14 เมษายน 2552

How Love Works - นี่หรือที่เรียกว่ารัก (ตอนที่ 3)


ช่วงนี้มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความแบ่งฝักแบ่งฝ่ายของคนไทย พวกเราได้เพาะพันธุ์ความเกลียดชังฝ่ายที่มีความคิดตรงข้ามกับตัวเอง มาจนถึงจุดที่อาจเป็นอันตรายต่อพวกเราเองทั้งหมด ไอ้เจ้า "ความเกลียดชัง" นี่แหล่ะครับ หากมีมากในสังคมหมู่ใด สังคมหมู่นั้นจะไม่เจริญ และอาจสูญพันธุ์ไปได้ ผมพูดเรื่องนี้ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ เพราะมีหลักฐานมากมายที่บ่งชี้ว่า ความจงเกลียดจงชังจะนำไปสู่การทำลายเผ่าพันธุ์ตัวเองได้ในที่สุดครับ !!!

นักวิทยาศาสตร์เริ่มเห็นหลักฐานที่ชี้ชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ครับว่า "ความรัก" ต่างหากล่ะครับ ที่เป็นตัวขับเคลื่อนความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์เรา เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีพัฒนาการที่สูงกว่าสัตว์อื่นๆ จนสามารถเอาตัวรอดและพัฒนาอารยธรรมจนครอบครองดาวเคราะห์ดวงนี้ ความรักเป็นกระบวนการเคมีและชีวเคมีในสมอง สารเคมีที่หลั่งในสมองเมื่อเรามีความรัก นั้นทำให้เราอยากมีครอบครัวและมีลูกมีหลาน อยากสืบทอดเผ่าพันธุ์ นักวิทยาศาสตร์พยายามสืบค้นกระบวนการทำงานของความรัก จนรู้ว่าความรักเป็นอะไรที่ฝังอยู่ในพันธุกรรมของเรา (ยีนที่เกี่ยวข้องกับความรักจะเป็นตัวกำหนด กระบวนการชีวเคมี และกลไกการทำงานในร่างกายเพื่อทำให้เรามีรัก) ทำให้มนุษย์มีขีดความสามารถในการแข่งขันเหนือสัตว์อื่น เมื่อเร็วๆนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้รายงานว่า ปัจจัยหลักที่มีผลต่อการที่เราปิ๊งจะรักกับใครนั้นได้แก่ สารระเหยจากร่างกายที่ไม่มีกลิ่น ลักษณะสัณฐานวิทยาของใบหน้า และน้ำเสียง สามอย่างนี้แหล่ะครับ ที่ทำให้เราหัวปักหัวปำกับใครสักคนโดยไม่ทราบสาเหตุ (บางคนยังคิดลยเถิดไปด้วยซ้ำว่า ความรักนั้นลอยลมมาเอง ...)

นักวิทยาศาสตร์พบว่า เมื่อผู้หญิงไข่ตก จะผลิตสารระเหยชนิดหนึ่งออกมาที่มีชื่อว่า copulins ซึ่งเป็นสารที่ดึงดูดเพศชาย เมื่อผู้ชายสูดเอาสารเคมีตัวนี้เข้าไป ก็จะทำให้ปริมาณฮอร์โมน testosterone ในร่างกายของตนพุ่งสูงขึ้น แล้วก็จะปล่อย androstenone ซึ่งมีกลิ่นออกมา ซึ่งจะทำให้ผู้หญิงที่ไม่ได้ตกไข่นั้นไม่อยากเข้าใกล้ Dr. Laura Berman นักวิทยาศาสตร์ทางด้านเซ็กซ์ที่มีชื่อเสียงของสหรัฐ เธอตั้งสถาบันค้นคว้าและแก้ปัญหาทางด้านเซ็กซ์ ได้กล่าวว่า "เรื่องของแรงดึงดูดแห่งรักนั้น เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์และวิวัฒนาการทางพันธุศาสตร์ มากกว่าที่คนทั่วไปเข้าใจกันมากเลยล่ะค่ะ" เธอยังกล่าวถึงความสำคัญของสารระเหยที่เกี่ยวข้องกับความรักไว้อย่างน่าตื่นเต้นว่า "คนเรามีความสามารถในการดมและได้กลิ่นมากกว่า 10,000 กลิ่น แต่มีไอระเหยอินทรีย์อีกจำนวนมากที่เราสูดดมเข้าไป แต่ไม่ได้กลิ่น ซึ่งมีแต่จิตไร้สำนึกของเราเท่านั้นแหล่ะค่ะที่รู้ .....แล้วพวกกลิ่นเหล่านี้เอง ที่จะสื่อสารระหว่างคนสองคนที่มีความต้องการตรงกัน มันจะเป็นแรงผลักดันให้คนสองคนนั้น หมายตาหมายใจต่อกัน ..... เรื่องนี้เป็นเรื่องของการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์โดยตรง" สิ่งหนึ่งที่ Dr. Berman มักจะได้ยินจากคนไข้ของเธอก็คือ เขาเหล่านั้นรักคู่ครองของตน แต่ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองอยู่ในห้วงรักแม้แต่น้อย ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าเขาเหล่านั้นติดกลิ่นของอีกฝ่าย เป็นกระบวนการเคมี แต่ในความรู้สึกทางใจโดยตรงนั้น ก็ยังอาจไม่มีความรักลึกซื้งก็ได้

วันนี้ร้อนจริงๆ นะครับ เดี๋ยวผมจะลองไปเดินห้างตากแอร์เสียหน่อย ลองไปตามหากลิ่นที่ว่านั้นดู ........