22 สิงหาคม 2551

เต้าเสียบอัจฉริยะ (Intelligent Power Supply)


สวัสดีครับท่านผู้อ่าน Nano in Thailand ระหว่างวันที่ 23-28 สิงหาคมนี้ ผมจะเดินทางไปเข้าร่วมประชุม World Conference on Agricultural Informatics and IT 2008 ที่กรุงโตเกียวครับ หากพอมีเวลาปลีกตัวจากการประชุม ก็จะพยายามเข้ามาอัพเดต Blog นะครับ และในวันที่ 28 สิงหาคมหลังจากกลับมาแล้ว ผมจะนำความคืบหน้าของเกษตรความแม่นยำสูง รวมไปถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ถูกนำมาเปิดตัวในการประชุมครั้งนี้มาเล่าให้ฟังนะครับ


วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องของเต้าเสียบอัจฉริยะนะครับ ท่านผู้อ่านทราบไหมครับว่าโลกเราเผาผลาญพลังงานไฟฟ้าไปประมาณ 200 ถึง 400 ล้านล้านหน่วย (terawatt hours) ต่อปี กับการเสียบปลั๊กต่างๆทิ้งไว้ โดยไม่ดึงออกเมื่อเลิกใช้ หรือการแค่ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่น DVD โทรทัศน์ Set-Top Box ต่างๆ ให้อยู่ในโหมด Stand-By (โหมดที่รอฟังคำสั่งเปิดปิดจากรีโหมด) โดยไม่ได้ดึงปลั๊กออกจริงๆ ก็กินไฟทั้งนั้น ประมาณกันว่าในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น สูญเสียไฟฟ้าไปฟรีๆแบบนี้ประมาณ 5-25% เลยครับ ไฟฟ้าที่สูญเสียไปนั้นเกิดจากหม้อแปลงไฟฟ้าที่เปลี่ยนไฟฟ้าจากกระแสสลับ (AC) ไปเป็นกระแสตรง (DC) ซึ่งสูญเสียในรูปความร้อน (ลองเอามือไปอังดูบนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เสียบปลั๊กคาไว้ก็ได้ครับ) นักวิจัยทั่วโลกในสาขานี้กับกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าเขาจึงจัดตั้งกลุ่มขึ้นมาที่มีชื่อว่า The Alliance for Universal Power Supplies โดยมีเป้าหมายเพื่อจะพัฒนาเต้าเสียบอัจฉริยะที่มีความสามารถในการรับรู้ความต้องการของเครืองใช้ไฟฟ้า หากเครื่องใช้ไฟฟ้าเลิกใช้ไฟแล้ว เต้าเสียบจะตัดไฟเลย แต่หากเครื่องใช้ไฟฟ้ายังต้องการไฟฟ้าอยู่ ซอฟต์แวร์ในเต้าเสียบกับซอฟต์แวร์ในเครื่องใช้ไฟฟ้าจะคุยกัน หลังจากนั้นเต้าเสียบจะปล่อยไฟให้เท่าที่จำเป็น ต่อไปนี้การชาร์จไฟเข้าแบตเตอรีต่างๆ จะอาศัยมาตรฐานเดียวกัน ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีที่ชาร์จของใครของมัน เช่น แต่ก่อนนั้น กล้องดิจิตอลซัมซุงก็ที่ชาร์จแบตอันนึง มือถือโนเกียก็มีที่ชาร์จแบตอีกอันนึง โน๊ตบุ๊คลีโนโวก็มีอีกอันนึง แต่ในอนาคตเราสามารถเอาอุปกรณ์อะไรก็ได้ ตั้งแต่ไอพอต จนถึง โน๊ตบุ๊ค มาชาร์จไฟกับเต้าเสียบอัจฉริยะตัวเดียว
ระยะหลังนี้ เราจะเริ่มเห็นการนำเอาฟังก์ชันในการรู้จักทำงาน เข้าไปใส่ในอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆมากขึ้น ซึ่งในที่สุดเราจะเริ่มเห็นเครื่องใช้เหล่านี้คุยกัน สื่อสารกัน มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าการยิ่งคุยกันมาก ก็ยิ่งเข้าใจกัน ........