แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ India แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ India แสดงบทความทั้งหมด

30 พฤศจิกายน 2551

Thailand Tea 2008 - Conference Report


สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ผมเพิ่งกลับมาจากเชียงใหม่ด้วยรถไฟมาถึงกรุงเทพฯ เมื่อเช้านี้เองครับ ทางเหนืออากาศค่อนข้างหนาวทั้งที่ดอยตุง แม่สาย เชียงราย เชียงแสน และดอยอินทนนท์ อากาศดี สูดหายใจสบายสุดปอดสุดๆ ลืมเรื่องร้ายๆในกรุงเทพฯไปหมดเลยครับ ผู้คนต่างจังหวัดก็ยังมีความสุขกันปกติ ไม่เห็นมีใครอยากดูข่าวเลย งงมากๆครับ


ในช่วงวันที่ 26-28 พฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมานั้น ผมและคณะวิจัยได้มีโอกาสเข้าร่วมงานประชุมวิชาการ International Conference on Tea Production and Tea Products ซึ่งจัดโดย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ. เชียงราย ร่วมกับ หน่วยงานต่างๆ งานประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมวิชาการระดับนานาชาติครั้งแรกของเมืองไทย ที่เกี่ยวกับชา มีผลงานเสนอทั้งในภาคบรรยายและโปสเตอร์จำนวน 23 เรื่อง ซึ่งถือว่าไม่มากครับ ผมเลยมีโอกาสได้ฟังและเข้าร่วมเกือบจะทุกผลงาน นอกจากผลงานทางวิชาการที่เป็นงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับเรื่องชาแล้ว ที่ผมชอบมากก็คือมีสิ่งที่เรียกว่า Country Reports ซึ่งเป็นการเชิญผู้รู้เรื่องวงการชาของประเทศต่างๆ มาบรรยายสถานภาพการผลิตชา และตลาดชาในประเทศของตนเอง ได้แก่ จีน อินเดีย ไต้หวัน ญี่ปุ่น เวียดนาม ศรีลังกา อินโดนีเซีย มาเลเซีย ทำให้ได้เห็นว่าประเทศไทยมีส่วนร่วมในตลาดชาของโลกน้อยมากๆครับ เจ้าใหญ่ที่ส่งออกมากที่สุดเป็น จีน และ อินเดีย แต่ที่น่ากลัวและกำลังมาแรงคือ เวียดนาม เกจิจากอินเดียที่มาพูดในงานนี้เขาฟันธงว่าอีกไม่เกิน 5 ปี ประเทศเวียดนามจะเป็นผู้ผลิตชารายใหญ่ของโลกแซงหน้าอินเดีย ซึ่งผมค่อนข้างเชื่อครับ เพราะตลอดปีที่ผ่านมาผมได้นั่งเฝ้าดูสภาพภูมิอากาศของอินเดีย พบว่าได้รับผลกระทบจาก Climate Change เป็นอย่างมาก มีสภาพฝนแล้งทั้งปีที่ผ่านมา


ในช่วงการประชุมทางผู้จัดได้มีการนำผู้เข้าร่วมประชุมไปดูงานบริษัทผลิตชาที่ดอยแม่สลอง และดอยช้าง ผมเองก็ได้เดินทางไปดูพื้นที่ปลูกชาของบริษัทชาดอยช้าง ซึ่งเท่าที่ทราบมานั้น ที่นี่เป็นเจ้าเดียวหรือไม่กี่เจ้าที่ทำการเพาะปลูกแบบไม่ใช้สารเคมี ทำให้ผมเกิดความสนใจที่จะนำระบบเกษตรแม่นยำสูง (Precision Agriculture) ไปทดลองใช้ในไร่ชาแห่งนี้ครับ ซึ่งทางเจ้าของสถานที่มีความสนใจในเทคโนโลยี Smart Farm มาก พวกเรากะว่าจะเดินทางขึ้นไปอีกทีในช่วงกลางเดือนธันวาคม เพื่อไปทำแผนที่ไร่และติดตั้งระบบครับ

27 กรกฎาคม 2551

จับตาดู Precision Agriculture ที่อินเดีย


นขณะที่ประเทศไทยกำลังเกาะกระแสเกษตรอินทรีย์อย่างเอาจริงเอาจัง ประเทศอินเดียซึ่งกำลังจะกลายมาเป็นคู่แข่งทางด้านเกษตรของไทยในอนาคต กำลังจะกระโดดไปสู่การเกษตรของศตวรรษที่ 21 นั่นคือ เกษตรแม่นยำสูง (Precision Agriculture) ซึ่งมีแนวคิดที่ว่า พืชพันธุ์ที่ปลูก และ สภาพล้อมรอบ (ดิน น้ำ แสง อากาศ) ในไร่นา มีความแตกต่างกัน ในแต่ละบริเวณ แม้จะอยู่ในไร่เดียวกันก็ตาม สภาพล้อมรอบที่แตกต่างนี้ มีผลให้การเกิดผลผลิต แตกต่างกันได้ ดังนั้นการปรับการดูแลให้เหมาะสมกับ สภาพที่แตกต่างนั้น จะทำให้สามารถสร้างผลผลิต อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด เกษตรแม่นยำสูงจึงเป็นกลยุทธ์ในการทำการเกษตร ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเกษตรกรสามารถจะปรับการใช้ทรัพยากร ให้สอดคล้องกับสภาพของพื้นที่ย่อยๆ รวมไปถึงการดูแล อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็น การหว่านเมล็ดพืช การให้ปุ๋ย การใช้ยาปราบศัตรูพืช การไถพรวนดิน การรดน้ำ การคัดเลือกผลผลิต การเก็บเกี่ยวผลผลิต


อินเดียเป็นประเทศแรกในเอเชียที่บรรจุ Precision Agriculture ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ซึ่งก็มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางว่าจะทำได้จริงหรือ เพราะไร่นาในอินเดียค่อนข้างมีขนาดเล็ก อีกทั้ง 30% ของประชากรอยู่ใต้เส้นแบ่งความยากจน แต่ว่าในขณะนี้ได้มีนักวิจัยจำนวนมาก สนใจเข้ามาทำงานด้านนี้มากขึ้น จนมีการเสนอให้อินเดียทำการติดตั้ง Differential GPS หรือ DGPS ให้ครอบคลุมทั้งประเทศอินเดีย ซึ่งจะช่วยให้ความแม่นยำของระบบ GPS ในอินเดียมีเพียงพอที่จะใช้ทำกิจกรรมต่างๆในไร่ โดยการใช้รถอัตโนมัติ เช่น การพรวนดิน การหว่านเมล็ด การหยอดปุ๋ย เป็นต้น อุตสาหกรรมเกษตรอันหนึ่งที่น่าจับตามองของเขาก็คือ ชา ปัจจุบันอินเดียปลูกชาได้ถึง 850 ล้านตัน ซึ่งคิดเป็น 30% ของทั้งโลก แต่ในช่วงหลังๆ นี้การแข่งขันในตลาดชาจาก เคนยา ศรีลังกา และ อินโดนีเซีย สูงมาก ทำให้ภาคอุตสาหกรรมและรัฐบาลอินเดียมีความตื่นตัวที่จะนำ Precision Farming เข้ามาใช้ในเรื่องของชา เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมชาของอินเดียให้นำหน้าคู่แข่ง ....... วันหลังผมจะมาเล่าต่อนะครับ .................

15 พฤษภาคม 2551

The Post-American World - โลกยุคใหม่ที่ไม่คลั่งไคล้อเมริกา


เมื่อตอนผมเป็นเด็ก จำได้ว่าผมเคยคลั่งไคล้ประเทศสหรัฐอเมริกาเอามากๆ ตอนเรียนอยู่ประถมศึกษาปีที่ 5 ที่โรงเรียนเซ็นหลุยส์ จ.ฉะเชิงเทรา ผมเคยเขียนจดหมายถึงท่านเอกอัครราชฑูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย แสดงความชื่นชมประเทศของท่าน และอยากได้ข้อมูลประเทศของท่านมาศึกษา เพราะที่โรงเรียนไม่ค่อยมีให้อ่าน ท่านก็ใจดี ตอบจดหมายกลับและยังส่งแผนที่ฉบับใหญ่แบบโปสเตอร์ของอเมริกามาให้ แถมด้วยหนังสือเกี่ยวกับประเทศนี้อีกกอง ยิ่งทำให้ความฝันและลุ่มหลงประเทศที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้เพิ่มเป็นทวีคูณ


ในยุคนั้น เด็กๆในรุ่นผมล้วนมีทัศนคติแบบนี้ ฝันที่จะได้ไปเยี่ยมชม ฝันที่จะได้ไปเรียนต่อที่อเมริกา ผมได้ไปอเมริกาครั้งแรกหลังจากจบปริญญาเอกที่ยุโรป รู้สึกตื่นตาตื่นใจมาก แต่ในช่วงที่ผมเดินทางไปอเมริกานั้น กลับเป็นช่วงไม่กี่เดือนก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งเวลา ณ จุดนั้น อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการเสื่อมถอยของประเทศนี้ ประเทศที่ผมเคยรักและเคยชื่นชมเมื่อครั้งยังเด็ก


อเมริกาเคยเป็นประเทศที่หนึ่งในทุกๆ ด้าน แต่ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่คนอเมริกันภาคภูมิใจในความเป็นมหาอำนาจของเขา ประเทศอื่นๆ ก็พัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้งด้วยผลของ Globalization นี่เอง ที่ทำให้ความร่ำรวยได้กระจายออกไปยังประเทศอื่นๆ เช่นกัน ในปัจจุบัน ตึกที่สูงที่สุดในโลกไม่ได้อยู่ในอเมริกา แต่อยู่ที่ไทเปและกำลังจะย้ายไปยังดูไบ บริษัทมหาชนที่มีการซื้อขายหุ้นกันมากที่สุดในโลกอยู่ที่ปักกิ่ง โรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ที่อินเดีย เครื่องบินโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกสร้างโดยประเทศยุโรป บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ อาบู ดาบี อุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดคือ Bollywood ไม่ใช่ Hollywood โลกยุคต่อไปนี้ จึงเป็นยุคที่ประเทศต่างๆ เพิ่มศักดิ์ศรีขึ้นมาเพื่อแข่งกับอเมริกาครับ จริงอยู่ในด้านการทหารนั้น อเมริกายังเป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียว แต่ในยุคที่การทำสงครามเป็นเรื่องล้าสมัยนี้ ทุกๆประเทศในโลกเขาแข่งขันกันที่ความสามารถทางเศรษฐกิจ ติดตามต่อไปครับ เรื่องความเสื่อมถอยของมหาอำนาจนี้เป็นกระแสที่กำลังเกิดขึ้น และประเทศไทยเองต้องนำมาขบคิด เพราะเศรษฐกิจการเมืองของเขา มีความเชื่อมโยงกับของเราค่อนข้างมากครับ แม้กระทั่งเรื่องของ Mindset หรือฐานคิด ทางด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เราก็เอาของเขามาเยอะ ได้ยินว่าตอนนี้ สกอ. มีนโยบายให้ทุนไปศึกษาต่อในประเทศอื่นๆ ที่ไม่ใช่สหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นแล้วครับ

08 เมษายน 2551

Mobile Pod รถยนต์แห่งอนาคต (ตอนที่ 3)


หายหน้าไปหลายวันครับ เพิ่งกลับจากทริป จ.ประจวบคีรีขันธ์ ผมไปทริปในจังหวะติด Long Weekend ด้วย สังเกตว่ารถราวิ่งกันหนาแน่น ดูเหมือนคนไทยจะยังไม่ค่อยรู้สึกรู้สากับราคาน้ำมันลิตรละ 30 กว่าบาทเท่าไหร่ จริงๆ เค้ามีผลการวิจัยออกมาแล้วครับว่า ทางด้านจิตวิทยาของผู้บริโภคน้ำมันนั้น แรงต้านจะอยู่ที่ลิตรละ 50-60 บาท ถึงจะมีผลกระทบต่อวิถีชีวิต และรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้ขับขี่ครับ ดังนั้น ไปไหนมาไหนตอนนี้ ก็ยังเห็นนักท่องเที่ยวกันดาษดื่น แถมยังมีแข่งแรลลี่กันตลอด ไปได้ปรับเปลี่ยนวิธีการใช้น้ำมันเท่าใด ทางกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันเขาก็กะว่าจะลองทดสอบ ราคาน้ำมันที่ลิตรละ 40 บาท กันในอีกไม่นานครับ เพื่อดูว่าคนจะยังรับกับราคานี้ได้หรือไม่ ถ้าได้ เราก็จะได้ใช้น้ำมันที่ราคา 40 บาทในไม่ช้า ซึ่งเขาก็จะรักษาราคาประมาณนี้ไว้สักพัก เพื่อไม่ให้คนต่อต้าน


เมื่อไม่กี่วันมานี้ ถ้าใครได้ดูสปอตโฆษณาชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นการโฆษณารถปิคอัพยี่ห้อ "ทาทา" ซึ่งใช้คอนเซ็บต์ว่า "สูงมาตั้งแต่เกิด" เป็นรถปิคอัพฐานกว้าง และยกตัวสูง ซึ่งเป็นรูปแบบที่อเมริกันชนนิยมมาก แต่ส่งมาทดสอบตลาดในเมืองไทย โดยได้เปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งโดยส่วนตัวผมคิดว่าคงจะซึมตลาดยาก เพราะเรื่องศูนย์บริการคงยังมีน้อย ประกอบกับตลาดรถปิคอัพเมืองไทย มีการแข่งขันสูงมาก แต่อย่างไรเสีย แนวโน้มนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า อินเดียเริ่มปรากฏกายขึ้นในตลาดรถยนต์โลกแล้ว แล้วก็เป็นนิมิตรหมายว่าต่อไปนี้ อินเดียจะเป็นเจ้าใหญ่ที่จะขนาบข้างญี่ปุ่น ด้วยการที่มีเทคโนโลยีของตัวเอง มีตลาดของตัวเองทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยส่วนหนึ่งอาจจะเข้ามาอาศัยฐาน supply chain ในประเทศไทย เพื่อผลิตแล้วส่งออก เพราะประเทศไทยค่อนข้างมีความพร้อมในเรื่องของอุตสาหกรรมยานยนตร์ หากรถยนต์ปิคอัพทาทา ซีนอน ได้รับการตอบรับที่ดีในเมืองไทย ก็ไม่แน่ว่าคิวต่อไปอาจจะเป็นของเจ้าทาทานาโน รถยนต์คันจิ๋ว Mobile Pod ที่จะเข้ามาวาดลวดลายบนท้องถนนของเมืองไทยนะครับ ..... วันต่อไปผมจะมาเล่าเรื่องแนวโน้มอื่นๆ ของเรื่องยานยนตร์แห่งอนาคตที่เป็น เมกะเทรนด์ ต้องติดตามให้ดีครับ ..........