วิเคราะห์สถานภาพทางด้านนาโนศาสตร์ และ นาโนเทคโนโลยี ของประเทศไทย เปรียบเทียบกับ ประเทศคู่แข่ง เพื่อช่วยผลักดันให้ประเทศไทย เป็น Nano Valley of ASEAN
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ artificial life แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ artificial life แสดงบทความทั้งหมด
09 มิถุนายน 2555
Artificial Consciousness - สติประดิษฐ์ (ตอนที่ 2)
ในทางพระพุทธศาสนา สติ แปลว่า "ความระลึกได้ ความนึกขึ้นได้ ความไม่เผลอ ฉุกคิดขึ้นได้ การคุมจิตไว้ในกิจ หมายถึง อาการที่จิตนึกถึงสิ่งที่จะทำจะพูดได้ นึกถึงสิ่งที่ทำคำที่พูดไว้แล้วได้ เป็นอาการที่จิตไม่หลงลืม ระงับยับยั้งใจได้ ไม่ให้เลินเล่อพลั้งเผลอ ป้องกันความเสียหายเบื้องต้นยับยั้งชั่งใจไม่บุ่มบ่าม เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ความไม่ประมาท"
ในทางวิทยาศาสตร์ สติ คือ "การรู้ตัว การรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัว การตื่นตัวอยู่และมีความสามารถที่จะรับสัมผัสสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น รวมไปถึงความสามารถในการควบคุมตัวเอง" ความรู้ในทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าสติทำงานอย่างไร สติเกิดขึ้นมาจากกระบวนการในสมองได้อย่างไร นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ค่อยแน่ใจนักว่าสามารถที่จะสร้างคุณสมบัตินี้ในคอมพิวเตอร์ได้หรือไม่ นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มถึงกับบอกว่า ความรู้ที่มีในตอนนี้ยังไม่พอจะนิยามคำว่า "สติ" เสียด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์กลุ่มที่สนใจเรื่องสติประดิษฐ์ ก็ไม่ได้คาดหวังว่าเราจะต้องเข้าใจอะไรมากมายในเรื่องสติเสียก่อน ถึงจะทำอะไรได้ พวกเขาคิดว่าความรู้เรื่องนี้สามารถค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับพัฒนาการในเรื่องของ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม AI) ซึ่งถูกพัฒนามาก่อนหน้านี้หลายสิบปีแล้ว
ในทางปรัชญา สติมีองค์ประกอบใหญ่อยู่ 2 อย่างคือ (1) Access Consciousness หรือ สติที่เกี่ยวกับผัสสะ กับ (2) Phenomenal Consciousness สติในแง่มุมของปรากฏการณ์ อย่างเช่นสมมติว่าเรามองออกไปแล้วมองเห็นลูกบอล เจ้าตัว Access Consciousness จะทำงานโดยมันรับรู้แล้วบอกเราว่านั่นลูกบอลนะ จะเห็นว่าในแง่มุมของ Access Consciousness นี้ไม่ค่อยยาก เพราะเราสามารถโปรแกรมให้คอมพิวเตอร์ใช้การจดจำรูปแบบหรือ (pattern recognition) เพื่อให้จำแนกรู้ได้ว่านี่คือลูกบอล ซึ่งปัจจุบันเราก็ทำได้แล้ว แต่ถ้าเป็น Phenomenal Consciousness จะค่อนข้างซับซ้อนกว่า เพราะเกี่ยวข้องกับความรู้สึกทางอารมณ์ เช่น ความเจ็บปวด ความโกรธ ความกลัว แรงจูงใจ ความตื่นตัว การคาดเดาสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เช่น พอเราเห็นลูกบอลลอยมา สติประเภทนี้จะบอกให้รีบหลบไม่งั้นลอยมาลงหัวแน่
สำหรับความเป็นไปได้ในการสร้างสติประดิษฐ์ขึ้นมาบนแพล็ตฟอร์มอื่น ที่ไม่ใช่สมองมนุษย์นั้น นักวิทยาศาสตร์แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกมองว่าสติประดิษฐ์ไม่น่าจะสร้างขึ้นมาได้ ด้วยเหตุผลในเรื่องของฟิสิกส์ของวัสดุที่ประกอบขึ้นเป็นสมอง ซึ่งเกิดจากสารอินทรีย์ในธรรมชาติ กับวัสดุที่สร้างขึ้นมาเป็นคอมพิวเตอร์ องค์ประกอบย่อยๆ ที่แตกต่างกันนี้ เมื่อรวมกันขึ้นมาเป็นจักรกลแห่งความคิด (Thinking Machines) คือสมอง กับ คอมพิวเตอร์ นั้น สุดท้ายก็จะเกิดความแตกต่างขึ้นมากมาย ซึ่งมันก็มากพอที่จะทำให้เราไม่สามารถสร้างสติประดิษฐ์ให้เหมือนกับที่เรามีในสมอง
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง ผมขอเรียกว่าพวก Blue Sky หรือกลุ่มฟ้าใส ซึ่งผมก็ขอเป็นสมาชิกของนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ครับ พวกฟ้าใสมองว่าอะไรๆ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น คนกลุ่มนี้กระตืนรื้อล้นเหลือเกินที่อยากให้เทคโนโลยีนี้เกิดขึ้น เพราะมันจะนำคุณประโยชน์มากมายมหาศาลมาสู่มวลมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้มองว่า สมองคือจักรกลอย่างหนึ่งที่ทำหน้าที่ต่างๆ สิ่งที่สมองคิดออกมา เป็นสถานภาพของหน้าที่ (Functionalities) ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความโกรธ ความกลัว รวมไปถึงเรื่องของสติได้ ดังนั้นหากเราโมเดลฟังก์ชันหน้าที่เหล่านั้นได้ด้วยคณิตศาสตร์และอัลกอริทึมต่างๆ เราก็สร้างสติประดิษฐ์ได้
แล้วมาคุยต่อนะครับ ......
02 มิถุนายน 2555
Artificial Consciousness - สติประดิษฐ์ (ตอนที่ 1)
เคยมีคนถามผมว่า อะไรคือ The Next Big Thing หรือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ครั้งต่อไปหลังยุคจีโนม ไอที และนาโนเทคโนโลยี ผมก็จะตอบเขาไปว่า Mind Sciences หรือ วิทยาศาสตร์ทางจิต คนส่วนใหญ่ทำหน้า งง หลายคนไม่เคยได้ยิน หรือ ไม่เคยคาดคิดว่า เรื่องที่วิทยาศาสตร์ถือว่าไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แม้กระทั่งเคยถูกกล่าวหาว่าเหลวไหลไม่มีจริง กำลังจะกลายมาเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ หรือ คลื่นลูกที่ 4 (The Fourth Wave) ในหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษย์
เมื่อร้อยปีที่แล้ว มนุษย์เราตื่นเต้นกับ "สิ่งที่เล็กที่สุด" อย่างอะตอมและโมเลกุล วิทยาศาสตร์พื้นฐานทั้งฟิสิกส์ เคมี ทุ่มเทความสนใจให้กับเรื่องที่เรามองไม่เห็นเพราะว่ามันเล็ก แต่ร้อยปีถัดไปจากวันนี้ เราจะตื่นเต้นกับ "สิ่งที่ลึกที่สุด" ซึ่งเป็นเรื่องที่เรามองไม่เห็น เพราะว่ามันเป็นนามธรรมในความรู้สึกของเรา เรื่องของจิตใจ อารมณ์และความรู้สึกนึกคิด นี่แหล่ะครับ จะเป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ในยุคต่อไปอยากค้นคว้า เพราะทุกวันนี้ เรามีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ (ในเชิงวิทยาศาสตร์) น้อยมากๆ
เมื่อ 200 ปีก่อนหลังเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม โลกเราทำมาค้าขายกันด้วยสินค้าอุตสาหกรรมที่ผลิตขึ้นมาเยอะๆ ผู้คนต่างย้ายถิ่นฐานจากไร่นาเข้าไปอยู่ในโรงงาน ทุกวันนี้เป็นยุคของไอที โลกเราทำมาค้าขายกันด้วยสินค้าความรู้ ประเทศที่ประชากรมีความรู้สูง ส่วนใหญ่ทำงานอยู่ที่บ้าน เศรษฐกิจโลกถูกขับเคลื่อนด้วยสารสนเทศและความรู้ มูลค่าของเศรษฐกิจไปอยู่ที่การแลกเปลี่ยนข้อมูล แลกเปลี่ยนสารสนเทศและความรู้กัน ถึงแม้เราจะบริโภคสิ่งของที่จับต้องได้มากขึ้นก็ตาม แต่เราก็บริโภคสิ่งของที่จับต้องไม่ได้มากขึ้นกว่าหลายเท่าตัว เรายอมเสียเงินเพื่อซื้อความบันเทิง ประสบการณ์ และความรู้
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตข้างหน้า สินค้าที่เราจะทำมาค้าขายกันจะเป็นเรื่องที่อยู่ภายในตัวมนุษย์นี่เอง นั่นคือ อารมณ์ ความรู้สึก จิตใจ เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น จะทำให้สิ่งที่เราจับต้องไม่ได้นี้ กลายเป็นสิ่งที่จะอยู่รอบๆ ตัวเราในทุกย่างก้าวของชีวิต ยุคแห่งคลื่นลูกที่สี่นี้ จะเป็นยุคที่จักรกลและมนุษย์ (Machine vs Man) มาเชื่อมโยงกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นยุคที่เราจะเข้าใจความเชื่อมโยงกันระหว่างสสารและจิตใจ (Mind vs Matter) ซึ่งเป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์ไม่เคยย่างกรายเข้าไปในดินแดนนั้นเลย
ในบทความซีรีย์นี้ ผมจะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับศาสตร์ใหม่ที่จะมีความสำคัญเป็นอย่างมากในอนาคต นั่นคือ สติประดิษฐ์ หรือ Artificial Consciousness ซึ่งจะเป็นการนำสติหรือการระลึกรู้ถึงความเป็นตัวตน การมีอยู่ ความรู้สึกตัวในสภาวะธรรมต่างๆ รอบๆ ตัว ไปใส่ในจักรกล ซึ่งในอนาคต วัตถุต่างๆ สินค้าต่างๆ สภาพล้อมรอบตัวเรา บ้าน รถ อาคาร ถนนหนทาง อุปกรณ์ต่างๆ จะพัฒนาจากวัตถุที่ไม่มีชีวิตจิตใจ ไปสู่สภาพของชีวิตประดิษฐ์ (Artificial Life) สิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวเราจะสามารถรับรู้ สัมผัส และสื่อสารทางอารมณ์กับมนุษย์ได้ เรื่องของสติประดิษฐ์มีความสำคัญมาก เพราะเทคโนโลยีนี้จะทำให้จักรกล หรือ หุ่นยนต์ สามารถทำงานหรือ "ใช้ชีวิต" กับมนุษย์ได้อย่างราบรื่น
แล้วผมจะนำความก้าวหน้าในเรื่องนี้มาเล่าต่อไปในซีรีย์นี้นะครับ .....
01 พฤษภาคม 2553
Avatar - กายอวตาร (ตอนที่ 4)

ตามแนวทางของพระพุทธศาสนานั้น มีความเชื่อว่าพวกเราไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์นั้น ต่างเวียนว่ายตายเกิด โดยเปลี่ยนจากรูปแบบหนึ่งไปเป็นอีกแบบหนึ่ง (พุทธศาสนาเรียกรูปแบบนี้ว่า ภพภูมิ) เช่น คนเรานั้น เมื่อตายไปแล้วก็อาจจะไปเกิดเป็นคนอีก หรืออาจจะไปเกิดเป็นกระต่ายก็ได้ แล้วแต่บุญแต่กรรมที่เราทำในชาตินี้ ... รวมกับที่เราสะสมกันมาในชาติก่อนๆ ด้วย คนเราเมื่อใกล้ตายนั้น จิตดวงสุดท้ายจะนำเราไปสู่ภพภูมิใหม่ ดังบันทึกในพระอภิธรรมที่ระบุไว้ว่า เมื่อภพภูมิปัจจุบันดับสูญลง ภพภูมิใหม่จะเกิดขึ้นทันที ....
สมัยที่ผมบวชเรียนเป็นพระภิกษุ ผมเคยถามท่านอาจารย์ว่า "ท่านอาจารย์ครับ คนเราเมื่อตายไปแล้ว สิ่งที่เราทำไว้ในชาตินี้เราก็ลืมหมด รวมทั้งสิ่งที่เราเรียนรู้ในชาตินี้ด้วย แล้วเราจะศึกษาพระปริยัติธรรมไปทำไมครับ หากเราไม่สามารถปฏิบัติเพื่อนิพพานในชาตินี้ ชาติหน้าเราเกิดมาก็ต้องมาเรียนใหม่" ผมเคยคิดเล่นๆ นะครับว่า ความรู้ต่างๆที่เราแสวงหา หรือร่ำเรียนกัน มันจะติดตัวเราไปได้ไหม เมื่อเราตายไปแล้ว น่าเสียดายนะครับ ที่คนเราเมื่อตายไปแล้ว สติปัญญาและความรู้ต่างๆที่สะสมไว้ในสมองของเรา ก็ต้องตายตามเราไปด้วย ทุกๆ ปีมีคนตายประมาณปีละ 50 ล้านกว่าคน ความรู้ต่างๆ ที่ตายไปกับคนเหล่านั้น มีค่าเท่ากับการเผาห้องสมุดรัฐสภาอเมริกัน (ที่มีขนาดใหญ่มากและใหญ่ที่สุดในโลก) ทิ้งถึงปีละ 3 ครั้งเลยทีเดียว
นักวิทยาศาสตร์กำลังคิดถึงความเป็นไปได้ในการก็อปปี้ความรู้และข้อมูลต่างๆ ในสมองของคนที่กำลังจะตาย เพื่อนำไปเก็บไว้ในฐานข้อมูล (upload) เพื่อไม่ให้ความรู้ต่างๆ นั้นสูญหายไปกับคนตาย และที่เจ๋งกว่านั้น หากเราสามารถที่จะถ่ายเทความรู้ต่างๆ นั้น download มาที่สมองของคนเป็น เพื่อให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่มีความรู้ความสามารถสืบทอดจากคนรุ่นก่อนๆ ได้ ตอนนี้ศาสตร์ที่เกี่ยวกับระบบประสาท สมอง สติ จิตใจ กำลังมาแรงมากๆ ครับ มีวารสารวิชาการเกิดใหม่มากมาย น่าเสียดายที่ในเมืองไทยของเรากลับมีความสนใจในเรื่องนี้น้อยมากๆ ทั้งๆ ที่ศาสตร์เหล่านี้ จะนำไปสู่เทคโนโลยีและงานประยุกต์อีกมากมายครับ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินไร้คนขับที่ควบคุมด้วยสมองประดิษฐ์ นวัตกรรมบันเทิง (Innovative Entertainment) ระบบ autopilot สำหรับรถยนต์ อวัยวะกลและอวัยวะทดแทน เป็นต้น
และถ้าหากความรู้ของเรามีมากไปถึงระดับหนึ่ง ก็อาจเป็นไปได้ที่เราจะถ่ายเทจิตใจของเราจากร่างที่กำลังจะตาย ไปสู่ร่างใหม่ที่สร้างขึ้นรอไว้เมื่อร่างเก่าใกล้หมดอายุ โดยไม่ต้องรอให้เวรกรรมพาเราไปจุติในภพใหม่เอง ......
ป้ายกำกับ:
artificial life,
mind sciences,
neuroscience
14 กุมภาพันธ์ 2553
Avatar - กายอวตาร (ตอนที่ 3)

การปลูกถ่ายอวัยวะ กำลังจะเป็นเทรนด์ใหม่ ที่จะช่วยยืดอายุขัยของมนุษย์ให้ยืนนานขึ้น เมื่อส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ก็จัดการเปลี่ยนมันเสียด้วยของใหม่ แค่นั้นยังไม่พอ เราเริ่มค้นหาที่จะปิดสวิตช์ยีนที่ทำให้คนเราแก่ ด้วยหวังว่า ร่างกายของเราจะได้ไม่ต้องไปรับรู้นาฬิกาชีวะ ที่คอยบอกเราว่าเราเริ่มแก่หรือยัง
สมมติว่าเรามีเทคโนโลยีที่จะสร้างร่างกายของเราขึ้นมาใหม่ทั้งหมด รวมทั้งสมอง เราจะสามารถถ่ายโอนความระลึกรู้ และความรู้สึกนึกคิดของเราจากร่างเก่า เพื่อเข้าไปอยู่ในร่างใหม่ได้หรือไม่ ? เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คิดแล้วก็ปวดหัวครับ สมมติว่าเราสามารถ copy สมองของเราทั้งหมด ไปสร้างสมองอันใหม่ที่เหมือนกับของเราเปี๊ยบเลย รวมทั้งร่างกายใหม่ด้วย เป็นคนเดียวกับเราเหมือนกันเดี๊ย เพียงแต่อวัยวะยังฟิตปั๋ง ใหม่ๆ ซิงๆ ยังไม่ใช้งานมากเหมือนของเรา ถามว่า คนๆ นั้น ยังเป็นตัวเราอยู่ไหม หรือเป็นคนใหม่ที่มีความรู้สึกนึกคิดคล้ายๆ กับเรา เท่านั้นเอง เพราะได้ copy สมองไปจากเรา เอายังงี้คิดง่ายๆ หากเราคิดว่าร่างกายใหม่ที่มีสมองของเรานั้น เป็นอวตารของเรา เราจะกล้าปิดสวิตช์ตัวเรา (ทำให้ร่างเก่าตาย) เพื่อเข้าไปอยู่ในร่างใหม่หรือไม่ ?
สำหรับนักวิทยาศาสตร์แล้ว เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ปวดหัวมาก เพราะตำราวิทยาศาสตร์ของตะวันตกไม่มีคำว่า "จิต" ซึ่งอาจจะเป็นซอฟต์แวร์ที่วิ่งอยู่บนสมองของเรา ซึ่งทุกวันนี้ วิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถหาวิธีศึกษามันได้ นักวิทยาศาสตร์จึงจำใจต้องผูกโยงอาการทางนามธรรมหลายอย่าง เช่น เรื่องของสติสัมปชัญญะ ความจำ ภาวะความสุข-เศร้า ว่าเป็นเรื่องของฮาร์ดแวร์ ซึ่งก็คือเซลล์สมองและกิจกรรมของมัน หลายๆ ครั้ง ภาวะของสติ ก็ยากที่จะอธิบายด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งขณะนี้มีเพียงวิธี Functional Magnetic Resonance Imaging (fMRI) เท่านั้น ที่เชื่อมโยงภาวะนามธรรมเหล่านั้นได้
วันหลังมาคุยเรื่องนี้ต่อนะครับ .....
ป้ายกำกับ:
artificial life,
bionics,
mind sciences,
neuroscience
11 กุมภาพันธ์ 2553
Synthetic Warrior - DARPA ผุดแนวคิดนักรบสังเคราะห์

เมื่อไม่กี่วันมานี้ มีข่าวลือเรื่องหนึ่งในวงการกลาโหมสหรัฐอเมริกา ว่าหน่วยงานให้ทุนวิจัยทางการทหาร ที่เรามักจะรู้จักกันดีในชื่อว่า DARPA ได้มีความสนใจที่จะพัฒนาสิ่งมีชีวิต โดยใช้เทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ (Synthetic Biology) สร้างมันขึ้นมา ว่ากันว่า สิ่งมีชีวิตสังเคราะห์นี้จะทำหน้าที่เป็นหน่วยรบยุคใหม่ เครื่องจักรสังหารที่ไม่มีวันตาย นอกเสียจากว่าผู้บังคับบัญชาจะสั่งให้ตายเอง
ผมได้พยายามสืบค้นหาข้อมูลที่น่าจะพอเชื่อถือได้ พบว่า DARPA กำลังเสนอกรอบวงเงินงบประมาณของปีต่อไป เสนอให้รัฐบาลพิจารณา ซึ่งปรากฎชื่อโครงการหนึ่งที่มีเค้าโครงใกล้เคียงกับข่าวลือที่ว่านี้ โครงการนี้มีชื่อว่าโครงการ BioDesign ซึ่งมีเม็ดเงินของโครงการก็ไม่ได้มากมายอะไรหรอกครับ ประมาณ 6 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งไม่มากอะไรสำหรับงานวิจัยด้านการทหารในสหรัฐฯ) โดยโครงการนี้จะให้ทุนแก่มหาวิทยาลัย เพื่อทำการวิจัยแนวคิดใหม่ ที่เกี่ยวกับการปรับปรุงกระบวนการชีวเคมีในสิ่งมีชีวิต เพื่อให้เป็นไปตามที่มนุษย์ออกแบบ โดยอาจจะตัดทอนกระบวนการวิวัฒนาการที่มีในธรรมชาติออกเสีย อันจะมีผลให้การวิวัฒน์ของสิ่งมีชีวิตสามารถออกแบบ คาดเดา และควบคุมได้
ถึงแม้ในเนื้อหาของแผนงบประมาณ จะไม่ได้ระบุเรื่องสิ่งมีชีวิตสังเคราะห์อย่างชัดเจน แต่นักวิเคราะห์ด้านการทหาร ประเมินว่า เพนทากอนกำลังมีแผนการจะสร้างหน่วยรบสังเคราะห์ เพื่อใช้ทดแทนทหารในอนาคต เนื้อหาของงานวิจัยที่ DARPA สนใจในโครงการ BioDesign นี้ ได้แก่ ความสามารถในการโมเดลโครงสร้างของโมเลกุลโปรตีนด้วยคอมพิวเตอร์ รวมไปถึงพอลิเมอร์ที่เลียนแบบชีวโมเลกุลในธรรมชาติ การพัฒนาความเข้าใจกลไกที่ทำให้เซลล์ตาย การพัฒนาเทคนิคในการสร้างเสริมเซลล์ ให้มีชีวิตอยู่ได้ตราบนานเท่านานโดยไม่เสื่อมสภาพ พัฒนาเทคนิคที่จะสั่งสิ่งมีชีวิตที่จะสังเคราะห์ขึ้นให้ตายได้ หรือ terminate ตัวเองได้ และท้ายสุดคือ การพัฒนาระเบียบวิธีในการติดตาม หรือ ตามรอย การใช้งานพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตสังเคราะห์ เหมือนกับที่เราสามารถตามว่ากระสุนถูกยิงออกมาจากปืนกระบอกไหน
เช่นเดิมครับ เนื่องจากโครงการนี้เป็นโครงการของทหาร นักสิ่งแวดล้อมและนักอนุรักษ์ก็ไม่สามารถเข้าไปคัดค้านได้ เมื่อไหร่บ้านเราจะมีงานวิจัยทางด้านทหารบ้างนะ .......
ป้ายกำกับ:
artificial life,
military,
synthetic biology
23 ธันวาคม 2552
Avatar - กายอวตาร (ตอนที่ 2)

เมื่อตอนผมเป็นเด็ก คุณแม่ของผมเคยเล่าให้ผมฟังว่า ท่านเคยเห็นผีปอบเข้าสิงร่างของคน เวลามันเข้าไปสิงใคร คนผู้นั้นจะทำอะไรโดยไม่รู้ตัว ท่านเล่าว่าคนที่โดนปอบสิงจะอยากกินของสดๆ ไม่ปรุงสุก และยังพูดหรือทำอะไรอีกหลายอย่าง ที่เหมือนดั่งว่าเขาไม่ใช่ตัวของเขาเองอีกต่อไป เมื่อผีปอบออกไปแล้ว คนๆนั้นจะจำอะไรไม่ได้เลย
ถ้าหากผีปอบที่คุณแม่ของผมท่านเล่าให้ฟังมีจริง สมองของคนที่ถูกสิงก็ต้องถูกยึดครองโดยอะไรสักอย่าง โดยมันอาจจะอัพโหลด (Upload) ตัวของมันเองเข้าไปที่สมองของคนที่ถูกสิง ทำให้มันสามารถควบคุมวงจรสมองของคนๆ นั้นได้ชั่วคราว ???
นักวิทยาศาสตร์มีความเชื่อตามทฤษฎีครับว่า เราสามารถที่จะอัพโหลดข้อมูลต่างๆ ในสมอง ไม่ว่าจะเป็นความจำ ความระลึกรู้ ไปยังคอมพิวเตอร์ หรือแม้กระทั่งสมองประดิษฐ์ที่อาจสร้างขึ้นมาได้ในอนาคต นั่นหมายถึง หากสังขารของเราเริ่มเสื่อมถอย ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ ไต ตับ เป็นต้น รวมไปถึงอวัยวะภายนอกเช่น แขน ขา ซึ่งอาจจะเปลี่ยนถ่ายจากการปลูกสเต็มเซลล์ หรือ ใช้อวัยวะกล (Bionics) ทดแทนอวัยวะจริง ซึ่งในบทความตอนที่แล้ว ผมได้เล่าให้ฟังแล้วว่า คนเรามีแค่ครึ่งตัว ก็ยังสามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ ซึ่งที่สุดแล้ว แม้แต่สมองก็เถิด เราก็อาจจะสามารถทดแทนได้ ด้วยการ upload ข้อมูลจากสมองทั้งหมด ไปยังสมองที่สร้างขึ้นมาใหม่
ทีนี้มาถึงคำถามที่สำคัญครับว่า ถ้าหากเราสามารถ upload สมองของเราไปยังสมองใหม่ ซึ่งอาจจะเป็นสมองชีวะ ที่สร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีสเต็มเซลล์ หรือเป็นสมองดิจิตอลที่ประดิษฐ์ขึ้นมา โดยข้อมูลต่างๆ ที่มีทั้งหมดเหมือนกันเปี๊ยบกับที่มีในหัวเรา !!! แล้วตกลงว่า สมองใหม่นั้นยังเป็นตัวเราอยู่หรือเปล่า หรือเป็นอีกคนๆ หนึ่งที่มีข้อมูลในสมองเหมือนเรา หากสมองใหม่นั้นเป็นตัวเราแล้ว เราก็สามารถปิด หรือ shut down ร่างกายเดิมของเราได้เลย (ก็คือตายจากร่างเดิม) แล้วไปใช้ชีวิตอยู่กับร่างใหม่ที่เป็น กายอวตารของเรา แต่ถ้าสมองใหม่นั้นเป็นอีกคนหนึ่ง ที่แค่มีข้อมูลเหมือนกับเรา คราวนี้ ผมจินตนาการไม่ออกแล้วครับว่า จะเกิดอะไรขึ้น
วันหลังค่อยคุยเรื่องนี้ต่อครับ .....
ป้ายกำกับ:
artificial life,
bionics,
mind sciences,
neuroscience
09 มกราคม 2552
ชีวิตสังเคราะห์ (Synthetic Organisms)

ปี 2009 จะเป็นปีแห่งการเริ่มต้นของการเชื่อมโลกจักรกลกับโลกชีวะ อุปกรณ์ทั้งหลายรวมทั้งหุ่นยนต์ ซึ่งเป็นสิ่งไร้ชีวิตจิตใจ จะได้รับการเพิ่มเติมชีวิตชีวาเข้าไปไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสัมผัส อารมณ์ ความรู้สึก ในขณะที่สิ่งมีชีวิตจะได้รับการเพิ่มสมรรถภาพให้สูงขึ้น ด้วยการติดตั้งอุปกรณ์และอวัยวะกลเข้าไป นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังขะมักเขม้นเข็นงานวิจัยประเภทนี้ออกมาครับ
อีกแนวคิดหนึ่งที่ท้าทายกว่า 2 เรื่องข้างต้นอีก และกำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่นานจากนี้ก็คือ การสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาใหม่เลย ด้วยการออกแบบว่าอยากจะให้สิ่งมีชีวิตนี้มีรูปร่างอย่างไร สีอะไร หน้าตาเป็นยังไง กินอะไร ทำประโยชน์อะไร เมื่อไม่นานมานี้เอง Craig Venter นักชีววิทยาชื่อดังและมหาเศรษฐีของโลก ได้ออกมาเปิดเผยว่า เขาเข้าใกล้ความสำเร็จในการสร้างชีวิตสังเคราะห์ด้วยฝีมือมนุษย์แล้ว โดยการที่เขาและทีมงานสามารถนำสารเคมีต่างๆ มาสังเคราะห์เป็นโครงสร้างพันธุกรรมของแบคทีเรียชนิดหนึ่งได้สำเร็จ ขั้นต่อไปซึ่งจะเป็นการออกแบบและสร้างสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ด้วยการนำโครงสร้างพันธุกรรมที่ออกแบบมานั้น ผลิตสิ่งมีชีวิตออกมาใช้งาน Craig Venter ได้ยื่นขอจดสิทธิบัตรกรรมวิธีดังกล่าวแล้ว ซึ่งได้สร้างความไม่พอใจแก่พวก NGO ที่ต่อต้านเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่ค่อยให้ความสนใจกับคำวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มต่อต้าน ซึ่งกลัวว่าหากสิทธิบัตรนี้ผ่านการรับรอง นั่นหมายความว่าต่อไปคนเราก็เป็นเจ้าของสิ่งมีชีวิตที่ตัวเองออกแบบได้ แต่ Craig Venter ยืนยันว่าตนจะเดินหน้าโครงการนี้ต่อไป เพราะหากเราสังเคราห์สิ่งมีชีวิตได้ จะช่วยแก้ปัญหาระดับโลกได้มากมาย ทั้งในเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ อาหาร และ พลังงาน ไปจนถึงการลดโลกร้อนด้วยการสังเคราะห์สิ่งมีชีวิตที่จะดูดคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากชั้นบรรยากาศโลก
เรื่องของสิ่งมีชีวิตสังเคราะห์นั้นอาจเป็นเรื่องแปลกปลอมสำหรับคนรุ่นเราครับ แต่สำหรับเด็กรุ่นใหม่อาจจะไม่ใช่ ตอนนี้ลูกสาวผมอายุ 9 ขวบก็เริ่มออกแบบสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ที่หน้าตาเหมือนรูปข้างบนกันแล้วครับ ........
ป้ายกำกับ:
artificial life,
biomimetics,
convergent technologies,
nanobiotechnology
29 พฤศจิกายน 2550
Artificial Cell - จุดกำเนิดของ Life Version 2.0

มนุษย์เคยมีความเชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลกและมนุษย์ขึ้นมาจนกระทั่ง ชาร์ล ดาร์วิน ได้ออกท่องทะเลเดินทางไปสังเกตพันธุ์พืชและสัตว์ทั่วโลกเมื่อปี พ.ศ. 2374 ซึ่งต่อมาเขาได้พัฒนา “ทฤษฎีวิวัฒนาการ” ซึ่งถือว่าเป็นรากฐานอันสำคัญของวิชาชีววิทยา ปัจจุบันนี้เราเชื่อว่ามนุษย์และสัตว์ได้พัฒนาความซับซ้อนขึ้นมาเรื่อยๆ นานนับพันล้านปีจากสิ่งมีชีวิตที่ง่ายที่สุดคือแบคทีเรียซึ่งมีเซลล์เพียงแค่หนึ่งเซลล์เท่านั้น ดังนั้นบรรพบุรุษของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกนี้ก็คือแบคทีเรีย ส่วนก่อนหน้านี้แบคทีเรียมีวิวัฒนาการมาอย่างไรนั้นก็ยังเป็นหัวข้อวิจัยที่ทำกันไปทั้งชาติก็คงไม่จบ
ถึงแม้สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวอย่างแบคทีเรียจะถือเป็นสิ่งมีชีวิตขั้นต่ำเอามากๆ แต่เทคโนโลยีปัจจุบันของมนุษย์ก็ยังไม่มีศักยภาพพอที่จะสร้างมันขึ้นมาด้วยการออกแบบเองใหม่ทั้งหมดโดยไม่อาศัยของเดิมจากธรรมชาติเลย แต่เมื่อเร็วๆนี้ได้เริ่มมีกลุ่มวิจัยรวมตัวกันเพื่อเป้าหมายที่ท้าทายมากๆ กล่าวคือต้องการสร้างชีวิตขึ้นมาเองโดยการออกแบบ โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภายุโรปภายใต้หัวข้อ Programmable Artificial Cell Evolution (PACE) และนี่ก็คือที่มาของ A-Cell สิ่งมีชีวิตเทียมหรือเซลล์เทียมซึ่งจะทำให้นิยามของคำว่า “สิ่งมีชีวิต” เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล และเป็นจุดกำเนิดของ Life Version 2.0
ถึงแม้ A-Cell ที่ทำได้ในปัจจุบันจะยังไปไม่ถึงขั้นเกิดสิ่งมีชีวิตชนิดแรกโดยมนุษย์เป็นผู้รังสรรขึ้น แต่ A-Cell ที่ทำได้ตอนนี้ก็มีประโยชน์มากมายแล้ว ตอนนี้เราสามารถสร้าง A-Cell จากวัสดุหลายแบบ ทั้งจากโมเลกุลไขมันเหมือนในสิ่งมีชีวิตหรือจากพอลิเมอร์สังเคราะห์เพื่อสร้างเป็นเยื่อหุ้มเซลล์ โดยเราสามารถออกแบบให้โมเลกุลโปรตีนไปฝังตัวบนเยื่อหุ้มเพื่อทำหน้าที่ได้ มีกลุ่มวิจัยบางกลุ่มสามารถใส่เอนไซม์เข้าไปใน A-Cell แล้วป้อนวัตถุดิบเพื่อให้เอนไซม์ทำงานเลียนแบบสภาพแวดล้อมในเซลล์จริงๆ บริษัทยาบางแห่งได้สร้าง A-Cell ขึ้นมาสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคบางชนิดที่ไม่สามารถย่อยสารอาหารบางอย่างได้ ทำให้เป็นโรคขาดสารอาหาร โดยผู้ป่วยจะรับประทาน A-Cell เข้าไปพร้อมอาหาร ทำให้สามารถย่อยอาหารได้ และ A-Cell ยังถูกขับถ่ายออกมาโดยไม่สะสม
ความก้าวหน้าในเทคโนโลยี A-Cell นี้จะมีผลย้อนกลับไปส่งเสริมให้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ซูเปอร์จิ๋วและเซ็นเซอร์โมเลกุลให้พัฒนาแบบก้าวกระโดด เทคโนโลยี A-Cell จึงเป็นสิ่งที่ประเทศไทยไม่ควรมองข้าม เพราะขณะนี้เรายังขาดนักวิจัยทางด้านนี้ในประเทศไทย
ถึงแม้สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวอย่างแบคทีเรียจะถือเป็นสิ่งมีชีวิตขั้นต่ำเอามากๆ แต่เทคโนโลยีปัจจุบันของมนุษย์ก็ยังไม่มีศักยภาพพอที่จะสร้างมันขึ้นมาด้วยการออกแบบเองใหม่ทั้งหมดโดยไม่อาศัยของเดิมจากธรรมชาติเลย แต่เมื่อเร็วๆนี้ได้เริ่มมีกลุ่มวิจัยรวมตัวกันเพื่อเป้าหมายที่ท้าทายมากๆ กล่าวคือต้องการสร้างชีวิตขึ้นมาเองโดยการออกแบบ โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภายุโรปภายใต้หัวข้อ Programmable Artificial Cell Evolution (PACE) และนี่ก็คือที่มาของ A-Cell สิ่งมีชีวิตเทียมหรือเซลล์เทียมซึ่งจะทำให้นิยามของคำว่า “สิ่งมีชีวิต” เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล และเป็นจุดกำเนิดของ Life Version 2.0
ถึงแม้ A-Cell ที่ทำได้ในปัจจุบันจะยังไปไม่ถึงขั้นเกิดสิ่งมีชีวิตชนิดแรกโดยมนุษย์เป็นผู้รังสรรขึ้น แต่ A-Cell ที่ทำได้ตอนนี้ก็มีประโยชน์มากมายแล้ว ตอนนี้เราสามารถสร้าง A-Cell จากวัสดุหลายแบบ ทั้งจากโมเลกุลไขมันเหมือนในสิ่งมีชีวิตหรือจากพอลิเมอร์สังเคราะห์เพื่อสร้างเป็นเยื่อหุ้มเซลล์ โดยเราสามารถออกแบบให้โมเลกุลโปรตีนไปฝังตัวบนเยื่อหุ้มเพื่อทำหน้าที่ได้ มีกลุ่มวิจัยบางกลุ่มสามารถใส่เอนไซม์เข้าไปใน A-Cell แล้วป้อนวัตถุดิบเพื่อให้เอนไซม์ทำงานเลียนแบบสภาพแวดล้อมในเซลล์จริงๆ บริษัทยาบางแห่งได้สร้าง A-Cell ขึ้นมาสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคบางชนิดที่ไม่สามารถย่อยสารอาหารบางอย่างได้ ทำให้เป็นโรคขาดสารอาหาร โดยผู้ป่วยจะรับประทาน A-Cell เข้าไปพร้อมอาหาร ทำให้สามารถย่อยอาหารได้ และ A-Cell ยังถูกขับถ่ายออกมาโดยไม่สะสม
ความก้าวหน้าในเทคโนโลยี A-Cell นี้จะมีผลย้อนกลับไปส่งเสริมให้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ซูเปอร์จิ๋วและเซ็นเซอร์โมเลกุลให้พัฒนาแบบก้าวกระโดด เทคโนโลยี A-Cell จึงเป็นสิ่งที่ประเทศไทยไม่ควรมองข้าม เพราะขณะนี้เรายังขาดนักวิจัยทางด้านนี้ในประเทศไทย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)