเรามีเทคโนโลยีนี้ในวันที่เกิดการจลาจลในกรุงเทพมหานคร เราคงไม่ต้องมาถกเถียงกันว่า ตกลงใครเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ....

04 มิถุนายน 2553

Intelligent Battlefield - เทคโนโลยีสนามรบอัจฉริยะ (ตอนที่ 1)


ในช่วงที่เกิดการจลาจลในกรุงเทพมหานครนั้น โดยเฉพาะในช่วงที่เจ้าหน้าที่ทหารได้เข้าโอบล้อมเพื่อสลายการชุมนุม ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากการปะทะกันซึ่งหน้า แต่เป็นการซุ่มยิงด้วยสไนเปอร์ของฝ่ายทหาร และบางครั้งกลับกลายเป็นว่า ก็มีผู้เสียชีวิตอันเกิดจากการซุ่มยิงของใครก็ไม่รู้ด้วยเหมือนกัน

การสู้รบในเมือง หรือสมรภูมิในพื้นที่เมือง กำลังจะกลายมาเป็นแม่บทของสงครามสมัยใหม่ครับ หากเราลองพิจารณาความขัดแย้งต่างๆ ทั่วโลกในเวลานี้ ก็จะพบว่าพื้นที่ในเมืองหรือย่านชานเมือง ได้กลายมาเป็นสมรภูมิที่อันตรายและไม่เป็นที่ต้องการของทหารนัก มีกองทัพไม่กี่ประเทศในโลก ที่รู้วิธีหรือมีศักยภาพที่จะทำการรบในพื้นที่ดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ หนึ่งในประเทศนั้นคือ สหรัฐอเมริกา ครับ และในบทความชุดนี้ ผมจะทยอยนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สามารถนำมาใช้เพื่อการรบในเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ มาเล่าให้ฟังในบทความซีรีย์นี้นะครับ

เทคโนโลยีสำหรับสนามรบอัจฉริยะที่ผมจะพูดถึงในวันนี้ ก็คือ ระบบวีดิโอในสนามรบ ซึ่งเพนทากอนได้พัฒนาระบบที่เรียกว่า Full-Motion Video Asset Management (FAME) ขึ้นมาเพื่อทำการเก็บภาพในแง่มุมต่างๆ ของสนามรบ โดยจะมีการเชื่อมโยงข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาพวีดิโอนั้นด้วย เพื่อให้นักวิเคราะห์สถานการณ์ หรือผู้บัญชาการสนาม สามารถเรียกภาพในแง่มุมต่างๆ มาใช้ตัดสินใจ ทั้งในระหว่างที่มีสถานการณ์ หรือภายหลังสถานการณ์เสร็จสิ้นแล้ว เฉกเช่น ภาพวีดิโอที่ถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอล ที่ผู้ชมสามาถดูภาพนิ่ง ภาพช้า ย้อนกลับไปกลับมา หรือดูสถานการณ์หนึ่งๆ จากกล้องที่ถ่ายจากมุมต่างๆ ในสนามรบก็เช่นกัน การได้เห็นภาพจากมุมต่างๆ จะทำให้ผู้บัญชาการ สามารถสั่งการได้อย่างถูกต้องยิ่งขึ้น

กองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้ทำการบันทึกภาพสนามรบในอิรัก และอัฟกานิสถาน ด้วยอากาศยานไร้คนขับ (UAV) มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ในปี ค.ศ. 2009 นั้น UAV ได้บันทึกภาพวีดิโอเอาไว้มากถึงเดือนละ 1,800 ชั่วโมง ยานที่มีชื่อว่า Reaper นั้นสามารถบันทึกภาพได้ถึง 10 ทิศทางพร้อมๆ กัน ระบบ FAME ที่พัฒนาขึ้นมานี้จะมีประโยชน์มากในการจำแนก แยกแยะ สิ่งที่เป็นประโยชน์จากภาพวีดิโอเหล่านั้น ลองคิดดูสิครับว่า ในสมัยอยุธยาถ้าแม่ทัพนายกองคนใด สามารถปล่อยนกอินทรีย์ขึ้นไปบินบนฟ้า แล้วใช้ตาทิพย์มองสิ่งต่างๆ จากดวงตาของนกอินทรีย์ จะทำให้ได้เปรียบในการรบมากเพียงใด

ผมจะมาเล่าต่อในวันหลังนะครับ ถึงแนวคิดในการใช้หุ่นยนต์เข้าไปเก็บภาพสถานการณ์ในสนามรบ ....

24 พฤษภาคม 2553

DARPA ห่วง นับวันยิ่งหาคนเก่งเข้ากองทัพยากขึ้น (ตอนที่ 2)


อย่างที่ผมมักจะพูดเสมอล่ะครับว่า ความยิ่งใหญ่ของประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ขึ้นอยู่กับแสนยานุภาพทางด้านการทหาร อันเกิดจากขีดความสามารถในการแข่งขันทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ประเทศนี้ขึ้นแท่นเป็นอันดับหนึ่งของโลกติดต่อกันมาหลายทศวรรษ อเมริกาจึงหมั่นคอยสอดส่อง ตรวจสอบทั้งตัวเองและผู้อื่นว่า ตัวเองยังอยู่ในอันดับหนึ่งอยู่หรือเปล่า และในอนาคตอีกหลายๆปีข้างหน้า ตัวเองยังจะเป็นที่หนึ่ง หรือจะมีคู่แข่งเข้ามาทาบรัศมีหรือไม่

การเป็นที่หนึ่งของอเมริกาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เกิดจากอานิสงส์ที่อเมริกามีมหาวิทยาลัยชั้นยอด ที่ผลิตงานวิจัยชั้นแนวหน้าของโลก มีหลักสูตรปริญญาโท และปริญญาเอก ที่ก้าวหน้า มีนักศึกษาต่างชาติเป็นแรงงานชั้นดีผลิตงานวิจัยระดับสูงออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา จำนวนนักศึกษาต่างชาติกลับค่อยๆ ลดลง เนื่องจากประเทศอื่นๆ เริ่มที่จะมีหลักสูตรระดับสูงของตัวเอง ด้วยเหตุนี้ ประเทศสหรัฐอเมริกาจึงต้องผลักดันคนหนุ่มสาวในประเทศของตัวเอง ให้สนใจที่จะเรียนวิทยาศาสตร์มากขึ้น และเป้าหมายหนึ่งที่กำลังจะเป็นที่สนใจก็คือ เด็กผู้หญิง ซึ่งกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ อยากให้คนกลุ่มนี้สนใจที่จะเป็นทหาร หรือทำงานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติให้มากขึ้น

ล่าสุด ทางบริษัท Mattel ผู้ผลิตตุ๊กตาบาร์บี ได้ร่วมมือกับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ด้วยการผลิตตุ๊กตาบาร์บีรุ่น บาร์บีวิศวกรคอมพิวเตอร์ ซึ่งตุ๊กตารุ่นนี้ บาร์บีอยู่ในท่าถือคอมพิวเตอร์ที่มีหน้าจอเป็นเลข 0 กับ 1 (แสดงถึงข้อมูลดิจิตอล) มีหูฟังบลูทูธทัดไว้ที่หู เสื้อยืดที่บาร์บีใส่ก็มีรูปคอมพิวเตอร์ คีย์บอร์ด และ เมาส์ เพนทากอนหวังว่า ตุ๊กตารุ่นนี้จะช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กหญิงทั้งหลาย อยากเรียนคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ และอยากโตมาเป็นวิศวกร เพื่อที่สหรัฐอเมริกาจะได้มีวิศวกรผู้หญิงเข้ามาช่วยงานกองทัพในอนาคต ซึ่งจริงๆ แล้ว ตำแหน่งงานในกองทัพสหรัฐฯ นั้น มีพวกที่เรียกว่า TDY หรือ Temporary Duty มากขึ้น ซึ่งจะอาศัยแรงงานจากหลากหลายศาสตร์ หลากหลายอาชีพ รับจ็อบทำงานให้ทหารอย่างลับๆ คนเหล่านี้อาจเดินสวนกับคุณในห้างสยามพารากอน หรือ นอนเล่นอยู่ริมทะเลที่เกาะสมุยก็ได้ ครับ .....

06 เมษายน 2553

Robotic Air Foce - กองทัพอากาศหุ่นยนต์ (ตอนที่ 2)


มีคนเคยบอกว่า ช่วงเวลาที่เรากำลังใช้ชีวิตอยู่นี้ มนุษยชาติมีความเป็นอยู่อย่างสันติสุขที่สุดแล้ว เพราะนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา โลกของเราแทบไม่มีสงครามใหญ่ๆ เกิดขึ้นเลย เป็นเวลากว่า 60 ปีแล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ อารยธรรมของมนุษย์ไม่เคยว่างเว้นจากสงครามเลย สงครามในบรรพกาลนั้นเอาชนะกันด้วยกำลังและจำนวนของทหาร ด้วยการเอาชีวิตผู้คนเข้าแลก จึงมีความสูญเสียชีวิตมากมาย แต่ในอนาคต การทำสงครามอาจจะใช้หุ่นยนต์เข้าต่อสู้กัน ฝ่ายใดสูญเสียกำลังรบมากกว่ากันก็ต้องยอมแพ้ไป มนุษย์จะส่งหุ่นยนต์ทหารเข้าห้ำหั่นกัน ในการตัดสินแพ้ชนะของสงครามหนึ่งๆ นั้น อาจจะไม่ต้องมีการสูญเสียชีวิตมนุษย์เลยก็ได้ ผมฝันถึงวันนั้นครับ ....

ในอนาคตเครื่องบินไร้นักบิน หรือ UAV (Unmanned Aerial Vehicle) จะกลายมาเป็นกำลังรบหลักของกองทัพอากาศ จริงๆ แล้วแนวคิดเกี่ยวกับ UAV นี้ไม่ใช่เรื่องที่ใหม่มากนักหรอกครับ เพราะจริงๆ แล้ว กองทัพอากาศสหรัฐฯ เคยมีความคิดที่จะนำเครื่องบินบังคับจากระยะไกลมาใช้ในสงครามเวียดนาม มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1973 แต่ผลที่ได้คือการดูถูกจากผู้บังคับการทหารส่วนใหญ่ในสมัยนั้น ที่มองเห็นว่า การเป็นนักรบมองจอภาพ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างไร้เกียรติ เพราะไม่ได้ออกไปทำการรบจริงในสมรภูมิ นับเป็นทัศนคติที่มองอะไรสั้นๆ มากครับ

จนในที่สุด ประเทศอิสราเอลก็ได้แสดงให้เห็นศักยภาพของ UAV โดยได้นำมาใช้งานเพื่อสอดแนมระบบเรดาห์ของซีเรียในปี ค.ศ. 1982 ทำให้อเมริกาถึงกับตื่นตะลึง แต่ก็ยังไม่ได้ทำอะไร จวบจนกระทั่งเกิดความจำเป็นเมื่ออเมริกาต้องทำสงครามในอิรัก และ อัฟกานิสถาน ดูได้จากงบประมาณที่ใช้สำหรับพัฒนา UAV ในปี ค.ศ. 2010 ปีเดียว สหรัฐอเมริกาใช้เงินมากถึง 5.4 พันล้านเหรียญ ในขณะที่ในช่วงปี ค.ศ. 1990 - 1999 เป็นระยะเวลานานถึง 10 ปี แต่กลับใช้เงินเพื่อการนี้เพียง 2.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ เท่านั้น

ด้วยงบประมาณมหาศาลที่ลงไปสำหรับ UAV ในอนาคตเราจะได้เห็นกองทัพอากาศที่เป็นหุ่นยนต์ ทำงานได้เองโดยไม่ต้องอาศัยมนุษย์บังคับ ทัพฟ้าสหรัฐฯ ตั้งเป้าว่า UAV จะต้องเติมน้ำมันกลางอากาศได้เองในปี ค.ศ. 2030 และเมื่อถึงปี ค.ศ. 2047 มันจะสามารถบินจู่โจมทั้งบนพื้นและบนอากาศได้เอง รวมทั้งความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองขณะบิน อีกทั้งการซ่อมบำรุงรักษาก็จะใช้ระบบหุ่นยนต์ทั้งหมด โดยไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุม

ดูเหมือนภาพยนตร์เรื่อง Terminator จะเข้าใกล้ความจริงทุกที ทุกที นะครับ .....

03 เมษายน 2553

DARPA ห่วง นับวันยิ่งหาคนเก่งเข้ากองทัพยากขึ้น


เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2553 ที่ผ่านมานี้ นางเรจินา ดูแกน (Regina Dugan) ผู้อำนวยการ DARPA ซึ่งเป็นหน่วยงานสนับสนุนทุนวิจัยทางด้านกลาโหมของสหรัฐอเมริกา ได้แถลงต่อคณะกรรมาธิการด้านการทหารของสภาผู้แทนสหรัฐฯ ถึงโครงการต่างๆ ที่ DARPA จะนำงบประมาณไปใช้ นางดูแกนได้แสดงวิสัยทัศน์ และแนะนำโครงการต่างๆ ที่ DARPA มุ่งหวังจะทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกามีความก้าวหน้าทางด้านกลาโหม ที่ไร้ผู้ทัดเทียม โครงการวัคซีนจากพืชและเทคโนโลยีวิศวกรรมเลียนแบบธรรมชาติ (Biomimetic Engineering) เป็นโครงการที่ได้รับการกล่าวถึงมากในช่วงหลังๆ

สิ่งที่น่าสนใจในถ้อยแถลงของนางดูแกนก็คือ ความเป็นห่วงว่า นับวันคนเก่งๆ ที่จะเข้ามาทำงานเป็นนักพัฒนาเทคโนโลยีและอาวุธให้แก่กองทัพ จะหายากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ปีค.ศ. 2000 เป็นต้นมา มีเด็กอเมริกันเรียนจบมหาวิทยาลัยทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี น้อยลงถึง 43 เปอร์เซ็นต์ เป็นตัวเลขที่น่าตกใจ เพราะขีดความสามารถทางด้านการทหารที่ไร้เทียมทานของสหรัฐอเมริกา ขึ้นโดยตรงกับขีดความสามารถในการแข่งขันทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ มันจะเป็นหายนะของประเทศสหรัฐอเมริกาเลย หากนักเรียนไปเลือกเรียนสังคมศาสตร์ หรือ มนุษยศาสตร์ มากขึ้น รัฐบาลสหรัฐฯ จะต้องเร่งดำเนินการโดยเร็ว เพื่อมิให้เกิดวิกฤตความขาดแคลนนักวิทยาศาสตร์อย่างรุนแรงในอนาคต

DARPA ได้เสนอให้มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปเป็นทุนการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อทำให้เด็กๆ อยากมาเรียนด้านนี้มากขึ้น การสนับสนุนโครงการวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ในระดับของโรงเรียน ทุนวิจัยให้แก่ครูวิทยาศาสตร์ โปรแกรมสนับสนุนให้เด็กๆ ทำโครงงานที่ให้ผลทันที เช่น การสนับสนุนให้เด็กๆ สร้าง App ที่มีประโยชน์และนำไปใช้ได้ ทำให้เกิดตลาดนัดทางด้าน App ขึ้นมา การให้โอกาสเด็กๆ ได้เรียนรู้และเข้าใจเทคโนโลยีทางการทหาร จนถึงการมีโอกาสได้ลองสร้างอุปกรณ์ เช่น เรดาห์ ขึ้นมาเอง

นางดูแกนหวังว่า โครงการกระตุ้นเหล่านี้จะเกิดผล เมื่อปีที่แล้ว เธอได้เดินทางไปยังมหาวิทยาลัยดังๆ หลายแห่ง เช่น Texas A&M, Caltech, UCLA , UCB (เบอร์คลีย์) และ สแตนฟอร์ด เพื่อจะบอกมหาวิทยาลัยเหล่านั้นว่า "มาช่วยกันเถอะ กองทัพต้องการคนเจ๋งเจ๋งอย่างท่าน" ......

14 มีนาคม 2553

Robotic Air Foce - กองทัพอากาศหุ่นยนต์ (ตอนที่ 1)


ช่วงนี้ห่างจากบล็อกไปหน่อยครับ เพราะต้องติดตามสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างกลุ่มเสื้อแดงกับกลุ่มอำมาตย์ ว่าจะพัฒนาไปอย่างไร จะคุยกันรู้เรื่องหรือไม่ ก็ให้เขาว่ากันไปครับ พวกเราเป็นนักวิทยาศาสตร์ ก็ทำหน้าที่ศึกษาวิจัย เพื่อพัฒนาสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศและมนุษยชาติของเราต่อไป อย่างไม่หยุดยั้งครับ

แนวโน้มของพัฒนาการด้านเทคโนโลยีกลาโหม ของสหรัฐอเมริกา นับวันจะก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ จนยากที่จะมีประเทศหรือกลุ่มต่อต้านที่จะต่อกรได้แล้ว ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ หน่วยงานทางด้านความมั่นคงในสหรัฐอเมริกามีการนำอากาศยานไร้นักบิน หรือที่เราเรียกสั้นๆว่า UAV (Unmanned Aerial Vehicle) ออกมาใช้ปฏิบัติภารกิจกันมากขึ้นเรื่อย หน่วยยามฝั่งของสหรัฐฯ ได้นำ UAV สัญชาติอิสราเอลที่มีชื่อว่า Heron เข้าประจำการเพื่อตรวจตราเรือต่างๆ ในน่านน้ำสหรัฐฯ เจ้า Heron นี้มีความยาวของปีก 16 เมตร สามารถรับน้ำหนักขึ้นบินได้มากถึง 1 ตันเลยครับ มันบินที่ระดับความสูง 10 กิโลเมตร สามารถบินขึ้นและลงจอด โดยไม่ต้องใช้การควบคุมจากมนุษย์ สามารถบินได้ 36 ชั่วโมง มีเซ็นเซอร์ต่างๆ มากมาย รวมทั้ง RADAR ด้วยครับ

กองทัพบกและกองทัพเรือสหรัฐฯ นั้นก็มีการพัฒนา UAV ของตนเอง เช่น กองทัพบกสหรัฐฯ มีการพัฒนาเฮลิคอปเตอร์ไร้คนขับที่มีชื่อว่า MQ-8B Fire Scout ซึ่งจะทำหน้าที่ตรวจสอบสนามรบ ช่วยเหลือทหารราบและทหารยานเกราะในการเข้าทำสงครามในระยะประชิด กองทัพเรืออเมริกันก็มีการพัฒนา UAV ที่ใช้ชื่อว่า Joint Unmanned Combat Air System ความเจ๋งของเจ้า UAV รุ่นนี้ก็คือ มันจะต้องสามารถบินขึ้นจากและบินลงสู่ ทางวิ่งบนดาดฟ้าของเรือบรรทุกเครื่องบินให้ได้ นี่ล่ะครับ เรื่องยาก

คราวนี้ก็มาถึงกองทัพอากาศสหรัฐกันบ้างครับว่า ทัพอื่นๆ เขาก็มีโครงการทำ UAV กันทั้งนั้น แล้วทำไมทัพฟ้าถึงยังไม่เห็นมีโครงการทางด้าน UAV ออกมาให้เห็นกันบ้างเล ในตอนต่อไป ผมจะเล่าให้ฟังครับว่า วิสัยทัศน์ของทัพฟ้าสหรัฐฯ นั้นยิ่งใหญ่เพียงใด แล้วมันจะเป็นสิ่งที่ทำให้กองทัพอากาศทั่วโลก รวมทั้งของประเทศไทยเรา กลายเป็นกองทัพโบราณได้อย่างไร ....




11 มกราคม 2553

DARPA หวังสร้างรถเหาะได้สำหรับการทหาร


ในปี ค.ศ. 2010 นี้ เราจะได้เห็นสิ่งที่เคยเป็นความฝัน หรือเป็นนิยาย ถูกนำมาขยายต่อเติมให้เป็นความจริง มากขึ้นเรื่อยๆ ครับ อย่างเรื่องรถลอยได้ เราก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นความจริงได้ใช่ไหมครับ แต่เมื่อเร็วๆ นี้เอง หน่วยงานทางด้านการสนับสนุนการวิจัยเพื่อการทหารของสหรัฐอเมริกา ซึ่งรู้จักกันดีในนามของ DARPA ได้ออกมาประกาศระดมสมองเพื่อจะจัดทำ เงื่อนไขเพื่อจะสนับสนุนทุนวิจัย ให้แก่บริษัท และมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ เพื่อร่วมพัฒนาต้นแบบรถเหาะ ซึ่งโครงการที่จะเกิดขึ้นนี้มีชื่อเท่ห์มากครับว่า Transformer (TX)

เวอร์คช็อปที่ DARPA จะจัดขึ้นในวันที่ 14 มกราคม 2553 ที่จะถึงนี้ เขาซีเรียสมากๆ ครับว่าจะได้แนวคิดใหม่ๆ ที่จะนำไปสู่การสร้างต้นแบบรถที่บินได้ เพื่อใช้ในการสงคราม DARPA จะแสดงวิสัยทัศน์ว่าทางกองทัพอยากได้รถบินได้ในลักษณะอย่างไร เจ้ารถ Transformer หรือ TX ที่เขาอยากได้นั้น ยังไงก็คือรถ ไม่ใช่เครื่องบิน ดังนั้นมันจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการวิ่งบนพื้นดิน บนถนน หรือ นอกถนนก็แล้วแต่ แต่เมื่อไรก็ตามที่จำเป็นจะต้องบิน มันต้องลอยขึ้นไปได้โดยสามารถพาผู้โดยสารจำนวน 1-4 คน ขึ้นไปในอากาศในแนวดิ่ง (Vertical Take-off and Landing หรือ VTOL) และในการนี้ มันต้องประหยัดพอที่จะใช้เชื้อเพลิงที่ไม่มากจนเกินไป กองทัพสหรัฐฯ หวังว่า เจ้า TX นี้จะทำให้ทหารราบสหรัฐฯ เดินทางไปไหนมาไหน โดยสามารถเลือกเส้นทางว่าช่วงไหนจะวิ่งบนดิน ช่วงไหนจะลอยบนอากาศ ทำให้เส้นทางเปลี่ยนไปมาจนข้าศึกไม่สามารถจะซุ่มโจมตีได้ถูก


แต่จะไปถึงจุดนั้นได้ หมายถึงว่าเราจะต้องแก้ปัญหาหลายๆ อย่าง รวมทั้งจะต้องพัฒนาเทคโนโลยีก่อกำเนิด (Enabling Technologies) หลายๆ ตัว เช่น ปีกที่เปลี่ยนรูปร่างได้ ระบบขับดันแบบใหม่ วัสดุนาโนคอมพอสิตชนิดเบามากๆ ระบบควบคุมการบินอัจฉริยะ เครื่องยนต์แบบไฮบริด แบตเตอรีความจุสูง และอื่นๆ

ขึ้นทศวรรษใหม่ ของศตวรรษที่ 21 แล้ว อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ ......

28 ตุลาคม 2552

อากาศยานลอยค้างฟ้า


ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2008 หน่วยงานวิจัยกลาโหมของสหรัฐ ที่เรารู้จักกันดีในนามของ DARPA ได้ออกมาประกาศให้ทุนสนับสนุน ทีมวิจัยจำนวน 3 ทีมให้แข่งขันกันสร้างอากาศยานไร้คนขับที่สามารถบินอยู่บนฟ้าได้นานๆ โครงการที่มีชื่อเก๋ไก๋ว่า Vulture นี้มีเป้าหมายที่สูงส่งมากครับ เพราะอากาศยานไร้คนขับที่โครงการนี้ฝันถึง ในที่สุดแล้วจะต้องสามารถบินอยู่บนฟ้าได้ 5 ปี โดยไม่ต้องลงจอดเลย โดยมันจะต้องสามารถบรรทุกน้ำหนักได้อย่างน้อย 450 กิโลกรัม และมีกำลังขับ 5 กิโลวัตต์


หากทำได้สำเร็จ อากาศยานลอยค้างฟ้าซึ่งจะบินที่ระดับความสูง 20-30 กิโลเมตร นี้จะทำให้กองทัพสหรัฐฯ ประหยัดงบประมาณทางด้านดาวเทียมสื่อสารและสอดแนมไปได้เยอะเลยครับ เพราะเจ้ายานไร้คนขับค้างฟ้านี้จะทำหน้าที่ทวนสัญญาณสื่อสาร และติดเซ็นเซอร์สอดแนมต่างๆ แทนดาวเทียมได้ ถึงแม้การบินในบรรยากาศชั้นสตาร์โตสเฟียร์ ก็ยังมีความเสี่ยงในเรื่องของการถูกโจมตีด้วยมิสซายล์ และเครื่องบินรบ


เท่าๆ ที่ผมได้ติดตามมา โครงการที่ DARPA สนับสนุนจะค่อนข้างยากครับ รวมถึงโครงการนี้ด้วย โดยทั่วไปเวลา DARPA ให้ทุนวิจัย เขาจะไม่ค่อยซีเรียสเรื่องเป้าหมายมาก ว่าต้องทำให้ได้อย่างนั้นจริงๆ แต่เขาชอบตั้งเป้าหมายให้ยากๆ สูงๆ เอาไว้ก่อน แล้วก็ให้ทุนหลายๆ ทีมทำพร้อมๆ กัน เพื่อให้มีการแข่งขันเพื่อไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ สิ่งที่ DARPA เขาหวังมากกว่าเป้าหมายก็คือ เขาต้องการเห็นการค้นพบใหม่ วิธีคิดใหม่ ไอเดียใหม่ แนวทางการแก้ปัญหาใหม่ๆ องค์ความรู้ใหม่ๆ ที่สามารถนำไปใช้กับโครงการอื่นๆ ได้


อย่างเช่นโครงการ Vulture นี้ นักวิจัยจะต้องเผชิญกับโจทย์ที่ท้าทาย เช่น เรื่องของแหล่งพลังงานให้กับอากาศยานที่ต้องลอยอยู่นาน วัสดุที่ต้องมีความทนทานภาวะบีบเค้นที่ความสูง 20-30 กิโลเมตร ในเวลาหลายปี วัสดุที่ทนกับรังสี UV เป็นต้น

14 ตุลาคม 2552

Robot Killer - หุ่นยนต์สังหาร


ในการประชุมคราหนึ่ง ของสมาคมนานาชาติด้านระบบยานพาหนะไร้คนขับ (Association for Unmanned Vehicle Systems International) เมื่อเดือนสิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา ได้มีเรื่องที่น่าสนใจเกิดขึ้นเรื่องหนึ่ง นั่นคือ นายพลสหรัฐท่านหนึ่งได้ออกมาเรียกร้องให้มีการส่งทหารเข้าไปเสริมทัพในอิรัก และ อัฟกานิสถานอย่างจริงจัง แต่ท่านไม่ได้ขอให้ส่งทหารที่เป็นมนุษย์เข้าไป แต่กลับเป็นหุ่นยนต์ติดอาวุธเพื่อทำภารกิจจู่โจมแทนทหารราบ


การประชุมครั้งนี้ เป็นการประชุมทางด้านหุ่นยนต์และระบบไร้คนขับที่ใหญ่ที่สุดงานหนึ่ง มีผู้เข้าร่วมฟังมากถึง 5,000 คน จาก 30 ประเทศ มีการนำเอาหุ่นยนต์และระบบไร้คนขับจำนวนกว่า 320 ผลงาน มาแสดง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนวัตกรรมที่ล้ำหน้าที่สุดสุด ปาฐกถาหนึ่งที่ผู้คนสนใจมากที่สุดเป็นของนายพล ริค ลินช์ (General Rick Lynch) ซึ่งท่านได้ออกมาเรียกร้องให้ใช้หุ่นยนต์แทนทหารจริงๆ มากขึ้น ท่านได้ให้ข้อมูลอย่างน่าสนใจว่า หากหุ่นยนต์รบเหล่านั้น ได้ทำภารกิจสังหารด้วยอาวุธอย่างสมบูรณ์แบบ มันอาจจะช่วยชีวิตทหารราบได้ถึง 122 นาย จากการสูญเสียจำนวน 155 นายในช่วงที่ท่านปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่อิรัก

ปัจจุบัน เพนทากอนยังไม่ยอมให้มีการใช้หุ่นยนต์สังหารในสนามรบ เนื่องมาจากเหตุผลด้านความปลอดภัย ทั้งๆ ที่นายพลรินช์เชื่อว่าเทคโนโลยีหุ่นยนต์รบในปัจจุบันมาถึงจุดที่ เราสามารถปล่อยให้มันต่อสู้กับข้าศึกได้เองโดยไม่ต้องมีคนควบคุม "มีคนต่อต้านเรื่องนี้มากครับ คนพวกนั้นมักจะโจมตีกองทัพว่า หุ่นยนต์รบยังไม่พร้อมจะใช้ฆ่าคนในสนามรบ แต่ผมไม่ใช่พวกหัวสนิมแบบนั้นครับ"


น่าสนใจใช่ไหมครับ .... ผมคิดว่าอีกไม่นาน เราจะได้เห็นหุ่นยนต์สงครามอย่าง คนเหล็ก หรือ Terminator แล้วครับ ....

16 มิถุนายน 2552

เมื่อพลังงานทางเลือกตีตลาดกลาโหม (ตอนที่ 2)


ช่วงนี้น้ำมันกลับมาแพงอีกแล้วครับ การกลับมาแพงขึ้นของน้ำมันเที่ยวนี้ เป็นบ่งชี้ว่ายุคของ The End of Oil ใกล้จะมาถึงแล้ว และตอนนี้ใครๆก็กลับมาผลักดันเรื่องพลังงานทางเลือกกันมากขึ้น สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศหนึ่งในชั่วโมงนี้ ที่อัดฉีดงบมหาศาลเพื่อพาประเทศให้หลุดพ้นจากเชื้อเพลิงฟอสซิล

น้ำมันกลับมาแพงเที่ยวใหม่คราวนี้ คนที่เดือดร้อนที่สุดในอเมริกาตอนนี้เห็นจะเป็น "ทหาร" ครับ เพราะเป็นผู้บริโภครายใหญ่สุดของอเมริกา ที่ทหารให้ความสนใจพลังงานทางเลือก ก็เพราะว่าน้ำมันที่เราเติมๆ กันลิตรละ 30 บาทนั้น เมื่อไปอยู่ในสนามรบแล้วอย่างในอัฟกานิสถาน มันจะมีราคาแพงถึงลิตรละ 3,000 กว่าบาทเลยทีเดียว ทั้งนี้น้ำมันเพียง 50% เท่านั้นที่ใช้สำหรับยานพาหนะ ทีเหลือส่วนใหญ่นำไปใช้ปั่นไฟฟ้า ซึ่งจริงๆแล้วน่าจะสามารถนำพลังงานอย่างอื่นมาใช้แทนได้

เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2008 กองทัพสหรัฐฯ ได้เริ่มนำเครื่องปั่นไฟฟ้าพลังงานขยะ ไปติดตั้งเพื่อทดลองใช้งานที่ค่ายทหารแห่งหนึ่ง ณ กรุงแบกแดด ซึ่งต่อไปเครื่องปั่นไฟฟ้าเหล่านี้จะถูกนำไปใช้งานตามค่ายทหารต่างๆในอิรัก การผลิตไฟฟ้าเองจะทำให้ทหารสหรัฐฯ ลดความเสี่ยงในการขนส่งน้ำมันมายังค่ายทหาร เพราะรถขนส่งเชื้อเพลิงมักจะตกเป็นเป้าหมายในการโจมตี เพื่อตัดกำลังลำเลียงยุทธปัจจัย นอกจากจะลดจำนวนเที่ยวขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงมายังค่ายทหารแล้ว เจ้าเครื่องปั่นไฟจากขยะนี้ยังลดการขนส่งขยะออกไปทิ้งกลบข้างนอกอีก เพราะรถบรรทุกขยะก็เป็นเป้าหมายในการโจมตีเช่นกัน

วันหลังมาคุยเรื่องนี้กันต่อครับ ผมค่อนข้างเชื่อว่าเมื่อทหารเอาจริงเรื่องนี้ เทคโนโลยีพลังงานทางเลือกจะถึงยุคบูมแน่นอน .....

08 มิถุนายน 2552

เมื่อพลังงานทางเลือกตีตลาดกลาโหม (ตอนที่ 1)


การที่นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เลือกศาสตราจารย์ Steven Chu เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ค.ศ. 1997 จากผลงานช็อคโลกด้วยการหยุดการเคลื่อนที่ของอะตอม ให้เป็นรัฐมนตรีพลังงาสหรัฐฯ ย่อมเป็นการส่งสัญญาณว่า ต่อไปนี้สหรัฐอเมริกาได้เลือกจะเป็นประเทศแห่งพลังงานทางเลือก (Alternative Energy) แล้ว เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า Steven Chu ศาสตราจารย์ด้านชีวฟิสิกส์แห่ง UC Berkeley และ ผู้อำนวยการ Lawrence Berkeley National Laboratory นั้นมีความใฝ่ใจกับเรื่องของพลังงานทางเลือกมาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ วันหลังผมจะนำเรื่องที่น่าสนใจของศาสตราจารย์ท่านนี้มาเล่าให้ฟังนะครับ

และการที่นายบารัค โอบามา ก็เลือกที่จะให้นาย Robert Gates อดีตอธิการบดีของ Texas A&M University และรัฐมนตรีกลาโหมสมัยประธานาธิบดีบุช ได้เป็นรัฐมนตรีกลาโหมต่อ นั้นหมายถึง ต่อไปนี้กองทัพสหรัฐฯ จะเป็นลูกค้ารายใหญ่ของพลังงานทางเลือกเต็มตัวแล้วล่ะครับ เพราะในช่วงที่นาย Gates ดูแลเพนทากอนอยู่นั้น กองทัพสหรัฐฯ ได้มีโครงการจ๊าบจ๊าบออกมามากมาย นาย Gates เป็นผู้เปลี่ยนกระบวนทัศน์พิชัยสงครามของสหรัฐฯ จากการเป็นกองทัพใหญ่เทอะทะ มาสู่การเป็นกำลังรบขนาดเล็ก เคลื่อนตัวเร็ว ปฏิบัติการเร็ว

การที่รัฐมนตรีพลังงานกับรัฐมนตรีกลาโหม ต่างก็เป็นมนุษย์สายพันธุ์คิดใหม่ทำใหม่ คิดนอกกรอบ มองนอกกะลา ทำให้กลาโหมกำลังจะกลายมาเป็นตลาดใหม่สำหรับพลังงานทางเลือกแล้วล่ะครับ ในเดือนพฤษภาคม 2552 ที่ผ่านมานี้เอง ทางกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ออกมาประกาศว่าทางกองทัพได้กำหนดให้เรื่องพลังงานเป็นนโยบายหลัก อาวุธในอนาคตจะต้องเป็นอาวุธที่ประหยัดพลังงาน ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาทางเพนทากอนได้เพิ่มงบวิจัยทางด้านนี้เป็น 3 เท่าตัวเลย ทำให้ปัจจุบันมีงบวิจัยด้านพลังงานสูงถึง 1.2 พันล้านเหรียญ (ประมาณ 40,000 ล้านบาท) ต่อปี ซึ่งก็จะมีเงินเพิ่มจากงบกู้เศรษฐกิจของโอบามาอีก 300 ล้านเหรียญสหรัฐ

01 กุมภาพันธ์ 2552

Nano Road - ถนนนาโน (ตอนที่ 4)


สวัสดีครับ หายไปหลายวันเลยครับ ตอนนี้ผมทำงานภาคสนามอยู่ที่สวนชาดอยช้าง จ.เชียงราย มาสัก 3-4 วันแล้วครับ มาพัฒนาระบบ Digitized Tea Orchard ที่ดอยช้าง อีก 2 วันก็จะกลับกรุงเทพฯครับ อีกเดือนครึ่งจะกลับมาอีกที ตอนนี้ที่เชียงรายก็ยังคงหนาวอยู่ครับ ตอนกลางคืนก็ยังอยู่แถวๆ 16-19 องศาเซลเซียส สวนชาที่ผมมาทำงานอยู่นี้ไม่ได้อยู่เชิงดอยช้างครับ ความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 510 เมตรเท่านั้น ซึ่งก็เพียงพอสำหรับการปลูกชาแล้วครับ

วันนี้กลับมาคุยเกี่ยวกับนาโนเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับถนนหนทางกันต่อ จากคราวที่แล้วที่ผมเคยกล่าวไปก่อนหน้านี้ว่า ทางหลวงโดยทั่วไปจะราดผิวถนนได้ 2 แบบคือ คอนกรีต กับ ยางมะตอย สำหรับทางหลวงในสหรัฐอเมริกาที่ยาวเกือบ 3.6 ล้านกิโลเมตรนั้น กว่า 90% ราดผิวจราจรด้วยแอสฟัลต์หรือยางมะตอย ซึ่งเป็นวัสดุไฮโดรคาร์บอน น้ำหนักโมเลกุลสูงที่ได้จากอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยมีการใช้งานถึง 30 ล้านตันต่อปีทั้งเพื่อสร้างทางใหม่และซ่อมบำรุงทาง ว่ากันว่าทุกวินาทีจะมียางมะตอย 1 ตันถูกราดบนผิวทางในสหรัฐฯ การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อปรับปรุงยางมะตอยจึงเป็นเรื่องที่คุ้มค่าเหนื่อย ในประเทศไทยก็เช่นเดียวกันครับ ยางมะตอยครอบครองส่วนแบ่งของผิวถนนไปอย่างน้อย 90% ทั่วประเทศครับ ยางมะตอยที่ใช้ราดผิวถนนนั้นประกอบด้วยหินและทรายจำนวนกว่า 95% ที่เหลือนั้นคือแอสฟัลต์ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่า โดยมีการใส่สารเติมแต่งเช่นพอลิเมอร์ และสารเคมีอื่นๆเข้าไปด้วย ยางมะตอยที่นำมาใช้ไม่มีระบบควบคุมคุณภาพ และไม่มีมาตรฐานของผู้ผลิตต้นทาง ดังนั้นคุณภาพของมันจึงผันแปรได้มาก ทำให้ถนนที่ใช้ยางมะตอยนั้น ยากที่จะคาดคะเนได้ว่าจะมีความทนทานเพียงใด ไม่เหมือนถนนที่ปูผิวด้วยคอนกรีต แต่เพราะความที่มันซ่อมแซมได้ง่าย ค่าก่อสร้างก็ถูกกว่า รวมทั้งกำเนิดเสียงที่เงียบกว่า ทำให้ถนนที่ปูผิวด้วยยางมะตอยยังครองเบอร์ 1 ได้อีกนาน นาโนเทคโนโลยีสามารถที่จะนำไปใช้เพื่อเพิ่มคุณสมบัติแอสฟัลต์ก็เช่น การเติมวัสดุอื่นๆลงไปเพื่อให้เกิดวัสดุผสม ได้แก่ อนุภาคนาโนของยาง หรือที่เรียกว่า Asphalt Rubber ซึ่งจะทำให้เกิดผิวจราจรที่ขับขี่ได้เงียบขึ้นมาก (หากใครเคยไปทัวร์เกาหลี ก็คงเคยเดินทางบนรถโค้ชที่นุ่มและเงียบมาก) อนุภาคนาโนซิลิกา และ เถ้าลอยก็สามารถเติมแต่งลงไปเช่นเดียวกับคอนกรีต เพราะแอสฟัลต์ก็ทำหน้าที่เป็นกาวเชื่อมวัสดุต่างๆ เข้าด้วยกันเหมือนซีเมนต์นั่นเอง นอกจากนั้นยังสามารถเติมนาโนไฟเบอร์เข้าไปเพื่อให้ยางมะตอยมีคุณสมบัติยึดเกาะกันได้ดีขึ้น ไม่หลุดง่าย

15 ธันวาคม 2551

The Post-American World - โลกยุคใหม่ที่ไม่คลั่งไคล้อเมริกา (ตอน 3)


เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2551 ที่ผ่านมานั้น เป็นวันประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาที่คนผิวสีได้ถูกรับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดี แต่ในมุมมองของผมนั้น ตรงนั้นกลับไม่สำคัญเท่าไหร่นัก สิ่งที่ผมมองคือ ชาวอเมริกันเลือกที่จะเปลี่ยนตัวเองหรือไม่ เลือกที่จะออกจากความเสื่อมถอยที่ประเทศสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญอยู่หรือไม่ ถ้าชาวอเมริกันยังเลือกพรรครีพับบลิกันอยู่ นั่นคงจะเป็นการเสื่อมถาวรของประเทศนี้ แต่ในที่สุดสหรัฐอเมริกาก็เลือกทางเดินที่จะเปลี่ยนตัวเอง ให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ......

ในแง่ของวิทยาศาสตร์นั้น ประเทศสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับความเสื่อมถอยครั้งใหญ่ ทุกๆเดือนตุลาคมของทุกๆ ปี เรามักจะได้เห็นนักวิทยาศาสตร์อเมริกัน เข้ารับรางวัลเชิดชูเกียรติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก นั่นคือรางวัลโนเบล แต่เดือนตุลาคม 2008 นี้ช่างเงียบเหงาสำหรับวงการวิทยาศาสตร์อเมริกัน ว่ากันว่า ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมานั้น เป็นเหมือนฝันร้ายของวงการนี้ โดยเฉพาะในเรื่องของ Alternative Energy ซึ่งประธานาธิบดีบุช ไม่ได้ให้ความสำคัญเลยครับ Professor Steven Chu นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล ค.ศ. 1997 จากผลงานการหยุดและกักขังหน่วงเหนี่ยวอะตอม (Laser Cooling and Trapping of Atoms) กล่าวว่า "ยังมีโอกาสที่รัฐบาลใหม่จะทำอะไรได้ เพื่อไม่ให้อเมริกาตกต่ำไปกว่านี้ รัฐบาลกลางต้องลงทุนหนักๆ ให้แก่ มหาวิทยาลัยบางแห่ง ห้องปฏิบัติการแห่งชาติสัก 2-3 แห่ง ให้เงินไปถึงคนเจ๋งๆ ที่ทำงานได้จริงๆ" ศาสตราจารย์ Chu เป็นผู้ออกโรงเตือนรัฐบาลของบุชอยู่บ่อยๆ ว่า หากขืนยังปล่อยให้งานวิจัยแบบ Short-term Research ที่มุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มากลืนกินงานวิจัยแบบ Long-term fundamental research ที่มุ่งสร้างองค์ความรู้ใหม่ไว้เก็บกินยาวๆ ประเทศสหรัฐอเมริกาจะเสื่อมถอยไปเรื่อยๆ ท่านบ่นอย่างเศร้าๆ แถมทำตาปริบๆ เมื่อประเทศกลุ่ม EU ออกมาประกาศความสำเร็จของเครื่องเร่งอนุภาคเครื่องใหม่ ที่กำลังจะไขความลับของจักรวาล

ความมีวิสัยทัศน์ ความกระตือรือร้น และ ความเก่งของ Steven Chu ทำให้เขาเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่จะได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของอเมริกา ในรัฐบาลของ Barack Omaba นี้ ปัจจุบันท่านศาสตราจารย์ Chu ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ Lawrence Berkeley National Laboratory อยู่ครับ ห้องทำงานของท่านสวยมาก เห็นสะพาน Golden Gate ด้วยครับ ซึ่งจริงๆผมก็เคยไปนั่งเล่นในห้องนั้นมาแล้วครับ ก็รู้สึกเสียดายแทนท่านที่จะต้องย้ายไปอยู่วอชิงตันแทน หากได้รับตำแหน่งใหม่นี้


หาก Professor Steven Chu ได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรีพลังงานจริง ท่านจะเป็นคนแรกที่เป็นรัฐมนตรีพลังงานที่เคยได้รับรางวัลโนเบล รวมทั้งยังเป็นคนผิวสีอีกด้วย (Asian American)

24 พฤศจิกายน 2551

Nano Road - ถนนนาโน


สวัสดีครับ หายไปหลายวันครับ ตอนนี้ผมอยู่เชียงใหม่ครับ พรุ่งนี้ผมจะเดินทางไปประชุมที่เชียงรายครับ พอมีเวลาเข้ามาอัพเดตนิดหน่อยนะครับ วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องการนำนาโนเทคโนโลยีมาใช้กับถนนหนทางครับ

ตลอดช่วงสหัสวรรษที่ผ่านมานั้น มนุษย์ได้นำเอาวัสดุก่อสร้างที่มีอยู่ในธรรมชาติมาใช้เป็นตัวต่อ (Building Blocks) เพื่อก่อร่างสร้างสถาปัตยกรรมและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อการดำรงอยู่ของอาณาจักร ไม่ว่าจะเป็น ถนน สะพาน เทวสถาน พระราชวัง ชาวอียิปต์โบราณนำหินหลายล้านก้อนมาก่อปิระมิดได้อย่างน่าอัศจรรย์ อาณาจักรขอมขนก้อนหินจากแหล่งกำเนิดที่อยู่ห่างออกไปนับร้อยกิโลเมตรเพื่อมาสลักและก่อสร้างนครวัดอันวิจิตรงดงามโดยไม่ต้องใช้วัสดุแต่งเติมใดๆเลย ชาวจีนสร้างกำแพงเมืองจีนจากก้อนหินยาวกว่า 6,000 กิโลเมตร ผ่านเทือกเขาสูงชันไปจนถึงทะเลทรายที่แห้งแล้ง ถึงแม้สิ่งก่อสร้างต่างๆที่กล่าวมานี้จะได้รับการยอมรับให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่เกิดขึ้นจากความอุตสาหะวิริยะและเทคโนโลยีที่เยี่ยมยอดของบรรพชนเหล่านั้น แต่สิ่งมหัศจรรย์เหล่านั้นก็ยังใช้วัสดุที่มาจากธรรมชาติ เป็นวัสดุที่ไม่ฉลาด ไม่มีหัวคิดไม่สามารถปรับตัวตามสภาพแวดล้อม ไม่สามารถมีฟังก์ชันหน้าที่มากไปกว่าการดำรงรักษาโครงสร้างซึ่งจะมีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา เทียบไม่ได้กับวัสดุยุคนาโน ที่มีความสามารถในการทำหน้าที่ต่างๆ จนมีคำเรียกวัสดุนาโนออกมาใช้กันมากมาย ไม่ว่าจะเป็น วัสดุออกแบบขึ้นมา (Designer Materials) วัสดุก้าวหน้า (Advanced Materials) วัสดุฉลาด (Smart Materials) วัสดุอัจฉริยะ (Intelligent Materials) วัสดุทำหน้าที่ (Functional Materials) วัสดุรับคำสั่งได้ (Programmable Materials) วัสดุมีโครงสร้างลำดับชั้น (Hierarchical Materials) ไปจนถึงวัสดุที่เป็นซอฟต์แวร์ (Matters as Software)

หลังจากที่ประธานาธิบดีคลินตันได้เดินหน้าโครงการนาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (National Nanotechnology Initiative หรือ NNI) เมื่อปี ค.ศ. 2001 ซึ่งได้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ตื่นตัวในการลงทุนวิจัยทางนาโนเทคโนโลยีไปทั่วโลกอย่างไม่เคยมีมาก่อน ศาสตร์ของนาโนเทคโนโลยีและนาโนวัสดุได้เข้าไปแทรกซึมและสร้างสีสันให้วงการต่างๆ ทั้ง ฟิสิกส์ เคมี เภสัชศาสตร์ การแพทย์ อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ ยานยนตร์ อาหาร-เกษตร วัสดุก่อสร้าง ซึ่งทุกๆวงการต่างต้อนรับเทคโนโลยีน้องใหม่นี้อย่างอบอุ่น ตอนนี้ก็เป็นคิวของอุตสาหกรรมก่อสร้างถนนหนทาง ที่เริ่มจะเกิดการตื่นตัวในการนำเทคโนโลยีจิ๋วมาใช้บ้าง โดยสหรัฐอเมริกาเป็นตัวตั้งตัวตีที่จะไปอยู่แถวหน้า ทั้งนี้เพราะสหรัฐอเมริกามีทางหลวงรวมกันแล้วเป็นระยะทางถึง 3.6 ล้านกิโลเมตร เฉพาะแค่การบำรุงรักษาและซ่อมแซมเส้นทางก็ต้องใช้งบประมาณเกือบ 2 ล้านล้านบาทต่อปี ดังนั้นทางกรมทางหลวงสหรัฐฯ (Federation Highway Administration) จึงได้ริเริ่มโครงการวิจัยขนาดใหญ่เพื่อพัฒนาทางหลวงให้กลายมาเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ล้ำยุคที่สุดในศตวรรษที่ 21



ภาพบน - ยางมะตอยชนิดใหม่ที่มีส่วนผสมของอนุภาคยาง กำลังได้รับความนิยม เพราะทำให้การขับขี่นุ่มสบาย

30 ตุลาคม 2551

The Post-American World - โลกยุคใหม่ที่ไม่คลั่งไคล้อเมริกา (ตอน 2)


หน้าที่ผมในบล็อกนี้คือนำแนวโน้ม และ กระบวนทัศน์ใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นมาสู่ท่านผู้อ่าน และ สิ่งที่ผมคิดว่ากำลังจะเกิดขึ้นในวันนี้ คือ การล่มสลายของลัทธิอเมริกันนิยมครับ แม้แต่ในวงการวิทยาศาสตร์เอง อเมริกากำลังจะเสียความเป็นเบอร์หนึ่งไปแล้วครับ รางวัลโนเบลในปีนี้แทบจะไม่มีคนอเมริกันเข้ารับรางวัลเลย ถึงเวลาที่กระบวนยุทธ์ของไทยต้องเลิกตามก้นอเมริกาแล้วครับ เราต้องหาพันธมิตรอื่นที่มีศักยภาพจะมาแทนที่อเมริกาเช่น ยุโรป จีน เกาหลี



เมื่อตอนผมเป็นเด็ก จำได้ว่าผมเคยคลั่งไคล้ประเทศสหรัฐอเมริกาเอามากๆ ตอนเรียนอยู่ประถมศึกษาปีที่ 5 ผมได้เขียนจดหมายถึงท่านเอกอัครราชฑูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย แสดงความชื่นชมในประเทศของท่าน และขอข้อมูลประเทศของท่านมาศึกษา เพราะที่โรงเรียนไม่ค่อยมีให้อ่าน ท่านก็ใจดี ตอบจดหมายกลับและยังส่งแผนที่ฉบับใหญ่แบบโปสเตอร์ของอเมริกามาให้ แถมด้วยหนังสือเกี่ยวกับประเทศนี้อีกกอง ยิ่งทำให้ความฝันและลุ่มหลงประเทศที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้เพิ่มเป็นทวีคูณ

ในยุคนั้น เด็กๆในรุ่นผมล้วนฝันที่จะได้ไปเยี่ยมชม ฝันที่จะได้ไปเรียนต่อที่อเมริกา ผมได้ไปอเมริกาครั้งแรกหลังจากจบปริญญาเอกที่ยุโรป รู้สึกตื่นตาตื่นใจมาก แต่ในช่วงที่ผมเดินทางไปอเมริกานั้น กลับเป็นช่วงไม่กี่เดือนก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งเวลา ณ จุดนั้น อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการเสื่อมถอยของประเทศนี้ ประเทศที่ผมเคยรักและเคยชื่นชมเมื่อครั้งยังเด็ก

ม.จ.สิทธิพร กฤษดากร บิดาของวงการเกษตรแผนใหม่ เคยกล่าวไว้ว่า "เงินทองคือมายา ข้าวปลาเป็นของจริง" ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นแม่แบบของระบบทุนนิยมก้าวหน้า มีนวัตกรรมทางการเงินมากมาย ที่ช่วยให้ประเทศนี้สร้างความมั่งคั่งจากมายาทางการเงิน อเมริกามีวิธีการเงินต่อเงินที่เรียกว่าอนุพันธ์ (Derivatives) ทำให้เกิด Layer ของเงินหลายๆชั้นเหนือการผลิตที่เป็นของจริง แต่ด้วยความโลภของระบบทุนนิยมแบบสหรัฐอเมริกา ภายในวันเดียวมูลค่าของตลาดหุ้น Wall Street หายไป 35,000,000,000,000 บาท ครับ เทียบเท่ากับงบประมาณรัฐบาลไทย 20 ปี ระบบการเงินที่เป็นมายาตอนนี้กำลังจะถูกปฏิรูปแล้วครับ ทุนนิยมแบบสหรัฐอเมริกาที่อิงอยู่กับอิสรภาพทางการเงิน และ ตลาดเสรี จะถูกแทนที่ด้วยทุนนิยมแบบสร้างสรรค์ (Creative Capitalism) มีจริยธรรม มีระเบียบ มีความเป็นอยู่ที่ดีของสังคมก่อนผลกำไร ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นทุนนิยมแบบยุโรป หรือ อาจเป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบไทย (Sufficiency Economy) ที่มีความเป็นสังคมนิยมปะปนนิดๆ พวกเราต้องเตรียมตัวรับเผาจริงในปี 2552 ที่จะถึงนี้นะครับ วิกฤตครั้งนี้ เชื่อกันว่าจะอยู่นานถึงปี ค.ศ. 2013 เลยครับ แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว ยังไงๆ เราก็มีข้าวปลาที่เป็นของจริง !!!!!