แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ electronic appliance แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ electronic appliance แสดงบทความทั้งหมด

02 กันยายน 2557

เครื่องชิมต้มยำกุ้ง - Electronic Nose



ต้มยำกุ้งเป็นอาหารไทยที่ต่างชาติรู้จักมากที่สุด จนเอาไปตั้งเป็นชื่อของวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อ ปี ค.ศ. 2540 ในภัตตาคารอาหารไทยทั่วโลก ต้องมีต้มยำกุ้งในเมนูทุกร้าน ซึ่งรสชาติและสีสันก็จะมีความแตกต่างกันไปตามวัตถุดิบและสูตรของแต่ละร้าน

ซึ่งไอ้เจ้าความแตกต่างของแต่ละร้านนี่หล่ะครับที่น่าเป็นห่วง ไม่เหมือนกินแม็คโดนัลด์ที่มันเหมือนกันทุกที่ ดังนั้น ต้มยำกุ้งก็น่าจะมีสูตรกลาง หรือ ตำหรับกลางที่เป็นมาตรฐาน เพราะมันสำคัญมากในเรื่องของความเป็นแบรนด์ ที่ต้องคงและรักษาเอกลักษณ์ของรสชาติแท้ๆ เอาไว้ (ซึ่งตัวผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า รสชาติแท้ๆ มันเป็นอย่างไร) โดยการทำตามสูตรของแต่ละร้าน ก็อาจเบี่ยงเบนไปจากสูตรกลางได้ แต่ไม่ควรจะไปไกลจนกู่ไม่กลับ

ด้วยความร่วมมือกับบริษัทโมบิลิส ออโตมาต้า และสถาบันนวัตกรรมแห่งชาติ ทางหน่วยวิจัยของผมจึงได้พัฒนาเครื่องตรวจกลิ่นต้มยำกุ้งขึ้นมา ซึ่งมีลักษณะเป็นจมูกอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถจดจำ และจำแนกรายละเอียดของกลิ่นได้ โดยเครื่องนี้จะช่วยในการควบคุณภาพของต้มยำกุ้งที่จะส่งออกขายไปทั่วโลก และในร้านอาหารไทยทั่วโลก ให้มีต้มยำกุ้งรสชาติที่มีมาตรฐาน และรักษาเอกลักษณ์ของไทย

เจ้าเครื่องดมกลิ่น Electronic Nose นี้จะตรวจวัดโมเลกุลกลิ่นที่ออกมาจากต้มยำกุ้ง ทำให้รู้ว่ามีกลิ่นอะไร เท่าไหร่ และช่วยบอกว่าสูตรนี้ใช้ได้หรือไม่ เพราะกลิ่นของอาหาร เป็นตัวบอกความอร่อยครับ .... ส่วนในแง่รสชาติ เปรี้ยว หวาน เค็ม นั้น ทางทีมวิจัยอีกทีมหนึ่งที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จะเป็นคนทำครับ

Credit - Picture from Center of Nanotechnology, Faculty of Science, Mahidol University

30 กรกฎาคม 2555

Intelligent Vending Machine - ตู้หยอดเหรียญอัจฉริยะ (ตอนที่ 4)



(Picture from http://choco04.wordpress.com/tag/vending-machine/)

วันนี้อยู่ดีๆ ก็คิดถึงญี่ปุ่นขึ้นมา คิดถึงตู้หยอดเหรียญน่ารักๆ คิดถึงวันชื่นคืนสุข เมื่อไหร่ก็ตามที่ไปใช้ชีวิตในญี่ปุ่น ไม่เคยมีวันไหนที่จะไม่ไปใช้บริการตู้หยอดเหรียญ เพื่อซื้อของกิน ของเล่น ของบันเทิงเริงใจ ตีหนึ่ง ตีสอง ก็พึ่งพาได้เสมอๆ วันนี้เลยขอเขียนเกี่ยวกับตู้หยอดเหรียญอัจฉริยะเป็นตอนที่ 4 หลังจากห่างหายจากเรื่องนี้ไปค่อนข้างนานมากๆ เลยครับ

ขอท้าวความเดิมหน่อยนะครับ ว่ากันประเทศญี่ปุ่นมีเครื่องหยอดเหรียญมากมายถึง 5.5 ล้านเครื่อง คิดเป็นจำนวนตู้หยอดเหรียญ 1 ตู้ ต่อประชากร 23 คน มากที่สุดในโลกครับ ครึ่งหนึ่งของ 5 ล้านกว่านี้เป็นตู้สำหรับกดเครื่องดื่มไร้อัลกอฮอล์ครับ ประมาณ 118,000 ตู้จะเป็นของแปลกที่ไม่น่าเอามาใส่ในตู้ ไม่ว่าจะเป็น มีดโกนหนวด ถุงเท้า ไข่ไก่ มี 5,500 ตู้ที่เป็นบะหมี่กระป๋อง รายได้ของตู้หยอดเหรียญทั้งหมดรวมทั้งปีมีมูลค่าถึง 7,000,000,000,000 เยน หรือ ประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท 

นับวันตู้หยอดเหรียญจะฉลาด (และน่ารัก) มากขึ้นเรื่อยๆ มีการเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าไปมากมาย ไม่ว่าจะเป็นจอภาพแบบสัมผัส การตรวจหาอายุของผู้ใช้บริการ ตู้สมัยใหม่ไม่ต้องใช้เหรียญหยอด แต่สามารถใช้บัตรสมาร์ทการ์ด หรือ บัตรเครดิต นอกจากนั้นมันยังเชื่อมต่อกับโครงข่ายอินเตอร์เน็ต เพื่อให้บริการอื่นๆ เช่น แผนที่ไปยังจุดที่น่าสนใจ แนะนำร้านอาหารน่าทานบริเวณนั้น รวมทั้ง มันยังมีการเช็คสต็อกตัวเอง แล้วส่งข้อมูลกลับไปยังบริษัท โดยที่เจ้าของบริษัทสามารถรู้ข้อมูลการให้บริการว่า ส่วนใหญ่คนมากดเอาอะไรในช่วงเวลาไหนบ้าง ทำให้รู้ข้อมูลพฤติกรรมการบริโภคของผู้คนอีกด้วย นอกจากนั้น แนวโน้มในอนาคตที่ผมคิดว่าน่าจะเกิดขึ้นก็คือ ตู้หยอดเหรียญจะทำตัวเสมือนเป็นเกมส์ ทำให้ผู้ใช้บริการอยากที่จะไปหยอดซื้อมากขึ้น ครั้งหนึ่งที่ผมไปญี่ปุ่นกับภรรยา ภรรยาของผมหยอดน้ำกระป๋องที่มีรูปไอ้มดแดงออกมาทุกรสชาติที่มีขายในตู้นั้น แล้วเทเอาน้ำออก เอากระป๋องกลับมาตั้งโชว์ที่บ้าน

บทบาทที่มากขึ้นเรื่อยๆ ของตู้หยอดเหรียญนี้ ทำให้แม้แต่บริษัทอินเทล ก็เริ่มมาให้ความสนใจ โดยอินเทลมีแผนจะขายตู้หยอดเหรียญอัจฉริยะ เพราะประเมินว่าในปี ค.ศ. 2016 ตลาดจะมีความต้องการตู้หยอดเหรียญอัจฉริยะมากถึง 2 ล้านตู้ต่อปี ตู้หยอดเหรียญที่อินเทลจะสร้างนี้ จะมีจอภาพขนาดใหญ่ เพื่อให้สามารถทำการโฆษณาได้ โดยสามารถส่งการโฆษณาแบบต่างๆ ไปที่ตู้ ให้เหมาะกับเวลาและสถานที่ ซึ่งผู้ที่เป็นเจ้าของตู้ จะมีรายได้จากการโฆษณาเพิ่มเติมจากการขายสินค้า

พูดแล้วก็อยากให้วันนั้น มาถึงไวๆ ครับ .....

16 พฤศจิกายน 2552

Illuminating Dress - ชุดราตรีเปล่งแสง


สวัสดีครับ ตอนนี้ผมกลับมาจากเจจู เรียบร้อยแล้วครับ ในช่วงที่อยู่เกาหลีนั้น ได้เห็นสาวๆ เกาหลีแต่งตัวกันสวยๆ บนใบหน้าของพวกเธอก็แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางหนาเตอะ พอกกันไม่รู้กี่ชั้น จนหน้าแทบจะเหมือนตุ๊กตา ผมเดินหลงเข้าไปในร้าน Etude (อ่านเป็นภาษาไทยว่า อิ-ตู-ดี้ หรือ อี-ตู-เด้ แต่บางคนก็อ่านง่ายๆ ว่า อี-ตูด) เห็นสาวพริตตี้เชียร์ของในร้าน ใส่ชุดน่ารัก น่ารัก เหมือนเทพนิยายในเรื่องซินเดอเรลลา บรรยากาศในร้านก็ออกแนวแฟนตาซี ผมถึงเพิ่งเข้าใจว่าทำไมวัยรุ่นไทยถึงชอบเครื่องสำอางแบรนด์นี้

นึกถึงร้านอิตูดี้ ก็อดเขียนเรื่องนี้ไม่ได้ครับ เพราะไม่กี่วันมานี้เอง ได้มีการเปิดตัวชุดราตรีเปล่งแสง ออกแนวแฟนตาซี เพราะชุดราตรีชุดนี้สามารถที่จะเปล่งแสงได้ เนื่องจากว่ามันถักทอขึ้นมาจากอุปกรณ์เปล่งแสง (Light Emitting Device) เล็กๆ จำนวนกว่า 24,000 ดวง ซึ่งหลอด LED นี้เป็นแบบแบนบาง และยืดหยุ่นได้นี้ มีขนาดเพียง 2 mm x 2 mm เท่านั้นครับ นักออกแบบเสื้อผ้าได้ถักทอมันเข้ากับตัวผ้าไหม ทำให้มันสามารถที่จะขยับไปมาได้ตามเนื้อผ้า ถึงแม้จะมีอุปกรณ์นี้ติดอยู่เป็นหมื่นดวง ก็ไม่ได้ทำให้เสื้อผ้านี้มีน้ำหนักผิดปรกติ อีกทั้งตัวชุดยังมีความพริ้วไหวเหมือนผ้าอีกด้วย

นี่คือตัวอย่างหนึ่งของสิ่งทออิเล็กทรอนิกส์ (Textronics, Textile Electronics หรือ Wearable Electronics) ซึ่งปัจจุบันกำลังเป็นที่สนใจของวงการสิ่งทอ และ แฟชั่น ครับ ซึ่งตอนนี้คนที่ทำวิจัยเรื่องนี้มากก็คือ เกาหลี กับ ไต้หวัน ส่วนเมืองไทยเรา เท่าที่ผมติดตามถามไถ่คนในวงการสิ่งทอ ก็ยังไม่ค่อยรู้จักเรื่องนี้กันเท่าไหร่ครับ

05 กันยายน 2552

OLED Notebook ออกขายในปี 2010


วันนี้ผมมีข่าวความก้าวหน้าในวงการ จอแสดงผลแบบอินทรีย์ (Organic Light Emitting Device หรือ OLED) มาฝากกันครับ ท่านผู้อ่านคงจะเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับจอภาพแบบ OLED มาบ้าง จอภาพที่ใช้ๆ กันอยู่ในปัจจุบันนั้นมี 4 แบบครับคือ (1) จอภาพแบบ CRT (Cathode Ray Tube) ซึ่งก็คือจอภาพแบบเก่าที่มีตูดหนาๆ นั่นแหล่ะครับ จอภาพแบบนี้ใช้การบังคับลำอิเล็กตรอนให้ยิงไปกระทบฉากเรืองแสง (2) จอภาพแบบพลาสมา ซึ่งใช้การปลดปล่อยแสง UV จากพลาสมาให้มากระทบฉากเรืองแสง (3) จอภาพ LCD เป็นการบังคับโมเลกุลผลึกเหลวให้หันไปตามทิศทางต่างๆ เพื่อให้แสงฉากหลังหลุดออกมา หรือ ไม่หลุดออกมา (4) จอภาพ OLED เป็นการเปล่งแสงโดยตรงออกมาจากโมเลกุลเปล่งแสง ที่อยู่ภายใต้สนามไฟฟ้า

จากเทคโนโลยีทั้ง 4 แบบนี้ มีเทคโนโลยี OLED เท่านั้นที่มีการเปล่งแสงออกมาจากแหล่งกำเนิดโดยตรง ส่วนเทคโนโลยีอื่นๆ ใช้การเรืองแสง หรือไม่ก็เป็นการบังหรือปล่อยแสงบางสีออกมา เพื่อมาผสมกันทำให้เกิดภาพต่างๆ เทคโนโลยี OLED จึงให้สีที่สว่างที่สุด สมจริงที่สุด สวยที่สุด และประหยัดพลังงานที่สุดครับ
เมื่อเร็วๆ นี้เอง บริษัท Samsung ได้ออกมาประกาศว่าจะทำตลาดเครื่องคอมพิวเตอร์ Notebook ที่ใช้จอภาพ OLED ประมาณปลายปี 2010 ครับ นักวิเคราะห์คาดว่า OLED จะกลายมาเป็นจอภาพมาตรฐานสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ Notebook ในไม่ช้า (คาดว่าประมาณไม่เกิน 5 ปี)

05 ธันวาคม 2551

เครือข่ายกายสัมผัส - Body Area Network (ตอนที่ 2)


อีกไม่นานร่างกายของมนุษย์ ก็จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายข้อมูลแล้วครับ ด้วยเทคโนโลยีเครือข่ายกายสัมผัส Body Area Network หรือ BAN นั้นจะทำให้เราสามารถส่งถ่ายข้อมูลไปให้ผู้อื่น หรือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ด้วยการสัมผัส นักวิจัยทั่วโลกกำลังก้มหน้าก้มตากันพัฒนาอุปกรณ์บนร่างกายมนุษย์ หรือ ฝังลงไปในร่างกายมนุษย์ เซ็นเซอร์ตรวจวัดต่างๆ เช่น การหายใจ จังหวะหัวใจ ปริมาณกลูโคส ความดันเลือด การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ ซึ่งเซ็นเซอร์เหล่านี้จะอยู่บนเครือข่าย BAN โดยส่งข้อมูลคุยกันผ่านผิวหนังของมนุษย์นั่นเอง เซ็นเซอร์อาจนำไปติดบนเสื้อผ้า นาฬิกา รองเท้า หรือฝังไว้ใต้ผิวหนัง และอื่นๆ แล้วส่งข้อมูลมาที่อุปกรณ์มือถือ เพื่อส่งให้ Server ของโรงพยาบาล

งานประยุกต์ของ BAN มีได้มากมายครับ ไม่ใช่แค่ในเรื่องสุขภาพหรือการแพทย์เท่านั้น ยักษ์ใหญ่แห่งวงการอิเล็กทรอนิกส์อย่าง Philips กำลังทำการวิจัยอย่างเข้มข้นในเรื่องของการให้มนุษย์เข้าไปอยู่เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายข้อมูล BAN สามารถทำแบบไร้สายเรียกว่า Wireless Body Area Networks ซึ่งจะทำให้อุปกรณ์บนร่างกายของเรา สามารถที่จะคุยกับอุปกรณ์อื่นๆ บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้ ที่ผมชอบมากๆ คือรูปทางซ้ายมือครับ Philips เขาคิดไอเดียที่จะสร้างเครือข่ายอารมณ์ หรือ Emotion Networks ต้นแบบที่เขานำมาสาธิตนั้นเป็นสร้อยคออารมณ์ ซึ่งจะเปลี่ยนสีตามอารมณ์ของผู้สวมใส่ มันจะตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการหายใจ อุณหภูมิร่างกาย และอื่นๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถส่งไปยังอุปกรณ์อื่นๆ รวมทั้งเจ้าสร้อยคออารมณ์สามารถคุยกันเองกับสร้อยคอที่คนอื่นใส่ ทำให้คนอื่นสามารถรับรู้สภาพอารมณ์ของเราได้ ก่อนหน้านี้ถ้ายังจำกันได้ ผมเคยนำเรื่องหมอนบอกรักได้มานำเสนอครั้งหนึ่งแล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นรูปแบบหนึ่งของเครือข่ายอารมณ์ ที่เราสามารถส่งข้อมูลอารมณ์ ความรู้สึกของเราผ่านหมอนของเรา ไปยังหมอนใบอื่นๆ

03 ธันวาคม 2551

เครือข่ายกายสัมผัส - Body Area Network (ตอนที่ 1)


ผมเชื่อว่าทุกคนเคยได้ยินวลีที่ว่า "มองตาก็รู้ใจ" นั่นแสดงว่ามนุษย์เรารู้จักการส่งข้อมูล ผ่านทางสายตามานานแล้ว นอกจากนั้นเรายังใช้การส่งข้อมูลด้วยการสัมผัสกายกัน เราจับมือเพื่อนที่กำลังร้องไห้เสียใจเพราะความรัก เพื่อส่งความรู้สึกแสดงความเห็นใจไปสู่เขา การปลอบโยนผู้อื่นด้วยการตบหลัง หรือลูบหลังเบาๆ ก็เป็นการส่งข้อมูลความรู้สึกเห็นอกเห็นใจให้แก่ผู้อื่น คนที่พึ่งจีบกันหรือแม้แต่สามีภรรยาที่อยู่ด้วยกันมานาน ก็ชอบที่จะจับมือกันเพื่อส่งความรู้สึกดีๆให้แก่กัน จะเห็นได้ว่าข้อมูลที่ส่งให้แก่กันและกันผ่านการสัมผัสทางกายเหล่านี้ เป็นข้อมูลเชิงความรู้สึก ไม่สามารถประเมินเชิงตัวเลขหรือเชิงปริมาณได้ แต่ต่อนี้ไปด้วยเทคโนโลยีเครือข่ายกายสัมผัส Body Area Network หรือ BAN จะปฏิวัติโลก เพื่อทำให้เราสามารถส่งข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไฟล์ power point รูปภาพถ่ายจากกล้องดิจิตัล เพลง MP3 ต่างๆ ไฟล์ MS Word ไปให้คนอื่นๆ ผ่านการแตะมือกัน ผมจะทยอยมาเล่าความก้าวหน้าของศาสตร์ทางด้านนี้ในตอนต่อๆ ไป รวมไปถึงระบบนี้ทำงานอย่างไรด้วย แต่ตอนที่ 1 นี้เพื่อเรียกน้ำย่อย ผมจะขอยกตัวอย่างความก้าวหน้าในเรื่อง Body Area Network ที่นำออกมาสาธิตโดย Electronics and Telecommunications Research Institute (ETRI) แห่งประเทศเกาหลีครับ

ต้นแบบที่ ETRI นำมาสาธิตนั้นจะทำให้เราสามารถส่งไฟล์ที่เราต้องการพิมพ์ จากโทรศัพท์มือถือ โน๊ตบุ๊ค หรือ PDA ไปยังเครื่องพิมพ์ด้วยการแตะที่เครื่องพิมพ์ครับ ต้นแบบแรกของ ETRI นี้เป็นถุงมือส่งข้อมูลครับ ปัจจุบันเครือข่ายกายสัมผัสของ ETRI ทำความเร็วในการส่งข้อมูลที่ 1 เมกะไบต์ต่อวินาที ซึ่งก็ยังมีโอกาสเร่งความเร็วในต้นแบบรุ่นต่อๆไปได้อีก รวมทั้งอีกหน่อยอาจจะไม่จะเป็นต้องมีถุงมือส่งข้อมูลก็ได้ โดยติดตั้งอุปกรณ์รับส่งที่ตัวอุปกรณ์มือถือ โน๊ตบุ๊ค โดยตรง ต่อไปเราจะเวลาไปเที่ยวเป็นหมู่คณะ ก็ไม่จำเป็นต้องยืนตากแดดนานๆ เพื่อถ่ายรูปหมู่ ซึ่งต้องเอากล้องคนนู้น กล้องคนนี้ เวียนกันไปจนครบ ถ่ายแค่กล้องเดียว แล้วแตะมือกัน ข้อมูลจากกล้องเราก็จะไปอยู่ในกล้องเพื่อนต่อๆ กันไป

(รูปข้างบน: ต่อแต่นี้ไป การแตะมือกันไม่ใช่เพียงถ่ายทอดความรู้สึกหรืออารมณ์เท่านั้น แต่ยังสามารถส่งข้อมูลติจิตัลได้ด้วย)


24 ตุลาคม 2551

Games Science - วิทยาศาสตร์ของเกมส์ (ตอนที่ 3)

















เล่าต่อนะครับ เรื่องที่ผมได้ไปดูงานทางด้าน Entertainment Science ที่ Department of Games Science ของ Tokyo Polytechnic University (TPU) หลังจากได้แวะดูสตูดิโอ ห้องเล่นเกมส์บอร์ด ห้องเล่นเกมส์ตู้ ห้องเล่นวิดีโอเกมส์ เขาก็พาไปดูห้องเขียนโปรแกรมเกมส์ ซึ่งก็เหมือนห้องคอมพิวเตอร์ทั่วๆไป เพียงแต่จะมีระบบคอมพิวเตอร์กริดความเร็วสูง เพื่อทำงานซิมูเลชั่นที่ต้องการคอมพิวเตอร์ความสมรรถะสูง นักศึกษาในปีสูงๆ จะมานั่งโปรแกรมเพื่อสร้างเกมส์ในห้องนี้ครับ จากนั้นเขาก็พาไปดู Human Product Design Center ซึ่งเป็นที่ออกแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่นี่มีห้องสำหรับทำงานสร้าง prototype ซึ่งนักศึกษาจะใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น เครื่องกลึง เครื่องตัด และพวก Rapid Prototyping Machine หรือ CNC ผลิตสิ่งของต้นแบบที่พวกเขาคิดไว้ สถาบันหรือภาควิชาเกมส์ของที่นี่จึงมีครบถ้วนตั้งแต่ต้นนำ ไปจนถึงปลายน้ำเลยครับ ซึ่งจริงๆ แล้วก็ยังมีอีกหลายส่วนที่ผมไม่ได้มีโอกาสไปดู เช่น เรื่องของ Manga หรือ การออกแบบการ์ตูน จะเห็นได้ว่า Games Science เป็นการผสมผสานความรู้ทางด้าน คอมพิวเตอร์ ฟิสิกส์ ศิลปกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ และ วิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งทำให้ที่นี่มีจุดเด่นในฐานะตักศิลาของการผลิตบุคลากรด้านเกมส์ของโลกเลยครับ การได้ไปเยี่ยมชมภาควิชาที่มีคนออกแบบเกมส์ Pac-Man อันโด่งดังทำงานเป็นศาสตราจารย์อยู่ที่นี่ จึงนับเป็นความภาคภูมิใจจริงๆ

อุตสาหกรรมเกมส์วิดิโอของโลกนั้นมีมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านบาท มากกว่างบประมาณแผ่นดินของประเทศไทยเกือบ 2 เท่าครับ นักวิเคราะห์เชื่อว่าอุตสาหกรรมนี้มีความเข้มแข็งมาก และไม่สะทกสะท้านต่อปัญหาเศรษฐกิจ หรือ พิษแฮมเบอร์เกอร์ ถึงแม้จะเกิดอะไรขึ้น ผู้คนก็ยังเล่นเกมส์ แต่ปัญหาที่ท้าทายนักออกแบบเกมส์ก็คือ ทำยังไงถึงจะทำให้ผู้หญิงเล่นและจ่ายเงินเพื่อเล่นเกมส์ เพราะคอเกมส์ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นผู้ชาย ปัญหานี้มีมูลค่านับแสนล้านบาทเลยครับ ถ้าใครแก้ได้ และนี่เองครับคืองานของ Games Science หรือ วิทยาศาสตร์ของเกมส์ !!!!!

17 ตุลาคม 2551

Games Science - วิทยาศาสตร์ของเกมส์ (ตอนที่ 2)


สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ผมเพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่นครับ นอนแอ้งแม้งอยู่บ้าน 1 วัน พอมีแรงมาอัพเดตเรื่องราวที่ยังคั่งค้าง เกี่ยวกับ Games Science ที่ผมได้ไปดูมาที่ Department of Games Science ของ Tokyo Polytechnic University (TPU) ซึ่งภาควิชานี้สอนในระดับปริญญาตรี เพื่อผลิตนักออกแบบการ์ตูน อะนิเมชัน และเกมส์ต่างๆ ครับ เป็นหลักสูตร 5 ปี ที่นี่เขามีสตูดิโอเพื่อบันทึกท่าทางการเดิน กระโดดโลดเต้น การเต้น การเคลื่อนไหว ของกล้ามเนื้อและอวัยวะต่างๆ ของคน เพื่อนำมาทำเป็นข้อมูลดิจิตัล เพื่อใส่เข้าไปในอะนิเมชันและเกมส์ได้ เขามีห้องสำหรับเล่มเกมส์วางแผน พวกบอร์ดเกมส์ทั้งหลาย โดยคอร์สของบอร์ดเกมส์นี้ เด็กๆก็จะต้องมาฝึกนั่งเล่นกันทุกวัน เป็นเวลา 3 เดือน เพื่อผ่านวิชานี้ โดยเด็กๆจะได้ฝึกการวางแผน เรื่องของตรรกะต่างๆในเกมส์ และ กลยุทธ์ต่างๆ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างวิธีการคิดแท็กติกต่างๆแก่เด็กนักศึกษา เพื่อสามารถไปออกแบบเกมส์แบบดิจิตัลได้ ผมได้เข้าไปดูห้องที่มีเครื่องเกมส์ตู้เหมือนในห้างสรรพสินค้า วางเรียงกันเต็มไปหมด ทีแรกนึกว่าเป็นห้องให้เด็กเล่นเกมส์คลายเครียด แต่อาจารย์ที่พาชมบอกว่า ห้องนี้เป็นห้องสำหรับให้นักศึกษาคุ้นเคยกับบรรยากาศที่เกมส์ตู้จะไปอยู่ และเพื่อให้นักศึกษาได้เล่นเกมส์ที่เป็นที่นิยม เพื่อหาจุดอ่อนและจุดแข็งของเกมส์แต่ละชนิด ต่อไปเขาพาผมไปเดินชมห้องวิดีโอเกมส์ ซึ่งมีจอทีวี LCD ขนาดใหญ่ เรียงรายเต็มไปหมด ในห้องนี้จะมีเกมส์ของ Playstation และ Nintendo นักศึกษาจะมาใช้ห้องนี้เพื่อศึกษาเกมส์ประเภทเล่นกับ TV โดยจะมาจับกลุ่มวิเคราะห์เกมส์ หรือทำการบ้านที่อาจารย์มอบหมายมา บางกลุ่มก็เล่นเกมส์ประเภท Multiplayer สู้กัน แล้วก็ถกเถียงวิเคราะห์กันอย่างเคร่งเครียด (แต่ใบหน้ายิ้มที่เห็นพวกเราเข้ามาดู) ผมจะมาเล่าต่ออีกนะครับ กลัวจะยาวไปสำหรับตอนนี้ เรื่องของการเกิด Convergence ของ Art กับ Science ยังมีต่ออีกครับ เพราะนี่คือกระบวนทัศน์ใหม่ของทศวรรษต่อไปจริงๆ ...............

12 ตุลาคม 2551

Intelligent Vending Machine - ตู้หยอดเหรียญอัจฉริยะ (ตอนที่ 3)


สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ยังอยู่ญี่ปุ่นครับ แต่คืนพรุ่งนี้จะไปพักโรงแรมในสนามบินนาริตะ เพื่อเตรียมบินกลับเมืองไทยแล้วครับ เนื้อหาที่จะนำมาเล่าก็เลยยังวนเวียนอยู่แถวๆ นี้ครับ ตลอดเวลา 10 กว่ากันที่ผมอยู่ในญี่ปุ่น เวลาเดินทางไปไหน หากเห็นตู้หยอดเหรียญก็จะเข้าไปดู มันเป็นความเพลิดเหลินอย่างหนึ่งครับ เพราะไม่ว่าจะเดินไปที่ไหน มันก็ตามเราไปทุกที่ หลายๆตู้ที่แวะไปดูก็จะเก็บรูปเอากลับไปดูที่เมืองไทย มาว่ากันต่อในเรื่องของตู้หยอดเหรียญที่ ยิ่งนานวันจะฉลาดล้ำขึ้นไปเรื่อยๆ บริษัท M-one Cafe พยายามเอาใจคอกาแฟที่ชอบดื่มกาแฟสด และรู้สึกหงุดหงิดกับรสชาติของกาแฟที่ออกมาจากตู้หยอดเหรียญ จริงๆแล้ว กาแฟหยอดตู้ก็สามารถเซิร์ฟในถ้วยกระดาษร้อนๆ และมีตัวเลือกได้ค่อนข้างมาก ทั้ง เอสเพรสโซ คาปูชิโน ลาเต้ แต่ M-one เขาอยากให้ตู้หยอดเหรียญสำหรับกาแฟมีความฉลาดข้ามขั้นไปเลย คือให้ผู้ซื้อมีอิสรภาพในการกำหนดรสชาติที่ตัวเองต้องการ เหมือนกับการปรุงเอง ซึ่งอิสรภาพที่ได้มานี้มากกว่าการไปนั่งสั่งกาแฟสดด้วยการปรุงจากมนุษย์ในร้านกาแฟเสียด้วยซ้ำ เพราะผู้ซื้อสามารถควบคุมการปรุงได้จากการเฝ้าดูจอ LCD ที่ตู้โดยการใช้ Touch-screen สั่งเลือกสูตรกาแฟที่ตนชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นความเข้มข้นของกลิ่นรส ความหวาน ความมันของนม ถ้าจะดื่มกาแฟเย็นก็เลือกขนาดของก้อนน้ำแข็งที่ต้องการได้ เครื่องจะตัดน้ำแข็งในขนาดตามนั้นให้สดๆ เลยครับ ตอนนี้ตู้หยอดเหรียญจำนวนมาก นอกจากจะรับเหรียญแล้ว ยังสามารถใช้บัตรโดยสารสมาร์ทการ์ดมาแตะที่ตู้แทนการใช้เหรียญ ตู้ก็จะหักเงินในบัตรเอง โดยเฉพาะตู้หยอดเหรียญที่สถานีรถไฟไฟ้าทั้งหลาย ซึ่งหลายๆตู้ สามารถหักเงินผ่านโทรศัพท์มือถือได้ แค่นำไปแตะเท่านั้น เดี๋ยวนี้บริษัทโฆษณาสินค้าทั้งหลายก็นิยมโปรโมตสินค้า โดยการส่ง e-mail ไปเข้ามือมือลูกค้า เช่นให้เครื่องดื่มโค้กฟรี 1 กระป๋อง เพียงนำบาร์โค้ดที่ส่งไปทาง e-mail เอาไปให้ตู้หยอดเหรียญสแกน โดยหันหน้าจอมือถือไปทางเครื่องสแกน โค้กก็จะหล่นลงมาให้ดื่ม

06 ตุลาคม 2551

The Art of Science - The Science of Art - เมื่อวิทยาศาสตร์กลับมาคืนดีกับศิลปศาสตร์


ศตวรรษที่ 21 เป็นศตวรรษแห่งการหลอมรวมตัวของวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ครับ หลังจากทั้งสองศาสตร์นี้ได้แยกร้างห่างเหินจากกันมานานหลายร้อยปี ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช พระองค์ทรงแผ่ขยายพระราชอำนาจ ด้วยมุ่งหวังจะเสาะหาช่างศิลป์และงานศิลปวิทยาการต่างๆ แม้แต่เจงกิสข่านที่เป็นที่รับรู้กันถึงความโหดร้าย เมื่อเข้าตีเมืองใดหากเมืองนั้นมิยอมศิโรราบแต่โดยดีแต่แรก หากข่านพระองค์นี้บุกเข้าเมืองได้ ก็จะสังหารประชากรในเมืองนั้นจนหมดสิ้น เหลือไว้แต่ช่างศิลป์เท่านั้น ที่เจงกิสข่านจะโปรดงดโทษชีวิตให้ แถมยังจะนำกลับไปเลี้ยงดูอย่างดี ภายใต้จักรวรรดิ์มองโกลที่เรามักคิดว่ามีแต่ความป่าเถื่อนนั้น ว่ากันว่าในช่วงที่เจงกิสข่านยังมีชีวิตอยู่นั้น ศิลปวิทยาการทั้งหลายของโลกถือว่าอยู่ในช่วงเจริญสูงสุดยุคหนึ่งทีเดียว

แต่แล้วหลังจากยุคกลางในยุโรปสิ้นสุดลง เริ่มจากความเสื่อมของคริสตจักรโรมันคาทอลิก หลังสมัยของกาลิเลโอ ในศตวรรษที่ 16 วิทยาศาสตร์ก็เปิดม่านหนียุคมืดออกมาด้วยการหันหลังให้กับศิลปศาสตร์อย่างสิ้นเชิง วิทยาศาสตร์ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าและความเชื่อทางศาสนาทั้งหมด เรื่องของจิตใจเป็นเรื่องของศิลปะ ไม่อยู่ในบริบทของวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องที่เป็นนามธรรมที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่เมื่อขึ้นต้นศตวรรษใหม่ ศาสตร์ที่เรียกว่า Mind Science หรือ Cognitive Science กำลังจะพาวิทยาศาสตร์กลับไปหาศิลปศาสตร์อีกครั้งแล้วครับ

ผมได้ไปเที่ยวชมงาน CEATEC 2008 ที่จิบะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์งานใหญ่ประจำปี พบว่าเกิดการแต่งงานระหว่างวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นที่นั่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์มือถือ จอดิสเพลย์ gadget ต่างๆ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า หุ่นยนต์ ล้วนใช้แนวทางทางด้านศิลปะในการขายสินค้า ต่างจากแต่ก่อนที่การประชาสัมพันธ์สินค้าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยีว่ามันทำอะไรได้บ้าง แต่งานนี้เขาบอกว่าสินค้าทำให้คุณ Feel อย่างไร สินค้านี้จับความเข้าใจ ความรู้สึก หรือ สัมผัส ของเราได้อย่างไร ที่ผมชอบมากก็คือ การ present ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีดาวเทียมที่ทำสามารถทำแผนที่ 3 มิติ ของพื้นผิวโลกด้วยเรดาห์ (รูปบนและรูปด้านขวา) เขาให้นักดนตรีสาวสวย 2 คนมาสีไวโอลินกับเชลโล ประกอบการบรรยาย ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนล่องลอยไปในอวกาศพร้อมๆ กับดาวเทียมดวงนั้น ...................

Intelligent Vending Machine - ตู้หยอดเหรียญอัจฉริยะ (ตอนที่ 2)


ยังวนเวียนอยู่แถวญี่ปุ่นนะครับ ตู้หยอดเหรียญในญี่ปุ่นเกิดขึ้นมาตั้งแต่ ค.ศ. 1890 หรือเกือบ 120 ปีก่อนครับ ถึงวันนี้การพัฒนาตู้หยอดเหรียญก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ มันมีความเฉลียวฉลาดและทำอะไรได้มากขึ้นเยอะเลยครับ บริษัท Fuji Electric ได้คิดค้นตู้หยอดเหรียญที่ใช้พลังงานจากโซลาร์เซลล์เพื่อทำความเย็นให้แก่สินค้าข้างใน ที่ด้านข้างของมันมีมอสเขียวๆขึ้นอยู่ เพื่อเป็นฉนวนความร้อนและเพิ่มความเขียวขจี แก่สภาพแวดล้อมตรงที่ตู้มันไปวางตั้งอยู่ อีกความฉลาดหนึ่งที่ตู้หยอดเหรียญยุคใหม่มีก็คือ ความสามารถในการเดาอายุของผู้หยอดเหรียญ ซึ่งจะมีประโยชน์มากสำหรับตู้หยอดเหรียญเพื่อซื้อบุหรี่ บริษัท Fujitaka ได้ประดิษฐ์ตู้หยอดเหรียญที่ใช้เทคโนโลยี Face Recognition เพื่อทำการประเมินอายุของผู้ซื้อบุหรี่ที่ตู้ ด้วยการใช้กล้องเก็บภาพหน้าของผู้หยอดเหรียญ แล้วทำการวิเคราะห์รูปทรงของใบหน้า ความเต่งตึงของผิวหน้า ลักษณะของเส้นรอบๆดวงตา แล้วทำการเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลของใบหน้าคน ในช่วงอายุต่างๆ ในฐานข้อมูลที่มีอยู่มากถึง 100,000 ใบหน้า ตู้นี้จะปฏิเสธการขายหากมันคิดว่าคนซื้อเป็นเยาวชน แล้วในกรณีที่ผู้ซื้อเกิดเป็นคนหน้าอ่อนกว่าอายุมากๆ ล่ะจะทำอย่างไร สำหรับกรณีที่ผู้ซื้อเป็นผู้ใหญ่แบบ Baby-Faced แล้วเครื่องปฏิเสธการขาย ก็ยังสามารถซื้อได้โดยนำบัตรประชาชนมาให้ตู้สแกน มันก็จะยอมขายให้ โดยเก็บข้อมูลความผิดพลาดในการคำนวณเอาไว้ด้วย เพื่อปรับปรุงความฉลาดของมันต่อไป แม้ว่าปัจจุบันความถูกต้องในการคำนวณของมันจะมีเพียง 90% เท่านั้น (ทุกๆ 100 คน มันจะเดาผิด 10 คน) แต่ในอนาคตพลังของซอฟต์แวร์ปัญญาประดิษฐ์จะสูงขึ้น เพื่อลดข้อผิดพลาดให้ลดลงไปเรื่อยๆครับ บริษัทเดียวกันนี้ยังได้นำตู้หยอดเหรียญที่แนะนำที่กินข้าว ที่เที่ยว ให้แก่ผู้หยอดเหรียญที่มากดซื้อกาแฟทานด้วยครับ โดยใช้จอภาพแบบ Touch-Screen ให้ผู้ซื้อใช้เล่นแพนและซูมแผนที่ มันก็จะโฆษณาแนะนำว่ามีร้านไหนอร่อยแถวนี้ สามารถบอกเจ้าตู้ฉลาดนี้ว่าเราอยากทานอะไรเป็นพิเศษ มันจะโชว์แผนที่ให้ และพูดบอกเราว่าให้เดินไปทางไหน เลี้ยวตรงไหน

04 ตุลาคม 2551

Intelligent Vending Machine - ตู้หยอดเหรียญอัจฉริยะ (ตอนที่ 1)


ท่านผู้อ่านที่เคยอยู่อพาร์ทเมนท์คงจะคุ้นเคยกับเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญนะครับ เดี๋ยวนี้หาค่อนข้างง่าย เป็นความสะดวกสบายอย่างหนึ่งไปแล้วในเมืองไทย แต่เครื่องหยอดเหรียญเพื่อกดขนม หรือ เครื่องดื่มออกมานั้นอาจจะไม่ค่อยแพร่หลายเท่าไรนักในบ้านเรา ผมก็เคยเห็นบ้างในมหาวิทยาลัยบ้านเรา แต่ที่ญี่ปุ่น เครื่องหยอดเหรียญเพื่อซื้อเครื่องดื่ม บุหรี่ ขนม หรือแม้แต่ของเล่น นั้นพบได้ทั่วไป เรียกว่าเดินออกจากโรงแรมไปซัก 1 ป้ายรถเมล์ ก็เจอเป็นสิบๆเครื่องแล้ว ตามลานจอดรถก็มี ปากซอยก็มี บนชานชาลารถไฟก็มี ออกไปเดินเล่นข้างๆท้องนาในชนบทก็ยังเจอเลยครับ แถมมีของแปลกๆ อย่างไข่ไก่ เป็นต้น บางทีผมยังอดสงสัยไม่ได้ว่าบริษัทที่ติดตั้งเครื่องหยอดเหรียญเหล่านี้จะจำได้ไหมว่าตนเองเอาเครื่องไปวางไว้ที่ไหนบ้าง แถมยังต้องไปคอยเอาของไปเติมด้วย ปรากฎว่าเครื่องเหล่านี้ในญี่ปุ่นเขาเชื่อมโยงกับเครือข่ายไร้สายหมดครับ ซึ่งมันจะส่งข้อมูลของสินค้าที่ขายดี ขายไม่ดี ไปยังศูนย์ข้อมูล ซึ่งมันก็จะแจ้งเตือนเมื่อสินค้าใกล้จะหมดด้วย ตู้หยอดเหรียญในญี่ปุ่นมีเยอะเสียจนเขามีการจัดงานแสดงสินค้าและนิทรรศการเกี่ยวกับตู้หยอดเหรียญโดยเฉพาะ อย่าง Vendex Japan มีบริษัทมาแสดงสินค้าในงานถึง 194 บริษัท จำนวน 822 บูธ ซึ่งมีผู้มาเที่ยวชมงานจำนวน 150,000 คน ทั้งๆที่เก็บค่าเข้าชมงานคนละ 500 บาท ว่ากันว่าในญี่ปุ่นตอนนี้มีตู้หยอดเหรียญจำนวน 5,405,300 ตู้ครับ หรือมีตู้หยอดเหรียญ 1 ตู้ต่อประชากร 23 คน ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในโลก ครึ่งหนึ่งของ 5 ล้านกว่านี้เป็นตู้สำหรับกดเครื่องดื่มไร้อัลกอฮอล์ครับ ประมาณ 118,000 ตู้จะเป็นของแปลกที่ไม่น่าเอามาใส่ในตู้ ไม่ว่าจะเป็น มีดโกนหนวด ถุงเท้า ไข่ไก่ น่าทึ่งมากครับมี 5,500 ตู้ที่เป็นบะหมี่กระป๋อง เขาสำรวจออกมาพบว่า 22% ของคนตอบแบบสำรวจนั้นใช้ตู้หยอดเหรียญอย่างน้อยวันละครั้ง ทำให้รายได้ของตู้หยอดเหรียญทั้งหมดรวมทั้งปีมีมูลค่าถึง 7,000,000,000,000 เยน หรือ ประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท มากกว่างบประมาณของรัฐบาลไทยใน 1 ปีเสียอีกครับ


ชีวิตในโลกอนาคตนั้น นับวันจักรกลที่มีความฉลาดจะยิ่งเข้ามาวนเวียนในชีวิตประจำวันของพวกเรามากขึ้นเรื่อยๆ พรุ่งนี้จะมาเล่าต่อนะครับ .....

02 ตุลาคม 2551

Nano Projector - โปรเจ็คเตอร์นาโน


ตอนนี้ผมอยู่ญี่ปุ่นครับ วันนี้จึงขออัพเดตบล็อกด้วยเรื่องของเทคโนโลยีที่ย่อขนาดลงเรื่อยๆ เพราะประเทศนี้ก็เติบโตทางเศรษฐกิจด้วยการย่อขนาดข้าวของเครื่องใช้ให้เล็กลง และในวันนี้เครื่องฉายภาพหรือเจ้าโปรเจ็กเตอร์ที่เราคุ้นเคยกันดีกับงานพรีเซ็นต์ต่างๆ นั้นได้ย่อส่วนจากที่เคยถือไปถือมาหนักอึ้ง ตอนนี้มีขนาดแค่กระดาษ A4 และล่าสุดนี้มีขนาดแค่ฝ่ามือเท่านั้นเองครับ ในช่วงแค่เดือนสองเดือนนี้มีการเปิดตัวโปรเจ็คเตอร์จิ๋วหลายยี่ห้อเลยครับ ผมขอยกตัวอย่าง เอาของไต้หวันก่อนนะครับ บริษัท Aiptek ได้เปิดตัวโปรเจ็คเตอร์จิ๋วชื่อว่า The Mint V10 ที่ใช้เทคโนโลยี LED ที่มีอายุใช้งานนานถึง 20,000 ชั่วโมง โปรเจ็คเตอร์ตัวนี้หยิบออกมาก็ฉายภาพได้เลยไม่ต้องอุ่นเครื่อง ด้วยระยะห่าง 1.8 เมตรมันสามารถฉายภาพที่มีขนาด 50 นิ้ว อีกตัวอย่างหนึ่งเป็นยี่ห้อที่เรารู้จักกันดีจากญี่ปุ่นครับ นั่นคือ Toshiba ซึ่งได้เปิดตัวโปรเจ็คเตอร์ขนาดฝ่ามือที่มีน้ำหนักแค่ 100 กรัม มันสามารถฉายภาพที่มีขนาดถึง 100 นิ้วได้เลยครับ รูปทรงก็ค่อนข้างสวยงามครับ และล่าสุดบริษัท 3M ได้เปิดตัวโปรเจ็คเตอร์ขนาดจิ๋วด้วยอีกจ้าวนึง ดังแสดงในรูปข้างบนครับ จะเห็นว่าขนาดเหมาะมือมาก ได้ข่าวมาว่าราคาแค่หมื่นต้นๆ ซึ่งถือว่ายังแพงอยู่ แต่คงจะถูกลงมาในระดับสี่ส้าห้าพันในเวลาไม่ถึงปีหรอกครับ ที่ผมสนใจที่สุดก็คือ 3M เขาวางแผนว่าจะเอาโปรเจ็คเตอร์จิ๋วนี้ไปใส่ในโทรศัพท์มือถือด้วยครับ


ท่านผู้อ่านจะเห็นว่าตอนนี้ถึงยุคของ เทคโนโลยีบรรจบ (Convergent Technologies) แล้วครับ ศาสตร์ต่างๆเริ่มมาคุยกัน แต่งงานกันแล้วออกลูกออกหลานเป็นศาสตร์ใหม่ๆ นี่แหล่ะครับ ยิ่งคุยกันก็ยิ่งเข้าใจ ถึงยุคบูติคแล้วครับ

23 กันยายน 2551

อวสานของฮาร์ดดิสก์ - The End of Hard Drives


เมื่อต้นเดือนกันยายน 2551 ที่ผ่านมา Intel ซึ่งเป็นบริษัทผลิตไมโครชิพยักษ์ใหญ่ของโลก ได้ประกาศที่จะสยายปีกเข้ามาครอบครอง ตลาดการเก็บข้อมูลซึ่งเป็นของฮาร์ดดิสก์ ด้วยการเปิดตัว Solid State Drives (SSDs) หรือ Flash Memory ที่เราคุ้นเคยนั่นเอง ซึ่งเจ้า Thumb Drive ที่เรานิยมใช้กันอยู่นี้ได้มีความเร็วที่เพิ่มขึ้นเทียบเคียงฮาร์ดดิสก์แล้ว (และตอนนี้ก็มีความเร็วแซงหน้าฮาร์ดดิสก์ไปแล้ว) แถมมีความจุสูงขึ้นในราคาที่ถูกลงเรื่อยๆ เบื้องต้น Intel เขาจะทุ่มตลาด SSD ที่ขนาด 80 GB ก่อน จากนั้นก็จะมี 160GB กับ 250 GB ออกตามมา ซึ่งนักวิเคราะห์คาดหมายว่า SSD จะเข้ามาแทนที่ฮาร์ดดิสก์ในตลาดโน๊ตบุ๊คในอีกไม่ช้า (ในบ้านเราก็เริ่มมีความนิยมโน๊ตบุ๊คที่ไม่มีฮาร์ดดิสก์กันมากขึ้นอย่างชัดเจน เพราะทั้งเบาและประหยัดพลังงาน)

ข้อดีของ SSD ก็คือมันใช้หน่วยความจำที่เป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้การโหลดโปรแกรมและเก็บข้อมูลสามารถทำได้เร็วกว่าฮาร์ดดิสก์มากๆ ดังนั้นการที่เราจะเริ่มรันโปรแกรม เช่น ตอนเปิดเครื่องขึ้นมาใช้ มันจะทำได้เร็วมาก ในขณะที่ฮาร์ดดิสก์จะทำการโหลดข้อมูลเข้าหน่วยความจำทำได้ช้ากว่า เราจึงต้องรอตอนเปิดเครื่องเป็นเวลานานๆ กว่า Windows จะโหลดขึ้นมาและเริ่มทำงาน ฮาร์ดดิสก์จึงไม่เหมาะกับโน๊ตบุ๊ค ซึ่งต้องการความเร็วในการใช้งาน นอกจากนั้น SSD ยังทนร้อนทนหนาวได้ดีกว่าฮาร์ดดิสก์ด้วยครับ โดยทั่วไปฮาร์ดดิสก์จะชอบทำงานที่อุณหภูมิระหว่าง 5-55 องศาเซลเซียส แต่ SSD สามารถทำงานได้ที่อุณหภูมิ -40 ถึง 85 องศาเซลเซียส นักวิเคราะห์จึงฟันธงว่า ต่อไป SSD จะเข้าไปอยู่ในตลาดของความบันเทิงในรถยนต์แน่นอน รวมไปถึงอุปกรณ์เคลื่อนที่แบบ Outdoor ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ กล้องดิจิตอล เครื่องเล่น MP3

น่าเป็นห่วงครับ เพราะอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ในบ้านเรามีมูลค่าถึง 200,000 ล้านบาท และถ้าจะเกิดอุตสาหกรรม SSD ขึ้นมาทดแทนฮาร์ดดิสก์ ประเทศที่จะเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์เก็บข้อมูลแทนประเทศไทยจะกลายเป็น จีน มาเลเซีย เวียดนาม เพราะการผลิต SSD ไม่ต้องการผลิตชิ้นส่วนมากมายเหมือนฮาร์ดดิสก์ การตั้งฐานผลิตทำได้ง่ายกว่ามากครับ


(ภาพบน: พริตตี้กำลังแสดงสินค้า SSD ที่นับวันจะเบียดฮาร์ดดิสก์ตกขอบเข้าไปทุกที)(ภาพล่าง: เมื่อปี ค.ศ. 2004 บริษัท Toshiba วางแผนนำสินค้าฮาร์ดดิสก์ขนาดจิ๋วที่มีความจุ 2GB ออกวางตลาดสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ แต่แผนนี้ก็มีอันพังพาบไปเพราะ Thumb Drives นั่นเอง)