แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Economy แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Economy แสดงบทความทั้งหมด

07 กันยายน 2557

เมื่อหุ่นยนต์แย่งงานมนุษย์ - The Rise of Robot



ในปี ค.ศ. 2013 เรามีการใช้งานหุ่นยนต์เพื่อทำงานแทนมนุษย์จำนวน 1.2 ล้านตำแหน่ง แต่ในปี ค.ศ. 2025 แต่ในปี ค.ศ. 2025 เฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา หุ่นยนต์จะมาแทนที่มนุษย์ 50% ของงานทั้งหมด โดยจะเข้าแทนตำแหน่งงานในอุตสาหกรรมรถยนต์ 13 ล้านตำแหน่ง การผลิต 22 ล้านตำแหน่ง และ อาหาร 9 ล้านตำแหน่ง

แน่นอน เราจะได้เห็นตำแหน่งงานใหม่ๆ ของมนุษย์เพิ่มขึ้น เช่น นักออกแบบหุ่นยนต์ วิศวกรหุ่นยนต์ แผนกซ่อมบำรุงหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ งานทางด้านเซ็นเซอร์ และ ซอฟต์แวร์หุ่นยนต์

วันนี้ ... เราได้เตรียมตัว หรือ มีความพร้อมแค่ไหน กับการเปลี่ยนแปลงนี้ครับ

Credit : Pictures from
- Focus.com
http://www.futuristspeaker.com/wp-content/uploads/Robot-Jobs-1.jpg
http://www.theguardian.com/commentisfree/commentisfree+business/manufacturing-sector

05 กุมภาพันธ์ 2557

Creative Economy กับเกษตรไทย



เมื่อประมาณ 2-3 ปีมาแล้ว เราจะค่อนข้างได้ยินเรื่องเกี่ยวกับ Creative Economy หรือ เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ บ่อยมาก นัยว่าในมุมมองของรัฐบาลไทยในสมัยนั้น คิดว่าคนไทยเราน่าจะมีความคิดสร้างสรรค์ค่อนข้างดี เศรษฐกิจแบบนี้จึงน่าจะเหมาะกับบ้านเรามากกว่า Knowledge-Based Economy หรือเศรษฐกิจฐานความรู้ ซึ่งเคยถูกใช้เป็นเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนสังคมไทย ในยุคก่อนหน้าสัก 10 ปีที่แล้ว แต่ในที่สุด พวกเราเองคงจะรู้ตัวว่า สังคมไทยเป็นสังคมฐานความรู้ไม่ได้ เพราะเรายังไม่มีศักยภาพในการผลิตความรู้ขึ้นใช้เอง เนื่องจากสังคมของเรายังอ่อนแอ ในเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งโดยทั่วไป เขามักจะวัดกันที่ผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ และสิทธิบัตร ซึ่งเรายังแพ้ประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์

Creative Economy วางจุดโฟกัสที่ตัวผู้ผลิตสินค้าว่าต้องมีความคิดสร้างสรรค์สูง ผลิตสิ่งที่เป็นของใหม่ๆ มีความโดดเด่น เป็นตัวของตัวเอง Creative Economy ตามความหมายของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหมายถึง "แนวคิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจบนพื้นฐานของการใช้องค์ความรู้ (Knowledge) การศึกษา (Education) การสร้างสรรค์งาน (Creativity) และการใช้ทรัพย์สินทางปัญญา(Intellectual Property) ที่เชื่อมโยงกับพื้นฐานทางวัฒนธรรม (Culture) การสั่งสมความรู้ของสังคม (Wisdom) และเทคโนโลยี/นวัตกรรมสมัยใหม่ (Technology and Innovation)"

ดังนั้น ความหมายของ Creative Economy ในมุมมองของไทย คือการเน้นความเป็นไทย อันได้แก่ ความสามารถด้านศิลปะต่างๆ งานหัตถกรรม จิตรกรรม วิจิตรศิลป์ และอื่นๆ ที่เราสั่งสมมาจากสมัยโบราณ ไม่ใช่ Creative Economy ที่อยู่บนฐานของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่เป็น Creative Economy ที่อยู่บนฐานของศิลปวัฒนธรร ที่เป็นจุดเด่นของประเทศเรา ซึ่งอันที่จริงก็เป็นสิ่งที่น่าจะถูกต้องครับ เพียงแต่ สินค้าที่เราคิดว่า creative ต่างๆ นี้ มันสามารถที่จะส่งออกไปยังตลาดโลกได้จริงหรือไม่ ? ตลาดต่างๆ นอกประเทศไทยจะพึงพอใจสินค้าทางด้านศิลปวัฒนธรรมของเรามากเพียงใด เราจะแข่งกับสินค้าอารมณ์จากเกาหลีได้หรือไม่

ในมุมมองของผม ผมฝันถึง Creative Economy ที่อาศัยสินค้าเกษตรเป็นฐานครับ เพราะเรามีสินค้าเกษตรหลายๆ ตัวที่มีจุดเด่น เอกลักษณ์ และน่าจะผสมผสานความเป็นไทยได้ ไม่ว่าจะเป็น กาแฟอะราบิก้า ข้าวหอมมะลิ ทุเรียน มะม่วง และผลไม้หลากชนิด สมุนไพรไทย อาหารไทยอย่าง ต้มยำกุ้ง และ ผัดไทย ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก

มาร่วมกันสร้าง Creative Economy ในภาคเกษตรกันครับ

(Credit - Picture fromhttp://www.elearneasy.com/http://www.liveinternet.ru/http://nenuno.co.uk/)

26 สิงหาคม 2556

เศรษฐกิจยุคบูติค (Boutique Economy) ใกล้มาถึงแล้ว



(Credit - Picture from http://vecto2000.com/)

โลกเรากำลังเข้าสู่ยุคแห่งความสำเริงสำราญ บนพื้นฐานเศรษฐกิจแบบใหม่ที่เรียกว่า Boutique Economy หรือ เศรษฐกิจยุคบูติค ท่านผู้อ่านอาจจะไม่ค่อยคุ้นกับชื่อนี้เท่าไหร่ใช่ไหมครับ มาลองดูลำดับพัฒนาการของเศรษฐกิจประเภทต่างๆ กันก่อนนะครับ

(1) Agriculture-Based Economy เป็นเศรษฐกิจบนพื้นฐานของการทำไร่ ทำนา เลี้ยงสัตว์ ประเทศทุกประเทศในโลก ล้วนเคยผ่านการมีเศรษฐกิจแบบนี้ครับ

(2) Industrial Economy เป็นเศรษฐกิจที่อยู่บนพื้นฐานของอุตสาหกรรม ประเทศไทยกำลังอยู่ในยุคนี้ครับ

(3) Service-Based Economy หรือ Knowledge-Based Economy (รวมไปถึง Experience Economy) เป็นระบบเศรษฐกิจที่พัฒนามาอีกขั้นหนึ่ง รายได้ประชาชาติส่วนใหญ่มาจากงานบริการ งานที่ใช้ความรู้ การสร้างนวัตกรรม ซอฟต์แวร์ โดยย้ายฐานการผลิตไปอยู่ในประเทศที่ยังอยู่ในยุค Industrial Economy

(4) Boutique Economy  เศรษฐกิจแบบบูติก เป็นเศรษฐกิจที่เครื่องจักรใน 3 แบบแรกข้างต้น ก็คือ เกษตร อุตสาหกรรม และ เซอร์วิส ได้รับการยกเครื่องขนานใหญ่ จนทำให้ประเทศที่มีเศรษฐกิจแบบบูติกนี้ มีทุกอย่างที่พึ่งพาตัวเองได้ มีเกษตรกรรมก้าวหน้า มีอุตสาหกรรมล้ำยุคที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีอุตสาหกรรมบริการที่สนุกสนาน และมีความสุข

ลองมาดูกันครับว่า ถ้าเราได้อยู่ในสังคมที่ประเทศเป็นบูติค รอบๆ ตัวเราจะมีลักษณะอย่างไร

- วิถีชีวิต ผู้คนมีความเป็นอยู่แบบ มีความสุขกันทั่วหน้า อาชีพและการทำงานในยุคบูติคจะมีความสนุก เร้าใจ น่าทำงาน คนจะทำงานที่บ้านมากขึ้น ผู้คนสดชื่น เบิกบาน และสุขภาพดี แต่ละคนล้วนทาครีมนาโนหน้าเด้ง

- อุตสาหกรรมไม่ปล่อยควันพิษและของเสียอีกต่อไป การผลิตมี ลักษณะเป็น Cottage Industry ที่การผลิตอยู่ในมือของ SME มีความสะอาด และกระจายอยู่ในชุมชนที่เป็นผู้ใช้ เป็นยุคที่ Desktop Manufacturing หรือ ระบบผลิตแบบตั้งโต๊ะ และ โรงงานจิ๋ว (Micro-factory) รวมไปถึงการผลิตแบบ 3D Printing มีความเจริญสูง มีเทคโนโลยี Mass Customizaton ซึ่ง กระบวนการผลิต สามารถทำให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคเป็นรายๆ ในจำนวนมากๆ ได้

- ระบบรักษาพยาบาลเป็นแบบบุคคล (Personal Medicine) มีระบบนำส่งยา (Drug Delivery) ที่มีประสิทธิภาพ

- การคมนาคมขนส่งใช้พลังงานสะอาด ถนนหนทาง บ้านเรือน ตึกรามอาคารต่างๆ ใช้วัสดุนาโนที่ทำความสะอาดตัวเองได้ ทางหลวงเป็น smart highway ที่สื่อสารกับรถยนต์ได้ 

- อาคาร บ้านเรือน เป็นอาคารฉลาด (Smart Building, Smart Home) มีระบบดูแลการใช้พลังงาน และบรรยากาศภายใน ตัวเมืองประดับประดาด้วยแสงสีจากจอภาพอินทรีย์ พลังงานที่ใช้ก็เป็นพลังงานสะอาด

- สินค้าต่างๆ จะมีการออกแบบด้วยคอมพิวเตอร์ ก่อนทำการผลิต และผู้บริโภคสามารถออกแบบเอง แล้วส่งให้ผู้ผลิตทาง Internet

- เสื้อผ้าอาภรณ์ มีความฉลาด มีสีสันสวยงามและปรับตามสภาพแวดล้อมได้ (Smart Garments)

- อาหารที่รับประทานไม่มีสารพิษ เพราะทุกอย่างผ่านการตรวจด้วยเซ็นเซอร์หมดทุกอย่าง ตั้งแต่ ฟาร์มจนถึงถังขยะ

- เกษตรจะย้ายจากชนบทมาสู่เมือง เป็นเกษตรในอาคารสูง (Vertical Farm) พื้นที่เกษตรกรรมจะถูกคืนให้เป็นป่า ฟาร์มมีความฉลาด (Smart Farm)

ฟังดูเหมือนโลกสวยใช่ไหมครับ แต่ผมเชื่อว่าวันนั้น ยังไงก็ต้องมาถึงแน่ครับ ถ้าเราไม่เลิกฝันเสียก่อน ....

01 กรกฎาคม 2556

BIG DATA - ยุคข้อมูลใหญ่มหึมา มาถึงแล้ว (ตอนที่ 3)


(Picture from http://www.mushroomnetworks.com/)

ปัจจุบันเราอยู่ในยุคแห่งข้อมูลใหญ่มหาศาล และนับวันมันก็จะใหญ่มากขึ้นไปเรื่อยๆ เอาเฉพาะ Facebook อย่างเดียว ในแต่ละวันมีคนกดไลค์กันวันละ 4.5 พันล้านครั้ง อัพโหลดรูปภาพขึ้นไปวันละ 350 ล้านรูป  ส่วนแอพรูปภาพที่เป็นที่นิยมอย่าง Instagram มีการอัพโหลดรูปภาพขึ้นไปวันละ 40 ล้านรูป โดยแต่ละวินาทีมีคนกดไลค์กัน 8500 ครั้ง และคอมเม้นท์กันมากถึง 1000 ครั้ง ส่วนบริการวีดิโออนไลน์อย่าง Youtube นั้น ทุกๆ วินาที มีการอัพโหลดคลิปวีดิโอความยาวอย่างน้อย 1 ชั่วโมงขึ้นไป ในหนึ่งวันมีการกดเข้ามาดู 4 พันล้านคลิป และในแต่ละเดือน คลิปวีดิโอถูกเปิดคิดเป็นเวลานานถึง 3 พันล้านชั่วโมง

เมื่อก่อนบนระบบอินเตอร์เน็ตจะมีเพียงเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้นที่เชื่อมโยงอยู่บนอินเตอร์ และก็มีเฉพาะมนุษย์เท่านั้น ที่เชื่อมต่อใช้งานและปฏิสัมพันธ์กันบนอินเตอร์เน็ต แต่ปัจจุบันนี้ เครื่องคอมพิวเตอร์กำลังจะกลายเป็นประชากรส่วนน้อยที่เชื่อมต่อบนอินเตอร์เน็ตไปแล้ว เพราะตอนนี้มีอุปกรณ์อื่นๆ มากมายได้เข้ามาเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์มือถือ แทปเล็ต ไอพอต ทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องเล่นเกมส์  กล้องวงจรปิด (ซึ่งกลายเป็นกล้องวงจรเปิดไปแล้ว) เซ็นเซอร์ต่างๆ รถยนต์ รถไฟ อากาศยานทั้งมีนักบินและไร้นักบิน ว่ากันว่าตอนนี้มีอุปกรณ์ประมาณ 8.7 พันล้านตัว เชื่อมโยงอยู่บนอินเตอร์เน็ต เอาง่ายๆ ที่บ้านผมบ้านเดียว ซึ่งมีประชากรจำนวน 5 คน ตอนนี้มีคอมพิวเตอร์ PC จำนวน 2 เครื่อง คอมพิวเตอร์ Notebook จำนวน 5 เครื่อง ไอโฟน 2 เครื่อง ไอพอด 2 เครื่อง มือถือแอนดรอยด์ 3 เครื่อง แทปเล็ต 4 เครื่อง อินเตอร์เน็ตทีวี 2 เครื่อง ระบบกล้องวงจรปิด ระบบกันขโมย เซ็นเซอร์ตรวจวัดสุขภาพ สมาร์มิเตอร์ (เซ็นเซอร์ตรวจวัดการใช้ไฟฟ้า) อีกอย่างละหนึ่ง รวมทั้งหมดเป็น 29 อุปกรณ์ ซึ่งในอนาคตมันจะมากขึ้นไปเรื่อยๆ ครับ มีการคาดการณ์กันว่าในอนาคต การคุยกันบนอินเตอร์เน็ต จะเป็นการคุยกันระหว่าง Machine to Machine หรือจักรกลคุยกับจักรกล มากกว่ามนุษย์คุยกับมนุษย์เสียอีก เช่น เขื่อนขอข้อมูลระดับน้ำจากเซ็นเซอร์ตรวจวัดน้ำของกรมชลประทาน และ ข้อมูลการใช้ไฟฟ้าของการไฟฟ้า (ซึ่งข้อมูลการใช้ไฟฟ้าก็ได้มาจากสมาร์ทมิเตอร์ ที่ติดตั้งอยู่ในแต่ละบ้าน) เพื่อนำมาควบคุมการปล่อยน้ำอัตโนมัติ หรือ รถยนต์ที่วิ่งอยู่คุยกันเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการจราจรที่รถยนต์คันอื่นๆ ประสบมา เป็นต้น

จริงๆ แล้ว Big Data ไม่ใช่แค่เรื่องของขนาดข้อมูลที่ใหญ่เท่านั้น แต่มันยังเป็นเรื่องของปฏิสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลต่างๆ ด้วย เช่น ข้อมูลการใช้ไฟฟ้าที่อ่านด้วยสมาร์ทมิเตอร์ที่ส่งมาที่การไฟฟ้านั้น มันมีนัยแอบแฝงมากมาย เช่น พฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าในแต่ละวัน ซึ่งการไฟฟ้าสามารถนำไปใช้ออกแบบ วางแผน การผลิตไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพ จำนวนและชนิดของเครื่องใช้ไฟฟ้าของแต่ละบ้าน ซึ่งทำให้ทราบว่าแต่ละครัวเรือนมีเครื่องปรับอากาศกี่ตัว มีการเพิ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในแต่ละปี มีการใช้ไฟฟ้าเพื่อแสงสว่างเป็นอัตราส่วนเท่าไหร่ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นที่ต้องการของบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้า บริษัทผลิตโซลาร์เซลล์ และ บริษัทขายหลอดไฟ LED มาก ซึ่งหากทุกครัวเรือนติดสมาร์ทมิเตอร์กันหมด โรงไฟฟ้าสามารถเดินเครื่องอัตโนมัติ ตามความต้องการใช้ไฟฟ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละเครื่องอย่างเรียลไทม์เลยครับ

การที่แนวโน้มของ Big Data ได้เข้าไปมีบทบาทในทางธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ตอนนี้ เกิดความต้องการบุคลากรอาชีพหนึ่งที่เรียกว่า นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist) เป็นอย่างมาก เป็นอาชีพที่ขาดแคลนที่สุดอาชีพหนึ่งในสหรัฐอเมริกา หน้าที่หรือภารกิจของนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลก็คือ การนำข้อมูลขนาดมหึมามาใช้ประโยชน์ ด้วยการใช้อัลกอริทึมต่างๆ เพื่อค้นหานัยยะ ความหมาย ตัวบ่งชี้ต่างๆ เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจในทางธุรกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้เกิดความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ตัวอย่างเช่น นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลจะเข้าไปดูว่าตอนนี้ ผู้คนกำลังคุยอะไรกันใน Facebook แชร์ภาพอะไรใน Instagram ส่งข้อความอะไรใน Twitter พวกเขาเหล่านั้นมีแนวโน้มในความสนใจเรื่องอะไรมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนำเทรนด์เหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ เช่น การออกแบบสินค้า ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่จะได้รับความสนใจ เกิดเป็น Talk of the Town ว่ากันว่าการที่ประธานาธิบดี บารัค โอบามา เอาชนะการเลือกตั้งมาได้ 2 สมัยนั้น ก็เพราะว่าทีมงานมีการใช้หลักการของวิทยาศาสตร์ข้อมูล  เพื่อใช้ประโยชน์จาก Big Data นั่นเอง

Big Data กำลังเป็นกระแสที่แรงที่สุดในภาคธุรกิจขณะนี้ และใครก็ตามที่ขึ้นรถไฟขบวนนี้ไม่ทัน ก็อาจจะถึงกลับสูญพันธุ์กันเลยทีเดียว ......

26 พฤษภาคม 2556

ฤาจะสูญสิ้น กลิ่นกาแฟไทย (ตอนที่ 3) - The End of Thai Coffee



(Picture from http://depositphotos.com/)

เมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2556 ที่ผ่านมา ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้จากพื้นที่ 5 จังหวัด คือ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ ศรีสะเกษ มหาสารคาม และยโสธร เพิ่งได้รับการขึ้นทะเบียนสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications หรือ GI) อย่างเป็นทางการจากสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะจะทำให้ไทยสามารถส่งออกข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ไปยังกลุ่มตลาดบนของสหภาพยุโรปได้เพิ่มขึ้น

สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI เป็นการให้ความคุ้มครองชื่อหรือเครื่องหมายต่างๆ ที่เป็นชื่อเมือง หรือท้องถิ่น ที่ใช้บนฉลากของสินค้าต่างๆ โดยจะต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันทางภูมิศาสตร์ ทั้งนี้ GI มีความแตกต่างจากทรัพย์สินทางปัญญาประเภทอื่น กล่าวคือ ผู้เป็นเจ้าของไม่ใช่บุคคลหนึ่งบุคคลใด แต่เป็นกลุ่มชุมชน หรือ ผู้ประกอบการใดๆ ก็ตาม ที่มีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์นั้นๆ จึงจะสามารถใช้ชื่อ GI สำหรับผลิตสินค้านั้นได้ เช่น ไข่เค็มไชยา เฉพาะชาวไชยาเท่านั้นที่ทำขายได้ คนแถวราชบุรีมาทำขายแล้วใช่ชื่อไข่เค็มไชยา ถือว่าว่าละเมิดสิทธิ์ สิทธิในลักษณะดังกล่าวนี้ นักวิชาการบางท่านเรียกว่า “สิทธิชุมชน” ซึ่งไม่สามารถนำสิทธิที่ได้รับไปอนุญาตให้บุคคลอื่นใช้ต่อได้ ผู้ที่อยู่ในพื้นที่แหล่งภูมิศาสตร์นั้นๆ เท่านั้นที่มีสิทธิใช้

จากข้อมูลของกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ทำให้ทราบว่าในปัจจุบันประเทศไทยมีการประกาศขึ้นทะเบียนสินค้า GI ในประเทศไทยแล้วจำนวน 38 รายการ ซึ่งเป็นทั้งสินค้าที่มาจากภาคเกษตรกรรมโดยตรง และสินค้าที่มาจากภาคหัตถกรรมทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ เช่น ส้มโอนครชัยศรี ผ้าไหมแพรวากาฬสินธุ์ สับปะรดภูแลเชียงราย กาแฟดอยตุง ศิลาดลเชียงใหม่ ผ้าไหมยกดอกลำพูน เครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียง ร่มบ่อสร้าง สับปะรดนางแล ไวน์ที่ราบสูงภูเรือ ไข่เค็มไชยา ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ หมูย่างเมืองตรัง มะขามหวานเพชรบูรณ์ ชมพู่เพชร เป็นต้น

จากความสำเร็จที่ประเทศไทยสามารถขึ้นทะเบียน GI ของข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ใน EU ได้ ทำให้กรมทรัพย์สินทางปัญญามีดำริที่จะยื่นจดสินค้าอีก 2 ชนิดเพิ่มเติม ได้แก่ กาแฟดอยตุง และ กาแฟดอยช้าง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนับสนุน เพราะกาแฟไทย โดยเฉพาะกาแฟ 2 ยี่ห้อนี้ ขึ้นชื่อในเรื่องของความหอมและรสชาติที่อร่อย เปรียบเทียบกับกาแฟที่มาจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว และ เวียดนาม แล้ว เหมือนฟ้ากับเหว การจด GI ในยุโรป จะช่วยทำให้กาแฟไทยได้รับความยอมรับในเรื่องคุณภาพ และจะสามารถขายใน EU ที่ราคาแพงๆ ได้ เป็นการยกระดับกาแฟไทยให้ขึ้นไปอยู่แนวหน้าของโลก หนีประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามที่ผลิตกาแฟคุณภาพต่ำในปริมาณมากๆ แน่นอนหล่ะ ... ในอนาคตคนไทยก็คงจะต้องจ่ายแพงขึ้นเพื่อบริโภคกาแฟคุณภาพดีของไทย แต่ผมคิดว่ากาแฟรสชาติดีๆ แล้วจ่ายแพงอีกสักนิด ก็น่าจะดีกว่ากาแฟรสชาติทั่วๆ ไปแต่ขายราคาสตาร์บัค ที่มีอยู่ดาษดื่นตามร้านกาแฟทั้งหลาย

สำหรับกาแฟแล้ว การมี GI หรือ สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ถือว่าเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น กาแฟดอยตุง ปลูกในสภาพแวดล้อมที่เป็นดอย สูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่า 800 เมตร อยู่ในละติจูดที่เหมาะสม มีอากาศเย็นและปริมาณน้ำฝนที่เหมาะสม ทำให้เมล็ดกาแฟมีการสะสมสารหอมระเหย (Aroma Molecules) เข้าไปในเมล็ดในจำนวน และสัดส่วนของสารหอมระเหยแต่ละชนิด ที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง นั่นคือ แม้จะเป็นกาแฟพันธุ์เดียวกัน คัดเอาเมล็ดพันธุ์เหมือนๆ กัน แต่ไปปลูกที่อื่น เช่น บนดอยในประเทศเวียดนาม ก็ไม่สามารถที่จะผลิตกา แฟที่มีกลิ่นและรสชาติเหมือนกันได้ .... นั่นคือ กาแฟดอยตุง ต้องปลูกที่ดอยตุงเท่านั้น ที่อื่นเอาไปปลูกยังไง ก็ไม่มีทางทำให้รสชาติเหมือนกาแฟดอยตุง เช่นเดียวกับกาแฟดอยช้าง ที่เมื่อได้ดื่มแล้ว สำหรับคนที่มีความสามารถในการจดจำรสชาติ ก็จะสามารถจำแนกได้ว่าเป็นกาแฟมาจากดอยช้า ทั้งนี้เป็นเพราะสภาพแวดล้อมของพื้นที่ปลูก ทำให้รสชาติของกาแฟมีความแตกต่างกันนั่นเอง เช่นเดียวกับ เครื่องดื่มประเภทไวน์ ที่มีรสชาติแตกต่างกันตามพื้นที่เพาะปลูก

ดูเหมือนการสร้างอัตลักษณ์ให้แก่กาแฟไทยด้วยการจดทะเบียน GI จะค่อนข้างมาถูกทางแล้ว เพราะถือเป็นการยกระดับมาตรฐานของแบรนด์ไทย หนีคู่แข่งจากประเทศเวียดนาม แต่การมี GI เพียงอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถจะการันตีความได้เปรียบในระยะยาวได้ เพราะคู่แข่งก็สามารถจด GI ในภูมิศาสตร์ของเขาได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นกาแฟไทยจะต้องพยายามพัฒนา และรักษาคุณภาพของกลิ่นและรสชาติให้ดีกว่าคู่แข่ง พยายามนำความได้เปรียบในเรื่องของภูมิศาสตร์ที่ทำให้กาแฟของเรามีเอกลักษณ์เหนือคู่แข่งมาใช้ประโยชน์ พยายามรักษาเอกลักษณ์นั้นไว้ ซึ่งเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นแล้วในบ้านเราอย่างระบบ Smart Farm หรือ จมูกอิเล็กทรอนิกส์ จะสามารถเข้ามาช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันตรงนี้ได้ 

03 มีนาคม 2556

ฤาจะสูญสิ้น กลิ่นกาแฟไทย (ตอนที่ 2) - The End of Thai Coffee



(ภาพจาก http://www.chiangraibulletin.com)

กาแฟไทยหอมๆ ช่วยเติมเต็มชีวิตของเราให้มีความสดชื่น เบิกบานทุกๆ เช้า นี่หล่ะครับ พระเอกตัวจริงที่คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย วันนี้เรามาคุยกันต่อเรื่องกาแฟไทยกันนะครับ

กาแฟไม่ใช่พืชพื้นเมืองของไทยก็จริง แต่เชื่อกันว่ามีการปลูกกาแฟในเมืองไทยกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้วครับ เมื่อประมาณห้าสิบกว่าปีที่แล้ว (พ.ศ. 2503) ประเทศไทยเคยมีพื้นที่ปลูกกาแฟเพียง 19,000 ไร่ โดยให้ผลผลิตได้แค่ 750 ตันเท่านั้น ทำให้ในช่วงนั้นประเทศไทยต้องนำเข้ากาแฟมากถึง 6,000 ตัน ทำให้รัฐบาลไทยเริ่มรณรงค์การปลูกกาแฟอย่างจริงจังนับตั้งแต่นั้น เพื่อจะเพิ่มพื้นที่ปลูกกาแฟให้เพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ นับตั้งแต่นั้นพื้นที่เพาะปลูกกาแฟก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2540 ปีเดียวกับวิกฤตการต้มยำกุ้ง ประเทศไทยมีพื้นที่เพาะปลูกกาแฟมากถึง 500,000 ไร่ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ แต่ทว่าหลังจากนั้น พื้นที่กาแฟไทยก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ จนคาดว่าในปีนี้น่าจะเหลือไม่ถึง 280,000 ไร่ โดยมีผลผลิตเหลือเพียง 40,000 ตัน จากที่เคยผลิตได้ 9 หมื่นตัน ซึ่งสวนทางกับความต้องการบริโภคกาแฟของคนไทยที่นับวันจะมีแต่มากขึ้นไปเรื่อยๆ โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% ทำให้คนไทยทุกวันนี้บริโภคกาแฟโดยเฉลี่ย 200 แก้วต่อคนต่อปี ซึ่งยังถือว่าสามารถเติบโตได้อีกนะครับ เพราะประเทศที่เป็นสังคมเมือง และมีคนชั้นกลางเป็นฐานเศรษฐกิจชาติอย่างญี่ปุ่นเขาดื่มกันมากถึง 500 แก้วต่อคนต่อปี ส่วนสหรัฐอเมริกายิ่งมากเข้าไปอีก ซดกันเป็นน้ำถึง 800 แก้วต่อคนต่อปีกันเลยทีเดียว

พื้นที่ปลูกกาแฟในประเทศไทยนั้น แบ่งออกเป็นโรบัสต้ามากถึง 95% มีกาแฟอราบิก้าเพียง 5% เท่านั้น โดยกาแฟโรบัสต้าปลูกมากทางภาคใต้ โดยเฉพาะชุมพรกับระนอง แต่ในระยะหลังๆ พื้นที่ปลูกลดลงไปเรื่อยๆ ทุกปี ส่วนกาแฟอราบิก้าที่มีความหอมละมุน และรสชาติอร่อยนั้น ชอบอากาศเย็น จึงมักปลูกในภาคเหนือ แถวจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ตาก น่าน เป็นกาแฟที่คนไทยนิยมบริโภค ขายได้ราคาดี  แนวโน้มมีความนิยมในการปลูกเพิ่มขึ้น แต่มีต้นทุนการดูแลรักษามากกว่ากาแฟจากประเทศลาว และ เวียดนาม กาแฟอราบิก้าไทยจึงต้องพยายามแข่งขันด้วยการชูเอกลักษณ์ด้านกลิ่น และ รสชาติ ที่ค่อนข้างแตกต่าง เพื่อให้สามารถขายได้ในราคาที่สูงกว่า จะว่าไป ใช่ว่าผมจะเข้าข้างประเทศตัวเองนะครับ แต่กาแฟไทยอร่อยกว่ากาแฟของลาว และ เวียดนามจริงๆ แต่เพราะการบริโภคของคนไทยในขณะนี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ จนกาแฟอราบิก้าไทยมีไม่เพียงพอ ดังนั้น ประเทศไทยจึงต้องนำเข้ากาแฟจากลาว และ เวียดนาม เพิ่มมากขึ้นทุกๆ ปี และหลังจากปี พ.ศ. 2558 เมื่อมีการเปิด AEC อย่างเต็มรูปแบบ กาแฟจากลาวและเวียดนามจะทะลุกเข้ามาเหมือนสึนามิ และอาจทำให้กลิ่นกาแฟไทยอันหอมกรุ่นเจือจางมากขึ้นไปกว่านี้อีก 

สินค้าที่ขายกลิ่นอย่างกาแฟ ให้ความสำคัญในเรื่องของกลิ่นในทุกขั้นตอนการผลิต เช่นในกระบวนการผลิตกาแฟ  ‘การคั่ว’ เป็นกระบวนการสำคัญที่สุดซึ่งกลิ่นรสสุดท้ายของกาแฟจะขึ้นอยู่กับวิธีการคั่ว ตลอดจนถึงสภาวะที่ใช้คั่ว   อีกทั้งยังมีขั้นตอนของการแยกสารที่ให้กลิ่นหอมเพื่อเป็นการถนอมกลิ่นไม่ให้สูญเสียไประหว่างการผลิต และพอหลังจากเมล็ดกาแฟผ่านการระเหยน้ำเพื่อสกัดความชื้นเรียบร้อยแล้วจึงทำการฉีดสารที่ให้กลิ่นหอมเข้ามา จนไปถึงกระบวนการบรรจุภัณฑ์ ซึ่งจะให้ความสำคัญกับเรื่องกลิ่นของเมล็ดกาแฟเป็นอย่างมาก  การตรวจวัดคุณภาพกลิ่นของกาแฟ ในปัจจุบันยังคงใช้ผู้เชี่ยวชาญเป็นหลัก ซึ่งผลการตรวจวัดกลิ่นนั้นมาจากความรู้สึก และประสาทสัมผัสของผู้ตรวจวัดที่ใช้คัดแยกระหว่างกลิ่นของกาแฟธรรมชาติกับกลิ่นของสิ่งแปลกปลอมอื่น โดยการตรวจวัดดังกล่าวนั้นย่อมเกิดความไม่แน่นอนของข้อมูลได้ง่ายเพราะผู้ตรวจวัดแต่ละบุคคลย่อมมีมาตรฐานที่ไม่เหมือนกัน  อีกทั้งยังส่งผลให้การกำหนดมาตรฐานกาแฟ ไม่มีความชัดเจนอีกด้วย โดยเมื่อประเทศไทยต้องเปิดประเทศเพื่อทำการค้าเสรี การตรวจวัดที่ไม่มีมาตรฐานที่แน่นอน ย่อมส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจกาแฟ ของไทยลดลง ทางภาควิชาฟิสิกส์และศูนย์นาโนเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้พัฒนาจมูกอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Nose) ขึ้นมา โดยหวังจะให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถยกระดับมาตรฐาน และยกระดับอุตสาหกรรมกาแฟได้ในอนาคต  อีกทั้งยังสอดคล้องกับแนวทางนโยบายของรัฐที่จะยกระดับคุณภาพ และประสิทธิภาพการผลิตอุตสาหกรรมกาแฟในประเทศเพื่อแข่งขันกับตลาดโลกอีกด้วย โดยจมูกอิเล็กทรอนิกส์ที่พัฒนาขึ้นนี้ จะเลียนแบบการดมกลิ่นของมนุษย์ แต่มีข้อดีกว่าตรงที่มันสามารถจดจำกลิ่นในรูปของข้อมูลดิจิตอล และสามารถนำข้อมูลกลิ่นมาเปรียบเทียบและแสดงผลในรูปของกราฟ หรือ การแสดงผลที่เข้าใจง่าย ทำให้คนที่ทำงานเพื่อควบคุมหรือพัฒนากลิ่นกาแฟ สามารถที่จะทำงานได้อย่างมีมาตรฐาน

วันหลังมาคุยเรื่องนี้กันต่อนะครับ

24 กุมภาพันธ์ 2556

ฤาจะสูญสิ้น กลิ่นกาแฟไทย (ตอนที่ 1) - The End of Thai Coffee




เกือบทุกครั้งที่ผมเดินทางไปทำงานภาคสนามหรือไปตระเวณไหว้พระตามต่างจังหวัด สิ่งที่นักเดินทางอย่างพวกเรา มักจะขาดไม่ได้ก็คือ กาแฟอเมซอน โดยเฉพาะเมนูอเมซอนปั่น ผมถือว่าเป็นกาแฟปั่นที่อร่อยที่สุดในโลก ด้วยสูตรปั่นเข้มข้นหวานมันที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ทำให้คนที่กินกาแฟแล้วใจสั่นอย่างผม ไม่อาจจะอดใจไหว ยอมใจสั่นทุกครั้งที่เข้าปั๊ม ปตท. แต่ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา รสชาติอเมซอนปั่นสุดโปรดของผมเริ่มเพี้ยนๆ ไป ถึงแม้จมูกของผมจะไม่ใช่ขนาด supersentitive แบบนักชิมไวน์มืออาชีพก็ตาม แต่ประสบการณ์เรื่องกลิ่นที่เกิดจากการทำวิจัยทางด้านนี้ของผมมาหลายปี ก็ทำให้ผมรู้สึกได้ว่ามันเริ่มมีอะไรทะแม่ง ๆ แล้วหล่ะ ผมได้ตระเวณชิมกาแฟอเมซอนปั่นหลายๆ ปั๊ม จากภาคกลางไปภาคเหนือ ก็ยิ่งทำให้เกิดความมั่นใจว่ารสชาติอมเซอนปั่นได้ผิดเพี้ยนไปจากเดิมอย่างมาก จากเดิมที่เคยหอมหวานมันอร่อย กลายเป็นเหลือแต่ หวานมัน แต่ความหอมอร่อยนั้นรู้สึกจะจืดจางไป สิ่งที่ผมได้ยินมาก็คือ กาแฟไทยเริ่มขาดตลาดเนื่องจากปริมาณผลผลิตที่ลดลง ผู้ประกอบการไทยจึงเริ่มนำเข้ากาแฟจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีราคาถูกกว่า แต่ก็มีคุณภาพที่ต่ำกว่ากาแฟไทยด้วย ดูเหมือนว่าปัญหานี้จะยิ่งวิกฤตในอนาคต เพราะกาแฟไทยจะมีผลผลิตต่ำลงเรื่อยๆ แต่การบริโภคของคนไทยนั้นกลับเพิ่มทุกปี ทำให้กาแฟ AEC เข้ามาตีตลาดจนทำให้คนไทยได้รับกลิ่นกาแฟไทยน้อยลงเรื่อยๆ น่าเสียดายมากครั

กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ทรงเสน่ห์ที่สุดในโลก ชาวตะวันตกทั้งยุโรปและอเมริกาเป็นกลุ่มประชากรที่บริโภคกาแฟมากที่สุดในโลก แต่พวกเขากลับปลูกมันไม่ได้ เพราะว่ากาแฟปลูกได้เฉพาะในพื้นที่เขตทรอปิกส์หรือเขตร้อนเท่านั้นครับ แม้ว่าบางสายพันธุ์จะชอบอากาศเย็นก็ตาม แล้วพวกเราเป็นเผ่าพันธุ์ที่ปลูกกาแฟได้ จะไปซื้อกาแฟจากยุโรปมากินทำไมหล่ะครับ จะว่าไปคนยุโรปก็เพิ่งจะรู้จักกาแฟหลังจากที่ชาวมุสลิมนำไปให้ลองชิม วัฒนธรรมไฮโซหลายๆ อย่างนั้น ในครั้งอดีตกาลก็ไม่ได้เจริญในยุโรปนะครับ ในยุคที่ชาวเยอรมันยังอาศัยอยู่บนต้นไม้หน่ะ ชาวอาหรับมีมหาวิทยาลัยกันแล้วด้วยซ้ำ ท่านผู้อ่านทราบหรือไม่ว่า ร้านกาแฟแบบ Starbuck หรือ True Coffee เนี่ยมันมีมาตั้งแต่ ค.ศ. 1473 หรือ พ.ศ. 2016 ก่อนที่ไทยเราจะเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1 เสียอีก โดยร้านนี้เปิดในนครอิสตันบูล เมืองหลวงของประเทศตุรกีในปัจจุบัน โดยผู้คนที่มานั่งที่ร้านนี้ เขาจะมาสรวลเสเฮหากัน ดื่มไปคุยไป ถึงแม้ในสมัยนั้นจะไม่มี Wi-Fi แต่การแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร กันก็เกิดขึ้นในร้านแบบนี้ นอกจากร้านกาแฟแล้ว อาณาจักรออตโตมัน หรือ ตุรกีในปัจจุบันยังเป็นต้นกำเนิดของ Social Networks หลายๆ เรื่องเลยครับ ไม่ว่าจะเป็น  การสร้างรีสอร์ทริมทะเล สปา สวนสาธารณะ ถนนคนเดิน ร้านโชว์ห่วย หรือแม้แต่ตลาดกลางทางด้านการเกษตร (อ.ต.ก.) 

จากข้อมูลในปี 2009 ประชากรโลกดื่มกาแฟกันวันละ 2 พันล้านกว่าถ้วย โดยมีวิสาหกิจที่ทำมาหาเลี้ยงชีพอันเกี่ยวข้องกับกาแฟอยู่ 25 ล้านแห่ง เฉพาะในประเทศบราซิลที่เดียว มีแรงงานที่เกี่ยวข้องกับการเก็บเกี่ยวกาแฟ 5 ล้านคน ซึ่งต้องดูแลต้นกาแฟที่มีมากถึง 3 พันล้านต้น ทั้งนี้การเพาะปลูกกาแฟต่างจากพืชอย่าง อ้อย หรือ มันสำปะหลัง ที่ยังต้องใช้แรงงานในการเก็บเกี่ยว และดูแลอย่างสม่ำเสมอ ยังไม่สามารถใช้เครื่องจักรกลมาทดแทนแรงงานมนุษย์ และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กาแฟไทยมีพื้นที่เพาะปลูกลดน้อยถอยลงทุกๆ ปี ผลผลิตโดยรวมของกาแฟทั่วทั้งโลกมีจำนวน 7.8 ล้านตัน (ข้อมูล 2009) โดยมีบราซิลผลิตมากที่สุดคือ 2.44 ล้านตัน เวียดนาม 1.18 ล้านตัน โคลัมเบีย 0.89 ล้านตัน อินโดนีเซีย 0.70 ล้านตัน อินเดีย 0.29 ล้านตัน สำหรับประเทศไทยเองเราเคยปลูกกาแฟได้เป็นอันดับ 3 ของอาเซียนรองจากเวียดนาม และอินโดนีเซีย อีกทั้งยังเคยเป็นประเทศส่งออกสำคัญในอาเซียน แต่ด้วยความต้องการบริโภคของคนไทยที่เพิ่มขึ้นในช่วงหลัง และ พื้นที่เพาะปลูกกาแฟไทยลดลง ทำให้เรากลายเป็นประเทศนำเข้าเมล็ดกาแฟ 

แล้วค่อยคุยกันต่อในตอนต่อไปนะครับผม

22 ธันวาคม 2555

BIG DATA - ยุคข้อมูลใหญ่มหึมา มาถึงแล้ว (ตอนที่ 2)



ในยุคที่ระบบเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เชื่อมโยงกันทั้งโลก ทำให้การจะทำอะไรสักอย่างที่เมื่อก่อนเราคิดว่ามันง่าย กลับกลายเป็นเรื่องยาก สิ่งที่เราคิดว่าถูกสำหรับสังคมเรา อาจจะเป็นสิ่งที่ผิดในสังคมโลก ซึ่งหากเราจะฝืนเชื่อในแบบของเราต่อไปไม่แคร์ประเทศอื่นก็คงทำได้แต่ไม่ยั่งยืน แม้แต่ประเทศที่เคยปิดตัวเองและคิดว่าตัวเองสามารถอยู่ได้ไม่ต้องพึ่งใครอย่างพม่า สุดท้ายก็ต้องเปิดประเทศ อดีตนายกฯ ทักษิณของไทยถูกศาลอาญาประเทศไทยสั่งจำคุกดดีที่ดินรัชดาฯ กลายเป็นผู้ร้ายข้ามแดนที่ต้องหลบหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ แต่กลับกลายเป็นว่าตัวเขาเองสามารถเดินทางไปไหนต่อไหนได้ทั่วโลกอย่างไม่จำกัด โดยตำรวจสากลไม่สนใจที่จะแตะต้องหรือนำตัวส่งกลับประเทศไทยแต่อย่างใด นั่นแสดงว่า โลกไม่ได้ให้ความสนใจต่อคำตัดสินของศาลไทย แถมกลับมองเห็นว่าคำสั่งศาลไทยเป็นคำสั่งที่ไม่มีความหมายในเวทีโลก  แต่เมื่อเทียบกับอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ ที่เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อจะเดินทางไปยังต่างประเทศ กลับถูกปฏิเสธไม่ให้ไป ไม่ว่าจะเป็น เขมร บรูไน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดิอารเบีย รัสเซีย   ยุทธการโลกล้อมประเทศไทยนี้ ทำให้เกิดคำถามว่า คนในประเทศของเรานั้น มีศักยภาพในการเท่าทันพลวัตในมิติต่างๆ ของเวทีโลกอันซับซ้อนนี้หรือไม่

ระบบเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันทั้งโลกนี้ ทำให้ความเป็นตัวของตัวเองทางด้านวิถีชีวิตก็เป็นไปได้ยากมากๆ ทุกอย่างต้องไหล ต้องพลิ้วไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งโลก คนที่ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จะเข้าใจดีว่า ราคาทอง น้ำมัน และหุ้น มีความอ่อนไหวกับแทบจะทุกๆ เรื่องที่ไม่ได้เกิดในเมืองไทย เช่น ปัญหาหนี้ยุโรป ปัญหาหน้าผาการคลังในสหรัฐฯ ปัญหาเงินฝืดในญี่ปุ่น ปัญหาเศรษฐกิจในจีน  ในระยะหลังๆ มีกระแสเงินทุนไหลเข้าอาเซียนมาก ทำให้ราคาหลักทรัพย์ต่างๆ ของอาเซียนเพิ่มขึ้นอย่างมากมายจนเอาไม่อยู่ ถ้าคุณจะเล่นหุ้นสักตัวในตลาดหุ้น ก็จะพบว่าวัน ๆ คุณจะเจอกับข้อมูล Big Data จำนวนมหาศาลที่จะไหลเข้ามาเพื่อให้คุณวิเคราะห์และตัดสินใจว่าจะซื้อหรือจะขายหุ้นตัวนั้นดี ซึ่งเป็นข้อมูลที่ทั้งเกี่ยวและไม่เกี่ยวกับบริษัทนั้น คุณจะต้องดูให้หมดทั้งเรื่องการเมือง แนวโน้มต่างๆ ทั้งในประเทศไทยและในโลก

ผมยกตัวอย่าง ผมมีหุ้นตัวหนึ่ง เป็นบริษัที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและขายอาหารสัตว์ มาดูกันครับว่า ราคาของหุ้นตัวนี้จะขึ้นกับอะไรบ้าง 

ผมซื้อหุ้นตัวนี้เพราะความที่ผมมีความหลงไหลเรื่องของเกษตรเป็นทุนอยู่แล้ว หุ้นตัวนี้ไม่ค่อยมีใครสนใจ เพราะมันเป็นหุ้นเกษตรที่เติบโตเป็นวัฏจักร ราคาหุ้นตัวนี้ไม่แพง (ต่ำกว่า 10 บาท) ให้ปันผลปีละประมาณ 6-10% ซึ่งผมก็พอใจกับผลตอบแทนประมาณนี้ สำหรับหลายๆ คนมองว่าหุ้นตัวนี้น่าเบื่อ เพราะว่าราคามันไม่ไปไหนเลยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แต่ผมเห็นว่าเป็นบริษัทที่มีความมั่นคง เพราะบริษัทนี้มีกระแสเงินสดดี ไม่ค่อยมีหนี้ แถมมีกำไรสะสมเป็นพันล้าน ถึงแม้ผลประกอบการในปี 2555 นี้จะไม่เติบโตเนื่องมาจากต้นทุนด้านวัตถุดิบปีนี้มีราคาค่อนข้างสูง อันเนื่องมาจากปัญหาภัยแล้งในปีก่อนหน้า ทำให้ราคาข้าวโพดแพงมาก แต่ราคาอาหารสัตว์กลับไม่ได้ปรับขึ้น อย่างไรก็ดี จากการดูราคาข้าวโพดล่วงหน้า ส่งมอบในเดือนมีนาคม 2556 มีราคาถูกลงมาก อันเนื่องมาจากพายุแซนดี้ทำให้เกิดฝนตกมากในสหรัฐฯ เมื่อเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา ทำให้จะมีผลผลิตข้าวโพดเพิ่มขึ้นมากจนทำให้ราคาส่งมอบลดต่ำลง ดังนั้น ในปีหน้าหุ้นตัวนี้น่าจะมีผลประกอบการดี ซึ่งจะส่งผลให้มีเงินปันผลสูงขึ้น และเมื่อเงินปันผลสูงขึ้น นักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นตัวนี้ก็จะสนใจแล้วเข้ามาซื้อ ทำให้ราคาของหุ้นตัวนี้สูงขึ้นมาก ซึ่งก็จะทำให้ผมสามารถทำกำไรจากหุ้นตัวนี้ได้ในปีหน้า

แค่นี้ก็น่าจะเป็นข่าวดี แต่ทว่า ... ในชีวิตจริงมันไม่ง่ายอย่างนั้นเลยครับ เพราะอาหารสัตว์จะขายได้ดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับมีคนเลี้ยงสัตว์เพื่อการบริโภคมากหรือไม่ ซึ่งในที่นี้คือ หมู เมื่อมีคนเลี้ยงหมูมาก ก็จะใช้อาหารสัตว์มาก ซึ่งก็จะทำให้บริษัทที่ผมถือหุ้นอยู่นี้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่ว่า เมื่อมีคนเลี้ยงหมูมาก ก็จะเกิด supply ขึ้นในตลาดจำนวนมาก ทำให้ราคาเนื้อหมูลดต่ำลง ซึ่งก็จะทำให้คนเลี้ยงหมูได้กำไรน้อยลง คนเลี้ยงหมูก็อาจจะพยายามลดต้นทุนด้วยการเลี้ยงหมูน้อยลง ใช้อาหารหมูจากบริษัทนี้น้อยลง โดยผสมอาหารจากธรรมชาติเข้าไปด้วย บริษัทที่ผมถือหุ้นอยู่ก็อาจจะต้องลดราคาอาหารสัตว์ลงเพื่อจูงใจให้มีการซื้อมากขึ้น หรือหากคงราคาเดิมไว้ ก็จะมียอดขายลดลง แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน การที่คนเลี้ยงหมูมากขึ้น ก็ไม่จำเป็นที่จะส่งผลดีต่อกิจการที่ผมซื้อหุ้นไว้เสมอไป ราคาของหุ้นตัวนี้ที่จะผมหวังจะทำกำไรให้ผมสูงๆ ได้ ก็จะขึ้นลงเป็นวัฏจักร ... แน่นอน ถ้าผมต้องการทำกำไรจากหุ้นตัวนี้ ผมจะต้องทำการบ้านที่หนักหน่วง กับข้อมูลปัจจัยต่างๆ ที่จะมีผลต่อราคาหุ้นตัวนี้ มันเป็นข้อมูลที่ใหญ่ เป็น Big Data จริงๆ

ในช่วงปลายปี 2555 ได้เกิดปรากฏการณ์ที่เงินทุนไหลเข้าเรียกว่า Fund Flow ไหลเข้ามาทางเอเชียเป็นประวัติการณ์ ทำให้ดัชนีหลักทรัพย์ของไทยไหลขึ้นอย่างน่าตกใจ ราคาหุ้นยกตัวแทบจะทั้งกระดาน แต่หุ้นเกษตรตัวนี้ของผมกลับไม่กระดิกไปไหน มันยังขึ้นๆ ลงๆ ตามปริมาณการซื้อขายไปมาเล็กๆ น้อยๆ นักลงทุนส่วนมากมองว่าหุ้นตัวนี้น่าเบื่อที่สุด แต่มันกลับเป็นหุ้นสุดเลิฟของผม และผมเชื่อว่ามันจะเป็นหุ้นที่ดีต่อไป และทำกำไรให้ผมได้อย่างยั่งยืน ......

25 กรกฎาคม 2555

Floating Nations - ประเทศลอยน้ำ (ตอนที่ 3)



(ภาพจาก http://www.architectureanddesign.com.au/)

ในสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้ไปออกภาคสนามแถวๆ จ.ชัยภูมิ ทำให้ผมมีโอกาสได้เห็นการก่อสร้างสถานีผลิตไฟฟ้าพลังงานงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) ในพื้นที่แถว จ.เพชรบูรณ์ และ จ.ชัยภูมิ ซึ่งทำให้ผมค่อนข้างปวดใจ เพราะถึงแม้เราจะได้พลังงานไฟฟ้าจาก Solar Farm ซึ่งกินอาณาบริเวณนับพันๆ ไร่ แต่เราก็ต้องสูญเสียที่ดินดีๆ ซึ่งสามารถใช้เพาะปลูกอาหารไปด้วย ปกติการก่อสร้าง Solar Farm ในประเทศที่มีความเจริญ อย่างในประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ ประเทศจีน มักจะทำในพื้นที่ที่ใช้ประโยชน์ที่ดินในการผลิตอาหารไม่ได้แล้ว เช่น ในทะเลทราย ส่วนในประเทศที่มีประชากรหนาแน่น และมีการใช้พื้นที่ค่อนข้างจะเต็มประสิทธิภาพอย่างเยอรมัน เขาก็จะมักจะติดตั้งเซลล์สุริยะบนหลังคาอาคารเป็นหลัก เช่น ติดตั้งในหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านไปเลย ผมไม่ค่อยเห็นการนำพื้นที่ทางการเกษตรไปสร้าง Solar Farm เลยครับ ก็เพิ่งเห็นในประเทศไทยนี่แหล่ะครับ .... ปวดใจจริงๆ .... เท่าที่ทราบมา เห็นว่ายังจะมีการก่อสร้างสถานีไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์นี้อีกหลายแห่งด้วยครับ 

ประเทศไทยก็เหมือนหลายๆ ประเทศทั่วโลกหล่ะครับ ที่นับวัน ที่ดินดีๆ ที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูกจะน้อยลงไปเรื่อยๆ ทรัพยากรบนพื้นดินมีแต่จะหายากลงไปเรื่อยๆ ดังนั้น อนาคตอยู่ที่ทะเลและมหาสมุทรครับ ในศตวรรษที่ 21 ประเทศใดที่ไม่มีทางออกทะเล มีแต่จะต้องพึ่งพาประเทศอื่นๆ ส่วนประเทศที่มีทางออกทะเล รวมทั้งประเทศไทย ก็ต้องถามว่า ประเทศนั้นมีศักยภาพในการใช้ทรัพยกรและปกป้องผลประโยชน์ทางทะเลมากแค่ไหน เช่น การมีกองทัพเรือที่เข้มแข็ง มีเทคโนโลยีทางทะเล (Marine Technology) พร้อมแค่ไหน เพราะนอกจากประเทศเหล่านี้จะต้องแข่งขันเพื่อช่วงชิงทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล กับ ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคแล้ว ก็อาจจะต้องเผชิญการแข่งขันกับประเทศเกิดใหม่ ประเทศเล็กๆ ลอยน้ำ (Micronations) ที่พร้อมจะแข่งขันและประสานผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแบบใหม่ของศตวรรษที่ 21

ประเทศลอยน้ำจะเน้นระบบเศรษฐกิจที่ให้ผลตอบแทนสูง ดังนั้น อาชีพของประชากรส่วนใหญ่ของประเทศนี้จะเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ ไอที เทคโนโลยีชีวภาพ การออกแบบ อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศลอยน้ำมีที่ตั้งในมหาสมุทร ประเทศเหล่านี้จึงมีความได้เปรียบในอุตสาหกรรมอีกด้านหนึ่ง ซึ่งต่อไปในอนาคต โลกอาจจะต้องพึ่งพาประเทศเหล่านี้เป็นอย่างมาก นั่นคือ การผลิตอาหารทะเล ประเทศลอยน้ำสามารถใช้ความได้เปรียบในการทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์น้ำในทะเลเปิด (Mariculture) ซึ่งกำลังได้รับการพัฒนาให้มีความก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันสามารถผลิตอาหารได้หลายชนิด ทั้ง กุ้ง หอย ปลา สาหร่าย ซึ่งเมื่อมีการจับสัตว์น้ำขึ้นมา ก็สามารถทำกรรมวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะทำเป็นอาหารสด แช่แข็ง หรือแปรรูป สามารถทำในทะเลได้เลย (เนื่องจากเป็นประเทศลอยน้ำอยู่ในทะเลอยู่แล้ว) ลองคิดดูสิครับว่า มูลค่าเศรษฐกิจจะมากขนาดไหน ปัจจุบัน ประชากรโลก 1 พันล้านคนบริโภคปลาเป็นอาหารโปรตีนหลัก มนุษย์บริโภคปลาสดเป็นจำนวนปีละ 120 ล้านตัน และจะมากขึ้นไปอีกเรื่อยๆ แต่จำนวนปลาที่จับได้มีแต่จะน้อยลง ทำให้ราคาของปลาทะเลในปัจจุบันสูงมาก โลกในอนาคตจึงต้องพึ่งพาการเลี้ยงสัตว์น้ำในทะเล เพื่อชดเชยการจับปลาแบบเดิมๆ

พลังงานก็อาจจะเป็นสินค้าอีกอย่างหนึ่ง ที่ประเทศลอยน้ำสามารถส่งออกไปขายยังประเทศที่อยู่บนชายฝั่ง เนื่องจากที่ดินในทะเลค่อนข้างจะฟรีและมีเหลือเฟือ ดังนั้น การสร้างสถานีผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำ (Solar Island) ก็ไม่ต้องปวดใจอีกต่อไป เพราะไม่ต้องไปแย่งพื้นที่เกษตรกรรม ในทะเลไม่ได้มีแต่แสงแดด แต่มีทั้งคลื่น ลม ซึ่งสามารถนำไปผลิตกระแสไฟฟ้าได้ รวมทั้งพลังงานไฟฟ้าผลิตจากการใช้ความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิของน้ำเย็นที่ระดับความลึกหลายร้อยเมตร กับ อุณหภูมิที่ผิวน้ำ (Ocean Thermal Energy Conversion) ซึ่งหากนำเทคโนโลยีอันหลังนี้มาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ประเทศลอยน้ำจะกลายเป็นเศรษฐีทางด้านพลังงานไปในทันทีครับ

16 กรกฎาคม 2555

Vertical Farm - ทำไร่บนตึกสูง (ตอนที่ 5)



ผมเคยเขียนบทความเกี่ยวกับ Vertical Farm ครั้งล่าสุดคือเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2010 นั่นคือเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งผมได้ติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเรื่อยๆ และตอนนี้น่าจะต้องกลับมาเขียนเรื่องนี้เพิ่มอีกครั้งครับ

Vertical Farm เป็นแนวคิดในการทำไร่ทำนาในแนวตั้ง โดยใช้พื้นที่บนอาคารสูง และที่สำคัญเป็นการทำการเกษตรในเมือง (Urban Farming) ผู้ที่บุกเบิกแนวคิดนี้คือ ศาสตราจารย์ Dickson Despommier แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย การทำไร่บนตึกสูงนี้ มีข้อดีหลายอย่างและสามารถช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มนุษยชาติกำลังเผชิญ ดังต่อไปนี้ครับ

- ในอนาคตอีกไม่นาน ประชากรของโลกส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในเมือง ประมาณกันว่าในปี ค.ศ. 2050 ประชากร 80% ของโลก (ประมาณ 9 พันล้านคน) จะอาศัยอยู่ในเมือง

- แต่การเกษตรในปัจจุบันกระทำกันในพื้นที่ชนบท ห่างไกลจากเมือง นั่นหมายถึงต้องมีการขนส่งมาถึงผู้บริโภค ทำให้ต้องใช้พลังงานมาก รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดูแลโครงสร้างพื้นฐาน (ถนน หนทาง) ไปกับจำนวนประชากรที่เบาบาง ที่ต้องทำหน้าที่แรงงานในภาคเกษตร

- การย้ายไร่นามาอยู่บนอาคารในเมือง เป็นการผลิตที่ใกล้ผู้บริโภค เป็นการผลิตอาหารที่มีประสิทธิภาพ สามารถควบคุมให้มีการรบกวนต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด เราสามารถคืนผืนดินสู่ธรรมชาติ คืนพื้นที่เกษตรกรรมให้กลับกลายเป็นผืนป่าอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอน (Carbon Storage) ป่าเหล่านี้จะช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ เมื่อมีผืนป่า สัตว์ป่าก็จะกลับคืนมาอีกครั้ง

- จะเกิดแรงงานในภาคเกษตรรูปแบบใหม่ ในกระบวนการผลิตอาหารในเมือง จะเกิดฟาร์มเกษตรบนอาคารขึ้นมากมายในเมือง เพื่อเลี้ยงประชากรในเมือง

- เราสามารถปลูกพืชได้ทั้งปีโดยไม่ต้องกังวลกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป หากเรายังทำเกษตรแบบเดิม ก็มีแต่จะต้องเพิ่มพื้นที่เกษตรในแนวราบ เพื่อจะหล่อเลี้ยงประชากรที่เพิ่มขึ้นของโลก ทั้งนี้โลกของเราแทบจะไม่เหลือพื้นที่ให้ทำการเกษตรได้อีกแล้ว นอกเสียจากจะต้องยอมสูญเสียผืนป่าเขตร้อนอันมีค่า (ตัวอย่าง ป่าอะเมซอน และ ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร)

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แนวคิดของ Vertical Farm ได้มีการนำไปปฏิบัติทั้งในขั้นของการทดลอง หรือ แม้แต่ในเชิงการค้า เช่น ในประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ สวีเดน หรือในประเทศสหรัฐอเมริกาเจ้าของความคิดเอง ก็เริ่มตามมาอย่างช้าๆ โดยเฉพาะในประเทศสิงคโปร์เองนั้น มีแนวคิดที่จะทำให้เกิด Vertical Farm ทั่วทั้งเกาะเลยทีเดียว เพื่อเป็นการสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารให้แก่ประเทศ


วันหลังมาคุยเรื่องนี้ต่อนะครับ ....

03 กรกฎาคม 2555

Floating Nations - ประเทศลอยน้ำ (ตอนที่ 2)



เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัท Blueseed ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกมาประกาศว่า ในราวกลางปี ค.ศ. 2013 บริษัทจะเปิดเมืองลอยน้ำ ห่างจากชายฝั่งเมืองซาน ฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ออกไป 12 ไมล์ทะเล ซึ่งเป็นเขตของน่านน้ำสากล โดยเมืองลอยน้ำนี้ (ซึ่งเริ่มแรกน่าจะดัดแปลงจากเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่) จะรองรับบริษัทต่างๆ ที่ต้องมีการจ้างพนักงานต่างชาติที่ไม่สามารถจะได้วีซ่าเข้าทำงานในประเทศสหรัฐอเมริกาได้  โดยมากเป็นบริษัทใน Silicon Valley โดยพนักงานต่างชาติเหล่านี้สามารถพำนักได้บนเมืองลอยน้ำนี้ โดยไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี พนักงานสามารถได้รับวีซ่าประเภท B1 เพื่อเข้าสหรัฐฯ ได้ ในลักษณะการเดินทางเพื่อไปพบลูกค้า ประชุม หรือปฏิบัติงานเชิงธุรกิจ หรือไปท่องเที่ยว โดยจะมีเรือเฟอรี่เดินทางระหว่างเมืองลอยน้ำนี้ กับ ชายฝั่งแคลิฟอร์เนีย ทุกวัน เมืองลอยน้ำนี้จะมีการจ้างลูกเรือเข้ามาดูแลวิถีชีวิต และความเป็นอยู่ของประชากร เพื่อให้เมืองพึ่งพาตัวเองได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น ตำรวจ แพทย์-พยาบาล พ่อครัวชั้นยอด ทนาย ช่าง นักดนตรี และอื่นๆ อีกมากมาย

สิ่งที่บริษัท Blueseed กำลังทำอยู่ นับว่าเป็นปฐมบทของแนวโน้มใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นในโลกครับ แนวโน้มที่ว่านี้ก็คือ ประเทศลอยน้ำ (Floating Nations หรือ Floating Countries) ซึ่งเป็นแนวคิดในการสร้างประเทศลอยน้ำได้ขึ้นมาในทะเลหรือมหาสมุทรที่เป็นน่านน้ำสากล ประเทศขนาดจิ๋ว (Micronation) แบบนี้สามารถกำหนดกฎหมายของตัวเองได้ สามารถที่จะคัดเลือกประชากรของประเทศตัวเองได้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกคนที่มีอันจะกิน กับ คนฉลาดๆ ที่สามารถจะเข้ามาพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศตัวเองได้ ในอนาคตเราจะเริ่มเห็นเมืองหรือประเทศลอยน้ำแบบ Blueseed นี้ลอยเป็นดอกเห็ด ตามชายฝั่งประเทศต่างๆ ทั่วโลก

แน่นอนว่า ถึงแม้ประเทศลอยน้ำนี้จะลอยไปอยู่ที่ไหนในโลกก็ได้ที่เป็นน่านน้ำสากล แต่ในความเป็นจริง ประชากรของประเทศลอยน้ำมักจะมีความผูกพันกับประเทศที่เป็นถิ่นกำเนิด (Host Nation) ซึ่งเป็นประเทศที่มันอยากลอยอยู่ใกล้ๆ เพราะอย่างไรเสีย ประเทศลอยน้ำนี้ก็ยังต้องพึ่งพาอาศัยทรัพยากรหลายๆ อย่างจากประเทศถิ่นกำเนิด โดยจะตอบแทนกลับคืนในแง่ของมูลค่าทางเศรษฐกิจต่างๆ เช่นเดียวกับที่ Blueseed ส่งกลับคืนในรูปของผลงานนวัตกรรมต่างๆ แก่ประเทศสหรัฐอเมริกา

ดังนั้นประเทศลอยน้ำที่เกิดใหม่จะต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้

(1) ความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศแม่ (Host Nation)
(2) การมีผลประโยชน์ร่วมกันกับชุมชนแนวชายฝั่งที่ประเทศลอยน้ำไปลอยอยู่ใกล้ๆ เช่น การเป็นแหล่งท่องเที่ยว การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
(3) ความสามารถทางเศรษฐกิจ ประเทศลอยน้ำนี้มีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสูง จึงต้องสามารถสร้างรายได้มาชดเชยรายจ่ายทางด้านนี้ 
(4) ศีลธรรม ประเทศลอยน้ำจะอยู่ไม่ได้ถ้าเป็นแหล่งรวมคนที่ขาดศีลธรรม ประเทศลอยน้ำจึงต้องมีความเข้มงวดต่อกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอบายมุข หรือ ผิดกฏหมายสากล เช่น การหนีภาษี การค้ามนุษย์ ซ่องโจร เป็นต้น
(5) มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อธุรกิจ ไม่มีกฎหมายจุกจิก
(6) ลอยไปหาที่อยู่ใหม่ได้เมื่อถึงเวลา เช่น เมื่อเกิดปัญหากับประเทศที่ไปลอยอยู่ใกล้ๆ เป็นต้น

อีกไม่นานหรอกครับ เราคงจะได้ยินข่าวว่ามีคนไทยคนหนึ่งไปสร้างประเทศใหม่ เพราะกลับเข้าประเทศไทยไม่ได้ และเมื่อถึงวันนั้น ประเทศลอยน้ำอันนี้อาจมาลอยอยู่แถวปากอ่าวไทยก็ได้ .....

07 มิถุนายน 2555

Floating Nations - ประเทศลอยน้ำ (ตอนที่ 1)



ในช่วงที่ผมติดอยู่ในบ้านที่ถูกน้ำท่วม ที่ จ.นนทบุรี เป็นเวลา 45 วันนั้น หลังจากงานสูบน้ำและทำงานบ้านประจำวัน ผมมีเวลาค่อนข้างเยอะที่จะครุ่นคิดถึงแนวคิดต่างๆ แน่นอนว่าหลายๆ เรื่องก็จะเกี่ยวข้องกับน้ำ และเรื่องหนึ่งที่ผมคิดคือ ในอนาคตมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่ประเทศไทยจะตกอยู่ในสภาพ แห้ง 8 น้ำ 4 คือ แผ่นดินแห้งอยู่ 8 เดือน กับชุ่มน้ำอีก 4 เดือน ทั้งนี้หากคำนึงถึงความเป็นจริงที่ว่า ที่ราบลุ่มภาคกลางที่เป็นที่ตั้งของกรุงเทพและปริมณฑลมีแผ่นดินทรุดลงตลอดเนื่องจากการขยายตัวของเมือง เราต้องไม่ลืมว่า แผ่นดินที่เมืองหลวงของเราตั้งอยู่นี้เคยเป็นทะเลมาก่อน แต่เนื่องจากมีตะกอนที่แม่น้ำปิง วัง ยม น่าน พัดพามาทับถมนานนับพันปี จึงเกิดเป็นแผ่นดินที่ราบลุ่มเจ้าพระยาขึ้นมา แต่หลังจากพวกเราได้ตั้งรกรากแถบนี้ เราได้สร้างเขื่อนที่ดักตะกอนเอาไว้ รวมทั้งมีการควบคุมน้ำ มีการขุดลอกตะกอนในแม่น้ำทุกๆ ปี ทำให้ไม่เคยมีตะกอนใหม่ๆ มาทับถมพื้นดินที่เคยเป็นท้องทะเลนี้อีกเลย เราต้องยอมรับความจริงว่า พื้นดินนี้ย่อมทรุดตัวลงไปตามแรงกดทุกๆ ปี

แค่แผ่นดินทรุดตัวอย่างเดียวก็แย่แล้ว เรายังเจอโจทย์ (หรือ โจทก์) ใหม่อีกคือ น้ำทะเลที่สูงขึ้นอันเนื่องมาจากน้ำแข็งละลายในขั้วโลกเหนือ ซึ่งจะทำให้น้ำทะเลมีระดับสูงขึ้นในช่วงฤดูมรสุมของเรา นักวิทยาศาสตร์เคยประมาณเอาไว้ว่า อีกไม่เกิน 100 ปี ประเทศบังคลาเทศจะหายไปจากแผนที่โลก กรุงเทพฯ ของเราจะจมน้ำ
ในช่วงที่น้ำท่วม ผมเริ่มจะยอมรับความเป็นไปได้ที่ว่า เราอาจจะต้องใช้ชีวิตกับน้ำปีละ 2-4 เดือน ซึ่งอาจจะค่อยๆ กลายเป็นเรื่องปกติไปในอนาคต พอถึงหน้ามรสุม น้ำจะหลากมาท่วมหลังจากนั้นมันก็จะแห้ง เป็นวัฏจักรวนเวียนเช่นนี้ ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศกึ่งใต้น้ำ คือ เป็นประเทศที่มีแผ่นดิน 100% ผสมกับการมีแผ่นดิน 80% ในบางเวลา ทะเลจะค่อยๆ คืบคลานมากลืนกินแผ่นดินของเราไปอย่างช้าๆ

ทางฝั่งประเทศตะวันตกเอง เริ่มมีแนวคิดของการสร้างประเทศที่ลอยน้ำได้ (Floating Nations หรือ Floating Countries) ประเทศแบบนี้สามารถสร้างขึ้นมาโดยใครก็ได้ อาจเป็นรัฐบาล หรือ องค์กร หรือแม้แต่ คนๆเดียวที่มีสตางค์หน่อย (โดยเฉพาะคนที่ไม่มีประเทศจะอยู่) เราสร้างประเทศที่ลอยน้ำได้ซึ่งจะลอยไปที่ไหนก็ได้ในโลก เพราะในทะเลและมหาสมุทรนอกชายฝั่ง 12 ไมล์ทะเล นั้นถือว่าเป็นเขตทะเลสากล ประเทศนี้สามารถลอยไปลอยมาในทะเล ขอแต่ให้ห่างฝั่ง 12 ไมล์ทะเลเป็นใช้ได้ เนื่องจากเป็นประเทศที่ลอยน้ำได้ เราสามารถที่จะให้ประเทศนี้หนีพายุได้ หรือลอยไปยังบริเวณที่อากาศดีๆ แล้วลอยกลับมาที่เดิมเมื่อฤดูกาลที่เหมาะสมนั้นมาถึง การที่ประเทศลอยน้ำนี้อยู่ไม่ไกลจากฝั่งมากนัก ก็จะทำให้มีการเดินทางเข้า-ออก ด้วยเฮลิคอปเตอร์ หรือ เรือเฟอรี่ได้ง่าย หรือแม้แต่ประเทศลอยน้ำนี้จะมีสนามบินนานาชาติของตัวเองก็ย่อมทำได้

ถามว่า แล้วประเทศนี้จะเอาอะไรกิน ?

ด้วยความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีการเกษตร เราจะสามารถปลูกพืชแบบแนวดิ่งได้ (Vertical Farming) ซึ่งจะพอหล่อเลี้ยงประชากรในประเทศลอยน้ำ (ซึ่งอาจจะมีประชากรได้ตั้งแต่ 50,000 ถึงหลายแสนคน) เราสามารถทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในทะเลเปิดแบบ Smart Aquaculture ประเทศลอยน้ำสามารถผลิตพลังงานจากเซลล์สุริยะ กังหันลม รวมทั้งกังหันผลิตไฟฟ้าจากคลื่นในทะเล ประชากรที่อาศัยอยู่ในประเทศลอยน้ำนี้ จะเป็นประชากรระดับคุณภาพ ที่เข้ามาทำงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งอาจจะถูกห้ามในประเทศแม่ เช่น เรื่องจีเอ็มโอ หรือ โคลนนิ่ง เพราะอย่าลืมว่า ประเทศลอยน้ำ เป็นประเทศจริงๆ สามารถร่างรัฐธรรมนูญของตัวเอง ออกกฎหมายเอง ประเทศลอยน้ำนี้สามารถรับประชากรจากประเทศที่ไม่ลอยน้ำใดๆ ก็ได้ในโลก ให้เข้ามาทำงานช่วยผลักดันเศรษฐกิจของประเทศนี้ ซึ่งถึงแม้จะมีประชากรเพียงไม่กี่หมื่นคน ก็อาจจะผลิต GDP ได้มากกว่าประเทศไทยทั้งประเทศเสียอีก รายได้ของประเทศลอยน้ำจะมาจากสินค้าเทคโนโลยี ไอที นาโนเทคโนโลยี จีเอ็มโอ ซอฟต์แวร์ บันเทิงและการท่องเที่ยว ... ต้องไม่ลืมว่า ประเทศลอยน้ำนี้ สามารถออกกฎหมายของตัวเอง ซึ่งจะทำให้มีความคล่องตัวในการเอื้อต่อ ความต้องการของนักลงทุนจากแผ่นดินแม่

ในตอนต่อๆ ไป ผมจะมาเล่าความคืบหน้า เกี่ยวกับแนวคิดนี้ให้ฟังต่อนะครับ .....

03 พฤษภาคม 2553

Vertical Farm - ทำไร่บนตึกสูง (ตอนที่ 4)


หลายๆ ครั้งที่ผมได้รับเชิญไปเป็นวิทยากร เพื่อบรรยายในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสมัยใหม่กับการเกษตร ผมมักจะพูดถึงเรื่องของการเกษตรในร่ม ที่นับวันจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องของการทำฟาร์มในแนวดิ่ง (Vertical Farm) ซึ่งผมมักจะเสนอในที่ประชุมเหล่านั้นว่า มันจะช่วยทำให้เกษตรย้ายจากชนบทมาสู่เมือง ซึ่งหากมีการจัดการที่ดี จะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากๆ เพราะหากสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง ผืนดินในชนบทจำนวนมากจะถูกคืนแก่ธรรมชาติ การเกษตรในเมือง (Urban Agriculture) จะเป็นอะไรที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะเมืองเป็นที่ที่บริโภคผลผลิตทางการเกษตรเหล่านั้น เวลาที่ผมพูดเรื่องนี้ เมื่อผมมองสายตาของผู้ฟัง ผมรู้ว่าท่านเหล่านั้นไม่เชื่อ หรือ อย่างน้อยก็สงสัยกับสิ่งที่ผมพูด .....

แต่ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ที่ ดูไบ เมืองในทะเลทรายที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก ให้มาใช้ชีวิตหรูหราอย่างในเทพนิยายอาหรับราตรี ดูไบสร้างสิ่งมหัศจรรย์ทางวิศวกรรมยุคใหม่มาแล้วนับไม่ถ้วน แล้วทำไมดูไบจะคิดนอกกรอบ ทำในสิ่งที่ประเทศอื่นยังไม่ยอมทำอย่าง ฟาร์มบนตึกระฟ้า อย่างโครงการ Oasis Tower ที่กำลังจะสร้างในอุทยานธุรกิจซาบีล (Zabeel Park) ที่กำลังจะกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ชิ้นต่อไปของดูไบ ซึ่งมีเป้าหมายจะเป็นตัวอย่างเพื่อแสดงให้ประเทศอาหรับอื่นๆ เห็นว่า การผลิตอาหารได้เอง เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ และแนวคิดนี้จะเหมาะสมกับประเทศในทะเลทรายเป็นอย่างมาก เพราะการทำไร่ทำนาในพื้นที่เรียงกันในแนวดิ่ง ถือว่ามีประสิทธิภาพสูงสุดแล้ว สำหรับพื้นที่ในทะเลทราย เพราะการใช้น้ำจะมีประสิทธิภาพสูงสุด ของเสียหลายอย่างถูกนำกลับมาใช้ใหม่ ทำให้มีของเสียปล่อยสู่ธรรมชาติน้อยมาก อาคาร Oasis Tower แห่งนี้ ได้รับการคาดหวังว่าจะสามารถผลิตอาหารได้พอเพียงสำหรับประชากรจำนวนมากถึง 40,000 คนเลยครับ โดยมันจะลดการใช้พลังงานจากภายนอก ด้วยการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลมที่พัดผ่านตัวอาคาร รวมไปถึงเซลล์สุริยะที่เคลือบผิวตัวอาคารทั้งหมดจะช่วยผลิตพลังงานไฟฟ้าได้อีกด้วย

17 กุมภาพันธ์ 2553

Inspiration Economy - เศรษฐกิจแบบแรงบันดาลใจ (ตอนที่ 3)

เมื่อคนเรามีปัจจัยสี่ครบแล้ว เราจะเริ่มหาความสุขอื่นๆ เพื่อปรนเปรอร่างกายของเรา เมื่อความสุขทางกายมีครบถ้วนตามกำลังแล้ว เราก็เริ่มจะมองหาความสุขทางใจมาปรนเปรอภาวะทางอารมณ์ ความรู้สึก และทางปัญญา ในยุคที่เศรษฐกิจแบบแรงบันดาลใจ (Inpiration Economy) กำลังมาแรง สินค้าอารมณ์จะยิ่งขายดีขึ้น ดีขึ้น ไปเรื่อยๆ ครับ


ในจำนวนสินค้าอารมณ์ทั้งหลายนั้น ของเล่น เป็นสินค้าตัวหนึ่งที่ขายดีมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ใหญ่เริ่มกลับมาเล่นของเล่นแข่งกับเด็กมากขึ้น และเป็นของเล่นที่แพงด้วยครับ ของเล่นของลูกเราราคาแค่ไม่กี่สิบบาทถึงร้อยบาท แต่ของเล่นผู้ใหญ่ อย่างเช่น ตุ๊กตาบลายธ์ราคาเป็นหมื่น หุ่นยนต์เลโก้มายด์สตอร์มราคา 3 หมื่นกว่าบาท พวกของเล่นบังคับวิทยุแบบที่ผู้ใหญ่เล่นกันก็ราคาสูงทั้งนั้น เฮลิคอปเตอร์บังคับวิทยุ เครื่องบินบังคับวิทยุ ที่หมู่บ้านของผมก็มีชมรมของคนเล่นเรือเร็วบังคับวิทยุ ซึ่งก็อยู่ในราคา 2-3 หมื่นขึ้นไป เพื่อนบ้านของผมก็เล่นของเล่นจิ๋วต่างๆ ส่วนที่บ้านผมเองนั้น ของเล่นในบ้านของเรานั้น มีมูลค่ามากกว่าแก้วแหวนเงินทองที่เราเก็บกันอีกครับ จนผมต้องติดตั้งสัญญาณกันขโมยที่บ้าน เพราะกลัวว่าของเล่นจะหายครับ

การสะสมของเล่น มันจะช่วย inspire ตัวเราเองให้มีอารมณ์เป็นเด็กอยู่เสมอ ทำให้เรามองโลกรอบๆตัวเป็นความสนุกสนานไปหมด มองงานเป็นเกมส์ มองผู้อื่นเป็นมิตรร่วมเล่นเกมส์ของเราอยู่ การสะสมของเล่น วางของเล่นรอบๆโต๊ะทำงาน จะทำให้เกิดความสดชื่นในการทำงาน ทำให้งานดูไม่น่าเบื่อ ซึ่งมันก็จะช่วย inspire เพื่อนร่วมงานในที่ทำงานให้เกิดความสุข สนุกสนานไปด้วยครับ สังคมรอบๆ ของเราจะเป็น Community of Inspiration ที่มีแต่ความน่าอยู่น่ารื่นรมย์

การมีของเล่นสะสม กระจุ๊กกระจิ๊กที่บ้าน จะช่วย inspire คนในครอบครัวของเรา ลูกๆของเราซึ่งอยู่ในวัยเด็ก จะซึมซับความสดใสที่ได้จากการเก็บสะสมของเล่น การนำมันออกมาเล่นในบางครั้ง จะกระตุ้นเซลล์สมองของเขาได้ นอกจากนั้นของเล่นเหล่านี้ยัง inspire ลูกๆของเพื่อนบ้านรอบๆ บ้านเรา เกิดการ inspire ให้เกิดสังคมเพื่อนบ้านที่มีความสุข

ยังมีเรื่องให้คุยอีกเยอะครับใน Inspiration Economy ในตอนต่อๆ ไปครับ ......

03 ธันวาคม 2552

Econophysics - ฟิสิกส์เศรษฐศาสตร์ (ตอนที่ 1)


วันก่อนผมเปิดดูทีวีตอนเช้า ได้มีโอกาสชมรายการที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยไม่ตั้งใจ รายการนี้มีพิธีกรเป็นผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ สังกัดมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้พยายามเสนอข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจ ว่ามีแนวโน้มจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พิธีกรได้อ้างว่าข้อมูลดังกล่าวมาจากการวิจัยของสำนัก แต่เท่าที่ผมดู มันก็ไม่ต่างจากการใช้สามัญสำนึก (commen sense) เท่าไหร่ครับ เพราะยังไม่เห็นมีหลักวิทยาศาสตร์ได้ถูกนำไปใช้ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะวงการเศรษฐศาสตร์และพาณิชยศาสตร์ของไทย ยังไม่ค่อยมีความเป็นวิทยาศาสตร์เท่าไรนัก

ในช่วงที่ผมไปทำงานวิจัยหลังปริญญาเอกอยู่ที่มิวนิคนั้น ผมได้มีโอกาสศึกษาและใช้งานหลักกลศาสตร์ควอนตัม และกลศาสตร์สถิติ อย่างจริงจัง ศาสตร์เดียวกันนี้ได้ถูกนำไปใช้ทางด้านเศรษฐศาสตร์ และ ธุริกจ อย่างกว้างขวางในเยอรมันครับ เพื่อนๆ ของผมหลายคนที่จบปริญญาเอกจากห้องแล็ปเดียวกัน เขาไปสมัครทำงานในบริษัทวิเคราะห์หุ้น และบริษัทประกันภัยกัน เขาเคยเล่าให้ผมฟังว่า เขาถูกสัมภาษณ์อย่างซีเรียสมากๆ เพื่อทดสอบว่าเขารู้เรื่องกลศาสตร์เหล่านี้จริงๆ ปรากฏว่า CEO ของบริษัทนั้นก็จบปริญญาเอกทางฟิสิกส์มา จึงซีเรียสเรื่องนี้มากๆ ณ เวลานั้นเอง ผมถึงได้เรียนรู้ว่าเรื่องของระบบเศรษฐกิจนี้ สามารถนำหลักวิทยาศาสตร์เข้ามาใช้งานได้ น่าเสียดายที่คณะเศรษฐศาสตร์ของบ้านเรา ไปสังกัดอยู่กับพวกสังคมศาสตร์ เลยทำให้การพยากรณ์เศรษฐกิจของบ้านเรา ไม่ค่อยจะแม่นเหมือนกับของเยอรมัน

การนำเอากลศาสตร์ควอนตัม และกลศาสตร์สถิติมาใช้ทางด้านเศรษฐศาสตร์นี้ เขามีชื่อเรียกว่า "ฟิสิกส์เศรษฐศาสตร์" (Econophysics) ครับ ซึ่งเป็นศาสตร์ใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสัก 10 ปีที่แล้วนี้เองครับ ว่างๆ ผมจะนำเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังอีกนะครับ .....

01 ธันวาคม 2552

Inspiration Economy - เศรษฐกิจแบบแรงบันดาลใจ (ตอนที่ 2)


เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ได้มีรายงานวิจัยชิ้นหนึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Ecological Economics (รายละเอียดเต็มคือ Fred Curtis, "Peak globalization: Climate change, oil depletion and global trade", Ecological Economics (2009), vol. 69, pp. 427-434) โดยในรายงานนี้ได้เสนอข้อมูลเชิงวิเคราะห์ ที่ชี้ว่าโลกเรากำลังเข้าสู่ยุคของการ "ผลิตที่ไหน ใช้ที่นั่น" ซึ่งเป็นยุคที่การผลิตสินค้า จะกลับมาทำในบริเวณที่มีการบริโภคสินค้านั้น ระบบเศรษฐกิจจะกลับมาสู่ยุค "ทำเอง ใช้เอง" การบริโภคสินค้าจะเริ่มกลับมามองหาสิ่งที่อยู่ในบริบทของท้องถิ่น ที่มีความผูกติดกับชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนตัวเองมากขึ้น นักวิจัยเขาใช้ภาษาว่า มันจะเป็นยุคของ Relocalization ซึ่งตรงกันข้ามกับ Globalization เลยครับ

เหตุผลก็คือ การที่น้ำมันมีราคาสูงขึ้นมาก ทำให้การผลิตสินค้าแบบจำนวนมากๆ แล้วส่งออกไปขายทั่วโลก เริ่มเป็นเรื่องที่ใช้ต้นทุนมากขึ้น ภาวะโลกร้อนก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การขนส่งสินค้าไปขาย มีความเสี่ยงสูงขึ้น อากาศที่ร้อนขึ้น ทำให้ตู้คอนเทนเนอร์ต้องใช้พลังงานเพื่อควบคุมความเย็นของสินค้ามากขึ้น ความแปรปรวนในมหาสมุทรทำให้การเดินเรือมีความเสี่ยงสูง แถมยังต้องเสียเวลาเพื่อหยุดหรือเปลี่ยนเส้นทาง เมื่อเกิดพายุรุนแรงในมหาสมุทร ถ้าแค่นี้ยังไม่พอ นักวิจัยเขาบอกอีกด้วยว่า การกีดกันทางการค้านับวันก็จะมีแต่ความรุนแรงขึ้น การส่งของไปขายต่างประเทศจะมีแต่ยากขึ้นยากขึ้น ถึงแม้จะเป็นสินค้าที่เขาเองอยากจะซื้อก็ตามที

หากสิ่งต่างๆ ที่ผมกล่าวมาข้างต้นนี้เกิดขึ้นจริง ก็เข้าเป้าของเศรษฐกิจแบบใหม่ที่ผมกำลังพูดถึงเลยครับ เพราะระบบเศรษฐกิจแบบแรงบันดาลใจนี้ ไม่ต้องการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่ยาวเหมือนกับระบบเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ระบบเศรษฐกิจแบบใหม่นี้ Supply Chain จะสั้นๆ ทำกันในประเทศ ใช้กันในประเทศ หรือถ้าส่งออก ก็ส่งออกไปผลิตใกล้ๆ กับผู้ซื้อ ส่งออกแค่ไอเดียกับดีไซน์ไปก็พอ แล้วไปผลิตใกล้ๆ กับตลาด การผลิตในยุคอนาคตจะเริ่มเป็น Desktop Manufacturing มากขึ้น ซึ่งจะใช้วิธีการขึ้นรูป การพิมพ์ แบบเอาใจลูกค้าย่อยๆ แต่ผลิตได้เยอะๆ (Mass Customization)

แล้วผมจะมาคุยเรื่องนี้ต่อวันหลังนะครับ .......

08 พฤศจิกายน 2552

Inspiration Economy - เศรษฐกิจแบบแรงบันดาลใจ (ตอนที่ 1)


หมู่นี้ผมได้ข่าวท่านนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไปปาฐกถาตามงานต่างๆ ซึ่งท่านพูดถึงเรื่อง Creative Economy หรือ เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ บ่อยมาก นัยว่าในมุมมองของท่านนั้น คนไทยเราน่าจะมีความคิดสร้างสรรค์ค่อนข้างดี เศรษฐกิจแบบนี้จึงน่าจะเหมาะกับบ้านเรามากกว่า Knowledge-Based Economy หรือเศรษฐกิจฐานความรู้ ซึ่งเคยถูกใช้เป็นเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนสังคมไทย ในยุคของนายกรัฐมนตรีคนก่อน คือ พตท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร แต่ในที่สุด พวกเราเองคงจะรู้ตัวว่า สังคมไทยเป็นสังคมฐานความรู้ไม่ได้ เพราะเรายังไม่มีศักยภาพในการผลิตความรู้ขึ้นใช้เอง เนื่องจากสังคมของเรายังอ่อนแอ ในเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งโดยทั่วไป เขามักจะวัดกันที่ผลงานตีพิมพ์ระดับสากล และการจดสิทธิบัตร ซึ่งเรายังแพ้ประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์

เท่าๆที่ผมติดตามข่าวท่านนายกฯ ไปพูดที่นั่นที่นี่ ผมถึงเพิ่งเข้าใจความหมายของ Creative Economy ที่ท่านนายกฯ กำลังพูดถึง เพราะท่านเน้นความเป็นไทย อันได้แก่ ความสามารถด้านศิลปะต่างๆ งานหัตถกรรม จิตรกรรม วิจิตรศิลป์ และอื่นๆ ที่เราสั่งสมมาจากสมัยโบราณ ไม่ใช่ Creative Economy ที่อยู่บนฐานของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่เป็น Creative Economy ที่อยู่บนฐานของศิลปวัฒนธรรม ที่เป็นจุดเด่นของประเทศเรา ซึ่งอันที่จริงก็เป็นสิ่งที่น่าจะถูกต้องครับ เพียงแต่ สินค้าที่เราคิดว่า creative ต่างๆ นี้ มันสามารถที่จะส่งออกไปยังตลาดโลกได้จริงหรือไม่ ? ตลาดต่างๆ นอกประเทศไทยจะพึงพอใจสินค้าทางด้านศิลปวัฒนธรรมของเรามากเพียงใด เราจะแข่งกับสินค้าอารมณ์จากเกาหลีได้หรือ ???

Creative Economy วางจุดโฟกัสที่ตัวผู้ผลิตสินค้าว่าต้องมีความคิดสร้างสรรค์สูง ผลิตสิ่งที่เป็นของใหม่ๆ มีความโดดเด่น เป็นตัวของตัวเอง ในขณะที่เศรษฐกิจอีกแบบที่ผมกำลังจะพูดถึงนี้คือ Inspiration Economy จะวางจุดโฟกัสที่ผู้ซื้อครับ เพราะเศรษฐกิจแบบนี้ ตัวสินค้าจะไปสร้างแรงบันดาลใจให้ตลาด ให้ผู้ซื้อเกิดความอยากได้ รวมถึงไปสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ผลิตเจ้าอื่น อยากทำตาม อยากพัฒนาตัวสินค้าใหม่ๆ ที่ตอบสนองแรงบันดาลใจเหล่านี้ เป็นเศรษฐกิจที่มีแรงลอยตัว และหนุนให้เกิดการสร้างสรรค์ ทั้งคนผลิตและคนใช้ หลายๆ ประเทศที่มีนวัตกรรมสูง อย่างประเทศสแกนดิเนเวีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น กำลังมุ่งสู่เศรษฐกิจแนวนี้ครับ ซึ่งวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตใจ และ ประสาทวิทยา สามารถให้เหตุผลได้ ในตอนหน้าผมจะมาเล่าให้ฟังครับ ว่าการเข้าใจสมองมนุษย์ และศาสตร์การรับรู้ของคน ทำให้เราสามารถสร้างสินค้าแบบบันดาลใจได้ ......

13 มีนาคม 2552

โลกควรดีใจที่เศรษฐกิจแย่




ช่วงนี้เจอใครๆ ก็จะบ่นกันอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกก็คือเศรษฐกิจที่นับวันมีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ ผมไปเดินห้าง เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นใครจับจ่ายใช้สอยกันเหมือนเมื่อก่อน แต่ละคนคอยมองหาแต่ของลดราคา เพื่อนๆบอกว่าให้เก็บเงินสดไว้ พยายามอย่าใช้ถ้าไม่จำเป็น อีกเรื่องที่คนบ่นกันมากก็คือเรื่องอากาศที่ร้อนอบอ้าว บางคนลาพักร้อนไปเที่ยวต่างจังหวัด กลับมาแล้วก็บ่นว่านอนอยู่บ้านสบายกว่า ตอนนี้ใครที่ยังไม่เชื่อว่าโลกร้อนขึ้นจริงๆ คนก็จะมองหน้าแล้วถามว่า "คุณไปอยู่ไหนมา"


เรื่องทั้ง 2 เรื่องที่ว่ามานี้ ดูเหมือนจะเชื่อมโยงกันแล้วครับ นั่นคือ เรื่องที่เศรษฐกิจแย่ๆ นั้นแหล่ะครับ จะช่วยทำให้เรื่องที่ 2 คือ โลกร้อนนั้นช่วยผ่อนคลายลง ในการประชุมเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศโลกที่กรุงโคเปนไฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2552 ที่ผ่านมานี้ นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง Professor Nicholas Stern ได้ให้ปาฐกถาว่า "โลกเราควรดีใจสิครับ ที่เศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก เพราะนี้คือวิธีแก้โลกร้อนที่ชะงัดและได้ผลที่สุด เพราะขณะนี้การปลดปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศลดลงอย่างวูบวาบ เพราะโรงงานปิด คนใช้รถน้อยลง เดินทางน้อยลง และลดกิจกรรมต่างๆที่เคยมีจนมากเกินไป"


จริงๆ แล้วการที่เศรษฐกิจสหรัฐพังทลายลงมานั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากที่น้ำมันมีราคาสูงจนไปทำให้ฟองสบู่ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แตก ถึงแม้ตอนนี้ราคาน้ำมันจะตกต่ำลงไปแล้ว แต่สหรัฐฯก็เข็ดหลาบจากพลังงานฟอสซิล และเริ่มหันมาหาพลังงานสะอาดแทน เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐสภาสหรัฐฯได้ผ่านกฏหมายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีการนำเงินกว่า 100,000 ล้านเหรียญไปใช้เพื่อทำให้อเมริกาสามารถปลดแอกตัวเองจากน้ำมัน การลงทุนต่างๆของสหรัฐฯนั้น จะทำให้เกิดการสร้างงานแบบใหม่ที่เรียกว่า Green Jobs การที่เศรษฐกิจโลกย่ำแย่นั้น กลับจะเป็นผลดีเสียด้วยซ้ำกับสิ่งแวดล้อมโลก เพราะแรงงานจะถูกลง ทำให้สามารถจ้างแรงงานจำนวนมาก เพื่อมาปฏิรูประบบนำส่งพลังงานไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทั้งในยุโรปและอเมริกา บริษัท ห้างร้าน ต่างๆ จะพยายามทำงานให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งก็จะมีผลต่อการปลดปล่อยคาร์บอนน้อยลงไป ดังนั้นในช่วงที่เศรษฐกิจแย่ๆ อยู่นี้ เราควรจะรีบเร่งปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตเสียใหม่ งานแบบใดที่ทำให้โลกร้อนก็ให้มันหมดไป สร้างอาชีพใหม่ๆที่เป็น Green Jobs นี่คือโอกาสของเราที่จะช่วยโลกแล้วครับ ในช่วงที่เศรษฐกิจแย่ๆนี่แหล่ะ .......

28 กันยายน 2551

Vertical Farm - ทำไร่บนตึกสูง (ตอนที่ 3)


วันนี้มาคุยต่อนะครับถึงการเกษตรแนวใหม่ ซึ่งย้ายการผลิตพืชพรรณธัญญาหาร จากชนบท มาสู่ตึกสูงในเมือง ซึ่งจะเป็นการปฏิวัติการเกษตรอีกครั้งหนึ่ง เพราะหลังจากนี้ การเกษตรจะเป็นเรื่องของความแม่นยำ ไม่ต้องปล่อยให้ดินฟ้าอากาศมาเป็นผู้ตัดสินอีกต่อไปแล้วครับ ศาสตราจารย์ Dickson Despommier แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ผู้เสนอแนวคิดนี้คงจะดีใจไม่น้อยครับ ที่กรรมการเมือง Las Vegas ได้ตัดสินใจที่จะก่อสร้างอาคารสำหรับทำ Vertical Farming ขึ้นที่มหานคร Las Vegas ด้วยงบประมาณสูงถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยหวังว่าการทำไร่บนตึกสูงนี้จะทำกำไรด้วยความสามารถในการผลิตอาหารเลี้ยงประชากรได้ 72,000 คน และยังจะเป็นจุดท่องเที่ยวได้อีกด้วย ซึ่งหากมองในแง่ของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแล้ว การสร้าง Vertical Farm ในเมืองอย่าง Las Vegas ที่อยู่กลางทะเลทราย เป็นอะไรที่เข้าท่าเข้าทางมาก เพราะจะทำให้เมืองนี้สามารถพึ่งพาตัวเองทางด้านอาหารได้ ทำให้ลดการขนส่งอาหารเข้ามาจากแหล่งอื่น อาคารสำหรับทำไร่แห่งนี้จะปลูกพืชกว่า 100 ชนิด ซึ่งรวมทั้งสตอเบอร์รี่ กล้วย ถั่วต่างๆ ซึ่งก็จะส่งพืชผลเหล่านั้นหล่อเลี้ยงโรงแรม และคาสิโนต่างๆ โครงการนี้ได้เริ่มก่อสร้างแล้วครับ ซึ่งจะเริ่มดำเนินกิจการในปี ค.ศ. 2010

17 กันยายน 2551

Vertical Farm - ทำไร่บนตึกสูง (ตอนที่ 2)


เรามาดูเทคโนโลยีที่ใช้ประกอบเป็นอาคารสำหรับการทำไร่บนตึกกันนะครับ
  • เรื่องพลังงาน อาคารที่ใช้ทำไร่นั้นจะอาศัยพลังงานหมุนเวียนครับ แผง Solar Cell ที่อยู่เหนือยอดตึก ซึ่งสามารถที่จะหมุนตามดวงอาฑิตย์ได้ กังหันลมจะดักลมเพื่อนำมาผลิตพลังงานไฟฟ้า พืชผักเหลือทิ้ง หรือ มูลสัตว์ที่เลี้ยงในอาคาร จะถูกนำมาทำพลังงานชีวมวล

  • รูปทรงของอาคาร ต้องเป็นทรงกระบอก เพื่อให้แสงสว่างส่องเข้ามาอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด กระจกของอาคารถูกเคลือบด้วย Titania เป็นกระจกที่สามารถทำความสะอาดตัวเองได้ จะใสปิ๊งตลอดเวลา

  • อาคารทำไร่ จะถูกควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และซอฟต์แวร์ Smart Farm ซึ่งจะทำให้อาคารนี้ทำการเพาะปลูกพืช 24 ชั่วโมง ทั้งปีโดยไม่มีวันหยุด โดยจะมีเซ็นเซอร์ตรวจสภาพแวดล้อม ตรวจการเจริญเติบโตของพืช ตรวจจับแมลง ตรวจจับความสุก ซึ่งสามารถเฝ้าดูจากหน้าจอมอนิเตอร์ของฟาร์ม

  • พืชพรรณที่ปลูกสามารถปลูกได้เกือบทุกอย่าง ทั้งผัก ผลไม้ ธัญพืช สามารถเลี้ยงปลา ไก่ หมู ได้ ศาสตราจารย์ Dickson Despommier แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ได้ออกแบบให้อาคารทำไร่นี้ 1 อาคาร สามารถเลี้ยงประชากรได้ 50,000 คน พืชที่ปลูกนั้นจะไม่ใช้ดิน โดยการจุ๋มรากในน้ำ หรือ ในอากาศ (แล้วสเปรย์ความชื้นกับสารอาหารให้) ทำให้สามารถใช้พื้นที่ปลูกแบบ 3 มิติได้ คือสามารถเรียงแปลกปลูกซ้อนๆ กันได้ ต่างจากเกษตรแบบเก่าที่ทำการเพราะปลูกได้เพียง 2 มิติ

  • น้ำที่เกิดจากการคายน้ำของพืชจะมีความบริสุทธิ์สูง เราสามารถเก็บน้ำที่เกิดจากการคายน้ำโดยการใช้ Moisture Collector ซึ่งจะนำน้ำมารวมกัน บรรจุขวดขายได้ เป็นน้ำจากการคายน้ำของพืช ซึ่งจะมีแบรนด์ที่คนสนใจดื่ม ศาสตราจารย์ Dickson Despommier ประมาณว่าในปีหนึ่งๆ อาคารนี้สามารถผลิตน้ำดื่มได้ 300 ล้านลิตร
  • น้ำเสียต่างๆ ที่เกิดจากกิจกรรมในอาคารนี้ สามารถกรอง และนำกลับมาใช้ใหม่ เพื่อรดน้ำพืชได้ ปัจจุบันเมืองใหญ่ๆ ในสหรัฐอเมริกาทิ้งน้ำที่บำบัดแล้ว ลงแม่น้ำลำคลองไปเปล่าๆ วันละ 7 พันล้านลิตร การมีระบบหมุนเวียนน้ำ จะทำให้อาคารนี้ผลิตของเสียน้อยมาก และใช้น้ำจากการประปาน้อยลง