แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ alternative energy แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ alternative energy แสดงบทความทั้งหมด

19 กรกฎาคม 2553

Wireless Power - ระบบส่งพลังงานแบบไร้สาย (ตอนที่ 2)


ในจำนวนพลังงานทางเลือกทั้งหมดที่มีให้เลือก ดูเหมือนพลังงานแสงอาทิตย์น่าจะเป็นทางเลือกที่ตรงจุดมากที่สุด เพราะจะว่าไปแล้ว แหล่งกำเนิดของพลังงานทางเลือกทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพลังงานลม เอธานอล ไบโอดีเซล สุดท้ายก็มีต้นกำเนิดมาจากดวงอาทิตย์นี่แหล่ะครับ แนวคิดหนึ่งในการดักเอาพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ก็คือ การไปสร้างสถานีไฟฟ้าโซลาเซลล์บนวงโคจรในอวกาศ แต่จะส่งพลังงานไฟฟ้ากลับมาใช้ยังโลก ยังไงล่ะครับ ?

ล่าสุดประเทศญี่ปุ่น อาจจะกลายมาเป็นผู้นำทางด้านสถานีไฟฟ้าในอวกาศก็ได้ครับ เพราะทางกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (หรือ METI) ของญี่ปุ่นได้ออกมาประกาศว่า รัฐบาลญี่ปุ่นตั้งเป้าจะส่งดาวเทียมที่ติดตั้งแผงโซลาเซลล์ขนาดใหญ่ ไปลอยอยู่ในวงโคจรของโลก เพื่อไปทำหน้าที่ผลิตไฟฟ้าในอวกาศ มีกำหนดไม่เกินปี 2020 นี้ ดาวเทียมดวงนี้จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าในระดับกิกะวัตต์ ซึ่งมากเพียงพอจะหล่อเลี้ยงบ้านเรือนได้ประมาณ 300,000 หลัง โดยไฟฟ้าที่ผลิตได้จะถูกยิงลงมายังสถานีฐานในรูปของคลื่นไมโครเวฟ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ ได้ให้ความเห็นว่า ดาวเทียมดวงนี้จะเป็นบทพิสูจน์ว่า สถานีไฟฟ้าในวงโคจร เป็นแนวความคิดที่เป็นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งพร้อมจะดำเนินการเป็นเรื่องเป็นราวในเชิงพาณิชย์ได้ภายใน 20 ปี

สถานีไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ในวงโคจร ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นที่สุดของโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ทั้งหลาย เพราะเมื่อเทียบกับการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยแผงโซลาเซลล์บนพื้นโลกแล้ว โรงไฟฟ้าในวงโคจรสามารถผลิตไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องคำนึงถึงสภาพดินฟ้า อากาศ ก้อนเมฆ หรือพายุฝน การนำส่งพลังงานไฟฟ้าลงมายังพื้นโลกก็สามารถทำได้อย่างไม่ต้องสนใจสภาพอากาศเช่นกัน หากเลือกความถี่ของคลื่นไมโครเวฟที่เหมาะสม

15 กันยายน 2552

จีนเตรียมสร้างโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ ใหญ่ที่สุดในโลก


เมื่อคืนวันก่อนผมไปนั่งทานข้าวเย็นที่ร้านกินลมชมสะพาน ร้านนี้อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งพระนคร จากร้านจะมองเห็นสะพานพระราม 8 ได้อย่างชัดเจน ซึ่งวิวทิวทัศน์ตอนกลางคืนก็สวยโรแมนติกไม่เบาครับ สิ่งก่อสร้างอย่างสะพานพระราม 8 เท่านี้ คนไทยเราก็ดีใจที่ได้เห็นแล้วครับ ไม่ได้เลิศหรูเหมือนสิ่งก่อสร้างใหญ่ๆ ใหม่ๆ ที่มักเกิดขึ้นตามหัวเมืองต่างๆ ของประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ มาเก๊า เดี๋ยวนี้สิ่งก่อสร้างของฝรั่งตกกระป๋องไปแล้วครับ ศูนย์กลางของโลกย้ายมาอยู่เอเชียแล้ว

ล่าสุด จีนกำลังจะก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาฑิตย์ขนาดกำลังการผลิต 2 กิกะวัตต์ ในทะเลทรายติดกับประเทศมองโกเลีย ซึ่งหากเสร็จเมื่อไหร่ ก็จะเป็นโรงไฟฟ้าพลังแสงอาฑิตย์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ใหญ่กว่าโรงไฟฟ้าของกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งมีขนาดเพียง 500 เมกะวัตต์เท่านั้น ทั้งนี้ยังไม่รวมโรงไฟฟ้าขนาด 500 เมกะวัตต์ของจีนอีกแห่งหนึ่งที่จะสร้างในมณฑล Inner Mongolia

โรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ขนาด 2 กิกะวัต์ จะแบ่งการก่อสร้างเป็น 4 เฟส คือ เฟสแรก 30 เมกะวัตต์จะเสร็จในปี 2010 เฟสที่สองขนาด 100 เมกะวัตต์ และเฟสที่สามขนาด 870 เมกะวัตต์จะเสร็จในปี 2014 ส่วนเฟสสุดท้ายขนาด 1,000 เมกะวัตต์ จะเสร็จในปี 2019 โดยทางบริษัท First Solar แห่งสหรัฐอเมริกาได้รับสัมประทานในการก่อสร้างไรงไฟฟ้าดังกล่าว

ไม่รู้ว่าจีนมีวาระแอบแฝงหรือเปล่าครับ เพราะการจะติดตั้งโรงไฟฟ้าใหญ่ขนาดนี้ในเขตทะเลทราย อาจจะต้องถึงกับไปตั้งโรงงานผลิตแผงโซลาร์เซลล์ในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งก็จะเป็นโอกาสให้เขาคัดลอกเทคโนโลยีนี้ได้ง่ายขึ้น

16 มิถุนายน 2552

เมื่อพลังงานทางเลือกตีตลาดกลาโหม (ตอนที่ 2)


ช่วงนี้น้ำมันกลับมาแพงอีกแล้วครับ การกลับมาแพงขึ้นของน้ำมันเที่ยวนี้ เป็นบ่งชี้ว่ายุคของ The End of Oil ใกล้จะมาถึงแล้ว และตอนนี้ใครๆก็กลับมาผลักดันเรื่องพลังงานทางเลือกกันมากขึ้น สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศหนึ่งในชั่วโมงนี้ ที่อัดฉีดงบมหาศาลเพื่อพาประเทศให้หลุดพ้นจากเชื้อเพลิงฟอสซิล

น้ำมันกลับมาแพงเที่ยวใหม่คราวนี้ คนที่เดือดร้อนที่สุดในอเมริกาตอนนี้เห็นจะเป็น "ทหาร" ครับ เพราะเป็นผู้บริโภครายใหญ่สุดของอเมริกา ที่ทหารให้ความสนใจพลังงานทางเลือก ก็เพราะว่าน้ำมันที่เราเติมๆ กันลิตรละ 30 บาทนั้น เมื่อไปอยู่ในสนามรบแล้วอย่างในอัฟกานิสถาน มันจะมีราคาแพงถึงลิตรละ 3,000 กว่าบาทเลยทีเดียว ทั้งนี้น้ำมันเพียง 50% เท่านั้นที่ใช้สำหรับยานพาหนะ ทีเหลือส่วนใหญ่นำไปใช้ปั่นไฟฟ้า ซึ่งจริงๆแล้วน่าจะสามารถนำพลังงานอย่างอื่นมาใช้แทนได้

เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2008 กองทัพสหรัฐฯ ได้เริ่มนำเครื่องปั่นไฟฟ้าพลังงานขยะ ไปติดตั้งเพื่อทดลองใช้งานที่ค่ายทหารแห่งหนึ่ง ณ กรุงแบกแดด ซึ่งต่อไปเครื่องปั่นไฟฟ้าเหล่านี้จะถูกนำไปใช้งานตามค่ายทหารต่างๆในอิรัก การผลิตไฟฟ้าเองจะทำให้ทหารสหรัฐฯ ลดความเสี่ยงในการขนส่งน้ำมันมายังค่ายทหาร เพราะรถขนส่งเชื้อเพลิงมักจะตกเป็นเป้าหมายในการโจมตี เพื่อตัดกำลังลำเลียงยุทธปัจจัย นอกจากจะลดจำนวนเที่ยวขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงมายังค่ายทหารแล้ว เจ้าเครื่องปั่นไฟจากขยะนี้ยังลดการขนส่งขยะออกไปทิ้งกลบข้างนอกอีก เพราะรถบรรทุกขยะก็เป็นเป้าหมายในการโจมตีเช่นกัน

วันหลังมาคุยเรื่องนี้กันต่อครับ ผมค่อนข้างเชื่อว่าเมื่อทหารเอาจริงเรื่องนี้ เทคโนโลยีพลังงานทางเลือกจะถึงยุคบูมแน่นอน .....

08 มิถุนายน 2552

เมื่อพลังงานทางเลือกตีตลาดกลาโหม (ตอนที่ 1)


การที่นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เลือกศาสตราจารย์ Steven Chu เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ค.ศ. 1997 จากผลงานช็อคโลกด้วยการหยุดการเคลื่อนที่ของอะตอม ให้เป็นรัฐมนตรีพลังงาสหรัฐฯ ย่อมเป็นการส่งสัญญาณว่า ต่อไปนี้สหรัฐอเมริกาได้เลือกจะเป็นประเทศแห่งพลังงานทางเลือก (Alternative Energy) แล้ว เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า Steven Chu ศาสตราจารย์ด้านชีวฟิสิกส์แห่ง UC Berkeley และ ผู้อำนวยการ Lawrence Berkeley National Laboratory นั้นมีความใฝ่ใจกับเรื่องของพลังงานทางเลือกมาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ วันหลังผมจะนำเรื่องที่น่าสนใจของศาสตราจารย์ท่านนี้มาเล่าให้ฟังนะครับ

และการที่นายบารัค โอบามา ก็เลือกที่จะให้นาย Robert Gates อดีตอธิการบดีของ Texas A&M University และรัฐมนตรีกลาโหมสมัยประธานาธิบดีบุช ได้เป็นรัฐมนตรีกลาโหมต่อ นั้นหมายถึง ต่อไปนี้กองทัพสหรัฐฯ จะเป็นลูกค้ารายใหญ่ของพลังงานทางเลือกเต็มตัวแล้วล่ะครับ เพราะในช่วงที่นาย Gates ดูแลเพนทากอนอยู่นั้น กองทัพสหรัฐฯ ได้มีโครงการจ๊าบจ๊าบออกมามากมาย นาย Gates เป็นผู้เปลี่ยนกระบวนทัศน์พิชัยสงครามของสหรัฐฯ จากการเป็นกองทัพใหญ่เทอะทะ มาสู่การเป็นกำลังรบขนาดเล็ก เคลื่อนตัวเร็ว ปฏิบัติการเร็ว

การที่รัฐมนตรีพลังงานกับรัฐมนตรีกลาโหม ต่างก็เป็นมนุษย์สายพันธุ์คิดใหม่ทำใหม่ คิดนอกกรอบ มองนอกกะลา ทำให้กลาโหมกำลังจะกลายมาเป็นตลาดใหม่สำหรับพลังงานทางเลือกแล้วล่ะครับ ในเดือนพฤษภาคม 2552 ที่ผ่านมานี้เอง ทางกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ออกมาประกาศว่าทางกองทัพได้กำหนดให้เรื่องพลังงานเป็นนโยบายหลัก อาวุธในอนาคตจะต้องเป็นอาวุธที่ประหยัดพลังงาน ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาทางเพนทากอนได้เพิ่มงบวิจัยทางด้านนี้เป็น 3 เท่าตัวเลย ทำให้ปัจจุบันมีงบวิจัยด้านพลังงานสูงถึง 1.2 พันล้านเหรียญ (ประมาณ 40,000 ล้านบาท) ต่อปี ซึ่งก็จะมีเงินเพิ่มจากงบกู้เศรษฐกิจของโอบามาอีก 300 ล้านเหรียญสหรัฐ

03 เมษายน 2552

MIT คิดค้นแบตเตอรีไวรัส


นักวิทยาศาสตร์นิยามว่าไวรัสเป็นอนุภาคที่มีความสามารถในการประกอบ และเพิ่มจำนวนได้เอง ด้วยการควบคุมจากสารพันธุกรรม ไวรัสยังไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเพราะมันไม่สามารถกินอาหารและเติบโตได้ มันเพียงแต่เพิ่มจำนวนได้โดยอาศัยสารอาหารของแหล่งทรัพยากรจากสิ่งมีชีวิตอื่น ว่ากันว่าใน DNA ของมนุษย์ (และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ) นั้น มีรหัสพันธุกรรมของไวรัสต่างๆ ฝังตัวอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเกิดจากการที่มนุษย์ติดโรคจากไวรัสในอดีต แล้วรหัสพันธุกรรมของไวรัสได้เข้าไปหลอมรวมกับของมนุษย์แล้วถ่ายทอดต่อๆ มาจนถึงลูกหลาน ซึ่งปัจจุบันยังไม่รู้แน่ชัดว่ารหัสพวกนั้นทำอะไร หรือเป็นเพียงขยะปลอมปนอยู่ใน DNA ของเรา ???

ในศตวรรษที่ 21 นี้ หากศาสตร์ใดไม่นำเอาเนื้อหาของชีววิทยาไปใส่ จะถือว่าเชยมาก ดังนั้นเราจะเห็นว่าข่าวคราวความก้าวหน้าใหม่ๆ ทางเทคโนโลยีหรือวิศวกรรมที่น่าตื่นเต้น จะมีส่วนของชีววิทยาปะปนมาด้วยอยู่เสมอ ล่าสุดมีรายงานในวารสาร Science ฉบับวันที่ 2 เมษายน 2009 ว่าทีมนักวิจัยแห่ง MIT ได้พัฒนาแบตเตอรีแบบลิเธียมไอออนที่มีการนำเอาไวรัสเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของขั้วไฟฟ้าในแบตเตอรี โดยคณะวิจัยได้พัฒนาแบตเตอรีขึ้นเองทั้งหมด ซึ่งรวมไปถึงขั้วไฟฟ้าทั้ง Anode และ Cathode ที่มีโครงสร้างนาโน และอิเล็กโตรไลต์ที่ทำจากฟิล์มบางของพอลิเมอร์หลายๆชั้น ขั้ว Anode นั้นถูกสร้างขึ้นมาด้วยการเคลือบผิวด้วยไวรัสที่ตกแต่งรหัสพันธุกรรมให้มีชั้นโปรตีนเคลือบอยู่นอกตัวมัน ซึ่งโปรตีนชนิดนี้จะก่อให้เกิดเส้นลวดนาโน (nanowire) ของโคบอลออดไซด์ ในขณะที่ในฝั่งของ Cathode นั้นไวรัสจะถูกเคลือบบนท่อนาโนคาร์บอน ซึ่งโปรตีนที่หุ้มไวรัสอยู่จะสร้าง nanowire ของเหล็กฟอสเฟตขึ้นมา

ก่อนหน้านี้หนึ่งสัปดาห์ ท่านอธิการบดีของ MIT ได้นำต้นแบบแบตเตอรีจากไวรัสตัวนี้ไปแสดงสาธิตให้ ท่านประธานาธิบดี Barack Obama ได้ชมที่ทำเนียบขาวมาแล้วด้วยนะครับ แว่วๆมาว่า ทางท่านประธานาธิบดีมีแผนจะอัดฉีดงบวิจัยทางด้านพลังงานสะอาดให้แก่มหาวิทยาลัยนี้ และที่อื่นๆเพิ่มขึ้นอีกด้วยนะครับ .......

23 มีนาคม 2552

Google Energy - กูเกิ้ลธุรกิจพลังงาน (ตอนที่ 3)


แผนการในการผงาดขึ้นมาเป็นยักษ์ใหญ่ในธุรกิจพลังงานของกูเกิ้ล นั้นถูกวางไว้อย่างแยบยลครับ เนื่องจากกูเกิ้ลเป็นบริษัทของคนรุ่นใหม่ จึงมองว่า น้ำมันกับก๊าซธรรมชาติเป็นเรื่องของอดีต เขาจึงไม่ไปลงทุนทางด้านนี้ แต่จะลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและการอนุรักษ์พลังงานอย่างเป็นระบบ ก่อนหน้านี้ผมก็ได้กล่าวถึงโครงการทางด้านพลังงานหมุนเวียนที่กูเกิ้ลได้ริเริ่มไปกันบางแล้วนะครับ วันนี้ผมจะขอพูดถึงโครงการอนุรักษ์พลังงานของกูเกิ้ลกันบ้าง

กูเกิ้ลมีแผนการใหญ่ที่จะเข้าไปสร้างธุรกิจทางด้านอนุรักษ์พลังงานครับ แต่เรื่องนี้ผมจะขออุบเอาไว้ก่อน ค่อยพูดในตอนหลังๆ แต่วันนี้ขอพูดเรื่องที่ใกล้ตัวของกูเกิ้ลเอง เนื่องจากบริษัทนี้เป็นบริษัททำเรื่อง Search Engine หรือเครื่องมือค้นหาในอินเตอร์เน็ต จึงต้องมีเครื่องแม่ข่ายขนาดใหญ่ติดตั้งทั่วโลก กูเกิ้ลพยายามทำให้ศูนย์ข้อมูลที่เรียกว่า Data Center เหล่านั้นใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ซึ่งผมได้พูดไปบ้างแล้ว ซึ่งตอนนี้กูเกิ้ลได้ชื่อว่าเป็นศูนย์ข้อมูลที่ประหยัดพลังงานที่สุดในโลก กูเกิ้ลได้เริ่มสร้างพัฒนาให้สำนักงานของตนเองเป็นอ็อฟฟิศประหยัดพลังงาน ด้วยการใช้หลอดไฟแบบใหม่ทั้งหมด ลดการใช้ไฟในตอนกลางวันด้วยการออกแบบอาคารให้ใช้แสงธรรมชาติ พัฒนาซอฟต์แวร์จัดการพลังงานในเครื่องคอมพิวเตอร์ ติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจการเคลื่อนที่ในอาคารเพื่อประหยัดไฟฟ้าส่องสว่าง กูเกิ้ลยังพัฒนาระบบติดตามการใช้พลังงานในสำนักงานใหญ่ เพื่อให้รู้ว่าพลังงานถูกใช้ไปในกิจกรรมอะไรบ้าง เท่าไหร่ ซึ่งจะนำมาสู่วิธีการปฏิบัติงานที่ใช้ไฟฟ้าน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

นอกจากนั้น กูเกิ้ลยังได้ร่วมมือกับบริษัทอินเทล เพื่อพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ที่ประหยัดพลังงาน มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2007 แล้ว และได้ดำเนินการเพื่อให้ปี ค.ศ. 2010 โลกจะลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการทำงานของคอมพิวเตอร์ให้ได้สัก 54 ล้านตันต่อปี ซึ่งคาร์บอนจำนวนนี้เท่ากับจากการปลดปล่อยของรถยนต์ 11 ล้านคัน

วันหลังจะมาคุยต่อเรื่องนี้อีกนะครับ ..........

13 มีนาคม 2552

โลกควรดีใจที่เศรษฐกิจแย่




ช่วงนี้เจอใครๆ ก็จะบ่นกันอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกก็คือเศรษฐกิจที่นับวันมีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ ผมไปเดินห้าง เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นใครจับจ่ายใช้สอยกันเหมือนเมื่อก่อน แต่ละคนคอยมองหาแต่ของลดราคา เพื่อนๆบอกว่าให้เก็บเงินสดไว้ พยายามอย่าใช้ถ้าไม่จำเป็น อีกเรื่องที่คนบ่นกันมากก็คือเรื่องอากาศที่ร้อนอบอ้าว บางคนลาพักร้อนไปเที่ยวต่างจังหวัด กลับมาแล้วก็บ่นว่านอนอยู่บ้านสบายกว่า ตอนนี้ใครที่ยังไม่เชื่อว่าโลกร้อนขึ้นจริงๆ คนก็จะมองหน้าแล้วถามว่า "คุณไปอยู่ไหนมา"


เรื่องทั้ง 2 เรื่องที่ว่ามานี้ ดูเหมือนจะเชื่อมโยงกันแล้วครับ นั่นคือ เรื่องที่เศรษฐกิจแย่ๆ นั้นแหล่ะครับ จะช่วยทำให้เรื่องที่ 2 คือ โลกร้อนนั้นช่วยผ่อนคลายลง ในการประชุมเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศโลกที่กรุงโคเปนไฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2552 ที่ผ่านมานี้ นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง Professor Nicholas Stern ได้ให้ปาฐกถาว่า "โลกเราควรดีใจสิครับ ที่เศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก เพราะนี้คือวิธีแก้โลกร้อนที่ชะงัดและได้ผลที่สุด เพราะขณะนี้การปลดปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศลดลงอย่างวูบวาบ เพราะโรงงานปิด คนใช้รถน้อยลง เดินทางน้อยลง และลดกิจกรรมต่างๆที่เคยมีจนมากเกินไป"


จริงๆ แล้วการที่เศรษฐกิจสหรัฐพังทลายลงมานั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากที่น้ำมันมีราคาสูงจนไปทำให้ฟองสบู่ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แตก ถึงแม้ตอนนี้ราคาน้ำมันจะตกต่ำลงไปแล้ว แต่สหรัฐฯก็เข็ดหลาบจากพลังงานฟอสซิล และเริ่มหันมาหาพลังงานสะอาดแทน เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐสภาสหรัฐฯได้ผ่านกฏหมายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีการนำเงินกว่า 100,000 ล้านเหรียญไปใช้เพื่อทำให้อเมริกาสามารถปลดแอกตัวเองจากน้ำมัน การลงทุนต่างๆของสหรัฐฯนั้น จะทำให้เกิดการสร้างงานแบบใหม่ที่เรียกว่า Green Jobs การที่เศรษฐกิจโลกย่ำแย่นั้น กลับจะเป็นผลดีเสียด้วยซ้ำกับสิ่งแวดล้อมโลก เพราะแรงงานจะถูกลง ทำให้สามารถจ้างแรงงานจำนวนมาก เพื่อมาปฏิรูประบบนำส่งพลังงานไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทั้งในยุโรปและอเมริกา บริษัท ห้างร้าน ต่างๆ จะพยายามทำงานให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งก็จะมีผลต่อการปลดปล่อยคาร์บอนน้อยลงไป ดังนั้นในช่วงที่เศรษฐกิจแย่ๆ อยู่นี้ เราควรจะรีบเร่งปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตเสียใหม่ งานแบบใดที่ทำให้โลกร้อนก็ให้มันหมดไป สร้างอาชีพใหม่ๆที่เป็น Green Jobs นี่คือโอกาสของเราที่จะช่วยโลกแล้วครับ ในช่วงที่เศรษฐกิจแย่ๆนี่แหล่ะ .......

09 มีนาคม 2552

Google Energy - กูเกิ้ลธุรกิจพลังงาน (ตอนที่ 2)


ใครจะรู้ล่ะครับ อีกหน่อยยักษ์ใหญ่ทางด้านพลังงานของโลกอาจจะเป็นบริษัทกูเกิ้ลก็ได้ กูเกิ้ลเริ่มลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดมากกว่าบริษัทน้ำมันเสียอีกครับ ผมจะทยอยนำข่าวความคืบหน้าในเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังเรื่อยๆ ครับ

กูเกิ้ลมีวิสัยทัศน์ว่า พลังงานสะอาดจะต้องทำให้มีราคาถูกกว่าถ่านหิน จึงจะแก้ปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลได้ กูเกิ้ลจึงลงทุนในเรื่องของการวิจัยและพัฒนาพลังงานหมุนเวียน ทั้งพลังงานลม พลังงานใต้พิภพ พลังงานแสงอาฑิตย์ กูเกิ้ลลงเงินในบริษัทพลังงานที่จัดตั้งใหม่ (Start-Up) มากมาย เช่น Makani Power Inc ซึ่งพัฒนาพลังงานลม (ลงไปมากกว่า 400 ล้านบาท) eSolar Inc ซึ่งพัฒนาพลังงานแสงอาฑิตย์แบบนำพาความร้อน (ลงไป 350 ล้านบาท) AltaRock Energy Inc ซึ่งพัฒนาพลังงานจากความร้อนใต้พิภพ (ลงไป 210 ล้านบาท) และยังมีบริษัทเล็กๆ อื่นๆ อีก ที่พัฒนาเทคโนโลยีทางด้านรถไฟฟ้าที่ชาร์จจากไฟบ้าน (plug-in)


กูเกิ้ลได้ริเริ่มโครงการหนึ่งที่มีชื่อว่า RechargeIT โดยนำรถยนต์ไฮบริดจำนวน 16 คัน ซึ่งใช้ได้ทั้งไฟฟ้าและน้ำมัน มาให้พนักงานอาสาสมัครได้ใช้งานจริงๆในชีวิตประจำวัน โดยรถยนต์เหล่านี้จะมีอุปกรณ์รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลติดตั้งในรถ เพื่อเก็บข้อมูลและนำมาประมวลผลว่าการใช้รถไฮบริด ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้จริงๆ เท่าไร กูเกิ้ลได้ทำการทดลองมาเป็นปีแล้ว และตอนนี้มีแผนจะเพิ่มจำนวนรถไฮบริดเป็น 100 คัน ซึ่งจะทำให้กูเกิ้ลสามารถที่จะสร้างโครงสร้างพื้นฐานในระดับต้นแบบ เพื่อรองรับการใฃ้รถยนต์ไฮบริดได้ในอนาคต เช่น ระบบการชาร์จไฟอัจฉริยะ ซึ่งจะทำให้รถยนต์ไฮบริดที่วิ่งไป วิ่งมา สามารถที่จะรู้ว่าจะชาร์จไฟที่ไหน ใช้เวลาเท่าไร เพื่อวิ่งไปไหน ในอนาคตการขับรถไปจอดที่ห้างสรรพสินค้า ก็สามารถชาร์จไฟให้รถในขณะที่ซื้อสินค้าได้ กูเกิ้ลได้นำข้อมูลต่างๆ ออนไลน์ให้สาธารณะได้ดูด้วย เป็นของฟรีสไตล์กูเกิ้ล ..........


(ภาพบน - เจ้าของบริษัท Google กำลังสาธิตการนำไฟฟ้าจาก solar cell มาเสียบให้รถยนต์ไฮบริด)

09 กุมภาพันธ์ 2552

Smart Grid - ระบบส่งไฟฟ้าอัจฉริยะ (ตอนที่ 1)


ช่วงที่น้ำมันถูกอย่างนี้ ทำเอาหลายๆคนที่ทำงานเกี่ยวกับพลังงานทางเลือกเหี่ยวไปตามๆกัน แถมเจอลูกพ่วงจากพิษเศรษฐกิจโลก ทำให้หน่วยงานสนับสนุนทั้งหลายชะลอการให้ทุนวิจัยทางด้านนี้ไปกันหมดเลยครับ โดยเฉพาะประเทศไทยที่กระแสเรื่องนี้มันขึ้นๆ ลงๆ ตามราคาของน้ำมัน คนที่ทำงานด้านพลังงานทางเลือกต่างก็หวังว่าน้ำมันจะถูกอยู่ไม่นาน แต่ดูเหมือนว่าความคิดเช่นนั้นจะเป็นการมองโลกในแง่ดีมากกว่าครับ เพราะตอนนี้กำลังผลิตน้ำมันของโลกนั้นมากเกินความต้องการ อีกทั้งประเทศยักษ์ใหญ่ที่บริโภคน้ำมันกำลังหันหนีการพึ่งพิงน้ำมัน วันก่อนหน้านี้ผมได้กล่าวถึงแผนการใหญ่ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่จะนำถ่านหินมาใช้เป็นเชื่อเพลิงสังเคราะห์สำหรับอากาศยาน ซึ่งอีกไม่กี่ปีต่อไปนี้ อเมริกาจะลดการใช้น้ำมันอากาศยานนำเข้าไปครึ่งหนึ่งเลยครับ มากพอที่จะทำให้ราคาน้ำมันตกต่ำลงไปอีกหลายปี


แผนการที่จะปลดแอกตัวเองออกจากน้ำมันของสหรัฐอเมริกาไม่ได้มีแค่นี้ครับ การใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ หรือ การใช้พลังงานอย่างฉลาดเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดการใช้พลังงานลง เพียงไม่กี่วันที่ Barack Obama เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี เขาได้ออกมาแถลงแผนการที่จะใช้งบประมาณมูลค่า 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อดำเนินโครงการประหยัดพลังงาน และสนับสนุนพลังงานทางเลือกอื่นๆ ที่ไม่ใช่น้ำมัน แผนการนี้ยังรวมไปถึงการปฏิวัติระบบสายส่งกระแสไฟฟ้าให้ทันสมัย ติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Meter) ในบ้านทั้งหมด 40 ล้านหลังคาเรือน โครงการนี้จะช่วยทำให้การลงทุนในแหล่งพลังงานทางเลือกสามารถดำเนินต่อไปได้ ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจขณะนี้


วันหลังผมจะมาเล่าต่อนะครับว่า Smart Grid คืออะไร มีเทคโนโลยีอะไรที่เจ๋งๆ บ้าง ......

08 กุมภาพันธ์ 2552

Coal for Aviation - เชื้อเพลิงถ่านหินสำหรับอากาศยาน (ตอนที่ 3)


การนำเชื้อเพลิงโบราณอย่างถ่านหินมาใช้งานในยุคนี้ได้รับการต่อต้านอย่างหนัก เพราะนอกจากเชื้อเพลิงนี้จะมีชื่อเสียงไม่ดีในเรื่องของมลพิษต่างๆแล้ว การใช้เชื้อเพลิงชนิดนี้ยังส่งผลกระทบทางลบต่อปัญหาโลกร้อน แต่เพราะความจำเป็นของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีความต้องการจะหลุดพ้นจากการพึ่งพาน้ำมันจากต่างประเทศ ทำให้การนำถ่านหินมาใช้แบบใหม่ที่เรียกว่า Clean Coal กำลังจะเป็นกระแสใหม่ของพลังงานทางเลือก (Alternative Energy) ไม่ใช่พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ที่อเมริกาให้ความสนใจ

จริงๆ แล้ว พลังงานทางเลือกในรูปแบบอื่นๆ นอกเหนือไปจาก Clean Coal ก็กำลังเป็นที่สนใจของสหรัฐฯ เช่น การนำเอาคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงไฟฟ้าไปป้อนให้แก่สาหร่าย เพื่อให้สาหร่ายผลิตน้ำมัน Biodiesel หรือการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อัดลงไปใต้พื้นโลกในบริเวณที่มีบ่อน้ำมันที่กำลังจะแห้ง เพื่อดันน้ำมันที่เหลือซึ่งสูบขึ้นมายาก ให้สามารถยกตัวขึ้นมาได้ แต่กองทัพอากาศสหรัฐฯ เห็นว่าทางเลือกต่างๆเหล่านั้น ยังต้องอาศัยเวลากว่าจะสามารถใช้งานในระดับมหภาคได้ ไม่เหมือนกับการนำถ่านหินมาผลิตเชื้อเพลิงสังเคราะห์ ซึ่งตอนนี้สามารถนำไปเติมให้เครื่องบินรบได้หลายชนิดแล้ว แม้ทางกองทัพอากาศสหรัฐฯ จะตระหนักถึงผลกระทบที่เชื้อเพลิงสังเคราะห์จากถ่านหิน จะปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าน้ำมันเชื้อเพลิงปรกติ แต่ความจำเป็นในเรื่องความมั่นคงนั้นอาจต้องมาก่อน Tyson Slocum ผู้อำนวยการหน่วยงานมหาชนที่มีชื่อว่า Public Citizen's Energy Program กล่าวว่า "แน่นอนครับว่า เรื่องนี้คงต้องทะเลาะกันอีกยาว เพราะทางออกสำหรับเชื้อเพลิงอากาศยานนั้นมีไม่มาก ก็เราไม่สามารถใช้โซลาร์เซลล์ผลิตพลังงานให้เครื่องบินได้นี่ครับ" อย่างไรก็ดี นักสิ่งแวดล้อมยังมีความหวังว่า หากในอนาคตเชื้อเพลิงชีวภาพมีความก้าวหน้า และสามารถนำมาเติมให้อากาศยานได้ กองทัพอากาศสหรัฐฯอาจจะยอมถอยออกจากเชื้อเพลิงโบราณอย่างถ่านหิน ............

24 มกราคม 2552

Coal for Aviation - เชื้อเพลิงถ่านหินสำหรับอากาศยาน (ตอนที่ 2)


ช่วงนี้ผมรีบอัพเดต Blog หน่อยครับ เพราะว่าสัปดาห์หน้าจะไปทำงานภาคสนามที่ไร่ชาดอยช้าง จ.เชียงราย เกือบทั้งสัปดาห์เลยครับ จริงๆที่ไร่ก็มี Hi-speed Internet หากมีเวลา ก็จะเก็บตกบรรยากาศมาเล่าให้ฟังครับ

วันนี้มาคุยกันต่อครับถึงแผนการของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา ที่จะนำถ่านหินมาใช้เป็นเชื้อเพลิงทางเลือกสำหรับอากาศยานรบในอนาคต จริงๆแล้วขณะนี้เครื่องบินรบหลายแบบของสหรัฐฯ เช่น B-52, C-17, B-1 Bomber, F-15, F-22 ก็มีความสามารถในการใช้เชื้อเพลิงสังเคราะห์กันแล้ว โดยในปี ค.ศ. 2011 อเมริกาตั้งใจจะใช้เชื้อเพลิงถ่านหินแบบ 50:50 สำหรับเครื่องบินในกองทัพทั้งหมด

ถึงแม้เชื้อเพลิงสังเคราะห์ที่ทำจากถ่านหิน จะไม่สร้างมลภาวะเหมือนถ่านหินธรรมดา แต่การนำถ่านหินไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงเหลวนั้นมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าการนำปิโตรเลียมมาใช้ทำเชื้อเพลิง ตรงนี้แหล่ะครับที่ทำให้พลเรือนยังไม่กล้าใช้เชื้อเพลิงชนิดนี้ เพราะ NGO ต่อต้านหนักมาก แต่สำหรับกองทัพนั้น NGO ไม่กล้าออกมาทักท้วงเพราะเกรงกลัวกฏหมายความั่นคง อีกทั้งกองทัพสหรัฐฯก็ออกมาสร้างความมั่นใจว่า นักวิจัยที่เข้ามาร่วมพัฒนาเชื้อเพลิงทางเลือกนี้ จะต้องหาทางลดผลกระทบดังกล่าวให้ได้มากที่สุด เพราะกองทัพอากาศจะทำเรื่องนี้แน่ๆ เพื่อทำให้กองทัพไม่ต้องพึ่งพาน้ำมันจากประเทศที่เป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ

ผมจะมาเล่าต่อนะครับว่าเขาจะทำอย่างไร เพื่อให้ได้ Clean Coal ที่พวก NGO จะต่อต้านน้อยที่สุด

21 มกราคม 2552

Coal for Aviation - เชื้อเพลิงถ่านหินสำหรับอากาศยาน (ตอนที่ 1)


ถ่านหินเคยเป็นเชื้อเพลิงสำหรับการขนส่งในอดีต มันถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงหลักสำหรับเดินเครื่องหัวรถจักรไอน้ำ ทำให้การเดินทางโดยรถไฟสามารถทำได้เป็นระยะทางไกล หลังจากน้ำมันถูกค้นพบและกลายมาเป็นเชื้อเพลิงหลักสำหรับรถยนต์ เรือ และ เครื่องบิน ถ่านหินก็ไม่เคยถูกใช้เพื่อการคมนาคมขนส่งอีกเลย แต่ด้วยนาโนเทคโนโลยี ถ่านหินจะกลับมาเป็นเชื้อเพลิงเพื่อการคมนาคมอีกครั้ง แต่คราวนี้ มันจะถูก upgrade ไปใช้สำหรับอากาศยานเลยทีเดียวครับ

จริงๆ แล้วตอนนี้อุตสาหกรรมหลายๆ แห่ง (แม้แต่ในเมืองไทยเอง) ที่ต้องการผลิตไฟฟ้าใช้เอง หรือใช้เพื่อผลิตความร้อนเพื่อเผาปูนซีเมนต์ ก็แอบๆใช้ถ่านหินกันอยู่แล้ว โดยไม่ค่อยมีใครรู้ เพราะเขาใช้ถ่านหินในรูปอนุภาค colloid ที่มีขนาดเล็กมากๆ ในระดับไมครอนหรือนาโนเมตร อนุภาคเหล่านี้จะถูกแขวนลอยในสารละลาย ทำให้มีพื้นที่ผิวสูงมาก จนสามารถที่จะเผาไหม้ได้อย่างสมบูรณ์ จนคนในอุตสาหกรรมเหล่านี้เรียกสารละลายอนุภาคถ่านหินนี้ว่า Clean Coal หรือ ถ่านหินสะอาด อย่างไรก็ตามพลังงานทางเลือก (Alternative Energy) จากถ่านหินนี้แม้จะทำให้ลดการใช้น้ำมันลงได้ ก็ไม่อาจที่จะช่วยในลดภาวะโลกร้อน เพราะเชื้อเพลิงชนิดนี้ก็ยังปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาอยู่ดีครับ

แล้วทำไมสหรัฐอเมริกาถึงสนใจจะนำถ่านหินมาใช้งานล่ะครับ? ก็เพราะว่าสหรัฐอเมริกามีถ่านหินสำรองถึง 1 ใน 4 ของโลก แต่มีน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติไม่มาก แต่เนื่องจากการนำถ่านหินมาใช้จะต้องพบกับการต่อต้านของ NGO และองค์กรสิ่งแวดล้อมต่างๆ ค่อนข้างหนักหน่วง ทำให้สหรัฐฯหลบเลี่ยงเรื่องนี้อย่างฉลาดครับ โดยผู้ที่จะพัฒนาเชื้อเพลิงชนิดนี้จะเป็นกองทัพอากาศสหรัฐฯ คราวนี้พวก NGO ต่างๆก็เลยไม่กล้าเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องของทหารไงครับ
กองทัพอากาศสหรัฐฯ ต้องการนำถ่านหินมาทำเป็นเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยาน โดยตั้งใจว่าต่อไปจะต้องนำเชื้อเพลิงสังเคราะห์จากถ่านหินไปใช้ผสมกับเชื้อเพลิงปรกติให้ได้ในอัตราส่วน 50:50 ภายในปี ค.ศ. 2016 ให้ได้ เพราะในปี 2007 เพียงปีเดียว เครื่องบินรบของสหรัฐฯ เผาผลาญน้ำมันเจ็ตไปถึงเกือบ 10,000 ล้านลิตร คิดเป็นมูลค่ากว่า 200,000 ล้านบาทเลยครับ ในปีเดียวกันนั้น เครื่องบินรบสหรัฐฯใช้น้ำมันอากาศยานคิดเป็น 10% ของการใช้น้ำมันอากาศยานทั้งหมดของประเทศ ดังนั้นการนำเชื้อเพลิงใหม่จากถ่านหินมาเติมให้เครื่องบินรบ จะช่วยประหยัดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ ซึ่งในที่สุดอากาศยานสัญชาติอเมริกันทั้งหมดจะใช้น้ำมันถ่านหิน โดยปราศจากการต่อต้านจาก NGO

วันหลังค่อยมาคุยต่อนะครับ ......

15 ธันวาคม 2551

The Post-American World - โลกยุคใหม่ที่ไม่คลั่งไคล้อเมริกา (ตอน 3)


เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2551 ที่ผ่านมานั้น เป็นวันประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาที่คนผิวสีได้ถูกรับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดี แต่ในมุมมองของผมนั้น ตรงนั้นกลับไม่สำคัญเท่าไหร่นัก สิ่งที่ผมมองคือ ชาวอเมริกันเลือกที่จะเปลี่ยนตัวเองหรือไม่ เลือกที่จะออกจากความเสื่อมถอยที่ประเทศสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญอยู่หรือไม่ ถ้าชาวอเมริกันยังเลือกพรรครีพับบลิกันอยู่ นั่นคงจะเป็นการเสื่อมถาวรของประเทศนี้ แต่ในที่สุดสหรัฐอเมริกาก็เลือกทางเดินที่จะเปลี่ยนตัวเอง ให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ......

ในแง่ของวิทยาศาสตร์นั้น ประเทศสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับความเสื่อมถอยครั้งใหญ่ ทุกๆเดือนตุลาคมของทุกๆ ปี เรามักจะได้เห็นนักวิทยาศาสตร์อเมริกัน เข้ารับรางวัลเชิดชูเกียรติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก นั่นคือรางวัลโนเบล แต่เดือนตุลาคม 2008 นี้ช่างเงียบเหงาสำหรับวงการวิทยาศาสตร์อเมริกัน ว่ากันว่า ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมานั้น เป็นเหมือนฝันร้ายของวงการนี้ โดยเฉพาะในเรื่องของ Alternative Energy ซึ่งประธานาธิบดีบุช ไม่ได้ให้ความสำคัญเลยครับ Professor Steven Chu นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล ค.ศ. 1997 จากผลงานการหยุดและกักขังหน่วงเหนี่ยวอะตอม (Laser Cooling and Trapping of Atoms) กล่าวว่า "ยังมีโอกาสที่รัฐบาลใหม่จะทำอะไรได้ เพื่อไม่ให้อเมริกาตกต่ำไปกว่านี้ รัฐบาลกลางต้องลงทุนหนักๆ ให้แก่ มหาวิทยาลัยบางแห่ง ห้องปฏิบัติการแห่งชาติสัก 2-3 แห่ง ให้เงินไปถึงคนเจ๋งๆ ที่ทำงานได้จริงๆ" ศาสตราจารย์ Chu เป็นผู้ออกโรงเตือนรัฐบาลของบุชอยู่บ่อยๆ ว่า หากขืนยังปล่อยให้งานวิจัยแบบ Short-term Research ที่มุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มากลืนกินงานวิจัยแบบ Long-term fundamental research ที่มุ่งสร้างองค์ความรู้ใหม่ไว้เก็บกินยาวๆ ประเทศสหรัฐอเมริกาจะเสื่อมถอยไปเรื่อยๆ ท่านบ่นอย่างเศร้าๆ แถมทำตาปริบๆ เมื่อประเทศกลุ่ม EU ออกมาประกาศความสำเร็จของเครื่องเร่งอนุภาคเครื่องใหม่ ที่กำลังจะไขความลับของจักรวาล

ความมีวิสัยทัศน์ ความกระตือรือร้น และ ความเก่งของ Steven Chu ทำให้เขาเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่จะได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของอเมริกา ในรัฐบาลของ Barack Omaba นี้ ปัจจุบันท่านศาสตราจารย์ Chu ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ Lawrence Berkeley National Laboratory อยู่ครับ ห้องทำงานของท่านสวยมาก เห็นสะพาน Golden Gate ด้วยครับ ซึ่งจริงๆผมก็เคยไปนั่งเล่นในห้องนั้นมาแล้วครับ ก็รู้สึกเสียดายแทนท่านที่จะต้องย้ายไปอยู่วอชิงตันแทน หากได้รับตำแหน่งใหม่นี้


หาก Professor Steven Chu ได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรีพลังงานจริง ท่านจะเป็นคนแรกที่เป็นรัฐมนตรีพลังงานที่เคยได้รับรางวัลโนเบล รวมทั้งยังเป็นคนผิวสีอีกด้วย (Asian American)

24 กันยายน 2551

โรงไฟฟ้าพลังขี้ไก่


เมื่อต้นเดือนกันยายน พ.ศ. 2551 ที่ผ่านมานี้ รัฐมนตรีเกษตรหญิงของเนเธอแลนด์ นาง Gerda Verburg ได้ออกมาประกาศว่า กระทรวงของเธอจะสนับสนุนเงินทุนเพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังขี้ไก่ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โรงไฟฟ้าโรงนี้จะนำขี้ไก่จำนวน 1 ใน 3 ของปริมาณที่ไก่ทั้งประเทศอึออกมาทั้งหมด เพื่อมาปั่นกระแสไฟฟ้า ซึ่งก็จะได้ไฟฟ้ามากถึง 36.5 เมกะวัตต์ ซึ่งเพียงพอจะหล่อเลี้ยงบ้านเรือนได้ถึง 90,000 หลัง ข้อดีของโรงไฟฟ้าพลังงานขี้ไก่นี้มีเยอะครับ ข้อหนึ่งก็คือมันให้พลังงานไฟฟ้าแบบเหมือนได้มาเปล่าๆ (ซึ่งไม่จริงหรอกครับ เพราะจริงๆแล้ว ก็มีต้นทุนในการขนส่งขี้ไก่มาป้อนโรงไฟฟ้า) ข้อสองของเสียที่เป็นขี้ไก่จากฟาร์มไก่ก็จะถูกกำจัดไปโดย แทนที่เกษตรกรจะเสียเงินเพื่อมาหาทางกำจัด ตรงข้ามจะได้เงินจากการขายขี้ไก่เพิ่มมาอีก ผมเคยไปเยี่ยมชมฟาร์มไก่ที่ จ.นครสวรรค์ เขามีปัญหาเรื่องขี้ไก่ที่อยากกำจัด โดยคิดจะทำก๊าซชีวมวล แต่ก็ต้องใช้เงินทุน แถมหากเป็นฟาร์มที่ไม่ใหญ่พอก็อาจมีขี้ไก่ไม่พอปั่นไฟ หรือถ้าปั่นไฟได้มากก็จะมีปัญหาว่าจะนำไฟฟ้าที่เหลือไปทำอะไร ข้อสาม การปั่นไฟจากขี้ไก่ ช่วยลดโลกร้อนได้ 2 ต่อครับ ต่อแรกคือการปั่นไฟแบบนี้ไม่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล จึงไม่นำเชื้อเพลิงฟอสซิลมาเผา ต่อที่สองคือ การปั่นไฟแบบนี้เป็นการนำก๊าซมีเธน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกมาเผาเปลี่ยนให้เป็นคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งก็เป็นก๊าซเรือนกระจกเหมือนกัน แต่คาร์บอนไดออกไซด์นี้พืชสามารถเปลี่ยนหมุนเวียนกลับมาได้ ในขณะที่มีเธนซึ่งเกิดจากการทำปศุสัตว์นั้น จะลอยอยู่ชั้นบนของบรรยากาศและไม่มีการหมุนเวียนในระบบนิเวศน์ ทำให้การทำปศุสัตว์เป็นอาชีพที่ทำให้โลกร้อนอันดับต้นๆของโลก


โรงไฟฟ้าพลังขี้ไก่ที่มีมูลค่าประมาณ 150 ล้านยูโรนี้ จะเปลี่ยนขี้ไก่ปีละ 440,000 ตัน ไปเป็นพลังงานได้ 270 ล้านหน่วย เศษของขี้ไก่ที่เหลือจากการเผาก๊าซมีเธนสามารถนำไปทำปุ๋ย และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้อีก ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการเลี้ยงไก่ และส่งออกไก่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก ถึงเวลาหรือยังครับที่คนไทยจะใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากขี้ไก่ ????

10 กันยายน 2551

หน้าต่างรวมแสงให้เซลล์สุริยะ


คนส่วนใหญ่จะนึกถึงหลังคา เมื่อจะติดตั้ง Solar Cell ใช่ไหมครับ ทว่าอาคารสูงๆในเมืองทั้งหลายนั้นมีพื้นที่หลังคาน้อยมาก เมื่อเทียบกับพื้นที่ของผนังด้านข้างที่เป็นหน้าต่าง แต่การเอา Solar Cell มาแปะไว้ที่หน้าต่าง ก็จะบดบังทัศนียภาพ หมดโอกาสมองวิวไปเลย แต่นักวิจัยที่ MIT เขาพยายามจะทำให้หน้าต่างยังเป็นหน้าต่าง แต่มีความสามารถในการรวบรวมแสงมาให้แก่ Solar Cell ที่ติดตั้งอยู่ด้านข้าง ไม่ได้ติดบนหน้าต่างโดยตรง ผลการศึกษาครั้งนี้รายงานในวารสาร Science ฉบับวันที่ 11 July 2008 Vol. 321 หน้า 226 นักวิจัยได้ใช้สีย้อมอินทรีย์ (Organic Dye) ฉาบไว้ที่กระจกหน้าต่าง เมื่อแสงอาฑิตย์ตกกระทบที่กระจกหน้าต่าง สีย้อมจะดูดกลืนแสงเอาไว้ แล้วคายแสงนั้นออกมาในกระจก กระจกจะพาแสงไปออกที่ด้านข้างของกระจก (แทนที่จะปล่อยออกมาฝั่งตรงข้ามเหมือนกระจกธรรมดาทั่วไป) กระจกที่เคลือบสีย้อมดังกล่าวก็เลยทำหน้าที่รวบรวมแสง (Solar Concentrator) มาไว้ด้านข้างกระจก ซึ่งก็ทำให้เราสามารถนำ Solar Cell มาติดที่ข้างกระจก ซึ่งก็จะใช้พื้นที่ของ Solar Cell น้อยลง ทำให้ประหยัดต้นทุนค่า Solar Cell ไปได้เยอะเลย อย่างไรก็ตาม ตอนนี้สีย้อมดังกล่าวมีประสิทธิภาพสูงในการเก็บแสงช่วงอินฟราเรด แต่ความสามารถในการเก็บแสงในช่วงที่มองเห็นได้นั้น ยังไม่สูงนัก แต่ในอนาคตประสิทธิภาพนี้จะสามารถทำให้เพิ่มสูงได้ เนื่องจากสีย้อมมีหลากหลายสี ทำให้เราสามารถทำกระจกหน้าต่างแฟนซี หรือแนวบูติคได้ ซึ่งก็จะทำให้คนอยากใช้ Solar Cell มากขึ้น

06 กันยายน 2551

ผนังโซลาร์เซลล์เปล่งแสง - เมื่อ Art กับ Technology มาแต่งงานกัน


ท่านผู้อ่านที่ได้ชมการถ่ายทอดพิธีเปิด-ปิด กีฬาโอลิมปิกปักกิ่ง 2008 คงจะจดจำภาพแห่งความประทับใจทั้งหลาย ที่ทางเจ้าภาพได้คัดสรรมานำเสนอ ที่แปลกใหม่และโดดเด่นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาก็คือ เทคนิคทางด้านแสง ซึ่งมีการนำเอาเทคโนโลยี LED ในรูปแบบต่างๆ มาใช้มากมาย ที่เรียกว่า Ambient Lighting หรือ การส่องสว่างแบบมีชีวิตชีวา ซึ่งหากเพิ่มความสามารถทางด้านเซ็นเซอร์เข้าไปก็จะกลายเป็นศาสตร์ที่เรียกว่า Ambient Intelligence หรือ สภาพล้อมรอบอัจฉริยะ ซึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งยุโรปอย่าง Philips-Ostam ให้ความสำคัญและทุ่มงบวิจัยลงไปเป็นเม็ดเงินมหาศาล แต่นึกไม่ถึงครับว่า ตลาดโลกกลับอาจจะได้ใช้เทคโนโลยีนี้จากประเทศจีนแทน

ก่อนโอลิมปิกจะเริ่มไม่กี่เดือนครับ จีนได้เปิดตัวจอแสดงผลขนาดใหญ่ที่ผนึกลงไปเป็นชิ้นเดียวกับกระจกหน้าต่างของอาคารแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า Xicui Entertainment Complex ซึ่งอาคารแห่งนี้ก็มีที่ตั้งใกล้กับสถานที่แข่งขันโอลิมปิกเลยครับ ที่สำคัญผนังจอแสดงผลที่มีขนาดใหญ่กว่าตึก 7 ชั้นนี้ไม่ได้ใช้กระแสไฟฟ้าจากการไฟฟ้าปักกิ่งเลยครับ แต่กลับใช้ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากเซลล์แสงอาฑิตย์ ซึ่งก็ผนึกอยู่ในกระจกหน้าต่างชิ้นเดียวกับที่มีการฝัง LED ที่ทำเป็นจอแสดงผลด้วย กระจกหน้าต่างของอาคารแห่งนี้ในช่วงกลางวันจะทำหน้าที่เป็น Solar Cell เพื่อเก็บพลังงานแสงอาฑิตย์ชาร์จเก็บไว้ในแบตเตอรี โซลาร์เซลล์ที่ผนึกในกระจกนี้ได้ถูกออกแบบอย่างฉลาดให้มีความหนาแน่นแตกต่างกันไป ตามลักษณะของห้องทำงานข้างใน บางห้องต้องการแสงในตอนกลางวัน ก็จะอนุญาตให้แสงผ่านเข้าไปได้เยอะ เพื่อไม่ให้ต้องใช้ไฟฟ้าเพื่อเปิดแสงสว่าง แต่ห้องไหนที่ไม่ต้องการแสงมาก กระจกหน้าต่างก็จะมีความหนาแน่นของ Solar Cell มากหน่อย ในตอนกลางคืนไฟฟ้าในแบตเตอรี ก็จะถูกนำออกมาใช้ เพื่อทำให้จอแสดงผลทำงาน ส่องเป็นไฟแสงสีต่างๆ ท่านผู้อ่านครับ ..... ศตวรรษที่ 21 เป็นเรื่องของการผสมผสานเทคโนโลยีกับศิลปศาสตร์ครับ เป็นศตวรรษที่ศาสตร์ของวัตถุ กับ ศาสตร์ของจิตใจ กำลังจะมาบรรจบครับ .........

10 สิงหาคม 2551

เซลล์สุริยะสาหร่าย - Algae Solar Cell (ตอนที่ 3)



วันนี้ผมขอมาคุยให้ฟังต่อเรื่อง การผลิตพลังงานจากสาหร่าย กันอีกครั้งครับ เพราะกระแส Algae Solar Cell นี่มาแรงจริงๆ ครับ ในประเทศสหรัฐอเมริกามีการตื่นตัวเรื่องนี้มาก ถึงขนาดที่ว่ามีชมรมที่ตั้งขึ้นมา เพื่อเผยแพร่วิธีการทำฟาร์มน้ำมันสาหร่าย แบบเปิดให้ดูหมด (ในภาษาไอทีเขาเรียกว่า Open Source ครับ) ชมรมนี้เรียกว่า algOS (algae Open Source) ชมรมนี้ต้องการให้ใครก็ได้ ทั้งนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร คนทั่วไป บริษัท จากทั่วทั้งโลก มาร่วมกันเปิดเผยข้อมูลที่พอจะให้ได้ เพื่อมาสร้างสูตรการทำฟาร์มสาหร่ายเพื่อการผลิตน้ำมันร่วมกัน โดยอาศัยความได้เปรียบที่ว่า (1) สาหร่ายเป็นพืชที่ให้น้ำมันได้สูงมาก เป็นร้อยเท่าของถั่วเหลืองเลยครับ (2) สาหร่ายปลูกที่ไหนก็ได้ เพราะไม่ต้องอาศัยดิน ปลูกในท่อปลูกก็ได้ (3) สาหร่ายไม่ใช่อาหารของคน หรือ สัตว์ที่คนเลี้ยง ไม่เหมือน ปาล์ม อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพด เนื่องจากตอนนี้บริษัทน้ำมันใหญ่ๆ ในประเทศสหรัฐอเมริกาเริ่มเข้ามาลงทุนทางด้านนี้ ทางชมรมนี้เขาก็กลัวว่า บริษัทยักษ์ใหญ่พวกนี้จะถือครองสูตรการทำ แล้วอีกหน่อยก็จะควบคุมพลังงานสาหร่าย ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นพลังงานแห่งอนาคต ชมรมนี้จึงต้องการสร้างอำนาจการต่อรอง ด้วยการทำสูตรที่เป็นสาธารณะ เพื่อให้เกษตรกร บริษัทขนาดกลาง ตลอดจนผู้สนใจจะก่อตั้งธุรกิจนี้ เอาไปทำเองก็ได้ การเลี้ยงสาหร่ายสามารถทำได้ทั้งในระดับใช้กันเองในชุมชน ทำเป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ไปจนถึงการทำเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ สำหรับประเทศไทยผมมองว่าการทำเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ อาจจะทำได้ไม่กี่แห่ง เพราะประเทศเราเป็นประเทศเกษตรกรรมที่พื้นดินเหมาะไปทำอาหารมากกว่า การทำฟาร์มสาหร่ายควรไปทำในที่ๆ ไม่ต้องใช้พื้นดินทำเกษตร เช่น ทะเลทราย หรือ บริเวณดินเค็ม ดินเสีย ที่ทำเกษตรไม่ได้แล้ว ซึ่งไม่ค่อยมีหรอกครับในประเทศที่อุดมสมบูรณ์อย่างบ้านเรา algOS เขาพยายามทำคู่มือให้ตั้งแต่การเพาะเลี้ยง ไปจนถึงการผลิตน้ำมันเลยครับ วันหลังผมจะมาคุยต่อนะครับ .....

22 กรกฎาคม 2551

Floating City - หนีโลกร้อนไปพักผ่อนในเมืองลอยน้ำ


ช่วง 2-3 ปีมานี้ ใครๆก็ต่างพยายามคิดสรรหาวิธีการสารพัดสารเพ เพื่อมาบรรเทาปัดเป่าปัญหาสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้ผมเคยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับอภิมหาโปรเจคต์แก้โลกร้อนที่มีชื่อว่า "วิศวกรรมดาวเคราะห์ (Geoengineering)" ซึ่งยังมีอีกหลายตอน ยังเล่าไม่หมดครับ วันนี้ผมขอมาเพิ่มเติมถึงโปรเจคต์อลังการอีกโปรจคต์หนึ่ง สำหรับคนที่อยากหนีโลกร้อน ไปอยู่ในเมืองลอยน้ำที่มีชื่อว่า Lilypad ซึ่งออกแบบโดย Vincent Callebaut ซึ่งได้ออกแบบให้มีอาคาร บ้านเรือน คอนโดมิเนียม ร้านรวงต่างๆ และระบบขนส่งมวลชน สามารถบรรจุประชากรได้ถึง 50,000 คน เมืองลอยน้ำนี้ใช้พลังงานจากแสงอาฑิตย์และพลังงานลม พลังงานคลื่น ที่มีอยู่เหลือเฟือในมหาสมุทร อีกทั้งยังมีการ recycle ทุกสิ่งทุกอย่าง มีโรงงานไฟฟ้าจาก Biomass ด้วย ผู้ออกแบบตั้งใจจะทำให้เมืองนี้พึ่งตัวเองทางด้านอาหาร และพลังงานได้ จึงต้องมีการเกษตรในเมืองนี้ด้วย เดิมทีผู้ออกแบบตั้งใจจะให้เมืองนี้เป็นที่หลบภัยสำหรับผู้อพยพหนีน้ำท่วม ที่เกิดจากการละลายของน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือ จนทำให้เมืองชายฝั่งถูกน้ำทะเลท่วมหมด เหมือนในภาพยนตร์เรื่อง Water World แต่ทว่า .... พอหลายๆ คนได้เห็นการออกแบบที่น่าอยู่มาก ก็ชักอยากจองเข้าอยู่ก่อนถึงเวลาเสียอีกครับ .......

09 กรกฎาคม 2551

หลังคารถโซลาร์เซลล์


เมื่อ 2-3 วันก่อน บริษัทโตโยต้าได้ออกมาประกาศว่าจะติดตั้งแผง Solar Cell บนหลังคารถให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานของรถยนต์ Toyota Prius โดย Solar Cell ที่ติดตั้งนี้จะมีรูปทรงสอดประสาน เป็นส่วนหนึ่งของหลังคารถเลย เรียกว่าตัวหลังคารถก็คือแผง Solar Cell เช็ด ขัด ล้าง ได้ตามปรกติครับ เป็นที่รู้กันว่ารถยนต์ Toyota Prius เป็นรถยนต์แบบไฮบริดที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 2 แบบ คือทั้งใช้น้ำมัน และ มอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งตั้งแต่ผลิตครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1997 โตโยต้าขายรถประเภทนี้ไปทั้งหมด 1 ล้านคันแล้ว โตโยต้ากล่าวว่าหลังคาโซลาร์เซลล์นี้จะช่วยในเรื่องของการประหยัดแอร์ และช่วยลดความร้อนที่เกิดขึ้นจากหลังคาเมื่อต้องแสงอาฑิตย์


อันที่จริงก่อนหน้านี้ได้มีบริษัทหัวใสที่มีชื่อว่า Solar Electrical Vehicles ได้ทำการติดตั้ง Solar Cell เข้ากับหลังคารถประเภทไฮบริดทั้งหลาย รวมทั้ง Prius ซึ่งสามารถผลิตพลังงานได้ประมาณ 200-300 วัตต์ ซึ่งใช้ชาร์จแบตเตอรีเสริม หลังจากติดตั้ง Solar Cell แล้วรถสามารถขับเคลื่อนได้กว่า 36 กิโลเมตรต่อวันด้วยการใช้ไฟฟ้า หรือคิดเป็นการประหยัดน้ำมันได้ 29% ระบบนี้มีราคาประมาณ 2000-4000 เหรียญสหรัฐ ซึ่งบริษัทอ้างว่าผู้ใช้จะคืนทุนได้ภายใน 2-3 ปีเองครับ

05 กรกฎาคม 2551

Energy Farm & Micropower (ตอนที่ 3)


วันนี้กลับมาคุยกันต่อถึงแนวโน้มของการผลิตพลังงานใช้เองกันในบ้าน หรือ ชุมชน เพื่อผลิตพลังงานพอเพียง ซึ่งกำลังเป็นกระแสที่มาแรงมากในกลุ่มประเทศยุโรป แต่กลับค่อนข้างเหงาๆในบ้านเรา จะว่าไปแล้วเรื่องของการผลิตพลังงานไฟฟ้าเพื่อใช้เองในบ้านและชุมชนนั้น Thomas Edison ได้คิดเรื่องนี้มาตั้งแต่เขาประดิษฐ์หลอดไฟเมื่อปี ค.ศ. 1879 แล้ว เขาได้ออกแบบบ้านพลังงานพอเพียงที่ปั่นไฟฟ้าใช้จากพลังงานลม แต่ก็เพราะ George Westinghouse ที่ทำให้แนวคิดของเอดิสันต้องพับไป โดยเขาเสนอให้มีโรงไฟฟ้าเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าปริมาณมากๆ แล้วส่งไปให้บ้านเรือนใช้กันผ่านสายส่ง โดยมีสถานีย่อยเพื่อแปลงแรงดันไฟฟ้า จริงๆแล้ว วิธีการหลังนี้เป็นวิธีที่ประสิทธิภาพต่ำเอามากๆเลยล่ะครับ โรงไฟฟ้ามีประสิทธิภาพเพียง 30% เพื่อเปลี่ยนพลังงานเคมีจากน้ำมันหรือก๊าซ มาเป็นไฟฟ้า แถมอีก 7% ของพลังงานสูญไฟฟ้าก็เสียไปกับสายส่ง แต่วิธีการนี้ก็ใช้กันเรื่อยมา ตลอด 100 กว่าปีที่ผ่านมานี้ ไม่มีใครคิดอะไรมาก เพราะเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ใช้ผลิตไฟฟ้านั้นแสนจะถูก หากแต่ ณ วันนี้ ที่ราคาน้ำมันดิบสูงถึง 140 เหรียญสหรัฐ โลกเลยโหยหาอยากกลับไปใช้วิธีของเอดิสันกันแล้วครับ ในขณะนี้ประเทศเยอรมันมีการใช้ Solar Cell มากที่สุดในโลกครับ ใน 3 ปีที่ผ่านมา (ค.ศ. 2005-2007) มีบ้านจำนวน 400,000 หลังคาติดแผง Solar Cell ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้ถึง 3000 เมกะวัตต์ มากพอที่จะทดแทนโรงไฟฟ้าได้ทั้งหมด 6 โรง ที่เมือง Aachen ในเยอรมัน เกษตรกรได้หมักซังข้าวโพดแล้วนำ Biogas มาใช้โดยต่อท่อเข้าไปกับท่อก๊าซของรัฐ สามารถเลี้ยงบ้านเรือนได้ถึง 5,000 ครัวเรือน ธุรกิจพลังงานในอนาคตจึงเป็นธุรกิจครัวเรือนไปแล้วครับ ถึงเวลาหรือยังที่เมืองไทยจะเริ่มคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ........