ในช่วงหลังๆ ผมได้พยายามบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับแนวโน้มใหม่ๆ ที่แสดงถึงการหลอมรวมกันระหว่างวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ กับ ศิลปศาสตร์ ซึ่งแนวโน้มนี้กำลังเกิดขึ้นมาเป็นกระแสที่แรงมาก ทั้งในวงการอุตสาหกรรม วงการมหาวิทยาลัย วงการการเมืองและการทหาร ในทศวรรษต่อไป ใครก็ตามที่ยังเผลอคิดว่าสายวิทย์กับสายศิลป์ยังต้องแยกกันอยู่ แยกกันเรียน แยกกันทำงาน จะกลายเป็นคนโลกเก่าไปแล้วครับ
วันนี้ผมจะมาพูดถึงศาสตร์ของการผสมผสานวิทยาศาสตร์ (โลกแห่งความจริง) กับศิลปศาสตร์ (โลกแห่งความฝัน) เข้าด้วยกันศาสตร์หนึ่ง ศาสตร์นั้นมีชื่อว่า Mixed Reality ครับ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีในการสร้างสภาพแวดล้อมใหม่ขึ้นมา ซึ่งสิ่งของที่มีตัวตนอยู่จริงๆ จะอยู่ร่วมกับสิ่งของที่สร้างขึ้นมา (Digital Object) โดยสิ่งของทั้ง 2 ประเภทเหล่านั้นจะอยู่ร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์กัน เหมือนประหนึ่งว่าสิ่งของที่เป็นของเสมือนนั้นมีตัวตนจริงๆ (ในทางกลับกัน สิ่งของที่อยู่ในโลกแห่งความจริง ก็จะเสมือนกับว่าเป็นสิ่งของที่อยู่ในโลกแห่งความฝันไปด้วยเช่นกัน เพราะสิ่งของดิจิตอลก็จะรับรู้สภาพหรือความเป็นดิจิตอลของสิ่งนั้น งง... ไหมครับ .... ถ้าใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง The Matrix ก็จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยาก เพราะโลกของความเป็นจริง ที่เราคิดว่าเป็นจริงนั้น แท้ที่จริงแล้วมันถูกสร้างขึ้นในสมองของมนุษย์ (ในภาพยนตร์ The Matrix) ในขณะที่ตัวจริงของคนผู้นั้นยังนอนอยู่ใน capsule ที่เรียงรายกันเป็นชั้นๆ ในห้องโถงขนาดมโหฬาร และคนที่นอนฝันเหล่านั้น สมองของเขาก็ถูกหลอกให้หลงคิดไปว่าเขากำลังอาศัยในโลกที่มีตัวตนจริงๆ
ผมเคยได้ยินมาว่า คนเราก่อนจะตาย จะเกิดนิมิตรขึ้นมา ซึ่งจะพาเราไปจุติในโลกใหม่ตามนิมีตรที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาของลมหายใจสุดท้าย ผู้รู้บางท่านกล่าวว่า ตัวนิมิตรนี้จะคล้ายความฝัน เราควบคุมไม่ได้ มันจะเกิดขึ้นเองตามแต่กรรมที่เราทำในชาตินี้ แล้วตัวมันนี่แหล่ะจะเป็นผู้สร้างภพต่อไปของเรา ผมฟังดูแล้วก็ โอ้โฮ ..... ไม่น่าเชื่อว่าในเรื่องของ Mixed Reality ที่ผมกำลังศึกษาวิจัยอยู่นี้มันจะมาสอดคล้องกับความเชื่อทางพุทธได้อย่างเหมาะเหมง เพราะเทคโนโลยี Mixed Reality นั้น จะต้องทำให้ผู้ใช้แยกไม่ออกครับว่า ในสภาพแวดล้อมที่ถูกสร้างขึ้นมานั้น อะไรคือของหลอก อะไรคือของจริง นั้นคือไปหลอกอายตนะของคนเราให้คล้อยหลงไปเลย
ผมจะมายกตัวอย่างในตอนต่อไปครับ เพื่อให้เห็นภาพชัดของงานประยุกต์ของ Mixed Reality ................