28 เมษายน 2552

นักวิจัยพบ มดเลือกบ้านพิถีพิถันกว่าคน


เมื่อกลางปี 2008 ผมได้มีประสบการณ์ในการออกไปตระเวณหาซื้อบ้านใหม่หลังหนึ่ง ซึ่งจริงๆแล้ว ผมแทบไม่ได้ตระเวณไปไหนเลย เพราะเมื่อเข้าไปที่หมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งก็ตัดสินใจจองบ้านหลังหนึ่งทันที โดยใช้ความรู้สึกมากกว่าตรรกะ หรือเหตุผลใดใด ซึ่งจริงๆแล้ว เท่าที่ผมได้คุยกับคนอื่นๆ ที่เลือกหาบ้านหลังใหม่ เขาเหล่านั้นก็จะมีเหตุผลร้อยแปดพันเก้าเพื่อมาช่วยตัดสินใจ บางคนตระเวณไปทั่ว ใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะตัดสินใจ เพราะบ้านเป็นสิ่งที่บางคนอาจจะต้องใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดอยู่ที่บ้านหลังที่ซื้อ แต่คุณผู้อ่านเชื่อไหมครับว่า ถึงแม้เราจะคิดว่ามนุษย์มีความพิถีพิถันในการเลือกบ้านเพียงใดก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วมนุษย์ก็จะใช้ความรู้สึกมากกว่าเหตุผลที่ตั้งขึ้นมา ซึ่งผมก็รู้ความลับข้อนี้ดี จึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาวิเคราะห์เจาะลึก สู้ใช้ความรู้สึกชอบไม่ชอบไปเลย

ล่าสุดนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยบริสตอล (University of Bristol) ที่มีชื่อว่า Dr. Elva Robinson สังกัดสำนักวิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ได้ศึกษาวิธีการเลือกรังของมด ด้วยการติดไมโครชิพส่งสัญญาณวิทยุ RFID ไว้กับตัวมด ซึ่งจะทำให้สามารถติดตามมดแต่ละตัวได้ ผลงานของเธอซึ่งตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ (Elva J. H. Robinson, Faith D. Smith, Kathryn M. E. Sullivan and Nigel R. Franks. Do ants make direct comparisons? Proceedings of the Royal Society B, April 22, 2009) ระบุว่ามดค่อนข้างเรื่องมากในการย้ายไปอยู่รังใหม่ มันจะส่งมดลาดตระเวณออกไปหารังที่ดีที่สุด โดยมดลาดตระเวณเหล่านั้นจะทำการเปรียบเทียบรังแต่ละรังว่าอันไหนดีกว่ากัน ซึ่งมดลาดตระเวณที่ส่งออกไปนั้น ก็จะเข้าไปอยู่ในรัง หากรังใดมีมดลาดตระเวณอยู่เป็นจำนวนมากกว่า แสดงว่ารังนั้นดี เหมาะแก่การอยู่อาศัย มดที่เหลือทั้งรังก็จะตามเข้าไปอยู่ในรังใหม่นั้นในที่สุด นักวิจัยพบว่ามดจะยอมเสียเวลาเดินทางไกลไปหารังที่ดีกว่า ถึงแม้จะมีตัวเลือกอีกอันที่อยู่ใกล้กว่ากันมากๆก็ตาม นักวิจัยยังพบว่าตรรกะในการเลือกบ้านของมดนั้น คงเส้นคงว่าและทำนายได้มากกว่ามนุษย์


หมู่นี้ผมสังเกตว่า .... การศึกษาแมลงกำลังเป็นประเด็นใหม่และศาสตร์ที่กำลังมาแรงครับ เพราะหากเราเข้าใจแมลง เราก็จะสามารถวิศวกรรมแมลงได้ ซึ่งสามารถนำไปสร้างหุ่นยนต์ หรือ ระบบอัจฉริยะอื่นๆ ที่อาศัยการทำงานเป็นฝูงหรือแบบสังคมประดิษฐ์

25 เมษายน 2552

Are We Simulated in Computer ? - ฤาโลกนี้เป็นเพียงฝัน (ตอนที่ 2)


โลกที่เราอาศัยอยู่นี้รวมทั้งพวกเราที่เกิดแก่เจ็บตายร่วมกันทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ อาจเป็นเพียงโปรแกรมซิมูเลชันที่กำลังรันอยู่ในคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ที่มีพลังประมวลผลสูงมาก ก็ได้นะครับ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเราเป็นเพียงแค่โปรแกรม ไม่ใช่ตัวจริงเป็นๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านอาจจะค้นพบจนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับที่ไปที่มาของพวกเราเมื่อ 2,600 ปีที่แล้ว แต่อาจเป็นเพราะว่าในสมัยนั้นการอธิบายสิ่งที่พระองค์ทรงค้นพบ (เรื่องที่ว่าพวกเราเป็นเพียงโปรแกรมซิมูเลชัน ?) อาจจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะอธิบายให้คนในสมัยนั้นเข้าใจ พระองค์จึงทรงเลือกที่จะสอนวิธีการพ้นทุกข์ เพื่อหยุดเวียนว่ายตายเกิด (เพื่อออกจากโปรแกรมซิมูเลชันนี้ไปตลอดกาล ?) พระองค์อาจทรงค้นพบกฏพื้นฐานของโปรแกรมซิมูเลชันที่ว่านี้ ซึ่งก็คือ "กฏแห่งกรรม" และการที่จะหยุดวงจรนี้ ก็ด้วยการสร้างพลังของ "สติ" ให้มากพอเพื่อที่จะหยุดโปรแกรมของเราเองตามทางของมรรคมีองค์ 8

ในภาพยนตร์เรื่อง The Matrix นั้น พระเอกของเราได้มีโอกาสเข้าไปพูดคุยกับ The Architect หรือตัวควบคุมหลักของ The Matrix ซึ่งเป็นโปรแกรมกลางที่ควบคุมหลักกฏแห่งกรรม และการเวียนว่ายตายเกิดของจิตมนุษย์ใน The Matrix ซึ่งเขาได้พบว่า โปรแกรมซิมูเลชันนั้นเป็นโปรแกรมที่ใหญ่มากๆ จึงมีรูโหว่มากมาย (Bugs ของโปรแกรม) ซึ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์เพี้ยนๆ ที่แหกกฏแห่งกรรมขึ้นมาได้ เช่น เรื่องผี เรื่องวิญญาณ เรื่องฮวงจุ้ย หรือไสยศาสตร์ต่างๆ ก็เกิดจากการเพี้ยนไปของโปรแกรมนี้เอง ทำให้คนบางกลุ่มมีความสามารถเหนือธรรมชาติ (Supernatural) เช่น มีเวทย์มนตร์ มีความสามารถทรงเจ้า มีสัมผัสลึกลับ ซึ่งจริงๆแล้ว พวกนี้ก็คือ Bugs ของโปรแกรมนั่นเอง แต่โดยทั่วไป ตัวโปรแกรมส่วนใหญ่จะรันถูกต้อง และเป็นไปตามกฏแห่งกรรมเสมอ

สมมติว่าพวกเราเป็นคนจริงๆ ตัวเป็นๆ ไม่ใช่โปรแกรมซิมูเลชันของคนอื่น นักวิทยาศาสตร์ก็เชื่อว่าพอถึงวันหนึ่งที่เราสามารถสร้างคอมพิวเตอร์ที่มีศักยภาพถึงจุดที่สามารถจำลองสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกได้ เราก็จะทำเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะขนาดตอนนี้ เรายังสร้างเกมส์ตั้งมากมายเอามาจำลองชีวิต ไม่ว่าจะเป็น Sim City, The Sims หรือ Spore ทีนี้มาถึงคำถามที่ว่าอีกนานเท่าไหร่ เราจะมีความสามารถขนาดนั้น นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าประมาณกลางศตวรรษนี้ เราน่าจะมีความสามารถขนาดนั้นครับ .......

22 เมษายน 2552

แปลงฟ้าเป็นอาวุธ - Weaponizing Weather and Climate (ตอนที่ 1)


ในภาพยนตร์เรื่อง X-Men หญิงสาวนัยตาเซ็กซี่ที่มีชื่อว่า "สตอร์ม" นั้น เธอมีความสามารถพิเศษ ที่สามารถจะเรียกพายุ ลม ฝน ฟ้าคะนอง มาได้ แม้ในขณะนั้นท้องฟ้าจะแจ่มใส แดดเปรี้ยงปร้างก็ตาม นี่คืออาวุธพิเศษของเธอซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งป้องกันตัว และทำลายศัตรูของเธอ ถ้าท่านผู้อ่านได้เคยชมละครช่อง 7 สีเรื่อง "ภูตแม่น้ำโขง" บ้าง คงจะเคยผ่านๆตา ถึงฉากที่นางภูตสามารถที่จะบันดาลให้ท้องฟ้าแปรปรวน และเปลี่ยนบรรยากาศเหนืออาณาบริเวณที่เธอมีอำนาจ ให้เกิดท้องฟ้ามืดครึ้ม นี่คือตัวอย่างโดยตรงของผู้ที่มีอำนาจในการแปลงฟ้าเป็นอาวุธ ในช่วงที่มีการชุมนุมของฝ่ายพันธมิตร และ กลุ่ม นปช. หน้าทำเนียบรัฐบาล นั้น เมื่อมีพายุฝนตกลงมาอย่างหนัก รัฐบาลมักจะถูกกล่าวหาจากทั้งฝ่ายเสื้อเหลือง และ เสื้อแดง ว่าทำฝนเทียมเพื่อให้ตกลงบริเวณที่มีการชุมนุม นั้นแสดงว่าฝ่ายกลาโหมของไทยก็มีแนวคิดในการแปรสภาพดินฟ้าอากาศเพื่อใช้ในเรื่องการทหารและความมั่นคงอยู่เหมือนกัน

ในอดีตนั้น กรุงศรีอยุธยาสามารถที่จะหลีกเลี่ยงการเสียกรุงหลายครั้ง เพราะอาศัยลมมรสุมที่นำฝนจำนวนมหาศาลมาท่วมที่ลุ่มภาคกลาง ทำให้กองทัพพม่าไม่สามารถที่จะตั้งค่ายล้อมกรุงเป็นเวลานานได้ ในช่วงก่อนเสียกรุงครั้งที่ 1 นั้น พม่าต้องเดินทางไปๆมาๆ อยู่หลายครั้ง จนพระเจ้าบุเรงนองต้องใช้กลวิธีในการยึดกรุงศรีอยุธยาอย่างชาญฉลาด ไม่สูญเสียเลือดเนื้อ หาไม่แล้ว พม่าต้องถอยกลับเพราะมรสุมกำลังมา ในช่วงก่อนกรุงแตกครั้งที่ 2 นั้นก็เช่นกัน พม่าต้องพ่ายถอยไปก่อนเพราะสภาพฟ้าฝนไม่อำนวย ก่อนจะกลับมาตีกรุงแตกได้ในวันสงกรานต์ ปี พ.ศ. 2310 ซึ่งหากในสมัยนั้น เรามีเทคโนโลยีที่จะเรียกฟ้าเรียกฝนได้ เราก็อาจจะไม่ต้องเสียกรุงก็ได้

จะเห็นได้ว่า แนวคิดในการนำฟ้าฝนมาใช้ในการทหารเกิดขึ้นมานานแล้วครับ กองทัพสหรัฐฯ มีการทำวิจัยลับเพื่อควบคุมดินฟ้าอากาศ เพื่อใช้ในการสงครามมาหลายสิบปีแล้ว ในรายงานฉบับหนึ่งของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่มีชื่อว่า AF 2025 นั้น ได้กล่าวถึงแนวคิดของอาวุธในอนาคต (ซึ่งก็คือการควบคุมดินฟ้าอากาศ) ไว้อย่างน่าสนใจว่า .....


"การเปลี่ยนแปลงดินฟ้าอากาศให้ได้ จะช่วยเสริมความมั่นคงให้แก่ประเทศของเรา ซึ่งเราสามารถจะใช้มันทั้งในการป้องกันตัวเอง และใช้เพื่อจู่โจมฝ่ายตรงข้าม หรือ แม้กระทั่งใช้เพื่อทำให้ฝ่ายตรงข้ามอ่อนเปลี้ยไปเอง เทคโนโลยีแปลงฟ้าเป็นอาวุธนี้มีความสามารถกว้างขวาง ตั้งแต่ การสร้างฝน หมอก พายุ การทำให้เกิดแผ่นดินไหว เป็นต้น ซึ่งก็จะเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้สหรัฐอเมริกามีขีดความสามารถในเรื่องความมั่นคงเหนือคู่แข่งทั้งมวล ......"

วันหลังมาคุยเรื่องนี้ต่อนะครับ ..........

20 เมษายน 2552

Machine Vision - การมองเห็นประดิษฐ์ (ตอนที่ 2)


ช่วงนี้ผมเขียนเรื่องเทคโนโลยีทางด้านกลาโหมบ่อยนิดนึง ให้เข้ากับสถานการณ์ที่ว่าตอนนี้เมืองไทยทั้งหมด กำลังตกอยู่ภายใต้การควบคุมของทหาร ท่านผู้อ่านจะได้รู้สึกตื่นเต้นไปกับบรรยากาศสงครามเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเรา วันนี้ผมจะพูดถึงเรื่อง Machine Vision หรือการมองเห็นประดิษฐ์กันต่อจากคราวที่แล้ว ซึ่งเนื้อเรื่องในวันนี้จะเกี่ยวข้องกับการทำให้หุ่นยนต์ทหาร มีความสามารถในการมองเห็นและเข้าใจในสิ่งที่มันเห็น อันจะนำไปสู่การคิดและตัดสินใจในภารกิจต่างๆ ได้เอง

จริงๆ แล้วศาสตร์ทางด้าน Machine Vision นั้นได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาหลายปีดีดักแล้วครับ แต่ไฉนหุ่นยนต์ต่างๆ ที่ใช้งานกันหรือแข่งขันกัน (เช่น หุ่นยนต์เตะฟุตบอล หรือ โยนลูกบาส) ถึงยังไม่สามารถที่จะใช้ฟังก์ชันที่ง่ายที่สุดนี้ (คือ การมองเห็นด้วยกล้อง) ให้เกิดประโยชน์ในการทำงานของมันได้อย่างเต็มที่ จริงๆแล้วการติดกล้องให้แก่หุ่นยนต์ไม่ใช่เรื่องยากหรอกครับ แต่การทำให้มันเข้าใจสิ่งที่มันเห็นนั้น หรือ จำแนกแยกแยะวัตถุต่างๆได้นั้น ยังเป็นอะไรที่ไม่หมูสำหรับสาขานี้ "การที่จะจำแนกแยกแยะวัตถุในภาพว่ามันคืออะไร ยังเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยครับ ปัญหาก็คือ วัตถุชิ้นหนึ่งนั้น สามารถถูกมองจากมุมหรือระยะได้ไม่จำกัดจำนวน" เจ้าหน้าที่กองทัพสหรัฐฯกล่าว


ทางเพนทากอนได้สนับสนุนเงินทุนวิจัยเพื่อพัฒนาระบบการมองเห็นประดิษฐ์ที่มีชื่อว่า "Psychologinally Inspired Recognition System" ซึ่งระบบการมองเห็นประดิษฐ์นี้จะเลียนแบบการมองเห็นและจำแนกวัตถุของมนุษย์ ด้วยการพัฒนาอัลกอริทึมต่างๆขี้นมา "แต่ถึงยังไงเรื่องนี้ก็ยังไม่ง่ายอยู่ดีครับ เพราะจากงานวิจัยต่างๆนั้น ชี้ชัดว่ามนุษย์ไม่ได้ใช้อัลกอริทึมแบบเดียวในการจำแนกวัตถุ แต่ใช้อัลกอริทึมแตกต่างกันไป ตามสถานการณ์และประเภทของวัตถุ" เจ้าหน้าที่ผู้นั้นเสริม "อย่างเช่น บางทีคนเราอาจจะใช้วิธีเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลที่มีอยู่ (Template Based Algorithm) บางทีเมื่อมองแล้วก็พยายามหารูปแบบเด่น (Feature) หรือบางครั้งก็อาจมองหาลักษณะทาง geometry ที่เด่นของมันครับ"

18 เมษายน 2552

Skynet - เครือข่ายสมองจักรกลสงคราม


ท่านผู้อ่านที่เคยชมภาพยนตร์ Terminator 3 - Rise of the Machines อาจจะพอจำเครือข่าย Skynet ได้ มันเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่กลาโหมสหรัฐฯ สร้างขึ้นมาเพื่อควบคุมระบบอาวุธ หุ่นยนต์ ดาวเทียม และเครื่องมือต่างๆเพื่อทำสงครามแทนมนุษย์ได้ครบวงจร เจ้า Skynet นี้มีความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์ได้ลึกซึ้งเหนือมนุษย์มันสามารถทำงานทั้งแบบ Semi-Autonomous ที่มีมนุษย์คอยกำกับ หรือ อาจทำงานเต็มรูปแบบ Autonomous ทั้งหมดเลยก็ได้ ซึ่งในที่สุดเจ้า Skynet นี้ก็ได้สลัดการควบคุมจากมนุษย์ และวิวัฒน์ขึ้นมาเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ที่ควบคุมโลกเอาไว้ทั้งหมด

น่าแปลกใจมากครับ !!! ล่าสุดนี้เอง ทางหน่วยงาน DARPA ซึ่งเป็นผู้ให้ทุนสนับสนุนการวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ได้ออกมาประกาศเชิญชวนมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ให้ส่งข้อเสนอโครงการวิจัยเข้ามาขอรับการสนับสนุนจากกลาโหมสหรัฐฯ โครงการที่มีชื่อว่า Deep Learning นี้มีเป้าหมายจะพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถในการรวบรวมข้อมูล ประมวลผลและคิดวิเคราะห์ในลักษณะเดียวกับสมองมนุษย์ ที่สามารถคิดได้หลายชั้น คิดซับซ้อนแบบ ลับ ลวง พราง ซ่อนเงื่อน ได้ ทางกลาโหมหวังว่าเจ้าระบบ Deep Learning นี้จะช่วยผู้บัญชาการทหารในการคิด ตัดสินใจ วางแผนการรบต่างๆ ได้ ยิ่งในสถานการณ์ที่ตึงเครียดและต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์ยืดเยื้อยาวนาน ระบบนี้จะทำงานได้ในการรวบรวมข้อมูลต่างๆ จากดาวเทียม เซ็นเซอร์ เครื่องบินตรวจการ ฯลฯ อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ในขณะที่หน่วยงานข่าวกรองส่วนใหญ่ซึ่งทำงานด้วยมนุษย์จะอ่อนเพลียจากการกรำงานหนักเป็นเวลานานๆ

เรื่องของวิทยาศาสตร์ด้านจิตใจ (Mind Sciences) และเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับวัตถุ (Mind-Matter Interactions) กำลังเป็นศาสตร์ที่มาแรงมากครับ ใครครอบครองความรู้ทางด้านนี้ จะครองโลกแน่นอนครับ ......

17 เมษายน 2552

Bionic Insect - แมลงชีวกล (ตอนที่ 2)


แมลงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนเราครับ บางทีเราก็ไม่ค่อยจะได้สนใจอะไรมันเท่าไหร่ ถ้ามันไม่มาเกาะแกะสร้างความรำคาญแก่เรา หรือไม่ได้มาต่อยหรือกัดเรา เราก็อาจจะยินดีอยู่กับมันอย่างไม่คิดอะไร แต่ในอนาคตอีกไม่นาน หากคุณเห็นแมลง เช่น ผีเสื้อกลางคืน มาเกาะแถวๆหน้าต่าง คุณควรจะเดินเข้าไปดูใกล้ๆให้ดีๆนะครับว่า มันเป็นแมลงแท้ๆ 100% หรือเป็นแมลงชีวกลที่รัฐบาลส่งมันมาเฝ้าจับตาดูความเคลื่อนไหวของเราอยู่

เพนทากอนกำลังสนับสนุนเงินทุนก้อนใหญ่ให้แก่มหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ เพื่อพัฒนาแมลงชีวกล ที่ทำหน้าที่สปาย และอาจทำหน้าที่ทหารหน่วยจู่โจมในอนาคต ทำไมกลาโหมสหรัฐฯ ถึงสนใจเรื่องของสัตว์จิ๋วๆ พวกนี้ด้วยหล่ะครับ คำตอบก็คือ ก่อนหน้านี้ การพัฒนาหุ่นยนต์แท้ๆ 100% ให้มีขนาดเล็ก เพื่อให้มันเคลื่อนไหวได้เหมือนแมลงนั้น ค่อนข้างจะทำได้ยากมากๆ แมลงหุ่นยนต์ที่พัฒนาขึ้นมามักจะมีน้ำหนักตัวมาก ต้องใช้พลังงานค่อนข้างมากในการเคลื่อนไหว อีกทั้งระบบกล้ามเนื้อเทียม (Actuator) ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อทำให้แมลงบินได้ ก็ยังห่างไกลจากความสามารถของธรรมชาติอยู่หลายขุม ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์เลยเกิดความคิดว่า ทำไมเราไม่เอากลไกเชิงกลสำหรับการเคลื่อนที่ของแมลง มาผสมผสานกับเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ที่มีอยู่แล้ว มาสร้างหุ่นยนต์แมลงลูกผสม โดยการเอาวงจรอิเล็กทรอนิกส์ไปควบคุมระบบประสาทของแมลงเพื่อควบคุมแมลงให้ทำงานตามคำสั่งจากมนุษย์แทน

John Hildebrand ศาสตราจารย์ทางด้านประสาทวิทยาแห่ง University of Arizona กล่าวว่า "จริงๆแล้ว ก็มีความพยายามมานานเหมือนกันแล้วครับ ในเรื่องของหุ่นยนต์แมลง หรือ หุ่นยนต์จริง แต่เท่าที่ผ่านมานั้น วิศวกรได้เรียนรู้ว่าการจะทำหุ่นยนต์จิ๋วเหล่านั้นให้มีความสามารถเทียบเท่ากับแมลงในธรรมชาติ ช่างเป็นเรื่องเหลือบ่ากว่าแรงซะจริงๆ"

การนำเอาจักรกลจิ๋วและวงจรอิเล็กทรอนิกส์เข้าไปฝังตัวในแมลงให้เนียนๆ จะทำให้ยากที่จะแยกออกว่าแมลงเหล่านั้นเป็นของจริงหรือของปลอม ไม่เหมือนกับหุ่นยนต์แมลงที่อาจมีใครสังเกตจนรู้ว่ามีใครส่งหุ่นแมลงเหล่านี้มา แต่แมลงชีวกลสามารถซ่อนอุปกรณ์เหล่านั้นใต้ผิวของมันได้ ทำให้ยากที่จะรู้ว่าเรากำลังถูกสปายเข้าให้แล้ว


วันหลังมาคุยเรื่องนี้ต่อนะครับ ............

14 เมษายน 2552

How Love Works - นี่หรือที่เรียกว่ารัก (ตอนที่ 3)


ช่วงนี้มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความแบ่งฝักแบ่งฝ่ายของคนไทย พวกเราได้เพาะพันธุ์ความเกลียดชังฝ่ายที่มีความคิดตรงข้ามกับตัวเอง มาจนถึงจุดที่อาจเป็นอันตรายต่อพวกเราเองทั้งหมด ไอ้เจ้า "ความเกลียดชัง" นี่แหล่ะครับ หากมีมากในสังคมหมู่ใด สังคมหมู่นั้นจะไม่เจริญ และอาจสูญพันธุ์ไปได้ ผมพูดเรื่องนี้ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ เพราะมีหลักฐานมากมายที่บ่งชี้ว่า ความจงเกลียดจงชังจะนำไปสู่การทำลายเผ่าพันธุ์ตัวเองได้ในที่สุดครับ !!!

นักวิทยาศาสตร์เริ่มเห็นหลักฐานที่ชี้ชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ครับว่า "ความรัก" ต่างหากล่ะครับ ที่เป็นตัวขับเคลื่อนความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์เรา เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีพัฒนาการที่สูงกว่าสัตว์อื่นๆ จนสามารถเอาตัวรอดและพัฒนาอารยธรรมจนครอบครองดาวเคราะห์ดวงนี้ ความรักเป็นกระบวนการเคมีและชีวเคมีในสมอง สารเคมีที่หลั่งในสมองเมื่อเรามีความรัก นั้นทำให้เราอยากมีครอบครัวและมีลูกมีหลาน อยากสืบทอดเผ่าพันธุ์ นักวิทยาศาสตร์พยายามสืบค้นกระบวนการทำงานของความรัก จนรู้ว่าความรักเป็นอะไรที่ฝังอยู่ในพันธุกรรมของเรา (ยีนที่เกี่ยวข้องกับความรักจะเป็นตัวกำหนด กระบวนการชีวเคมี และกลไกการทำงานในร่างกายเพื่อทำให้เรามีรัก) ทำให้มนุษย์มีขีดความสามารถในการแข่งขันเหนือสัตว์อื่น เมื่อเร็วๆนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้รายงานว่า ปัจจัยหลักที่มีผลต่อการที่เราปิ๊งจะรักกับใครนั้นได้แก่ สารระเหยจากร่างกายที่ไม่มีกลิ่น ลักษณะสัณฐานวิทยาของใบหน้า และน้ำเสียง สามอย่างนี้แหล่ะครับ ที่ทำให้เราหัวปักหัวปำกับใครสักคนโดยไม่ทราบสาเหตุ (บางคนยังคิดลยเถิดไปด้วยซ้ำว่า ความรักนั้นลอยลมมาเอง ...)

นักวิทยาศาสตร์พบว่า เมื่อผู้หญิงไข่ตก จะผลิตสารระเหยชนิดหนึ่งออกมาที่มีชื่อว่า copulins ซึ่งเป็นสารที่ดึงดูดเพศชาย เมื่อผู้ชายสูดเอาสารเคมีตัวนี้เข้าไป ก็จะทำให้ปริมาณฮอร์โมน testosterone ในร่างกายของตนพุ่งสูงขึ้น แล้วก็จะปล่อย androstenone ซึ่งมีกลิ่นออกมา ซึ่งจะทำให้ผู้หญิงที่ไม่ได้ตกไข่นั้นไม่อยากเข้าใกล้ Dr. Laura Berman นักวิทยาศาสตร์ทางด้านเซ็กซ์ที่มีชื่อเสียงของสหรัฐ เธอตั้งสถาบันค้นคว้าและแก้ปัญหาทางด้านเซ็กซ์ ได้กล่าวว่า "เรื่องของแรงดึงดูดแห่งรักนั้น เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์และวิวัฒนาการทางพันธุศาสตร์ มากกว่าที่คนทั่วไปเข้าใจกันมากเลยล่ะค่ะ" เธอยังกล่าวถึงความสำคัญของสารระเหยที่เกี่ยวข้องกับความรักไว้อย่างน่าตื่นเต้นว่า "คนเรามีความสามารถในการดมและได้กลิ่นมากกว่า 10,000 กลิ่น แต่มีไอระเหยอินทรีย์อีกจำนวนมากที่เราสูดดมเข้าไป แต่ไม่ได้กลิ่น ซึ่งมีแต่จิตไร้สำนึกของเราเท่านั้นแหล่ะค่ะที่รู้ .....แล้วพวกกลิ่นเหล่านี้เอง ที่จะสื่อสารระหว่างคนสองคนที่มีความต้องการตรงกัน มันจะเป็นแรงผลักดันให้คนสองคนนั้น หมายตาหมายใจต่อกัน ..... เรื่องนี้เป็นเรื่องของการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์โดยตรง" สิ่งหนึ่งที่ Dr. Berman มักจะได้ยินจากคนไข้ของเธอก็คือ เขาเหล่านั้นรักคู่ครองของตน แต่ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองอยู่ในห้วงรักแม้แต่น้อย ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าเขาเหล่านั้นติดกลิ่นของอีกฝ่าย เป็นกระบวนการเคมี แต่ในความรู้สึกทางใจโดยตรงนั้น ก็ยังอาจไม่มีความรักลึกซื้งก็ได้

วันนี้ร้อนจริงๆ นะครับ เดี๋ยวผมจะลองไปเดินห้างตากแอร์เสียหน่อย ลองไปตามหากลิ่นที่ว่านั้นดู ........

13 เมษายน 2552

Are We Simulated in Computer ? - ฤาโลกนี้เป็นเพียงฝัน (ตอนที่ 1)


ในภาพยนตร์เรื่อง The Matrix นั้น โลกปัจจุบันที่กำลังดำเนินอยู่ของมนุษย์แต่ละคนนั้น เป็นเพียงภาพในสมองที่ถูกสร้างขึ้น และถูกบงการให้ดำเนินไปโดยการกระทำของกองทัพหุ่นยนต์ที่ยึดโลกเอาไว้ แท้จริงแล้ว มนุษย์แต่ละคนนั้นกำลังนอนหลับอยู่ในหลอดแก้ว ซึ่งเรียงรายอยู่ในห้องโถงขนาดใหญ่สุดลูกหูลูกตา มนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ ต่างดำเนินชีวิตไปภายใต้การควบคุมจากคอมพิวเตอร์ โดยที่ไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังนอนอยู่ สัญญาณในสมองของมนุษย์เหล่านั้นจะทำงานประสานกับสัญญาณคอมพิวเตอร์ที่ถูกควบคุมด้วยซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่


หลังจากดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ผมเคยถามตัวเองว่า พวกเราทั้งหมดนี้มีจริงหรือไม่ หรือเพียงแค่อาศัยอยู่ในโลกที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยใครสักคนที่มีอำนาจอยู่เหนือเรา แล้วคนๆนั้นกำลังเฝ้ามองเราอยู่ ในหลักคำสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ท่านมักกล่าวย้ำในเรื่องของ "อนัตตา" นั่นคือ "ความไม่มีตัวตน" ผมมักจะเจอหลักคำสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้บ่อยๆ ที่กล่าวย้ำว่า ชีวิตไม่มีแก่นสาร ไม่เที่ยง ไม่สามารถจับยึดได้ เพราะชีวิตไม่มีตัวตน


นักวิทยาศาสตร์เริ่มสงสัยกันแล้วล่ะครับว่า มีความเป็นไปได้ไหมว่าโลกที่เราอาศัยอยู่นี้รวมทั้งตัวเราด้วยนั้น เป็นเพียงโปรแกรมซิมูเลชันที่กำลังรันอยู่ในคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ที่มีพลังประมวลผลสูงมาก ในภาพยนตร์เรื่อง The Matrix นั้น เราสามารถตื่นออกมาจากโลกซิมูเลชั่นได้ เพราะมีโลกจริงๆ ตัวเราจริงๆ รองรับอยู่ แต่ถ้าหากโลกที่เราอาศัยอยู่นี้รวมทั้งตัวเรา เป็นเพียงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่รันอยู่ (เหมือนในเกมส์คอมพิวเตอร์ The Sims) เราก็หมดสิทธิ์ที่จะตื่นขึ้น คงต้องดำรงชีวิตต่อไปตามเกมส์ซิมูเลชันที่รันไปเรื่อยๆ เพราะตัวเราไม่ได้มีอยู่จริงแต่อย่างใด .......


Dr. Nick Bostrom ผู้อำนวยการสถาบันอนาคตของมนุษยชาติ (Future of Humanity Institute) แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด เชื่อว่าพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีของสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงใดก็ตาม (รวมไปถึงโลกของเรานี้ด้วย) ไม่ว่าที่ใดในจักรวาล จะต้องไปถึงจุดที่สามารถสร้างคอมพิวเตอร์ที่มีพลังประมวลผลสูงมาก และสูงกว่าพลังประมวลผลของสมองมนุษย์ทุกสมองในโลก และหากคอมพิวเตอร์มีศักยภาพไปถึงจุดนั้นแล้ว เชื่อว่าจะต้องมีใครที่คิดอยากจะซิมูเลชั่นสิ่งมีชีวิตต่างๆ บนโลก ซึ่งกำลังประมวลผลที่มหาศาลนี่เอง ทำให้การจำลองเหตุการณ์และสิ่งมีชีวิตต่างๆ ทำได้เหมือนจริงมากเสียจนผู้ถูกจำลองไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว ตนเองเป็นชีวิตที่จำลองขึ้นมา ....... วันหลังผมจะมาคุยต่อนะครับ ..........

(ภาพด้านบน เป็นตัวละครในเกมส์ชีวิต The Sims ซึ่งพวกเขาเป็นเพียงตัวละครที่รันอยู่ในคอมพิวเตอร์ พวกเขาไม่รู้ตัวเองเสียด้วยซ้ำว่าเป็นเพียงสิ่งสมมติในคอมพิวเตอร์เท่านั้น แล้วพวกเราล่ะ ????? มีจริงหรือไม่ จะรู้ได้อย่างไร ???)

12 เมษายน 2552

Bionic Insect - แมลงชีวกล (ตอนที่ 1)


ช่วงหลังๆนี้ ถ้าไปประชุมวิชาการทางด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยี ก็จะต้องสังเกตเห็นการเข้ามาปะปนของชีววิทยาในรูปแบบต่างๆ เรื่องหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นบ่อยๆ คือเรื่องเกี่ยวกับการฝังอุปกรณ์ต่างๆ ที่เรียกว่า implant เข้าไปในเนื้อเยื่อของมนุษย์และสัตว์ ซึ่งก็ต้องมีความเข้าใจในเรื่องระบบประสาท (Neuroscience) และกายวิภาค (Anatomy) รวมไปถึงสรีรวิทยา (Physiology) ของสิ่งมีชีวิตด้วยครับ ศาสตร์ทางด้านนี้บางคนเรียกว่า Man-Machine Interface ซึ่งผมเองก็กำลังทำวิจัยอยู่ แต่ทำใกล้มาทาง Machine มากกว่า Man เพราะว่าการทดลองกับคนและสัตว์นั้น มีความสุ่มเสี่ยงในเรื่องจริยธรรม มีความยุ่งยากกับระบบราชการ ต้องขออนุญาตกันเยอะแยะ เลยหนีๆ ออกมาทำฝั่งจักรกลซะมากกว่า อีกวิธีการหนึ่งที่ไม่ต้องยุ่งกับเรื่องระบบราชการมาก ไม่ต้องยุ่งกับแพทย์ ไม่ต้องเลี้ยงกระต่ายหรือหนูทดลอง ก็คือ การทำการทดลองกับแมลง ซึ่งไม่ต้องไปขออนุญาตใคร ไม่ต้องไปยุ่งกับแพทย์ ดังนั้นในช่วงหลังๆนี้ เราจึงเห็นการนำแมลงมาทำการทดลองสร้างสิ่งมีชีวิตกึ่งจักรกล หรือ Bionics กันมากขึ้นครับ


ก่อนหน้านี้ หน่วยงานทางด้านการส่งเสริมการวิจัยกลาโหมของสหรัฐอเมริกา (DARPA) ก็ออกมาเปิดเผยว่า ตอนนี้กองทัพสหรัฐมีความสนใจในเรื่องการนำแมลงมาเป็นทหาร Dr. Amit Lal ผู้ประสานงานชุดโครงการแมลงกึ่งจักรกลจุลภาค (Hybrid Insect Microelectromechanical System) กล่าวว่า "ในทางทหารนั้น เราใช้ม้าเป็นเครื่องมือในการทำสงครามมานับพันปี เราเคยใช้ช้างต่อสู้เพื่อทำยุทธหัตถี เราใช้นกพิราบส่งสารลับ ต่อไปนี้ แมลงจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสงครามครับ ........"

หลังจากการแข่งขันข้อเสนอโครงการจากมหาวิทยาลัยต่างๆ DARPA ได้คัดเลือกเพียง 3 มหาวิทยาลัยเท่านั้นให้มาทำโครงการนี้ ซึ่งได้แก่ มหาวิทยาลัยมิชิแกน, MIT ซึ่ง 2 สถาบันนี้เราคงคุ้นชื่อติดหูกันดีโดยเฉพาะ MIT ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งในเรื่องความเป็นที่รู้จัก แต่อีกสถาบันหนึ่งที่ได้รับสนับสนุนก็คือ Boyce Thompson Institute นี่ผมก็เพิ่งเคยได้ยินนี่แหล่ะครับ ซึ่งมหาวิทยาลัยมิชิแกนเน้นการใช้แมลงพวก Beetle หรือ ตัวด้วง แต่ทาง MIT และ Boyce Thompson เน้นการใช้ผีเสื้อกลางคืน มาทำเป็นแมลงชีวกล DARPA ตั้งความหวังไว้ว่าแมลงชีวกลนี้สามารถที่จะบินเข้าไปหาเป้าหมายซึ่งควบคุมด้วยวิทยุ หรือ อาจอาศัยเครื่องนำทางจิ๋วติด GPS โดยจุดปล่อยอยู่ห่างจากเป้าหมายหลายร้อยเมตร ซึ่งจะพัฒนาให้ได้เป็นกิโลเมตรในที่สุด เจ้าแมลงชีวกลนี้จะติดตั้งอุปกรณ์จิ๋วต่างๆ เช่น กล้องวิดิโอ ไมโครโฟน ก๊าซเซ็นเซอร์ เป็นต้น ซึ่งจะปลูกและเชื่อมโยงกับระบบประสาทของมัน ทำให้เราสามารถบังคับ หรือ โน้มน้าวให้มันบินไปในทิศทางหรือตำแหน่งที่ต้องการ โดยกองทัพสหรัฐฯ จะใช้มันเป็นฝูงบินแทรกซึมเข้าไปในแนวข้าศึก หรือพื้นที่สอดแนม เนื่องจากโครงการนี้เป็นโครงการทางด้านความมั่นคง จึงไม่มีแรงต่อต้านจากนักสิ่งแวดล้อมและผู้รักแมลงแต่อย่างใด

ผมจะมาเล่าเรื่องนี้ในตอนต่อๆไปนะครับ เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและน่าติดตามวิทยาการทางด้านนี้นะครับ .........

09 เมษายน 2552

Sense in the City - เมื่อเมืองมีประสาทสัมผัส


วันนี้เป็นวันที่วุ่นวายที่สุดวันหนึ่งของกรุงเทพฯ เลยล่ะครับพี่น้อง สำหรับตัวผมเองนั้น สถานที่ทำงานตั้งอยู่บนถนนพระราม 6 ใกล้กับกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งตั้งแต่ช่วงเที่ยง ผมก็เริ่มได้ยินเสียงโห่ร้องของชาวเสื้อแดง ที่ยกพลมาขับไล่ รมว. ต่างประเทศ ยิ่งฟังก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ช่วงนั้นผมจึงขอให้ลูกศิษย์คอยเช็คข่าวทางเว็บไซต์ต่างๆ เรื่อยๆ ว่าสถานการณ์กำลังจะไปถึงจุดไหน ผมได้เช็คเว็บไซต์ http://traffy.nectec.or.th/ ก็มีการรายงานข่าวการปิดอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิแล้ว แถมมีรูปแท็กซี่ปิดถนนให้ดูอีก เมื่อเช็คดูเรดาห์ตรวจอากาศ และภาพถ่ายดาวเทียมอินฟราเรด ก็เริ่มเห็นกลุ่มเมฆฝนเคลื่อนตัวเข้าสู่กรุงเทพฯ ณ เวลานั้น ผมก็รู้ว่าได้เวลากลับบ้านแล้ว "ปิดถนนบวกฝนตก" คงเป็นอะไรที่คนกรุงเทพฯ จดจำไปอีกนานเลยครับ ...........

ด้วยการตัดสินใจที่รวดเร็วจากข้อมูลที่เรียลไทม์ ทำให้ผมกลับมาถึงบ้านได้โดยใช้เวลาไม่นานนัก ตอนนี้ก็ยังติดตามข่าวอยู่เรื่อยๆ ครับ สงสารคนที่ยังติดอยู่ในเมือง ถ้าหากเรามีเทคโนโลยีเตือนภัยสำหรับคนเมือง ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้จากมือถือ ผู้คนอีกมากมาย ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงความสับสนอลหม่านที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ วันนี้ได้ .....

ที่ MIT ซึ่งเป็นตักศิลาด้านเทคโนโลยีของโลก เขามีห้องปฏิบัติการวิจัยเพื่อสร้างเทคโนโลยีระบบสัมผัสสำหรับเมือง หรือ SENSEable City Lab ซึ่งทุ่มเทสร้างสรรงานวิจัยเพื่อพัฒนาเมืองให้มีระบบประสาทที่ฉลาดมากขึ้น ทีมงานได้พัฒนาเทคโนโลยีในการรวบรวมข้อมูลจากเซ็นเซอร์ต่างๆ ข้อมูลการใช้โทรศัพท์มือถือในเมือง เพื่อนำมาสร้างเป็นฐานข้อมูลที่จะทำให้เข้าใจพลวัตการเปลี่ยนแปลงต่างๆในเมือง การใช้ชีวิต ความเป็นอยู่ การใช้พลังงาน การติดต่อสื่อสารของผู้คนในเมือง ความรู้ที่ได้นี้ จะนำมาสู่การออกแบบเมืองที่ตรงต่อวิธีการใช้ชีวิตของผู้คนมากยิ่งขึ้น มีประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรมากยิ่งขึ้น เทคโนโลยีที่พัฒนานี้นอกจากจะช่วยในเรื่องของการออกแบบผังเมืองแล้ว ยังช่วยในการจัดการเมืองที่มีความหนาแน่น ด้วยการตรวจสอบพลวัตของฝูงชน ความหนาแน่นของการจราจร เหตุการณ์ผิดปรกติ หรือสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ การจับจ่ายใช้สอย การใช้ชีวิตในสถานที่ท่องเที่ยว ข้อมูลต่างๆเหล่านั้น เมื่อถูกนำมาประมวลผลจะทำให้เมืองๆหนึ่งมีพฤติกรรมที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง มีสไตล์ มีพฤติกรรมประหนึ่งว่าเมืองนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตสิ่งหนึ่ง

ตอนนี้คนกรุงเทพฯ กำลังต้องการใช้เทคโนโลยีนี้แล้วครับ ......

04 เมษายน 2552

Robofish - ปลาหุ่นยนต์


วิศวกรรมเลียนแบบธรรมชาติ (Biomimetic Engineering) และจักรกลชีวภาพ (Bionics) กำลังจะครอบครองศตวรรษที่ 21 แล้วครับ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ล้วนหยิบยืมความรู้จากศาสตร์นี้มาใช้ทั้งนั้น ตั้งแต่เริ่มเขียน Blog นี้ผมก็ทยอยนำความก้าวหน้าในศาสตร์นี้มาเล่าให้ฟังเรื่อยๆ ครับ


เร็วๆ นี้สำนักข่าวรอยเตอร์ได้รายงานว่า คณะวิจัยของประเทศอังกฤษได้พัฒนาหุ่นยนต์ปลา ซึ่งสามารถเคลื่อนไหวคล้ายปลามากที่สุดตั้งแต่ที่มีการพยายามพัฒนาหุ่นยนต์ประเภทนี้ เจ้าหุ่นยนต์ปลาตัวนี้มีลำตัวยาว 1.5 เมตร นักวิจัยประดิษฐ์มันขึ้นมาโดยตั้งใจให้มันทำหน้าที่นักสืบใต้น้ำ มันถูกติดตั้งเซ็นเซอร์เคมีหลากหลายประเภทเข้าไป ทำให้มันสามารถตรวจสอบมลภาวะในทะเลได้ การที่มันมีรูปร่างเหมือนปลา และว่ายน้ำเหมือนปลา ทำให้การเคลื่อนไหวใต้น้ำของมันประหยัดพลังงานได้มากกว่าเรือดำน้ำไร้คนขับ ซึ่งมักใช้กันในงานวิจัยใต้น้ำ แต่สิ่งที่ทำให้มันเจ๋งกว่าเรือดำน้ำไร้คนขับเหล่านั้นคือ มันสามารถไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุม เจ้าหุ่นยนต์ปลานี้ได้ถูกโปรแกรมให้มีความฉลาด สามารถเรียนรู้การว่ายน้ำได้สถานการณ์ต่างๆ ตอนนี้คณะวิจัยกำลังวางแผนที่จะผลิตหุ่นยนต์ปลานี้ออกมาเป็นฝูงเลยครับ ซึ่งจะต้องมีการพัฒนาซอฟต์แวร์ เพื่อทำให้หุ่นยนต์ปลาสามารถอยู่และทำงานเป็นฝูง ซึ่งพวกมันก็ต้องมีทักษะทางสังคม (Social Intelligence) ด้วย

03 เมษายน 2552

MIT คิดค้นแบตเตอรีไวรัส


นักวิทยาศาสตร์นิยามว่าไวรัสเป็นอนุภาคที่มีความสามารถในการประกอบ และเพิ่มจำนวนได้เอง ด้วยการควบคุมจากสารพันธุกรรม ไวรัสยังไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเพราะมันไม่สามารถกินอาหารและเติบโตได้ มันเพียงแต่เพิ่มจำนวนได้โดยอาศัยสารอาหารของแหล่งทรัพยากรจากสิ่งมีชีวิตอื่น ว่ากันว่าใน DNA ของมนุษย์ (และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ) นั้น มีรหัสพันธุกรรมของไวรัสต่างๆ ฝังตัวอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเกิดจากการที่มนุษย์ติดโรคจากไวรัสในอดีต แล้วรหัสพันธุกรรมของไวรัสได้เข้าไปหลอมรวมกับของมนุษย์แล้วถ่ายทอดต่อๆ มาจนถึงลูกหลาน ซึ่งปัจจุบันยังไม่รู้แน่ชัดว่ารหัสพวกนั้นทำอะไร หรือเป็นเพียงขยะปลอมปนอยู่ใน DNA ของเรา ???

ในศตวรรษที่ 21 นี้ หากศาสตร์ใดไม่นำเอาเนื้อหาของชีววิทยาไปใส่ จะถือว่าเชยมาก ดังนั้นเราจะเห็นว่าข่าวคราวความก้าวหน้าใหม่ๆ ทางเทคโนโลยีหรือวิศวกรรมที่น่าตื่นเต้น จะมีส่วนของชีววิทยาปะปนมาด้วยอยู่เสมอ ล่าสุดมีรายงานในวารสาร Science ฉบับวันที่ 2 เมษายน 2009 ว่าทีมนักวิจัยแห่ง MIT ได้พัฒนาแบตเตอรีแบบลิเธียมไอออนที่มีการนำเอาไวรัสเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของขั้วไฟฟ้าในแบตเตอรี โดยคณะวิจัยได้พัฒนาแบตเตอรีขึ้นเองทั้งหมด ซึ่งรวมไปถึงขั้วไฟฟ้าทั้ง Anode และ Cathode ที่มีโครงสร้างนาโน และอิเล็กโตรไลต์ที่ทำจากฟิล์มบางของพอลิเมอร์หลายๆชั้น ขั้ว Anode นั้นถูกสร้างขึ้นมาด้วยการเคลือบผิวด้วยไวรัสที่ตกแต่งรหัสพันธุกรรมให้มีชั้นโปรตีนเคลือบอยู่นอกตัวมัน ซึ่งโปรตีนชนิดนี้จะก่อให้เกิดเส้นลวดนาโน (nanowire) ของโคบอลออดไซด์ ในขณะที่ในฝั่งของ Cathode นั้นไวรัสจะถูกเคลือบบนท่อนาโนคาร์บอน ซึ่งโปรตีนที่หุ้มไวรัสอยู่จะสร้าง nanowire ของเหล็กฟอสเฟตขึ้นมา

ก่อนหน้านี้หนึ่งสัปดาห์ ท่านอธิการบดีของ MIT ได้นำต้นแบบแบตเตอรีจากไวรัสตัวนี้ไปแสดงสาธิตให้ ท่านประธานาธิบดี Barack Obama ได้ชมที่ทำเนียบขาวมาแล้วด้วยนะครับ แว่วๆมาว่า ทางท่านประธานาธิบดีมีแผนจะอัดฉีดงบวิจัยทางด้านพลังงานสะอาดให้แก่มหาวิทยาลัยนี้ และที่อื่นๆเพิ่มขึ้นอีกด้วยนะครับ .......

01 เมษายน 2552

Rice Planting Robot - หุ่นยนต์ปลูกข้าว


เมื่อปลายปี 2008 ผมได้ไปประชุมวิชาการ World Conference on Agricultural Informatics and IT 2008 ซึ่งใน session นิทรรศการนั้น ผมได้ไปสะดุดตาเข้ากับสิ่งประดิษฐ์ชิ้นหนึ่งเข้า นั่นคือเจ้าหุ่นยนต์ดำนาปลูกข้าว (Rice Planting Robot) จริงๆแล้ว เครื่องปลูกข้าวไม่ใช่อะไรที่ใหม่หรอกครับ เพราะมีคนทำได้แล้ว แต่นวัตกรรมชิ้นนี้มีข้อต่างจากเครื่องพวกนั้นอย่างสำคัญตรงที่ มันทำงานได้เองโดยที่ไม่ต้องมีคนคอยควบคุม


การดำนาเพื่อปลูกข้าวนั้น เป็นงานหนักที่ต้องใช้ความอดทนสูง รวมไปถึงประสบการณ์ด้วยครับ ชาวนาจะต้องใช้เวลาค่อนข้างนานในแต่ละแปลง เพื่อจัดวางตำแหน่งของต้นกล้า ให้อยู่เป็นแถวเป็นแนว งานที่ท้าทายนี้สามารถถ่ายทอดไปให้หุ่นยนต์จัดการได้แล้วครับ โดยทางศูนย์วิจัยเกษตรแห่งชาติญี่ปุ่น (National Agricultural Research Center) ได้พัฒนาหุ่นยนต์ปลูกข้าวขึ้นมาโดยไร้มนุษย์ควบคุม เจ้าหุ่นตัวนี้สามารถทำงานในนาข้าวโดยอาศัยการกำหนดตำแหน่งจาก GPS ผสมผสานกับการระบุทิศทางและความเร็วด้วยเซ็นเซอร์อย่างอื่นด้วย ทำให้มันสามารถทำงานได้อย่างแม่นยำ มันมีความสามารถในการดำนาได้ 1,000 ตารางเมตร ภายใน 20 นาที (หรือคิดเป็นพื้นที่ 250 ตารางวา) ดังนั้นหากให้มันทำงาน 10 ชั่วโมงต่อวัน มันสามารถดำนาได้ทั้งหมด 20 ไร่ ซึ่งแน่นอนว่าเร็วกว่ามนุษย์มาก การเข้ามาของหุ่นยนต์ปลูกข้าวนั้น นับว่าถูกที่ถูกเวลา เพราะสังคมเกษตรกรรมของญี่ปุ่นในปัจจุบันนั้น เหลือแต่ผู้สูงวัย คนหนุ่มสาวไม่ค่อยอยากทำงานด้านนี้แล้วครับ หุ่นยนต์พวกนี้นอกจากจะช่วยเกษตรกรผู้สูงวัยแล้ว มันยังดึงดูดให้คนหนุ่มสาวอยากเข้ามาทำงานเกษตรมากขึ้นด้วยครับ .........

Printed Electronics Asia 2009


วันนี้ผมนำการประชุมและนิทรรศการที่น่าสนใจมาฝากอีกงานหนึ่งครับ งานนี้มีชื่อว่า Printed Electronics ASIA 09 ซึ่งจะจัดระหว่างวันที่ 30 กันยายน - 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552 นี้ที่กรุงโตเกียว บนเกาะญี่ปุ่น ซึ่งในงานประชุมและนิทรรศการครั้งนี้ เขาจะมาพูดคุยกันถึงเรื่องความก้าวหน้าในศาสตร์ของอิเล็กทรอนิกส์แบบพิมพ์ได้ ตั้งแต่เรื่องของเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงการตลาด ซึ่งจะครอบคลุมหัวข้อที่สนใจดังนี้


  • Thin film and printed transistors and memory

  • Flexible, printed and large area

  • OLED displays and lighting

  • E-paper Technologies: Rollable, reflective, low power and light weight displays

  • Progress to lower cost, flexible, printed, lightweight

  • Photovoltaics

  • New electronic materials: conductors, semiconductors, rare material replacements, carbon based materials

  • Technologies enabling the printing of electronics

สำหรับคนที่ชอบไปญี่ปุ่น การประชุมนี้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งครับ ไม่ต้องไปถึงอเมริกา แต่การประชุมนี้เป็นการประชุมที่เน้นอุตสาหกรรมนะครับ จึงไม่มีการเสนอ paper เหมือนการประชุมวิชาการ คนที่มาพูดส่วนใหญ่มาจากอุตสาหกรรมนะครับ