แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ energy conservation แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ energy conservation แสดงบทความทั้งหมด

04 กันยายน 2555

The Future of City - อนาคตของเมืองใหญ่ (ตอนที่ 4)



เมื่อก่อน เรามักคิดว่าเมืองจีนเป็นประเทศที่มีมลภาวะสูง และมีการใช้พลังงานที่ไร้ประสิทธิภาพ แต่วันนี้ความคิดนี้ล้าสมัยแล้วครับ แถมกลับกันด้วย ตอนนี้ประเทศไทยกลับกลายมาเป็นประเทศที่สิ่งแวดล้อมนับวันจะแย่กว่าเมืองจีน แถมคนไทยก็กลายเป็นประชากรที่มีการใช้พลังงานด้อยประสิทธิภาพเกือบจะที่สุดในโลก

ปัจจุบัน ประเทศจีนมีประชากร 1,300 ล้านคน มากกว่าครึ่งคือประมาณ 690 ล้านคนอาศัยอยู่ในเมือง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจีนได้สลัดทิ้งสังคม ชนบทไปเรียบร้อยแล้ว (ค่าเฉลี่ยของทั้งโลกคือ 50%) ก่อนหน้านี้คือในปี ค.ศ. 1980 ประเทศจีนมีประชากรอาศัยในเมืองเพียง 20% เท่านั้น แต่ในอีก 18 ปีข้างหน้าคือ ค.ศ. 2030 ประมาณกันว่า จีนจะมีประชากรเมืองมากถึง 75% ซึ่งเป็นปัญหาท้าทายนักวางผังเมืองของจีนเป็นอย่างมาก เมืองกว่า 650 เมืองในประเทศจีนกำลังสาละวนอยู่กับการก่อสร้าง เพื่อรองรับประชากรที่เคลื่อนย้ายจากชนบทมาสู่เมือง การเติบโตในแนวดิ่งของประเทศนี้จึงมีอัตราสูงที่สุดในโลก 

รัฐบาลจีนกำลังให้ความสนใจกับแนวคิดในการสร้างเมืองใหม่ เป็นเมืองสะอาด มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน มีคุณภาพชีวิตที่ดี ที่เรียกว่า Ecocities คนไทยเอามาแปลเป็น เมืองสีเขียว เมืองนิเวศน์ เมืองเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เมืองปลอดมลพิษ ซึ่งสำหรับผมยังไม่ค่อยถูกใจกับคำแปลเท่าไหร่ครับ ดังนั้นผมขอให้ทับศัพท์ เหมือนกับที่คนไทยเราเรียก Eco car ว่า อีโค่คาร์ นะครับ โดยโครงการแรกๆ ที่จีนจะสร้างนั้นมีชื่อว่า Tianjin Eco-city ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลจีน กับ สิงคโปร์ ตั้งเป้าว่าในปี ค.ศ. 2020 จะสามารถรองรับประชากรได้ 350,000 คน

คนจีนชอบทำสิ่งท้าทาย แทนที่รัฐบาลจีนจะสร้าง Tianjin Eco-city บนผืนดินสะอาดที่มีความสวยงามตามธรรมชาติ แต่กลับไปเลือกที่ดินที่เกิดจากการถมขยะ สกปรกและถูกทอดทิ้ง โดยสิ่งแวดล้อมบริเวณนั้นถูกทำลายจนมนุษย์ไม่อาจอาศัยได้ นำมาสร้างเมืองที่สะอาดที่สุดในโลก ซึ่งเป็นความตั้งใจที่จะแสดงให้โลกเห็นว่าคนจีนทำได้ ซึ่งแน่นอนในอนาคต เทคโนโลยีนี้สามารถนำไปปรับปรุงที่ดินที่เสียแล้ว ที่ไหนก็ได้ในโลก

โครงการนี้ต้องใช้เวลาถึง 3 ปีในการทำความสะอาดที่ดิน เปลี่ยนที่ดินจากที่ถมขยะ เป็นทะเลสาบใสสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภค โดยการใช้เทคโนโลยีสุดล้ำ เมือง Tianjin Eco-city จะใช้พลังงานสะอาดทั้งจากเซลล์สุริยะ กังหันลม และเทอร์โมอิเล็กทริค (ระบบกำเนิดไฟฟ้าจากความร้อน) ประมาณ 20% เมืองนี้จะเป็นเมืองที่เรียกว่า Smart City จริงๆ เพราะมีการติดตั้งเซ็นเซอร์ไว้ทั่วเมือง ไฟฟ้าในเมืองหลายๆ จุดจะปิดเมื่อไม่มีผู้คน และจะเปิดเองเมื่อมีเสียงคนเดิน หน้าต่างของอาคารจะเปิดปิดม่านแสงเอง เพื่อควบคุมปริมาณแสงและอุณหภูมิในอาคาร มีระบบเก็บขยะอัตโนมัติ ที่ผมชอบมากๆ คือ เมืองนี้จะมีการใช้รถยนต์ไร้คนขับ โดยรถยนต์จะสื่อสารกันเป็นเครือข่ายและวิ่งจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง อย่างอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้ประชากรของเมืองไม่จำเป็นต้องขับรถเอง ช่วยลดปัญหาจราจรและอุบัติเหตุ

เมืองนี้น่าอยู่จริงๆ ครับ มีทางขี่จักรยาน และสวนธารณะทั่วเมือง ย่านดาวน์ทาวน์ของเมือง สามารถไปด้วยรถรางหรือขี่จักรยานอย่างสะดวกสบาย เมืองนี้จะดึงดูดอุตสาหกรรมสีเขียว บริษัทเทคโนโลยีต่างๆ ที่ทำงานด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industries) ตอนนี้มีบริษัททยอยเข้าไปอยู่แล้ว 600 บริษัท เมื่อเทียบกับเมือง Ecocities อื่นๆ ที่กำลังสร้างกันทั่วโลก เมือง Tianjin Ecocity นี้ถือว่าทำทีหลังแต่ดังกว่า เพราะระหว่างก่อสร้างก็มีคนทยอยเข้าไปอยู่แล้ว เพื่อไม่ให้เมืองนี้เป็นบ้านที่ 2 ของคนรวยในปักกิ่ง เมืองนี้จึงมีการสำรองพื้นที่ 20% ให้คนจนอยู่ได้ แนวคิดของเมืองนี้คือ การเป็นเมืองสีเขียวต้องไม่ใช่สิ่งหรูหรา แต่เป็นสิ่งที่แสวงหาได้


27 กรกฎาคม 2555

The Future of City - อนาคตของเมืองใหญ่ (ตอนที่ 3)



(Picture from http://www.freakingnews.com/)

ทศวรรษนี้ เรื่องของการทำให้สิ่งของและสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัว มีความฉลาด รู้จักคิด และอาจะเลยไปถึงการสัมผัสอารมณ์ ความรู้สึก และแลกเปลี่ยนเชิงอารมณ์กับมนุษยได้ น่าจะเป็นกระแสที่มาแรงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบ้านอัจฉริยะ (smart home) รถอัจฉริยะ (smart/intelligent vehicle) ฟาร์มอัจฉริยะ (smart farm) อาคารอัจฉริยะ (smart building) ทางหลวงอัจฉริยะ (smart highway) ระบบพลังงานอัจฉริยะ (smart grid) ไปจนถึงเมืองทั้งเมือง เป็นเมืองอัจฉริยะ (smart city)

เมืองใหญ่ๆ ทั่วโลก ล้วนใฝ่ฝันที่จะเป็นเมืองน่าอยู่ มีสภาพแวดล้อมที่น่ารื่นรมย์ ประชากรมีสุขภาพและสวัสดิภาพที่ดี สิ่งแวดล้อมในเมืองมีคุณภาพ การใช้พลังงานมีประสิทธิภาพ การขนส่งและการจราจรมีความสะดวกสบาย อาชีพการงานมีความมั่นคง มีความบันเทิงเริงใจ มีระบบการศึกษาที่ตอบสนองต่อความต้องการของทุกชนชั้น การเมืองมีความโปร่งใส มีการเอาใจใส่ในเรื่องผังเมือง เมืองมีอัตลักษณ์ มีเสน่ห์ มีการดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมและประเพณี และอื่นๆ อีกมากมาย เมืองอัจฉริยะอย่างแท้จริง ต้องสามารถทำให้ปัจจัยที่กล่าวมาส่วนใหญ่เป็นจริงได้ ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ผนวกกับการจัดการขั้นเทพ และความตั้งใจของภาคส่วนต่างๆ ที่ประกอบกันเป็นเมือง เราสามารถที่จะสร้างเมืองอัจฉริยะขึ้นที่ใดก็ได้บนโลกใบนี้ครับ

ตัวอย่างหนึ่งที่กำลังเป็นที่กล่าวขานกันมากในช่วง 2-3 ปีมานี้ และเป็นตัวอย่างที่เมืองใหญ่ทั่วโลกกำลังจับตามองก็คือ โครงการ Amsterdam Smart City ซึ่งเป็นความร่วมมือร่วมใจของภาครัฐและเอกชน ที่จะผลักดันให้เกิดนวัตกรรมใหม่สำหรับใช้ในเมืองใหญ่ โดยโครงการนี้มีจุดเน้นที่การประหยัดพลังงาน และใช้พลังงานในเมืองให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อเป็นการลดการปล่อยคาร์บอนเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ โครงการ Amsterdam Smart City นี้ประกอบด้วยโครงการย่อยๆ มากมาย ที่นำมาทดลองใช้พร้อมๆ กัน เป็นการทดลองนวัตกรรมต่างๆ ในพื้นที่จริง ซึ่งฉลาดมาก เพราะเป็นการทำการวิจัยโดยใช้เมืองทั้งเมืองเป็นห้องทดลอง 

ผมขอยกตัวอย่างโครงการย่อยต่างๆ ที่มีการทดลองในเมืองอัมสเตอร์ดัมกันนะครับ ซึ่งโครงการย่อยต่างๆ เหล่านี้ เมื่อรวมกัน ก็จะทำให้เมืองนี้กลายเป็นเมืองอัจฉริยะ

- ติดตั้งระบบประหยัดพลังงานไฟฟ้าในบ้านหลายพันหลัง เพื่อช่วยลดการใช้กระแสไฟฟ้า ระบบสมาร์ทมิเตอร์ ที่ทำให้การเก็บข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้า และนำไปสู่การประหยัดพลังงาน

- การปล่อยเงินกู้ปลอดดอกเบี้ย เพื่อการปรับปรุงอาคารให้มีการลดการใช้พลังงาน เช่น การเปลี่ยนฉนวนความร้อนให้เป็นฉนวนความร้อนแบบใหม่ที่ดีกว่าเดิม การเปลี่ยนหลอดไฟทั้งหมดให้เป็นหลอดประหยัดพลังงาน

- โครงการ Climate Street ในย่านช็อปปิ้งหลักในเมืองอัมสเตอร์ดัม มีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ มีการใช้สมาร์มิเตอร์เพื่อติดตามการใช้พลังงานในย่านนี้ เปลี่ยนหลอดไฟทั้งหมดไปใช้หลอดไฟประหยัด เพิ่มประสิทธิภาพการทำความเย็น การทำความร้อนในห้างสรรพสินค้า และร้านค้าตลอดแนว ถังขยะอัจฉริยะที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงมีการนำรถขยะพลังงานไฟฟ้ามาใช้เก็บขยะในย่านนี้

- ทยอยติดตั้งสถานีชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่จะเริ่มมีการใช้งานมากขึ้นในอนาคต โดยสถานีชาร์จไฟเหล่านี้เชื่อมต่อเข้ากับระบบอินเตอร์เน็ต รถยนต์สามารถที่จะหาสถานีชาร์จที่ใกล้ที่สุดเพื่อเติมไฟ รวมทั้งสถานภาพการใช้งาน เช่น มีที่จอดชาร์จว่างอยู่หรือไม่

- จัดทำระบบรับซื้อพลังงานจากอาคารบ้านเรือนที่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ และ กังหันลมผลิตไฟฟ้า นำเข้าสู่ระบบจำหน่าย

- อาคารของรัฐบาลมีการติดตั้งระบบตรวจวัดการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์ และ ออนไลน์ เพื่อบอกให้ผู้ที่ทำงานอยู่ทราบตลอดเวลาว่ามีการใช้พลังงานอยู่เท่าไหร่ ทำให้เกิดความตระหนักในการลดการใช้พลังงานให้มากที่สุด เท่าที่ทำได้

- พัฒนาเทคโนโลยีอาคารอัจฉริยะ (Smart Building) เมืองใดก็ตามมีอาคารแบบนี้เยอะๆ เมืองนั้นก็มีสิทธิ์เป็น Smart City ได้ง่ายขึ้นครับ โดยในอาคารเหล่านี้จะมีการติดตั้ง Smart Meter, Smart Plug, Smart Lighting

- การทดลองผลิตไฟฟ้าใช้เองในอาคาร โดยการใช้เซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) เป็นการลดการใช้ไฟฟ้าจากระบบส่งของการไฟฟ้า

- การทดลองใช้เรือพลังงานไฟฟ้า โดยจัดทำสถานีชาร์จไฟฟ้าสำหรับเรือจำนวน 200 แห่งตลอดชายฝั่งของแม่น้ำ เพื่อให้เรือขนส่งหันมาใช้ไฟฟ้าทดแทนน้ำมันดีเซล ซึ่งก็ช่วยทำให้อากาศในเมืองอัมสเตอร์ดัมสะอาดขึ้น

- Vertical Farming คือการทดลองปลูกพืชผักสำหรับบริโภคในเมือง โดยในอนาคตอาจจะทดแทนพืชผักที่ต้องขนส่งมาจากชนบทได้ เป็นการทำให้เมืองอยู่ได้ด้วยตนเอง และไม่ต้องพึ่งพาภาคเกษตรในชนบทอีกต่อไป

- โรงเรียนอัจฉริยะ (Smart School) เป็นโครงการที่ส่งเสริมให้โรงเรียนต่างๆ ในอัมสเตอร์ดัมแข่งกันลดการใช้พลังงาน โดยครูและนักเรียนจะช่วยกันออกความคิด และพัฒนานวัตกรรมในการใช้พลังงานในโรงเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ

ถามว่าสิ่งที่อัมสเตอร์ดัมทำอยู่ กรุงเทพฯ จะทำบ้างได้มั้ย ผมคิดว่า คนไทยทำได้ครับ .....

23 มีนาคม 2552

Google Energy - กูเกิ้ลธุรกิจพลังงาน (ตอนที่ 3)


แผนการในการผงาดขึ้นมาเป็นยักษ์ใหญ่ในธุรกิจพลังงานของกูเกิ้ล นั้นถูกวางไว้อย่างแยบยลครับ เนื่องจากกูเกิ้ลเป็นบริษัทของคนรุ่นใหม่ จึงมองว่า น้ำมันกับก๊าซธรรมชาติเป็นเรื่องของอดีต เขาจึงไม่ไปลงทุนทางด้านนี้ แต่จะลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและการอนุรักษ์พลังงานอย่างเป็นระบบ ก่อนหน้านี้ผมก็ได้กล่าวถึงโครงการทางด้านพลังงานหมุนเวียนที่กูเกิ้ลได้ริเริ่มไปกันบางแล้วนะครับ วันนี้ผมจะขอพูดถึงโครงการอนุรักษ์พลังงานของกูเกิ้ลกันบ้าง

กูเกิ้ลมีแผนการใหญ่ที่จะเข้าไปสร้างธุรกิจทางด้านอนุรักษ์พลังงานครับ แต่เรื่องนี้ผมจะขออุบเอาไว้ก่อน ค่อยพูดในตอนหลังๆ แต่วันนี้ขอพูดเรื่องที่ใกล้ตัวของกูเกิ้ลเอง เนื่องจากบริษัทนี้เป็นบริษัททำเรื่อง Search Engine หรือเครื่องมือค้นหาในอินเตอร์เน็ต จึงต้องมีเครื่องแม่ข่ายขนาดใหญ่ติดตั้งทั่วโลก กูเกิ้ลพยายามทำให้ศูนย์ข้อมูลที่เรียกว่า Data Center เหล่านั้นใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ซึ่งผมได้พูดไปบ้างแล้ว ซึ่งตอนนี้กูเกิ้ลได้ชื่อว่าเป็นศูนย์ข้อมูลที่ประหยัดพลังงานที่สุดในโลก กูเกิ้ลได้เริ่มสร้างพัฒนาให้สำนักงานของตนเองเป็นอ็อฟฟิศประหยัดพลังงาน ด้วยการใช้หลอดไฟแบบใหม่ทั้งหมด ลดการใช้ไฟในตอนกลางวันด้วยการออกแบบอาคารให้ใช้แสงธรรมชาติ พัฒนาซอฟต์แวร์จัดการพลังงานในเครื่องคอมพิวเตอร์ ติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจการเคลื่อนที่ในอาคารเพื่อประหยัดไฟฟ้าส่องสว่าง กูเกิ้ลยังพัฒนาระบบติดตามการใช้พลังงานในสำนักงานใหญ่ เพื่อให้รู้ว่าพลังงานถูกใช้ไปในกิจกรรมอะไรบ้าง เท่าไหร่ ซึ่งจะนำมาสู่วิธีการปฏิบัติงานที่ใช้ไฟฟ้าน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

นอกจากนั้น กูเกิ้ลยังได้ร่วมมือกับบริษัทอินเทล เพื่อพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ที่ประหยัดพลังงาน มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2007 แล้ว และได้ดำเนินการเพื่อให้ปี ค.ศ. 2010 โลกจะลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการทำงานของคอมพิวเตอร์ให้ได้สัก 54 ล้านตันต่อปี ซึ่งคาร์บอนจำนวนนี้เท่ากับจากการปลดปล่อยของรถยนต์ 11 ล้านคัน

วันหลังจะมาคุยต่อเรื่องนี้อีกนะครับ ..........

09 มีนาคม 2552

Google Energy - กูเกิ้ลธุรกิจพลังงาน (ตอนที่ 2)


ใครจะรู้ล่ะครับ อีกหน่อยยักษ์ใหญ่ทางด้านพลังงานของโลกอาจจะเป็นบริษัทกูเกิ้ลก็ได้ กูเกิ้ลเริ่มลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดมากกว่าบริษัทน้ำมันเสียอีกครับ ผมจะทยอยนำข่าวความคืบหน้าในเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังเรื่อยๆ ครับ

กูเกิ้ลมีวิสัยทัศน์ว่า พลังงานสะอาดจะต้องทำให้มีราคาถูกกว่าถ่านหิน จึงจะแก้ปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลได้ กูเกิ้ลจึงลงทุนในเรื่องของการวิจัยและพัฒนาพลังงานหมุนเวียน ทั้งพลังงานลม พลังงานใต้พิภพ พลังงานแสงอาฑิตย์ กูเกิ้ลลงเงินในบริษัทพลังงานที่จัดตั้งใหม่ (Start-Up) มากมาย เช่น Makani Power Inc ซึ่งพัฒนาพลังงานลม (ลงไปมากกว่า 400 ล้านบาท) eSolar Inc ซึ่งพัฒนาพลังงานแสงอาฑิตย์แบบนำพาความร้อน (ลงไป 350 ล้านบาท) AltaRock Energy Inc ซึ่งพัฒนาพลังงานจากความร้อนใต้พิภพ (ลงไป 210 ล้านบาท) และยังมีบริษัทเล็กๆ อื่นๆ อีก ที่พัฒนาเทคโนโลยีทางด้านรถไฟฟ้าที่ชาร์จจากไฟบ้าน (plug-in)


กูเกิ้ลได้ริเริ่มโครงการหนึ่งที่มีชื่อว่า RechargeIT โดยนำรถยนต์ไฮบริดจำนวน 16 คัน ซึ่งใช้ได้ทั้งไฟฟ้าและน้ำมัน มาให้พนักงานอาสาสมัครได้ใช้งานจริงๆในชีวิตประจำวัน โดยรถยนต์เหล่านี้จะมีอุปกรณ์รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลติดตั้งในรถ เพื่อเก็บข้อมูลและนำมาประมวลผลว่าการใช้รถไฮบริด ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้จริงๆ เท่าไร กูเกิ้ลได้ทำการทดลองมาเป็นปีแล้ว และตอนนี้มีแผนจะเพิ่มจำนวนรถไฮบริดเป็น 100 คัน ซึ่งจะทำให้กูเกิ้ลสามารถที่จะสร้างโครงสร้างพื้นฐานในระดับต้นแบบ เพื่อรองรับการใฃ้รถยนต์ไฮบริดได้ในอนาคต เช่น ระบบการชาร์จไฟอัจฉริยะ ซึ่งจะทำให้รถยนต์ไฮบริดที่วิ่งไป วิ่งมา สามารถที่จะรู้ว่าจะชาร์จไฟที่ไหน ใช้เวลาเท่าไร เพื่อวิ่งไปไหน ในอนาคตการขับรถไปจอดที่ห้างสรรพสินค้า ก็สามารถชาร์จไฟให้รถในขณะที่ซื้อสินค้าได้ กูเกิ้ลได้นำข้อมูลต่างๆ ออนไลน์ให้สาธารณะได้ดูด้วย เป็นของฟรีสไตล์กูเกิ้ล ..........


(ภาพบน - เจ้าของบริษัท Google กำลังสาธิตการนำไฟฟ้าจาก solar cell มาเสียบให้รถยนต์ไฮบริด)

01 มีนาคม 2552

Google Energy - กูเกิ้ลธุรกิจพลังงาน (ตอนที่ 1)


ในระยะหลังๆนี้ บริษัทที่รุ่งๆในเรื่องของพลังงานทางเลือก กลับไม่ใช่บริษัทที่เคยทำเรื่องพลังงานมาก่อน อย่างเช่น บริษัทน้ำมัน แต่กลับเป็นบริษัททางด้านไอที เช่น ไอบีเอ็ม ซึ่งในตอนที่แล้ว ผมได้นำมาเล่าให้ฟังแล้วว่า ไอบีเอ็มได้รับสัมปทานจากประเทศมอลต้า ให้ทำระบบ Smart Grid สำหรับไฟฟ้าและน้ำประปา โดยจะทำให้บ้านจำนวน 250,000 หลัง เข้ามาอยู่ในระบบการใช้พลังงานอย่างเฉลียวฉลาด

อีกบริษัทหนึ่งที่น่าจับตามองมากๆ และมีโอกาสที่จะเข้ามาเป็นเจ้าพ่อธุรกิจพลังงานที่ยิ่งใหญ่ของโลกในอนาคต นั่นก็คือ Google ครับ ตอนนี้ Google มีโครงการริเริ่มทางด้านพลังงานหลายๆอย่างที่น่าทึ่ง บริษัทนี้ได้ลงทุนติดตั้งแผงเซลล์สุริยะบนหลังคาของสำนักงานใหญ่ทั้งหมด ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 1.6 เมกะวัตต์ ซึ่งเพียงพอที่จะให้พลังงานแก่บ้านทั้งหมด 1,000 หลัง ได้อย่างสบาย กูเกิ้ลบอกว่าแผงโซลาเซลล์เหล่านี้จะคืนทุนได้ภายใน 7.5 ปี

กูเกิ้ลยังลงทุนวิจัยในเรื่องของการประหยัดพลังงานอย่างซีเรียสด้วย โครงสร้างพื้นฐานด้านการคำนวณของกูเกิ้ลนั้น ถูกออกแบบมาให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมาก กูเกิ้ลออกแบบศูนย์ข้อมูลให้มีความสามารถในการใช้พลังงานอย่างฉลาด อาคารศูนย์ข้อมูลถูกออกแบบให้มีการกระจายและถ่ายเทความร้อนที่ดี กูเกิ้ลได้ศึกษาว่า การ search หนึ่งครั้งนั้นจะใช้พลังงานทั้งหมดประมาณ 0.0003 kWh นั่นหมายความว่าระหว่างการ search หนึ่งครั้งนั้น คอมพิวเตอร์ของผู้ใช้นั้นเผาผลาญพลังงานมากกว่าที่ Google Search ทำงานเสียอีก กูเกิ้ลได้ออกแบบอาคารศูนย์ข้อมูลที่ใช้น้ำที่หมุนเวียน (Recycled Water) เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เก่าและปลดประจำการจะถูกจัดการให้ถูกนำไปรีไซเคิลอย่างถูกวิธี

ตอนต่อไป ผมจะค่อยๆเล่าต่อนะครับว่า Google วางแผนอย่างไรในการก้าวไปเป็นยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของอนาคต


(ภาพด้านบน - Google ติดตั้งแผงโซลาเซลล์บนหลังคาเกือบทุกอาคารของสำนักงานใหญ่)

19 กุมภาพันธ์ 2552

Smart Grid - ระบบส่งไฟฟ้าอัจฉริยะ (ตอนที่ 2)


เมื่อสักต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ที่ผ่านมานั้น บริษัท IBM ได้สร้างความฮือฮาด้วยการประกาศผลกำไรดีเกินคาด ในขณะที่บริษัทดังๆ ในสหรัฐอเมริกา ถ้าไม่ประกาศขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล หรือประสบภาวะขาดทุน ก็ต้องมีภาวะผลกำไรติดลบกันทั้งนั้น แต่ IBM กลับมีผลประกอบการดีกว่าเดิม มีการจ่ายเงินปันผลต่อหุ้นที่เพิ่มขึ้น 3% น่าแปลกใจไหมครับว่า IBM ทำอะไร ทำไมถึงสวนกระแสชาวบ้าน ฟังข่าวต่อไปนี้แล้วจะเข้าใจยิ่งขึ้นครับ ......

IBM ซึ่งเป็นบริษัทที่รู้จักกันดีว่าขายคอมพิวเตอร์ (อดีตนายก ดร. ทักษิณ ชินวัตร ก็เคยทำธุรกิจคอมพิวเตอร์ก่อนจะมาร่ำรวยจากโทรศัพท์มือถือ) IBM เคยรุ่งเรืองมากกับการขายคอมพิวเตอร์ ในภายหลังได้ค่อยๆ ขยับไปดำเนินการเกี่ยวกับระบบสารสนเทศทางด้านการเงิน การธนาคาร โครงสร้างพื้นฐานด้านไอที แต่ตอนนี้ IBM กำลังจะเข้ามาดำเนินการในด้านพลังงานแล้วครับ IBM ทำการวิจัยเกี่ยวกับ Solar Cell แบบใหม่ที่เรียกว่า Copper-Indium-Gallium-Selenide (CIGS) อยู่ ซึ่งจะทำให้แผงเซลล์สุริยะถูกลง

ล่าสุด IBM ได้รับสัมปทานจากประเทศมอลต้า ให้ทำระบบ Smart Grid สำหรับไฟฟ้าและน้ำประปา โดยจะต้องทำการเปลี่ยนมิเตอร์ไฟทั้งหมด 250,000 หน่วยให้เป็น Smart Meter ซึ่งจะทำให้ผู้จ่ายไฟฟ้า สามารถที่จะรู้การใช้ไฟฟ้าของบ้านแต่ละหลัง โดยไม่ต้องส่งพนักงานออกไปดู สามารถดูได้จากหน้าจอแบบเรียลไทม์ ซึ่งหากผู้ใช้ค้างชำระเกินกำหนด ผู้จ่ายไฟสามารถสั่งระงับการจ่ายไฟฟ้าจากระยะไกลได้ หรือสั่งให้มีการจ่ายไฟตามปกติได้ โดยไม่ต้องเดินทางไปหน้าบ้านของผู้ใช้เลย การใช้ Smart Meter ทำให้ผู้จ่ายไฟรู้ภาวะความต้องการไฟฟ้าอย่างเรียลไทม์ มีการจัดการกระแสไฟฟ้าที่เกิดโอกาสล้มเหลวของโหลด หรือ หม้อแปลงระเบิดได้น้อยลงมาก ผู้ใช้สามารถรู้ค่าไฟฟ้าสะสมที่เกิดขึ้น การคิดค่าไฟฟ้าสามารถทำแบบฉลาดได้ คือค่าไฟฟ้าในช่วงเวลาต่างกันให้มีราคาที่ต่างกันได้ เช่นช่วงหัวค่ำก็คิดแพงๆ หน่อย ดึกๆถึงเช้ามืดก็คิดแบบถูกๆ คนใช้ก็รู้ราคาและสามารถเช็คได้โดยตรงจาก web site เลย นอกจากนั้นอาจจะใช้ระบบ Pre-paid คล้ายๆ การเติมเงินของโทรศัพท์มือถือก็ย่อมได้ ลูกค้าอาจอาศัยช่วง Promotion ไปซื้อบัตรเติมเงิน เพื่อใช้ไฟฟ้าในช่วงที่ราคาถูกๆ เช่น ช่วงหน้าฝนน้ำในเขื่อนเยอะก็ใช้เยอะได้ แต่ช่วงน้ำน้อยก็มี Promotion แบบอื่นๆ เช่น ให้ใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่คนใช้น้อย

ระบบ Smart Grid นี่ยังมีอะไรๆให้เล่นอีกเยอะครับ ต้องติดตามตอนต่อไป .......

09 กุมภาพันธ์ 2552

Smart Grid - ระบบส่งไฟฟ้าอัจฉริยะ (ตอนที่ 1)


ช่วงที่น้ำมันถูกอย่างนี้ ทำเอาหลายๆคนที่ทำงานเกี่ยวกับพลังงานทางเลือกเหี่ยวไปตามๆกัน แถมเจอลูกพ่วงจากพิษเศรษฐกิจโลก ทำให้หน่วยงานสนับสนุนทั้งหลายชะลอการให้ทุนวิจัยทางด้านนี้ไปกันหมดเลยครับ โดยเฉพาะประเทศไทยที่กระแสเรื่องนี้มันขึ้นๆ ลงๆ ตามราคาของน้ำมัน คนที่ทำงานด้านพลังงานทางเลือกต่างก็หวังว่าน้ำมันจะถูกอยู่ไม่นาน แต่ดูเหมือนว่าความคิดเช่นนั้นจะเป็นการมองโลกในแง่ดีมากกว่าครับ เพราะตอนนี้กำลังผลิตน้ำมันของโลกนั้นมากเกินความต้องการ อีกทั้งประเทศยักษ์ใหญ่ที่บริโภคน้ำมันกำลังหันหนีการพึ่งพิงน้ำมัน วันก่อนหน้านี้ผมได้กล่าวถึงแผนการใหญ่ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่จะนำถ่านหินมาใช้เป็นเชื่อเพลิงสังเคราะห์สำหรับอากาศยาน ซึ่งอีกไม่กี่ปีต่อไปนี้ อเมริกาจะลดการใช้น้ำมันอากาศยานนำเข้าไปครึ่งหนึ่งเลยครับ มากพอที่จะทำให้ราคาน้ำมันตกต่ำลงไปอีกหลายปี


แผนการที่จะปลดแอกตัวเองออกจากน้ำมันของสหรัฐอเมริกาไม่ได้มีแค่นี้ครับ การใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ หรือ การใช้พลังงานอย่างฉลาดเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดการใช้พลังงานลง เพียงไม่กี่วันที่ Barack Obama เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี เขาได้ออกมาแถลงแผนการที่จะใช้งบประมาณมูลค่า 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อดำเนินโครงการประหยัดพลังงาน และสนับสนุนพลังงานทางเลือกอื่นๆ ที่ไม่ใช่น้ำมัน แผนการนี้ยังรวมไปถึงการปฏิวัติระบบสายส่งกระแสไฟฟ้าให้ทันสมัย ติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Meter) ในบ้านทั้งหมด 40 ล้านหลังคาเรือน โครงการนี้จะช่วยทำให้การลงทุนในแหล่งพลังงานทางเลือกสามารถดำเนินต่อไปได้ ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจขณะนี้


วันหลังผมจะมาเล่าต่อนะครับว่า Smart Grid คืออะไร มีเทคโนโลยีอะไรที่เจ๋งๆ บ้าง ......

22 สิงหาคม 2551

เต้าเสียบอัจฉริยะ (Intelligent Power Supply)


สวัสดีครับท่านผู้อ่าน Nano in Thailand ระหว่างวันที่ 23-28 สิงหาคมนี้ ผมจะเดินทางไปเข้าร่วมประชุม World Conference on Agricultural Informatics and IT 2008 ที่กรุงโตเกียวครับ หากพอมีเวลาปลีกตัวจากการประชุม ก็จะพยายามเข้ามาอัพเดต Blog นะครับ และในวันที่ 28 สิงหาคมหลังจากกลับมาแล้ว ผมจะนำความคืบหน้าของเกษตรความแม่นยำสูง รวมไปถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ถูกนำมาเปิดตัวในการประชุมครั้งนี้มาเล่าให้ฟังนะครับ


วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องของเต้าเสียบอัจฉริยะนะครับ ท่านผู้อ่านทราบไหมครับว่าโลกเราเผาผลาญพลังงานไฟฟ้าไปประมาณ 200 ถึง 400 ล้านล้านหน่วย (terawatt hours) ต่อปี กับการเสียบปลั๊กต่างๆทิ้งไว้ โดยไม่ดึงออกเมื่อเลิกใช้ หรือการแค่ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่น DVD โทรทัศน์ Set-Top Box ต่างๆ ให้อยู่ในโหมด Stand-By (โหมดที่รอฟังคำสั่งเปิดปิดจากรีโหมด) โดยไม่ได้ดึงปลั๊กออกจริงๆ ก็กินไฟทั้งนั้น ประมาณกันว่าในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น สูญเสียไฟฟ้าไปฟรีๆแบบนี้ประมาณ 5-25% เลยครับ ไฟฟ้าที่สูญเสียไปนั้นเกิดจากหม้อแปลงไฟฟ้าที่เปลี่ยนไฟฟ้าจากกระแสสลับ (AC) ไปเป็นกระแสตรง (DC) ซึ่งสูญเสียในรูปความร้อน (ลองเอามือไปอังดูบนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เสียบปลั๊กคาไว้ก็ได้ครับ) นักวิจัยทั่วโลกในสาขานี้กับกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าเขาจึงจัดตั้งกลุ่มขึ้นมาที่มีชื่อว่า The Alliance for Universal Power Supplies โดยมีเป้าหมายเพื่อจะพัฒนาเต้าเสียบอัจฉริยะที่มีความสามารถในการรับรู้ความต้องการของเครืองใช้ไฟฟ้า หากเครื่องใช้ไฟฟ้าเลิกใช้ไฟแล้ว เต้าเสียบจะตัดไฟเลย แต่หากเครื่องใช้ไฟฟ้ายังต้องการไฟฟ้าอยู่ ซอฟต์แวร์ในเต้าเสียบกับซอฟต์แวร์ในเครื่องใช้ไฟฟ้าจะคุยกัน หลังจากนั้นเต้าเสียบจะปล่อยไฟให้เท่าที่จำเป็น ต่อไปนี้การชาร์จไฟเข้าแบตเตอรีต่างๆ จะอาศัยมาตรฐานเดียวกัน ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีที่ชาร์จของใครของมัน เช่น แต่ก่อนนั้น กล้องดิจิตอลซัมซุงก็ที่ชาร์จแบตอันนึง มือถือโนเกียก็มีที่ชาร์จแบตอีกอันนึง โน๊ตบุ๊คลีโนโวก็มีอีกอันนึง แต่ในอนาคตเราสามารถเอาอุปกรณ์อะไรก็ได้ ตั้งแต่ไอพอต จนถึง โน๊ตบุ๊ค มาชาร์จไฟกับเต้าเสียบอัจฉริยะตัวเดียว
ระยะหลังนี้ เราจะเริ่มเห็นการนำเอาฟังก์ชันในการรู้จักทำงาน เข้าไปใส่ในอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆมากขึ้น ซึ่งในที่สุดเราจะเริ่มเห็นเครื่องใช้เหล่านี้คุยกัน สื่อสารกัน มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าการยิ่งคุยกันมาก ก็ยิ่งเข้าใจกัน ........