แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ automobile แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ automobile แสดงบทความทั้งหมด

13 เมษายน 2556

20th ITS World Congress 2013



(Picture from http://www.utwente.nl/ewi/dacs/assignments/cartocar/)

ในปัจจุบัน ระบบขนส่งอัจฉริยะ (Intelligent Transportation System) เริ่มมีบทบาทมากขึ้น ระบบ GPS เริ่มจะกลายเป็นมาตรฐานของรถยนต์หลายยี่ห้อแล้วครับ บริษัทขนส่งต่างๆ เริ่มมีการนำ GPS มาติดตั้งในรถบรรทุก และรถบัสโดยสาร เพื่อติดตามพฤติกรรมการขับขี่ของคนขับ ในประเทศไทยเองก็มีการใช้งานอย่างกว้างขวางแล้ว ทุกวันนี้ก่อนผมจะออกจากผม ผมจะเปิด App บนสมาร์ทโฟนดูก่อนว่าสภาพการจราจรในเส้นทางที่ผมจะต้องผ่านเป็นอย่างไร บ้านผมอยู่เมืองนนท์ แถวสะพานพระนั่งเกล้า ทำให้ผมจะต้องดูการจราจรแถวต่างระดับแครายว่าพอไปได้หรือยัง จากนั้นต้องมาดูหน้าด่านเก็บเงินของทางด่วนงามวงศ์วานขาเข้า รวมทั้งสภาพการเลื่อนไหลของรถบนทางด่วนด้วย ถ้าเห็นว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี ผมก็จะเปลี่ยนเส้นทางโดยจะมาทางราชพฤกษ์ และเข้าทางสะพานกรุงธนฯ แทน App ตัวนี้ทำให้ชีวิตผมสบายขึ้นเป็นอย่างมาก

ในวงการระบบขนส่งอัจฉริยะเอง ในแต่ละปีมีการประชุมวิชาการหลายๆ ครั้ง จัดขึ้นกระจัดกระจายทั่วโลก โดยจะมีการจัดประชุมครั้งใหญ่ที่รวมประเด็นสำคัญ รวมไปถึงการประชุมระดับนโยบาย ที่จะกำหนดอนาคตของระบบขนส่งโลก ซึ่งปีนี้ก็จัดมาถึงครั้งที่ 20 แล้ว โดย ITS World Congress ในปีนี้จะจัดขึ้นที่โตเกียว ระหว่างวันที่ 14-18 ตุลาคม 2556 

หัวข้อของการประชุมที่เป็นที่สนใจในปีนี้ ได้แก่

1. Safety and traffic management
เป็นเรื่องของการนำเอาระบบอัจฉริยะ มาใช้ในการจัดการจราจร การรักษาความปลอดภัยในระบบการจราจร ระบบแจ้งเตือนต่างๆ บนทางหลวง การรับส่งข้อมูลระหว่างยานยนตร์ กับ ระบบทางหลวง

2. Next generation mobility and sustainability
เป็นเรื่องของระบบขนส่ง และยานยนต์ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฮโดรเจนผ่านเซลล์เชื้อเพลิง รถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ ระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ สำหรับยานยนตร์แห่งอนาคต เช่น เครือข่ายการชาร์จไฟ ระบบโลจิสติกส์สำหรับเชื้อเพลิงอนาคต ระบบจัดการพลังงานสำหรับการขนส่ง นวัตกรรมด้านยานยนต์สำหรับการขนส่งแบบบุคคล รวมไปถึงนวัตกรรมสำหรับสังคมผู้สูงวัย

3. Efficient transport systems in mega cities/regions
เกี่ยวกับระบบขนส่งมวลชนในเมืองใหญ่ การจัดการระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ รวมไปถึงประเด็นในเรื่องของสังคม และ สิ่งแวดล้อม

4. Intermodal and multimodal systems for people and goods
เป็นเรื่องของการผสมผสานการขนส่งแบบต่างๆ ที่ทำให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ในการลำเลียงคนและสินค้าต่างๆ ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด

5. Personalized mobility services
เป็นเรื่องของการนำเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ มาใช้เพื่อการขนส่ง App ต่างๆ บนสมาร์ทโฟน บริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์และการขนส่ง การประมวลผลข้อมูลต่างๆ และเรื่องของ Big Data ที่กำลังมีมากขึ้นเรื่อยๆ ในระบบคมนาคม

6. Resilient transport systems for emergency situations
เป็นเรื่องของระบบขนส่งและคมนาคม ที่มีภูมิต้านทานต่อภัยพิบัติและสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ การออกแบบโครงสร้างพื้นฐาน และระบบขนส่งอัตฉริยะ ที่มีความสามารถในการฟื้นฟูเมื่อการสถานการณ์ฉุกเฉิน

7. Institutional issues and international harmonization
เกี่ยวกับความร่วมมือต่างๆ ระหว่างองค์กรที่เกี่ยวข้องกับระบบขนส่งอัจฉริยะ การวางแผน มาตรฐานและกฎระเบียบต่างๆ และแนวโน้มการใช้งานในอนาคต

17 กรกฎาคม 2555

Intelligent Automobile - ยานยนตร์อัจฉริยะ (ตอนที่ 1)



(ภาพบน - รถยนต์ที่วิ่งมาโดนคราบน้ำมันลื่น จะส่งข้อมูลเตือนไปยังรถคนอื่นๆ ที่กำลังจะวิ่งมาในเส้นทางเดียวกัน)

ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสมองกลฝังตัว (embedded computing) ที่นับวันจะเล็กลงๆ ราคาถูกลงๆ แต่มีสมรรถนะมากขึ้นๆ เรื่อยๆ ได้ทำให้เทคโนโลยีหลายๆ อย่างที่เราเคยมองว่าอาจต้องใช้เวลานานถึงจะเป็นจริงๆ มีโอกาสได้ใช้เร็วขึ้นมากกว่าเดิมครับ เช่น อากาศยานไร้คนขับ (UAV) ปัจจุบันกลายมาเป็นของเล่นสนุกๆ กันไปแล้ว อุปกรณ์เครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่เราใช้กันในบ้าน พากันเชื่อมโยงเข้าระบบอินเตอร์เน็ต โดยมีโทรทัศน์ (Internet TV) นำร่อง ต่อไปก็จะเป็น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เตาไมโครเวฟ และ  ......  รถยนต์ 

ในบทความซีรีย์นี้ ผมจะทยอยนำความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยียานยนต์อัจฉริยะ (Intelligent Automobile หรือ Intelligent Car หรือ i-Car หรือ Smart Car) ซึ่งจะทำให้ยานพาหนะสุดโปรดของมนุษยชาติ กลายเป็นเครื่องใช้ที่มีหัวคิด สามารถรับรู้อารมณ์ ความรู้สึก ความต้องการ และ คอยหมั่นดูแลเอาใจใส่ผู้ใช้ เทคโนโลยีเหล่านี้กำลังทยอยเข้ามาใส่ในรถยนต์ยุคต่อไป ผมขอยกตัวอย่างอัจฉริยภาพดังต่อไปนี้ ที่เรากำลังจะมีใช้กันในอนาคตครับ

-  Autonomous Cruise Control เป็นระบบการขับเอง (Self-Driving) ของรถยนต์ ซึ่งรถยนต์จะอาศัยเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งบนรถยนต์ มันจะตรวจสอบแนวเส้นทางของถนน ควบคุมพวงมาลัยและความเร็วที่มันคิดว่าปลอดภัย เซ็นเซอร์จะตรวจสอบระยะห่างจากรถยนต์คันหน้า ตัวรถยนต์อาจมีการสื่อสารกับถนนหรือทางหลวง (Smart Highway) ซึ่งมันจะรับข้อมูลเข้ามา ซึ่งจะทำให้มันรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับข้อมูลที่ควรใส่ใจ เช่น ทางโค้งอันตราย ไฟจราจร หรือ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นข้างหน้า

- Lane Departure Warning เป็นระบบที่คอยเตือน เมื่อรถยนต์ที่เราขับกำลังจะหลุดออกจากเลน จะโดยความไม่ตั้งใจ พลั้งเผลอ หรือ หลับใน ระบบจะตรวจพบวิถีการขับที่ผิดปกติ และจะส่งเสียงเตือนให้เรารีบกลับเข้าเลน แต่ถ้าเราตั้งใจแซงรถแล้วเปิดไฟเลี้ยว ระบบจะเข้าใจว่าเรามีสติรู้อยู่ว่ากำลังจะทำการแซง เค้าก็จะไม่เตือนครับ

- Blind Spot Monitoring เป็นระบบช่วยเหลือในการมองบริเวณที่เราเรียกว่า "จุดบอด" ครับ ซึ่งกระจกมองหลัง และกระจกข้างมักจะไม่เห็น เช่น ด้านข้างรถช่วงใกล้ๆ ประตูหลัง เช่น หากมีรถคันอื่นๆ มาอยู่ใกล้ๆ ก็จะเป็นจุดสีแดงกระพริบๆ ที่กระจกข้าง ทำให้เรารู้ว่ามีพาหนะคันอื่นในบริเวณนั้น เพื่อที่เราจะได้เพิ่มความระมัดระวัง เช่น รอให้รถคันนี้แซงไปก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนทิศทางของรถเรา

- Driver Monitoring รถยนต์ที่ติดตั้งระบบดังกล่าว จะคอยตรวจสอบผู้ขับขี่ว่ามีสติสมประดีหรือไม่ พร้อมจะขับหรือไม่ เช่น ถ้าอยู่ในสภาพเมามายไม่ได้สติ รถยนต์ก็จะไม่ยอมสตาร์ท ในระหว่างขับขี่ รถยนต์จะคอยตรวจสอบว่าผู้ขับขี่มีอาการง่วงหรือไม่ ถ้าตรวจพบมันจะเปิดเพลงหรือส่งเสียงเตือน ในสภาวะที่อันตราย ถ้าผู้ขับขี่ไม่ตอบสนองต่อการเตือน รถยนต์จะแย่งพวงมาลัยและทำการหยุดรถ (ในภาพยนต์เรื่องเจมส์ บอนด์ รถสามารถดีดตัวผู้นั่งออกไปนอกรถด้วยนะครับ)

- Adaptive Headlamps เป็นการปิดเปิด ปรับความสว่างของไฟหน้าเองตามสภาพแวดล้อม การปรับทิศทางของไฟหน้าให้ผู้ขับขี่มองเห็นได้ทั่วถึง เช่น ระหว่างเลี้ยว เป็นต้น

- Automatic Parking เป็นการขับเข้าที่จอดให้อัตโนมัติสำหรับผู้ขับขี่ที่จอดรถไม่เก่ง ระบบนี้เริ่มมีใช้ในรถยนต์หลายๆ ยี่ห้อแล้วครับ

- Automotive Night Vision หรือระบบช่วยมองในเวลากลางคืน ปัจจุบันมีใช้กันในรถยนต์หลายยี่ห้อแล้วครับ หรืออาจจะซื้อมาติดตั้งเองก็ได้ แต่ในอนาคตผมเชื่อว่าระบบนี้จะมีอยู่ในรถยนต์ทุกคัน ระบบที่ฉลาดๆ หน่อยจะสามารถตรวจหาจักรยาน คนเดินเท้า หรือ สัตว์ ที่กำลังเดินข้างถนน แล้วจะเตือนเราให้ระวังด้วยครับ

- Traffic Sign Recognition หรือระบบจดจำป้ายจราจร มันจะตรวจสอบและวิเคราะห์ความหมายของป้ายจราจร แล้วจะคอยเตือนเราด้วยเสียง เช่น ป้ายให้ลดความเร็ว หรือ ให้ชะลอรถเข้าสู่ทางแยก หรือ ทางโค้งอันตราย ซึ่งก็จะเป็นระบบที่ช่วยเป็นเพื่อนร่วมทาง และคอยดูทางให้เราอีกทีหนึ่งครับ ในอนาคตระบบนี้สามารถคุยได้โดยตรงกับถนน (Smart Highway) เพื่อรับข้อมูลที่สำคัญเข้ามา แล้วมาเตือนหรือช่วยเหลือคนขับ เช่น สภาพการจราจรในเส้นทางที่เรากำลังจะไป เป็นต้น

- Crash Avoidance เป็นเทคโนโลยีสำหรับหลีกเลี่ยงการชน ซึ่งจะคอยตรวจตราสภาพการขับขี่ของเรา ตรวจตรารถคันหน้า เช่น หากมีการเบรคกะทันหัน แล้วมันคิดว่าเราตอบสนองช้าเกินไป มันจะแย่งเบรคและพวงมาลัยไปจากเราเพื่อไม่ให้การชนเกิดขึ้น ระบบนี้ยังครอบคลุมไปถึงการคุยกันระหว่างรถยนต์ เพื่อป้องกันวิถีการชนด้วยครับ เช่น ในบริเวณทางแยก เมื่อรถของเราเข้าทางแยกพร้อมกับรถอีกคัน รถยนต์ทั้งคู่จะสื่อสารกัน เพื่อป้องกันไม่ให้มีการชนกัน

- Pre-crash System เป็นระบบการช่วยป้องกันคนในรถ เมื่อรถยนต์คำนวณแล้วว่าการชนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ มันจะกระทำอย่างสุดความสามารถเพื่อป้องกันคนนั่ง เช่น การปรับมุมการชน การเปิดใช้ถุงลมนิรภัย การปรับเบาะนั่งให้ลดแรงกระแทก และส่งข้อมูลเพื่อขอความช่วยเหลือไปยังหน่วยกูภัย ตำรวจทางหลวง และสถานพยาบาล

- Health Monitoring คนเราใช้เวลาค่อนข้างมากอยู่ในรถ ดังนั้นในอนาคต เราจะได้เห็นรถที่เมื่อเราขึ้นมานั่ง จับพวงมาลัย รถจะทำการตรวจอัตราการเต้นของหัวใจ ความดันเลือด แล้วเก็บข้อมูลนั้นไว้ หรืออาจจะส่งข้อมูลไปยังโรงพยาบาลที่เราใช้บริการอยู่ ดังนั้น นอกจากเราจะต้องเอารถเข้าศูนย์เมื่อถึงเวลาที่รถเตือนแล้ว (ในอนาคต รถจะไม่เข้าศูนย์ตามจำนวนกิโลเมตรเหมือนตอนนี้ มันจะบอกเราเองว่า มันต้องการเข้าศูนย์เมื่อไหร่ แล้วจะทำการติดต่อนัดรับรถให้เราเสร็จ) มันยังอาจเตือนเราให้ไปพบแพทย์ด้วย


ในตอนต่อๆ ไป ผมจะนำรายละเอียดของเทคโนโลยีที่น่าสนใจบางชนิด มาเล่าให้ฟังนะครับ

16 มกราคม 2552

รถยนต์แรลลี่นาโน (Nano Rally Car)


หายไปหลายวันเลยครับ ผมไปร่วมงานประชุม PACCON2009 ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก ระหว่างวันที่ 14-16 มกราคม 2552 กลับมา ยังไม่ทันหายเหนื่อยก็รีบมาอัพเดตบทความก่อนเลยครับ พิษเศรษฐกิจโลกหดตัวตอนนี้เริ่มเข้ามาเล่นงานการประชุมทางวิทยาศาสตร์กันแล้วครับ งานนี้เจ้าภาพพยายามรัดเข็มขัดแทบจะทุกอย่าง ไม่ได้จัดงานที่โรงแรมเหมือนแต่ก่อน ย้ายมาจัดที่โรงแรมแทน งานเลี้ยงก็เป็นไปอย่างเรียบง่าย วัสดุต่างๆ อย่างป้ายชื่อ กระเป๋าใส่เอกสารประชุม ก็ประหยัดค่าใช้จ่าย จริงๆแล้วก็เป็นเรื่องที่ดีครับ งานนี้มีผู้เข้าร่วมประชุมเยอะมาก ผมได้มีโอกาสฟังการบรรยาย ซึ่งโดยมากเป็นนักศึกษาระดับปริญญาโท และ ปริญญาเอก ที่มาเสนอผลงาน ซึ่งมีแต่งานดีๆทั้งนั้นเลยครับ

ช่วงนี้วิศวกรรมที่เลียนแบบธรรมชาติ (Biomimetic Engineering) กำลังมาแรงครับ ศาสตร์ใหม่ตัวนี้ได้เข้าไปในทุกวงการ วันนี้ผมจะนำเรื่องเกี่ยวกับรถยนต์ที่เลียนแบบแมลง ซึ่งบริษัท Mitsubishi ออกแบบมาเพื่อเป็นรถยนต์ที่วิ่งได้ในทุกสภาพภูมิประเทศ มันมีชื่อว่า MMR25 ครับ เพราะ Mitsubishi ตั้งใจจะให้มันเป็นรถแข่งแรลลี่ในปี ค.ศ. 2025 รถคันนี้มีระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ล้อแต่ละข้างของมันสามารถหมุนด้วยความเร็วแตกต่างกัน รวมทั้งสามารถหมุนมุมล้อเพื่อให้ล้อเล็กๆ บิดไปมา ทำให้รถสามารถวิ่งแถไปข้างๆได้ สมมติรถคันนี้กำลังวิ่งทางตรงอยู่ แล้วเกิดมีสิ่งกีดขวางอยู่ข้างหน้า ถ้าเป็นรถยนต์ปกติหากหักหลบ อาจจะสูญเสียการทรงตัว หรือ ที่เรียกว่าเสียหลัก แต่รถคันนี้สามารถที่จะแถออกด้านข้าง ด้วยการบิดมุมล้อเล็กๆ ที่ประกอบเป็นล้อใหญ่ ทำให้วิ่งเลี้ยวผ่านไปได้อย่างง่ายดาย เจ้า MMR25 ใช้พลังงานจากแบตเตอรีแบบลิเธียมนาโนไฟเบอร์ที่มีน้ำหนักเบา ในการประจุไฟครั้งหนึ่งสามารถวิ่งไปได้ไกลถึง 1,600 กิโลเมตร รถคันนี้ไม่มีหน้าต่างหรอกครับ เพราะกระจกมีน้ำหนักมากเกินไป แต่คนขับที่อยู่ข้างในจะเห็นภูมิประเทศข้างนอก ผ่านจอภาพแบบพาโนรามาที่นำภาพจากกล้องที่ติดอยู่นอกรถ เพื่อมาฉายภาพใหม่ผ่านจอภายในรถ ตัวถังรถมีน้ำหนักเบาเพราะใช้วัสดุนาโนคอมโพสิต ซึ่งมีความแข็งแกร่งทนทานต่อสภาพอากาศ

ในการประชุมครั้งนี้ ผมได้เห็นงานวิจัยทางด้านนาโนวัสดุหลายๆงานที่มีความก้าวหน้า เป็นงานฝีมือคนไทย ซึ่งหากนำเอางานวิจัยที่แยกส่วนเหล่านี้มาประกอบหรือบูรณาการเป็นงานวิศวกรรมแล้วละก็ นวัตกรรมใหม่ๆแบบรถยนต์ MMR25 ของญี่ปุ่น ก็อาจจะเกิดขึ้นในเมืองไทยได้ไม่ยากครับ

11 มกราคม 2552

Crash Avoidance Technology - เทคโนโลยีหลีกเลี่ยงการชน (ตอนที่ 3)


วันนี้ผมจะมาเล่าต่อนะครับ ถึงเรื่องเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยทำให้ถนนหนทางในศตวรรษที่ 21 มีความปลอดภัยน่าขับขี่มากขึ้น เทคโนโลยีหลีกเลี่ยงการชนก็เป็นตัวหนึ่งที่พูดถึงกันมากช่วงนี้ นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษากันว่าเจ้าตั๊กแตนมีความสามารถพิเศษอย่างไร มันถึงสามารถบินรวมฝูงกันได้หนาแน่นมาก โดยไม่ชนกันเองเลย ว่ากันว่าในช่วงที่มันอพยพนั้น มันมีจำนวนถึง 80 ล้านตัวต่อพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตร โดยในการบินของมันนั้นไม่เกิดการชนกันเลย เป็นไปได้อย่างไร ในสหรัฐอเมริกาเองนั้นมีรถยนต์ถึง 3.6 ล้านคันในแต่ละปีที่เฉี่ยวชนกัน

บริษัทวอลโว่แห่งสวีเดนกำลังสนใจศึกษาตั๊กแตนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีหลีกเลี่ยงการชนกัน นักวิจัยสงสัยกันมาสักพักแล้วครับ ว่าระบบประสาทอยู่หลังลูกตาของตั๊กแตน ที่มีชื่อว่า Lobula Giant Movement Detector หรือ LGMD นี้น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความพิเศษในการหลีกเลี่ยงการชนของมัน ซึ่งเจ้า LGMD นี้จะปลดปล่อยสารพลังงานออกมาก่อนจะเกิดการชนกันเอง หรือเมื่อมันเจอกับนกผู้ล่า นักวิจัยได้ทดลองนำตั๊กแตนมาชมภาพยนตร์เรื่อง Star Wars ซึ่งมีฉากยานอวกาศวิ่งอย่างรวดเร็วเพื่อหลบหลีกสิ่งกีดขวาง เมื่อตั๊กแตนเห็นวัตถุพุ่งตรงเข้ามา LGMD ของมันจะปลดปล่อยสารพลังงานออกมาเป็นพีควัดได้อย่างชัดเจน ใช้เวลาเพียง 45 มิลลิวินาทีเท่านั้น Claire Rind นักวิจัยที่ทุ่มเทศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังกล่าวว่า "ตั๊กแตนสามารถมองเห็นภาพต่างๆ ได้รวดเร็วกว่ามนุษย์หลายเท่าเลยค่ะ นั่นทำให้มันมีเวลาพอที่จะหลบหลีกสิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก สำหรับมนุษย์เราเมื่อลองไปดูภาพต่างๆที่ตั๊กแตนเห็น ก็ไม่ต่างจากภาพเคลื่อนไหวแบบ slow motion" และการที่ตั๊กแตนจะสนใจเฉพาะสิ่งที่จะวิ่งมาชนมันเท่านั้น ก็ยิ่งทำให้มันมีสมาธิเพื่อจะหลบหลีกสิ่งต่างๆ สำหรับการเคลื่อนที่ในฝูงที่มีความหนาแน่นมากๆ โดยมันจะไม่สนใจสิ่งอื่นใดเลย

นอกจากนั้นแล้ว LGMD ยังทำงานประสานกับระบบประสาทที่ส่วนกลางที่เหมือนสมองของตั๊กแตน ซึ่งจะเป็นที่ส่งข้อมูลทางด้านประสบการณ์ และฐานความรู้เพื่อให้ตั๊กแตนสามารถจัดการกับสถานการณ์แบบต่างๆ ได้ วันหลังจะมาเล่าต่อนะครับ .......

08 มกราคม 2552

Crash Avoidance Technology - เทคโนโลยีหลีกเลี่ยงการชน (ตอนที่ 2)


แม้ประเทศไทยจะช่วยกันรณรงค์เรื่อง "เมาไม่ขับ" กันอย่างหนักและต่อเนื่องมานานหลายปีแล้ว แต่ดูเหมือนความสำเร็จในการลดอุบัติเหตุบนท้องถนนก็ดูยังไม่ใกล้เคียงความเป็นจริงสักที เพราะจริงๆแล้ว การขับรถบนถนนยังเป็นเรื่องอันตรายอยู่ ถึงจะไม่เมาไม่ง่วงไม่โทร ก็เถอะครับ ทางหลวงเมืองไทยมีจุดอันตรายนับไม่ถ้วน คนขับรถส่วนใหญ่ยังขับรถไร้วินัยและความตระหนักเรื่องความปลอดภัย การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง smart highway และ เทคโนโลยีหลีกเลี่ยงการชน (crash avoidance technology) น่าจะเป็นทางออกหนึ่งที่จะเข้ามาช่วยดูแลถนนแห่งอนาคตให้มีความปลอดภัย และน่าใช้มากยิ่งขึ้นครับ ปีใหม่ของคนไทยจะได้น่าเที่ยวกว่านี้


อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ว่า รถยนต์หรูๆ รุ่นใหม่ๆ เช่น วอลโว่ หรือ เบนซ์ หรือ BMW ต่างก็พยายามเพิ่มมูลค่าให้รถยนต์ของตนเองด้วยการนำเทคโนโลยีความปลอดภัยประเภทต่างๆ เข้ามาใส่ แต่ในอนาคตข้างหน้า เทคโนโลยีเหล่านี้จะค่อยๆ เข้าไปอยู่ในรถยนต์ที่ไม่หรูด้วย จนอีกหน่อยก็จะกลายเป็นเรื่องธรรมดาครับ เทคโนโลยีหลักเลี่ยงการชนในปัจจุบันที่มีการวิจัยคิดค้นขึ้นมา และมีใช้กันแล้วนั้นมีหลายประเภทครับ ผมขอยกตัวอย่างดังนี้ครับ ......

- Forward Collision Automatic Braking ช่วยในการป้องกันการชนด้านหน้า เมื่อรถคันหน้าลดความเร็วลงอย่างกระทันหัน แล้วเราขับมาเผลอๆ ไม่ได้ลดความเร็วตาม เบรคก็จะทำงานทันที เพื่อปรับความเร็วรถของเราให้พอดีกับคันข้างหน้า
- Lane-Departure Warning หากรถของเราขับกินเลน หรือเปลี่ยนเลนไป ระบบจะทำการเตือนให้ผู้ขับขี่ทราบ
- Emergency Brake Assistance ในกรณีที่รถต้องทำการเบรคอย่างกระทันหัน จะช่วยป้องกันการล็อคล้อ และรักษาสมดุลของพวงมาลัยรถ ป้องกันไม่ให้รถปัดหรือหมุน
- Adaptive Headlight ไฟ้หน้ารถที่ปรับมุมตามการเลี้ยวโค้ง หรือ การขึ้นเขาลงเขาของรถ
- Blind-spot Detection ระบบตรวจสอบจุดที่ผู้ขับขี่มองไม่เห็น เช่น หากมีรถวิ่งเข้ามาใกล้ทางด้านข้างอย่างเร็ว อาจมองทางกระจกไม่ทันเห็น ระบบนี้จะช่วยทำให้คนขับรู้ตัว จะได้ไม่เปลี่ยนเลนจนกว่าจะปลอดภัย

นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่อยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนา ที่จะช่วยไม่ให้รถที่วิ่งสวนกัน หรือ ตัดทางกันที่ทางแยก เกิดการประสานงาหรือเฉี่ยวกัน ซึ่งรถยนต์จะสามารถสื่อสารกันได้ เพื่อหลบเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ

ตอนหน้าผมจะมาเล่าให้ฟังต่อครับ ถึงเทคโนโลยีหลีกเลี่ยงการชนที่เลียนแบบตั๊กแตนครับ ...........

19 ตุลาคม 2551

Crash Avoidance Technology - เทคโนโลยีหลีกเลี่ยงการชน


ว่ากันว่า พัฒนาการด้านยานยนตร์ในทศวรรษถัดไป นอกจากจะมุ่งไปที่การทำให้รถยนต์สามารถใช้พลังงานทางเลือกได้หลากหลายแล้ว ในเรื่องของระบบความปลอดภัยกำลังจะเป็นหัวข้อที่มาแรง เนื่องจากพัฒนาการทางด้านเซ็นเซอร์แบบ MEMS (Microelectromechanical Systems) ที่ก้าวหน้าขึ้นในราคาถูกลง ปกติเซ็นเซอร์แบบนี้ก็ใช้เพื่อเปิดระบบถุงลมนิรภัยอยู่แล้ว แต่ตอนนี้มันกำลังจะเข้าไปอยู่ในล้อ เพื่อตรวจวัดความดันลมยางแบบไร้สายครับ ทำให้ผู้ขับขี่รู้สถานภาพความดันลมยาง ณ เวลาจริง


อีกก้าวที่สำคัญคือเทคโนโลยีในการหลีกเลี่ยงการชน ซึ่งจะทำให้รถยนต์มีความปลอดภัยก้าวไปอีกขั้นเลย เมื่อเดือนสิงหาคม 2008 ที่ผ่านมาบริษัทวอลโว่ ได้นำเอารถยนต์ Volvo XC60 ไปแสดงในงานมอเตอร์โชว์ที่ซิดนีย์ ซึ่งติดตั้งระบบการหลีกเลี่ยงชนท้ายรถยนต์คันหน้าที่ถูกตั้งชื่อว่า "City Safety" ซึ่งจะเหมาะกับการขับรถในเมืองซึ่งใช้ความเร็วไม่สูงนัก ระบบนี้จะเปิดตัวเองเมื่อรถยนต์ที่เราขับกับรถยนต์คันหน้า มีความเร็วแตกต่างกันน้อยกว่า 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในระยะ 6 เมตร ซึ่งก็จะเกิดขึ้นเมื่อเราขับรถจี้ก้นรถคันหน้าใกล้ๆ มันจะคอยตรวจวัดรถคันหน้าด้วยแสงเลเซอร์ และเมื่อมันรู้สึกว่ารถของเรากำลังจะพุ่งเข้าใส่รถคันหน้าจนมีเกิดการชน มันจะทำการเบรคทันที วอลโวยอมรับว่าผู้ขับขี่ไม่ควรวางใจระบบนี้ จนทำให้เกิดการประมาท เพราะระบบอาจทำงานไม่ทันในกรณีที่รถที่ติดตั้งระบบนี้พุ่งเข้าหารถคันหน้าอย่างเร็วเกินกว่าจะเบรคทัน ซึ่งในกรณีนี้หากเกิดการชนขึ้น การมีระบบนี้ก็จะลดความรุนแรงของอุบัติเหตุลงได้


ผมจะมาเล่าต่อในเรื่องนี้อีกครับ เพราะรถยนต์กำลังจะเป็น Intelligent System ลำดับแรกๆ ในชีวิตประจำวันของเราครับ ..........

22 เมษายน 2551

Mobile Pod รถยนต์แห่งอนาคต (ตอนที่ 4)


วันนี้กลับมาคุยถึงเรื่องที่ค้างไว้ในส่วนของ Mobile Pod รถยนต์แห่งอนาคตกันนะครับ ประเด็นที่นักอนาคตศาสตร์ให้ความสนใจในเรื่องอนาคตของรถยนต์ที่คุยกันไปแล้วก็คือ รถยนต์จะเล็กลงๆ จนกลายเป็นของใช้จุ๋มจิ๋ม น่ารัก ราคาถูกลง จนทำให้มันอาจกลายเป็นของที่เปลี่ยนได้บ่อยๆ นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมถึงกับใช้คำว่า Disposable Car คือรถยนต์ใช้แล้วทิ้ง แต่ผมว่ามันคงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ อาจจะทิ้งยากกว่ามือถือนิด หรือ คอมพิวเตอร์โน้ตบุคนิดนึง


เทรนด์สำคัญอีกเรื่องนึงสำหรับอนาคตของรถยนต์ก็คือ รถยนต์แห่งอนาคตจะเดินเครื่องด้วยไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นการนำเอาไฮโดรเจนมาเผาผลาญใน Fuel Cell หรือการชาร์จไฟเข้าไปในแบตเตอรีของรถยนต์ก็ตามแต่ ซึ่งเป็น 2 แนวทางที่กำลังแข่งขันกัน โดยแนวทางที่สองคือการชาร์จไฟบ้านเข้าไปในแบตเตอรีรถยนต์ไฟฟ้านั้น กำลังเป็นที่นิยมสำหรับผู้ขับขี่ในเมือง โดยรถยนต์ไฟฟ้ามักจะเป็นรถยนต์คันที่ 2 ซึ่งใช้เฉพาะขับขี่ในเมืองซึ่งใช้ความเร็วค่อนข้างต่ำ รถยนต์มีขนาดเล็กประหยัดพลังงาน ในตลาดตอนนี้ผู้ผลิตรถยนต์เริ่มให้ความสนใจกับรถยนต์ประเภทชาร์จไฟกันมากขึ้นแล้วล่ะครับ ทำเล่นไปนะครับ รถยนต์แบบ Fuel Cell อาจไม่เกิดขึ้นก็ได้ หากรถยนต์ชาร์จไฟที่เรียกกันติดปากว่า EV (Electric Vehicle) ได้รับความนิยมขึ้นมา โดยส่วนตัวของผมคิดว่าประเทศไทยอย่าไปทำเลย Fuel Cell เจ๊งแน่ๆครับ เพราะกระแสมันโหนมาทาง EV มากกว่านะตอนนี้ ประเทศจีนซึ่งถูกกล่าวหาว่าผลิตสินค้าโดยใช้พลังงานไม่สะอาดอย่างถ่านหิน เขากลับเป็นประเทศที่นำหน้าที่สุดในเรื่องของความกระตือรือล้นในการผลิตรถยนต์ EV ของโลกแล้วครับตอนนี้ ตัวอย่างรถ EV รุ่นหนึ่งที่จีนเขาผลิตไปขายในอเมริกา มันเป็นรถที่ดูภายนอกไม่เหมือนรถชาร์จไฟเลยครับ รถรุ่นนี้ทำความเร็วได้ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง วิ่งได้ไกลถึง 250 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง

วันหลังผมจะมาคุยให้ฟังต่อนะครับว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับเทคโนโลยีรถยนต์โลก ประเทศไทยซึ่งเป็นฐานการผลิตทั้งรถยนต์ ฮาร์ดดิสก์ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆเนี่ย ถ้าไม่ใส่ใจกับพลวัตของเทคโนโลยีเกิดใหม่ (Emerging Technologies) กับพวกเทคโนโลยีก่อกำเนิด (Enabling Technologies) กันบ้าง คำว่าฮับนู่น ฮับนี่ คงไม่ใช่ของที่ยั่งยืนนะครับ ........

08 เมษายน 2551

Mobile Pod รถยนต์แห่งอนาคต (ตอนที่ 3)


หายหน้าไปหลายวันครับ เพิ่งกลับจากทริป จ.ประจวบคีรีขันธ์ ผมไปทริปในจังหวะติด Long Weekend ด้วย สังเกตว่ารถราวิ่งกันหนาแน่น ดูเหมือนคนไทยจะยังไม่ค่อยรู้สึกรู้สากับราคาน้ำมันลิตรละ 30 กว่าบาทเท่าไหร่ จริงๆ เค้ามีผลการวิจัยออกมาแล้วครับว่า ทางด้านจิตวิทยาของผู้บริโภคน้ำมันนั้น แรงต้านจะอยู่ที่ลิตรละ 50-60 บาท ถึงจะมีผลกระทบต่อวิถีชีวิต และรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้ขับขี่ครับ ดังนั้น ไปไหนมาไหนตอนนี้ ก็ยังเห็นนักท่องเที่ยวกันดาษดื่น แถมยังมีแข่งแรลลี่กันตลอด ไปได้ปรับเปลี่ยนวิธีการใช้น้ำมันเท่าใด ทางกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันเขาก็กะว่าจะลองทดสอบ ราคาน้ำมันที่ลิตรละ 40 บาท กันในอีกไม่นานครับ เพื่อดูว่าคนจะยังรับกับราคานี้ได้หรือไม่ ถ้าได้ เราก็จะได้ใช้น้ำมันที่ราคา 40 บาทในไม่ช้า ซึ่งเขาก็จะรักษาราคาประมาณนี้ไว้สักพัก เพื่อไม่ให้คนต่อต้าน


เมื่อไม่กี่วันมานี้ ถ้าใครได้ดูสปอตโฆษณาชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นการโฆษณารถปิคอัพยี่ห้อ "ทาทา" ซึ่งใช้คอนเซ็บต์ว่า "สูงมาตั้งแต่เกิด" เป็นรถปิคอัพฐานกว้าง และยกตัวสูง ซึ่งเป็นรูปแบบที่อเมริกันชนนิยมมาก แต่ส่งมาทดสอบตลาดในเมืองไทย โดยได้เปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งโดยส่วนตัวผมคิดว่าคงจะซึมตลาดยาก เพราะเรื่องศูนย์บริการคงยังมีน้อย ประกอบกับตลาดรถปิคอัพเมืองไทย มีการแข่งขันสูงมาก แต่อย่างไรเสีย แนวโน้มนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า อินเดียเริ่มปรากฏกายขึ้นในตลาดรถยนต์โลกแล้ว แล้วก็เป็นนิมิตรหมายว่าต่อไปนี้ อินเดียจะเป็นเจ้าใหญ่ที่จะขนาบข้างญี่ปุ่น ด้วยการที่มีเทคโนโลยีของตัวเอง มีตลาดของตัวเองทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยส่วนหนึ่งอาจจะเข้ามาอาศัยฐาน supply chain ในประเทศไทย เพื่อผลิตแล้วส่งออก เพราะประเทศไทยค่อนข้างมีความพร้อมในเรื่องของอุตสาหกรรมยานยนตร์ หากรถยนต์ปิคอัพทาทา ซีนอน ได้รับการตอบรับที่ดีในเมืองไทย ก็ไม่แน่ว่าคิวต่อไปอาจจะเป็นของเจ้าทาทานาโน รถยนต์คันจิ๋ว Mobile Pod ที่จะเข้ามาวาดลวดลายบนท้องถนนของเมืองไทยนะครับ ..... วันต่อไปผมจะมาเล่าเรื่องแนวโน้มอื่นๆ ของเรื่องยานยนตร์แห่งอนาคตที่เป็น เมกะเทรนด์ ต้องติดตามให้ดีครับ ..........

30 มีนาคม 2551

Mobile Pod รถยนต์แห่งอนาคต (ตอนที่ 2)


วันนี้มาคุยให้ฟังต่อนะครับว่า นักอุตสาหกรรมเขามีมุมมองอย่างไร กับเรื่องของรถยนต์แห่งอนาคต แต่ก่อนอื่น ขอเล่าเรื่องพม่าต่ออีกนิดนึงครับ ผมได้มีโอกาสไปเมืองย่างกุ้ง ซึ่งเป็นเมืองหลวงปัจจุบัน กับเมืองหงสาวดี ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่า มองเมืองย่างกุ้งแล้วก็เจริญหูเจริญตา เมืองนี้อาจตามหลังกรุงเทพฯของเราสัก 50 ปี เปรียบเทียบกับหงสาวดีที่เป็นตัวแทนของความยากจน เรามองจะมุมมองของเราชีวิตของเขาดูจะทุกข์ยาก แต่จริงๆแล้วเขาก็มีความสุขในแบบของเขา พม่ายังเป็นเมืองพุทธที่เคร่งครัดมาก คนพม่าจะชอบเข้าวัด นั่งสมาธิ ความเพลิดเพลินของเขาคือการไปนั่งมองเจดีย์ชเวดากองที่ศักดิ์สิทธิ์ยามค่ำคืน คิดไป คิดไป ก็เสียดายว่า วันหนึ่งประเทศที่มีความสวยงามทางด้านจิตใจแห่งนี้ ก็จะเจริญขึ้นมาแบบประเทศไทย หรือ เวียดนาม คอยดูสิครับ อีก 10 ปี พม่าจะก้าวขึ้นมาแข่งขันกับพวกเราในอาเซียน


ย้อนกลับมาดูแนวโน้มของรถยนต์ในอีก 10 ปีข้างหน้าที่นักอุตสาหกรรมล้วนคาดการณ์ว่า จะเล็กลง เล็กลง จนกลายเป็นของใช้ประเภท Pod กระจุ๋ม กระจิ๋ม เลือกสี เลือกลาย เลือกน่ากาก พอตกรุ่นก็ทิ้งก็เปลี่ยน ออกแนว i-Pod ผมก็เลยตั้งชื่อใหม่ให้ว่า Mobile Pod หรือ m-Pod ไปซะเลย ปกติแล้วการเปลี่ยนรถยนต์บ่อยๆ เป็นเรื่องของคนมีตังค์ที่มีไลฟ์สไตล์แบบ Playboy เท่านั้น แต่ถ้าหากรถราคาไม่ถึงแสนล่ะครับ ก็อาจเปลี่ยนได้บ่อยขึ้น ถ้ามีรุ่นใหม่โดนใจ ก็อาจอยากเปลี่ยนเหมือนโทรศัพท์มือถือ เมื่อก่อนผมก็ไม่เคยคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้นะครับ แต่เมื่อสัก 2 เดือนที่แล้วนี้ รถยนต์จิ๋วที่มีชื่อว่า Tata Nano ก็ได้รับการเปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์ที่ นิวเดลฮี ประเทศอินเดีย เจ้า Tana Nano เป็นรถที่ผลิตในอินเดียโดยบริษัททาทา ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมของอินเดีย เจ้า Nano คันนี้มีขนาดความจุกระบอกสูบเพียง 623 ซีซี ผลิตกำลังได้ 33 แรงม้า ด้วยน้ำหนักเพียง 600 กิโลกรัม ทำให้มันวิ่งได้มากกว่า 20 กิโลเมตรต่อลิตร เจ้ารถ Nano มีราคาเพียง 2,500 เหรียญสหรัฐ หรือ 75,000 บาทเท่านั้น นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมต่างลงมติว่า เจ้า Tata Nano ที่มีราคาใกล้ๆกับเครื่องคอมพิวเตอร์ยี่ห้อฟูจิตสึ นี่แหละครับ จะเข้ามาปฏิวัติอุตสาหกรรมรถยนต์ในไม่ช้านี้ เพราะมันไม่เพียงแต่จะทำให้ประชากรในโลกที่สาม กลายมาเป็นนักเดินทางด้วยล้อ มันยังจะกลายมาเป็นผู้ที่กำหนดทิศทางของอนาคตด้วย บริษัท GM ยักษ์ใหญ่ยานยนตร์โลกต้องร้องฮู ตามมาด้วยการยกเลิกรถใหญ่ขนาดเครื่องยนต์ V8 แล้วหันมาวางแผนผลิตรถเล็กแทน


นอกจากแนวโน้มในเรื่องของขนาด ที่จะเล็กลงแล้ว จะเกิดอะไรกับรถยนต์ในอนาคตอีก แล้วมาคุยกันต่อนะครับ ........

29 มีนาคม 2551

Mobile Pod รถยนต์แห่งอนาคต (ตอนที่ 1)

oo สวัสดีครับ หายไปหลายวันเลยครับ ผมเพิ่งกลับจากประเทศพม่า เลยไม่ได้อัพเดต Blog เสียหลายวัน ไปประชุมวิชาการเกี่ยวกับนาโนเทคโนโลยีที่ย่างกุ้ง ฟังดูทีแรกพวกเราคงจะไม่เชื่อว่าพม่าเขาเริ่มมาสนใจเรื่องพวกนี้แล้วเหรอ เขาก็เริ่มสนใจบ้างแล้วครับ แต่อย่าห่วง ..... ประเทศไทยยังนำพม่าอยู่ห่างมากๆ ห่วงแต่มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ ดีกว่าครับ ในภาพรวมถึงแม้เราจะเป็นผู้นำ แต่ก็แพ้อยู่ในบางศาสตร์ การได้ไปพม่าเป็นประสบการณ์ที่ตรึงตาตรึงใจที่สุด เพราะเมื่อได้หันหลับมามองประเทศไทยแล้ว จะได้แง่คิดอะไรหลายอย่าง แล้วก็ได้เห็นศักยภาพของเขา ที่จะขึ้นมาแข่งขันกับเราในอนาคตด้วย เชื่อผมเถอะครับ ! ในรุ่นลูกของเรา หรืออีกประมาณ 10 ปีข้างหน้า เราก็จะเริ่มพูดถึงการแข่งกับพม่า แทนเวียดนามแน่ๆ


วันนี้ผมจะมาพูดถึงแนวโน้มของเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคตกันครับ หลังจากพูดถึง The End of Oil กันไปหลายตอน อันที่จริงที่ต้องคิดเรื่องรถยนต์อนาคตก็มาจากสาเหตุนี้แหล่ะครับ ตอนนี้โลกกำลังมองแนวโน้มใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมรถยนต์ 2-3 เรื่องครับ เรื่องแรกก็คือ รถยนต์ในอนาคตจะเริ่มเล็กลง เล็กลง แล้วก็เล็กลง จนเราอาจเรียกมันว่าเป็น Mobile Pod คืออุปกรณ์ขับขี่ แนวๆเป็นของใช้จุ๋มจิ๋มเหมือน i-Pod นั่นเอง ในปีที่ผ่านมานี้เอง ยอดขายของรถยนต์คันเล็กๆ เพิ่มขึ้นทั่วโลกอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ในยุโรป รถยนต์เล็กอย่าง Peugeot 207 ขายได้ 437,505 คัน อีกทั้งยอดขายของรถยนต์เล็กรวมทั้งหมดประมาณว่าจะมีขนาดตลาดถึง 4 ล้านกว่าคันในปีนี้ ยอดขายรถเล็กในญี่ปุ่นประมาณกันว่าจะสูงถึง 2 ล้านคันในปีนี้ จีนและอินเดียก็จะมียอดถึง 1 ล้านคัน บราซิลประเทศที่พึ่งตัวเองในเรื่องพลังงานได้ ก็คาดว่าจะมียอดขายถึง 1.9 ล้านคัน เป็นอะไรที่ไม่ธรรมดาจริงๆ สำหรับเจ้า Mobile Pod นี้ อุตสาหกรรมรถยนต์ต่างคาดการณ์กันว่า รถเล็กจะมียอดขายทั่วโลกถึง 38 ล้านคัน ในปี ค.ศ. 2012



พรุ่งนี้เราจะมาคุยต่อกันนะครับว่าเจ้า Mobile Pod หรือ m-Pod นี้จะเป็นของเล่นเทียบชั้น i-Pod ได้หรือไม่ .......

24 มกราคม 2551

ยางรถยนต์นาโน - Nano Tyre


นาโนเทคโนโลยีเริ่มกระเถิบเข้ามาสู่วิถีชีวิตของพวกเรา ทั้งแบบเงียบๆ ไม่ทันรู้ตัว และแบบโฉ่งฉ่างรู้กันทั่วเมือง สำหรับในเรื่องของยานยนตร์นั้น นาโนเทคโนโลยีก็กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนรถยนต์ของเรา ให้มาเป็นรถยนต์นาโน หน้าปัดแสดงผลรุ่นใหม่ๆ จะเป็น Organic Light Emitting Device (OLED) ที่มีแสงสีสวยงามและบูติค กระจกที่ทำความสะอาดตัวเองได้ ฟิล์มที่ปรับความเข้มแสงได้ เซ็นเซอร์ตรวจวัดสิ่งผิดปกติต่างๆ รอบคันรถ การนำนาโนเทคโนโลยีมาใส่ยังเพิ่มมูลค่าของสินค้าได้ เช่นเดียวกับยาง Michelin รุ่น Energy ที่ขายดิบขายดีไปทั่วโลกอยู่ในขณะนี้


ปัจจุบันยางรถยนต์ทำมาจากยางธรรมชาติผสมกับยางสังเคราะห์ โดยมีการผสมอนุภาคคาร์บอน (Carbon Black) เข้าไปเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ซึ่งในขณะนี้ได้มีการค้นหาอนุภาคนาโนที่อาจนำมาแทนอนุภาคคาร์บอน เช่น อนุภาคนาโนของซิลิกาคาร์ไบด์ ซึ่งคาดว่าจะทำให้ยางรถยนต์ยืดอายุการใช้งานได้ถึง 2 เท่า การวิจัยยังพบว่าท่อนาโนคาร์บอนเมื่อผสมเข้าไปในยางสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้เช่นกัน จนมีผู้ทดลองนำไปผสมในถุงยางอนามัยเพื่อทำถุงยางนาโนอีกด้วย บริษัทมิเชลิน (Michelin) กำลังวิจัยการนำอนุภาคดินนาโน (Nanoclay) เพื่อผสมกับพอลิเมอร์สำหรับปิดยางชั้นในเพื่อกันลมรั่วออก (ซึ่งมีการนำมาใช้กับลูกเทนนิสแล้ว) ซึ่งจะทำให้ประหยัดความหนาของชั้นยางอีกด้วย ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเครื่องกลไฟฟ้าจุลภาค (Microelectromechanical system หรือ MEMS) ยังจะช่วยให้ยางรถยนต์ในอนาคตมีความฉลาดเหนือขึ้นไปอีก กล่าวคือ จะมีการใส่เซ็นเซอร์จิ๋วเข้าไปในยางรถยนต์ทั้ง 4 ล้อ โดยเซ็นเซอร์เหล่านั้นจะส่งสัญญาณมายังตัวรับแบบไร้สาย ทำให้ผู้ขับขี่สามารถทราบความดันของลมยาง และอุณหภูมิลมยางได้ ระบบซอฟท์แวร์สามารถพัฒนาให้เตือนผู้ขับขี่ในกรณีที่ยางรถยนต์อยู่ในสภาพที่ไม่ปลอดภัย


(ภาพด้านบน - เฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาประเทศเดียว มียางรถยนต์หมดสภาพปีละกว่า 17 ล้านเส้น นาโนเทคโนโลยีจะช่วยลดจำนวนขยะเหล่านี้)