ศตวรรษที่ 21 เป็นศตวรรษแห่งการหลอมรวมตัวของวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ครับ หลังจากทั้งสองศาสตร์นี้ได้แยกร้างห่างเหินจากกันมานานหลายร้อยปี ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช พระองค์ทรงแผ่ขยายพระราชอำนาจ ด้วยมุ่งหวังจะเสาะหาช่างศิลป์และงานศิลปวิทยาการต่างๆ แม้แต่เจงกิสข่านที่เป็นที่รับรู้กันถึงความโหดร้าย เมื่อเข้าตีเมืองใดหากเมืองนั้นมิยอมศิโรราบแต่โดยดีแต่แรก หากข่านพระองค์นี้บุกเข้าเมืองได้ ก็จะสังหารประชากรในเมืองนั้นจนหมดสิ้น เหลือไว้แต่ช่างศิลป์เท่านั้น ที่เจงกิสข่านจะโปรดงดโทษชีวิตให้ แถมยังจะนำกลับไปเลี้ยงดูอย่างดี ภายใต้จักรวรรดิ์มองโกลที่เรามักคิดว่ามีแต่ความป่าเถื่อนนั้น ว่ากันว่าในช่วงที่เจงกิสข่านยังมีชีวิตอยู่นั้น ศิลปวิทยาการทั้งหลายของโลกถือว่าอยู่ในช่วงเจริญสูงสุดยุคหนึ่งทีเดียว
แต่แล้วหลังจากยุคกลางในยุโรปสิ้นสุดลง เริ่มจากความเสื่อมของคริสตจักรโรมันคาทอลิก หลังสมัยของกาลิเลโอ ในศตวรรษที่ 16 วิทยาศาสตร์ก็เปิดม่านหนียุคมืดออกมาด้วยการหันหลังให้กับศิลปศาสตร์อย่างสิ้นเชิง วิทยาศาสตร์ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าและความเชื่อทางศาสนาทั้งหมด เรื่องของจิตใจเป็นเรื่องของศิลปะ ไม่อยู่ในบริบทของวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องที่เป็นนามธรรมที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่เมื่อขึ้นต้นศตวรรษใหม่ ศาสตร์ที่เรียกว่า Mind Science หรือ Cognitive Science กำลังจะพาวิทยาศาสตร์กลับไปหาศิลปศาสตร์อีกครั้งแล้วครับ
ผมได้ไปเที่ยวชมงาน CEATEC 2008 ที่จิบะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์งานใหญ่ประจำปี พบว่าเกิดการแต่งงานระหว่างวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นที่นั่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์มือถือ จอดิสเพลย์ gadget ต่างๆ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า หุ่นยนต์ ล้วนใช้แนวทางทางด้านศิลปะในการขายสินค้า ต่างจากแต่ก่อนที่การประชาสัมพันธ์สินค้าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยีว่ามันทำอะไรได้บ้าง แต่งานนี้เขาบอกว่าสินค้าทำให้คุณ Feel อย่างไร สินค้านี้จับความเข้าใจ ความรู้สึก หรือ สัมผัส ของเราได้อย่างไร ที่ผมชอบมากก็คือ การ present ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีดาวเทียมที่ทำสามารถทำแผนที่ 3 มิติ ของพื้นผิวโลกด้วยเรดาห์ (รูปบนและรูปด้านขวา) เขาให้นักดนตรีสาวสวย 2 คนมาสีไวโอลินกับเชลโล ประกอบการบรรยาย ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนล่องลอยไปในอวกาศพร้อมๆ กับดาวเทียมดวงนั้น ...................
แต่แล้วหลังจากยุคกลางในยุโรปสิ้นสุดลง เริ่มจากความเสื่อมของคริสตจักรโรมันคาทอลิก หลังสมัยของกาลิเลโอ ในศตวรรษที่ 16 วิทยาศาสตร์ก็เปิดม่านหนียุคมืดออกมาด้วยการหันหลังให้กับศิลปศาสตร์อย่างสิ้นเชิง วิทยาศาสตร์ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าและความเชื่อทางศาสนาทั้งหมด เรื่องของจิตใจเป็นเรื่องของศิลปะ ไม่อยู่ในบริบทของวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องที่เป็นนามธรรมที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่เมื่อขึ้นต้นศตวรรษใหม่ ศาสตร์ที่เรียกว่า Mind Science หรือ Cognitive Science กำลังจะพาวิทยาศาสตร์กลับไปหาศิลปศาสตร์อีกครั้งแล้วครับ
ผมได้ไปเที่ยวชมงาน CEATEC 2008 ที่จิบะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์งานใหญ่ประจำปี พบว่าเกิดการแต่งงานระหว่างวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นที่นั่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์มือถือ จอดิสเพลย์ gadget ต่างๆ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า หุ่นยนต์ ล้วนใช้แนวทางทางด้านศิลปะในการขายสินค้า ต่างจากแต่ก่อนที่การประชาสัมพันธ์สินค้าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยีว่ามันทำอะไรได้บ้าง แต่งานนี้เขาบอกว่าสินค้าทำให้คุณ Feel อย่างไร สินค้านี้จับความเข้าใจ ความรู้สึก หรือ สัมผัส ของเราได้อย่างไร ที่ผมชอบมากก็คือ การ present ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีดาวเทียมที่ทำสามารถทำแผนที่ 3 มิติ ของพื้นผิวโลกด้วยเรดาห์ (รูปบนและรูปด้านขวา) เขาให้นักดนตรีสาวสวย 2 คนมาสีไวโอลินกับเชลโล ประกอบการบรรยาย ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนล่องลอยไปในอวกาศพร้อมๆ กับดาวเทียมดวงนั้น ...................